Thai Value Investor
Home arrow บทความ arrow Value Way arrow Value Way : อยู่ไม่สุข
Sunday, 17 April 2005

Company Visit

ไทยแวลูอินเวสเตอร์ เชิญสมาชิกนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมกิจการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)ในวันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2548 โดยมีกำหนดการดังนี้

8.15 น. พร้อมกันที่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ชั้น 20 อาคารไทยพาณิชย์ปาร์ค (อาคารอีสต์)
10.00 น. ถึงโรงไฟฟ้าราชบุรี จังหวัดราชบุรี
10.00 – 10.15 น. รับประทานอาหารว่าง
10.15 – 10.35 น. เข้าห้องประชุมเพื่อชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าราชบุรี
10.35 – 11.15 น. ฟังการบรรยายจากวิทยากรฝ่ายควบคุมการผลิต และตอบข้อซักถาม
11.15 – 12.00 น. เข้าชมโรงไฟฟ้าราชบุรี
12.00 – 13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงไฟฟ้าราชบุรี และพักผ่อนตามอัธยาศัย
14.00 น. เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

ท่านสมาชิกที่สนใจกรุณาส่ง PM บอกชื่อ นามสกุล กับเบอร์ติดต่อ ถึงคุณ harry ด่วน
เพื่อสรุปจำนวนแจ้งไปยังบริษัทภายในวันที่ 18 เมษายนนี้ จำนวนจำกัดไม่เกิน 30 ท่าน


Value Way : อยู่ไม่สุข Print E-mail
User Rating: / 1
PoorBest 
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา   
Friday, 04 February 2005
          ช่วงที่เขียนบทความนี้ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างคึกคัก ดัชนีทะลุ 700 จุด และไม่นานก็กลับลงไปมุดอยู่ที่ 700 และก็กลับมาโผล่หัวหายใจแถว 700 กว่าๆ อีกครั้ง พร้อมๆกับความเมามันของแมลงเม่า และพวกต่างชาติที่ยัดเงินใส่ตลาดหุ้นไทยแบบที่เรียกได้ว่า ไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหนกระมัง
          ช่วงเวลาอย่างนี้ผมและเพื่อนๆ Value Investor มักไม่ค่อยมีอะไรจะทำ เพราะหุ้นใหญ่น้อยทั้งหลายได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่สูงสุดเอื้อมสำหรับพวกเราเหล่า Value Investor เสียแล้ว ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ว่างสุดๆ เหงาและว้าเหว่มากๆ
          หลายท่านคงคิดว่า ก็แล้วตลาดหุ้นคึกคักอย่างนี้ไม่เข้าไปตะลุมบอนกับเขา แล้วเราไม่เสียโอกาสหรือ?
          ก็อาจจะเสียโอกาสบ้างไม่มากก็น้อย... แต่เรามองไม่เห็นโอกาสอย่างที่ว่ามาครับ พวกเรามักเห็นโอกาสตอนที่ตลาดหุ้นซบเซา ว้าเหว่ ขาดผู้ร่วมสร้างความเมามันในตลาด เราคิดว่าเราจะได้กำไรเมื่อซื้อเท่านั้น ตอนซื้อไม่ได้กำไร แต่ได้ความเสียวไส้
          เราไม่เอาเด็ดขาด!
          เรื่องความอยู่ไม่สุขกับตลาดหุ้นนี่ ผมมีเพื่อนผมท่านหนึ่งแกชอบอยู่ไม่สุขกับตลาดหุ้นครับ ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาพใด แกก็จะอยู่ไม่สุข....แกจะต้องสร้างการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในวันนั้นๆให้จงได้...ไม่มากก็น้อยเพื่อสร้างความเสียวไส้ให้กับชีวิตที่ไร้รสชาติ
          เวลาอยากรู้ว่า หุ้นอะไรเคลื่อนไหวอย่างไร...ผมจะโทรไปถามแก...แกจะตอบได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ...ไม่ว่า เสนอซื้อ เสนอขายเท่าไร ปริมาณการซื้อขาย รวมไปถึงรูปแบบของการซื้อขาย.... “มันกำลังไล่กันสุดๆไปเลยว่ะ...หรือโห...มันทิ้งกันไม่ใยดีเลยว่ะ...แต่ดูแล้วมันต้องเอากลับแหงๆ” และถ้าอยากรู้ผลว่าจะออกมาทรงใดให้โทรไปถามตอนหลังสี่โมงครึ่ง จะได้คำตอบหลากหลายมาก... “หลังคารถพร้อมยางสี่เส้นหายไปเลยว่ะ...  หรือวันนี้จะกินอะไรดีวะ...มน..เฮียจะเลี้ยงเอง เอิ๊กๆ ”
          คงเดาได้นะครับว่า อารมณ์ไหนเป็นอารมณ์ไหน
          ถ้าเฮียอ่านเจอก็อย่าได้ต่อว่า อะไรผมเลยนะ...ถือว่าเป็นประสบการณ์แบ่งปันกันได้
          สำหรับชีวิตผมและอีกหลายๆคนคงไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่าไรนัก เพราะเรากลัวความเสี่ยงทุกประเภท สิ่งที่เราเลือกทำคืออยู่เฉยๆ เมื่อไม่รู้จะทำอะไร...ก็อยู่เฉยๆ หรือ ไม่มีหุ้นดีๆราคาสมเหตุสมผลให้ซื้อ...ก็อยู่เฉยๆจะดีกว่า
          การอยู่ไม่สุขในการลงทุนนี่ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียอะไรนะครับ ความจริงแล้ว 'เสียครับ' คือ เสียค่าคอมมิชชั่นให้นายหน้าแน่นอน หรือ ถ้าหุ้นที่ซื้อราคาลง ก็จะเสียสองต่อ คือ เสียเงินและเสียอารมณ์ความรู้สึก
          ส่วนคนที่จำเป็นจะต้องอยู่ไม่สุขก็มีครับ คือ ถ้าอยู่สุขเห็นทีจะโดนไล่ออกแน่นอน คือเจ้าหน้าที่การตลาดที่ลูกค้าซื้อขายมากก็ได้มาก นักวิเคราะห์..อย่างไรก็ต้องออกบทวิเคราะห์...ไม่เช่นนั้น ไม่มีผลงานตลาดหุ้นจะดีไม่ดีอย่างไร ก็ต้องออกมาวิเคราะห์ไว้ก่อน ผู้จัดการกองทุนก็ต้องซื้อขายหุ้นครับ เพราะเอาเงินลูกค้าไปสร้างผลตอบแทน...จะเอาไปกองรับดอกเบี้ย ก็ไม่ได้นาน
          สำหรับนักลงทุนอิสระแล้ว สามารถเลือกได้ว่าจะลงทุนหรือไม่ลง ไม่มีโอกาสดีๆก็ไม่ลงทุนอยู่เฉยๆ Warren Buffett บอกว่า 'เคล็ดลับของเขาคือ เมื่อไม่มีอะไรจะทำ...ไม่ทำอะไรเลยจะดีที่สุด'  ส่วน George Soros บอกว่า 'เพื่อให้ประสบความสำเร็จ...เราควรมีเวลาหย่อนใจและมีเวลาเป็นของตัวเองมากๆ'
          ที่กล่าวมานี่ไม่ได้หมายความว่าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยนะครับ  เซียนพวกนี้เขาไม่ทำอะไรกับการลงทุนเท่านั้น แต่เขาคอยมองหาโอกาสเหมาะๆ วิ่งเข้าชนบังตอตลอดเวลา
          ผมเองก็ลอกเลียนแบบเขามาอีกที แต่กว่าจะเลียนแบบได้อย่างแนบเนียนนี่ ก็แย่เหมือนกันนะครับ คืออยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน เห็นไม่ได้เป็นต้องหาอะไรลุยสักหน่อย แต่ตอนนี้เอาธรรมชาติเข้าขย่ม คือ ข่มอย่างเดียวเอาไม่อยู่ ตอนนี้ก็รดน้ำพรวนดินปลูกต้นไม้ไปพรางๆ รอโอกาสเหมาะมาหา
          แต่...เอ.....ไม่เห็นหมูวิ่งมาชนบังตอนานแล้วนะเนี่ย!
          *********************
          ล้อมกรอบต่อท้าย
          หมายเหตุ : ในเรื่อง 'คลายเครียดเรโช' ที่ตีพิมพ์ในวันที่ 21 มกราคม 48 นั้น มีข้อผิดพลาดที่จำเป็นต้องแก้ไขสักนิดหน่อยเกี่ยวกับ คลายเครียดเรโช(มหภาค) ดังนี้ครับ
          มาดูสูตร คลายเครียดเรโช(มหภาค) : ราคาตลาด / ราคาทุน   >   1
          จากสูตรจะเห็นว่า เมื่อราคาหุ้นหลังจากที่ซื้อมาแล้วได้ปรับตัวขึ้นไปสูง เท่ากับหรือมากกว่าราคาทุนที่ซื้อหุ้นมาแล้ว ให้ชักเอาส่วนที่เป็นทุนออกมาก่อนเพื่อความอุ่นใจ และเป็นการลดความเครียดจากการถือหุ้นนั้นๆ เอาไว้ต่อ ยิ่งตอนที่ขายเมื่ออัตราส่วนคลายเครียดสูงมากกว่า 1 มากๆ ความเครียดจะยิ่งลดลงเป็นลำดับ เช่น  เมื่อเราซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาที่ราคา 10 บาท ปัจจุบันราคาได้ขึ้นมาที่ 25บาท
          เราจะได้คลายเครียดเรโชเท่ากับ 2.5 เท่า จากนั้นให้เราชักเอาเงินทุน 10 บาท ออกมาก่อนแล้วปล่อยให้เงินที่เป็นกำไร 15 บาทอยู่ในหุ้นนั้นต่อไป เพื่อลดอาการเครียดจากการขายหมูลงไป และที่แน่ๆ เงินทุนของเราปลอดภัย 100% แล้วครับ
          ตามความหมายเดิมของท่านเจ้าสำนัก Temple Boxing School ต้องใช้ คลายเครียดเรโช (มหภาค) กับตลาดหุ้นโดยรวมครับ ซึ่งหมายถึงจำนวน'เงินลงทุน'ทั้งหมดที่เราใช้เล่นหุ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบกับกำไรสะสมทั้งหมดที่เราเคยได้มาไม่ได้เน้นไปที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
          ส่วนคลายเครียดเรโช (จุลภาค)นั้น หมายถึงหุ้นเป็นรายตัวครับ ดังนั้นที่ผมยกตัวอย่างมาเป็นหุ้นรายตัวในการอธิบายคลายเครียดเรโช (มหภาค)นั้นจึงไม่ตรงต่อความหมายที่แท้จริงของท่านเจ้าสำนัก จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดปรับค่าต่างๆ ในตัวอย่างให้เป็น....
          เช่น เมื่อท่านได้ซื้อหุ้นเมื่อดัชนีตลาด เท่ากับ 350 จุด ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,000,000 บาท แต่แล้วตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปเป็น 600 จุดเงินลงทุนทั้งพอร์ตเพิ่มเป็น 2,300,000 บาท เมื่อคำนวณ คลายเครียดเรโช(มหภาค) แล้วจะเท่ากับ  2,300,000 / 1,000,000 = 2.3  เท่า นั่นหมายถึงว่า เงินลงทุนเริ่มแรกที่เราลงไปมันเพิ่มขึ้นมา 1,300,000บาท ดังนั้นให้เราชักส่วนทุนเดิม 1,000,000 บาทออก ทิ้งส่วนเกินทุนเอาไว้ให้อยู่ในพอร์ตต่อไป
          ทั้งนี้ต้องขออภัยท่านเจ้าของแนวคิด และขอขอบพระคุณในความกรุณาของคุณคลายเครียดที่ชี้แจงมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
          มนตรี นิพิฐวิทยา--จบ--
 
          --กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 4 - 10 กุมภาพันธ์ 2548--
< Prev   Next >
หนังสือน่าอ่าน
จิตวิทยาการลงทุน โดย จอห์น นอฟซิงเกอร์
ชื่อหนังสือ จิตวิทยาการลงทุน
โดย John R. Nofsinger
สำนักพิมพ์ วิสดอมเวิร์ค เพรส
ราคา 195 บาท
จำนวน 196 หน้า
จำหน่ายโดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ISBN 974-92665-8-7

แฉอาการความไร้เหตุผลของนักลงทุน พาคุณไปรู้จักกับอคติเชิงจิตวิทยาหลากหลายรูปแบบที่มักจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน ทำให้คุณสามารถตระหนักรู้และรู้เท่าทันได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งผลให้การลงทุนของคุณประสบผลสำเร็จมากขึ้น

Read more...