Value Way : เชียร์ 'ซื้อ' มากกว่าเชียร์ 'ขาย' |
![]() |
![]() |
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ | |
Friday, 11 February 2005 | |
สำหรับท่านที่เป็นสมาชิกโบรกเกอร์ คงได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งบทวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ ที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่เสมอ ในบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ นั้นจะพบว่า มีการให้เรทติ้งของหลักทรัพย์ ที่ทำการวิเคราะห์อยู่ด้วย ถ้าสังเกตดูจะพบว่า เรทติ้งหรือข้อแนะนำส่วนใหญ่ ในบทวิเคราะห์ มักจะแนะนำให้นักลงทุน “ซื้อ” เป็นส่วนมาก ขณะที่การแนะนำให้ ”ขาย” นั้นมักจะมีน้อยกว่าคำแนะนำ ”ซื้อ” อย่างเห็นได้ชัด จากการตรวจสอบบทวิเคราะห์ที่ได้รับในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้เขียนได้รับบทวิเคราะห์จำนวน 180 ชิ้น ในจำนวนนี้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ หรือ 160 ชิ้นเป็นคำแนะนำให้ ”ซื้อหุ้น' ของบริษัทที่ทำการวิเคราะห์ในช่วงเวลานั้นๆ
ที่น่าสนใจ ก็คือ มีบทวิเคราะห์เพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ หรือเพียง 8 ชิ้นเท่านั้นที่แนะนำให้ “ขาย” ส่วนที่เหลือคือการแนะนำ ”ถือ” ซึ่งมีเพียง 12 ชิ้น ทำไมบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ถึงแนะนำให้นักลงทุน “ซื้อ” หุ้นของบริษัทที่ทำการวิเคราะห์ มากกว่าที่จะแนะนำให้นักลงทุน “ขาย” เหตุผลหนึ่งก็คือ เรื่องของจิตวิทยาในการลงทุน คนเราส่วนใหญ่มักจะรู้สึกดีเมื่อซื้อของและได้เป็นเจ้าของสินค้าสักชิ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเราไปที่ห้างสรรพสินค้า ได้จ่ายเงินซื้อสินค้า เมื่อกลับมาบ้าน เราจะรู้สึกดีที่ได้เป็นเจ้าของของชิ้นนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า นาฬิกา หรือสิ่งอื่นๆ ที่เราได้ซื้อมา อีกตัวอย่างหนึ่งคือถ้าเราซื้อรถคันใหม่ เราจะรู้สึกดีใจที่ได้ขับรถรุ่นใหม่แทนรถคันเก่าที่ใช้มาหลายปี การซื้อหุ้นก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกดีที่ได้ซื้อหุ้นตัวใหม่ๆเข้ามาในพอร์ต การแนะนำให้นักลงทุน ”ซื้อ” จึงเปรียบเสมือนการได้ไปชอปปิง เมื่อกลับจากชอปปิงซื้อหุ้นนั้นแล้ว นักลงทุนจะรู้สึกดีที่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้น บทวิเคาระห์ที่แนะนำให้นักลงทุน”ซื้อ” จึงมักจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่เสมอ เหตุผลอีกข้อหนึ่งจะเกี่ยวกับความเสี่ยงของคำแนะนำในการ”ขาย” เนื่องด้วยไม่มีใครสามารถทำนายจุดสูงสุดของ ”ราคาหุ้น” ใดๆ ได้ ดังนั้นถ้าบทวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุน ”ขาย” หุ้นตัวนั้นออกไป แต่ราคาหุ้นกลับมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หลังจากที่ขายออกไปแล้ว โอกาสที่นักวิเคราะห์ที่ออกบทวิเคราะห์ชิ้นนั้นจะถูกนักลงทุนตามต่อว่าก็มีมากทีเดียว เพื่อไม่ให้นักลงทุนเสียความรู้สึกในการที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ขายหุ้นออกไปแล้ว บทวิเคราะห์ที่แนะนำให้ ”ขาย” จึงมีน้อยอย่างเห็นได้ชัด ในบางครั้ง บทวิเคราะห์ที่แนะนำให้นักลงทุน ”ขาย”หุ้นบริษัทใดก็ตาม มักจะได้รับคำถามจากบริษัทที่ถูกวิเคราะห์เสมอ โดยเฉพาะจากแผนกประชาสัมพันธ์ หรือแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงอาจจะลงมาไถ่ถามนักวิเคราะห์ด้วยตนเอง เนื่องจากส่วนใหญ่มักจะมองว่า หุ้นที่ถูกแนะนำให้ ”ขาย” มักจะเป็นหุ้นที่ไม่ดีหรือเป็นหุ้นที่มีปัญหา ผู้บริหารบริษัทที่มุ่งเน้นในเรื่องของภาพพจน์บริษัทจึงมักจะออกมาวิจารณ์การวิเคราะห์ของโบรกเกอร์อยู่บ่อยๆ ว่าให้เรทติ้งไม่เหมาะสม พร้อมทั้งต้องแก้ข่าวเพื่อให้นักลงทุนมั่นใจในบริษัทต่อไป บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มักจะนิยมให้ข่าวกับนักวิเคราะห์ อาจจะมีการจัดประชุมเพื่อแถลงข่าวให้กับนักวิเคราะห์โดยเฉพาะ หรือไม่ก็มีการเชิญนักวิเคราะห์ให้ไปเยี่ยมชมกิจการ ที่เรียกกันว่า Company Visit เพื่อที่นักวิเคราะห์จะได้นำข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทมาเผยแพร่ออกสู่สาธารณะผ่านทางบทวิเคราะห์หุ้นจากโบรกเกอร์ต่างๆ การที่นักวิเคราะห์ได้ไปเยี่ยมชมกิจการแล้วออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ “ขาย” หุ้นบริษัทนั้นๆ อาจจะทำให้ไม่เป็นที่พอใจของบริษัท ซึ่งทำให้อาจจะปฏิเสธการเยี่ยมชมกิจการของนักวิเคราะห์คนนั้นในคราวต่อไป ถ้าปราศจากข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทเสียแล้ว นักวิเคราะห์ก็ไม่สามารถมีข้อมูลจากบริษัทโดยตรงมาเขียนบทวิเคราะห์ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการตัดโอกาสในการทำงานของตน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงที่จะแนะนำ ”ขาย” หุ้นบริษัทใดก็ตามที่ต้องไปพบปะกับผู้บริหารอยู่เสมอ ทางออกในกรณีเช่นนี้สำหรับนักวิเคราะห์ก็คือ เปลี่ยนคำแนะนำจากการ”ขาย” มาเป็น ”ถือ” แทน ซึ่งจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทที่ต้องไปเยี่ยมกิจการกันบ่อยๆ ลดลง โดยเฉพาะจะทำให้ผู้บริหารบริษัทรู้สึกดีกว่าการแนะนำ ”ขาย” เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่โดยวัตถุประสงค์ในการแนะนำ ”ถือ” ก็คือหุ้นนั้นมีราคาเต็มมูลค่าแล้ว (ให้ ”ขาย” ออกไปบ้างก็ได้) ดังเหตุผลที่กล่าวมาเช่นนี้แล้วนักลงทุนรายย่อยทั่วไปจะสามารถเชื่อถือบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น นักลงทุนควรจะทำความเข้าใจบริษัทที่จะลงทุนนั้นด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ เรียกว่าเข้าใจทุกซอกทุกมุมของบริษัทได้ก็ยิ่งดี ถ้ามีโอกาสเข้าพบผู้บริหารด้วยตนเองก็จะช่วยให้มีโอกาสซักถามปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่การเข้าพบผู้บริหารนั้นก็ทำได้ไม่ยากนัก ในกรณีนี้บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์จะช่วยให้นักลงทุนรับทราบถึงข้อมูลและแนวโน้มของบริษัทจากผู้บริหารได้ โดยผ่านทางการเยี่ยมชมกิจการของนักวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้จากบทวิเคราะห์สามารถนำมาใช้ในการวินิจัยบริษัทที่จะลงทุนได้เป็นอย่างดี ถ้านำข้อมูลจากหลายๆ โบรกเกอร์มาใช้ประกอบกันก็จะช่วยในการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องได้ดียิ่งขึ้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงควรที่จะนำข้อมูลที่มีในบทวิเคราะห์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยที่ไม่ต้องไปกังวลถึงคำแนะนำหรือเรทติ้งของบทวิเคาระห์เหล่านั้นมากนัก จะเห็นว่าถึงแม้บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้นักลงทุน ”ซื้อ”มากกว่า ”ขาย” นักลงทุนก็สามารถนำข้อมูลในบทวิเคราะห์มาใช้ได้ ท้ายที่สุดแล้ว การที่จะตัดสินใจจะ “ซื้อ” หรือ “ขาย” ก็ขึ้นกับตัวนักลงทุนเองเป็นสำคัญ คงไม่มีใคร 'บังคับ” ให้ท่านโทรไปหามาร์เก็ตติ้ง หรือบังคับให้ท่านกดคำสั่งซื้อขายในคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด นอกจากตัวท่านเอง--จบ-- --กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 11 - 17 กุมภาพันธ์ 2548-- |
< Prev | Next > |
---|