Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550














Value Way : จำกัดความเสี่ยง (3)

วิบูลย์ พึงประเสริฐ
นักลงทุนในตลาดหุ้นทุกคนคงเจอกับภาวะ ”ขาดทุน” ไม่มากก็น้อย ไม่ว่านักลงทุนนั้นจะเป็นหน้าใหม่ หน้าเก่า หรือมืออาชีพอย่างผู้จัดการกองทุนรวมก็ตาม คงหนีไม่พ้นกับสภาพตลาดหุ้นย่ำแย่ และ ”ราคาหุ้น” ที่ถืออยู่มีราคาลดลง

ส่วนใหญ่แล้วเมื่อสภาพตลาดหุ้นตกต่ำ สภาพจิตใจของนักลงทุนมักจะหดหู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากห้องค้าตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เมื่อไหร่ที่ตลาดหุ้นซบเซา ห้องค้ามักเงียบเหงา วอลุ่มการซื้อขายน้อย แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคัก เราจะเห็นนักลงทุนเต็มห้องค้า นักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้ว มักคิดว่าราคาหุ้นนั้นจะปรับตัวขึ้นไปและสามารถทำ ”กำไร” ได้ ถ้านักลงทุนรู้ว่า ”ราคาหุ้น” บริษัทนั้นจะลดลง คงไม่เข้าไปซื้อให้ขาดทุน

แต่ในความเป็นจริง ราคาหุ้นของบริษัทในเวลาใดเวลาหนึ่ง มีโอกาสเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าๆ กัน โอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมีโอกาสเกิดขึ้น 50% ทุกครั้งที่เราซื้อหุ้น เราควรคาดหวังได้เลยว่าราคาหุ้นมีสิทธิลดลงได้เช่นเดียวกัน

นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงโอกาสที่ราคาหุ้นจะลดลง เมื่อซื้อหุ้นแล้วคิดว่าราคาหุ้นต้องขึ้น แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง กลับทำอะไรไม่ถูก และคิดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาเองจนมีราคาเท่าเดิม และตัดสินใจถือหุ้นบริษัทนั้นต่อไป

ถ้าหุ้นบริษัทที่ซื้อมาเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่ดี โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวกลับมาที่เดิมก็เป็นไปได้ แต่นักลงทุนรายย่อยมักชอบซื้อหุ้นเก็งกำไร ซึ่งโอกาสที่หุ้นนั้นจะมีราคากลับมาเท่าเดิมนั้นมีไม่มากนัก ตัวอย่างเช่น หุ้นของบริษัทสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเคยมีการซื้อขายกันที่ราคาหุ้นละ 10 บาท ปัจจุบันมีราคาหุ้นละต่ำกว่า 1 บาท นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในราคาสูงต้องขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก

หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง นักลงทุนอาจคิดว่าตลาดหุ้นได้ลดลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และอาจปรับตัวขึ้นไปได้ จึงเข้าไปซื้อหุ้นไว้ เช่นเมื่อตลาดหุ้นขึ้นไปถึง 1,700 จุด และลดลงมาเหลือ 750 จุด นักลงทุนคิดว่าตลาดหุ้นลดลงมาแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง จึงเข้าไปซื้อหุ้น แต่ในความเป็นจริง ตลาดหุ้นได้ตกลงไปต่อเนื่องจนถึง 300 จุด นักลงทุนที่ซื้อหุ้นไว้ต้องขาดทุนมากกว่า 50% ถึงแม้จะซื้อหุ้นเมื่อตลาดได้ตกลงมากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

ในสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เครื่องมืออย่างหนึ่งที่นักลงทุนสามารถนำมาใช้ได้ในการ ”กำจัดความเสี่ยง” คือการ ”ตัดขาดทุน” หรือ Cut Loss การที่จะทำเช่นนี้ได้ นักลงทุนต้องมีวินัยในการลงทุนอย่างมาก เช่น เมื่อราคาหุ้นลดลงถึงจุดที่กำหนดไว้ จำเป็นต้องตัดขาดทุนทันที อาจจะเป็น 5%, 10%, หรือ 20% การทำเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ในทางปฏิบัติถือว่าทำได้ยากพอสมควร

โดยเฉพาะการทำใจขายหุ้นที่ขาดทุนออกไป บ่อยครั้งนักลงทุนคิดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น จึงรอไว้ไม่ขาย แต่เมื่อถือไว้ราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงอีกจนเลยจุดที่กำหนดไว้ การขายหุ้นที่เลยจุดตัดขาดทุนไปแล้วอาจทำใจไม่ได้ หรือในบางกรณีเมื่อขายตัดขาดทุนหุ้นออกไป ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นทันที เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้านักลงทุนใช้การตัดขาดทุนสำหรับหุ้นของสถานีโทรทัศน์ข้างต้น หรือการลงทุนในช่วงดัชนีที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เงินลงทุนอาจไม่เสียหายมากอย่างที่เกิดขึ้น

การ ”ตัดขาดทุน” ถือว่าเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเก็งกำไร แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว ถ้าทำการบ้านมาอย่างดี และมั่นใจในบริษัทที่ลงทุน การขายตัดขาดทุนหรือ Cut Loss อาจไม่จำเป็นแต่อย่างใด


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ NKT NEWS CO.,LTD.