
|

|

|
วันศุกร์ที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


Value Way : ข้อเด่น ข้อด้อย 2
มนตรี นิพิฐวิทยา
ก่อนจะไปประเด็นอื่นผมขอกลับไปที่ประเด็นที่แล้วก่อนเพราะผมเขียนเนื้อหาผิดพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย กล่าวคือ Contribution Margin นั้นไม่ใช่ รายได้หักด้วยต้นทุนคงที่ แต่เป็น รายได้หักด้วยต้นทุนผันแปร
การที่ Contribution margin ต่ำนั้นหากช่วงเวลานั้นยอดขายตกต่ำจะทำให้มีเม็ดเงินไม่เพียงพอที่จะไปชดเชยต้นทุนคงที่ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนได้ สำหรับบริษัทที่ต้นทุนผันแปรต่ำ Contribution margin สูง ถ้าต้นทุนคงที่ไม่สูงมากนักจะสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ส่วนเนื้อหาส่วนอื่นๆ ก็เป็นไปตามนั้นครับ
คราวนี้เรากลับมาดูข้อเด่น ข้อด้อยส่วนอื่นกันต่อครับ คราวนี้มาคุยเรื่อง ต้นทุนเงินทุนหรือ Cost of Capital
ในการดำเนินกิจการนั้นบริษัทต้องมีปัจจัยต่างๆ ส่วนหนึ่งนั้นคือ เงิน (Money) เงินทุนที่บริษัทนำเอามาใช้นั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือ เงินลงทุน (Capital Expenditures) กับ เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เงินสองส่วนนี้เป็นเงินทุนที่บริษัทต้องมีใช้เหมือนๆ กัน แต่จะต่างกันคือ
เงินลงทุน (Capital Expenditures) เงินทุนส่วนนี้บริษัทจะวางแผนนำไปลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น ซื้อเครื่องจักรขยายโรงงาน ซื้อกิจการ ฉะนั้นเงินลงทุนส่วนนี้อาจมีจำนวนที่สูงและมีต่อเนื่องหลายๆ ปี เงินทุนส่วนนี้ส่วนมากผู้บริหารมักจะประกาศว่าจะลงทุนในอะไรบ้างใช้เงินทุนประมาณเท่าไร หรือเราหาได้จากการหาการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์คงที่ในแต่ละปี หรือเอาให้แน่ๆ เลยคือถามผู้บริหารเลยว่ามีแผนลงทุนอย่างไร ใช้เงินเท่าไร ผลตอบแทนที่คาดไว้เท่าไร
เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เงินทุนส่วนนี้บริษัทต้องเตรียมเงินสดสำรองไว้ใช้จ่ายภายในบริษัทอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เงินทุนส่วนนี้จะถูกนำไปใช้จ่ายในจำพวก จ่ายหนี้การค้า สำรองสินค้าคงเหลือ สำรองจ่ายให้ลูกค้า(ให้เครดิตลูกค้า) เงินทุนส่วนนี้หาได้โดยการ เอาสินทรัพย์หมุนเวียน หักด้วยหนี้สินหมุนเวียน
การเติบโตหรือเสื่อมถอยของกิจการขึ้นอยู่กับเงินทุนสองส่วนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากกิจการไม่ลงทุนเพิ่มเติมเห็นทีจะถอยหลังไปอย่างแน่นอน แต่ไม่แน่บางที่ลงทุนเพิ่มกลับทำให้บริษัทถอยหลังลงคลองได้อย่างที่เราเห็นๆ กัน จนมีคำว่า การเติบโตที่ทำลายมูลค่าหรือ Growth destroy Value
การเติบโตที่ทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานของกิจการนั้นๆอย่างดีจนสามารถที่จะประเมินได้ว่าการลงทุนที่ผู้บริหารเลือกที่จะลงทุนนั้นสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการได้ กล่าวคือ โครงการลงทุนนั้นๆ จะต้องสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าเงินที่บริษัทได้ลงทุนไป ถ้ากระแสเงินสดที่กิจการจะได้รับนั้นไม่คุ้มค่าก็เท่ากับเป็นการลงทุนที่ทำลายมูลค่า
คำว่าคุ้มค่านี่แหละที่เราต้องนำมาพิจารณา เพราะว่าเงินทุนนั้นมีต้นทุน ถึงแม้บริษัทจะไม่ได้กู้ยืมเงินใครมา บริษัทก็มีต้นทุนอยู่ดี ต้นทุนดังกล่าวคือ ต้นทุนค่าเสียโอกาส อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าไม่เอาเงินไปลงทุนในโครงการนี้เอาเงินไปลงทุนในเงินฝากก็ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ค่าเสียโอกาสนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนแต่ละบริษัท
สำหรับต้นทุนของเงินกู้นั้นเราใช้ดอกเบี้ยที่บริษัทต้องไปกู้ยืมมาลงทุน มากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น ส่วนต้นทุนของส่วนผู้ถือหุ้นนั้นก็มีต้นทุน เพราะนักลงทุนก็คาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนและเอาเข้าจริงๆ ก็น่าจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารเสียด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเอาเงินไปฝากธนาคารดีกว่าจริงไหม
โดยปกติธนาคารก็มักจะปล่อยกู้ให้แก่บริษัทที่มีเงินทุนของตัวเองอยู่บ้าง ฉะนั้นการคิดต้นทุนเงินทุนจึงต้องคิดเป็นต้นทุนเฉลี่ยระหว่างเงินกู้และเงินของผู้ถือหุ้นโดยมีวิธีคิดตามสมการดังนี้
ต้นทุนเงินทุน = (สัดส่วนเงินกู้ (%) x ดอกเบี้ยเงินกู้) + (สัดส่วนเงินทุน (%) x ผลตอบแทนที่คาดหวัง)
ปัญหามันอยู่ตรงที่ผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นคาดหวังนี่แหละที่หายากเพราะมีนักลงทุนหลายคนที่ลงทุนในบริษัท ความคาดหวังก็แตกต่างกัน ในบริษัทที่มีการเติบโตสูงมาโดยตลอดนักลงทุนก็มักจะคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนสูง ในทางกลับกันบริษัทที่เติบโตไม่สูงนักนักลงทุนจะคาดหวังน้อย
ความคาดหวังนี้แสดงผ่านค่า PE Ratio เพราะนักลงทุนคาดหวังสูงจึงให้ PE สูงๆ เพราะหวังว่ากำไรในอนาคตต้องเพิ่มสูงขึ้น อธิบายได้ว่าถ้าหากเราตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่ PE 25 เท่า ราคาหุ้นเท่ากับ 25 บาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1 บาท เมื่อเราซื้อแล้วราคาของเราจะคงที่ที่ 25 บาท แต่คาดหวังว่ากำไรจะต้องเพิ่มขึ้นเช่นหวังว่ากำไรควรจะเพิ่ม 20% ต่อปี PEในปีถัดไปสำหรับหุ้นที่เราลงทุนแล้วจะเปลี่ยนเป็น 20.8 และปีถัดไป PE จะเท่ากับ 17.4 เป็นต้น
ฉะนั้นนักลงทุนก็อยากเห็นโครงการนี้ช่วยทำให้บริษัทเติบโตรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 20% ดั้งนั้นเมื่อเฉลี่ยต้นทุนเงินทุนแล้วจะต้องสร้างผลกำไรได้อย่างน้อย 20% ดังนั้นผู้บริหารจะต้องพยายามผสมผสานสัดส่วนเงินทุนให้เกิดต้นทุนที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง
สำหรับนักลงทุนเองมีหน้าที่ที่สำคัญคือ ต้องทำความเข้าใจในแผนการลงทุนของบริษัทว่าเหมาะสมหรือไม่ ต้องคิดให้ได้เองว่าโครงการลงทุนนี้จะสร้างมูลค่าที่น่าพอใจไหม มีเหตุผลและความเป็นไปได้ไหม ถูกที่ถูกเวลาไหม ไม่ใช่ไปลงทุนในจุดที่ไม่ได้ส่งเสริมเลย หรือไปลงทุนในช่วงเวลาที่ไม่ได้สนับสนุนให้ลงทุนเลย หรือที่หนักกว่านั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ดูดีในระยะสั้น แล้วใช้เงินกู้มากๆ ซึ่งมีความเสี่ยงมาก
การลงทุนที่ดีคือการลงทุนที่ใช้เงินทุนในจำนวนและต้นทุนเงินทุนที่เหมาะสม เป็นโครงการที่ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานที่กิจการมีความชำนาญ และมีเหตุให้เชื่อได้ว่าโครงการนั้นจะช่วยให้บริษัทสร้างผลกำไรเติบโตได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
|
|