Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2550














Value Way : จำกัดความเสี่ยง (1)

วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ตามปกติแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นในสายตาคนทั่วไป มักมองว่าเป็นเรื่องของ ”ความเสี่ยง” โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ราคาหุ้นลดลงทำให้เกิดการขาดทุนจากการลงทุน ความผันผวนของราคาหุ้นที่มากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ทำให้คนที่มีเงินออมเลือกที่จะฝากเงินในธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตรมากกว่าซื้อหุ้น

แต่ไม่ว่าเราจะนำเงินไปอยู่ในรูปแบบใด “ความเสี่ยง” ที่เกิดขึ้นนั้นมักมีอยู่เสมอ การฝากเงินในธนาคารมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ หรือพันธบัตรที่ถืออยู่อาจมีค่าลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น

มีผู้รู้กล่าวเอาไว้ว่า “ความเสี่ยงจากการลงทุนนั้นไม่สามารถ "กำจัด" ได้ แต่เราสามารถ "จำกัด” ได้” การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน นักลงทุนจำเป็นต้องมีวิธีการในการ ”จำกัดความเสี่ยง” จากการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Theroy-EMT) ได้ตอกย้ำถึงความเสี่ยงของราคาหุ้นที่ผันผวนอย่างคนส่วนใหญ่กังวล โดยนำความเบี่ยงเบนของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นบนกระดาน หรือที่เรียกกันว่า ”ค่าเบต้า” มาคำนวณหามูลค่าของหุ้นของบริษัทนั้นๆ ยิ่งหุ้นบริษัทไหนมีค่าความผันผวนของราคามาก (ค่าเบต้าสูง) จะถือว่าหุ้นบริษัทนั้นมี ”ความเสี่ยง” มากตามไปด้วย

การลงทุนที่ดีตามทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ ควรประกอบไปด้วยหุ้นที่มีค่าความผันผวนต่างๆกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้ค่าความผันผวนของพอร์ตการลงทุนเท่ากับความผันผวนของตลาดหุ้นโดยรวม การลงทุนลักษณะนี้เรียกกันว่าเป็นการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา พบว่าเป็นการลงทุนที่สามารถเอาชนะการลงทุนของกองทุนหุ้นอื่นๆ ได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะการเก็บค่าธรรมเนียมการบริหารที่น้อยกว่ากองทุนอื่นๆ เพราะไม่ต้องมีนักวิเคราะห์มาพิจารณาซื้อขายหุ้นเป็นรายบริษัท

กองทุนรวมดัชนีทำการซื้อขายหุ้นโดยนำโมเดลการคำนวณบริษัทที่อยู่ในพอร์ต ให้เลียนแบบดัชนีหุ้นที่กำหนดไว้ เช่น กองทุนรวมดัชนีหุ้นไทย (SET 50) กองทุนรวมดัชนีเอสแอนด์พี (S&P 500) หรือกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนีดาวโจนส์ (Dow’s Jone Index) ถ้าหุ้นบริษัทใดได้รับการเพิ่มเติมเข้าไปในดัชนีดังกล่าว กองทุนดัชนีจะเพิ่มการลงทุนในบริษัทนั้นๆ แต่ถ้าบริษัทใดถูกถอดออกจากดัชนี กองทุนดัชนีจะขายหุ้นดังกล่าวออกไปเช่นเดียวกัน

“ความเสี่ยง” ของกองทุนดัชนี จะมีค่าเท่ากับดัชนีตลาดหุ้นโดยรวม ถ้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนดัชนีจะทำผลประกอบการได้ดี ขณะเดียวกันถ้าช่วงใดดัชนีตกต่ำ กองทุนดัชนีจะประสบภาวะขาดทุนในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโดยรวม

ในระยะยาวแล้ว ดัชนีหุ้นมักเติบโตไปกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ยกเว้นเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทที่ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แต่เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ประกอบกับการลงทุนในตลาดหุ้นยังได้รับเงินปันผลของบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ด้วยแล้ว

การลงทุนในกองทุนดัชนี ถือว่าเป็นการ "จำกัดความเสี่ยง” ที่ดีอย่างหนึ่งของการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วจากผลประกอบการของกองทุนดัชนีทั่วโลก ที่สามารถชนะกองทุนหุ้นอื่นๆ ได้มากกว่าครึ่ง หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าผู้จัดการกองทุนหุ้นอื่นๆ เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่เอาชนะผลการลงทุนของกองทุนดัชนีได้ในระยะยาว

สำหรับคนทั่วไปที่มีเงินออมและอยากลงทุนในหุ้นแต่ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนเอง กองทุนดัชนีหุ้นอาจเป็นคำตอบสำหรับการบริหารความเสี่ยงในยุคนี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ NKT NEWS CO.,LTD.