Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2548














ถือหุ้นกี่ตัวดี

วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินอยู่เสมอในวิชาการลงทุนในปัจจุบันว่า”ให้กระจายความเสี่ยง” การกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นหมายถึง ให้ถือหุ้นหลายๆ ตัว ในหลายๆ อุตสาหกรรม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการขาดทุน ถ้าหุ้นกลุ่มไหนกลุ่มหนึ่งเกิดขาดทุนขึ้นมาก็จะไม่ทำให้พอร์ตการลงทุนเสียหายมาก

ความเชื่อในเรื่องดังกล่าวนับว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อถือและปฏิบัติตามเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือแม้แต่นักลงทุนสถาบันเองก็ตาม มักถือหุ้นหลายๆ ตัวและกระจายไปในหลายๆอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น ถ้ามีหุ้นวัสดุก่อสร้างก็จะถือหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ ไปด้วยอย่าง ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร หรืออื่นๆ กองทุนส่วนใหญ่มักถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป และรายย่อยจำนวนมากมักมีหุ้นในพอร์ตไม่น้อยกว่า 10 ตัว เพราะเชื่อว่าการถือหุ้นหลายๆ ตัวไว้ในพอร์ตนั้นสามารถลดความเสี่ยงจากการ ”ขาดทุน” ได้

ทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่มองว่าความเสี่ยงของการลงทุนคือ ”ราคาหุ้น” ที่ผันผวนเปลี่ยนแปลงไปมา ยิ่งผันผวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น พอร์ตโฟลิโอที่ดีควรมีความผันผวนหรือมีค่าความเบี่ยงเบนน้อยจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ การที่ถือหุ้นกระจายหลายๆ ตัวช่วยให้ค่าความเบี่ยงเบนของพอร์ตลดลง รวมทั้งทำให้โอกาสที่จะขาดทุนมากๆ ลดลงไปด้วย

พอร์ตการลงทุนสมัยใหม่จึงเน้นที่การกระจายความเสี่ยงจนถึงขนาดที่สร้างพอร์ตเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้น เพื่อให้มีค่าความเบี่ยงเบนของพอร์ตเทียบกับดัชนีตลาดน้อยที่สุด แสดงถึงเสถียรภาพและความมั่นคงของการลงทุน จึงเกิดกองทุนดัชนี หรือ Index Fund ขึ้นมาเป็นจำนวนมากในระยะหลัง

ในโลกการลงทุนปัจจุบันแทบทุกคนเชื่อว่า การถือหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในตำราการลงทุนของมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกต่างบรรจุทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่เป็นหลักสูตรบังคับสำหรับนักศึกษา รวมทั้งนักวิชาการต่างหาหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนทฤษฎีของตนเองว่า การไม่กระจายความเสี่ยงนั้นทำให้เกิดหายนะต่อพอร์ตการลงทุนของเราได้อย่างไร

ความเชื่อในเรื่อง "อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว” ข้างต้นต่างได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานาน จนแทบจะกลายเป็น ”ความจริง” ไปแล้ว ดังนั้นถ้ามีคนมาบอกว่าการถือหุ้นหลายๆ ตัวนั้นยิ่งเสี่ยง หรือการกระจายความเสี่ยงแบบเดิมๆ นั้น ที่ว่านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด อาจจะถูกคนในวงการโห่ไล่ก็เป็นไปได้

ที่น่าสนใจก็คือ คนที่ออกมาบอกว่าสิ่งที่เชื่อกันในเรื่องกระจายความเสี่ยงแบบเดิมๆ นั้นไม่ถูกต้อง กลับเป็นคนที่รวยอันดับสองของโลกอย่างวอร์เร็น บัฟเฟตต์ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าตระโกนไล่หลัง แถมยังต้องมานั่งฟังอย่างพินิจพิจารณา

บัฟเฟตต์บอกว่าแทนที่จะใส่ไข่ไว้หลายตระกร้าตามความเชื่อแบบเดิมๆ “ให้ไส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียวแล้วเฝ้าดูตระกร้าใบนั้นเป็นอย่างดี”

ทำไมบัฟเฟตต์ถึงเชื่อว่าการถือหุ้นหลายๆ ตัวอย่างที่นักลงทุนชอบทำกันนั้นยิ่งเสี่ยง

เพราะความเสี่ยงในความหมายของบัฟเฟตต์ไม่ได้หมายถึง”ราคาหุ้น”ที่ผันผวนไปมาในระยะสั้น ราคาที่เปลี่ยนแปลงไปมาไม่ได้บอกว่า พอร์ตการลงทุนของเรามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะผันผวนไปมา แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะแปรตามผลประกอบการของบริษัทเสมอ

การนำราคาหุ้นระยะสั้นมาเป็นตัวเปรียบเทียบความเสี่ยงในการลงทุนนั้น เป็นหลักการของการลงทุนสมัยใหม่แต่ไม่ใช่หลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าความเสี่ยงในความหมายของบัฟเฟตต์คือการที่ธุรกิจไม่สามารถดำเนินกิจการไปตามที่เราตั้งใจไว้ ทำให้มูลค่าของกิจการลดลงในระยะยาว เกิดการ ”ขาดทุนถาวร” เนื่องจากกิจการไม่สามารถทำผลประกอบการดังที่คาดการณ์ไว้

การที่เราจะเข้าใจในหุ้นของบริษัทที่เราลงทุนเป็นอย่างดีนั้น จำเป็นต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์บริษัทอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุม ซึ่งต้องใช้เวลาและความเข้าใจในธุรกิจนั้นอย่างมาก ยิ่งเราเข้าใจในธุรกิจนั้นมากเท่าไหร่ ก็ทำให้ความมั่นใจในการลงทุนนั้นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ดังนั้นการที่เราถือหุ้นจำนวนมาก การที่จะเข้าใจในธุรกิจที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถ และการศึกษาหาข้อมูลเป็นอย่างมาก โอกาสที่เราจะไม่เข้าใจในธุรกิจทั้งหมดที่มีก็มากขึ้น ความเสี่ยงในการลงทุนก็เพิ่มขึ้น

ในความเห็นของบัฟเฟตต์ ความเสี่ยงในการลงทุนลดลงได้ด้วยการทำความเข้าใจในธุรกิจที่จะลงทุนให้มาก ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการลงทุนก็ลดลงมากขึ้นเท่านั้น

การกระจายความเสี่ยงตามทฤษฎีสมัยใหม่นั้น บัฟเฟตต์บอกว่ามีไว้สำหรับ”นักลงทุนที่ไม่รู้อะไรเลย” เพราะเราไม่รู้เราจึงจำเป็นต้องถือหุ้นหลายๆตัวเพื่อลดความเสี่ยง แต่สำหรับบัฟเฟตต์ยิ่งถือหุ้นมากเท่าไหร่ความเสี่ยงก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะโอกาสที่เราจะเข้าใจหุ้นที่เราถือน้อยลง

บัฟเฟตต์ยกตัวอย่างว่า “ลองคิดว่าถ้าท่านเป็นสุลต่านเจ้าของฮาเร็มที่มีนางสนมเป็นร้อยคน การที่ท่านจะรู้จักนางสนมแต่ละคนเป็นอย่างดีนั้น คงน้อยกว่าการที่ท่านมีพระราชนีเพียงพระองค์เดียวเป็นอย่างมาก” ถ้าดัดแปลงเป็นแบบไทยๆ คงต้องบอกว่า “ถ้าท่านมีกิ๊กสักสิบคน ท่านคงไม่เข้าใจกิ๊กของท่านทุกคนเป็นอย่างดี เท่ากับท่านมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนเพียงแค่คนเดียว”

อ่านมาจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ทราบเลยว่าจะถือหุ้นในพอร์ตกี่ตัวดี บทความคราวหน้าจะมากล่าวถึงหัวข้อนี้เป็นตอนต่อไป โปรดติดตาม

วิบูลย์ พึงประเสริฐ นักลงทุนบริหารพอร์ตส่วนตัว เริ่มต้นจากการขาดทุนในตลาดหุ้นเมื่อหลายปีก่อน จนพบว่า Value Investing ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตกับเวลาส่วนตัวในปัจจุบันได้ จะมาแนะนำการลงทุนแบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับความผันผวนของตลาดหุ้น ผ่านคอลัมน์นี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.