
|

|

|
วันศุกร์ที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2548
|

|
|
|

|
|
|
|
|


VI ติดดอย
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
คำแสลงใจนักเล่นหุ้นในทุกยุคทุกสมัยคำหนึ่งก็คือ "ติดดอย" เป็นอาการของการขึ้นที่สูงแล้วหาทางลงไม่ได้ หรือซื้อหุ้นในราคาสูงแล้วราคากลับลดลงอย่างรวดเร็วจนทำใจขายไม่ได้ เลยต้องติดสูงจนกว่าราคาหุ้นรอบหน้าจะกลับมาในราคาต้นทุนเดิมที่ซื้อมา
อาการติดดอยมักจะเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นบ่อยๆ เพราะนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับราคาหุ้นเป็นหลักสำคัญ ในช่วงแรกๆ ของตลาดหุ้นที่เริ่มปรับตัวขึ้น นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยมีความมั่นใจมากนัก เลยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตไม่มาก วอลุ่มของตลาดหุ้นโดยรวมจะน้อย เรียกว่าทุกคนพากันระวังตัวและคอยดูทิศทางว่าตลาดจะไปทางไหน
ระยะต่อมาเป็นระยะปรับตัวของตลาดหุ้น ราคาหุ้นเริ่มขยับตัวมากขึ้น แต่ก็ยังมีแรงเทขายออกมาพอสมควร ทำให้ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดจะเริ่มมีมากขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มมีความกล้าซื้อหุ้นมากขึ้น แต่ยังคงระวังตัวอยู่
ระยะเวลาถัดมา ตลาดปรับตัวสูงขึ้น ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นกว่าช่วงแรกๆ อย่างเห็นได้ชัด ในช่วงนี้จะมี "ข่าวดี" ตามหน้าหนังสือพิมพ์มากมายมาสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้น นักวิเคราะห์และผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นจะออกมาชี้นำตลาดว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้
นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะเริ่มมองโลกในแง่ดี และเริ่ม "กล้า" ที่จะทุ่มเงินซื้อหุ้นมากขึ้น
และแล้วก็ถึงระยะสุดท้ายของตลาด นั่นคือ ใครที่ไม่ซื้อหุ้นจะถือว่าตกรถไฟ เพราะราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน นักลงทุนมีความพร้อมแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะถือหุ้นเต็มพอร์ต ทุกอย่างสดใส นักวิเคราะห์ออกมาเชียร์หุ้น พูดชื่อหุ้นอะไรก็ถูกไปหมด ทายกันว่าราคาหุ้นหรือตลาดหุ้นจะไปเท่านั้นเท่านี้ เรียกว่าในช่วงนี้ นักเล่นหุ้นมีหุ้นในพอร์ตกันทุกคน
หลังจากซื้อหุ้นได้ไม่นาน ราคาหุ้นก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้นักเล่นหุ้นจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า เกิดอะไรกับตลาดหุ้นกันแน่? แต่ความคลุมเครือยังคงมีอยู่ ทำให้นักเล่นหุ้นคิดว่า เดี๋ยวราคาหุ้นก็คงกลับไปที่เดิม เลยใจเย็นรอให้ตลาดกลับตัว ทั้งยังไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่
แต่ปรากฏว่าตลาดกลับปรับตัวลดลงกว่าเดิม "ข่าวร้าย" เริ่มปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ราคาหุ้นตกต่ำลงไปอีก นักเล่นหุ้นหันกลับมาดูหุ้นในพอร์ตตัวเอง ปรากฏว่า ราคาหุ้นปัจจุบันได้ลดลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อมาอย่างมาก เรียกว่า กำไรที่ได้มาจากรอบที่แล้วอาจจะต้องแทบจะคืนให้กับตลาดหุ้นไปเลยทีเดียว
ในราคาระดับนี้ นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะทำใจขายหุ้นไม่ได้ เพราะราคาลดลงมามาก เรียกว่า ขายแล้วขาดทุนแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเก็บหุ้นเหล่านั้นไว้ พร้อมกับเข้าสู่ภาวะ "ติดดอย" ดังที่กล่าวมาแล้ว
จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เสมอๆ ในวงจรชีวิตของตลาดหุ้น
อาการติดดอยนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investor อาจจะตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกันได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่มุ่งเน้นในการหาหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูงๆ
มีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลายท่านให้ความสำคัญกับอัตราการจ่ายปันผล หรือ Dividend Yield ของหุ้นที่จะลงทุนเป็นหลัก เพื่อหาทางทำผลตอบแทนจากเงินปันผลให้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร โดยพิจารณาจากอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทที่ได้มากกว่าผลตอบแทนอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยธนาคารให้ผลตอบแทนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ หรือพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหาหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลได้สัก 6-7 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าดีกว่านำเงินไปฝากธนาคาร หรือ ซื้อพันธบัตร
เช่น ซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งที่มีกำไรต่อหุ้นต่อปีเท่ากับ 10 บาท บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไร หรือ 6 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ P/E เท่ากับ 10 เท่า ราคาต่อหุ้นคือ 100 บาท ดังนั้น ผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ 6 เปอร์เซ็นต์ และนักลงทุนก็คาดหวังว่าตนเองจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลนี้ไปหลายๆ ปี
แต่ในสภาพความเป็นจริง ธุรกิจของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับพันธบัตรหรือเงินฝากในธนาคารที่เงินต้นไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ถ้าในปีถัดมา บริษัทมีผลประกอบการที่แย่ลง อาจจะเนื่องมาจากวัฏจักรของธุรกิจเองถึงช่วงขาลง หรือเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือมีคู่แข่งเข้ามาแย่งลูกค้ามากขึ้น สมมติว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กำไรของบริษัทลดลงจาก 10 บาทต่อหุ้นเหลือเพียง 7 บาทต่อหุ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นจะตอบรับกับยอดขายหรือกำไรที่ลดลงด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลง ถ้าสมมติว่าค่า P/E ยังเท่าเดิมที่ 10 เท่า ราคาหุ้นจะลดลงจาก 100 บาทเหลือ ราคาต่อหุ้นที่ 70 บาท นักลงทุนขาดทุนจากส่วนต่างราคาหุ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันปันผลของบริษัทก็ลดลงจาก 6 บาทเหลือ 4.2 บาทต่อหุ้น (7 X 60%) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจากต้นทุนเดิมที่ 100 บาท เพียง 4.2 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นบริษัทดังกล่าวเพื่อหวังในอัตราเงินปันผลที่สูง กลับต้องขาดทุนทั้งจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ลดลง และอัตราเงินปันผลที่ลดลง ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและนักลงทุนยังคงถือหุ้นนั้นอยู่ ก็จะตกอยู่ในสภาพ "ติดดอย"เช่นเดียวกัน
จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็ตามก็มีสิทธิตกอยู่ในสภาพติดดอย ได้เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใดก็ตาม ควรจะพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิฉะนั้นท่านจะหนาวเพราะ ยิ่งสูงยิ่งหนาวเหมือนอย่างที่โบราณท่านว่าเอาไว้
|
|