 Value Way : ถือหุ้นกี่ตัวดี(2)
วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความอาทิตย์ก่อนได้กล่าวถึง
การกระจายความเสี่ยง ไปบ้างแล้ว
โดยทั่วไปมักจะมีข้อแนะนำให้นักลงทุนโดยทั่วไปถือหุ้นหลายๆ ตัว
ในหลายๆ อุตสาหกรรม เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหาย
ที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุน
ในกรณีที่ราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งลดลงอย่างมาก
ผลขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นอาจถูกชดเชยได้จากหุ้นตัวอื่นๆ
เรื่องดังกล่าวได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานาน
ผู้คนหรือนักลงทุนโดยส่วนใหญ่มักจะเชื่อในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง
อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว
และปฏิบัติตามเสมอไม่ว่าพอร์ตการลงทุนจะใหญ่จะเล็กแค่ไหน
สำหรับนักลงทุนสถาบันมักจะถูกข้อจำกัดของทางการให้มีการกระจายความเสี่ยงอยู่เสมอ
กองทุนรวมต่างๆ จึงมีหุ้นอยู่ในพอร์ตค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ยประมาณ
20 ตัว กระจายไปในหลายๆ อุตสาหกรรม
กองทุนบางกองทุนอาจใช้ผู้จัดการกองทุนทำการบริหารปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ
หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนคือคอยตรวจสอบสถานะของบริษัทตามผลการดำเนินงานรายไตรมาศ
รวมทั้งติดตามบทวิจัยบริษัทที่นักวิเคราะห์ของโบรกต่างๆ
ออกบทวิจัยมา ถ้าจำเป็นต้องขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก็จะขายออกไป
ถ้าต้องซื้อก็ต้องมีบทวิเคราะห์สนับสนุน
จะซื้อหุ้นหรือทำอะไรตามใจฉันไม่ค่อยได้
ผู้จัดการกองทุนมีบทบาทค่อนข้างมากในการลงทุน
ส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนให้ชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ถ้าดัชนีตลาดหุ้นบวกก็ต้องบวกให้มากกว่า
(มากกว่าเล็กน้อยก็ยังดี) ถ้าดัชนีตลาดติดลบก็ขอติดลบน้อยกว่า
กองทุนรวมมักจะทำผลตอบแทนได้ตามที่วางไว้ดังกล่าว
เพราะส่วนใหญ่เน้นไปในทางอนุรักษนิยมไม่หวือหวา
ยิ่งถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป
ทำให้โอกาสที่จะชนะดัชนีตลาดหุ้นมากๆ นั้น ก็น้อยลงตามไปด้วย
ถ้าผู้จัดการกองทุนคนไหนกล้าหาญบ้าบิ่นมากๆ
ไปถือหุ้นบริษัทเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าราคาหุ้นขึ้นก็ดีไป
แต่ถ้าราคาหุ้นตกอาจจะถึงคราวซวย
ดังมีเรื่องเล่าของเหล่าผู้จัดการกองทุนว่า
ถ้าซื้อหุ้นไอบีเอ็มแล้วราคาหุ้นไอบีเอ็มตก เจ้านายมักจะถามว่า
เกิดอะไรขึ้นกับไอบีเอ็ม
แต่ถ้าผู้จัดการกองทุนคนไหนไปซื้อหุ้นบริษัท กขค
ที่ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อแล้วราคาหุ้นดันตก
อาจจะเจอเจ้านายถามว่า เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นกับลื้อ(ว่ะ)
เมื่อเป็นเช่นนี้
ผู้จัดการกองทุนทั้งหลายจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในผลงานของตนเอง
ส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ๆ
ที่มีผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก
เพื่อไม่ให้ผลตอบแทนการลงทุนของตนเองต้องเบี่ยงเบนจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์มากนัก
ยิ่งผลการดำเนินงานของกองทุนต้องประกาศต่อสาธารณชนเป็นประจำ เช่น
อาจจะทุกหนึ่งเดือน หรือทุกสามเดือน
ผู้จัดการกองทุนจึงพลาดไม่ได้ที่จะมีผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง
ความเครียดของผู้จัดการกองทุนนั้นมีค่อนข้างสูง
ยิ่งถ้าเป็นกองทุนเปิดที่ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถไถ่ถอนกองทุนได้ตลอดเวลา
ความเครียดดังกล่าวจะมีมากขึ้นกว่าผู้จัดการกองทุนปิด
เพราะถ้าผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนไม่ดี
ผู้ถือหน่วยลงทุนมักจะขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
ในช่วงเวลาที่หุ้นตกมากๆ ผู้ถือหน่วยลงทุนมักเกิด ความกลัว
กลัวว่าเงินที่ตนเองสะสมมาจะขาดทุน
จึงตัดสินใจขายหน่วยลงทุนเพื่อไม่ให้ผลขาดทุนมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อมีผู้มาไถ่ถอน
ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องขายหุ้นออกมาเพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับผู้ขายหน่วยลงทุน
ซึ่งบางครั้งในความคิดของผู้จัดการกองทุนอาจมองว่าในช่วงเวลาหุ้นตกๆ
ดังกล่าวอาจจะเป็นโอกาสในการ ซื้อ หุ้นมากกว่า
แต่ไม่สามารถทำตามที่คิดได้เพราะข้อจำกัดของการคืนเงินให้กับผู้ขายหน่วยลงทุนที่มีกำหนดระยะเวลาจ่ายเงินที่แน่นอน
บางครั้งผู้จัดการกองทุนจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่ตนเองไม่ได้คิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีนัก
แต่ด้วยความจำเป็นที่หุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
รวมทั้งเป็นกลุ่มที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
เพื่อไม่ให้กองทุนของตนมีผลการดำเนินงานแย่กว่าตลาด
จึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยทั้งๆ
ที่บางครั้งราคาหุ้นอาจจะสูงมากแล้ว
เช่น ในอเมริกาช่วงปลาย 90 ที่หุ้นเทคโนโลยีดอทคอมต่างๆ
ราคาขึ้นสูงมาก
ผู้จัดการกองทุนที่ไม่มีหุ้นเหล่านี้ในพอร์ตจำเป็นต้องซื้อหุ้นที่ราคาสูงเหล่านี้
เพื่อทำผลตอบแทนให้ดีเทียบเท่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
กองทุนที่ไม่ยอมซื้อหุ้นเหล่านี้ต่างมีผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดอย่างมาก
ขณะเดียวกันผู้ถือหน่วยลงทุนก็ขายกองทุนที่ไม่ซื้อหุ้นดอทคอม
เพื่อเปลี่ยนไปถือกองทุนที่มีผลตอบแทนดีมากๆ จากหุ้นเหล่านี้
ท้ายที่สุดเมื่อฟองสบู่หุ้นดอทคอมแตก
ราคาหุ้นรวมทั้งกองทุนหลายกองต่างขาดทุนจนเหลือมูลค่าไม่ถึง 10%
ของเงินลงทุนก็มี
ปัจจุบันมีกองทุนรวมบางแห่งได้พิจารณาแล้วว่าถ้าใช้ผู้จัดการกองทุนมาคอยปรับเปลี่ยนสถานะของกองทุนอยู่ตลอดเวลา
หรือทำการซื้อๆ
ขายๆก็ทำผลตอบแทนได้เทียบเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงเล็กน้อย
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ใช้วิธีการลงทุนแบบ กองทุนดัชนี หรือ Index
Fund ไปเสียเลยจะง่ายและสะดวกกว่า
ไม่ต้องใช้วิจารณญาณของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างใด
แถมต้นทุนในการดำเนินงานก็ถูกกว่าเพราะไม่ต้องจ้างนักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนแพงๆ
ถ้าดัชนีตลาดหุ้นขึ้น กองทุนก็ขึ้นตาม ถ้าดัชนีตลาดลดลง
ผลการดำเนินงานของกองทุนก็ลงตาม
เรียกว่าเกาะติดดัชนีอ้างอิงตลอดเวลา เช่นบางบริษัทอาจจะใช้ SET
50 เป็นดัชนีอ้างอิงก็จะลงทุนในหุ้น 50
ตัวตามน้ำหนักของการคำนวณในดัชนีนั้นๆ
ที่น่าแปลกใจก็คือว่า
ผลการดำเนินงานของกองทุนดัชนีเหล่านี้กลับติดอันดับหนึ่งใน 25%
แรกของการจัดอันดับของกองทุนต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งๆ
ที่ไม่ได้ใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างใด
นั่นหมายความว่ามีผู้จัดการกองทุนกว่าครึ่งที่บริหารกองทุนรวมแล้วทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าดัชนีตลาด
อาจจะเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้นๆ
กองทุนดังกล่าวมีจังหวะการลงทุนที่ไม่เหมาะสม
หรือเลือกถือหุ้นที่ไม่สามารถชนะตลาดได้ (Underperform)
จะเห็นว่าการถือหุ้นของกองทุนนั้นมักจะถือหุ้นหลายๆ
ตัวในหลายๆอุตสาหกรรมตามตำราของการลงทุนทุกประการ
บางกองทุนอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อเลียนแบบพอร์ตของดัชนี
ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากจุดมุ่งหมายของกองทุนรวมส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงตลาด
ผลการลงทุนของกองทุนรวมส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยผันผวน
และเมื่ออ้างอิงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็มักจะชนะหรือแพ้เพียงเล็กน้อย
หลังจากที่พิจารณาการถือหุ้นของกองทุนรวมแล้ว
คราวหน้ามาดูกันว่าพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยแบบไหนจะดีกว่ากัน
|