Value Way : เจ้ามือ |
![]() |
![]() |
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา | |
Friday, 22 October 2004 | |
วันที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ เป็นวันที่ตลาดหุ้นบ้านเราตกกระหน่ำมาก ตกลงมาเกือบ 20 จุด และผลที่ออกมาคือ ต่างชาติขายสุทธิ 700 กว่าล้าน สถาบันร่วมแจมขายสุทธิ 900 กว่าล้าน รายย่อยรับเละ 1,600 กว่าล้าน ทำให้ผมเห็นว่า วันนี้มีคนเข้าไปซื้อและจะลงทุนหรือจะขายออกในวันเดียว แต่ขายไม่ทันหรือตัดใจขายไม่ได้กันมาก แต่ผมให้น้ำหนักในเรื่องหลังมากกว่าครับ วันก่อนหน้านี้ ต่างชาติก็เริ่มสลับขาจากซื้อมาขายเล็กน้อย พอให้ได้ลุ้นว่าจะเอาอย่างไร และแน่นอนว่ารายย่อยต้องเข้าไปซื้อแน่นอน ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า นักลงทุนสองกลุ่มนี้มักจะเล่นสวนทางกันทุกครั้ง และเมื่อครั้งไหนต่างชาติซื้อหุ้นจะขึ้นแรงๆ หลายวันติดกัน และเมื่อไรที่หุ้นขึ้นได้ที่แล้วรายย่อยมักจะเข้ามาซื้อและมักจะซื้อในที่สูงๆ ทุกทีไป ส่วนกองทุนมักจะเป็นฝ่ายเลือกข้างว่าจะเข้าข้างใครดี
จริงๆ แล้วการลงทุนของต่างชาตินั้นไม่ได้มีหลักการอะไรซับซ้อนเลย ถ้าสังเกตให้ดีๆจะเห็นว่าเขาเลือกลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดีและมีสภาพคล่องสูง และหาจังหวะเข้าซื้อและขายตามพื้นฐาน กองทุนต่างชาติจะมีวงเงินลงทุนมากเขาต้องเลือกลงในหุ้นที่ซื้อง่ายขายง่าย และราคาเวลาซื้อต้องค่อยเป็นค่อยไป ส่วนตอนขายผมเห็นทุกราคาเพราะขายได้มีกำไร จุดสังเกตที่ผมสังเกตได้ คือ ต่างชาติมักจะประเมินตลาดหุ้นบ้านเราล่วงหน้าเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งปี ผมคิดว่าเขาใช้ค่าPEเป็นตัวหลัก ลองดูเมื่อต้นปีPEตลาดหุ้นบ้านเราประมาณ 12 เท่า และเห็นว่ามันแพงไปในตอนนั้นจึงขายออกมาจนหุ้นรูดลงไปมาก และกลับเข้ามาซื้อหนักๆ อีกตอนตลาดหุ้นบ้านเราที่ PE ประมาณ 9 - 10 เท่า ผมเดาเล่นๆ ว่าคงเล่นกันอยู่ไม่เกิน PE 11 เท่า สำหรับในปีหน้าเศรษฐกิจบ้านเราน่าจะโตน้อยกว่าปีนี้แต่ก็โตขึ้น ผมคิดว่า PE ตลาดเราที่ประมาณ 11 เท่าตอนนี้น่าจะเท่ากับ 10 เท่าของปีหน้า ดังนั้นดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์คงไม่น่าไปไกลมากนัก ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็นการคาดเดาโดยเอาข้อมูลเดิมๆ ที่เห็นมาประเมินเท่านั้น เพื่อให้เห็นรูปแบบการลงทุนของต่างชาติ กลับมาดูที่นักลงทุนรายย่อยไม่นับรายใหญ่ในรายย่อยนะครับ ส่วนใหญ่ลงทุนแบบรอดูว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น เห็นขึ้นแรงๆ วันแรกยังไม่แน่ใจ วันที่สองขึ้นอีก วันที่สามมันขึ้นแน่ เลยเข้าไปซื้อ ปรากฏว่า ได้หุ้นแพงซะแล้วและมันลงแรงซะด้วย จะขายก็เสียดาย จะถือไว้ก็ไม่รู้ว่าจะลงไปถึงไหน กลุ้มจริงๆ ผมเคยคุยกับเพื่อนๆ ที่เฝ้าจับตาดูกราฟของหุ้นบางบริษัทและอธิบายให้ฟังถึงเรื่องการเข้าซื้อขายของรายใหญ่ซึ่งเขาเรียกว่าเจ้ามือ วิธีการของการทำกำไรนั้นเขาทำเป็นขั้นตอนครับ คือขายกดราคาหุ้น เอาข่าวร้ายมาลือยิ่งขายหุ้นยิ่งตก พวกที่ซื้อเอาไว้ก็ลังเลว่า ทำไมมันตกได้ตกดี ในที่สุดก็ทนไม่ได้ขายออกมา เจ้ามือเขาก็รอให้รายย่อยขายออกมาจนหมดนั่นแหละครับเขาก็รับซื้อสะสมเอาไว้ไม่ไล่ราคา สะสมจนได้ที่ก็จะมีการกระชากแรงๆให้รายย่อยตาโตตามมาไล่ราคาถึงเวลานี้คือเวลาขายของเจ้ามือแล้วครับ รายย่อยรับเละตามระเบียบ ลองเอาเรื่องต่างชาติขายรายย่อยซื้อมาโยงกับเรื่องเจ้ามือดูสิครับ จะเห็นว่า เจ้ามือของตลาดหุ้นไทยคือ ต่างชาติ ต่างชาติซื้อหุ้นรายย่อยไม่แน่ใจมีกำไรก็ขายออกมาแต่พอกลับมาดูมันยังขึ้นอีก คราวนี้เห็นทีต้องกลับมารับคืน พอรายย่อยเริ่มซื้อคืนเท่านั้นเอง ต่างชาติเจ้ามือรายใหญ่สลับขาจากซื้อเป็นขายทันที รายย่อยจึงกลายเป็นผู้บริหารต้นทุนของต่างชาติให้ได้ต้นทุนที่ถูกลงไปตามปกติ ส่วนพี่กอง(ทุน)ยังตามมาสมน้ำหน้าซะอีก พอรายย่อยเริ่มขายออกมากๆ ต่างชาติก็จะเป็นผู้ซื้อและราคาก็จะเริ่มวิ่งกลับมาที่เดิมและอาจทำจุดสูงสุดใหม่ รายย่อยก็จะกลับมารับช่วงแบบเดิมๆ ฟังแล้วก็เรื่องเดิมๆ แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับละครน้ำเน่าเรื่องก็ซ้ำๆ อยู่ได้ไม่เบื่อหรืออย่างไร ตลาดบ้านเรานี้ต่างชาติเขาว่า”เป็นตลาดที่อ่อนไหวและไร้หลักการ” คือไม่มีหลักการลงทุนอาศัยข่าวปล่อยข่าวลือเป็นหลัก ไม่ค่อยสนใจพื้นฐาน ไม่มีวินัยในการลงทุน แถมมีอะไรแตกตื่นง่ายเวลาลงก็ลงแรงเทกระจาด เวลาขึ้นก็ใจถึงกันเหลือเกิน ที่จริงแล้วตลาดหลักทรัพย์กับ ก.ล.ต.และสื่อบางสื่อก็พยายามที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้นักลงทุนกันอย่างมากแต่ก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร รัฐบาลก็พยายามสร้างกองทุนมาให้ลงทุนกันมากๆ ก็ไม่ค่อยได้ผล สำหรับ Value investor แล้ว เขาเน้นที่มูลค่าหุ้นแบบเจาะลึก ศึกษาให้เข้าใจถึงข้อมูล และรอเวลาลดกระหน่ำให้หุ้นดีๆ ที่จองไว้ราคาร่วงลงมาในจุดที่มีส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of safety สูงๆ และจะเข้าซื้อ ยิ่งร่วงมากๆ ยิ่งดี ยิ่งปลอดภัย ต้องไม่ใจร้อน รักษาหลักการอย่างมั่นคง มีสติและใช้เหตุผลพร้อมด้วยข้อมูลหนุนหลังที่หนักแน่น แล้วรอให้เจ้ามือรายไหนก็ได้ ไม่ว่าจะต่างชาติ รายใหญ่ เข้ามาซื้อ นั่นแหละครับเวลาของการสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมาแล้ว ทีนี้ก็เลือกเอาว่าจะขายหรือจะถือต่อ ผมเชื่ออย่างเหลือเกินว่า หากนักลงทุนบ้านเราหันกลับมาหาความรู้ สร้างความเข้าใจกันมากขึ้น ตลาดหุ้นบ้านเราคงไม่เป็นแหล่งที่ต่างชาติเขาใช้เป็นที่หาเงินง่ายๆ กันแน่นอน แต่หลายคนก็คงคิดว่าหากเป็นอย่างนั้นต่างชาติคงไม่เข้ามาลงทุนในบ้านเราอีก เรื่องนี้ผมบอกว่า ไม่จริงครับ! ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจดีอย่างไรก็ตามต่างชาติต้องมาลงทุนแน่นอน และจะเป็นการลงทุนในระยะยาวอิงปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นและตลาดหุ้นบ้านเราจะไม่ผันผวนมากมายขนาดนี้ ไม่เชื่อลองหันกลับไปดูตลาดหุ้นในสหรัฐ ในยุโรปตลาดเหล่านี้พัฒนามาได้ขั้นที่เรียกว่ามีประสิทธิภาพแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นสถาบันกองทุน รายย่อยจะน้อยมาก เพราะเขานิยมให้มืออาชีพจัดการให้ สำหรับบ้านเรา หากจะลงทุนเองก็ควรต้องหาความรู้และข้อมูลในการลงทุนมากกว่าหาข่าวลือข่าวปล่อย อย่าปล่อยให้เจ้ามือสร้างภาพลวงตาลากเราเข้าไปร่วมวงกับเขา และปล่อยให้เราทำหน้าที่รับช่วงบริหารต้นทุนให้เจ้ามืออยู่ร่ำไปนะครับ--จบ-- --กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 22 - 28 ตุลาคม 2547-- |
< Prev | Next > |
---|