 Value Way : Temple Boxing School
มนตรี นิพิฐวิทยา ก่อนอื่นผมต้องขอสวัสดีปีใหม่
กับท่านผู้อ่านคอลัมน์ Value Way เป็นลำดับแรก
และขอขอบพระคุณหนังสือพิมพ์ BizWeek ที่ให้โอกาสผม และคุณวิบูลย์
ได้ถ่ายถอดแนวคิดการลงทุน แบบเน้นคุณค่า ให้นักลงทุนอีกหลายๆ
ท่านได้อ่านกันเป็นเวลาหลายเดือนแล้วครับ
สำหรับการปิดท้ายปี 2547
ซึ่งเป็นปีของความผันผวนของตลาดหุ้นบ้านเรา
และนักวิเคราะห์วิจารณ์ทั้งหลายต่างมองไปในปีหน้า 2548
กันแล้วว่าจะมีความผันผวนมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
ซึ่งแน่นอนว่าเราจะต้องพยายามหาทางป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนของเราสำหรับปีต่อๆ
ไปอย่างมีประสิทธิภาพครับ
ในบทความส่งท้ายปี 2547 นี้
ผมอยากจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่กลั่นกรองจากประสบการณ์อันยาวนานของสมาชิกท่านหนึ่งแห่งโต๊ะสินธร
Pantip.com และ thaivalueinvestor.com ท่านใช้นามแฝงว่า
คลายเครียด นักลงทุนท่านนี้เรียกว่าหลักการของสำนักมวยวัด
และถูกตั้งชื่อให้อินเตอร์นิดๆว่า Temple Boxing School
โดยสมาชิกชื่อคุณ อ-ริน นักลงทุนอารมณ์ดีแห่งราชบุรี
หลักการนี้เป็นการวิเคราะห์การลงทุนในตลาดหุ้นตามประสานักลงทุนรายย่อย
ไม่ได้มีหลักทางวิชาการจากสำนักไหนๆ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง
เท่าที่ผมเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นมาก็หลายปี
และสังเกตพฤติกรรมของนักลงทุน ของหุ้นหลายๆ
บริษัทแล้วเห็นว่าการวิเคราะห์ของ Temple Boxing School
นี้เข้ากันได้กับตลาดหุ้นบ้านเราอย่างกลมกลืนจริงๆ
การจะเป็นนักลงทุนที่จะอยู่กับตลาดหุ้นได้ตลอดไป
ท่านว่าจะต้อง บริหารความโลภความกลัวกับความรู้ให้สมดุล
ซึ่งเป็นกฎพื้นฐานของTemple Boxing School
ทั้งนี้เพราะในตลาดหุ้นจะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงกรรมหลักๆสามแรงด้วยกันคือ
แรงแห่งความโลภ แรงแห่งความกลัว
และแรงของผลประกอบการซึ่งราคาหุ้นจะขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ
จริงๆ
แรงแห่งความโลภและความกลัวนี้เป็นแรงทางจิตวิทยา
ซึ่งต้องให้การบริหารอารมณ์ ส่วนแรงจากผลประกอบการนั้น
ต้องใช้การบริหารความรู้เป็นสำคัญ
และเมื่อแรงกรรมทั้งหมดทั้งสิ้นเกิดขึ้นกับหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น
ในฐานะนักลงทุนจะต้องทำการบริหารอารมณ์และความรู้ในทันที
เรามาดูปัจจัยที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นจะประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง
เริ่มต้นที่ตัวแปรทางพื้นฐานคือ ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV)
กำไรต่อหุ้น (EPS) คือสภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้นนั้นๆ
ซึ่งจะมี สภาพหุ้นที่คล่องคอ กับสภาพหุ้นที่ไม่คล่องคอ
โดยสภาพคล่องคอคือหุ้นที่มีเม็ดเงินใส่เข้ามาซื้อและขาย
ซึ่งมีผลทำให้ราคาหุ้นนั้นๆ
วิ่งขึ้นลงนอกเหนือไปกรอบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน
ส่วนสภาพที่ไม่คล่องคอก็คอไม่มีการใส่เม็ดเงินเข้าไปในหุ้นนั้นๆ
มาก ราคาหุ้นนั้นๆ
จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบการเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนตัวแปรที่เป็นตัวแปรทางอารมณ์นั้นคือความโลภและความกลัว
ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นเมื่อมีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นราคาหุ้น
(ดูรูปประกอบ)
ในรูปตรงบริเวณกลางของรูปเป็นการแสดงให้เห็น
หุ้นที่ขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานไม่มีแรงแห่งความโลภและความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ราคาหุ้นจะขึ้นลงตามผลประกอบการ สังเกตได้จากหุ้นที่มีสภาพแบบนี้
PBV จะมีค่าใกล้กับ 1 เท่า
ส่วนกรอบด้านบนและด้านล่างจะเกิดได้จากมีข่าวดีและข่าวร้ายเกินจริง
ซึ่งคำว่าเกินจริงนี้มักจะเกิดจากการคาดคะเนเป็นส่วนใหญ่
(รู้สึกคุ้นๆ ไหมครับ) ถ้าความโลภสูงกว่าความกลัวเมื่อไร
ผลการคาดคะเนจะยิ่งสูงเกินจริงเข้าไปอีก
ส่วนความกลัวสูงกว่าความโลภเมื่อไรผลการคาดคะเนจะยิ่งต่ำเกินจริงเข้าไปอีก
ซึ่งอาจจะไปทำให้ราคาหุ้นนั้นสูงและต่ำเกินจริง
ทั้งนี้จะต้องมีปัจจัยประกอบที่เป็นใจด้วยคือ EPS
เพิ่มหรือลดผิดปกติ สภาพคล่องสูง และข่าวลือ ข่าวปล่อยต่างๆ
หุ้นที่ราคาขึ้นเกินจริงให้สังเกตได้ที PBV จะสูงกว่า 1 มากๆ
ส่วนหุ้นที่ราคาต่ำเกินจริงให้สังเกตว่า PBV ต่ำกว่า 1 มากๆ
ในรูปแต่ละส่วนไม่ว่าบน กลาง ล่าง จะเห็นว่าเราต้องมีความรู้
และต้องมีความรู้พิเศษเมื่อหุ้นนั้นๆ สูงและต่ำเกินจริง
ซึ่งความรู้พิเศษนี้จะประกอบไปด้วย ความรู้พิเศษในข่าววงใน
ความรู้พิเศษในการประยุกต์เทคนิคต่างๆ ในการลงทุน
และความรู้จักควบคุมความโลภและความกลัวของตนเอง
เรื่องความรู้นี้สำคัญมากครับจะเห็นว่า
ไม่ว่าหุ้นจะเป็นหุ้นแบบไหนเราก็จำเป็นต้องมีความรู้
ซึ่งความรู้สำหรับการลงทุนในหุ้นที่ราคาตลาดของหุ้นที่ปรับตัวตามแรงของผลประกอบการเป็นปกติ
เราก็ต้องมีความรู้พื้นฐาน
อย่างน้อยต้องรู้จักค่าอัตราส่วนพื้นฐานเช่น PE PBV ROE ROA
แต่สำหรับหุ้นที่ราคาปรับตัวผิดปกติไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
เรายิ่งต้องมีความรู้พิเศษเลยทีเดียว
ความรู้พิเศษที่ว่านี้ประกอบด้วย
ความรู้พิเศษในข่าววงใน
ซึ่งต้องเป็นข่าววงในระดับที่เชื่อถือได้จริงอย่างที่ระดับแม่ยายหรือน้องเมียสุดที่รักของคนวงในได้รับเลยก็ว่าได้
ข่าววงในระดับปลายแถวระดับกระจอกข่าวทั้งหลายไม่ถือเป็นความรู้พิเศษ
ทั้งนี้เพราะผู้ได้รับข่าววงในระดับสูงอาจได้ปฏิบัติการเก็บหรือคายหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว
ความรู้พิเศษเชิงวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค หรือ
ทางด้านพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่แค่การวิเคราะห์แบบพื้นๆ
ต้องวิเคราะห์แบบเจาะลึก
แต่ทั้งนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคชั้นสูงจะช่วยได้มากกว่า
เพราะการขึ้นลงผิดปกตินั้นไม่ได้เป็นไปตามพื้นฐานที่แท้จริง
มักเกิดจากการสร้างราคาเป็นส่วนใหญ่
ความรู้จักควบคุมความโลภและความกลัวของตัวเอง
ท่านผู้นำเสนอหลักการสำนักมวยวัดนี้กล่าวว่าหากเราไม่มีความรู้ในสองข้อแรกข้างบน
เราควรจะมีความรู้ในข้อสุดท้ายนี้ให้มาก
เพราะท่านเองก็ยอมรับว่าท่านก็ไม่มีความรู้สองข้อบนนั้นเลย
และไม่ยอมไล่ซื้อหุ้นที่ลอยตัวสูงขึ้นเลยกรอบการเคลื่อนไหวตามพื้นฐานมากๆ
ยอมนั่งน้ำลายหกเป็นปีๆ ดีกว่านั่งน้ำตาตกในช่วงข้ามวัน
ซึ่งนั่นคือการไม่ยอมเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดตาย
จากคำแนะนำของTemple Boxing School
ให้เราพยายามปรับตัวของเราจากแมลงเม่าน้อยให้กลายร่างเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
ด้วยการเสริมสร้างความรู้โดยเริ่มที่ความรู้พื้นฐานและเลือกลงทุนในหุ้นที่เคลื่อนไหวในกรอบของพื้นฐานจะดีกว่า
และเรายังสามารถได้รับปันผลเป็นน้ำจิ้มไปด้วย
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้น
(อาจไม่รวมความรู้พิเศษในข่าววงใน)
เราก็อาจสามารถเข้าไปร่วมวงกับเขาได้
โดยให้เลือกลงทุนซื้อหุ้นที่ลงผิดปกติ
หรือเอาปลอดภัยก็ให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีราคาต่ำ
และรอให้เกิดกำลังจากการสร้างราคาจนความโลภชนะความกลัว
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นลอยขึ้นเหนือกรอบพื้นฐานไปพอสมควร
เราก็ควรจะเผ่นพันลี้
สำหรับวิธีการจัดการกับอารมณ์ของ Temple Boxing School นี้
ผมจะค่อยๆ นำเสนอต่อท่านผู้อ่านในลำดับต่อๆ ไปครับ
|