Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2548














Value Way : ลงทุน"ทอง”หรือ"หุ้น”ดี?

โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ช่วงนี้มีคำถามอยู่บ่อยๆ ว่า ซื้อทองเก็บไว้ดีหรือไม่ หรือไม่ก็ถามว่าจะซื้อทองหรือหุ้นดีกว่ากัน บางคนบอกว่าซื้อทองดีกว่า เพราะราคาทองมีแต่ขึ้น แต่หุ้นราคาลดลงได้ทุกวัน บางคนบอกว่าถ้าไม่อยาก ”หมดตัว” อย่าไปเล่นหุ้น ซื้อทองเก็บไว้ดีกว่า

ยังไงมูลค่าก็ไม่หาย

เรียกว่า ในชั่วโมงนี้การซื้อทองคำ นับว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมาก แม้แต่รายการทางโทรทัศน์ชื่อดังยังเชิญผู้จัดการกองทุนหุ้นกับเถ้าแก่ร้านทองไปออกรายการร่วมกันมาแล้ว

เหตุผลหนึ่งที่ผู้ที่พิสมัยในการลงทุนทองคำนำมากล่าวอ้างเสมอๆ ก็คือ เมื่อ 30 ปีที่แล้วที่เริ่มตั้ง ”ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ใหม่ๆ ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มต้นที่ 100 จุด ในขณะที่ทองคำราคาบาทละ 500 บาท พอเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 700 จุด ขึ้นมา 7 เท่า แต่ราคาทองในปัจจุบันอยู่ที่บาทละ 8,000 บาท ขึ้นมาจากราคาเดิมเมื่อ 30 ปีที่แล้วกว่า 16 เท่า ผลตอบแทนของทองคำมากกว่าผลตอบแทนที่ได้จากตลาดหุ้นหลายเท่าเลยทีเดียว

นับว่าเป็นเหตุผลที่ไม่อาจจะปฏิเสธในข้อเท็จจริงนี้ได้

ถ้าได้ฟังเหตุผลนี้ เราอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมาก ถอนเงินที่มีทั้งหมดออกไปซื้อทองคำเก็บไว้ในวันพรุ่งนี้เลยดีกว่า!

แต่เดี๋ยวก่อน! การเปรียบเทียบดัชนีตลาดหลักทรัพย์และราคาทองดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ได้บอกถึงข้อเท็จจริงอีกหลายอย่าง ดังต่อไปนี้

หนึ่ง ทองคำไม่มีเงินปันผล

การซื้อหุ้นสามัญ นอกเหนือจากการได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่เราสนใจแล้ว ทุกๆ ปียังอาจจะได้เงินปันผลเป็นส่วนแบ่งจากกำไรของบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ด้วย จากตัวอย่างดัชนีหุ้นและราคาทองข้างต้น ถ้าเราคำนวณอัตราผลตอบแทนการลงทุนของดัชนีตลาดหุ้นจาก 100 จุดเป็น 700 จุดใน 30 ปีจะพบว่า สามารถคิดเป็นผลตอบแทนการลงทุนได้ปีละ 7% ทบต้น (คำนวณจากสูตรสมการทางการเงินที่ว่า ราคาในอนาคต เท่ากับ ราคาในปัจจุบันคูณกับอัตราผลตอบแทนยกกำลังด้วยจำนวนปีที่ลงทุน)

ส่วนอัตราผลตอบแทนของทองคำในช่วงสามสิบปี จากสูตรเดียวกันคำนวณได้ปีละ 10%! ไม่มากอย่างที่คิด แสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนการลงทุนที่ต่างกันเพียงไม่กี่หลัก ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันมาก ถ้าระยะเวลาการลงทุนนานเพียงพอ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การคิดคำนวณผลตอบแทนของตลาดหุ้นดังกล่าว เป็นการคำนวณจากดัชนีตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว ยังไม่ได้รวมเงินปันผลมาคำนวณด้วย ถ้านักลงทุนเลือกซื้อหุ้นที่มีปันผล สมมติได้ปันผลปีละ 5% และนำเงินปันผลกลับไปลงทุนให้ได้อัตราปันผลเท่าเดิมทุกๆ ปี จะทำให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีอัตราผลตอบแทนเท่ากับ 7% + 5% = 12% ซึ่งมากกว่าการลงทุนในทองคำในระยะเวลาเดียวกัน เนื่องจากการซื้อทองคำไม่ได้มีเงินปันผลเกิดขึ้นระหว่างที่ถือเป็นเจ้าของ

ถ้าผลตอบแทนการลงทุนเป็น 12% การลงทุนในหุ้นเป็นจำนวนเงิน 500 บาทเท่ากับราคาทองคำ ณ ตอนเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี เงินก้อนนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกลายเป็น 14,980 บาท ซึ่งมากกว่าการลงทุนในทองคำที่ ราคา 8,000 บาทถึง 87 เปอร์เซ็นต์

สอง ทองคำต้องมีค่าเก็บรักษา

การเก็บรักษาทองคำจำเป็นจะต้องมีที่เก็บที่มิดชิดและมีความปลอดภัยมากถึงมากที่สุด เพราะการขโมยทองคำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ และการซื้อขายเปลี่ยนมือทำได้ง่าย เนื่องจากไม่มีการลงทะเบียนกับทางราชการไว้แต่อย่างใด

การซื้อทองเก็บไว้ที่บ้าน อาจจะเข้าสุภาษิตโบราณที่ว่า “มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” เพราะกลัวจะมีคนมาขโมยไป จะออกไปไหนก็กังวล ยิ่งไม่มีคนเฝ้าบ้านด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก ถ้าจะให้ดีจำเป็นที่จะต้องมีตู้เซฟเก็บไว้อย่างดี หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็คือ การเช่าตู้นิรภัยที่ธนาคาร ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทั้งแบบรายเดือนหรือรายปี ถ้าจะคิดผลตอบแทนให้ถูกต้อง ต้องหักค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาที่เกิดขึ้นออก ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนของทองคำจริงๆ ลดลง

ส่วนการซื้อหุ้นนั้น มักจะมีความปลอดภัยสูงและมีค่าการเก็บรักษาที่น้อยมาก โดยส่วนใหญ่มักจะฝากหุ้นไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ที่ไม่ได้คิดค่าเก็บรักษาแต่อย่างใด หรือบางท่านก็ออกเป็นใบหุ้นเก็บไว้ได้ในกรณีต้องการถือนานๆ การขโมยใบหุ้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะการเปลี่ยนมือทำได้ไม่ง่าย เนื่องจากผู้ฝากจำเป็นจะต้องมีบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแสดงตัวเพื่อทำการขายหุ้นเพื่อขึ้นเงิน ซึ่งถ้านำใบหุ้นที่ขโมยมาขึ้นเงินก็จะถูกจับตัวได้ง่าย จึงไม่ค่อยมีคดีขโมยใบหุ้นเกิดขึ้นสักเท่าใดนัก

สาม ดัชนีหุ้นไม่รวมบริษัทที่ถูกเพิกถอนจากตลาด

การที่ดัชนีหุ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเพียง 700 จุดนั้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากในช่วงที่มีวิกฤติการเงินในปี 2540 มีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ถูกเพิกถอนออกจากตลาด โดยเฉพาะบริษัทไฟแนนซ์และธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งถูกทางราชการสั่งปิด ซึ่งมีผลทำให้ดัชนีลดลงอย่างมาก

ถ้านำบริษัทต่างๆ ที่ถูกเพิกถอนเหล่านี้มาคำนวณดัชนีด้วยก็อาจจะทำให้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงกว่าในปัจจุบันนี้มากทีเดียว ดังนั้น การเลือกหุ้นที่จะลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

จะเห็นว่าการเปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นและราคาทองในอดีตเทียบกับปัจจุบัน อาจจะเกิดความเบี่ยงเบนเกิดขึ้นได้ ทั้งเรื่องเงินปันผล ค่าการเก็บรักษา หรือแม้แต่ตัวดัชนีเอง

การตัดสินใจที่จะเลือกลงทุนในทองคำหรือหุ้น จึงจำเป็นจะต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจในสิ่งที่เราสนใจที่จะลงทุนเป็นหลัก บางท่านอาจจะเหมาะกับการลงทุนในทองคำ แต่อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นก็เป็นไปได้

ตัวท่านเองควรจะพิจาณาเองว่า ท่านเหมาะกับ "ทองคำ” หรือ “หุ้น” มากกว่ากัน


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.