Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 09 กันยายน พ.ศ. 2548














Value Way : ถือหุ้นกี่ตัวดี(2)

วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความอาทิตย์ก่อนได้กล่าวถึง ”การกระจายความเสี่ยง” ไปบ้างแล้ว โดยทั่วไปมักจะมีข้อแนะนำให้นักลงทุนโดยทั่วไปถือหุ้นหลายๆ ตัว ในหลายๆ อุตสาหกรรม เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุน ในกรณีที่ราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งลดลงอย่างมาก ผลขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นอาจถูกชดเชยได้จากหุ้นตัวอื่นๆ

เรื่องดังกล่าวได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานาน ผู้คนหรือนักลงทุนโดยส่วนใหญ่มักจะเชื่อในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง ”อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าใบเดียว” และปฏิบัติตามเสมอไม่ว่าพอร์ตการลงทุนจะใหญ่จะเล็กแค่ไหน

สำหรับนักลงทุนสถาบันมักจะถูกข้อจำกัดของทางการให้มีการกระจายความเสี่ยงอยู่เสมอ กองทุนรวมต่างๆ จึงมีหุ้นอยู่ในพอร์ตค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 20 ตัว กระจายไปในหลายๆ อุตสาหกรรม กองทุนบางกองทุนอาจใช้ผู้จัดการกองทุนทำการบริหารปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนคือคอยตรวจสอบสถานะของบริษัทตามผลการดำเนินงานรายไตรมาศ รวมทั้งติดตามบทวิจัยบริษัทที่นักวิเคราะห์ของโบรกต่างๆ ออกบทวิจัยมา ถ้าจำเป็นต้องขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก็จะขายออกไป ถ้าต้องซื้อก็ต้องมีบทวิเคราะห์สนับสนุน จะซื้อหุ้นหรือทำอะไรตามใจฉันไม่ค่อยได้

ผู้จัดการกองทุนมีบทบาทค่อนข้างมากในการลงทุน ส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนให้ชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ถ้าดัชนีตลาดหุ้นบวกก็ต้องบวกให้มากกว่า (มากกว่าเล็กน้อยก็ยังดี) ถ้าดัชนีตลาดติดลบก็ขอติดลบน้อยกว่า กองทุนรวมมักจะทำผลตอบแทนได้ตามที่วางไว้ดังกล่าว เพราะส่วนใหญ่เน้นไปในทางอนุรักษนิยมไม่หวือหวา ยิ่งถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป ทำให้โอกาสที่จะชนะดัชนีตลาดหุ้นมากๆ นั้น ก็น้อยลงตามไปด้วย

ถ้าผู้จัดการกองทุนคนไหนกล้าหาญบ้าบิ่นมากๆ ไปถือหุ้นบริษัทเล็กๆที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าราคาหุ้นขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าราคาหุ้นตกอาจจะถึงคราวซวย ดังมีเรื่องเล่าของเหล่าผู้จัดการกองทุนว่า “ถ้าซื้อหุ้นไอบีเอ็มแล้วราคาหุ้นไอบีเอ็มตก เจ้านายมักจะถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับไอบีเอ็ม แต่ถ้าผู้จัดการกองทุนคนไหนไปซื้อหุ้นบริษัท กขค ที่ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อแล้วราคาหุ้นดันตก อาจจะเจอเจ้านายถามว่า เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นกับลื้อ(ว่ะ)”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้จัดการกองทุนทั้งหลายจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในผลงานของตนเอง ส่วนใหญ่จะลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ที่มีผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก เพื่อไม่ให้ผลตอบแทนการลงทุนของตนเองต้องเบี่ยงเบนจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์มากนัก ยิ่งผลการดำเนินงานของกองทุนต้องประกาศต่อสาธารณชนเป็นประจำ เช่น อาจจะทุกหนึ่งเดือน หรือทุกสามเดือน ผู้จัดการกองทุนจึงพลาดไม่ได้ที่จะมีผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง

ความเครียดของผู้จัดการกองทุนนั้นมีค่อนข้างสูง ยิ่งถ้าเป็นกองทุนเปิดที่ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถไถ่ถอนกองทุนได้ตลอดเวลา ความเครียดดังกล่าวจะมีมากขึ้นกว่าผู้จัดการกองทุนปิด เพราะถ้าผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนไม่ดี ผู้ถือหน่วยลงทุนมักจะขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

ในช่วงเวลาที่หุ้นตกมากๆ ผู้ถือหน่วยลงทุนมักเกิด ”ความกลัว” กลัวว่าเงินที่ตนเองสะสมมาจะขาดทุน จึงตัดสินใจขายหน่วยลงทุนเพื่อไม่ให้ผลขาดทุนมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อมีผู้มาไถ่ถอน ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องขายหุ้นออกมาเพื่อนำเงินมาจ่ายให้กับผู้ขายหน่วยลงทุน ซึ่งบางครั้งในความคิดของผู้จัดการกองทุนอาจมองว่าในช่วงเวลาหุ้นตกๆ ดังกล่าวอาจจะเป็นโอกาสในการ ”ซื้อ” หุ้นมากกว่า แต่ไม่สามารถทำตามที่คิดได้เพราะข้อจำกัดของการคืนเงินให้กับผู้ขายหน่วยลงทุนที่มีกำหนดระยะเวลาจ่ายเงินที่แน่นอน

บางครั้งผู้จัดการกองทุนจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่ตนเองไม่ได้คิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีนัก แต่ด้วยความจำเป็นที่หุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก รวมทั้งเป็นกลุ่มที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น เพื่อไม่ให้กองทุนของตนมีผลการดำเนินงานแย่กว่าตลาด จึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยทั้งๆ ที่บางครั้งราคาหุ้นอาจจะสูงมากแล้ว

เช่น ในอเมริกาช่วงปลาย 90 ที่หุ้นเทคโนโลยีดอทคอมต่างๆ ราคาขึ้นสูงมาก ผู้จัดการกองทุนที่ไม่มีหุ้นเหล่านี้ในพอร์ตจำเป็นต้องซื้อหุ้นที่ราคาสูงเหล่านี้ เพื่อทำผลตอบแทนให้ดีเทียบเท่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ กองทุนที่ไม่ยอมซื้อหุ้นเหล่านี้ต่างมีผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดอย่างมาก ขณะเดียวกันผู้ถือหน่วยลงทุนก็ขายกองทุนที่ไม่ซื้อหุ้นดอทคอม เพื่อเปลี่ยนไปถือกองทุนที่มีผลตอบแทนดีมากๆ จากหุ้นเหล่านี้ ท้ายที่สุดเมื่อฟองสบู่หุ้นดอทคอมแตก ราคาหุ้นรวมทั้งกองทุนหลายกองต่างขาดทุนจนเหลือมูลค่าไม่ถึง 10% ของเงินลงทุนก็มี

ปัจจุบันมีกองทุนรวมบางแห่งได้พิจารณาแล้วว่าถ้าใช้ผู้จัดการกองทุนมาคอยปรับเปลี่ยนสถานะของกองทุนอยู่ตลอดเวลา หรือทำการซื้อๆ ขายๆก็ทำผลตอบแทนได้เทียบเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ใช้วิธีการลงทุนแบบ ”กองทุนดัชนี” หรือ Index Fund ไปเสียเลยจะง่ายและสะดวกกว่า ไม่ต้องใช้วิจารณญาณของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างใด แถมต้นทุนในการดำเนินงานก็ถูกกว่าเพราะไม่ต้องจ้างนักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนแพงๆ ถ้าดัชนีตลาดหุ้นขึ้น กองทุนก็ขึ้นตาม ถ้าดัชนีตลาดลดลง ผลการดำเนินงานของกองทุนก็ลงตาม เรียกว่าเกาะติดดัชนีอ้างอิงตลอดเวลา เช่นบางบริษัทอาจจะใช้ SET 50 เป็นดัชนีอ้างอิงก็จะลงทุนในหุ้น 50 ตัวตามน้ำหนักของการคำนวณในดัชนีนั้นๆ

ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนดัชนีเหล่านี้กลับติดอันดับหนึ่งใน 25% แรกของการจัดอันดับของกองทุนต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างใด นั่นหมายความว่ามีผู้จัดการกองทุนกว่าครึ่งที่บริหารกองทุนรวมแล้วทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าดัชนีตลาด อาจจะเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้นๆ กองทุนดังกล่าวมีจังหวะการลงทุนที่ไม่เหมาะสม หรือเลือกถือหุ้นที่ไม่สามารถชนะตลาดได้ (Underperform)

จะเห็นว่าการถือหุ้นของกองทุนนั้นมักจะถือหุ้นหลายๆ ตัวในหลายๆอุตสาหกรรมตามตำราของการลงทุนทุกประการ บางกองทุนอาจจะตั้งขึ้นมาเพื่อเลียนแบบพอร์ตของดัชนี ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากจุดมุ่งหมายของกองทุนรวมส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ผลการลงทุนของกองทุนรวมส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยผันผวน และเมื่ออ้างอิงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็มักจะชนะหรือแพ้เพียงเล็กน้อย

หลังจากที่พิจารณาการถือหุ้นของกองทุนรวมแล้ว คราวหน้ามาดูกันว่าพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยแบบไหนจะดีกว่ากัน


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.