
|

|

|
วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


บริษัทนี้น่าลงทุนไหม?
Value Way : มนตรี นิพิฐวิทยา
ตามที่สัญญาเอาไว้ครับวันนี้เราจะมาคุยกันว่าบริษัทที่น่าลงทุนนั้นดูกันอย่างไร ก่อนอื่นต้องให้คำจำกัดความกันก่อนเพื่อจะได้ไม่หลงทางกัน
คำว่าบริษัทที่น่าลงทุนนั้นจะต้องเป็นบริษัทที่ดีและมูลค่าสูงกว่าราคา ถ้าเป็นบริษัทที่ดีแต่ราคากับมูลค่านั้นใกล้เคียงกันก็จัดเป็นบริษัทที่ไม่น่าลงทุน เพราะถ้าลงทุนไปแล้วผลตอบแทนที่ได้จะต่ำ หรืออาจไม่ได้รับผลตอบแทนเลยกับเป็นขาดทุนเสียด้วยซ้ำ
การลงทุนที่ดีจะต้องคิดถึงส่วนที่เผื่อเอาไว้เพื่อความปลอดภัยในเวลาที่เราคิดผิดเอาไว้ เรียกว่า Margin of safety
บางบริษัทอาจจะไม่ได้เป็นกิจการที่ดีมากนักแต่ราคาต่ำมากๆ เราก็สามารถลงทุนได้ นิยมกันในกลุ่มบริษัทที่รายได้และกำไรขึ้นลงเป็นวัฏจักร เช่นกลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย
ผมได้กำหนดกรอบกว้างๆ เอาไว้สำหรับการลงทุนแต่ละครั้งของผมว่า กิจการไหนน่าลงทุนนั้น ผมมักจะเอากรอบนี้เข้ามาจับ ผมเรียกว่า Value Model เรามาดูกันทีละนิดละกันว่า model นี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
1.ลงทุนเฉพาะกิจการที่เราเข้าใจ และจะไม่เดินออกนอกกรอบแห่งความได้เปรียบของเราเป็นอันขาด กรอบแห่งความได้เปรียบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันและก็กว้างไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพรแสวงของแต่ละคน
บางท่านเป็นแพทย์แน่นอนต้องเข้าใจในธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ โรงพยาบาล บางท่านเป็นวิศวกรย่อมเข้าใจธุรกิจในสายที่ตนทำงานอยู่ บางท่านเป็นนักการตลาดย่อมเข้าใจสินค้าและบริการหลายๆ อย่าง ทีนี้เราก็เอาความเข้าใจของเราในแต่ละอุตสาหกรรมมาเจาะลึกเพื่อสร้างกรอบแห่งความได้เปรียบของเรา
ในบางครั้งกรอบแห่งความได้เปรียบนี้อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่นไปใช้บริการโรงพยาบาลแล้วเห็นการเติบโตจึงได้สอบถามพูดคุยกับ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และบ้างครั้งก็ผู้รับบริการเพื่อหาข้อมูล ถ้าจะให้แน่ก็แอบไปดูโรงพยาบาลใกล้ๆ กันว่าเป็นอย่างไร เอามาเป็นข้อมูลของเรา บางทีพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปแบบไม่รู้ตัว ก็ให้หัดสังเกตบ้างว่าคนรอบข้างเราเขาเป็นเหมือนเราหรือเปล่า
เช่นเมื่อก่อนจะซื้ออะไรก็ร้านข้างๆ บ้าน เดี๋ยวนี้ซื้อทีต้องไปห้างซื้อมากๆ ตุนเอาไว้ใช้ทั้งเดือน ง่ายๆ แค่นี้แหละไม่ต้องไปค้นอะไรให้ยากมากเรื่องไป
2.ผู้บริหารจะต้องซื่อสัตย์และมีความสามารถ เก่งอย่างเดียวไม่พอครับแถมอันตรายอีกต่างหากถ้าไม่ซื่อแล้วละก็ความเก่งนั่นแหละจะกลับมาเล่นงานเรา ในส่วนนี้ต้องติดตามดูพฤติกรรมของผู้บริหารกันบ้างว่ามีประวัติอย่างไร เคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้ไหมในวงการแล้วเขามีความสามารถมากแค่ไหน
จริงๆ แล้วตอนตรวจสอบงบการเงินนั้นเราก็อาจเห็นถึงพฤติกรรมนี้ได้ เช่นมีการลงบัญชีรายการแปลกๆ มีการโยกรายการไปบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ข่าวสารจาก ก.ล.ต.(www.sec.or.th ) ก็จะมีข้อมูลเอาไว้มากมาย เสียอย่างเดียวเองใช้งานยากชะมัด (เจ้าหน้าที่ก.ล.ต.ไม่ต้องโทรมาคุยกับผมหรอกนะ กลับไปดูว่าพวกคุณจะทำอย่างไรให้มันใช้งานง่ายๆ ค้นข้อมูลย้อนหลังได้นานๆ ก็จะเกิดประโยชน์กว่า)
3.ผลิตสินค้าและบริการที่แข็งแกร่งหาใครมาแย่งชิงตลาดได้ยาก ตรงข้อนี้สำคัญมากๆ สินค้าและบริการทั่วๆ ไปมักจะแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์ราคา ลดแลกแจกแถม หาได้ยากที่จะอยู่เฉยๆ แต่ลูกค้าก็ยังยินดีจะซื้อ เป็นสินค้าและบริการที่ติดอยู่ในใจคนมาตลอด บอกชื่อสินค้าไปแล้วก็เกิดความรับรู้และเข้าถึงได้ทันที เป็นสินค้าและบริการที่แม้แต่เศรษฐกิจไม่ดีแต่ก็ยังขายได้ดี สามารถปรับราคาได้ตลอดโดยที่ลูกค้าไม่เปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น
4.ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง บริษัทจะอยู่รอดได้นั้นฐานะทางการเงินต้องแข็งแกร่ง สินทรัพย์ที่มีจะต้องถูกใช้งานอย่างเต็มที่ เรียกว่าเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ หนี้สินไม่ควรจะมีมาก และที่สำคัญเงินกู้ระยะสั้นไม่ควรนำมาลงทุนระยะยาว ในส่วนนี้จำเป็นต้องศึกษาบัญชีเพื่อให้สามารถดูงบการเงินให้เป็น
5.เมื่อจะซื้อหุ้นเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริง และต้องมีส่วนต่างความปลอดภัย การประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้นมีหลายวิธี และได้เคยนำเสนอไปแล้วลองกลับไปค้นในฉบับเก่าๆ ดูนะครับ และเวลาซื้อต้องแน่ใจว่าราคานั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัย และผลตอบแทนที่น่าพอใจ
6.ไม่กระจายลงทุนในหุ้นหลายๆ บริษัท ถ้าคุณจะลงทุนแบบเอาจริงเอาจังแล้วละก็ การลงทุนในหุ้นหลายๆบริษัทจะทำให้เราไม่สามารถเจาะลึกถึงข้อมูลสำคัญๆ ได้อย่างเต็มที่เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทนั้นต้องอาศัยเวลาและความพยายามมากเอาการ
7.คิดไว้เลยว่าจะต้องถือยาว บางครั้งกว่าชาวบ้านจะเห็นมูลค่าของบริษัทที่เราลงทุนก็กินเวลาเป็นปี และนี่ถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่งว่ายิ่งนานยิ่งไม่มีใครเห็นค่ายิ่งเป็นโอกาสให้เราลงทุนเพิ่มในบริษัทนั้นได้อีกนานๆ กว่าจะมีคนมาแย่งซื้อ
8.ขายเมื่อวิเคราะห์ผิด เมื่อรู้ตัวว่าผิดต้องรีบขายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
9.ขายเมื่อบริษัทนั้นไม่อยู่ในกฎเกณฑ์Value Modelอีกต่อไป ซื้อเพราะอะไรก็ขายเพราะมันเปลี่ยนไปจากตอนที่เราซื้อแล้ว
10.ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนอื่นที่ดีกว่า เมื่อประเมินแล้วหุ้นบริษัทอื่นมีส่วนต่างความปลอดภัยสูงกว่า และให้ผลตอบแทนสูงกว่า ก็ถึงเวลาเปลี่ยนการลงทุนใหม่ แต่ต้องแน่ใจว่าดีกว่าแน่ๆ โดยใช้ผลตอบแทนที่มีอยู่เปรียบเทียบกับผลตอบแทนใหม่
กรอบการลงทุนมีอยู่แค่สิบประการ คุณๆ ทั้งหลายจะนำเอาไปใช้บ้างก็มิได้หวงห้ามแต่ประการใด เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบแห่งความได้เปรียบของเราเท่านั้นเองครับ
|
|