_files/space.gif) Value Way : จำกัดความเสี่ยง (3)
วิบูลย์ พึงประเสริฐ นักลงทุนในตลาดหุ้นทุกคนคงเจอกับภาวะ
ขาดทุน ไม่มากก็น้อย ไม่ว่านักลงทุนนั้นจะเป็นหน้าใหม่
หน้าเก่า หรือมืออาชีพอย่างผู้จัดการกองทุนรวมก็ตาม
คงหนีไม่พ้นกับสภาพตลาดหุ้นย่ำแย่ และ ราคาหุ้น
ที่ถืออยู่มีราคาลดลง
ส่วนใหญ่แล้วเมื่อสภาพตลาดหุ้นตกต่ำ
สภาพจิตใจของนักลงทุนมักจะหดหู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน
สังเกตได้จากห้องค้าตามบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ
เมื่อไหร่ที่ตลาดหุ้นซบเซา ห้องค้ามักเงียบเหงา
วอลุ่มการซื้อขายน้อย แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคัก
เราจะเห็นนักลงทุนเต็มห้องค้า
นักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้ว
มักคิดว่าราคาหุ้นนั้นจะปรับตัวขึ้นไปและสามารถทำ กำไร ได้
ถ้านักลงทุนรู้ว่า ราคาหุ้น บริษัทนั้นจะลดลง
คงไม่เข้าไปซื้อให้ขาดทุน
แต่ในความเป็นจริง ราคาหุ้นของบริษัทในเวลาใดเวลาหนึ่ง
มีโอกาสเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าๆ กัน
โอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมีโอกาสเกิดขึ้น 50%
ทุกครั้งที่เราซื้อหุ้น
เราควรคาดหวังได้เลยว่าราคาหุ้นมีสิทธิลดลงได้เช่นเดียวกัน
นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงโอกาสที่ราคาหุ้นจะลดลง
เมื่อซื้อหุ้นแล้วคิดว่าราคาหุ้นต้องขึ้น
แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง กลับทำอะไรไม่ถูก
และคิดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาเองจนมีราคาเท่าเดิม
และตัดสินใจถือหุ้นบริษัทนั้นต่อไป
ถ้าหุ้นบริษัทที่ซื้อมาเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
มีผลประกอบการที่ดี
โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวกลับมาที่เดิมก็เป็นไปได้
แต่นักลงทุนรายย่อยมักชอบซื้อหุ้นเก็งกำไร
ซึ่งโอกาสที่หุ้นนั้นจะมีราคากลับมาเท่าเดิมนั้นมีไม่มากนัก
ตัวอย่างเช่น
หุ้นของบริษัทสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเคยมีการซื้อขายกันที่ราคาหุ้นละ
10 บาท ปัจจุบันมีราคาหุ้นละต่ำกว่า 1 บาท
นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในราคาสูงต้องขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก
หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง
นักลงทุนอาจคิดว่าตลาดหุ้นได้ลดลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว
และอาจปรับตัวขึ้นไปได้ จึงเข้าไปซื้อหุ้นไว้
เช่นเมื่อตลาดหุ้นขึ้นไปถึง 1,700 จุด และลดลงมาเหลือ 750 จุด
นักลงทุนคิดว่าตลาดหุ้นลดลงมาแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง
จึงเข้าไปซื้อหุ้น แต่ในความเป็นจริง
ตลาดหุ้นได้ตกลงไปต่อเนื่องจนถึง 300 จุด
นักลงทุนที่ซื้อหุ้นไว้ต้องขาดทุนมากกว่า 50%
ถึงแม้จะซื้อหุ้นเมื่อตลาดได้ตกลงมากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ในสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้
เครื่องมืออย่างหนึ่งที่นักลงทุนสามารถนำมาใช้ได้ในการ
กำจัดความเสี่ยง คือการ ตัดขาดทุน หรือ Cut Loss
การที่จะทำเช่นนี้ได้ นักลงทุนต้องมีวินัยในการลงทุนอย่างมาก
เช่น เมื่อราคาหุ้นลดลงถึงจุดที่กำหนดไว้
จำเป็นต้องตัดขาดทุนทันที อาจจะเป็น 5%, 10%, หรือ 20%
การทำเช่นนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย
แต่ในทางปฏิบัติถือว่าทำได้ยากพอสมควร
โดยเฉพาะการทำใจขายหุ้นที่ขาดทุนออกไป
บ่อยครั้งนักลงทุนคิดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น จึงรอไว้ไม่ขาย
แต่เมื่อถือไว้ราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงอีกจนเลยจุดที่กำหนดไว้
การขายหุ้นที่เลยจุดตัดขาดทุนไปแล้วอาจทำใจไม่ได้
หรือในบางกรณีเมื่อขายตัดขาดทุนหุ้นออกไป
ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นทันที เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
ถ้านักลงทุนใช้การตัดขาดทุนสำหรับหุ้นของสถานีโทรทัศน์ข้างต้น
หรือการลงทุนในช่วงดัชนีที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
เงินลงทุนอาจไม่เสียหายมากอย่างที่เกิดขึ้น
การ ตัดขาดทุน
ถือว่าเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเก็งกำไร
แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว ถ้าทำการบ้านมาอย่างดี
และมั่นใจในบริษัทที่ลงทุน การขายตัดขาดทุนหรือ Cut Loss
อาจไม่จำเป็นแต่อย่างใด |