
|

|

|
วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


Value Way : หุ้นพลังงาน
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่เป็นที่สนใจของนักลงทุนจำนวนมากกลุ่มหนึ่ง คือ หุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งนำทีมโดยหุ้นปตท. และหุ้นปตท.สผ. ถ้าเทียบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2546 จาก 350 จุด กับดัชนีหุ้นในปัจจุบันที่ 690 จุด คิดเป็นอัตราการเติบโตของดัชนี 97%
ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน หุ้นปตท มีราคาเพิ่มขึ้นจาก 45 บาทต่อหุ้นมาอยู่ที่ 212 บาทต่อหุ้น คิดเป็นการเพิ่มถึง 371% และหุ้นปตท.สผ.จาก 24 บาทต่อหุ้น (ปรับลดเหลือพาร์ 1 บาท) มาอยู่ที่ 107 คิดเป็นการเติบโต 345% มากกว่าการเติบโตของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึงสามเท่าตัว
ราคาหุ้นพลังงานทั้งสองบริษัทนี้ เป็น "ตัวช่วย"ในการดันดัชนีหุ้นไทยไม่ให้ลดลงต่ำในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำในปีที่ผ่านมาสองสามปี
เหตุผลที่ทำให้หุ้นพลังงานทั้งสองบริษัทมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นจาก 35 เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 78 เหรียญ ทำให้ผลประกอบการของสองบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศต่างลงทุนในหุ้นทั้งสองบริษัท เพราะสองบริษัทนี้มีมูลค่าตลาดถึงกว่า 20% ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทย กองทุนไหนไม่มีหุ้นพลังงานถือว่าไม่ทันสมัย
ที่ผ่านมาหุ้นพลังงานถือว่าเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักในการชี้นำตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก ถ้าหุ้นปตท. ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย หรือถ้าหุ้นปตท.มีราคาลดลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงตามไปด้วยเสมอ
นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากซื้อหุ้นพลังงาน เพราะราคาหุ้นบริษัททั้งสองปรับตัวเพิ่มขึ้นมากและคิดว่าราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกในอนาคต
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงกว่า 20% จากราคา 78 เหรียญต่อบาร์เรลลงมาเหลือต่ำกว่า 60 เหรียญ บางช่วงราคาน้ำมันได้ลดลงเหลือ 50 กว่าเหรียญ ทำให้นักเก็งกำไรราคาน้ำมันต่างปิดสถานะในตลาดน้ำมันล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันหุ้นที่ผลประกอบการอิงกับราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน หุ้นปตท.ที่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 270 บาท ลดลงเหลือ 212 บาทต่อหุ้น หุ้นปตท.สผ. จากราคาสูงสุดที่ 138 บาทลดลงเหลือ 106 บาทในเดือนตุลาคม โดยที่ผลประกอบการที่ประกาศออกมาในช่วงปัจจุบันยังมีผลประกอบการที่ดี แต่ตลาดหุ้นได้สะท้อนถึงผลประกอบการในข้างหน้าของทั้งบริษัทว่า จะมีผลประกอบการที่ลดลง ทำให้ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวลดลงถึงแม้ยังไม่ประกาศผลประกอบการออกมา
นอกเหนือจากนั้น ถ้าสังเกตในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้อ้างอิงกับหุ้นพลังงานเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ ถึงแม้ราคาหุ้นพลังงานจะปรับตัวลดลง หุ้นที่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นมากขึ้นคือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง เนื่องจากนักลงทุนต่างลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานลงและเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่มอื่นๆ แทน
นี่เป็นเหตุที่อาจทำให้ถึง"กาลอวสาน"ของหุ้นพลังงานแล้วหรือ?
ถ้าวิเคราะห์ถึงปัจจัยพื้นฐานจะพบว่า ราคาน้ำมันมีผลต่อกระทบต่อผลประกอบการของทั้งสองบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขุดเจาะ โรงกลั่นน้ำมัน หรือปิโตรเคมี ส่วนราคาก๊าซธรรมชาตินั้นไม่ได้อ้างอิงกับราคาน้ำมันทั้งหมดและค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่าราคาน้ำมัน รวมทั้งผลผลิตก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ การผลิตใหม่ๆ ยังไม่สามารถดำเนินการได้เต็มที่ เนื่องจากความล่าช้าของโครงการต่างๆ
ถ้าดูกันในระยะสั้นแล้ว ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังลดต่ำลงไปเรื่อยๆ โอกาสน้อยที่ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่ถ้ามองไปในระยะยาวแล้ว ธุรกิจพลังงานยังคงเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนและการประกอบกิจการของบริษัทต่างๆ ต่อไปในภายภาคข้างหน้า โอกาสที่คนจะเลิกใช้ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันและหันไปใช้พลังงานทดแทนอื่นๆในช่วง 10 ปีข้างหน้าคงมีไม่มากนัก เราคงต้องอยู่กับยุคสมัยของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต่อไปอีกอย่างน้อย 10-20 ปี
ดังนั้น ธุรกิจพลังงานคงไม่ล้มหายตายจากไปไหน แต่หุ้นของบริษัทพลังงานอาจไม่ โดดเด่น เป็นพระเอกเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป จนกว่านักลงทุนจะหันกลับมาให้ความสนใจในหุ้นเหล่านี้อีกในอนาคต..
|
|