
ถือหุ้นกี่ตัวดี(3)
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความคราวที่แล้วได้กล่าวถึงการถือหุ้นของกองทุนไปแล้ว กองทุนส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป โดยมีเป้าหมาย เพื่อที่จะทำผลตอบแทน ให้ได้มากกว่าตลาด แต่กองทุนส่วนใหญ่มักจะมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีตลาดมาก จนทำให้เกิดกองทุนดัชนี (Index Fund) ที่ถือหุ้นตามสัดส่วน ของการคำนวณดัชนีตลาดหลักทรัพย์ บางกองทุนอาจถือหุ้นถึง 50 ตัว เช่นกองทุนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET 50 ถ้าดัชนีเพิ่มทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตาม ถ้าดัชนีลงก็ลงตาม กองทุนดัชนีนับว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ และมีผลตอบแทนที่ชนะกองทุนอื่นๆเป็นจำนวนมาก
อาทิตย์นี้มาดูกันว่าการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยแบ่งเป็นประเภทอย่างไรได้บ้าง ถ้าพูดถึงนักลงทุนรายย่อยมักจะนึกถึงนักลงทุนที่นั่งเฝ้าหน้าจอที่แถวๆห้องค้าตามโบรกต่างๆ แต่ในที่นี้จะหมายถึงนักลงทุนในตลาดหุ้นที่มีเงินลงทุนไม่เกินเก้าหลัก หรืออยู่ในหลักน้อยกว่าร้อยล้านบาท รวมถึงนักลงทุนทุกคนไม่ว่าจะเฝ้าหน้าจอหรือไม่ก็ตาม
นักลงทุนรายย่อยเหล่านี้นับว่ามีจำนวนมากที่สุดคาดว่ามากกว่า 80% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด การแบ่งประเภทของนักลงทุนรายย่อยในที่นี้จะแบ่งตามจำนวนหุ้นที่ถือครองพร้อมๆกันในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการถือหุ้นแต่ละตัวมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน
ประเภทแรก: ถือหุ้นมากกว่า 20 ตัวในเวลาเดียวกัน
นักลงทุนรายย่อยประเภทนี้เรียกว่า ถือหุ้นมากกว่ากองทุนเลยทีเดียว ถ้าเปิดพอร์ตกันออกมาจะเห็นว่าถือหุ้นจำนวนมาก และมักกระจัดกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม บางคนพิมพ์พอร์ตลงทุนออกมาสองหน้ากระดาษยังไม่หมดก็มี หุ้นแต่ละตัวมีสัดส่วนการถือครองเพียงเล็กน้อย ถ้าถือหุ้น 20 ตัวแต่ละตัวจะมีสัดส่วนประมาณ 5% ของพอร์ตทั้งหมด ยิ่งถ้าเงินลงทุนน้อยๆประเภทไม่กี่แสนบาทแต่ถือหุ้นมากกว่า 20 บริษัทละก็ดูไม่จืดเลยทีเดียว แทบจะเป็นเบี้ยหัวแตกเพราะหุ้นแต่ละบริษัทมีการลงทุนเพียงแค่ไม่กี่หมื่นบาทต่อหุ้น
นักลงทุนที่ชอบถือหุ้นจำนวนมากเพราะมีความมั่นใจน้อยในหุ้นแต่ละตัวที่ลงทุน เลยจำเป็นต้องกันเหนียว ด้วยการซื้อหุ้นบริษัทนั้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับพอร์ตทั้งหมด เพื่อที่ว่าเวลาเกิดความผิดพลาดขึ้นจะไม่ทำให้พอร์ตลงทุนเสียหายอย่างมาก
นักลงทุนประเภทนี้เชื่อในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างมาก อาจจะเกิดจากการได้ยินได้ฟังมา หรือจากความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาที่บอกว่า อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ถ้าไม่อยากเสี่ยงมากก็ต้องแบ่งไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ ผลที่ออกมาเลยจำเป็นต้องถือหุ้นจำนวนมาก
การที่มีความมั่นใจในบริษัทที่ลงทุนน้อยเป็นสาเหตุหลักของการที่ต้องถือหุ้นเป็นจำนวนมาก สาเหตุอีกประการก็คือ ไม่กล้าตัดใจขายหุ้นที่ขาดทุนออกจากพอร์ต ทำให้ต้องติดหุ้นเหล่านั้นไว้ในพอร์ตจนกว่าราคาหุ้นจะกลับมาอยู่ที่เดิมจึงทำใจขายออกไปได้ ซึ่งในความเป็นจริงมีหุ้นจำนวนมากที่มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับไปที่เดิมน้อยมากๆ ถ้าถือต่อไปก็ต้องถือเป็นเวลานานมาก เช่น หุ้น N-Park ถ้าใครถืออยู่ที่ต้นทุน 10 บาท ขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1 บาท โอกาสที่ราคาจะกลับไปที่เดิมคงมีไม่มากนักเป็นต้น
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนประเภทนี้มักจะใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์ เพราะการกระจายความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นจำนวนมากทำให้ความเบี่ยงเบนของพอร์ตลดลง ยิ่งถือหุ้นมากเท่าไหร่ ผลการลงทุนก็ยิ่งมีค่าเบี่ยงเบนน้อยลง โอกาสที่จะกำไรมากๆหรือขาดทุนจะน้อยลงตามไปด้วย
ประเภทที่สอง: ถือหุ้นมากกว่า 10 ตัว
นักลงทุนรายย่อยประเภทนี้เริ่มทำการบ้านมากขึ้น มีความมั่นใจในการลงทุนแต่ละบริษัทมากขึ้นกว่ากลุ่มแรก แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือยังคงมีความคิดในเรื่องการกระจายความเสี่ยงเช่นเดียวกับกลุ่มที่หนึ่ง เพราะเชื่อว่าการถือหุ้นหลายๆตัวในหลายๆอุตสาหกรรม จะช่วยลดความสี่ยงในการลงทุนได้
ดังนั้นจึงกระจายการลงทุนในหุ้นหลายๆตัวจนสุดท้ายกลายเป็นถือหุ้นมากกว่า 10 บริษัทขึ้นไป นักลงทุนประเภทนี้หมายถึงนักลงทุนที่ถือหุ้นแต่ละบริษัทเป็นจำนวนเงินเท่าๆ กันหรือใกล้เคียงกันเท่านั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อยบางท่านอาจจะถือหุ้นมากกว่า 10 บริษัท แต่มีสัดส่วนการถือหุ้นหลักๆ อาจจะอยู่ในหุ้นไม่กี่บริษัทไม่ถือว่าจัดอยู่ในประเภทที่สองนี้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลการลงทุนของนักลงทุนประเภทที่สองนี้ไม่เหนือกว่าตลาดมากๆนั้น นอกจากเรื่องของการกระจายความเสี่ยงตามหลักของการลงทุนสมัยใหม่แล้ว ยังมีเรื่องของการทำความเข้าใจในบริษัทที่ลงทุน ซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
การถือหุ้นมากกว่า 10 บริษัททำให้นักลงทุนเข้าใจในแต่ละบริษัทหรือแต่ละอุตสาหกรรมไม่เพียงพอ เมื่อมีผลกระทบเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมที่ลงทุนจึงวิเคราะห์ หรือพิจารณาผลกระทบดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทที่ลงทุนได้ไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ถ้าถือหุ้น 10 บริษัทใน 10 อุตสาหกรรม โอกาสที่เราจะเข้าใจใน 10 อุตสาหกรรมเท่าเทียมกันจะน้อยลง เช่น ถ้าลงทุนในธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สื่อสาร พลังงาน เกษตร ปิโตรเคมี ยานยนต์ พาณิชย์ ฯลฯ พร้อมๆ กัน นักลงทุนคงไม่เข้าใจแต่ละธุรกิจได้อย่างทะลุปรุโปร่งในเวลาเดียวกัน จุดแข็งของการกระจายความเสี่ยงจึงกลายเป็นจุดอ่อนในการลงทุน
ประเภทที่สาม: ถือหุ้น 5-7 ตัว
นักลงทุนรายย่อยประเภทนี้ถือว่าได้กำจัดจุดอ่อนของการลงทุนประเภทที่สองลงมาก จากผลการสำรวจในเวบไซต์การลงทุนพบว่า การถือหุ้น 5-7 บริษัทเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนมักคิดว่าการถือหุ้นแบบนี้ไม่ได้เป็นการฝืนกฎของการกระจายความเสี่ยงตามหลักวิชาการ การลงทุนสมัยใหม่ในเรื่อง อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่อย่างใด เพราะมีไข่ใส่ไว้ตั้ง 5-7 ตะกร้า ขณะเดียวกันก็กำจัดจุดอ่อนในเรื่องความเข้าใจในธุรกิจลงไปได้เรียกว่า ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกทั้งสองตัว ถ้าถือหุ้นแบบนี้ นักวิชาการทางการเงินก็ว่าเราไม่ได้ทำความเข้าใจในธุรกิจก็มี
นักลงทุนส่วนใหญ่จึงสบายใจที่ได้ถือหุ้นมากตัว แต่ก็ไม่มากจนดูแลหรือเข้าใจในแต่ละบริษัทไม่ทั่วถึง การลงทุนในหุ้น 5-7บริษัทในช่วงเวลาเดียวกันจึงได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักลงทุนรายย่อยในบ้านเรา
ประเภทที่สี่: ถือหุ้น 1-2 ตัว
นักลงทุนประเภทนี้มีจำนวนไม่มากนักและเป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อในเรื่องการกระจายความเสี่ยง ส่วนใหญ่มักจะมีประสบการณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นมานานพอสมควร มีความมั่นใจในตนเองสูง(ถึงสูงที่สุด) นักลงทุนกลุ่มนี้มักไม่ชอบคุยกับนักวิชาการการลงทุนแต่อย่างใด เพราะจากประสบการณ์สอนว่ายิ่งกระจายความเสี่ยงยิ่งเสี่ยง ขณะที่นักวิชาการมักบอกว่าการลงทุนลักษณะเช่นนี้มีความเสี่ยงมาก ไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะอาจจะทำให้เกิดหายนะกับพอร์ตการลงทุนได้ถ้าหุ้นตัวไหนตัวหนึ่งเกิดขาดทุนมากๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิชาการการลงทุนไม่รับทราบก็คือ นักลงทุนประเภทนี้มี "ความรู้" เป็นเครื่องมือในการจัดการกับ "ความเสี่ยง" ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนของตนเอง พวกเขาจึงบอกว่า "การกระจายความเสี่ยง" มีไว้สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย
หลังจากทราบการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยไปแล้ว คราวหน้าเรามาดูว่าเซียนหุ้นระดับโลกมีคำแนะนำในการถือหุ้นอย่างไรบ้าง โปรดติดตาม
|