
Value way : บทเรียนการลงทุน 2
มนตรี นิพิฐวิทยา
เหตุการณ์การกล่าวโทษเรื่องการตบแต่งบัญชี ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ก็สามารถจัดเป็นบทเรียนการลงทุนที่มีประโยชน์ได้เช่นกัน และที่สำคัญบทเรียนเช่นนี้มีให้เห็นได้บ่อยๆ ระยะหลังๆ นี้เห็นได้เกือบทุกสองถึงสามปี
รูปแบบไม่ได้เปลี่ยนไปแต่เพียงแค่เปลี่ยนบริษัทและ "ผู้เล่นหุ้น"
ผู้คนจำนวนไม่น้อยมักเห็นการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการพนันชนิดหนึ่ง เป็นการเสี่ยงโชคที่ค่อนข้างมีระดับสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นการพนันอยู่ดี
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ การพนันนั้นเป็นเกมที่มีผู้ได้และผู้เสีย(Zero Sum Game) คือเมื่อสุดท้ายแล้วจะมีผู้ที่มีความสุขกับการได้ และมีผู้เป็นทุกข์เพราะสูญเสีย เป็นการสูญเสียทรัพยากร และอาจสร้างผลกระทบต่อสังคม ครอบครัวได้
กลับมาที่การลงทุนในหุ้นที่ไม่ใช่การเล่นหุ้น การลงทุนในหุ้นคือการร่วมลงทุนในกิจการที่เอาเงินทุนที่ได้จากนักลงทุนไปสร้างการผลิต การบริการ เกิดการจ้างงาน ไม่เกิดการสูญเสียทรัพยากร ตรงกันข้ามกับการเล่นหุ้นที่เป็นการพนันล้วนๆ
การลงทุนที่เน้นไปที่กิจการนั้น เราไม่ได้มองอะไรในระยะสั้นๆ เรามองศักยภาพในการทำกำไรของกิจการในระยะยาว ถ้าผู้ลงทุนทุกคนลงทุนในกิจการที่ดีมีผลกำไรอย่างต่อเนื่อง กิจการมีกำไรสะสม มีเงินปันผล กิจการนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ผมไม่เห็นจะต้องมีใครเสียและมีใครได้ ผู้ลงทุนทุกคนจะได้เงินปันผล และมูลค่าของกิจการที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะไปสะท้อนออกมาเป็นราคาหุ้นในที่สุด แต่มันไม่เร็วอย่างที่หลายๆ คนชอบ แต่มันจะค่อยเป็นค่อยไป ผมไม่เคยเห็นว่ากิจการไหนมันจะมีมูลค่าพุ่งปรูดปราดภายในเวลาข้ามคืน สัปดาห์หรือแม้แต่ในรอบเดือน
หุ้นที่ราคาอยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นแรงๆ ไม่ใช่ว่าจะเป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าไปหมด ส่วนใหญ่ที่เห็นมักจะเป็นหุ้นที่มีการสร้างราคา โดยสร้างสถานการณ์ไม่ว่าการพยายามสร้างภาพให้เห็นว่ากิจการนั้นกำลังจะไปได้ดี โดยการแต่งบัญชี ปล่อยข่าวทั้งว่าจะมีรายใหญ่มาเล่นหรือการได้รับงานใหญ่ๆ
ภาพลวงตาทางด้านพื้นฐานของกิจการนั้นเราสามารถตรวจสอบได้ผ่านการตรวจสอบงบการเงิน ประวัติผู้บริหาร อนาคตของธุรกิจ ส่วนภาพลวงตาทางด้านราคานั้นตรวจสอบยากมาก และมักจะใช้ได้ผลเพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความโลภ เห็นราคาวิ่งขึ้นทุกวันก็อดไม่ได้ หลายคนไม่ทันนึกว่าเวลามันลงมาจะเจ็บตัวได้แค่ไหน
บทเรียนการลงทุนครั้งที่แล้วคือ อย่ายอมขาดทุน" การได้กำไรจากการเล่นหุ้นไม่สำคัญเท่ากับการขาดทุน ได้กำไร 100% หนึ่งครั้ง ขาดทุน 50%ครั้งเดียวกำไรที่ได้มาก็หายหมด เช่น ลงทุน100บาท ได้กำไร 100% ได้เป็น 200บาท เอา200บาทลงทุนแล้วขาดทุน 50% ก็หายไป100บาท เหลือเท่าเดิม คือ 100บาท เห็นหรือยังว่าขาดทุนน้อยกว่าได้กำไรภาพต่างกันมาก ฉะนั้นการ "อย่ายอมขาดทุน" จึงเป็นเรื่องสำคัญ
แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาดทุน?
ถ้าการลงทุนคือการรวมเงินกันทำธุรกิจ เราก็จะต้องตรวจสอบหน่อยว่าคนที่เรามอบหมายให้เขาเอาเงินเราไปใช้ดำเนินธุรกิจนั้นน่าไว้ใจแค่ไหน กิจการนั้นมีอนาคตแค่ไหน จริงอยู่เราไม่อาจเข้าใจธุรกิจได้หมดแต่เราก็ก็สามารถทำความเข้าใจกับธุรกิจบางอย่างที่เราคุ้นเคยและเข้าใจได้ไม่ยาก ฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร มั่นคงแค่ไหน การเติบโตของกำไรและเงินสดเป็นอย่างไร
สิ่งสำคัญก็คือเราต้องดูนานๆ ให้เห็นชัดๆ ให้มั่นใจก่อนแล้วจึงเอาเงินไปร่วมลงทุนกับเขา ข้อมูลพื้นฐานสามารถค้นหาได้จาก Wed site ของตลาดหลักทรัพย์ และ ของ ก.ล.ต.รายงานประจำปี และคุณสามารถสอบถามข้อมูลที่คุณสงสัยจากฝ่ายบริหารของบริษัทได้ ผมทำบ่อยๆ ผมอ่านแบบ56-1หรืองบการเงินแล้วสงสัยอะไรเพิ่มเติมผมก็จะถาม และบริษัทที่ผมเป็นผู้ถือหุ้นก็จะให้คำตอบผมทุกครั้ง ฉะนั้นคุณก็ทำได้ เพียงแต่ว่าจะทำกันหรือเปล่าหรือยังสมัครใจวัดดวงกันต่อไป
หลายคนที่วันจันทร์ถึงศุกร์ช่วง 10.00 น.-16.00 น.มักจะกระสับกระส่ายต้องการดูดัชนี ปริมาณการซื้อขายหรือราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลา ผมก็อยากจะแนะนำให้รู้จัก นายตลาดหรือ Mr. Market ครับ
นายตลาดหรือ Mr. Market ตัวละครที่เกรแฮมใช้เปรียบเทียบพฤติกรรมของตลาด นายตลาดเป็นคนที่งุ่นง่านอยู่ตลอดเวลา เขาจะมาหาคุณทุกวันที่ตลาดเปิดทำการพร้อมกับเสนอให้คุณซื้อหรือขายหุ้นกับเขา ไม่ว่าเขาจะมีข้อเสนอที่ไร้เหตุผลขนาดไหน หรือแม้ว่าคุณจะปฏิเสธข้อเสนอของเขาอยู่บ่อยๆ นายตลาดคนเดิมนี้ก็จะกลับมาหาคุณอีกในวันทำการถัดไป พร้อมด้วยข้อเสนอใหม่ๆเสมอ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นายตลาดจะไม่โกรธคุณและหายหัวไปไหนเป็นอันขาด ไม่ว่าข้อเสนอของเขาจะทำให้คุณพอใจหรือทำให้คุณพลาดท่า เขาจะมาหาคุณทุกวันที่ตลาดเปิด ดังนั้น Warren บอกว่าจงให้เขาเป็นผู้รับใช้คุณ ไม่ใช่เป็นผู้นำทางคุณ
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะยอมให้นายตลาดเป็นผู้นำทางอยู่เสมอ คุณว่าจริงไหม? ถ้าถามผม ผมก็ว่าผมเคยเดินตามนายตลาดมาหลายครั้งแล้ว แกพาผมไปถูกทางบ้างหลงทางบ้าง แต่หลังๆ ที่แกมาหาผม ผมจะให้แกรอผมก่อนบ้าง บางที่ก็รอให้แกงุ่นง่านสุดๆ และเสนอข้อเสนอที่ผมเห็นว่าผมได้เปรียบ ผมพบว่าได้ผลดีทีเดียวเลยครับ
มีหลายครั้งที่ผมถูกถามจากพรรคพวกและแม้แต่โดนถามตอนให้สัมภาษณ์ออกรายการทีวี ว่าคิดว่าสภาพตลาดตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และจะเป็นอย่างไร ผมมักจะตอบได้ในข้อแรกว่ามันเป็นอะไรอยู่ เพราะก็เห็นๆ อยู่ มันหมูมากที่จะตอบ แต่คำถามหลังนี่ซิ ผมบอกว่าผมเองก็ไม่รู้ และไม่เชื่อว่าใครรู้จริง ถ้าผมรู้ผมคงไม่มาบอกใครหรอก เพราะผมจะได้รวยคนเดียว จริงไหม?
ผมได้แต่บอกว่า อย่าไปสนใจกับตลาดเลย มันไม่สำคัญอะไรมากเลย ให้เราเอาเวลาจะคิดเรื่องสภาพตลาดว่าจะเป็นอย่างไรไปให้ความสำคัญกับกิจการที่คุณสนใจดีกว่าครับ ไปรู้และเข้าใจกิจการนั้นให้ลึกซึ้งดีกว่าได้ประโยชน์กว่า แต่หลายคนว่าผมประสาท!!!
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรเอาใจใส่มากกว่าความเป็นไปของตลาดคือ คอยฟังเสียงเรียกของโอกาสทอง ถึงแม้ว่าเราจะไม่สนใจต่อความเป็นไปของตลาดแต่สิ่งที่เรารู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ก็สามารถกระซิบเราได้ว่าโอกาสทองกำลังจะมาแล้วหรือยัง เช่น หลายคนพูดว่า หาหุ้นดีๆ ที่มูลค่าสูงกว่าราคาได้ยากจัง แสดงว่าขณะนั้นตลาดกำลังหรืออยู่ในช่วงที่สูงกว่าความเป็นจริงมาก
ในทางกลับกันหากหลายคนพูดว่าของถูกเต็มตลาดเลย แสดงว่า ขณะนั้นตลาดกำลังหรืออยู่ในช่วงที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก คุณๆ ลองเอากลับไปคิดกันเองว่า โอกาสทองอยู่ในช่วงไหน? ผมไม่บอกหรอก!!!
|