
ลงทุนอย่าง.....ปีเตอร์ ลินซ์
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความอาทิตย์นี้ขอแนะนำหนังสือน่าอ่านสำหรับนักลงทุนเล่มหนึ่ง นั่นคือ "ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินซ์" หรือ Beating the Street เขียนโดยปีเตอร์ ลินซ์ แปลโดยคุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข (เจ้าเก่า) ผู้มีผลงานแปลหนังสือในแนวการลงทุนแบบเน้นคุณค่าออกมาหลายเล่มด้วยกัน รวมทั้งเล่มนี้ซึ่งเป็นเล่มล่าสุดเพิ่งวางแผงไปในงานสัปดาห์หนังสือเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในสามเล่มที่ปีเตอร์ ลินซ์เป็นผู้แต่งหลังจากที่ลาออกจากการเป็นผู้จัดการกองทุนแมคเจนแลน เมื่อปี 1990 หลังจากทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนที่นั่นได้ 13 ปี ขณะนั้นเขามีอายุ 46 ปี เหตุผลหนึ่งที่เขาตัดสินใจลาออกจากงานคือ งานที่ทำอยู่กินเวลาชีวิตของเขามากเกินไป เขาบอกว่า วันหนึ่งเมื่อกลับถึงบ้านในตอนดึกๆ ลูกสาวคนเล็กขณะนั้นอายุ 7 ขวบถามภรรยาของเขาว่า คุณแม่คะ ผู้ชายคนนั้นคือใครค่ะ ผู้ชายคนนั้นหมายถึงตัวปีเตอร์ ลินซ์เอง
นอกเหนือจากนั้นในช่วงสองปีสุดท้ายของการทำงาน เขาพบว่าเขาไม่ได้ดูรายการกีฬาอเมริกันฟุตบอลสักคู่เดียว ทั้งๆที่เขาชอบกีฬาชนิดนี้มาก รวมทั้งเขาสารภาพกับหมอในการตรวจร่างกายประจำปีว่า การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวที่เขาทำคือ การใช้ไหมขัดฟัน!
เขาปฏิเสธข้อเสนอของกองทุนแมคเจนแลนที่จะให้เขาบริหารกองทุนที่มีขนาดเล็กลง เพราะเขาคิดว่าไม่ว่าขนาดของกองทุนจะใหญ่เล็กแค่ไหนก็ตาม เขาก็ต้องทุ่มเทให้กับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำเหมือนเดิม หลังจากลาออกจากการทำงาน เขาได้เขียนหนังสือขึ้นมาสามเล่มและทั้งสามเล่มเป็นหนังสือขายดีติดอันดับมาเป็นเวลาหลายสิบปีจนถึงปัจจุบัน
ในหนังสือลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินซ์ ผู้อ่านจะได้รู้ถึงความคิดและหลักการการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์อย่างละเอียด ในช่วงแรกเขากล่าวถึงการทำงานในกองทุนแมคเจนแลน จากนั้นจะพูดถึงการลงทุนในบริษัทที่เขาสนใจเป็นรายตัว รวมทั้งเหตุผลและวิธีคิดในการตัดสินใจลงทุนในบริษัทเหล่านั้นอีกด้วย
ในหนังสือเล่มนี้ ปีเตอร์ ลินซ์ได้กล่าวถึงนักลงทุนรายย่อยไว้อย่างน่าสนใจดังต่อไปนี้ สิ่งเลวร้ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การลงทุนในบริษัทที่คุณไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบริษัทนั้นเลย โชคไม่ดีที่การลงทุนโดยปราศจากความรู้ยังคงเป็นงานอดิเรกยอดนิยม หากเรามาเปรียบเทียบกับทางด้านกีฬา เมื่อผู้คนค้นพบว่า พวกเขาเล่นเบสบอลหรือฮอกกี้ไม่เก่ง พวกเขาก็จะเลิกแล้วหันไปเล่นกอล์ฟ, สะสมสแตมป์ หรือปลูกต้นไม้แทน อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนพบว่า พวกเขาลงทุนไม่เก่ง พวกเขากลับยังคงเดินหน้าลงทุนต่อไปอยู่นั่นเอง
คนเลือกหุ้นไม่ได้เรื่องเลยจะเป็นคนที่บอกว่าพวกเขาเล่นหุ้น พวกเขาพูดอย่างกับการลงทุนเป็นเกม คนที่เล่นหุ้นจะมองหาผลกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงมือลงแรงอะไร พวกเขาจะมองหาความน่าตื่นเต้นจากการถือหุ้นตัวนี้ในสัปดาห์นี้ และจากหุ้นอีกตัวหนึ่งในสัปดาห์หน้า
การเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกที่มีอำนาจทำลายล้างสูง คนกลุ่มนี้อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปกับการศึกษาโปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบินต่างๆ หรืออ่านหนังสือท่องเที่ยวเป็นตั้งๆเพื่อวางแผนการเดินทาง แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับใช้เงินหลายแสนบาทลงทุนในบริษัทที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบริษัทนั้น กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างขาดความระมัดระวังและไม่ได้มีการทำการบ้านเลย
คนที่ขาดทุนจนเป็นนิสัยพวกนี้มักจะเล่นหุ้นตามสัญชาตญาน พวกเขาจะซื้อหุ้นเพราะพวกเขารู้สึกว่า มันกำลังจะขึ้น พวกเขาจะซื้อหุ้นบริษัทเทคโนโลยีหรือหุ้นบริษัทเรือ เพราะพวกเขาได้ยินมาว่าหุ้นพวกนี้กำลังฮิต
แต่ไม่ได้หมายความว่าปีเตอร์ ลินซ์ไม่เห็นด้วยกับนักลงทุนรายย่อยซะทั้งหมด หรือคิดว่านักลงทุนรายย่อยไม่สามารถเอาชนะพวกผู้จัดการกองทุนเงินเดือนสูงๆได้ เขายกตัวอย่างการลงทุนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม.1) ของโรงเรียนเซนต์ แอกเนส ชานเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ในปี 1990 ที่ต้องการจะทดสอบทฤษฎีที่ว่า การจะเอาดีเรื่องหุ้น ไม่จำเป็นต้องจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ดูกราฟหุ้น และไม่จำเป็นต้องมีแม้กระทั่งใบขับขี่
พอร์ตโฟลิโอต้นแบบของโรงเรียนเซนต์ แอกเนส สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ตลอดช่วงระยะเวลาสองปี ในขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนเพียง 26 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนเซนต์ แอกเนสยังสามารถเอาชนะกองทุนหุ้นกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ได้อีกด้วย ทั้งๆที่ผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นได้รับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ในขณะที่เด็กนักเรียนที่เซนต์ แอกเนสแค่ได้รับประทานอาหารฟรีกับคุณครูและได้ดูหนังก็สุขเหลือล้นแล้ว
ผมมีโอกาสได้รับรู้ถึงผลงานชั้นเยี่ยมแบบนี้จากสมุดบันทึกที่ถูกส่งมาให้ผมที่ออฟฟิศ นักเรียนม.1 เหล่านี้ไม่เพียงแต่ระบุชื่อหุ้นที่พวกเขาเลือก แต่ยังวาดภาพประกอบหุ้นแต่ละตัวอีกด้วย นี่เองที่นำไปสู่กฎของปีเตอร์ข้อที่ 3 ที่ว่า อย่างเพิ่งลงทุนในหุ้นตัวไหน จนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
นอกเหนือจากนั้นปีเตอร์ ลินซ์ยังกล่าวถึงความกลัวของนักลงทุนรายย่อยดังนี้ การซื้อๆขายๆแล้วก็ลืมบริษัทนั้นไปเลย ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ได้รับความนิยม แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดี นักลงทุนจำนวนมากทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาต้องการลืมหุ้นตัวเก่า เนื่องจากพวกมันจะทำให้นึกถึงประสบการณ์อันเจ็บปวด บางกรณี พวกเขาก็อาจจะขายมันออกไปช้าเกินไป ในขณะบางครั้งพวกเขาก็ขายพวกมันเร็วเกินไป ไม่ว่าจะกรณีไหน พวกเขาก็อยากจะลืมเหตุการณ์เหล่านี้ออกไปจากใจ
หากหุ้นที่คุณขายไปมีราคาเพิ่มสูงขึ้นไปอีก มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่อยากมองราคาของมันในหน้าหนังสือพิมพ์ ผมรู้จักคนที่ดูตารางราคาหุ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วพยายามจะไม่ดูราคาของหุ้นตัวที่พวกเขาได้ขายไปแล้ว เพราะกลัวจะตกใจว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้วนับตั้งแต่วันที่พวกเขาได้ขายมันไป
ทั้งหมดคือตัวอย่างแนวคิดจากหนังสือลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินซ์ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่ปีเตอร์ ลินซ์ได้เขียนจากประสบการณ์ของเขาเองอีกมากในหนังสือเล่มนี้ เช่น การลงทุนในหุ้นไฟแนนซ์ในช่วงที่เกิดวิกฤติทางการเงินในอเมริกา หรือ การลงทุนในร้านตัดผมที่เขาใช้บริการอยู่เป็นประจำ รวมทั้งการซื้อหุ้นร้านค้าที่ครอบครัวชอบไปชอปปิงในวันหยุด หรือลงทุนในร้านอาหารที่เขาชอบไปรับประทาน
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นทุกท่าน หนังสือเล่มนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
วิบูลย์ พึงประเสริฐ นักลงทุนบริหารพอร์ตส่วนตัว เริ่มต้นจากการขาดทุนในตลาดหุ้นเมื่อหลายปีก่อน จนพบว่า Value Investing ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตกับเวลส่วนตัวในปัจจุบันได้ จะมาแนะนำการลงทุนแบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับความผันผวนของตลาดหุ้น ผ่านคอลัมน์นี้
|