Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548














ถือหุ้นแบบ...ปีเตอร์ ลินซ์

วิบูลย์ พึงประเสริฐ อาทิตย์ก่อนได้แนะนำหนังสือ ”ลงทุนอย่างปีเตอร์ ลินซ์” ไปแล้ว คราวนี้มาดูกันว่าในหนังสือดังกล่าว มีคำแนะนำในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างไรบ้าง

ถึงแม้ปีเตอร์ ลินซ์จะถือหุ้นมากกว่า 1,500 บริษัท สำหรับกองทุนแมคเจนแลนที่เขาเคยบริหาร นั่นเป็นเพราะข้อจำกัดของกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของ ก.ล.ต.สหรัฐที่ระบุว่ากองทุนต้องไม่ถือหุ้นบริษัทไหนบริษัทหนึ่งมากกว่า 5% ของพอร์ตลงทุน และต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไหนบริษัทหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้กองทุนของเขาต้องซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก บางครั้งเขาบอกเองว่าบางบริษัท ทางกองทุนอยากจะถือหุ้นมากกว่าที่ถืออยู่แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มเติมได้ เพราะข้อจำกัดดังกล่าว

ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่า นักลงทุนรายย่อยไม่ต้องมีกฎระเบียบข้อบังคับกำหนดไว้เหมือนกองทุน ทำให้มีความคล่องตัวในการลงทุนมากกว่ากองทุนมาก แต่นักลงทุนรายย่อยกลับคิดว่าตนเองสู้กองทุนไม่ได้ เพราะคิดว่าตนเองมีความรู้น้อย ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ได้เป็นนักวิเคราะห์มืออาชีพ หรือแม้กระทั่งคิดว่าตนมีเงินทุนน้อยกว่า

ทั้งหมดนี้เขาบอกว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด นักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะตลาดหุ้นและกองทุนต่างๆได้ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องมีดีกรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังมหาวิทยาลัยไหนแต่อย่างใด

เขายกตัวอย่างกองทุนของนักเรียนชั้น ม.1 ของโรงเรียนเซนต์ แอกเนส ชานเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกาที่ถือหุ้นไว้ 14 ตัวในปี 1990 มูลค่ารวม 250,000 เหรียญ ผลปรากฏว่าพอร์ตของนักเรียนชั้นม.1 นี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาสองปี ขณะที่ดัชนีเอสเแอนด์พี (S&P 500) ให้ผลตอบแทนเพียง 26 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน แถมกองทุนของนักเรียนโรงเรียนนี้ยังสามารถเอาชนะกองทุนเกือบทั้งหมดได้อีกด้วย

ถ้าดูที่พอร์ตของนักเรียนโรงเรียนนี้จะพบว่าหุ้นบางตัวมีราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะเดียวกันหุ้นบางตัวกลับปรับตัวลดลง ถึงกระนั้นก็ตามพอร์ตโฟลิโอโดยรวมก็ทำผลตอบแทนได้ดีมาก ผู้ใหญ่บางคนอาจจะบอกว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้ใช้เงินจริงๆ ในการลงทุน ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง หรือบอกว่าเด็กพวกนี้เพียงแค่ ”โชคดี” เท่านั้นจึงทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตเหนือกว่าตลาด แต่ถ้าพิจารณาการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตแล้วจะพบว่า เด็กนักเรียนกลุ่มนี้ไม่ได้เลือกหุ้นอย่างสะเปะสะปะแต่อย่างใด

พวกเขาจะคัดบริษัทที่ดูน่าสนใจกลุ่มหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ทางด้านการเงิน จากนั้นก็ช่วยกันวิเคราะห์บริษัทแต่ละแห่ง รวมทั้งตรวจสอบงบการเงิน และทบทวนข้อมูลต่างๆ และตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวไหน

โดยส่วนใหญ่คุณครูมักแนะนำว่าก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเข้าพอร์ต ต้องสามารถอธิบายได้ว่าบริษัททำธุรกิจอะไร หากพวกเขาบอกเพื่อนในชั้นเรียนไม่ได้ว่า บริษัทนั้นๆ ผลิตสินค้าหรือให้บริการอะไร พวกเขาก็จะซื้อหุ้นบริษัทนั้นไม่ได้

แนวคิดหลักของเด็กนักเรียนกลุ่มนี้คือ ซื้อหุ้นในบริษัทที่เรามีความรู้ความเข้าใจในสินค้า และบริการของบริษัทนั้นๆ อย่างการลงทุนในหุ้นไนกี้ (Nike) ก็เพราะเด็กๆ ชอบใส่รองเท้ากีฬายี่ห้อดังกล่าว หรือการลงทุนในเป๊ปซี่โค (PepsiCo) เพราะพวกเขารู้จักบริษัทนี้จากน้ำอัดลม ร้านพิซซ่า และขนมขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งเลย์

นอกเหนือจากนั้นปีเตอร์ ลินซ์ ยังกล่าวถึงนักลงทุนรายย่อยของสหรัฐอเมริกาที่เป็นสมาชิกของสมาคมนักลงทุนรายย่อย (NAIC - National Association of Investors Corporation) ซึ่งจากการสำรวจพบว่านักลงทุนที่เป็นสมาชิกของสมาคมกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ สามารถเอาชนะดัชนีตลาดหุ้นได้ ซึ่งในสโมสรการลงทุนโดยส่วนใหญ่นั้น การตัดสินใจลงทุนซื้อขายหุ้นใดๆ จำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ก่อน ถึงแม้การตัดสินใจโดยคณะกรรมการอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป แต่ก็ช่วยให้สมาชิกนักลงทุนไม่เทขายหุ้นด้วยความตื่นตระหนก การตัดสินใจแบบกลุ่มนี้เองทำให้พวกเขาได้รับผลตอบแทนจากเงินที่ร่วมลงทุนด้วยกันในสโมสรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ตส่วนตัวของพวกเขาเอง

ในส่วนของจำนวนหุ้นที่ควรจะถือ ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำให้นักลงทุนรายย่อยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 5 ตัวในพอร์ตซึ่งเป็นบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากการบริหารกองทุน นั่นคือ เมื่อนักลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทจำนวน 5 บริษัท เขาจะพบว่าหุ้น 3 บริษัทจะเป็นไปตามที่คาดคิดไว้ หุ้น 1 บริษัทจะประสบกับปัญหาที่คิดไม่ถึง ส่วนหุ้นอีก 1 บริษัทจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าที่คาด ซึ่งหุ้นตัวสุดท้ายนี่เองที่เป็น ”ตัวช่วย” ให้พอร์ตการลงทุนมีผลตอบแทนที่ดี จนบางครั้งสามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เลยทีเดียว

เช่น สมมติว่านักลงทุนถือหุ้น 5 ตัว ในสัดส่วนเท่าๆ กัน ในปีนั้นดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย หรือมีผลตอบแทนเท่ากับศูนย์ และหุ้น 4 ตัว ที่ถืออยู่ทำผลตอบแทนได้เทียบเท่าตลาดที่ 0 เปอร์เซ็นต์ แต่มีหุ้นเพียงหนึ่งตัวที่ทำผลตอบแทนได้อย่างมาก เช่นราคาหุ้นบริษัทนั้นปรับตัวขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพียงพอที่ทำให้พอร์ต การลงทุนมีผลตอบแทนรวมเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถชนะดัชนีตลาดหุ้นได้แล้ว

จะเห็นว่านักลงทุนรายย่อยสามารถเอาชนะตลาดหุ้น และกองทุนรวมต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาข้อมูลของบริษัทเพื่อที่จะเข้าใจในตัวกิจการ รวมทั้งสินค้าและบริการของบริษัทนั้นๆ ก่อนการตัดสินใจลงทุน การไม่ตื่นตระหนกต่อความตกต่ำของตลาดหุ้น รวมทั้งการถือหุ้นที่มีจำนวนไม่มากเกินกว่าความสามารถที่จะตรวจสอบผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้น

ถึงแม้ตัวอย่างต่างๆ ข้างต้นจะเป็นตัวอย่างจากต่างประเทศ แต่นักลงทุนรายย่อยในบ้านเราก็สามารถนำหลักการและข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ปีเตอร์ ลินซ์แนะนำ มาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย

วิบูลย์ พึงประเสริฐ นักลงทุนบริหารพอร์ตส่วนตัว เริ่มต้นจากการขาดทุนในตลาดหุ้นเมื่อหลายปีก่อน จนพบว่า Value Investing ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตกับเวลาส่วนตัวในปัจจุบันได้ จะมาแนะนำการลงทุนแบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกระวนกระวายกับความผันผวนของตลาดหุ้น ผ่านคอลัมน์


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.