Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2549














Value Way : แด่..น้องใหม่

มนตรี นิพิฐวิทยา
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ผมได้สังเกตเห็นจำนวนสมาชิกของชมรมนักลงทุนเน้นมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่มีสมาชิกใหม่บางท่านเข้ามาขอคำแนะนำจากสมาชิกเดิมก็หลายราย บางท่านยังไม่กล้าถามอะไรเพราะยังเกรงว่าจะโดนดุ หรือว่ายังไม่รู้จะถามอะไร

ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่เริ่มเห็นว่าการเล่นหุ้นแบบไม่รู้เรื่องอะไรแล้วซื้อหุ้นตามกระแสข่าวนั้น ไม่ได้ผลดี จึงคิดจะเข้ามาหาแนวทางการลงทุนที่น่าจะทำให้เขาเหล่านั้นลงทุนได้ดีกว่าที่เคยทำมา

ที่ว่าเข้าใจนั้น ก็เพราะว่าเคยเป็นมาก่อน เคยล้มเหลวมาก่อน เคยขาดทุนย่อยยับมาก่อน และเคยสับสนมาก่อน ทั้งๆ ที่มีความรู้มากมาย ผมเรียนมาทุกอย่างตั้งแต่การวิเคราะห์งบการเงิน วิเคราะห์การลงทุน เศรษฐศาสตร์ สารพัดเกี่ยวกับการวิเคราะห์ธุรกิจ แต่ผมก็ล้มเหลว และสับสนว่าทำไมความรู้ก็ไม่ด้อยกว่าใคร ทำไมขาดทุนอยู่ร่ำไป

สมัยของผมนั้นไม่มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนให้อ่านมากมายอย่างในปัจจุบันนี้ ไม่มีชมรมที่มีคนยินดีให้คำแนะนำดีๆ อย่างทุกวันนี้ แต่นักลงทุนรุ่นเดียวกับผมก็สามารถหาหนทางที่จะจัดการกับการลงทุนของพวกเราให้กลับมามีผลตอบแทนที่น่าพอใจได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับผู้ที่คิดจะหันมาใช้หลักการลงทุนแบบเน้นมูลค่านั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกๆ คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้มั่นคง ให้นิ่งให้ได้ ไม่เช่นนั้นถึงคุณจะเอาหุ้นที่นักลงทุนแบบเน้นมูลค่าบอกว่าดีไปลงทุน คุณอาจจะติดดอยก็ได้ เพราะหุ้นที่ดีนั้นอาจจะราคาสูงเกินไปแล้ว เข้าตำรา "หุ้นดีอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี”

การควบคุมอารมณ์ที่ว่านี้คือ การที่คุณยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นที่คุณซื้อได้ ไม่ว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลงรุนแรงแค่ไหนก็ตาม เพราะว่าราคามันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนส่วนใหญ่ แต่มูลค่านั้นขึ้นอยู่กับการสร้างผลกำไรที่เป็นเงินสด และมันมักไม่ผันผวนรวดเร็วเป็นรายวัน รายอาทิตย์ แม้แต่รายเดือนก็ตาม

หุ้นที่ผมซื้อนั้นมักไม่ค่อยเห็นผลขาดทุนอย่างรุนแรง เพราะผมซื้อตอนที่มันราคาค่อนข้างต่ำ ไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่พอราคามันเริ่มขึ้นเพราะมีคนสนใจมัน ราคาก็เริ่มผันผวน บางครั้งขึ้นลงเป็นสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าเห็นก็เสียดายกำไรที่น่าจะได้เลยถ้าขายเสีย ส่วนใหญ่นั้นระหว่างการขึ้นของหุ้นนั้นมักจะผันผวนรุนแรง แต่สุดท้ายผมได้รับรางวัลที่คุ้มค่ากับการรอคอยเสมอ เรื่องอย่างนี้นักลงทุนแบบเน้นมูลค่าเข้าใจดี

ผมเห็นนักลงทุนใหม่ๆ ที่จะปรับมาใช้การลงทุนแบบเน้นมูลค่า ถามถึงวิธีการมากมาย แต่ผมก็เห็นว่า กลับไม่ฟัง ไม่พิจารณาให้ดีว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่กลับไปค้นดูว่าหุ้นอะไรที่นักลงทุนแบบเน้นมูลค่าคุยกันว่าดีและก็ซื้อตาม ซึ่งผมก็บอกว่ามันไม่ต่างอะไรไปจากการเที่ยวได้ไปหาข่าวลือที่พวกแมงมุมปล่อยข่าวล่อเหยื่อมาติดกับหรอก

เพียงแต่ว่าหุ้นที่นักลงทุนแบบเน้นมูลค่าคุยกันนั้น จะคุยกันเรื่องพื้นฐาน ธุรกิจ ตัวเลขในงบการเงินที่จำเป็นและเป็นข้อเท็จจริงซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ แต่หากหยิบเอามาแต่ชื่อหุ้นแล้วลงทุนตามนั้น สิ่งที่คุณได้รับอาจจะได้หุ้นที่มีส่วนต่างความปลอดภัยที่ต่ำมากๆ หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ อันตรายไม่แพ้ข่าวลือ แต่ถ้าคุณอ่านแล้วทำความเข้าใจหลักการและวิธีการเพื่อนำไปปรับใช้ในหุ้นตัวอื่นๆ คุณจะได้รับประโยชน์อย่างมาก

คราวนี้ผมจะขอกล่าวถึงสิ่งที่ต้องทำสำหรับผู้เริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดมีดังนี้

1.เริ่มศึกษาหาความรู้ในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ตรงนี้หาได้จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนซึ่งมีมากมาย อ่านหลายๆ เล่ม หามุมมองหลายๆ คนและปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเราเอง

2.หาข้อมูลของบริษัท จากรายงานประจำปี แบบ 56-1 และงบการเงิน หรือจะเอาข้อมูลที่ค้นหาได้มาปรึกษาหารือกับเหล่านักลงทุนแบบเน้นมูลค่าใน www.thaivi.com ก็ได้ มีคนยินดีให้คำแนะนำ หากแต่ว่าคุณต้องนำข้อมูลที่คุณมีอยู่มาแสดงอย่างละเอียด พวกเขาจะช่วยคุณได้อย่างมาก แต่ถ้ามาถามว่าหุ้นนั้นดีไหม รับรองว่าไม่ได้อะไรแน่นอน ทั้งนี้เพราะว่าต้องช่วยตัวเองก่อน ก่อนจะให้คนอื่นช่วย

3.เมื่อแน่ใจในข้อมูลบริษัทที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว คราวนี้มาดูว่าราคาหุ้นนั้นมันสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราประเมินได้ มีส่วนต่างความปลอดภัยเพียงพอไหม สิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณนิ่งมากขึ้นเพราะอย่างไรก็ตามคนไม่เจ็บตัวมากแน่ๆ ถ้าหุ้นนั้นดูผิดพลาดไป จำไว้ว่าเมื่อพบว่าพลาดให้ขายทันที เท่าไรก็ต้องขาย แล้วเก็บไว้เป็นบทเรียนว่าพลาดเพราะอะไร จะได้ไม่พลาดอีก และที่สำคัญถ้าเห็นว่าหุ้นแพงแล้วอย่าซื้อ ให้รอหรือหาบริษัทใหม่ คุณไม่เสียเวลาและความพยายามฟรีๆ หรอก เพราะคุณได้ความรู้และประสบการณ์มามากทีเดียว

4.ติดตามผลดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูพัฒนาการทั้งด้านดีและด้านที่อ่อนแอของบริษัทเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะขายออกหรือถือต่อไป

5.โดยปกติผมจะใช้เวลาในการศึกษาบริษัทเป็นเวลานานก่อนจะซื้อ ดังนั้นผมไม่มีปัญญาศึกษาหุ้นได้มากมาย ผมจึงมีหุ้นเพียงไม่เกินสี่บริษัทเท่านั้น หรือช่วงที่มากสุดก็ไม่เกินห้าบริษัท แน่นอนว่าการกระจายความเสี่ยงนั้น เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ประสบการณ์ยังน้อย แต่ผมก็ยังคิดว่าผู้มีประสบการณ์น้อยควรให้เวลากับการศึกษาข้อมูลให้มากๆ และเอาใจใส่กับส่วนต่างความปลอดภัยให้มากๆ

สองสิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการกระจายความเสี่ยงแบบถือหุ้นหลายๆ บริษัท

สังเกตให้ดี ผมแนะให้ลดความเสี่ยงมากกว่าการกระจายความเสี่ยง ถ้าคุณกระจายความเสี่ยงนั่นหมายความว่าความเสี่ยงไม่ได้หายไปไหน มันยังคงมีอยู่แต่มันได้ถูกแบ่งออกไปสู่หุ้นบริษัทอื่นๆ แต่ถ้าคุณลดความเสี่ยง นั่นคือคุณทำความเสี่ยงให้ลดลงไปด้วยความรู้ความเข้าใจในบริษัทที่ชาวบ้านรู้แค่ผิวเผิน และแน่นอนคุณได้เปรียบคนอื่นเขาอยู่หลายก้าว

หวังว่าน้องใหม่ในแบบเน้นมูลค่า คงได้หลักการและแนวคิดเพื่อนำไปต่อยอดและปรับใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองกันบ้างแล้ว แต่อย่าลืมว่าความรู้หาเรียนกันไม่หมดไม่สิ้นแค่นี้ไม่พอแน่นอน ต้องเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ขอแค่ตั้งใจจริง จะประสบความสำเร็จแน่นอน


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ NKT NEWS CO.,LTD.