
ธรรมนูญชีวิต...ธรรมนูญการลงทุน : หลักความสำเร็จ
มนตรี นิพิฐวิทยา
ในช่วงที่ลงตีพิมพ์บทความนี้ก็คงผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว พวกเราก็ได้เริ่มต้นดำเนินชีวิตตามแผนการแนวทางที่ควรจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เจริญขึ้นในปีใหม่นี้ สำหรับที่จะนำเสนอต่อไป จะเป็นหลักแห่งความสำเร็จ ซึ่งก็คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งกิจการ กิจกรรมนั้นๆ ที่เรียกว่า อิทธิบาทสี่ หมายถึง หลักธรรมที่ให้ถึงความสำเร็จ ซึ่งมีสี่ข้อคือ
1.การมีใจรัก (ฉันทะ) คือการพอใจจะทำสิ่งนั้น และทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้สำเร็จอย่างดี มิใช่สักแต่ว่าทำให้เสร็จๆ ไป หรือทำเพียงเพราะแค่อยากได้รางวัลหรือผลกำไร การลงทุนเองก็เช่นกัน หากต้องการทำเพียงเพื่อให้ได้กำไรด้วยการเสี่ยงทำไปโดยไม่รู้เรื่องราว ทำลงไปตามข่าวลือข่าวปล่อยนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย
อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า การลงทุนนั้นจะเกิดผลที่ดีได้ต้องมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านอย่างละเอียดรอบคอบ การหาและวิเคราะห์ข้อมูลควรทำด้วยความตั้งใจ ใส่ใจ ไม่ควรทำแบบลวกๆ ขอไปที ยิ่งเราละเอียดมากเท่าไร เรายิ่งได้ข้อมูลมากขึ้น เข้าใจกิจการในรอบด้าน ซึ่งนั่นคือการหาทางหนีที่ไล่เตรียมเอาไว้ เป็นการไม่ประมาท เป็นการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด
2.พากเพียรทำ (วิริยะ) คือการขยันหมั่นประกอบ กระทำสิ่งที่ตั้งใจนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย ก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะสำเร็จ การทำการสิ่งใดหากไม่มีความตั้งใจ ความพยายามแล้วเห็นทีจะสำเร็จยากครับ การลงทุนเองก็เป็นเช่นนั้น เราไม่ควรย่อท้อต่อสิ่งที่ยากๆ ทั้งการศึกษาหาความรู้ที่หลายๆคนว่ายาก หากตั้งใจเอาจริงก็จะไม่ยาก และเป็นเรื่องที่สนุกสนานจะเกิดการมีใจรักที่จะทำตามมา ความพยายามหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจการลงทุนเองที่หลายคนบอกยากที่จะหาได้
หากมีความตั้งใจจริงๆ เราก็สามารถหาข้อมูลมาวิเคราะห์ประติดประต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องนี้มีตัวอย่างให้เห็นมากมายเพียงแต่เราไม่พยายามไขว่คว้าหาดูเอาเป็นตัวอย่าง อย่างเช่น ดร.นิเวศน์ที่เวลาจะเลือกลงทุนทุกครั้งท่านจะพยายามหาข้อมูล เดินตามร้านค้า กิจการต่างๆ ที่ท่านใช้บริการเป็นประจำ ศึกษาแนวโน้มของธุรกิจ รอจนแน่ใจแล้วว่าธุรกิจนั้นๆ เป็นผู้นำในธุรกิจของเขาแล้วจริงๆ จึงลงทุน แล้วมีความเพียรที่จะรอให้ผลงานเกิดผลอย่างใจเย็น
3.เอาจิตใจฝักใฝ่ (จิตตะ) คือการตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด ไม่ปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย ใช้ความคิดในเรื่องนั้นบ่อยๆ เสมอๆ ทำกิจหรืองานนั้นอย่างอุทิศตัวอุทิศใจ การทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ นั้น คงจะนำมาซึ่งความสำเร็จได้ยาก นอกจากจะมีใจรัก มีความเพียรพยายามแล้ว สิ่งที่ต้องมี ก็คือความเอาใจใส่ รู้เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช้สติปัญญาไตร่ตรองเสมออย่าให้ขาด มิฉะนั้นความโลภและความกลัวจะเข้าครอบงำจิตใจและอาจทำให้เราหลงทางได้
ในเรื่องการมีสติตั้งมั่นนี้เป็นเรื่องสำคัญมากต่อการลงทุนครับ ถ้าหากเรามั่นใจในการลงทุนของเราแล้ว เราก็ควรเอาใจใส่ติดตามดูแลผลงานของกิจการของเรา ไม่ปล่อยใจไปตามสภาพการขึ้นลงของตลาดที่มักจะขึ้นๆ ลงๆ ไร้เหตุผลอันสมควร และมักจะบั่นทอนให้การไปสู่จุดหมายปลายทางนั้นเห็นผลช้าลงไป หรืออาจผิดทิศผิดทางไปเลยก็มี
4.ใช้ปัญญาสอบสวน (วิมังสา) คือการหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนเกินเลยบกพร่องขัดข้องในสิ่งที่ทำนั้น โดยรู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีการแก้ไขปรับปรุง เพื่อจัดการดำเนินงานนั้นให้ได้ผลดีมีการพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เหล่านักลงทุนที่เป็นสาธุชนทั้งหลายควรปฏิบัติก็คือการทบทวนตนเองด้วยปัญญาความคิด ว่าที่ผ่านๆ เราได้ทำอะไรลงไปบ้าง มีข้อผิดพลาดอย่างไร หละหลวมในสิ่งใด หาเหตุซึ่งนำมาซึ่งผลที่ได้รับและควรคิดค้นปรับปรุงแนวทางให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป รู้จักวางแผน มีวิธีวัดผลงานอย่างเป็นระบบ และทดลองทำตามแนวทางที่ถูกที่ควร ทั้งนี้เป็นการให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนั้นสมควรหรือไม่ และควรทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การใช้ปัญญาสอบสวนนี้ควรทำบ่อยๆ เมื่อพบข้อบกพร่องก็ไม่ควรรอเวลา ควรรีบจัดการปรับปรุงโดยเร็ว เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดแต่เนิ่นๆ
หลักธรรมที่เรานำมาเป็นหลักการนี้พวกเราสามารถจำเป็นหัวข้อสั้นๆ ว่า รักงาน สู้งาน ใส่ใจงาน และทำงานด้วยปัญญา แต่หากเรามาพิจารณาหลักธรรมนี้เทียบกับหลักการจัดการสมัยใหม่เราจะเห็นอะไรที่คล้ายๆกัน คือ รักงานนั้น คือทำงานด้วยความตั้งใจให้ได้งานที่ดี สู้งาน คือการใช้ความพยายามหาความรู้สร้างความสามารถในงานให้เต็มที่ ใส่ใจในงาน คือทำงานด้วยสติปัญญาไม่ฟุ้งซ่านซึ่งจะทำให้งานเสียหาย สุดท้าย การทำงานด้วยปัญญา คือเมื่อทำงานไปแล้วต้องกับมาตรวจสอบทบทวนให้ถี่ถ้วน และหาแนวทางพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป
หลักการสุดท้ายของการที่จะนำชีวิตให้ไปสู่ความสำเร็จคือ หลักเผล็ดโพธิญาณ คือการปฏิบัติตามธรรม 2 ประการ ที่ทำเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าบรรลุโพธิญาณ คือ
1.ไม่สันโดษในกุศลธรรม คือไม่รู้อิ่ม ไม่รู้พอในการสร้างสรรค์ความดี และสิ่งที่ดี เมื่อเรารู้และประพฤติในสิ่งที่ดีแล้วก็ควรจะแนะนำต่อให้แก่พวกพ้อง แนะนำในสิ่งที่ถูกที่ควร หรือในที่นี้ควรแนะนำแหล่งที่จะหาความรู้ เพิ่มพูนความรู้ แบ่งบันความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ควรชักจูงพวกพ้องให้เชื่อในสิ่งที่เขาไม่รู้จริง ควรทำให้เขาปฏิบัติตามหลักการแห่งความเจริญ และ ความสำเร็จตามที่กล่าวมา
2.บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ คือ เพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ยอมถอยหลัง ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมท้อถอยต่ออุปสรรคและความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก การทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเพียรอย่างมาก
จะสังเกตเห็นว่ามีคนน้อยคนนักที่ประสบความสำเร็จได้ และคนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น มักจะเกิดจากความเพียร เกิดจากโชควาสนานั้นน้อยคนนัก พระพุทธเจ้าเองก็บำเพ็ญเพียรมานานกว่าจะทรงค้นพบหนทางแห่งการหลุดพ้น และสำหรับเราผู้ครองเรือนนั้น ก็ควรจะมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จเช่นกัน
พระพุทธเจ้าสอนหลักการเหล่านี้มานานกว่า 2500 ปี ก่อนที่นักปราชญ์ นักวิชาการตะวันตกจะสอนเรื่องนี้เสียอีก ดังนั้นพวกเราจึงควรเอาใจใส่ นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของเราในทุกด้านก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากครับ
มนตรี นิพิฐวิทยา นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นกว่า 10 ปีและเป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ Thaivalueinvestor.com จะแนะนำกลวิธีการลงทุนแบบเจาะลึกถึงแก่นแท้ในสไตล์ Value Investor ผ่านคอลัมน์นี้
|