Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน

















ธุรกิจการตลาด











Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2549














Value Way : มูลค่า

มนตรี นิพิฐวิทยา
สิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องการคือผลตอบแทนจากการลงทุน จะออกมาในรูปแบบอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าส่วนต่างเงินลงทุน เงินปันผล หรือ ผลตอบแทนจากการเก็งกำไร คำตอบสุดท้ายคือ ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

สำหรับผลตอบแทนของนักธุรกิจคือ ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในธุรกิจ การได้เห็นธุรกิจที่ลงทุนเติบโต และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ คือสิ่งที่นักธุรกิจปรารถนา ต่างไปจากนักเก็งกำไรที่ต้องการเห็นส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเพราะผลตอบแทนของพวกเขาคือสิ่งนั้น ดังนั้นท่านต้องเลือกเอาระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนร่วมธุรกิจ กับ ผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างราคา ถ้าท่านเลือกอย่างแรก ก็เชิญตามผมมา ถ้าท่านเลือกสิ่งหลังเนื้อหาต่อไปนี้อาจไม่มีประโยชน์สำหรับท่าน

ตามที่ได้กล่าวมาตลอดเวลา ตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการลงทุนนั้นคือการวิเคราะห์ธุรกิจ ไม่ใช่การวิเคราะห์หลักทรัพย์ ดังนั้นการที่จะลงทุนให้เกิดมรรคเกิดผลนั้นเราจำเป็นที่จะต้องรู้และเข้าใจในธุรกิจ ไม่ต้องถึงขนาดว่าเราจะต้องเข้าไปนั่งบริหารงานได้เองเลยทีเดียว เพียงแต่เราเข้าใจธุรกิจ ประเมินผลที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่เหล่าผู้บริหารกำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดผลงานในอนาคต

ในการดำเนินงานทางธุรกิจนั้น ในอดีตเหล่านักบริหารทั้งหลายต้องการที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารทำทั้งหมดคือการสร้างผลกำไรให้ได้สูงที่สุด ในยุคต่อมาปรัชญาการดำเนินธุรกิจก็เปลี่ยนไปเป็นการสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่กิจการ ท่านก็จะเห็นว่ากิจการต่างๆ มุ่งมั่นที่จะสะสมสินทรัพย์ ควบรวมกิจการให้ยิ่งใหญ่ตลอดเวลา ในยุคปัจจุบัน(อาจเป็นอนาคต เพราะยังไม่เห็นใครสนใจ)เปลี่ยนมาเป็นการสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจให้แก่กิจการ มุ่งเน้นการสร้างกำไรที่เป็นตัวเงิน โดยพยายามใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่หรือลงทุนเพิ่มให้เกิดกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ผมว่าพวกเรานั้นยังคงอยู่ในยุคโบราณขั้นที่หนึ่งหรือสองที่ชอบจะเห็นกิจการมุ่งสร้างกำไรและสะสมสินทรัพย์กันอยู่เลยครับ ยังไม่ค่อยเห็นกิจการหรือนักลงทุนสนใจมูลค่าเชิงเศรษฐกิจกันสักเท่าไร

จริงๆ แล้วท่านหลงทางกันมานาน ทั้งๆ ที่เหล่านักวิชาการทางการเงินได้คิดสูตรการคำนวณหามูลค่าของกิจการที่มาจากกระแสเงินสดกันมานานแสนนานแล้ว แต่พอจะวิเคราะห์หลักทรัพย์กันก็หันกลับไปเอาหลักการเดิมๆ เช่น PE, PBV หรืออะไรต่อมิอะไรมาอ้างมานำเสนอกัน ถ้าท่านดูให้ดีๆ มูลค่าของกิจการจะเพิ่มขึ้นนั้นเพิ่มขึ้นจากการเติบโตจากกำไรที่เป็นเงินสด อัตราการเติบโตที่ใช้คืออัตราการเติบโตของเงินสด ไม่ใช่อัตราการเติบโตของกำไร สินทรัพย์ที่กิจการมีอยู่ ที่ได้แสดงผ่านทางมูลค่าทางบัญชีหรือ Book Value นั้นบอกท่านแต่เพียงว่ากิจการนั้นมีสินทรัพย์เท่าไร แต่ไม่ได้บอกท่านว่า สินทรัพย์ที่กิจการมีอยู่ได้ถูกนำมาประกอบกิจการสร้างมูลค่าได้มากน้อยเพียงใด

เพื่อให้เข้าใจไว้เป็นทุนเดิมก่อน ผมจะค่อยนำเอาหลักการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมานำเสนอ โดยเริ่มจากสมการง่ายๆ ดังนี้

กำไร = รายได้ - ต้นทุน

กำไรจะมากจะน้อยนั้นขึ้นกับตัวแปรสองตัวคือ รายได้ และต้นทุน รายได้เพิ่มขึ้นมาก ต้นทุนเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้กำไรจะมากขึ้น ดังนั้นผู้บริหารมีหน้าที่สองประการหลักๆ คือ ดำเนินการในการเพิ่มรายได้ กับพยายามลดต้นทุน

ในส่วนตัวแปรของรายได้นั้นยังประกอบไปด้วยตัวแปรอีกสองตัว คือ ยอดขายเป็นปริมาณ และราคาขายเป็นตัวเงิน ดังนั้นผู้บริหารต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สินค้านั้นๆ ผลิตออกมาได้มากๆ และต้องขายได้ปริมาณมากๆ โดยรักษาหรือเพิ่มระดับราคาสินค้าให้สูงขึ้น ซึ่งต้องใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจมากมาย ซึ่งเราจะตามไปดูกันต่อไป

ส่วนของต้นทุนนั้นมีตัวแปรหลักๆ คือ ต้นทุนคงที่ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายที่เดือนๆ หนึ่งไม่ผลิตก็จะต้องจ่ายแน่นอนเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นผู้บริหารที่ดีต้องไม่ยอมปล่อยให้ต้นทุนเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ ต้นทุนส่วนที่สองคือต้นทุนผันแปร ต้นทุนส่วนนี้ไม่ผลิตสินค้าก็มักจะไม่เกิดขึ้น คือพวกวัตถุดิบ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ ค่าดำเนินงานพวกค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ ต้นทุนส่วนนี้ก็จำเป็นต้องจัดการให้เกิดประสิทธิภาพเช่นกัน เช่นใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่า พยายามลดของเสียในการผลิต เลือกกลยุทธ์ในการทำตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด

สิ่งที่อยากจะบอกต่อไปคือ รายได้นั้นจะเกิดเมื่อเริ่มขายสินค้า แต่ต้นทุนนั้นเกิดทันทีและทุกเวลา การที่กิจการมีสินทรัพย์มากๆ นั่นหมายถึงบริษัทมีต้นทุนที่มาก ต้นทุนคือส่วนที่พร้อมจะเป็นค่าใช้จ่ายได้ตลอดเวลา ดังนั้นสินทรัพย์มากแต่ใช้ได้น้อย รังแต่จะเกิดเป็นค่าใช้จ่าย

บริษัทที่ต้องลงทุนสูง และมีสินทรัพย์มากๆ เช่นโรงงานปิโตรเคมี โรงกลั่นฯ โรงเหล็กฯ ล้วนเป็นกิจการที่มีต้นทุนทั้งสิ้น เมื่อใดราคาสินค้ามีราคาสูง บริษัทผลิตสินค้าได้มากๆ บริษัทเหล่านี้จะมีกำไรมาก แต่เมื่อเกิดอาการกลับด้านกันเมื่อไร ราคาสินค้าต่ำลงแม้ผลิตเท่าเดิม รายได้ก็ลดลง แต่ต้นทุนไม่ลดก็จะเห็นว่ากำไรลดลง หรือขาดทุน บริษัทเหล่านี้เรียกว่ามีข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการผลิต (Operating Leverage)

คุณเชื่อไหมว่าบางบริษัทเพิ่มราคาสินค้าได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็สามารถเพิ่มกำไรได้เกือบเท่าตัว และบางบริษัทลดต้นทุนไม่กี่เปอร์เซ็นต์โดยรักษาระดับราคาเท่าเดิมก็สามารถเพิ่มกำไรได้เกือบเท่าตัว

บางบริษัทจึงเลือกกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจออกตามแบบที่เหมาะสมกับกิจการของเขา เช่นบางบริษัทเลือกที่จะเป็นผู้นำในด้านต้นทุนที่ต่ำ เพื่อรักษาระดับกำไรและรักษาหรือเพิ่มตลาด บางบริษัทเลือกที่จะไม่แข่งกับใครพยายามสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้าและบริการเพื่อรักษาระดับราคาให้มีกำไรเพิ่มขึ้นได้

คุณจะได้เห็นข่าวเสมอๆ ว่าบริษัทนั้นบริษัทนี้ขยายกิจการ ตั้งโรงงาน ขยายสาขาเพื่อจะได้เกิดการประหยัดจากขนาด หรือ Economic of Scale แน่นอนใครๆ ก็ต้องเอาใจบริษัทใหญ่เพราะซื้อวัตถุดิบมาก มีสินค้ามาก แต่อย่าลืมว่ายังมีแรงกดดันอื่นๆ อีกหลายประการเช่น สินค้านั้นลูกค้าชอบใช้ไหม สินค้าของคู่แข่งนั้นจะเป็นที่ถูกใจลูกค้ามากกว่าหรือไม่ มีสินค้าทดแทนอย่างอื่นไหม

สิ่งเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมเอาไว้ให้เราได้วิเคราะห์ง่ายๆ ด้วย การวิเคราะห์แรงกดดันธุรกิจห้าประการหรือ Five Forces Model ซึ่งเราจะเอามาคุยกันในคราวหน้าครับ


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.