Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2548














กลมกล่อมในความต่าง

มนตรี นิพิฐวิทยา
เมื่อพูดถึงความต่างในโลกนี้ เราหลายคนก็มักจะนึกถึงอะไรที่มันต่างกันคนละขั้วอย่างชัดเจนขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก โดยมักจะลืมนึกไปว่า ความต่างในโลกนี้มันมักจะมีอะไรที่คล้ายๆ กันบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ถ้ามามีเรื่องการลงทุน(การลงทุนนะครับ)ไม่ใช่การเก็งกำไร เราจะเห็นว่า มีสองขั้วอย่างชัดเจน

ขั้วแรกคือ การลงทุนโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน อีกขั้วหนึ่งนั้นคือ การลงทุนโดยอาศัยปัจจัยทางเทคนิค ทั้งสองขั้วนี้มีจุดหมายปลายทางเดียวกันอย่างแน่นอน นั่นคือพยายามสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน และสิ่งที่จะต้องทำระหว่างทางเพื่อให้ถึงจุดหมายนั้นคือ การศึกษา ปฏิบัติ วิเคราะห์ เพื่อคัดสรรหุ้นเพื่อลงทุนนั่นเอง

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมา ในงาน “ตลาดนัดนักลงทุนไทย” จัดโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงท้ายสุดของวันมีการเสวนาเรื่อง “กลมกล่อมในความต่าง จังหวะการลงทุนในหุ้นพื้นฐาน” ซึ่งผมและคุณมรุต(คัดท้าย)ได้รับเกียรติให้ไปเป็นวิทยากร

สำหรับผมนั้นลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ ส่วนคุณมรุตนั้นเดิมเป็นนักลงทุนแบบใช้เทคนิค และได้มาศึกษาปัจจัยพื้นฐานเพื่อประกอบการลงทุน เรียกได้ว่าแบบผสมผสาน

ผมเคยเปรียบว่าการลงทุนแบบพื้นฐานนั้นค่อยเป็นค่อยไป ไม่ซาบซ่าเปรียบได้กับ “ชาเย็น” ส่วนแนวเทคนิคนั้นมักจะเร่าร้อนเฉกเช่น “โซดา” แล้วเมื่อโซดาเอามาผสมกับชาเย็นมันจะออกรสอย่างไร ท่านที่ไปฟังคงได้ลิ้มรสชาติมาแล้ว

คุณมรุตนั้นเดิมทีใช้ปัจจัยทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่มักพบปัญหาบางอย่างที่ปัจจัยทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้คำตอบได้ จึงหันมาศึกษาพื้นฐานเพิ่มเติม ซึ่งก็ทำให้พบกับคำตอบที่ทางเทคนิคตอบไม่ได้ และพื้นฐานเพียงอย่างเดียวก็ตอบไม่ได้ แต่เมื่อนำปัจจัยทั้งสองอย่างมาประกอบกลับเป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และใช้ได้ผล

สิ่งที่คุณมรุตค้นพบที่น่าสนใจอย่างแรกคือ “แนวโน้ม หรือ Trend” นักเทคนิคถูกสอนว่าอย่าฝืนแนวโน้ม แต่จงเป็นเพื่อนกับแนวโน้ม และมักพบว่าแนวโน้มทางเทคนิคกับแนวโน้มตามพื้นฐานมักจะไปในทางเดียวกัน ตรงนี้พอจะอธิบายได้ว่า เมื่อมีผู้เห็นว่าแนวโน้มของธุรกิจเริ่มจะดีขึ้น ก็จะเริ่มมีผู้เข้ามาเก็บหุ้นนั้นๆเพิ่มมากขึ้น เส้นแนวโน้มทางเทคนิคจะเริ่มส่งสัญญาณว่าเป็นขาขึ้น และในทางกลับกันก็จะส่งสัญญาณเป็นขาลง ทีนี้อย่าลืมว่าแนวโน้มนี้มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว สำหรับแนวโน้มนี้ชัดเจนว่าคล้ายกันมาก

ดังนั้นการศึกษาพื้นฐานให้ได้ข้อมูลเพื่อยืนยันปัจจัยทางเทคนิคจะทำให้ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ โอกาสพลาดน้อยมาก

ปัจจัยทางเทคนิคนั้นมักเป็นการแสดงถึงความคิด อารมณ์ ของผู้เล่นในตลาดหุ้นซึ่งสะท้อนผ่านมายังราคา และปริมาณการซื้อขาย แน่นอนว่าผู้เล่นบางส่วนรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสารบางอย่างและก็จะมีผู้เล่นบางส่วนยังไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือเกิดความคิดที่ต่างกันของผู้เล่นสองส่วน ที่นี้ฝ่ายไหนจะชนะขึ้นอยู่กับฝ่ายใดกำลังสูงกว่า แต่สุดท้ายก็หนีพลังแห่งแนวโน้มไม่ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าแนวโน้มดีสุดท้ายเมื่อข้อมูลข่าวสารกระจายไปทั่วถึงผู้เล่นทุกคนก็จะเห็นตรงกันและร่วมกันซื้อหุ้น และในทางกลับกันก็จะร่วมกันขายหุ้น มันเป็นการร่วมมือร่วมใจกันอย่างประหลาด

ส่วนที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของทฤษฎีประสิทธิภาพของตลาด ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพราคาหุ้นนั้นจะถูกสะท้อนข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะทุกคนรู้เหมือนๆ กัน คิดเหมือนๆ กัน แต่ถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพก็จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือ ผันผวนยุ่งเหยิง ขึ้นๆ ลงๆ อย่างที่เห็นๆ กันนี่แหละครับ

ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นแบบที่กล่าวว่าตลาดจะค่อยๆ เริ่มสะท้อนข้อมูลข่าวสารไปที่ละน้อยๆ ความผันผวนจะเกิดขึ้นในช่วงแรกเนื่องจากการที่ได้รับข้อมูลไม่เท่ากัน วิเคราะห์ข้อมูลไม่เหมือนกัน (คิดไม่เหมือนกัน) แต่พอข้อมูลเริ่มชัดขึ้นเป็นลำดับ ความผันผวนก็จะเริ่มหายไป

ทีนี้จะไปทางไหนนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลว่าเป็นข้อมูลในทางดีหรือทางร้าย เรื่องอย่างนี้เห็นกันชัดๆ ในตลาดหุ้นบ้านเราครับว่าช่วงนี้ (บทความนี้เขียนในวันพ่อแห่งชาติปี2548) ผันผวนเอามากๆ แต่เชื่อผมเถอะว่ามันจะค่อยๆ เห็นกันเองว่าจะไปได้ทางไหน คุณมรุตเองดูจากปัจจัยเทคนิคแล้วบอกว่าตอนนี้ตลาดหุ้นเราอยู่ในกรอบชายธงสะบัดไปสะบัดมาไม่รู้ว่าออกล่างหรือบน

ส่วนผมบอกไม่รู้ครับ ผมดูหุ้นเป็นบริษัทๆไป การฟันธงลงไปเป็นเรื่องที่อันตรายมากเพราะเรายังได้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ การลงทุนไม่ใช่เรื่องของการวัดใจครับ แต่มันเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้ถูกต้องมากที่สุด

เมื่อระบบมันเป็นอย่างนี้แล้วก็มักจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามสร้างภาพลวงตา สร้างข้อมูลปลอมๆ ไม่ว่าจะสื่อออกมาเป็นข่าวลือที่มาพร้อมกับการปรับขึ้นของราคาและปริมาณการซื้อขาย หรือการตบแต่งงบการเงินเพื่อให้ผู้เล่นแปรความหมายของข้อมูลไปในทางที่พวกเขาต้องการ แล้วมักจะได้ผลเสมอเสียด้วย เนื่องจากความโลภจะเหนือความมีเหตุผลเสมอถ้าไม่ควบคุมให้ดี

ระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกรองข้อมูลต่างๆ ก็เกิดมีขึ้น อย่างการตรวจสอบข้อมูลของ ก.ล.ต. ซึ่งระยะนี้ทำได้ดีเอามากๆ และการที่มีนักวิเคราะห์ที่คอยกรองข้อมูลออกมาเป็นบทวิเคราะห์ให้นักลงทุนได้เลือกอ่านทำความเข้าใจ แต่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดและจะขาดเสียมิได้เป็นอันขาดคือ ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องมือในการหาทางเลือกที่ดีที่สุดและทรงประสิทธิภาพที่สุด การควบคุมความโลภด้วยการเอาเหตุผลที่ได้วิเคราะห์นำการตัดสินใจ

จริงๆ แล้วความคล้ายกันของทั้งสองขั้วนั้นยังมีอีกมาก ลำพังโควตาหน้ากระดาษนี้คงไม่พอให้กล่าวถึงกันได้หมด ถ้าใครสนใจผมแนะนำให้อ่านหนังสือของ William O’Neil เรื่อง “How to make money in the stock market” จะเห็นว่าความเหมือนในความต่างเป็นอย่างไร และมันกลมกล่อมกันได้อย่างไร และจะเห็นถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของทั้งสองขั้ว ซึ่งแน่นอนมันสามารถลดจุดอ่อนเสริมจุดแข็งกันได้เป็นอย่างดี

สุดท้ายนี้ผมอยากจะช่วยประชาสัมพันธ์งานดีๆ ที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนกันสักหน่อย คืองาน “ตลาดนัดนักลงทุนไทย หรือ Thai Investor Day” ที่จะมีขึ้นทุกๆ ต้นเดือนตลอดทั้งปี จัดที่ตลาดหลักทรัพย์ และสำหรับสมาชิกของสมาคมฯซึ่งโดยปกติแล้วจะได้สิทธิพิเศษในการเข้าร่วมงานสัมมนาดีๆ ให้ความรู้ที่มีประโยชน์ในราคาส่วนลดแล้วก็จะได้สิทธิพิเศษในการจองที่นั่งก่อนใคร

และแน่นอนครับทาง Thaivi.com ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้ด้วยครับ...

มนตรี นิพิฐวิทยา นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นกว่า 10 ปี และเป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ Thaivalueinvestor.com จะแนะนำกลวิธีการลงทุนแบบเจาะลึกถึงแก่นแท้ในสไตล์ Value Investor ผ่านคอลัมน์นี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.