Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2548














Value Way : บทเรียนการลงทุน 3

มนตรี นิพิฐวิทยา
คุณเคยไหมที่ ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไรดี จะซื้อเมื่อไหร่ จะขายเมื่อไหร่ ผมเองได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนๆบ่อยมากสำหรับสองคำถามแรก ส่วนคำถามสุดท้ายนั้นไม่ค่อยได้รับ เพราะพวกๆ มักชิงโอกาสไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ค่อยถามกันหรอกครับ

เรื่องต่อมาก็คือ ขายเร็วไปหน่อย อันนี้เป็นเพราะมีอารมณ์ร่วมกับนายตลาดมากไปหน่อย ส่วนบางคนก็ถือหุ้นที่ราคาลงไปมากๆ เสียจนขายไม่ลงแต่ใจยังเกินร้อย มักถามว่าซื้อเฉลี่ยดีไหม

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของนักลงทุน ไม่เฉพาะกับนักลงทุนบ้านเราหรอกครับ เป็นกันทั่วไป ไม่ถือว่าผิด

บางคนชอบหุ้นบริษัทหนึ่ง ศึกษามาอย่างดี ละเอียดทุกซอกทุกมุม ถามผู้บริหารมาจนครบถ้วนกระบวนความ แต่ก็ขอให้ได้ถามความเห็นเพื่อนๆ สักหน่อยพอเป็นได้กำลังใจถึงจะซื้อ เข้าข่ายว่า "รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย" จริงๆ อย่างนี้ถือว่าดีครับ เพราะบางเรื่องเราเห็นว่าดีแต่พรรคพวกยังมีข้อสงสัยที่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้นึกถึง ถ้าเพื่อนบอกมาเราจะได้ไปตรวจสอบให้รู้ชัดๆ ไปเลยจะได้ไม่เป็น "รวมกันตายหมู่" ครับ

ส่วนเรื่องจะซื้อเมื่อไหร่ดีนั้นเป็นคำถามที่ได้รับและถูกบังคับให้ตอบเป็นประจำ ถือเป็นคำถามยอดฮิตติดอันดับเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นหุ้นที่ผมถืออยู่ก็อึดอัดเล็กน้อย แต่ถ้าไม่มีอยู่แต่พอรู้อยู่บ้างก็จะตอบง่ายหน่อย หลังๆ มานี่ผมมีไม้เด็ดครับ ใครถามว่าซื้อเมื่อไหร่(จริงๆ แล้วจะถามว่าซื้อราคานี้ดีไหม) ผมก็บอกว่าให้รอให้ราคาลงมากๆ ก่อนค่อยซื้อ จะปลอดภัย อีกสองสามวันต่อมาก็มีโทรศัพท์มาบอกว่าซื้อแล้ว ถามว่าทำไมไม่รอ เขาตอบว่า "ก็ไม่รู้ว่าพี่จะให้รอถึงเมื่อไหร่" นับว่าแผนของผมใช้ได้ผล รอดตัวไปหนึ่งกระทง

ส่วนตอนขายนี่ ถ้าขายเร็วเรียกว่าขายหมู เป็นเรื่องที่นำความเจ็บใจมาสู่นักลงทุนไม่น้อย จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องทางจิตวิทยาแท้ๆ เรื่องของเรื่องคือ กลัวจะเสียกำไรที่ได้มามากแล้ว เดี๋ยวมันลงจะอด เรื่องนี้ตอบยากว่าอย่างไรดี ถ้าปลอดภัยไว้ก่อนก็ไม่น่าคิดมาก แต่ถ้ามองที่ธุรกิจจริงๆ และตัดอารมณ์รบกวนจากนายตลาดได้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร จะขึ้นจะลงก็ปล่อยมันไป ส่วนตัวผมถือหุ้นสองสามบริษัท ซื้อแล้วก็ถือยาว จึงไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับตลาดนัก จึงมักไม่ค่อยเกิดปัญหานี้ ใครมีปัญหานี้ไปปรึกษาคุณวิบูลย์ได้ พี่แกถือหุ้นพลังงานบริษัทหนึ่งตั้งแต่ราคาร้อยกว่าบาท บัดนี้ราคาสี่ร้อยกว่าบาท ยังเฉยๆ!!!! น่าอิจฉาจริงๆ

การลงทุนนั้นถ้าอารมณ์ของนายตลาดดี คนเล่นมักได้ค่าขนม แต่ถ้าอารมณ์แกไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ยุ่งเหมือนกัน อันอารมณ์ของพี่แกเอาแน่เอานอนไม่ได้เสียด้วย บทจะดีเหล่าแมงเม่าก็ตามไม่ทัน นั่งดูจอไปก็ ร้อง “โอ้โฮ” ไป ก็ไม่ทันได้ซื้อไว้นะซิ ส่วนเวลาแกอารมณ์บ่จอยขึ้นมาก็นั่งซึมกันไปหมด จริงๆ แล้วนายตลาดนี่ถ้าเป็นบุคคลก็จัดได้ว่าเป็นคนสำคัญทีเดียว เพราะเช้าๆ จะเห็นมีคนออกมาคาดเดาอารมณ์แกทุกวันมิได้ขาด น่าอิจฉานายตลาดอีกคนดีกว่า!!!

อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดเสียมิได้คือ พวกคุณๆ ที่ใจแข็งดังหินผา หุ้นที่ถืออยู่ตกได้ตกดี ตกอย่างไม่มีชิ้นดีก็ยังรักไม่ยอมขายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่า “ถึงร้ายก็รัก” ว่ากันจริงๆ เลยก็ไม่ใช่หรอก จริงๆ แล้วมันสุดจะตัดใจได้ต่างหาก ก็พวกเล่นไหนลงเสียจนไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรกับมันได้เลย ถ้ามันเป็นหุ้นที่ดีแต่มีพวกมือบอนมาทำให้ลงไปนอนเล่นที่ต่ำมากๆ นานๆ นั้น อันนี้เป็นที่ชื่นชอบและขอชื่นชมท่านที่มือบอนนั้นเป็นอย่างสูง เพราะจะได้ซื้อของดีราคาถูกในเวลาที่ไม่ต้องเร่งรีบนัก แต่ไม่ค่อยมีหรอก เพราะแกรีบพามาและก็รีบพากลับ ส่วนหุ้นที่ไม่ค่อยเอาไหนนั้นพี่แกพามาส่งแล้วก็หนีเลยนั้นขอยืนยันว่า เท่าไรก็ชั่ง ฉันไปก่อนละ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่มีอนาคตยังจะทู่ซี้อยู่ด้วยไปทำไม

เรื่องนี้มีคนพูดคุยปรับทุกข์กันบ่อยไม่น้อย นับว่าเป็นเรื่องร่วมสมัย ไม่เชย คุยได้เรื่อยๆ แต่ถ้าทับถมกันมากๆ อาจโดนสหบาทาได้ จึงควรหลีกเลี่ยงถ้าเห็นว่าเขารักหุ้นนั้นจริงๆ ก็ควรยิ้มๆ เฉยๆ เอาไว้ ปลอดภัยกว่า

อย่างน้อยก็มีผู้กล้าที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ครับ ผมเห็น Banner ใน www.thaivi.com <http://www.thaivi.com> ว่า บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป จะจัดสัมมนาฟรีเรื่องนี้ในวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ที่ตลาดหลักทรัพย์ ช่วงบ่ายโมงเห็นจะได้ ใครสนใจก็สำรองที่นั่งนะครับ ถ้าว่างๆ ผมก็จะไปฟังด้วยครับ

เรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้นจะเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ถ้าเรารู้จักมูลค่าและใช้ในการลงทุนอย่างเหมาะสมครับ

เรื่องของมูลค่ากับราคานั้นเป็นที่หลายคนเชื่อและหลายคนก็ไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่พยายามหามูลค่ามาเทียบกับราคา เพราะมองว่าไร้สาระ เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นนั้นเกิดจากอารมณ์ และแรงเงินของคนส่วนใหญ่ พวกเขาจึงเน้นไปที่การดูว่าคนส่วนใหญ่ใช้อารมณ์กับเงินของเขาอย่างไร สำหรับคนที่เชื่อเรื่องมูลค่าก็จะเน้นไปที่กิจการเพื่อหามูลค่าของมัน เพื่อเอามาเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในขณะนั้น เพื่อหาของดีที่กำลังลดราคา โดยมองว่า "ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ" แน่นอนครับว่ามูลค่าที่แต่ละคนจะให้กับอะไรสักอย่างจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้และเข้าใจมูลค่าของสิ่งนั้นๆ หรือไม่ คุณเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับตัวเองได้

ผมไม่ได้บอกว่าคนที่ไม่เชื่อจะเป็นผู้ผิด แต่คนที่เชื่อเป็นผู้คิดถูก เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่ออย่างไร ทำอย่างไรแล้วได้ผล สำหรับผมเป็นคนในกลุ่มที่เชื่อจึงกล่าวถึงเรื่องนี้มาก อีกประเด็นหนึ่งคือผมไม่รู้จริงว่าคนที่ไม่เชื่อเขาทำกันอย่างไร จึงไม่กล่าวถึงมากนัก กลัวผิดพลาดเพราะมันนอกเหนือจากขอบเขตความสามารถของผม

เรื่องมูลค่าที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในขณะเดียวกันมันก็เป็นแนวคิดที่ยากที่จะอธิบาย ไม่มีสูตรสำเร็จในการกำหนดมูลค่า แต่คุณต้องรู้ซึ้งในธุรกิจนั้นๆ อย่างถ่องแท้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อในราคาที่ต่ำที่สุด แต่ขอให้เราซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่มันควรจะเป็น ธุรกิจนั้นต้องบริหารงานโดยคนที่ซื่อสัตย์ มีความสามารถ หากว่าคุณได้ซื้อธุรกิจที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าของมัน ประกอบกับคุณมั่นใจในทีมผู้บริหาร คุณกำลังจะได้ทำเงินแล้ว

ใครที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ผมแนะนำให้อ่านซ้ำหลายๆ รอบ อ่านให้ได้ใจความครบทุกตัวอักษร ขอบอก!!!

การทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เป็นหลักในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าในช่วงเวลาที่ลงตัวที่สุด เพราะไม่มีใครมาแย่งคุณซื้อแน่ๆ ที่สำคัญมีแต่คนขาย คุณจะได้ของดีราคาถูกมากมาย คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ แท้จริงแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ คุณไม่สามารถที่จะซื้อหุ้นที่กำลังได้รับความนิยม และจะได้รับผลดีจากมัน คุณไม่จำเป็นต้องเก่ง มีIQที่สูงถึง 160 หรอก ในการลงทุนนั้นคน IQ สูงไม่ได้มีความได้เปรียบคนที่ IQ 120 เลยครับ ขอบอก เพราะผมก็IQแค่ 120 เอง!!!

เรื่องมูลค่ากับ IQ นั้นไม่ได้แปรผันตามกัน แต่สิ่งที่จะแปรผันตามมูลค่าคือ รายได้ หรือ การส่อแววของรายได้ในอนาคตทำให้หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยดี ในที่สุด หุ้นก็จะไปได้ดีเช่นกัน


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.