Value Way : อยู่ไม่สุข |
![]() |
![]() |
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา | |
Friday, 04 February 2005 | |
ช่วงที่เขียนบทความนี้ เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นค่อนข้างคึกคัก ดัชนีทะลุ 700 จุด และไม่นานก็กลับลงไปมุดอยู่ที่ 700 และก็กลับมาโผล่หัวหายใจแถว 700 กว่าๆ อีกครั้ง พร้อมๆกับความเมามันของแมลงเม่า และพวกต่างชาติที่ยัดเงินใส่ตลาดหุ้นไทยแบบที่เรียกได้ว่า ไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหนกระมัง ช่วงเวลาอย่างนี้ผมและเพื่อนๆ Value Investor มักไม่ค่อยมีอะไรจะทำ เพราะหุ้นใหญ่น้อยทั้งหลายได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่สูงสุดเอื้อมสำหรับพวกเราเหล่า Value Investor เสียแล้ว ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ว่างสุดๆ เหงาและว้าเหว่มากๆ
หลายท่านคงคิดว่า ก็แล้วตลาดหุ้นคึกคักอย่างนี้ไม่เข้าไปตะลุมบอนกับเขา แล้วเราไม่เสียโอกาสหรือ? ก็อาจจะเสียโอกาสบ้างไม่มากก็น้อย... แต่เรามองไม่เห็นโอกาสอย่างที่ว่ามาครับ พวกเรามักเห็นโอกาสตอนที่ตลาดหุ้นซบเซา ว้าเหว่ ขาดผู้ร่วมสร้างความเมามันในตลาด เราคิดว่าเราจะได้กำไรเมื่อซื้อเท่านั้น ตอนซื้อไม่ได้กำไร แต่ได้ความเสียวไส้ เราไม่เอาเด็ดขาด! เรื่องความอยู่ไม่สุขกับตลาดหุ้นนี่ ผมมีเพื่อนผมท่านหนึ่งแกชอบอยู่ไม่สุขกับตลาดหุ้นครับ ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาพใด แกก็จะอยู่ไม่สุข....แกจะต้องสร้างการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในวันนั้นๆให้จงได้...ไม่มากก็น้อยเพื่อสร้างความเสียวไส้ให้กับชีวิตที่ไร้รสชาติ เวลาอยากรู้ว่า หุ้นอะไรเคลื่อนไหวอย่างไร...ผมจะโทรไปถามแก...แกจะตอบได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ...ไม่ว่า เสนอซื้อ เสนอขายเท่าไร ปริมาณการซื้อขาย รวมไปถึงรูปแบบของการซื้อขาย.... “มันกำลังไล่กันสุดๆไปเลยว่ะ...หรือโห...มันทิ้งกันไม่ใยดีเลยว่ะ...แต่ดูแล้วมันต้องเอากลับแหงๆ” และถ้าอยากรู้ผลว่าจะออกมาทรงใดให้โทรไปถามตอนหลังสี่โมงครึ่ง จะได้คำตอบหลากหลายมาก... “หลังคารถพร้อมยางสี่เส้นหายไปเลยว่ะ... หรือวันนี้จะกินอะไรดีวะ...มน..เฮียจะเลี้ยงเอง เอิ๊กๆ ” คงเดาได้นะครับว่า อารมณ์ไหนเป็นอารมณ์ไหน ถ้าเฮียอ่านเจอก็อย่าได้ต่อว่า อะไรผมเลยนะ...ถือว่าเป็นประสบการณ์แบ่งปันกันได้ สำหรับชีวิตผมและอีกหลายๆคนคงไม่ตื่นเต้นเร้าใจเท่าไรนัก เพราะเรากลัวความเสี่ยงทุกประเภท สิ่งที่เราเลือกทำคืออยู่เฉยๆ เมื่อไม่รู้จะทำอะไร...ก็อยู่เฉยๆ หรือ ไม่มีหุ้นดีๆราคาสมเหตุสมผลให้ซื้อ...ก็อยู่เฉยๆจะดีกว่า การอยู่ไม่สุขในการลงทุนนี่ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียอะไรนะครับ ความจริงแล้ว 'เสียครับ' คือ เสียค่าคอมมิชชั่นให้นายหน้าแน่นอน หรือ ถ้าหุ้นที่ซื้อราคาลง ก็จะเสียสองต่อ คือ เสียเงินและเสียอารมณ์ความรู้สึก ส่วนคนที่จำเป็นจะต้องอยู่ไม่สุขก็มีครับ คือ ถ้าอยู่สุขเห็นทีจะโดนไล่ออกแน่นอน คือเจ้าหน้าที่การตลาดที่ลูกค้าซื้อขายมากก็ได้มาก นักวิเคราะห์..อย่างไรก็ต้องออกบทวิเคราะห์...ไม่เช่นนั้น ไม่มีผลงานตลาดหุ้นจะดีไม่ดีอย่างไร ก็ต้องออกมาวิเคราะห์ไว้ก่อน ผู้จัดการกองทุนก็ต้องซื้อขายหุ้นครับ เพราะเอาเงินลูกค้าไปสร้างผลตอบแทน...จะเอาไปกองรับดอกเบี้ย ก็ไม่ได้นาน สำหรับนักลงทุนอิสระแล้ว สามารถเลือกได้ว่าจะลงทุนหรือไม่ลง ไม่มีโอกาสดีๆก็ไม่ลงทุนอยู่เฉยๆ Warren Buffett บอกว่า 'เคล็ดลับของเขาคือ เมื่อไม่มีอะไรจะทำ...ไม่ทำอะไรเลยจะดีที่สุด' ส่วน George Soros บอกว่า 'เพื่อให้ประสบความสำเร็จ...เราควรมีเวลาหย่อนใจและมีเวลาเป็นของตัวเองมากๆ' ที่กล่าวมานี่ไม่ได้หมายความว่าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยนะครับ เซียนพวกนี้เขาไม่ทำอะไรกับการลงทุนเท่านั้น แต่เขาคอยมองหาโอกาสเหมาะๆ วิ่งเข้าชนบังตอตลอดเวลา ผมเองก็ลอกเลียนแบบเขามาอีกที แต่กว่าจะเลียนแบบได้อย่างแนบเนียนนี่ ก็แย่เหมือนกันนะครับ คืออยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน เห็นไม่ได้เป็นต้องหาอะไรลุยสักหน่อย แต่ตอนนี้เอาธรรมชาติเข้าขย่ม คือ ข่มอย่างเดียวเอาไม่อยู่ ตอนนี้ก็รดน้ำพรวนดินปลูกต้นไม้ไปพรางๆ รอโอกาสเหมาะมาหา แต่...เอ.....ไม่เห็นหมูวิ่งมาชนบังตอนานแล้วนะเนี่ย! ********************* ล้อมกรอบต่อท้าย หมายเหตุ : ในเรื่อง 'คลายเครียดเรโช' ที่ตีพิมพ์ในวันที่ 21 มกราคม 48 นั้น มีข้อผิดพลาดที่จำเป็นต้องแก้ไขสักนิดหน่อยเกี่ยวกับ คลายเครียดเรโช(มหภาค) ดังนี้ครับ มาดูสูตร คลายเครียดเรโช(มหภาค) : ราคาตลาด / ราคาทุน > 1 จากสูตรจะเห็นว่า เมื่อราคาหุ้นหลังจากที่ซื้อมาแล้วได้ปรับตัวขึ้นไปสูง เท่ากับหรือมากกว่าราคาทุนที่ซื้อหุ้นมาแล้ว ให้ชักเอาส่วนที่เป็นทุนออกมาก่อนเพื่อความอุ่นใจ และเป็นการลดความเครียดจากการถือหุ้นนั้นๆ เอาไว้ต่อ ยิ่งตอนที่ขายเมื่ออัตราส่วนคลายเครียดสูงมากกว่า 1 มากๆ ความเครียดจะยิ่งลดลงเป็นลำดับ เช่น เมื่อเราซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาที่ราคา 10 บาท ปัจจุบันราคาได้ขึ้นมาที่ 25บาท เราจะได้คลายเครียดเรโชเท่ากับ 2.5 เท่า จากนั้นให้เราชักเอาเงินทุน 10 บาท ออกมาก่อนแล้วปล่อยให้เงินที่เป็นกำไร 15 บาทอยู่ในหุ้นนั้นต่อไป เพื่อลดอาการเครียดจากการขายหมูลงไป และที่แน่ๆ เงินทุนของเราปลอดภัย 100% แล้วครับ ตามความหมายเดิมของท่านเจ้าสำนัก Temple Boxing School ต้องใช้ คลายเครียดเรโช (มหภาค) กับตลาดหุ้นโดยรวมครับ ซึ่งหมายถึงจำนวน'เงินลงทุน'ทั้งหมดที่เราใช้เล่นหุ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบกับกำไรสะสมทั้งหมดที่เราเคยได้มาไม่ได้เน้นไปที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ส่วนคลายเครียดเรโช (จุลภาค)นั้น หมายถึงหุ้นเป็นรายตัวครับ ดังนั้นที่ผมยกตัวอย่างมาเป็นหุ้นรายตัวในการอธิบายคลายเครียดเรโช (มหภาค)นั้นจึงไม่ตรงต่อความหมายที่แท้จริงของท่านเจ้าสำนัก จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดปรับค่าต่างๆ ในตัวอย่างให้เป็น.... เช่น เมื่อท่านได้ซื้อหุ้นเมื่อดัชนีตลาด เท่ากับ 350 จุด ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,000,000 บาท แต่แล้วตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปเป็น 600 จุดเงินลงทุนทั้งพอร์ตเพิ่มเป็น 2,300,000 บาท เมื่อคำนวณ คลายเครียดเรโช(มหภาค) แล้วจะเท่ากับ 2,300,000 / 1,000,000 = 2.3 เท่า นั่นหมายถึงว่า เงินลงทุนเริ่มแรกที่เราลงไปมันเพิ่มขึ้นมา 1,300,000บาท ดังนั้นให้เราชักส่วนทุนเดิม 1,000,000 บาทออก ทิ้งส่วนเกินทุนเอาไว้ให้อยู่ในพอร์ตต่อไป ทั้งนี้ต้องขออภัยท่านเจ้าของแนวคิด และขอขอบพระคุณในความกรุณาของคุณคลายเครียดที่ชี้แจงมา ณ ที่นี้ด้วยครับ มนตรี นิพิฐวิทยา--จบ-- --กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 4 - 10 กุมภาพันธ์ 2548-- |
< Prev | Next > |
---|