
Value way : ฝนตกทางโน้น...หนาวถึงทางนี้
มนตรี นิพิฐวิทยา
วันก่อนได้ฟังเพลงของน้องพลับที่ลูกเปิด ร้องเป็นเพลงทำนองสงสัยว่าที่พี่
เบิร์ด ร้องว่า ฝนตกทางโน้น มันหนาวถึงทางนี้ เด็กก็สงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ฝนตกทางโน้นก็น่าจะหนาวทางโน้นสิ ทำไมมันดันมาหนาวถึงทางนี้
ลูกชายผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่ามันหมายความว่าอย่างไร?
ในฐานะฮีโร่ของลูกชายวัยสี่ขวบ เราต้องตอบให้เข้าใจให้ได้(เพราะพูดอะไรใหม่อีก มันมักจะมีคำถามคำใหม่ต่ออีก...จนปวดหัว) เราต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สิ่งสองสิ่งหรือมากกว่านั้นมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อมีอะไรมากระทบกับสิ่งหนึ่งย่อมส่งผลกระทบกับอีกสิ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น เช่น เมื่อลูกไม่สบายพ่อแม่ก็เป็นทุกข์ พลอยไม่สบายใจไปด้วย
แต่คุณๆ เชื่อไหมว่า กว่าผมจะอธิบายจนจบตรงนี้ ใช้เวลานานพอสมควร เพราะเจ้าตัวน้อยมันมีคำว่า ทำไมล่ะ...ตลอดเลย ก็เด็กสี่ขวบนี่นา ขบวนการเรียนรู้มันมักจะเกิดตอนเล่นอย่างนี้แหละ ยิ่งสงสัย ยิ่งหาคำตอบ
คราวนี้เมื่อเจ้าตัวเล็กนอนกลางวัน ผมผู้ซึ่งเพิ่งเป็นฮีโร่ของลูก ก็ว่าง เลยคิดฟุ้งซ่านต่อไปว่าอะไรมันทำให้หนาวบ้าง...เวลาหุ้นตก
ที่เห็นกันจะๆคือ กำไรของบริษัทไม่โตขึ้น ลดลง หรือขาดทุน ส่งผลทันทีกับราคาหุ้น ซึ่งเสมือนว่าฝนตกแถวๆ ระยอง แต่ดันมาหนาวกันแถวคลองเตย บางคนตอนแรกก็ไม่หนาวหรอก แต่พอเห็นคนอื่นหนาวก็เลยหนาวกับเขาบ้าง ที่ร้ายกว่านั้นยังไม่ทันที่จะประกาศข่าวอะไรออกมาเป็นทางการเลย ราคาหุ้นดันล่วงก่อนซะแล้ว แสดงว่ามีคนในรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวปล่อยของนำทางออกมาซะก่อน พวกที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยก็เลยหนาวบ้างทิ้งตามกันไปหมด
จะว่าไปแล้ว มูลค่าของหุ้นที่พวกเราฝังใจกันมากว่ามันจะขึ้นอยู่กับกำไรของกิจการ กำไรควรจะเติบโตหรืออย่างน้อยก็เท่าเดิมถึงจะทำให้มูลค่าของหุ้นนั้นเติบโตตามไปด้วย จริงๆ แล้วมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะว่ารายได้สูง กำไรสูงนั้นไม่ได้หมายความว่ากำไรที่เป็นเงินสดจะสูง เสมือนคุณไปกู้หนี้ยืมสินเขามาลงทุน
สิ่งที่คุณจะต้องมีคือ ค่าใช้จ่าย ซึ่งก็คือ ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ และที่แน่ๆ คือคุณต้องจ่ายเงินต้นคืน และบางทีคุณจ่ายเงินต้นคืนยังไม่ทันหมดคุณก็ต้องกู้เขามาซื้อสินทรัพย์ใหม่อีกแล้ว เพราะของเก่าก็เสื่อมโทรมไปมาก ประกอบกับทั้งต้องขยายกำลังการผลิตไม่อย่างนั้นจะสู้คู่แข่งไม่ได้
หลายบริษัทเป็นอย่างนี้ครับ คือจะต้องต่ออายุกิจการของตนไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หาทางกู้ หรือกู้จนเต็มที่แล้วก็หาทางเพิ่มทุน ที่เด็ดกว่านั้นจะแจกวอร์แรนท์เพื่อเพิ่มทุน รายย่อยก็ชอบเพราะขายได้ เจ้าของก็ชอบเพราะไม่ต้องหาทางไซฟ่อนเงินเพียงแต่ขายวอร์แรนท์ของตัวเองออกก็ได้เงินแล้ว แต่มีข่าวแจกวอร์แรนท์ทีไรรายย่อยจะกระดี๊กระด๊ามากที่สุด
ครับเมื่อทุกคนเชื่อว่ามูลค่าหุ้นอยู่ที่กำไร ผู้บริหารก็มักจะมีแนวโน้มที่จะสร้างกำไรให้ดูดีหรือดูไม่ดีแล้วแต่จะต้องการให้เป็นอย่างไร ทั้งนี้เพราะกำไรนั้นเป็นกำไรทางบัญชี ซึ่งจัดทำตามเกณฑ์คงค้าง มิใช่เกณฑ์เงินสด เกณฑ์คงค้างนั้นเมื่อขายสินค้าหรือบริการก็จะรับรู้รายได้ไปพร้อมๆ กับค่าใช้จ่ายที่ทำให้เกิดรายได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับเงินสดค่าสินค้าหรือจ่ายค่าวัตถุดิบก็ตาม อีกทั้งเงินที่จ่ายค่าสินค้านั้นอาจมาจากการก่อหนี้หรือเพิ่มทุนก็เป็นได้
ฉะนั้นกำไรที่แสดงออกมาแต่ละงวดนั้นอาจจะไม่ได้กลายเป็นเงินสดที่กลับเข้าสู่กระเป๋าผู้ถือหุ้น แต่อาจจะต้องเอาไปจ่ายค่าวัตถุดิบที่แสดงไว้ในส่วนสินทรัพย์ และต้องสำรองเอาไว้ให้ลูกค้าที่ซื้อเงินเชื่อซึ่งก็เอาไปแสดงในส่วนสินทรัพย์เช่นกัน ทำให้ดูเหมือนกำไรดี สินทรัพย์สูงดี ได้สองเด้ง ซึ่งบางทีกำไรที่เป็นเงินสดจากการดำเนินงานก็ยังไม่พอจ่ายหรือสำรองดังกล่าว จึงอาจต้องกู้เขามาเสริมด้วยซ้ำไป และวันดีคืนดีก็ต้องเอาไปซื้อเครื่องจักรก็ต้องกู้มาอีก
กิจการดำเนินได้ด้วยเงินสด หากปราศจากเงินสดก็คงไม่มีใครกล้าขายสินค้าให้ ไม่มีใครไปทำงานให้ ไม่มีใครกล้าให้กู้และไม่มีใครกล้าไปร่วมหุ้นด้วยแน่นอน ในทางตรงกันข้ามถ้าบริษัทนั้นมีเงินสดไม่ว่าใครก็อยากทำธุรกิจด้วย
เห็นกันชัดๆ ว่าบริษัทจะดี จะแข็งแกร่งได้ก็เพราะเงินสด ฉะนั้นมูลค่าของกิจการจะแปรไปตามกระแสเงินสดอย่างแน่นอน ดังนั้นต่อจากนี้ไปเวลาจะหนาวขอให้ได้ดูก่อนว่ากิจการนั้นมีเงินสดมากพอที่จะรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้หรือไม่ ถ้ามีพอก็ยังไม่ต้องหนาวตามเขา สถานการณ์ที่ทำให้กำไรลดลงนั้นอาจเป็นสถานการณ์ชั่วคราวก็เป็นได้ ไม่นานบริษัทก็จะกลับมาแข็งแกร่งสร้างกระแสเงินสดได้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ชั่วคราวก็เชิญหนาวได้ตามสบายครับ
ตามที่กล่าวเอาไว้ว่าผู้บริหารสามารถสร้างกำไรให้ดูดีหรือแย่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทั้งนี้นอกจากเกณฑ์คงค้างแล้ว บัญชีนั้นยังจัดทำตามสมมติฐานและการประมาณการที่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารอีกด้วย
ผู้บริหารอาจจะตั้งสำรองต่างๆ เป็นค่าใช้จ่ายได้ถ้าเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้มาก และก็สามารถกลับรายการสำรองนั้นกลับมาได้ในงวดอื่นเมื่อเห็นว่าความเสี่ยงนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว การทำเช่นนี้ถ้าทำอย่างถูกต้องจะสะท้อนสถานภาพทางการเงินของกิจการได้อย่างถูกต้อง
แต่ถ้าทำอย่างไม่ถูกต้อง จะทำให้กำไรในงวดที่ตั้งสำรองนั้นต่ำเกินจริง และงวดที่กลับรายการนั้นจะสูงเกินจริง ราคาหุ้นก็มักจะขึ้นลงตามนั้นเสียด้วย หรือผู้บริหารอาจจะไม่ตั้งสำรองแม้ความเสี่ยงจะสูง แต่จะหาโอกาสทยอยตัดสำรองในช่วงที่กำไรสูงๆ เพื่อไม่ให้กำไรดูแย่ บางบริษัทตัดด้อยค่าทีเดียวให้ขาดทุนสุดๆในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำ และในงวดอื่นกำไรจะเป็นปกติ ซึ่งก็ทำให้ดูเหมือนว่ากิจการแย่ชั่วคราว จากนั้นก็เริ่มดีเป็นปกติ
ด้วยเหตุผลทั้งหลายที่กล่าวมานี้มักจะสร้างความหนาวให้กับนักลงทุนที่ไม่ค่อยดูตาม้าตาเรือเป็นอันมาก ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปขอให้ดูรายละเอียด วัตถุประสงค์ หลักการ และข้อสมมติฐานในการจัดทำบัญชีของบริษัทที่คุณถือหุ้นให้ดีเสียก่อน ไม่อย่างนั้นฝนตกทางโน้นทีไร ทางนี้ก็จะหนาวทุกทีไป ส่วนผู้ที่ทำให้หนาวก็สมประโยชน์ทุกทีไปเช่นกัน ไม่ว่าจะทุบเพื่อเก็บหุ้นถูกๆ หรือ แต่งกำไรเพื่อปล่อยของ
อย่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้อีกต่อไปเลยครับ ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขารู้ว่าเราให้ความสำคัญกับอะไร แล้วเขาก็ทำอย่างที่เราอยากเห็น และไม่อยากเห็นแล้วแต่เขาต้องการให้เกิดผลทางไหน
หาความรู้เรื่องบัญชีเพิ่มเติม แล้วคุณจะเห็นความจริง และจะเกิดคำถามใหม่ที่ต้องหาคำตอบเพิ่มตลอด เหมือนเด็กที่กำลังเรียนรู้ ผมขอยืนยัน!!!
|