
โอ้ละหนอ...ประเทศไทย
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
สำหรับประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นอย่างมากเรื่องหนึ่งคือปัจจัยทางการเมือง ถ้าเมื่อใดการเมืองในประเทศมีปัญหา ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเกิดอาการรวนเรขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม
ปัจจุบันมีแรงกดดันทางการเมือง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลาออก ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล การออกมาล่ารายชื่อห้าหมื่นชื่อของฝ่ายนิสิตนักศึกษาเพื่อถอดถอนนายกฯ การยื่นหนังสือถึงตุลาการรัฐธรรมนูญขอตรวจสอบนายกฯของสมาชิกวุฒิสภา สื่อมวลชนบางฉบับเสนอข่าวในทางสนับสนุนผู้ชุมนุม รวมทั้งผู้มีชื่อเสียงในสังคมเริ่มออกมาสนับสนุนการประท้วง และประกาศเข้าร่วมการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในทำนองที่ว่าไม่ชนะ ไม่เลิก
เหตุการณ์ประท้วงที่ผ่านมาเป็นผลให้สังคมเกิดความแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากประชาชนพบเห็นรูปแบบ และการนำเสนอข่าวสารในการต่อต้านรัฐบาลออกมาอย่างเป็นระยะๆ หลายคนเกิดอาการไขว้เขว เสียงสนับสนุนรัฐบาลเริ่มแปรเปลี่ยนไปในทางที่เห็นด้วยกับฝ่ายต่อต้านมากขึ้น สังเกตได้จากโพลล์หรือการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลพบว่า พรรครัฐบาลได้รับความนิยมน้อยลงไปมาก
สาเหตุหลักๆ ของการประท้วงมาจากการขายหุ้นบริษัทชินให้กับกลุ่มทุนสิงคโปร์โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ทำให้ฝ่ายต่อต้านออกมาบอกว่า นายกฯหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เพราะทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อจงใจเลี่ยงภาษี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ต่างออกมาชี้แจงการซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามกฎหมายธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ฝ่ายประท้วงยังยืนยันที่จะกดดันให้นายกฯลาออกต่อไป
สถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าวทำให้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล จึงชะลอการลงทุน หรือไม่ก็ขายหุ้นที่มีออกไปก่อนเพื่อถือเงินสดรอความชัดเจน
ตลาดหุ้นนับว่าเป็นดัชนีที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมืองอย่างมาก ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แม้แต่ในตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีสภาวะทางการเมืองของประเทศไม่ค่อยมั่นคงนัก มักมีความผันผวนของดัชนีค่อนข้างสูง นักลงทุนมักให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศดังกล่าวน้อยกว่าประเทศอื่นๆ โดยสังเกตได้จากดัชนีตลาดหุ้นหรือราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองจากการชุมนุมประท้วง เพื่อให้ประธานาธิบดีซูฮาร์โตลาออกจากตำแหน่ง มีการเดินขบวนของนักศึกษา และประชาชนที่ไม่พอใจการบริหารประเทศ เกิดการจลาจล เศรษฐกิจในประเทศถดถอย เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียลดลงเป็นอย่างมาก นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ จึงถอนการลงทุนออกจากอินโดนีเซีย ราคาต่อกำไรของตลาดหุ้นอินโดนีเซียในช่วงนั้นนับว่าแทบจะต่ำที่สุดในเอเชีย
ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เมื่อประธานาธิบดีเอสตราดาถูกตรวจสอบจากปัญหาคอร์รัปชัน ประชาชนออกมาประท้วงตามท้องถนนเพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีลาออก เหตุการณ์บานปลายจนเกือบเกิดการจลาจล เนื่องจากฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีเอสตราดาออกมาปะทะกับฝ่ายตรงข้าม ในเมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย จนฝ่ายทหารของฟิลิปปินส์ต้องออกมาประกาศไม่ให้ความสนับสนุนเอสตราดา ถึงสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ในเวลานั้นนักลงทุนต่างเทขายหุ้นในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์จนดัชนีหุ้นลดต่ำลงเป็นอย่างมาก
ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมือง อย่างเช่น สิงคโปร์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์นับว่ามีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด นักลงทุนมั่นใจในการเมืองของประเทศว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน ทำให้นักลงทุนสามารถมองการลงทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์เป็นการลงทุนระยะยาว นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเพื่อรีบเทขายหุ้นอันเนื่องมากจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นเหมือนประเทศอื่นๆ นักลงทุนจึงให้ราคาต่อกำไรของตลาดหุ้น (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นสิงคโปร์สูงกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นในอาเซียนเป็นอย่างมากมาโดยตลอด
ปัจจุบันทั้งสามประเทศข้างต้นได้ผู้นำคนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การคัดเลือกผู้นำสิงคโปร์คนใหม่เป็นไปตามกฎ กติกาตามรัฐธรรมนูญอย่างสงบปราศจากความวุ่นวายในสังคม
ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ กว่าจะได้ผู้นำคนใหม่มาต้องแลกด้วยการต่อสู้ของประชาชน การประท้วงและการจลาจลอันสับสนวุ่นวาย ในช่วงแรกผู้คนของสองประเทศต่างพอใจและชื่นชมต่อสิทธิ เสรีภาพของตนเองที่มีเหนือผู้นำคนก่อนๆ และภูมิใจที่ได้ผู้นำคนใหม่จากการต่อสู้ของตน ประชาชนต่างฝากความหวังอนาคตของประเทศไว้กับผู้นำคนใหม่ และคิดว่าความเป็นอยู่ของตนจะดีขึ้น
จวบจนเวลาผ่านไปประชาชนของทั้งสองประเทศต้องผิดหวัง เพราะจนถึงทุกวันนี้ ประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนก็ยังมีสภาพเช่นเดิมไม่ได้ดีขึ้นเหมือนที่คาดหวังแต่อย่างใด นอกจากนั้นผู้คนเริ่มออกมาประท้วงเพื่อขับไล่ผู้นำคนใหม่อีกครั้ง เป็นวังวนเช่นนี้เรื่อยไป
จะเห็นว่าการเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายของทุกปัญหาในสังคม แต่การมีการเมืองที่มีเสถียรภาพและความมีสามัคคีของคนในชาติน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญรุดหน้าไปอย่างมั่นคง เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ความอยู่ดีกินดีของประชาชนจะดีขึ้นตามลำดับ
สามัคคีเถอะ.....ประเทศไทย
|