Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548














เข้าใจลงทุน….. รู้ทันการเก็งกำไร

มนตรี นิพิฐวิทยา
พักนี้มีพรรคพวกบ่นๆ ว่าเขียนแต่เรื่องเครียดๆ น่าเบื่อ เอาเป็นว่าผมเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย เอาเรื่องเบาๆมาคุยกันบ้างจะดีกว่า สักระยะหนึ่งเราค่อยกลับมามึนกันใหม่ครับ

สำหรับบทความนี้น่าจะเข้ากับสถานการณ์ตลาดหุ้นขณะนี้ได้เป็นอย่างดีนะครับ เพราะว่าตลาดหุ้นปรับฐาน นักลงทุนก็ควรจะต้องปรับทัศนคติกันนิดหน่อย ก็จะดีต่อสุขภาพพอร์ตของท่านไปด้วยครับ

ทุกครั้งเวลาเจอพรรคพวกที่ชอบเล่นหุ้นก็มักจะเดินเข้ามาพูดคุยซักถามผมในเรื่องหุ้นที่เขาลงทุน ทั้งที่ขายไปแล้ว ซื้อเข้ามาใหม่ กำลังคิดจะซื้อ และคำถามที่ไม่เคยจางหายไปจากพรรคพวกของผมคือ

คิดว่าดัชนีจะไปได้แค่ไหน ?

หุ้นที่ถืออยู่ควรขายหรือถือต่อ ?

หรือแม้กระทั่งที่ขายไปแล้วก็ยังอุตส่าห์เอากลับมาถามอีก ?

ต่อคำถามที่ว่าดัชนีจะไปได้แค่ไหน ผมมักตอบไปว่า

“จะไปรู้ได้ยังไง (วะ) รู้ก็รวยแย่เลยซิ”

สำหรับหุ้นบางตัวที่เพื่อนถามที่ตอบได้ก็ตอบไป ที่ตอบไม่ได้ก็มักจะบอกว่ามองไม่ออกตอบไปเดี๋ยวผิด และสำหรับที่ขายไปแล้วกลับเอามาถามอีก (ไม่รู้จะถามไปทำไม) ก็ตอบแบบกวนๆ ว่า

“ก็ดีแล้วนี่ จะได้นอนได้กินอร่อย"

ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาถามเลยว่า ไอ้ที่ผมลงทุนอยู่ทุกวันนี้ ผมมีหลักในการคิดอย่างไรบ้าง อยากจะตอบจะตายไป แต่ไม่ยักมีใครถาม ชอบแต่จะเก็งกำไรไปตามเรื่อง แล้วพอดีมาเจอคนที่คุ้นเคย ถามว่า

“Value Investor ควรเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือไม่”

เป็นคำถามที่ดี ก็เลยคิดไปถึงเรื่องที่เคยอ่านเจอมาเรื่องข้อถกเถียงถึงความแตกต่างระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไร ที่มีผู้รู้หลายคนเคยสรุปไว้ให้ฟัง เลยอยากจะขอนำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันบ้างครับ คนแรกเลยคือ

John Maynard Keynes คนนี้มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะครับ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่โด่งดังคนหนึ่ง กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไรไว้ว่า

"Investment is an activity of forecasting the yield on assets over the life of the asset; . . . speculation is the activity of forecasting the psychology of the market."

แปลเป็นไทยในแบบของผมก็คือ

"การลงทุนคือการที่เราพยากรณ์ผลตอบแทนที่จะได้รับจากสินทรัพย์ตลอดอายุการใช้งานของมัน…….การเก็งกำไรคือการที่เราพยากรณ์สภาพทางจิตใจของผู้เล่นหุ้นในตลาด"

คนต่อมา Value Investor ทั้งหลายรู้จักกันดีคือ Ben Graham บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"An investment operation is one which, upon thorough analysis, promises safety of principal and a satisfactory return. Operations not meeting this requirement are speculative."

เช่นเคยตามแบบผม

“การลงทุนคือการดำเนินการใดๆ ที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลมาเป็นอย่างดี และต้องมีส่วนที่เผื่อไว้หากผิดพลาดจะไม่สูญ เงินทุน และมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ ส่วนการดำเนินการอื่นใดที่นอกเหนือไปจากนี้ถือเป็นการเก็งกำไรทั้งสิ้น"

คนต่อมารู้สึกทีมงานจะชอบเขาเป็นพิเศษและเขาคือ นักลงทุนมหาเศรษฐีของโลก Warren Buffett เขาให้ทัศนะในเรื่องนี้ว่า

"If you’re an investor, you’re looking at what the asset-in our case, businesses-will do. If you’re a speculator, you’re primarily forecasting on what the price will do independent of the business."

ถ้าไทยๆ ก็จะเป็น

"ถ้าท่านเป็นนักลงทุน ท่านจะให้ความสนใจในสินทรัพย์ - ในที่นี้คือธุรกิจ ว่ามันมีจุดเด่นอะไรบ้าง แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะทำการพยากรณ์ราคาของสินทรัพย์โดยไม่สนใจว่าธุรกิจจะดีหรือไม่"

โดยรวมๆ แล้วทุกท่านที่กล่าวมาเห็นไปในทางเดียวกันว่า นักเก็งกำไรนั้นก้มหน้าก้มตาเดาว่าราคาหุ้นในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ จะซื้อขายกันเท่าไร ส่วนนักลงทุนก็ก้มหน้าก้มตาวิเคราะห์ธุรกิจของกิจการนั้นๆ ว่าควรมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มานั้น ราคาหุ้นจะขึ้นลงนั้นมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในอนาคตจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้เลย ทำไมต้องมาคอยเดากันอย่างนั้นด้วย

เมื่อก่อนผมจะมีคำถามที่ถามตัวเองเสมอว่า ถ้าในเมื่อความแตกต่างระว่างการลงทุนกับการเก็งกำไรเป็นดังที่เขากล่าวมานั้น ทำไมผู้คนทั้งหลายจึงนิยมคาดเดาราคาหุ้นมากกว่าการวิเคราะห์ธุรกิจ หรือว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่มีอิทธิพลต่อตลาดมากที่สุดคือการเก็งกำไร?

ผมเคยตั้งคำถามนี้กับอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านให้ความเห็นว่า

"การเก็งกำไรไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป หากไม่มีการเก็งกำไรเกิดขึ้นเลยตลาดจะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ลำพังปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดการซื้อขายได้ดีเท่าทีควร หากเป็นเช่นนี้ก็จะไม่เกิดการระดมทุนและไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกลไกตลาดควรมีมาตรการในการควบคุมการเก็งกำไรไม่ให้มีมากจนเกินพอดี"

ในความเห็นของผมนั้น หากเราหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรไม่ได้เราก็ควรจะอยู่ร่วมกับมันอย่างมีสติ และไม่เข้าไปร่วมวงกับเขาด้วย เพียงแต่รอรับผลแห่งการเก็งกำไรของผู้อื่นจะดีกว่า

การที่เราจะอยู่ร่วมกับมันและใช้ประโยชน์มันได้นั้นเราควรจะรู้เท่าทันมัน และที่ผมพยายามทำมาโดยตลอดก็คือ ผมจะพยายามหาความรู้และใช้ความรู้นั้นทำความเข้าใจในธุรกิจต่างๆ และเฝ้าติดตามการดำเนินการของกิจการนั้นๆไปพร้อมๆ กับการเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของราคา ดังนั้นใน Port ของผมจะมีบริษัทเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น เพราะผมไม่สามารถที่จะศึกษาและติดตามข้อมูลทีละหลายบริษัทได้อย่างลึกซึ้งนั้นเอง หลักการอันนี้ของผมแม้จะผิดไปจากหลักการที่ได้เล่าเรียนมาเหมือนนักการเงินคนอื่นๆ ที่มักถูกสอนให้กระจายความเสี่ยงลงบนหุ้นหลายๆ บริษัท แต่ผมว่าหลักการของผมใช้ได้ผลดีทีเดียวละ

ดังนั้นทุกครั้งที่ถูกถามเรื่องหุ้นผมมักจะแนะนำให้ไปศึกษาหาความรู้จะได้สามารนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกัน แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครเชื่อสักที เหมือนกับว่า "ให้ฉันไปหาความรู้ ฉันยอมเป็นแมงเม่าดีกว่า" ยังไงอย่างงั้นเลย จากประสบการของผมในการลงทุนที่ผ่านมา

ผมสามารถยืนยันได้เลยว่าความรู้สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ดีกว่าการกระจายความเสี่ยงเป็นไหนๆ และถ้ายิ่งมีความรู้มากเราก็จะสามารถวิเคราะห์อะไรๆ ต่างๆ ได้มากและสามารถหาผลตอบแทนที่สูงได้โดยไม่ต้องไปเก็งกำไรกับความเสี่ยงสูงๆ ได้

ผมจึงยืนยันหนักแน่นว่าผมไม่เชื่อคำที่พูดกันจนติดปากว่า "High risk…High return" เพราะที่ผ่านมา ผมมี High return….Low risk มาโดยตลอด

เพื่อนๆ ครับเมื่อได้อ่านบทความนี้แล้วกรุณาอย่าถามคำถามแบบเดิมกับผมอีกเลยครับ! เปลี่ยนเป็นถามว่าจะหาความรู้ได้จากไหนบ้างจะดีกว่าครับ...

มนตรี นิพิฐวิทยา นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้น Thaivaluinvestor.com จำแนะนำกลวิธีการลงทุนแบบเจาะลึกถึงแก่นแท้ในสไตล์ "Value Investor'' ผ่านคอลัมน์นี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.