
Value Way : ขายหุ้นเมื่อไหร่
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
นักลงทุนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) คือการซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้วถือไว้ไม่ขายเป็นระยะเวลานานๆ ความเข้าใจดังกล่าวถือว่ามีส่วนจริงบ้างแต่ไม่ทั้งหมด บางครั้งนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจำเป็นต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปเช่นเดียวกัน
มีคำถามเข้ามาบ่อยๆ ว่านักลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรขายหุ้นเมื่อไหร่ ผู้เขียนขอนำบทความที่เคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้มานำเสนออีกครั้งดังนี้
นักลงทุนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า การซื้อหุ้นมาแล้วถือไว้นานๆ โดยไม่ขาย คือ การลงทุนแบบ Value Investing หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจผิดอันดับแรกๆ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่า เรามักได้ยินได้ฟังถึงความสำเร็จของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า มาจากการถือหุ้นบริษัทหนึ่งๆ เป็นเวลานานหลายๆ ปี จนมูลค่าของหุ้นมีราคาสูงกว่าที่ลงทุนซื้อมาเป็นอย่างมาก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลังจากที่ลงทุนในหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้ว นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะไม่ดำเนินการขายหุ้นออกไปเลย เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปมีดังต่อไปนี้
หนึ่ง เมื่อพบว่าตัดสินใจลงทุนผิด
ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม อาจจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือ หนึ่งปี ถ้านักลงทุนพบว่า บริษัทที่ได้ซื้อลงทุนไว้นั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ต้องทำการขายออกจากพอร์ตทันที ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนอยู่เท่าไหร่ก็ตาม
ขณะที่นักลงทุนทั่วไปมักขายหุ้นที่มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาออกไปเพื่อทำกำไร และมักเก็บหุ้นที่กำลังขาดทุนเอาไว้เพื่อรอราคาหุ้นดีดกลับมาที่ราคาต้นทุน กลยุทธ์การลงทุนแบบ กำไรขายออก ขาดทุนเก็บไว้ เช่นนี้ จะไช้ได้ผลดีในภาวะตลาดขาขึ้น เพราะราคาหุ้นมักลดลงเพียงชั่วคราวแล้วกลับมีราคาสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ทำให้โอกาสขาดทุนมีน้อย แต่ถ้าเป็นภาวะตลาดขาลง กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้อาจทำให้เกิดภาวะการขาดทุนที่บางครั้งอาจประเมินไม่ได้ เพราะเมื่อถึงคราวหุ้นขาลง ไม่มีใครบอกได้ว่า ราคาหุ้นจะลงไปได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ถ้าพบว่าบริษัทที่ซื้อมาเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วรีบขายออกไปทันที ถึงแม้จะขาดทุนอยู่ก็ตาม จะช่วยลดภาระการขาดทุนที่อาจมากขึ้นจากการถือหุ้นนั้นเป็นเวลานานๆ ได้
สอง เมื่อพื้นฐานบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
พื้นฐานของบริษัทในตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะในสภาพความเป็นจริง ธุรกิจไม่อยู่นิ่ง การแข่งขันในธุรกิจมีการดำเนินไปอยู่ตลอดตราบที่ธุรกิจยังคงอยู่ ดังนั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงควรที่จะหมั่นตรวจสอบสภาพพื้นฐานของบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่เป็นระยะๆ
การเข้าใจถึงสภาพพื้นฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ลงทุนเป็นอย่างดี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยทำให้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้น ถึงแม้ข่าวสารที่ได้รับจะทำให้ตลาดหุ้นตอบรับกับข่าวนั้นอย่างปัจจุบันทันด่วนทันที ข่าวร้ายอาจทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว ถ้านักลงทุนสามารถวิเคาระห์ได้ว่า ผลกระทบของข่าวร้ายนั้นไม่มีผลกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุนแต่อย่างใด ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขายหุ้นแต่อย่างใด
แต่ถ้านักลงทุนแบบเน้นคุณค่าพบว่า พื้นฐานกิจการของบริษัทที่กำลังลงทุนอยู่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ก็ไม่ควรลังเลที่จะขายหุ้นของบริษัทนั้นออกไปทันที
สาม เมื่อมีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า
สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โอกาสในการลงทุนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เมื่อโอกาสในการลงทุนมาถึง นักลงทุนอาจจำเป็นต้องขายหุ้นบริษัทหนึ่งเพื่อไปซื้อหุ้นอีกบริษัทหนึ่งที่ดีกว่าแทน การตัดสินใจเช่นนี้ นักลงทุนต้องมั่นใจในหุ้นบริษัทใหม่ว่ามีพื้นฐานที่ดีกว่า รวมทั้งมีราคาที่เหมาะสมกับการลงทุนมากกว่า
มิฉะนั้นอาจต้องมาเสียดายหุ้นที่ขายไปแล้ว เพราะในภายหลังพบว่าหุ้นเดิมเป็นหุ้นที่ดีกว่าหุ้นที่ซื้อมาใหม่
บางครั้งโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนไปซื้อหุ้นบริษัทใหม่เพียงอย่างเดียว บางท่านอาจพบว่า การขายหุ้นเพื่อนำไปทำธุรกิจอย่างอื่น หรือ ลงทุนในพันธบัตรในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงๆ อาจเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่าก็เป็นได้
ทั้งสามข้อ คือ เหตุผลสำคัญในการขายหุ้นของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า จะเห็นว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่ใช่การถือหุ้นยาวๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจกัน
|