Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2548














ถือหุ้นกี่ตัวดี(4)

วิบูลย์ พึงประเสริฐ
หลังจากที่ได้กล่าวถึงการถือหุ้นของกองทุนและนักลงทุนรายย่อยไปแล้ว บทความคราวนี้มาดูกันว่านักลงทุนระดับโลกมีคำแนะนำในการถือหุ้นอย่างไรบ้าง

อันดับแรก ต้องกล่าวถึงปรมาจารย์ทางด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างอาจารย์ "เบนจามิน เกรแฮม" ผู้ริเริ่มหลักการการลงทุนแนวนี้เมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว

อ.เกรแฮม ลงทุนด้วยหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่าแบบดั้งเดิม โดยลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าราคาหุ้นอย่างมาก ซึ่งมักจะเป็นหุ้นราคาถูก ส่วนใหญ่จะมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เรียกว่าไม่ถูกจริงไม่มีสิทธิเข้ามาอยู่ในพอร์ตของ อ.เกรแฮม แน่นอน

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถประเมินได้คือ เวลาที่ราคาหุ้นจะสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่ประเมินไว้ นอกเหนือจากนั้นการเลือกหุ้นที่พิจารณาจากงบการเงินเพียงอย่างเดียว อาจเลือกได้หุ้นที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจมากนัก ทำให้ในอนาคตบริษัทนั้นอาจมีผลประกอบการที่แย่ลงมากๆ และจะทำให้ราคาหุ้นตกต่ำเป็นเวลานาน

ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมีได้ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ในพอร์ตของ อ.เกรแฮม จึงมีการ ”กระจายความเสี่ยง” ด้วยการถือหุ้นหลายๆ ตัว โดยไม่ให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีน้ำหนักการลงทุนมากเกินไป

พอร์ตของ อ.เกรแฮม ประกอบไปด้วยหุ้นจำนวนมาก บางครั้งอาจจะถือหุ้นมากกว่า 50 บริษัท กระจายกันไปในหลายๆ บริษัท

จะเห็นว่าถึงแม้จะป็นการกระจายความเสี่ยงเหมือนกับหลักการของการลงทุนสมัยใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันระหว่างพอร์ตของ อ.เกรแฮม และพอร์ตของกองทุนในปัจจุบันก็คือ การกระจายความเสี่ยงของกองทุนสมัยใหม่มักเป็นการลงทุนตาม ”น้ำหนักในอุตสาหกรรม” หรือ “Sector Weighting” เริ่มจากการพิจารณาว่าภาคอุตสาหกรรมไหนน่าสนใจที่จะลงทุนในเวลาปัจจุบัน

โดยแบ่งตลาดหุ้นออกเป็นอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ธนาคาร ก่อสร้าง พลังงาน สื่อสาร ฯลฯ จากนั้นจะให้น้ำหนักการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น กองทุนอาจเห็นว่าหุ้นพลังงานมีราคาสูงเกินไป อาจ ”ลดน้ำหนัก” หุ้นในกลุ่มพลังงานลง จากนั้นก็ ”เพิ่มน้ำหนัก” ในอุตสาหกรรมที่ทางกองทุนคิดว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ดีเหนือตลาดโดยรวม อาจจะเป็นแนะนำลงทุนในกลุ่มธนาคาร หรือสื่อสารแทน โดยการเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามภาวะตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของประเทศ

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าเมื่อใดที่กองทุน โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศประกาศ ”เพิ่มน้ำหนัก” การลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมใด หุ้นในกลุ่มนั้นมักจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ในทางกลับกันเมื่อใดที่มีการประกาศ ”ลดน้ำหนัก” หุ้นกลุ่มใด ราคาหุ้นในกลุ่มนั้นมักจะลดลงตามไปด้วย แสดงให้เห็นว่าการลงทุนตาม ”น้ำหนักในอุตสาหกรรม” เป็นสิ่งที่กองทุนสมัยใหม่ใช้ในการจัดพอร์ต และนักลงทุนต่างให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

สำหรับพอร์ตของ อ.เกรแฮม นั้น ไม่ได้คำนึงถึงการลดหรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในแต่ละภาคอุตสาหกรรมเหมือนอย่างกองทุนสมัยใหม่แต่อย่างใด แต่เน้นไปที่พื้นฐานกิจการของบริษัทที่จะลงทุนเป็นหลักสำคัญ โดยพิจารณาจากงบการเงินโดยให้ความสำคัญกับงบดุลเป็นอย่างมาก

อ.เกรแฮม คิดว่างบกำไรขาดทุนนั้นทำการตกแต่งบัญชีกันได้ง่าย การพิจารณามูลค่าของบริษัทจากงบกำไรขาดทุนอาจจะผิดพลาด เนื่องจากข้อมูลที่เปิดเผยนั้นมีการบิดเบือนจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น บริษัทอาจทำการตั้งสำรองไว้สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป

บางบริษัทอาจเพิ่มรายได้ในแต่ละไตรมาสให้สูงกว่าปกติ เพราะการที่งบกำไรขาดทุนตกแต่งบัญชีได้ง่าย รวมทั้งนักลงทุนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการประกาศกำไรรายไตรมาสของบริษัท ทำให้บริษัทจำนวนมากทำการตกแต่ง ”กำไร” ของบริษัทให้มากกว่าความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า การปั่นกำไรต่อหุ้น (Inflate Earning) เพราะเมื่อบริษัทประกาศมีกำไรมากขึ้นก็ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทสูงขึ้นตามไปด้วย ถ้านักลงทุนพิจารณาราคาหุ้นจากงบกำไรขาดทุนเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินกว่าพื้นฐานกิจการนั้นจริงๆ

ขณะที่การลงทุนโดยดูจากงบดุลนั้น น่าเชื่อถือและตกแต่งบัญชีได้ยากกว่างบกำไรขาดทุนค่อนข้างมาก การพิจารณามูลค่าของบริษัทจากทรัพย์สินของกิจการ โดยดูจากงบดุลของบริษัทนับว่าเป็น”จุดแข็ง”ของการลงทุนของ อ.เกรแฮม เลยทีเดียว

การลงทุนในกิจการที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั้น เป็นหลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งหลักการในยุคเริ่มแรกของการลงทุนแนวนี้มักจะได้รับฉายาว่า ”การลงทุนแบบก้นบุหรี่” เปรียบเทียบได้กับการมองหาก้นบุหรี่ที่ตกอยู่ตามพื้น เวลาเดินผ่านไปมองเห็นแล้วหยิบขึ้นมาสูบสักหนึ่งอึดใจก็หมดมวน เสร็จแล้วก็โยนทิ้งไป จากนั้นก็เดินดุ่มๆ มองหาก้นบุหรี่ที่ตกตามพื้นตัวต่อไป

เหมือนกับการหาหุ้นที่มีราคาต่ำมากๆ แทบจะมีราคาต่ำติดพื้นดินเลยทีเดียว ถึงแม้จะมีราคาถูกแต่ก็ไม่มีใครสนใจ เหมือนก้นบุหรี่ที่ตกอยู่ตามพื้นถนนคงไม่มีใครอยากจะเก็บมาสูบเป็นแน่ เมื่อซื้อหุ้นก้นบุหรี่นั้นมาแล้วก็รอเวลาให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอาจจะเนื่องมากจากมีนักลงทุนรายอื่นเพิ่งมาเห็นคุณค่า หรือไม่ก็มี ”ข่าว” เช่น ข่าวเทคโอเวอร์ ทำให้ราคาหุ้นมีราคาสูงขึ้น เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียงกับมูลค่าที่แท้จริงก็ขายหุ้นนั้นทิ้งไป แล้วหาซื้อหุ้นตัวอื่นต่อไป

การถือหุ้น "ก้นบุหรี่” ลักษณะเช่นนี้มักจะถือหลายๆ ตัว เพราะบางครั้งก้นบุหรี่ที่เก็บขึ้นมาอาจจะไฟมอดก่อนที่จะได้สูบ หรือบางตัวถือสูบนานๆ อาจจะทำให้ปากพองได้ เพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลงทุนในแนวทางดังกล่าว

ลูกศิษย์ อ.เกรแฮม หลายท่านยังคงใช้หลักการ ”ก้นบุหรี่” ในการลงทุนต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยผลตอบแทนการลงทุนยังคงอยู่ในระดับแนวหน้า เช่น วอลเตอร์ ชูว์ส (Walter J. Schloss) ถือหุ้นมากกว่า 100 ตัวในพอร์ต

สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจในแนวทางการลงทุนตามแบบฉบับของ อ.เกรแฮม คงต้องศึกษาการวิเคราะห์งบการเงินอย่างทะลุปรุโปร่งใครสนใจติดต่อได้ที่เวบบอร์ดของเวบไซต์ Thaivi.Com เพื่อเข้าอบรมวิเคราะห์งบการเงินและบัญชีพื้นฐานกับคุณมนตรีได้ครับ

วิบูลย์ พึงประเสริฐ นักลงทุนบริหารพอร์ตส่วนตัว เริ่มต้นจากการขาดทุนในตลาดหุ้นเมื่อหลายปีก่อน จนพบว่า Value Investing ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตกับเวลาส่วนตัวในปัจจุบันได้ จะมาแนะนำการลงทุนแบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับความผันผวนของตลาดหุ้น ผ่านคอลัมน์นี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.