Cover Story





B- School





Small Biz





ถนนนักลงทุน





Local Biz





Property





ธุรกิจการตลาด





Travel Biz





Food Biz





I - Biz





Auto Biz




วันศุกร์ที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2548














บทเรียนการลงทุน 5

มนตรี นิพิฐวิทยา
ผมเองจัดว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อนักวิเคราะห์ และไม่เคยซื้อหุ้นตามนักวิเคราะห์คนไหนเลย เพราะผมต้องการจัดการกับเงินของผมเอง ถ้าผมเชื่อพวกเขา ผมคงเอาเงินให้เขาไปจัดการแทนแล้วละ

ในเมื่อจะต้องเลือกหุ้นด้วยตัวเองแล้ว เราควรจะต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมเสียหน่อย Warren ให้ข้อเสนอแนะกับนักลงทุนอิสระว่า

“คุณควรจะมีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจ และภาษาของธุรกิจ (บัญชี) มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องธุรกิจ และที่สำคัญคือคุณภาพของสภาวะจิตใจของคุณซึ่งแท้จริงแล้วสำคัญกว่า IQ เสียอีก สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีความคิดเป็นของตัวเอง และหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกของคนจำนวนมากที่มีในหลายรูปแบบ และที่ได้สร้างปัญหาให้กับตลาดหุ้นเป็นระยะๆ เรื่อยมา”

ผมว่าแค่นี้ก็เป็นหัวใจทั้งหมดของการลงทุนแล้วครับ ความเข้าใจหลักการสำคัญๆ ทางบัญชีเป็นอย่างดีนับเป็นเครื่องมือหนึ่งในการป้องกันตนเอง หากผู้บริหารที่คิดจะทำมิดีมิร้ายกับบริษัทของคุณ โดยให้ข้อมูลแก่คุณ เขาจะต้องทำได้ด้วยการใช้กฎเกณฑ์ทางบัญชีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับพวกเขา ซึ่งเราก็เห็นอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยสนใจมัน ดังนั้นหากคิดจะอยู่ในตลาดหุ้นแล้วประสบความสำเร็จ คุณจะต้องมีความรู้ความเข้าใจพอที่จะแยกแยะมันได้ มันไม่ได้ยากจนเกินไปหรอก ถ้าเราจะต้องเรียนรู้อะไรบางอย่างเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ แต่น้อยคนที่คิดแบบนี้นะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม

มีคำกล่าวเสียดสีเกี่ยวกับนักลงทุนที่ Warren กล่าวได้แสบมากครับ “ตลาดหุ้น เป็นสถานที่เดียวที่คนขับรถโรลส์รอยซ์ เพื่อมาฟังคำแนะนำของคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟใต้ดิน” สำหรับบ้านเราแล้ว ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่มีจอมปลวกมากที่สุด ถ้าอาคารตลาดหลักทรัพย์ทำด้วยไม้ มันคงถล่มลงมานานแล้วแน่ๆ คุณว่าไหม?

เมื่อครั้งที่เพื่อนผมจะแต่งงาน พ่อของเขาซื้อรถคันใหม่ให้ เป็นรถหรูมากใช้เกียร์อัตโนมัติ บังเอิญเจ้านี่มันขับเป็นแต่รถเกียร์ธรรมดา (เท้ามันช่าง ไม่ไฮโซ เอาซะเลย) มันบอกผมว่าให้ผมช่วยมาเป็นพลขับในวันส่งตัวหน่อย เพราะว่าเห็นผมขับรถเกียร์อัตโนมัติได้คล่อง เขาไม่อยากให้งานสำคัญของเขาพลาดเพราะเกียร์อัตโนมัติ

เจ้าเพื่อนผมคนนี้มันช่างรอบคอบมาก เพราะเรื่องที่ไม่ถนัดไม่ยอมเสี่ยงแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แต่มันดันเจ๊งหุ้น เพราะดันไปซื้อหุ้นในกิจการที่มันไม่เข้าใจเอาเสียเลย ไม่อย่างนั้นมันคงมีเงินซื้อรถเกียร์ธรรมดามาขับเองแล้วครับ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำแต่สิ่งที่คุณมีความถนัดหรือเข้าใจมันจริงๆ “การลงทุนจะต้องมีเหตุผล หากคุณไม่สามารถเข้าใจมันได้ก็อย่าไปลงทุนกับมัน”

เอาหละ เรามาที่เรื่องสำคัญแล้วครับ การสร้างขอบเขตแห่งความสามารถ

วิธีการคือ วาดวงกลมไว้รอบธุรกิจต่างๆ ที่คุณเข้าใจมันดี และคัดธุรกิจที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมในเรื่องมูลค่า การบริหารที่ดี และไม่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาวออกไปจากวงกลมนั้น

จากนั้น มาพิจารณาที่ละธุรกิจ และหาทางพัฒนาความเชี่ยวชาญให้ได้สักห้าถึงหกกิจการ และต้องพยายามพิจารณาให้ทะลุปุโปร่ง คิดเสียว่ามันเป็นกิจการที่คุณเพิ่งได้รับมรดกมา และเป็นกิจการอย่างเดียวที่คุณมีอยู่ คุณจะต้องทำอะไรกับมัน ต้องกังวลเรื่องอะไรบ้าง ใครเป็นคู่แข่ง ใครคือลูกค้า จงออกไปหาพวกเขา หาข้อมูลจากเขา เพื่อหาจุดอ่อนจุดแข็งให้พบ

Warren บอกว่าถ้าคุณทำได้ คุณจะเข้าใจธุรกิจดีกว่าผู้บริหารเข้าใจเสียอีก

ผมเองเคยใช้วิธีนี้กับหุ้นเสริมสุข หุ้นวาโก้ และอีกหลายกิจการมาแล้ว ผมเดินไปสั่งน้ำอัดลม และถามว่ายี่ห้อไหนขายดีกว่ากัน บางร้านต้องเอาอีกยี่ห้อหนึ่งซ่อนไว้ก่อนเพื่อให้อีกยี่ห้อหนึ่งขายหมด สำหรับหุ้นวาโก้ ผมลำบากใจจริงๆ แต่ต้องอาศัยภรรยาเดินไปทำทีว่ามาเลือกซื้อและผมเดินไปช่วยเลือก ผมว่าผู้บริหารจะทำได้อย่างผมหรือเปล่าก็ไม่รู้

สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องขอบเขตของความสามารถนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่า ขอบเขตนั้นมีบริเวณกว้างแค่ไหน แต่มันสำคัญที่ว่าคุณสามารถทำให้ขอบเขตนั้นชัดเจนได้มากเพียงใด หากมันชัดเจนมากแล้วคุณจะสามารถทำมันได้ดีกว่าคนที่ขอบเขตกว้างแต่ไม่ชัดเจนเลย และที่สำคัญขอบเขตความสามารถที่พัฒนาขึ้นมาได้แล้วสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต นับว่าคุ้มมาก

ในการประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway ที่จัดในปี 2005 มีคนถามว่า Warren ใช้เวลาในการตัดสินใจเพื่อซื้อกิจการเบียร์ยักษ์ใหญ่นานแค่ไหน และเพราะอะไร เขาตอบว่าประมาณ 2 วินาที ทั้งนี้ก็เพราะเขาได้ศึกษาธุรกิจเบียร์มานานกว่า20ปี และได้รับรายงานประจำปีมาอ่านศึกษาตลอด ทำให้เข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี เมื่อเสียงแห่งโอกาสมาถึง ทำไมต้องใช้เวลาให้เปล่าประโยชน์ด้วยเล่า!!!

นั่นแสดงว่า Warren กำหนดมูลค่าของกิจการได้ด้วยการอ่านอย่างมากมาย “ผมอ่านรายงานประจำปีของบริษัทที่ผมสนใจ และผมอ่านรายงานประจำปีของคู่แข่ง.....และนี่เป็นแหล่งข้อมูลหลักๆ”

เมื่ออ่านอะไรแล้วไม่เข้าใจ ก็อย่าไปโทษตัวคุณเอง เพราะเราไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ และบางทีนั้นคนที่เขียนก็อาจจะพยายามเขียนให้เราไม่เข้าใจก็ได้ ฉะนั้นถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ต้องหาโอกาสถามก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป คุณๆ รอกันได้หรือเปล่า? การลงทุนแบบเน้นมูลค่านั้นเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้คณิตศาสตร์ชั้นสูง หลักการโดยรวมคือ “เลือกหุ้นที่ดีในเวลาที่ดี และถือมันไว้ตราบเท่าที่มันยังเป็นกิจการที่ดี” ฟังแล้วง่ายจะตายไป ทำไม่ต้องไปทำให้ยุ่งยากด้วยก็ไม่รู้

“หากคณิตศาสตร์ชั้นสูงเป็นสิ่งจำเป็น ผมคงต้องกลับไปเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณจะต้องประเมินมูลค่าธุรกิจให้ได้ มันจริงอยู่ว่าคุณต้องหามูลค่าด้วยจำนวนหุ้นของบริษัท ดังนั้นการหารจึงจำเป็น แต่หากว่าคุณต้องการจะซื้อกิจการร้านค้าสักร้าน คุณคงไม่เอาคณิตศาสตร์ชั้นสูงเข้าไปใช้ในการพิจารณาด้วยอย่างแน่นอน การที่คุณจะตัดสินว่าคุณจะซื้อกิจการนั้นหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของกิจการนั้น โดยจะต้องมีความสัมพันธ์กับราคาสินทรัพย์ที่คุณกำลังจะซื้อ”

ดังนั้นจงหาหนังสือการลงทุนดีๆ หรือรายงานประจำปีบริษัทที่คุณสนใจมาอ่านจะดีกว่าการมานั่งแก้สมการทางคณิตศาสตร์กันอยู่เลย

ได้อ่านตรงนี้แล้วต้องแย้ง Warren หน่อยครับ คือที่ผมทำมันมีบวก ลบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย ดังนั้นการบวก การลบ ก็จำเป็นไม่แพ้การหาร ขอรับกระผม!!!

ในฐานะคนที่เรียนการวิเคราะห์การลงทุนมา และต้องพบกับสมการอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด และที่สำคัญมันทำให้ผมต้องอดนอนตอนใกล้สอบด้วย มาถึงวันนี้แล้วผมเสียดายเวลาและเงินค่าหน่วยกิจชะมัดเลย รู้อย่างนี้เอาไปเรียนการวิเคราะห์งบการเงิน กับการบริหารเชิงกลยุทธ์อย่างละสองรอบดีกว่า

ในการลงทุนที่ดีนั้นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้เป็นอันดับแรกๆ เลยคือหา กิจการที่ยอดเยี่ยมให้ได้ Warren เคยกล่าวไว้ว่า “คุณควรจะลงทุนในบริษัทที่แม้แต่คนโง่ๆ ก็ยังบริหารได้ เพราะวันหนึ่งอาจมีคนโง่ๆ เข้ามาบริหารบริษัทนั้นก็เป็นได้” และ “ไม่ว่าธุรกิจจะถูกกระทบด้วยปัจจัยหลากหลายที่เกิดขึ้นใน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรืออะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องลงทุนในธุรกิจที่ถูกต้อง เพราะถ้าธุรกิจดีจริง ปัจจัยต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบ ก็จะทำได้เพียงแค่ทำให้เซไปเท่านั้นเอง จนสุดท้ายทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติในที่สุด” แน่นอนว่าเราๆท่านๆ ก็ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่หรือ?

ในเรื่องที่ประเมินยากที่สุดคือเรื่องของผู้บริหาร การจะเลือกซื้อหุ้นนั้นเราคิดว่าเราซื้อทั้งกิจการ หรือแม้แต่การเข้าหุ้นร่วมเป็นเจ้าของ การจะเอาเงินเก็บของเราไปให้ใครก็ไม่รู้เอาไปลงทุนทำธุรกิจนั้นเห็นจะเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่สักหน่อย เปรียบเสมือนการจ้างคนขับรถที่เราไม่รู้จักเลยมาขับรถให้เรานั่ง เขาจะพาเราไปประสบอุบัติเหตุ หรือแอบเอารถของเราไปทำมิดีมิร้ายหรือไม่ก็ไม่รู้ เรื่องอย่างนี้เหมือนเรื่องที่เราใช้ตัดสินใจในชีวิตประจำวันนั่นเอง เรามาดูกันว่า Warren มีหลักการอย่างไรในการเลือกผู้บริหาร

1.การเลือกผู้บริหารนั้นสำคัญที่สุดคือ ความรักและผูกพันต่อธุรกิจ เราต้องดูให้ออกก่อนตัดสินใจว่าผู้บริหารนั้นรักงานของเขาหรือรักเงินมากกว่ากัน ถ้าเขารักงานและมีความผูกพัน เราก็สามารถวางใจให้เขาทำงานได้อย่างไม่ต้องยุ่งกับเขา

2.ความเก่ง และฉลาดมาเป็นอันดับสอง ความฉลาดนี้ไม่จำเป็นจะต้องเรียนจบมาสูงๆ จากประสบการณ์ของ Warren แล้ว ผู้บริหารที่เรียนไม่สูงก็สามารถทำงานได้ดีไม่แพ้คนที่เรียนจบมาสูงๆ แต่ที่สำคัญผู้บริหารจะต้องฉลาดในการบริหารกิจการนั้นๆ ของเขา

3.รักการทำงานหนัก มีพลังที่จะทุ่มเทให้กับงานของเขา

4.ความซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ถ้าหากว่าข้อกำหนดข้างต้นผ่านหมดแต่ขาดข้อสุดท้ายก็จบกัน ผู้บริหารไม่ว่าจะเก่งปานใดหากขาดความซื่อสัตย์แล้วก็จะนำพาธุรกิจไปสู่ความเสียหายได้ในที่สุด

จะเห็นว่าไม่ง่ายเลยที่จะหาผู้บริหารดีๆ ได้ตามที่เราต้องการ แต่ต้องหา ไม่อย่างนั้นอันตรายอย่างมาก บทสรุปสุดท้ายของการลงทุนทั้งหมดนั้นมักจะรวมอยู่ในประโยคๆ สั้นๆ ให้ได้ใจความที่ครบสมบูรณ์ และผมก็ไม่เคยเห็นประโยคไหนสรุปแล้วได้ใจความได้ดีเท่าประโยคที่ว่า

“ลงทุนในกิจการที่ดี ผู้บริหารเก่งและซื่อสัตย์ ซื้อธุรกิจที่มูลค่าสูงในราคาที่ต่ำเหมาะสม และถือหุ้นนั้นไว้ตราบเท่าที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี”

มนตรี นิพิฐวิทยา นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นกว่า 10 ปีและเป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ Thaivalueinvestor.com จะแนะนำกลวิธีการลงทุนแบบเจาะลึกถึงแก่นแท้ในสไตล์ Value Investor ผ่านคอลัมน์นี้


About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy
copyright @ 2004 Nation Group / Produced & Designed by : KT Internet Dept.