
|

|

|
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


Value Way : ทำงานไปลงทุนไป (3)
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ตอนก่อนหน้าผมได้พูดถึงการลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ (RMF) ไปแล้ว ครั้งนี้จะพูดถึง กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF - Long Term Equity Fund ) ว่ามีข้อดีข้อเสียและแตกต่างจากกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุอย่างไร
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF ) เกิดขึ้นหลังกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุประมาณหนึ่งปี สาเหตุการเกิดขึ้นของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลง ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำจากจุดสูงสุดที่ 800 จุดในช่วงปลายปี 2546 ลดลงเหลือเพียง 550 จุดในปี 2547 มูลค่าการซื้อขายลดลงอย่างมากจากวันละกว่า 6 หมื่นล้านบาทเหลือเพียงวันละ 6 พันล้านบาท นักลงทุนจำนวนมากขาดทุนจากการลงทุน รวมทั้งไม่มั่นใจในภาวะของตลาดหุ้นจึงชะลอการซื้อขาย
รัฐบาลในสมัยนั้นมองเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของการซื้อขายของสถาบันในประเทศ เช่น กองทุนรวม ในระดับต่ำ มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักซื้อหุ้นตามๆกัน โดยมักไม่พิจารณาปัจจัยพื้นฐานเท่าไหร่นัก ขณะที่นักลงทุนสถาบันมักมีข้อมูลและการตัดสินใจในการลงทุนที่มีเหตุมีผลมากกว่า ถ้าสามารถเพิ่มเงินลงทุนของกองทุนรวมของสถาบันในประเทศได้ จะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น
กองทุนรวมหุ้นระยะยาวจึงเกิดขึ้น โดยอาศัยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้มีรายได้นำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุนรวม
ผู้มีเงินได้สามารถนำเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวุไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมินรายปี หรือไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี ผู้ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้ปีต่อปีเท่านั้น และจำเป็นต้องถือกองทุนดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปีปฏิทินจึงสามารถไถ่ถอนได้โดยไม่เสียสิทธิทางภาษีที่ได้รับ
ตัวอย่างเช่น
ผู้มีรายได้พึงประเมิน 800,000 บาท สามารถนำเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% เท่ากับ 120,000 ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 20% จะได้ส่วนลดทางภาษี 120,000*20% = 24,000 บาท
ข้อดีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF )
1) สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยไม่ต้องนำเงินสมทบในกองทุนสำรองเลียงชีพหรือเงินสมทบในกบข. มาหักลดหย่อนก่อนคำนวณเหมือนกองทุน RMF
2) ขณะที่กองทุน RMF ไม่สามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนดหรืออายุต้องไม่ต่ำกว่า 55 ปี เนื่องจากกองทุนรวม RMF ุเป็นการลงทุนระยะยาว ทางราชการจึงไม่อนุญาตให้ผู้ลงทุนไถ่ถอนเงินลงทุนได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนด แต่สำหรับการลงทุนใน LTF ผู้ลงทุนสามารถไถ่ถอนได้เมื่อครบกำหนดเวลา 5 ปีปฏิทินเช่น ผู้ลงทุนซื้อกองทุน LTF ในเดือนธันวาคม 2548 เมื่อถึงเดือนมกราคม 2552 สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ต้องรอเกษียณอายุและ ไม่เสียสิทธิทางภาษีที่ได้รับแต่อย่างใด
3) ไม่จำเป็นต้องซื้อหน่วยลงทุนทุกปี ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนในกองทุนนี้เป็นประจำทุกปีเหมือนการลงทุนใน RMF
ข้อเสีย
1) สำหรับกองทุนRMF ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุได้ทุกเวลา เช่น เปลี่ยนจากกองทุนหุ้นเป็นกองทุนพันธบัตร หรือ เปลี่ยนจากบริษัทกองทุนหนึ่งไปอีกบริษัทหนึ่งได้ตามความต้องการ โดยไม่เสียสิทธิทางภาษีแต่อย่างใด แต่สำหรับกองทุน LTF ผู้ลงทุนจำเป็นต้องถือหน่วยลงทุนที่ลงทุนไว้จนครบกำหนดระยะเวลา 5 ปีตามที่กำหนดไม่สามารถเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้
2) เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ระหว่างการลงทุน ทำให้ผลตอบแทนขึ้นกับสภาพตลาดหุ้นไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่ามีความเสี่ยงมากกว่ากองทุน RMF
3) นอกเหนือจากผลตอบแทนของกองทุนขึ้นกับสภาพของตลาดหุ้นแล้ว ผลตอบแทนของกองทุนยังขึ้นกับการบริหารงานของผู้จัดการกองทุนนั้นๆอีกด้วย การเลือกกองทุนหรือบริษัทที่จัดการเงินลงทุนจึงมีความสำคัญ
สำหรับการเลือกว่าจะลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ (RMF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) นั้นขึ้นกับความต้องการของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ ถ้าผู้ลงทุนยังมีเงินสมทบในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสบทบสำหรับการเกษียณอื่นๆไม่เพียงพอในแต่ละปี อาจพิจารณาการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาครบกำหนดเกษียณอายุจริงๆ ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่ามีเงินเพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ
ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้นเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการระยะเวลาการลงทุนที่ไม่นานมากนัก หรือไม่ต้องการรอจนเกษียณอายุ รวมทั้งสามารถรับกับความผันผวนของตลาดหุ้นได้บ้าง เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปเป็นกองทุนพันธบัตรหรือกองทุนอื่นๆได้ตลอดระยะเวลาการถือครอง 5 ปี
ไม่ว่าจะลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ (RMF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ผู้ลงทุนสามารถลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ทั้งสองกรณี ดังนั้นผู้ที่ต้องการลงทุนแต่ไม่อยากลงมือด้วยตนเอง จึงไม่ควรมองข้ามกองทุนทั้งสองแบบ
|
|