
Value Way : มูลค่าที่แท้จริง : Reproduction Cost Of Asset
มนตรี นิพิฐวิทยา
สิ่งแรกที่เราต้องทราบให้ได้ก่อนการซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น คือ บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมใด และอุตสาหกรรมนั้นมีอนาคตสดใสหรือไม่ รายได้และกำไรจะมีความมั่นคงแน่นอนต่อเนื่อง หรือใกล้จะหมดอนาคตหรือยัง
แน่นอนว่า หากบริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในขาลง แล้วยอดขาย กำไรก็จะต้องลดลง ซึ่งแน่นอนว่า บริษัทนั้นต้องมีมูลค่าลดลงอย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากว่าธุรกิจนั้นถึงคราวต้องลาโลกนี้แน่ๆ แล้วละก็...
มูลค่าที่เหลือจริงๆ ก็คงมีแค่เศษเหล็กและซากของสินค้าคงเหลือเท่านั้น
ค่าความนิยม(Goodwill) ที่สั่งสมมาจึงไม่เหลือมูลค่าใดๆ แน่นอน บริษัทเหล่านี้จึงมีเอาไว้สำหรับซื้อเอามาถูกๆ และตัดแยกขายเท่านั้น
สำหรับบริษัทที่กำลังย่ำแย่แต่ยังพอมีอนาคต สามารถเอากับมาปลุกเสกให้พื้นคืนชีพได้นั้น มันต้องมีมูลค่าแน่ๆ แต่มีเท่าไรนั้น เราต้องประมาณกันหน่อย ซึ่งเรามักจะใช้วิธี "Reproduction Cost of Asset" หรือวิธีการตรวจสอบงบดุล เพื่อค้นหามูลค่าตามบัญชีของกิจการ และทำการปรับมูลค่าให้เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น
วิธีการนี้ให้เน้นไปที่มูลค่าของสินทรัพย์ของกิจการ และต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าทางเศรษฐกิจด้วยนะครับ ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์เหล่านั้นยังสามารถสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทได้ พวกโรงงานร้าง ที่ดินเปล่านั้น ให้ประเมินแบบขายลดราคาถอดตลาดลูกเดียว และค่าความนิยม(Goodwill) นั้นต้องเอามาดูว่าควรให้มีค่าแค่ไหน
มาดูตัวอย่างกันสักตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเอามาจากบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยนี่เอง แต่เป็นงบของปี 2002 บริษัทนี้ประกอบธุรกิจโรงพิมพ์ สำนักพิมพ์นิตยสารชื่อดัง อีกทั้งยังเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือ รวมทั้งร้านหนังสืออีกด้วย
สิ่งที่เราจะต้องปรับค่าให้เหมาะสมนั้นจะอยู่ในส่วนของสินทรัพย์ เริ่มต้นที่เงินสด
...เงินสดก็คือเงินสดไม่ต้องปรับอะไรทั้งสิ้น เพราะเราสามารถเอามาใช้ได้เลย แต่ถ้าเป็นรายการเทียบเท่าเงินสดต้องดูว่ามันเป็นอะไร เช่น เงินลงทุน ต้องดูว่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามมูลค่าในบัญชีหรือไม่ หรือดูที่ราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนไว้และปรับค่าตามนั้น
งานที่ยุ่งยากขึ้นเห็นจะเป็นเรื่องลูกหนี้การค้า ซึ่งเราต้องจัดการปรับค่าขึ้นหรือลงให้เป็นจริง เราสามารถหาข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบการเงิน บวกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและตรวจดูยอดเงินที่บริษัทเคยเก็บได้จริงๆ และตัดหนี้สูญออกจริงๆ เพื่อให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงที่สุด
และส่วนที่ยุ่งยากไม่แพ้กันเห็นจะเป็นเรื่องสินค้าคงเหลือ ต้องดูว่าเป็นสินค้าอะไร กรณีนี้เป็นพวกกระดาษ หนังสือนิตยสารเก่าๆ และหนังสือเล่ม เราต้องไปดูว่าแต่ละอย่างมีเท่าไรและปรับค่าไปตามนั้น สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น รายการนี้มักเป็นที่หมกอะไรต่อมิอะไรเอาไว้ ต้องดูให้ หากหาไม่ได้ว่าเป็นอะไรต้องเผื่อค่าเอาไว้มากๆ
ในส่วนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ส่วนหลักก็คือ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ส่วนนี้หาข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบได้ แต่ควรตรวจดูราคาที่ดินก็จะดี เพราะบางที่บริษัทบันทึกบัญชีเอาไว้นานแล้วยังไม่ได้ปรับปรุง ราคาที่ดิน อาคารอาจสูงกว่าที่บันทึกเอาไว้ก็เป็นได้ ส่วนเครื่องจักรนั้นให้หักค่าเสื่อมราคาและปรับลดเผื่อเอาไว้มากๆ หน่อย เพราะของพวกนี้กว่าจะขายได้คงนาน ส่วนอื่นเล็กๆ น้อยๆ ส่วนมากจะตัดทิ้งหมด ให้สังเกตว่าบริษัทนี้ไม่มีค่าความนิยม เพราะไม่ได้ไปซื้อบริษัทอื่นมาไว้จึงไม่มี
เมื่อปรับค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จากสินทรัพย์ทั้งหมด 1,370.11 ล้านบาท จะเหลือเพียงแต่ 936.41 ล้านบาท บริษัทนี้ขณะนั้นมีหุ้นอยู่ 19 หุ้น
ดังนั้น ราคาจึงอยู่ที่ 49.28 บาทต่อหุ้น ณ ปี 2002 บริษัทนี้ต้นปี ราคาหุ้นเปิดที่ 41.25 บาท และเป็นราคาที่ต่ำที่สุดของปี เมื่อเทียบกับประมาณการของเราแล้ว ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าถึง 8 บาท หรือ 19.40% ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าของตราสินค้าอย่างนิตยสารชื่อดัง และผู้บริหารที่มีความสามารถ และเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ซึ่งในที่สุดส่งผลให้หุ้นของบริษัทนี้มีราคาปิดที่ปลายปีที่ 90 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของปี
ปัจจุบัน ราคาหุ้นบริษัทนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในระดับ 100 บาท หรือ 10 บาทที่ราคาพาร์ 1 บาท พร้อมกับการจ่ายปันผล ทุกๆ ไตรมาส ซึ่งถ้าใครถือมาจนทุกวันนี้แล้วก็จะได้ผลตอบแทนมากกว่า 100% ยังไม่รวมเงินปันผล
จะเห็นว่าวิธีการนี้ใช้ได้ดีทีเดียว เพียงแต่เราต้องพยายามหาบริษัทที่มีคุณภาพ และต้องแน่ใจว่าบริษัทนี้ไม่ล้มแน่ๆ แถมยังมีมูลค่าแฝงเอาไว้อีก วิธีการนี้ยังสามารถใช้ได้กับบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมหนักๆ เช่น ปิโตรเคมีได้อีก เลือกบริษัทที่ไม่ล้มแน่ๆ แต่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ เมื่อถึงรอบขาขึ้นของสินค้าราคาก็จะปรับขึ้นหลายเท่าตัวแน่นอน
ในบริษัทที่มีสินค้าที่ตราสินค้าเข้มแข็งก็สามารถใช้ได้ดี อย่างเช่น โคคา โคลา ลองคิดดูว่าเราต้องใช้เงินมากแค่ไหนในการทำลายตราสินค้านี้ให้หายไปจากโลกได้ และเงินจำนวนนั้นก็คือมูลค่าของกิจการนั้นนั่นเอง
ในบ้านเราเองก็มีบริษัทที่ตราสินค้าเข้มแข็ง และมีมูลค่ามากเช่นกัน เพียงแต่เราต้องสรรหาและเฝ้ารอคอยโอกาสงามๆ ที่ราคาหุ้นจะตกต่ำลงมาให้เราได้ซื้อในราคาถูกๆ และต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ
แน่นอนว่า...เราจะต้องอดทนรอคอย และขยันในการสรรหาครับ
|