
|

|

|
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


Value way : เพชรน้ำหนึ่ง
มนตรี นิพิฐวิทยา
คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่ลงทุนในตลาดหุ้น? หรืออย่างน้อยก็กำลังคิดจะลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ บางคนสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างน่าพอใจ บางคนได้ผลตอบแทนแบบธรรมดา และแน่นอนส่วนใหญ่ยังไม่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน รวมถึงขาดทุนอยู่อย่างสม่ำเสมอ
คุณๆ รู้ไหมว่าในปีนี้ ณ เดือนพฤศจิกายน 2549 สมาชิกส่วนหนึ่งของชมรมนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าบางท่านสามารถสร้างผลตอบแทนได้กว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ บางท่านทำได้ 25 - 70% บางท่านเพิ่งเริ่มลงทุนก็ทำได้ไม่เลวที่ 10 - 15% และบางท่านเสมอตัว ไม่บาดเจ็บจากการลงทุน
คำนวณโดยรวมๆ แล้ว สมาชิกชมรมนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าน่าจะมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 20 - 30% ในปีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมี Market Return ประมาณ 4-5%
นับว่าสมาชิกชมรมนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างราบคาบโดยสิ้นเชิง!!!
สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นของปีนี้จัดว่าผันผวนเอาการครับ เริ่มต้นปีด้วยดัชนี ประมาณ 710 จุด ทำจุดต่ำสุดแถวๆ 660 จุด แล้วกลับมาที่แถวๆ 740 จุด ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ในปีนี้เกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนมากมาย ตั้งแต่ปัญหาการเมืองในรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ มีการรัฐประหาร ราคาน้ำมัน อัตราดอก และอื่นๆ อีก
ทำไมสมาชิกชมรมนักลงทุนแบบเน้นมูลค่า จึงเอาชนะตลาดได้อย่างราบคาบเช่นนี้???
คำตอบที่ผมพอจะยกมาอ้างได้นั้น ก็คือ ตลาดหุ้นเปรียบเสมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมาระหว่างการมองโลกในแง่ดีมากเกินไป (ซึ่งทำให้หุ้นราคาแพง) และการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป (ซึ่งทำให้หุ้นราคาถูก) นักลงทุนผู้ชาญฉลาดเป็นคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง จะขายหุ้นให้แก่คนที่มองโลกในแง่ดี และซื้อหุ้นจากคนมองโลกในแง่ร้าย
ผมไม่ได้คิดเองหรอกครับ ผมหยิบมาจาก The Intelligent Investor คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ของท่าน Benjamin Graham และที่เห็นสำนวนในภาษาไทยนั้นก็ไม่ใช่ฝีมือผมอีกเช่นกัน แต่เป็นของผู้แปลคือ คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข แห่ง Wisdom Works Press
จริงๆ แล้วผมเคยอ่านหนังสือเล่มนี้จากฉบับภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว จำได้ว่าต้องดิ้นรนอย่างมากกว่าจะได้อ่านหนังสือที่นักลงทุนที่รวยที่สุดของโลก และเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกอย่าง Warren Buffett ยืนยันว่า นี่คือหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียนขึ้นมา และหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของ Warren Buffett เลยก็ว่าได้ Buffett อ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงปี 1950 ตอนนั้นเขามีอายุ 19 ปี
ปัจจุบันเขาก็ยังยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้ยังคงเป็น หนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียนขึ้นมา เช่นเดิม และยิ่งในขณะนี้ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้ว โดยคุณพรชัย ยิ่งทำให้ปัญหาเรื่องภาษาที่หลายๆ คนเกี่ยงกัน หมดไป
เมื่อรู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งการลงทุนของโลกยังกล่าวเช่นนี้ ไฉนเลยลูกกระจ๊อกอย่างผมจะอดใจได้ จึงได้หามาอ่านแบบต้องสั่งจากอเมริกา รอกันเป็นเดือน และที่ยากกว่านั้นคือ การที่จะต้องมาทนอ่านภาษาอังกฤษในยุคเมื่อ กว่า 50 ปีมาแล้ว แต่พออ่านแล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ท่าน Benjamin Graham เขียนเอาไว้นั้นทันสมัยจริงๆ และเมื่อผมอ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับการระลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดในตลาดหุ้นบ้านเราในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ผมยอมรับท่าน Graham ว่า เป็นยอดคนจริงๆ
สิ่งที่เกิดในตลาดหุ้นมักจะเกิดขึ้นอีกโดยต่างกรรมต่างวาระต่างเหตุการณ์ แต่ผลที่ได้รับก็แบบเดิมๆ นับว่าสามารถปรับใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ถึงจะกล่าวถึงเรื่องเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว ก็จัดว่ายังทันสมัยเพราะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา
คุณๆ อาจจะคิดว่าอย่างนี้ฉันก็คิดได้
จริงครับ คิดได้ แต่ไม่ค่อยเห็นใครจะเอาเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุนจากเรื่องนี้ได้สักเท่าไรเลย
เพื่อไม่ให้คุณๆ ผู้ติดตามอ่านคอลัมน์ของผมมานานต้องพลาดโอกาสนี้ผมจึงหยิบหนังสืออมตะเล่มนี้มาแนะนำ ผมกล้ารับประกันว่าคุณจะรู้สึกคุ้มค่าเมื่อได้อ่านตั้งแต่หน้าแรกๆ และที่สำคัญอ่านแล้วต้องนำเอาไปประยุกต์ใช้ให้ได้ ต้องเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor ให้ได้
ผมเชื่อว่าใครๆ ก็เป็น Intelligent Investor ได้ทั้งนั้น เพราะ The Intelligent Investor คือ ความชาญฉลาดในการลงทุนนั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับ IQ หรือระดับการศึกษาแต่ประการใด คุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดคือ มีความอดทน มีวินัยในการลงทุน มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และค้นหาข้อมูล และที่สำคัญยิ่งไปกว่าสิ่งใด คุณต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของคุณและต้องคิดได้ด้วยตัวคุณเอง
ความชาญฉลาดดังที่กล่าวมามีลักษณะในเชิงพฤติกรรมมากกว่าความฉลาดในแบบที่เราเคยได้รับรู้มา หรือสมัยนี้เรียกว่า เราต้องฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligent) มากกว่าฉลาดทางสมอง (Academic Intelligent) เรื่องนี้มีข้อพิสูจน์แล้วว่าคนที่ IQ สูงๆ แถมยังรวมตัวกันเป็นกองทัพเลยก็เรียกได้ เพราะเป็นถึงนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล พร้อมทั้งนักคณิตศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ ยังบริหารกองทุน Long-Term Capital Management เจ๊งมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเคยบริหารกองทุนแล้วได้ผลตอบแทนงามๆ ในระยะสั้นๆ จึงได้ใจคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทำการลงทุนที่เสี่ยงครั้งยิ่งใหญ่ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 1998 จนเกิดการประชดประชันว่าที่เคยทำได้ดีนั้นเพราะ เก่งเทียมฟ้า หรือว่าโชคช่วย กันแน่
ฉะนั้นเมื่อท่านกูรูใหญ่ในวงการตลาดหุ้นพากันประสานเสียงว่าหุ้นไทยจะไปพันกว่าจุดเมื่อไร ก็จงได้เพิ่มความระมัดระวังเอาไว้ให้จงดี เพราะจุดจบของอัจฉริยะกำลังจะมาถึงอีกในไม่ช้า
แม้ว่านักลงทุนแบบเน้นมูลค่าที่สามารถได้รับผลตอบแทนสูงๆ จากปีที่ผ่านๆ มา ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องอ่าน และจดจำ นำไปประยุกต์ใช้ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่กำลังปรับปรุงการลงทุนหรือผู้คิดจะเริ่มใหม่ เพื่อไม่ให้หลงทางไปในภาพลวงตาจนเกิดปรากฏการณ์ เก่งเทียมฟ้า หรือว่าโชคช่วย กันอีกในอนาคต
|
|