
|

|

|
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2549
|

|
|
|

|
|
|
|
|


Value way : วัฏจักรธุรกิจ
มนตรี นิพิฐวิทยา
อุตสาหกรรมต่างๆ ก็เหมือนช่วงชีวิตคนเรา มีขึ้นมีลงสลับกันไปมา แต่การขึ้นลงของธุรกิจนั้นมักมีที่มาที่ไปที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ และนักลงทุนสามารถวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ได้ล่วงหน้าหากนักลงทุนเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง
การขึ้นลงของธุรกิจนำมาซึ่งการขึ้นลงของราคาหุ้นของบริษัท เพียงแต่ว่าการขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นมักจะเกิดขึ้นก่อนการขึ้นหรือลงของธุรกิจ หากเราไม่เข้าใจธุรกิจ เราก็จะช้ากว่าผู้อื่นที่เขาเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี และนี่คือข้อได้เปรียบเสียเปรียบที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในการลงทุน
วัฏจักรของอุตสาหกรรมนั้น มีได้หลายแบบ แต่ที่เราเห็นกันชัดๆ คือ "การลงแบบถาวร" เนื่องจากการถูกแทนที่โดยสินค้าทดแทนชนิดอื่นอย่างเด็ดขาด
เช่นการทดแทนเครื่องพิมพ์ดีดด้วยโปรแกรม Word processor การลงอย่างนี้ไม่มีวันกลับมาแน่นอน
"การลงเป็นรอบธุรกิจที่เกิดจากเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์" คือ การที่ผู้ผลิตเห็นว่าสินค้ามีราคาสูง ซึ่งอาจจะเกิดจากความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นจากที่เคยมีไม่มาก ทุกบริษัทเร่งขยายการผลิตทำให้สินค้าออกมามากกว่าความต้องการ จากนั้นก็แข่งขันกันด้วยการลดราคาเพื่อระบายสินค้า
ในช่วงนี้ผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นจะอยู่รอดและรอเวลากลับมาอีกครั้งเมื่อผู้ที่อ่อนแอต้องเลิกราไป เมื่อตลาดกลับสู่สภาพที่สมดุล บริษัทก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้เป็นปกติ และเมื่อเกิดความต้องการที่สูง บริษัทที่แข็งแกร่งซึ่งอาศัยเวลาที่ผู้อื่นอ่อนแอเตรียมการไว้แล้ว ก็จะสามารถสร้างผลกำไรที่เป็นพิเศษได้ แต่ช่วงเวลานั้นจะไม่ค่อยยาวนาน ซึ่งเป็นเพราะทุกคนก็ชอบที่จะได้รับกำไรงามๆ เช่นกัน จึงขยายกำลังมาแข่งกันอีก ซึ่งก็จะกลับเข้าสู่รอบขาลงอีกครั้ง เป็นเช่นนี้เรื่อยไป เป็นกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ รุ่งเรือง (บางอย่างเท่านั้น) และดับไป
ทีนี้เราในฐานะนักลงทุนผู้ชาญฉลาด มีหนทางให้เลือกเพียงสองทางง่ายๆ (ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด) คือ ทางแรก ศึกษาเอาจริงและเลือกลงทุนให้เหมาะกับจังหวะธุรกิจ ทางหลังคือไม่สนใจและไม่ลงทุนในธุรกิจนี้
สังเกตไหมว่าผมให้เลิกสนใจเป็นทางเลือกที่สอง เพราะผมเห็นว่ามนุษย์ทุกคนฝึกได้ ไฉนจึงไม่เลือกที่จะฝึกฝนศึกษาให้เห็นจริงเสียก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ แล้วเลิกราก็ยังได้ชื่อว่าได้พยายามแล้ว แต่ที่ไม่ศึกษาแต่สนใจก็คงต้องอาศัยโชคเอาหน่อย ถ้าโชคอำนวยก็อาจจะเข้าออกได้ถูกจังหวะ แต่ถ้าดวงไม่ดีก็คิดเอาเอง เรื่องนี้คงต้องอาศัยผู้รู้ช่วยตรวจดวงชะตา
สำหรับธุรกิจที่ขึ้นลงเป็นรอบนั้นมีอยู่หลายประเภท ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Commodity หรือสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิเช่น เหล็ก ปิโตรเคมี สินค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่สามารถหาได้ง่าย ใครๆ ก็ผลิตได้ ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก การแข่งขันจึงเป็นแบบสมบูรณ์ ราคาสินค้าขึ้นลงตามความต้องการของตลาด
การหาข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ธุรกิจนั้น จึงไม่ยากเหมือนการซื้อหาสินค้าเหล่านี้ ยิ่งยุคข้อมูลข่าวสารที่เราสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย จึงยิ่งไม่น่ามีปัญหา เพียงแต่เราต้องขยัน อดทนในการค้นและศึกษา สอบถามผู้รู้ และสรุปข้อมูลให้ได้ และถ้าคุณค้นพบ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่ามาก
ดังที่กล่าวไว้แต่ต้นว่า การขึ้นลงของราคาหุ้นนั้น จะเกิดขึ้นก่อนการขึ้นลงของรอบธุรกิจ อย่างน้อยๆ ก็ 3-6 เดือน ทั้งนี้เป็นเพราะมีผู้ที่รู้และเข้าใจธุรกิจได้เข้าสะสมหุ้น (ไม่เกี่ยวกับผู้ที่ใช้ข้อมูลภายใน) อย่างเงียบๆ และเมื่อมีผู้ที่รู้ข่าวตามมาทีหลังก็ตามเก็บหุ้นต่อๆ กันมา จึงผลักดันราคาหุ้นสูงขึ้น ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันขึ้นเพราะอะไร เพราะเห็นผลประกอบการยังไม่ได้ดีขึ้นเลย (ข้อนี้เป็นข้อเสียเปรียบของผู้ที่ยึดติดอยู่กับข้อมูลในอดีตที่แสดงในงบการเงินแต่เพียงอย่างเดียว) ในรอบการลงก็เช่นกัน ผู้รู้ก็ขายก่อน ผู้รู้ทีหลังก็ขายตามมา ผู้ที่ไม่รู้ก็จะเป็นผู้ถือหุ้นระยะยาวที่แท้จริง คือทำใจขายไม่ลงแล้ว
ทีนี้มาคุยกันเรื่องของธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ๆ เราเองก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตไปอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน การจับจ่ายซื้อของ การบริโภค การสื่อสารต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลง
ดังนั้นขั้นแรกเลย เราต้องคอยสังเกตตัวเราเองและคนรอบข้างว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และไปในทิศทางไหน และมีธุรกิจใดเข้ามาตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงนี้บ้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร มั่นคงต่อเนื่องหรือฉาบฉวย สิ่งที่ช่วยท่านได้คือขยันเดินตลาดสำรวจพฤติกรรมมวลชนเสียหน่อยก็จะเห็นเอง ผมใช้วิธีนี้เสมอ ซึ่งค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว
การวิเคราะห์ธุรกิจนั้นเริ่มที่ตัวเราเองครับ เราเห็นเรารู้อะไร ให้เอาสิ่งนั้นเป็นตัวตั้งและเร่งศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วนำมาประกอบการลงทุน
อย่ามักง่ายเชื่อตามคนอื่นไปตลอดทาง ไม่เช่นนั้นหากโชคดีก็รอดตัวไป หากเสียท่าก็หมดกัน
|
|