
Value Way : Mr.Market (2)
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
คราวที่แล้วได้กล่าวถึงลักษณะนิสัยของ นายตลาด (Mr.Market) ไปแล้ว อาทิตย์นี้มาดูกันว่าถ้านายตลาดเป็นดังที่กล่าวไปแล้วนั้น นักลงทุน จะหาประโยชน์จากนายตลาดได้อย่างไร หรือ ถ้าไม่อยากตกอยู่ใต้อำนาจของนายตลาดต้องทำอย่างไรบ้าง
อันดับแรก อารมณ์ต้องมั่นคง
เริ่มต้นคงต้องฝึก จิตใจ ของตนเองให้ได้เสียก่อน หัดควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ เวลาเห็นหุ้นตกๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน หรือเวลาเห็นหุ้นขึ้นๆ จะได้ไม่ดีใจจนออกนอกหน้า ของอย่างนี้ไม่ใช่จะทำได้ในวันสองวัน กว่านักลงทุนหน้าใหม่จะนิ่งแบบนี้ได้ ก็คงต้องจ่าย ค่าวิชา ไปไม่มากก็น้อย
ส่วนใหญ่จะมือซน เวลาเห็นหุ้นขึ้นๆ ก็กลัวตกรถเลยใส่เข้าไปเต็มๆ ปรากฏว่าหุ้นร่วงลงมาทันตาเห็น เสร็จแล้วก็กลุ้มใจ เพราะทนเห็นหุ้นในพอร์ตขาดทุนไม่ไหว แต่พอขายออกไปทีไร หุ้นดันขึ้นทุกที ไม่รู้เป็นอะไร โดน นายตลาด แกล้งเอาเสียทุกที หรือเห็นหุ้นตกๆ ก็ช้อนเข้าไปเต็มที่ ปรากฏว่าช้อนหัก หุ้นดันร่วงต่อ แต่ไม่มีเงินซื้อแล้ว ก็กลุ้มใจไปอีกแบบ
ถ้าใครมีอาการเช่นนี้บ่อยๆ คงต้องหัดทำใจให้สงบ อย่ามือซน เพราะสิ่งที่ยากที่สุดสิ่งหนึ่งในการลงทุนก็คือการที่จะอยู่ เฉยๆ ให้ได้
อย่างที่สอง ต้องดูที่มูลค่าหุ้น
นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะชอบดู ราคาหุ้น เป็นหลัก พอซื้อหุ้นอะไรมาก็เฝ้าดูราคาหุ้นได้ทุกวัน วันไหนไม่ได้ดูราคาหุ้นก็แทบจะ ลงแดง
การเฝ้าดูราคาหุ้นทุกวันนั้น นักลงทุนเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลง อาจจะทนไม่ไหว บางครั้งอาจขายหุ้นออกไปก่อนเวลาอันควรก็เป็นไปได้ เพราะอยู่ใกล้เกินไป อารมณ์เลยคล้อยตาม นายตลาด ไปด้วย
นอกเหนือจากเลิกเฝ้าดูราคาหุ้นแล้ว สิ่งที่น่าทำอีกอย่างก็คือ ต้องหัดดูที่ มูลค่าหุ้น ไม่ใช่ ราคาหุ้น
อาจารย์เกรแฮมบอกเสมอว่า Price is what you pay, Value is what you get
ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ
มูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็ขึ้นกับการตีความของแต่ละคน ดังนั้นให้คนสิบคนมาหามูลค่าหุ้นตัวเดียวกันก็ได้สิบค่า นักลงทุนหน้าใหม่ก็ไม่ต้องไปกังวลเวลาหามูลค่าหุ้นออกมาแล้วไม่ตรงกับคนอื่น
นอกเหนือจากนั้นสูตรต่างๆ เป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการเข้าใจในธุรกิจที่จะลงทุน
บัฟเฟตต์ บอกเสมอว่า ไม่มีสูตรสำเร็จในการหามูลค่าหุ้น สิ่งสำคัญก็คือคุณต้องเข้าใจในธุรกิจที่จะลงทุนเป็นอย่างดี
นักลงทุนหลายท่านยึดมั่นในสูตรที่คิดว่าถูกต้อง แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปกลับเป็นสูตรที่ใช้ไม่ได้ เพราะตลาดหุ้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด
ดังนั้นสิ่งสำคัญในการลงทุนคือ ขบวนการคิด ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
หลังจากนั้น ต้องหัดอย่าตกใจ
เวลาเห็นหุ้นตกๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปจะตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ทำอะไรไม่ถูกแต่ถ้าใครเห็นหุ้นตกๆ แล้วอารมณ์ดี หัวเราะร่า แสดงว่าฝึกวิทยายุทธเข้าขั้นระดับหนึ่งแล้วถ้าระดับสูงขึ้นก็ต้องถ้าหุ้นตกหนักๆ แล้วควักเงินออกมาซื้อหุ้นหน้าตาเฉย
เวลาเห็นหุ้นตกๆ ก็อย่าตกใจให้ตั้งสติ คิดถึงเหตุและผล คิดถึงสาเหตุของหุ้นตกนั้นเกี่ยวข้องกับหุ้นของบริษัทของเราหรือเปล่า ถ้าฝนตกแล้วทำให้ตลาดหุ้นตก ก็ยังมีบริษัททำร่มที่จะได้ประโยชน์จากราคาหุ้นที่ตกลงทั้งกระดาน แต่นายตลาดคงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก
ดังนั้นใครมีสติ และมีเหตุมีผลก็คงรับซื้อของลดราคาจากนายตลาดได้สนุกไปเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าเป็น ชาวสวน ทุกครั้งไปเพราะบางครั้งหุ้นตกก็อาจจะเป็นการตกจริงๆ ก็เป็นไปได้ เช่น หุ้นตกจาก 1,500 จุด ลงมาเหลือ 750 จุดก็บอกว่าถูกมากแล้ว เข้าไปช้อน ปรากฏว่าหุ้นตกต่อเหลือ 200 จุดลงขาดทุนไปมากกว่า 50%
สุดท้าย หัดคิดแบบปัจเจกบุคคล
นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เวลาซื้อหุ้นมักจะถามความเห็นคนนั้นคนนี้ว่าซื้อดีหรือไม่ พอซื้อมาก็ไม่รู้ว่าจะขายตอนไหนดี เมื่อหุ้นปรับตัวลงก็เก็บหุ้นขาดทุนไว้เต็มพอร์ต อย่างนี้จะโทษใครนอกจากตัวเราเอง
บางคนก็มั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ไม่เคยฟังใคร มั่นใจในตนเองเต็มที่ คิดว่าสิ่งที่ตนคิดถูกต้อง 100% เสมอ เรียกว่าไม่มีวันถอยหลังถ้าตัดสินใจไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องขาดทุน แบบนี้อันตรายทีเดียวเพราะบางครั้งเราต้องยอมรับว่าเราผิดพลาดได้ เพราะแม้แต่เซียนหุ้นอย่างจอร์จ โซรอส ยังยอมรับว่า ตนเองก็ผิดพลาดเป็น
ใครไม่ยอมรับว่าตนเองผิด แถมโทษคนอื่นหรือโทษสภาพแวดล้อม มักจะไม่ยอมปรับปรุงตัว สุดท้ายก็ทำผิดในเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ
ถ้าทำได้ตามที่ว่ามาทั้งทำอารมณ์ให้มั่นคง หามูลค่าให้เป็น อย่าตกใจง่าย ใช้เหตุและผลในการลงทุน เราก็จะได้ประโยชน์จาก นายตลาด อย่างมาก ดังนั้นถ้านักลงทุนทั้งหลายตั้งสติให้ดี อย่าให้ ความโลภ และ ความกลัว เข้าครอบงำจิตใจ ท่านก็จะไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ นายตลาด เสียเอง
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ...
|