
ภาษีหุ้น
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ช่วงเวลานี้ เรื่องราวของการขายหุ้นบริษัทสื่อสารแห่งหนึ่งให้กับกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก การซื้อขายครั้งนี้คิดเป็นจำนวนเงินที่ซื้อขายกันมหาศาลถึงกว่า 70,000 ล้านบาท นับว่าเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดดีลหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดทุนของประเทศไทย
อีกเรื่องหนึ่งที่สื่อมวลชนสนใจเกี่ยวกับการซื้อขายครั้งนี้ ก็คือ เรื่องของการ "เสียภาษี" ซึ่งภาษีที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่กี่ร้อยล้านบาท ขณะที่ถ้าเป็นการซื้อขายสินค้าทั่วไปอาจจะต้องเสียภาษีรายได้เป็นจำนวนเงินกว่า 20,000 ล้านบาท
ประเด็นนี้ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้องในการเสียภาษีของการซื้อขายครั้งนี้ เหตุการณ์บานปลายจนหลายฝ่ายทั้งนักวิชาการ ฝ่ายค้าน หรือสื่อมวลชนบางกลุ่ม ออกมากดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก
โดยปกติการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยต้องจ่ายสำหรับการซื้อขายหุ้น ก็คือ ค่านายหน้าของโบรกเกอร์ (Commission Fee) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของค่านายหน้าที่เกิดขึ้น
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือยุโรปมีการจัดเก็บ "ภาษีส่วนต่างกำไรของการซื้อขายหุ้น หรือ Capital-Gain Tax ภาษีส่วนต่างกำไรนี้คิดจากเปอร์เซ็นต์ของกำไรที่ได้จากการขายหุ้น โดยนำราคาขายหักลบจากต้นทุนที่ได้มาของหลักทรัพย์นั้นๆ
บางประเทศภาษีส่วนต่างกำไรถูกนำมาคิดรวมเป็นรายได้ส่วนบุคคลประจำปีของนักลงทุนรายย่อย ทำให้มีเปอร์เซ็นต์การจ่ายภาษีค่อนข้างสูง บางประเทศอาจต้องจ่ายค่าภาษีส่วนต่างกำไรถึง 30-50% ของกำไรที่ได้รับเลยทีเดียว นักลงทุนรายย่อยต้องเสียภาษีส่วนต่างกำไร จนบางครั้งผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยกว่าการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยน้อยกว่านักลงทุนสถาบัน
ภาษีส่วนต่างของกำไรในต่างประเทศไม่ได้เก็บจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซื้อขายทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นด้วย โดยเฉพาะภาษีส่วนต่างกำไรที่เกิดจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อบ้านที่อยู่อาศัยราคา 1 ล้านบาท พอเวลาผ่านไปสิบปี เจ้าของขายบ้านหลังนั้นไปในราคา 5 ล้านบาท ส่วนต่างกำไรที่เกิดขึ้นสี่ล้านบาทต้องถูกนำมาคิดภาษีส่วนต่างกำไรด้วยเช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากนั้นในต่างประเทศยังมี "ภาษีการถือครองทรัพย์สิน หรือ Property Tax ซึ่งเรียกเก็บจากบุคคลที่มีทรัพย์สินไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้านอยู่อาศัย หรือรถยนต์ ใครที่มีทรัพย์สินมากต้องเสียภาษีการถือครองทรัพย์สินมากตามไปด้วย
เช่น มีที่ดินถือครองหลายร้อยไร่ต้องจ่ายภาษีการถือครองทรัพย์สินมากกว่าคนที่ถือครองที่ดินเพียงสองสามไร่ในเขตเดียวกัน อัตราภาษีในแต่ละรัฐแต่ละเมืองไม่เท่ากัน บางรัฐมีอัตราการเก็บภาษีประเภทนี้สูง
ขณะที่อีกรัฐอาจมีอัตราการเก็บภาษีการถือครองทรัพย์สินที่ต่ำกว่า ภาษีนี้จะเรียกเก็บเพิ่มเติมจากภาษีประจำปีที่ต้องจ่ายตามปกติอยู่แล้ว เช่น ภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ หรือภาษีโรงเรือนเป็นต้น
ภาษีการถือครองทรัพย์สินเกิดขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยถือว่าคนที่มีทรัพย์สินมากต้องมีภาระในการจ่ายภาษีมากกว่าคนที่มีทรัพย์สินน้อยกว่า
ภาษีอีกอย่างที่มีในต่างประเทศคือ "ภาษีมรดก หรือ Estate Tax เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมรดกของพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่มอบให้กับลูกหลาน ภาษีนี้จะถูกเรียกเก็บเมื่อมีการถ่ายโอนทรัพย์สินให้กับผู้รับมอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน รถยนต์ หุ้น หรือของมีค่าอื่นๆ อัตราภาษีมรดกในบางประเทศสูงมาก จนผู้รับมรดกไม่สามารถจ่ายค่าภาษีนี้ได้ ทำให้เจ้าของมรดกต้องหาทางออกด้วยการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้กับมูลนิธิการกุศลซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีมรดกตามกฎหมาย เราจึงเห็นเศรษฐีใจบุญมากมายในต่างประเทศตั้งมูลนิธิของตนเองขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม
สำหรับในประเทศไทย ยังไม่มีการเรียกเก็บภาษีทั้งสามดังกล่าวข้างต้น ในส่วนของภาษีส่วนต่างกำไรจากการซื้อขายหุ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่เรียกเก็บภาษีในส่วนนี้จากนักลงทุนรายย่อย เพราะต้องการจูงใจให้มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น มีการคาดกันว่าถ้ามีการประกาศเก็บภาษีส่วนต่างกำไรหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อใด มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นต้องลดลงเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนการซื้อขายสูงที่สุดในตลาดหุ้นไทย
ในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บภาษีการถือครองทรัพย์สินเหมือนต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การมีรถยนต์ไว้ในครอบครองในประเทศไทย เจ้าของรถยนต์จ่ายเพียงค่าต่ออายุทะเบียนรถยนต์ประจำปี ซึ่งเฉลี่ยปีละไม่กี่พันบาทตามขนาดของเครื่องยนต์ ขณะที่ในต่างประเทศการมีรถยนต์สักคันต้องจ่ายภาษีการถือครองทรัพย์สินซึ่งอาจมากถึง 10% ของราคารถยนต์คันดังกล่าว เช่น ถ้ารถยนต์คันละหนึ่งล้านบาทต้องจ่ายภาษีส่วนนี้ถึงหนึ่งแสนบาทต่อปีเลยทีเดียว
นอกจากนั้นการมอบมรดกให้กับลูกหลานตามกฎหมายไทย ยังถือว่าเป็นการให้ด้วยความเสน่หา ซึ่งไม่ต้องมีการเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นก็ตาม
จากความแตกต่างของภาษีทั้งสามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้การโอนหุ้นให้กับเครือญาติ, การถือครองหุ้นจำนวนมาก และการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยจึงไม่ต้องเสียภาษี
จะเห็นว่าการซื้อขายหุ้นบริษัทสื่อสารให้กับทุนสิงคโปร์เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทโดยจ่ายภาษีเพียงแค่ไม่กี่ร้อยล้านบาทนั้น ไม่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีในประเทศไทยแต่อย่างใด
ดังนั้นการให้นายกรัฐมนตรีลาออกคงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ในอนาคต ทางออกควรจะเป็นการร่วมมือกันแก้ไขกฎหมายไทยให้มีการเก็บภาษีทั้ง ภาษีส่วนต่างกำไร, ภาษีการถือครองทรัพย์สิน และภาษีมรดก แล้วจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ...
วิบูลย์ พึงประเสริฐ "นักลงทุนบริหารพอร์ตส่วนตัว เริ่มต้นจากการขาดทุนในตลาดหุ้นเมื่อหลายปีก่อน จนพบว่า Value Investing ให้ความสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตกับเวลาส่วนตัวในปัจจุบันได้ จะมาแนะนกการลงทุนแบบไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกระวนกระวายความผันผวนของตลาดหุ้น ผ่านคอลัมน์นี้
|