
มูลค่าที่แท้จริง :คิดลดกระแสเงินสด 2
มนตรี นิพิฐวิทยา
ในตอนที่แล้วเราคุยกันถึงเรื่องกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การที่บริษัททำมาหาได้ และการใช้จ่ายเงินสดไปเพื่อการซื้อสินค้า ให้สินเชื่อแก่ลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่ในรูปของสินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียน เมื่อจับมาหักลบกันจะเรียกว่า เงินทุนหมุนเวียนหรือ Working Capital ให้สังเกตง่ายๆว่าหากเงินทุนหมุนเวียน(สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน)นี้มีค่าติดลบ นั่นแสดงว่า บริษัทไม่ได้ใช้เงินตัวเองในการซื้อสินค้ามาดำเนินธุรกิจ หากแต่เป็นการที่เก็บเงินลูกค้าได้เร็วกว่าการจ่ายคืนหนี้ผู้ขายสินค้าซึ่งไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ฉะนั้นจึงเป็นข้อได้เปรียบที่หาได้ค่อนข้างยาก เรามักจะเห็นงบกระแสเงินสดในส่วนเงินทุนหมุนเวียนเป็นลบนี้ในบริษัทค้าปลีกเป็นส่วนใหญ่ ในบริษัทประเภทอื่นก็พอมีให้เห็นบ้าง ถ้าพบให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริษัทนี้มีอำนาจต่อรองเหนือกว่า ผู้ขายสินค้า และลูกค้า
ในส่วนที่สอง และสามของงบกระแสเงินสด จะเป็นกระแสเงินสดจากการลงทุน และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน
กระแสเงินสดจากการลงทุน จะแสดงถึงเงินที่บริษัทใช้ไปเพื่อเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และลงทุนในตราสารทางการเงิน เช่น หุ้นสามัญ หุ้นกู้ และกองทุนรวม ทั้งหมดจะแสดงรายละเอียดในส่วนนี้
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน
เงินให้กู้ยืมแก่กิจการอื่นเพิ่มขึ้น (9,240)
เงินฝากสถาบันการเงินที่มีภาระค้ำประกันเพิ่มขึ้น (1)
เงินสดจ่ายซื้ออุปกรณ์ (21,798)
เงินสดรับจากการจำหน่ายอุปกรณ์ 13,006
เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน (18,033)
ส่วนมากแล้วในส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุนมักจะติดลบ ทั้งนี้หมายถึงการที่บริษัทได้จ่ายเงินสดออกไปเพื่อซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว แต่บางครั้งจะเป็นบวกได้เช่นกันหากบริษัทได้ขายสินทรัพย์ออกไป เช่นขายเครื่องจักร ขายที่ดิน ขายเงินลงทุน บริษัทโดยทั่วไปแล้วจะมีการลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์ ที่ดินอยู่เสมอ หรือบางครั้งก็เป็นการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ สำหรับบริษัทที่กำลังเติบโต ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุนจะติดลบมาก สำหรับบางบริษัทที่การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปกระแสเงินสดจากการลงทุนควรจะใกล้เคียงกับค่าเสื่อมราคาในแต่ละปี ซึ่งงบกระแสเงินสดจากการลงทุนจะบอกเราได้เช่นกันว่าบริษัทอยู่ในช่วงเติบโตหรือไม่ ทั้งนี้ให้ดูที่ยอดขาย กำไร และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานด้วยว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เช่น บริษัทลงทุนสูงต่อเนื่อง แต่ยอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมาย ตรงนี้จะเป็นลางบอกเหตุได้อย่างหนึ่งว่า การลงทุนนั้นมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน
ผมมีประสบการณ์กับบริษัทหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างสูงและมั่นคง สร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นมาตลอดหลายปี แต่ต่อมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บริษัทมีเงินสดเหลือมากเลยเอาไปลงทุนสร้างอาคารสำนักงาน เสียมากมาย ปรากฏว่าสำนักงานนั้นสวยงามน่าทำงานก็จริง แต่มันไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้นเลย ผมตัดสินใจขายหุ้นนั้นไป ทั้งๆที่อยากเก็บเอาไว้อีก หากการลงทุนนั้นสร้างมูลค่าได้มากกว่านี้
ส่วนที่สามเป็นกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน ตรงส่วนนี้จะเป็นส่วนที่บริษัทจะได้รับเงินจากการก่อหนี้ เงินเพิ่มทุน ส่วนที่เป็นลบหรือจ่ายออกนั้นจะเป็นการจ่ายคืนหนี้ จ่ายปันผล หากเห็นงบกระแสเงินสดในส่วนนี้เป็นลบให้รู้ไว้ว่าบริษัทมีการรับเงินเข้ามา จากการก่อหนี้เพิ่ม หรือเพิ่มทุน ตามรายละเอียดที่ระบุในงบ
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น (ลดลง) (326,771)
ตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้น 1,635,811
จ่ายชำระเจ้าหนี้จากการซื้ออุปกรณ์ (4,547)
จ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว (374,829)
เงินปันผลจ่าย (279,400)
เงินสดรับจากการเพิ่มทุนของบริษัทย่อย 6,000
เงินสดรับจากการเพิ่มทุน 4,000
เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงิน 660,264
ในส่วนอื่นๆจะเป็นส่วนสรุปดังนี้
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิ 89,325
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดต้นงวด 63,422
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดปลายงวด 152,747
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิ ส่วนนี้เป็นการนำกระแสเงินสดทั้งสามส่วนมารวมกัน สุทธิเป็นบวกแสดงว่ามีเงินสดไหลเข้าบริษัท แต่เราต้องดูให้ดีว่ามันไหลมาจากกิจกรรมใด แน่นอนว่าควรต้องมาจากกิจกรรมดำเนินงานเป็นหลักถึงจะดี เพราะมาจากความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดต้นงวด ส่วนนี้หมายถึงว่าตอนต้นงวดนั้นบริษัทมีเงินสดเหลืออยู่เท่าไร จากนั้นนำมารวมกับเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิจะเป็นเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดปลายงวด
การติดตามการใช้จ่ายของกิจการที่เราเป็นเจ้าของนั้นสำคัญมาก การไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทนั้นก็สามารถตรวจได้จากงบกระแสเงินสด โดยให้มองหารายการแปลกๆที่เกิดในงบกระแสเงินสด เช่นการซื้อที่ดินในราคาที่แพงเกินไป ซื้อเครื่องจักรในราคาที่แพงกว่าบริษัทอื่น การรับซื้อสินทรัพย์จากบริษัทย่อย หรือบริษัทที่ผู้บริหารเป็นเจ้าของ ส่วนนี้นักลงทุนจะต้องคอยตรวจสอบ ทั้งจากงบการเงินและจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ
เห็นได้ว่างบกระแสเงินสดนั้นมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อนักลงทุนมากครับ หากเราเอาใจใส่ตรวจสอบดูแล งบกระแสเงินสดนี้เองครับ ที่เราจะนำมาใช้ประเมินกระแสเงินสดในอนาคตเพื่อนำมาคิดลดกระแสเงินสดเพื่อค้นหามูลค่าที่แท้จริงซึ่งเราจะต้องเข้าใจเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องซึ่งเราจะคุยกันในตอนต่อไป
มนตรี นิพิฐวิทยา นักลงทุนที่มีประสบการณ์าการลงทุนในตลาดห้นกว่า 10 ปี และเป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ Thaiinvestor.com จะแนะนำกลวิธีการลงทุนแบบเจาะลึกถึงแก่นแท้ในสไตล์ "Value Investor'' ผ่านคอลัมน์นี้
|