View previous topic :: View next topic |
Author |
Message |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:18 am Post subject: Value Way |
|
|
|
ตะแกรงร่อนหุ้น
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
การลงทุนทุกชนิดไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งที่เราจะต้องทำเป็นประการแรกเลยก็คือการคัดสรรสินทรัพย์ที่เราจะลงทุน แน่นอนว่าหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เองก็ต้องผ่านการคัดสรรเช่นกัน
หากมองเข้าไปในการลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ทุกวันนี้ บริษัทโบรกเกอร์ต่างๆก็จะมีบริการบทวิจัยทั้งทางพื้นฐานและทางเทคนิคเอาไว้บริการนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของตนอยู่มากมาย นักลงทุนหลายรายก็ใช้บริการบทวิจัยจากบริษัทโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการอยู่
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าหรือValue Investor แล้วอาจจะทำอะไรมากกว่านั้นอีกเล็กน้อย หลักปฏิบัติทั่วๆไปของ Value Investor ไม่ใช่แค่เพียงซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี และถือไว้เป็นเวลานานๆหรือที่มักเรียกกันว่านักลงทุนระยะยาว แต่Value investor จะมีหลักปฏิบัติก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นของกิจการใดๆก็ตามดังนี้
หนึ่ง รู้จักและเข้าใจบริษัทที่จะลงทุนเป็นอย่างดี หลักปฏิบัติข้อนี้สำคัญมาก แค่เรารู้ว่าบริษัทนี้ผลิตและขายสินค้าหรือบริการอะไรแค่นั้นไม่พอครับ เราต้องรู้ให้ลึกเข้าไปอีกว่าธุรกิจที่บริษัทดำเนินอยู่มีความสามารถในการแข่งขันที่คงทนแค่ไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร การแข่งขันรุนแรงมากน้อยเพียงใด ตลาดอยู่ที่ไหนและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร
สอง ผู้บริหารไว้ใจได้แค่ไหน หลักปฏิบัติข้อนี้ก็มีความสำคัญเช่นกันและเป็นข้อที่วิเคราะห์ได้ยากมาก สิ่งที่Value Investor มักจะใช้สำหรับประเมินผู้บริหารคือการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้บริหารผ่านข้อมูลต่างๆ เช่นข่าวจากสื่อต่างๆ งบการเงิน และรายงานประจำปี การประชุมผู้ถือหุ้น
สาม ตรวจสอบผลดำเนินงานที่ผ่านมาให้มากที่สุด เราสามารถตรวจสอบผ่านงบการเงินย้อนหลังเพื่อดูความแข็งแกร่งทางการเงิน ประวัติการจ่ายเงินปันผล ประวัติการลงทุน สินค้าคงคลัง ยอดขาย กำไร บริษัทที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งมักจะมีเงินสดในปริมาณพอเหมาะ ยอดขายเมื่อเทียบกับสินค้าคงคลังต้องเป็นสัดส่วนปกติทางธุรกิจ ไม่น้อยเกินไปจนอาจเกิดปัญหาสินค้าไม่พอขาย ไม่มากเกินไปจนเป็นภาระทางการเงินในการเก็บสินค้า กำไรต่อยอดขายควรมีสัดส่วนที่สูงขึ้นหรืออย่างน้อยต้องเท่าเดิม ข้อนี้จะเป็นดัชนีบอกให้รู้ว่าบริษัทมีความสามรถในการแข็งขันที่คงทน แม้ว่าจะมีการแข็งขันที่สูงขึ้นก็สามารถปรับตัวเพื่อให้สามารถแข็งขันได้และยังรักษาระดับกำไรได้ดี ลูกหนี้การค้า และหนี้สงสัยจะสูญก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบ เมื่อพบอะไรที่ผิดปกติเราจะต้องตรวจสอบในรายละเอียดให้มากเข้าไปอีก
สี่ ราคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่Value Investorจะดู ในขณะที่นักลงทุนอื่นมักจะดูราคาเป็นอย่างแรก เมื่อเราคัดสรรหุ้นได้ตามสามข้อแรกแล้วเรากลับมาดูที่ราคาว่า ณ ราคาปัจจุบันน่าสนใจซื้อหรือไม่ Value Investor มักจะคำนวณมูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value เพื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นเสมอ ทั้งนี้เพื่อหาส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of safety ในบางครั้งหุ้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าเป็นหุ้นที่ดีแต่ราคามีส่วนต่างความปลอดภัยต่ำหรือไม่มีเลย Value Investorจะคอยหาจังหวะลงทุนเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงจนมีส่วนต่างความปลอยภัยที่เหมาะสม เพราะหุ้นที่ดีไม่ได้เป็นการลงทุนที่ดีเสมอไป
ห้า สิ่งสุดท้ายที่ Value Investor ปฏิบัติคือ ถือหุ้นให้นานที่สุดเพื่อให้บริษัทที่ถืออยู่แสดงศักยภาพในระยะยาวออกมา Phillip Fisher บอกเอาไว้ว่าต้องถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี ระยะเวลาที่ต่ำกว่านั้นจะไม่พอสำหรับโครงการหรือสิ่งต่างๆที่บริษัททำอยู่จะแสดงผลระยะยาวออกมา
หลักปฏิบัติทั้งหมดนี้เป็นหลักง่ายๆที่นำไปใช้ปฏิบัติกันได้ในการลงทุนทุกรูปแบบ แม้กระทั่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน ในการซื้อสินค้าทั่วๆไปเรามักจะเลือกและเปรียบเทียบราคากับความคุมค่าของสินค้านั้นๆเสมอ หากสามารถต่อรองราคาได้เราก็จะทำกัน แม้แต่ซื้อผลไม้ตามตลาดเรายังคัดสรรเปรียบเทียบและต่อราคากันเลยครับ แต่นี่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของเราทำไมเราจะไม่ทำล่ะครับ _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:19 am Post subject: |
|
|
|
ทำไมไม่กล้าซื้อหุ้น
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ถ้าพูดถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะพบว่าปัจจุบันจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ของบุคคลธรรมดาในประเทศไทยมีประมาณ 3 แสนบัญชี ถ้าเปรียบเทียบกับประชากรทั้งประเทศ 60 ล้านคนแล้ว มีไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นเองที่ทำการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยตรงด้วยตนเอง
ขณะที่บัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์มีมากกว่า 10 ล้านบัญชี ทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังคงฝากเงินไว้กับธนาคารมากกว่าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งๆที่ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากน้อยกว่าอัตราเงินเฝ้อ ซึ่งจะทำให้มูลค่าเงินฝากที่แท้จริงมีค่าลดลงไปตามเวลา
เหตุผลหนึ่งก็คือมุมมองของผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเหมือนการพนันอย่าง หนึ่ง ซึ่งมีได้มีเสีย และต้องเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว สามารถเข้าออกซื้อขายหุ้นได้ทันตลอดเวลา รวมถึงต้องคอยเฝ้าดูหน้าจอดูราคาหุ้นตลอดวัน ซึ่งคนทำงานประจำ หรือ ผู้ที่มีกิจการต้องดูแลไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้ทันท่วงที
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คนส่วนใหญ่กลัวที่จะขาดทุน ถึงแม้ว่าการขาดทุนนั้นจะเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวก็ตาม การลงทุนแล้วขาดทุนแม้เพียงน้อยนิดก็สามารถทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกสูญเสียมากมายใหญ่หลวง กว่าความรู้สึกยินดีที่ได้กำไรมากๆซะอีก เพราะการขาดทุนทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้แพ้
ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกปลอดภัยที่จะฝากเงินกับธนาคาร เพราะ การฝากธนาคารไม่เคยทำให้ตัวเลขเงินต้นลดลง จึงรู้สึกว่าไม่มีวันขาดทุน ทั้งๆที่มูลค่าเงินที่แท้จริงลดลงตามอัตราเงินเฝ้อที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เป็นเหมือนการเล่นการพนันเสมอไป ลองนึกถึงเวลาที่เราจะทำการซื้อบ้านสักหลังหนึ่งเพื่ออยู่อาศัย เราจะต้องทำอะไรบ้าง เราคงไม่เดินเข้าไปที่สำนักงานขายหมู่บ้านแห่งแรกที่เราขับรถผ่านแล้ววางเงินจองซื้อบ้านที่หมู่บ้านนั้นทันทีแน่นอน อย่างน้อยที่สุดเราคงต้องทำการเปรียบเทียบหมู่บ้านหลายๆแห่งในแต่ละทำเลที่เราสนใจ จากนั้นก็จะหาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น ดูถึงคุณภาพของบ้าน ความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ ดูถนนหนทาง ความสะดวก มีโรงเรียนที่ดีสำหรับลูกๆไหม มีสวนให้วิ่งออกกำลังกายหรือเปล่า และอื่นๆฯลฯ
เราคงต้องเลือกบ้านที่ดีที่สุดทั้งคุณภาพบ้าน ทำเล และสาธารณูปโภคในงบประมาณที่ี่เราจำกัดกำหนดไว้ เราคงต้องพิจารณาอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจวางเงินจองทำสัญญาซื้อบ้านหลังนั้น เพราะ บ้านคือการลงทุนระยะยาวและ ถ้ามีการกู้เงินมาซื้อก็จะเป็นภาระผูกผันไปอีกหลายสิบปี ทำให้เราต้องคิดหนักก่อนตัดสินใจ
กลับมาที่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บางครั้งเราพบว่า เราลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินเป็นแสนเป็นล้านบาทโดยใช้เวลาในการตัดสินใจที่จะซื้อหุ้นบริษัทนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาที โดยที่ไม่ได้ศึกษาหุ้นตัวนั้นดีเพียงพอ ส่วนใหญ่จะซื้อตามที่มีคนบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี ยิ่งราคากำลังขึ้นยิ่งน่าสนใจ
ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เหตุผลหนึ่งก็คือ เราไม่ได้ศึกษาบริษัทที่เราลงทุนดีเพียงพอ เราซื้อเพราะราคา กำลังสูงขึ้นๆ และเมื่อราคาหุ้นตกต่ำลง เราก็มาหาสาเหตุว่า ทำไมราคาหุ้นถึงลดลง เราทำอะไรผิดพลาดไปหรือ มีอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตลาด หรือ มีอะไรเกิดขึ้นบริษัทที่เราลงทุนไป
ซึ่งคำถามเหล่านั้นน่าจะมาจากนักลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น มากกว่าหลังจากซื้อไปแล้ว
ถ้าเราลองคิดใหม่ทำใหม่ โดยคิดว่า ถ้าเราจะลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สักบริษัทหนึ่งให้เหมือนกับเรากำลังจะซื้อบ้านเพื่ออยู่ อาศัยสักหลังหนึ่ง เราจะมีวิธีการในการลงทุนเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร เราจะทำอย่างที่เรากำลังลงทุนอย่างในปัจจุบันนี้หรือไม่
อย่างน้อยถ้าเราคิดว่าเรากำลังซื้อหุ้นเหมือนซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง เราคงไม่ตัดสินใจซื้อหุ้นบริษัทนั้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที เราคงไม่ซื้อเพียงเพราะมีคนบอกว่าบริษัทนี้ดี โดยที่ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด และเมื่อซื้อบ้านมาแล้ว เราคงไม่ประกาศขายบ้านที่เราอยู่ทันทีเมื่อบ้านข้างๆเราประกาศขายบ้านลดราคา
จะเห็นว่า ถ้าเราคิดว่าเราลงทุนในหุ้นสักบริษัทหนึ่งเหมือนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยสักหลังหนึ่ง การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้เป็นเหมือนการพนันอีกต่อไป นับเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing ทางหนึ่ง
ลองเปลี่ยนมุมมองดูสักนิด แล้วท่านจะพบว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เสี่ยงมากเสมอไป _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:20 am Post subject: |
|
|
|
ลงทุนแบบเน้นคุณค่า......ใช้ได้จริงหรือ? โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
การลงทุนในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราจะเห็นรูปแบบการลงทุนหลายแบบมาก นักลงทุนบางท่านถนัดที่จะใช้กราฟหรือลงทุนแบบเทคนิค(Technical Investment) บางท่านนิยมลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Investment) บางท่านหนักกว่านั้นคือ เอาแบบไหนก็ได้ขอให้บอกมาเถอะว่าหุ้นตัวไหนดีและราคาจะขึ้น แบบนี้เรียกว่าการลงทุนประเภท ข. (Whisper Investment)
เนื่องจากนักลงทุนแต่ละท่านมีความชอบ ความถนัด และเชื่อมั่นในหลักการลงทุนแต่ละแบบไม่เหมือนกันจึงเลือกลงทุนแต่ละรูปแบบต่างกัน แบบเทคนิคเชื่อในเรื่องจิตวิทยามวลชน เส้นกราฟจะบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อหุ้น รวมไปถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ส่วนแบบที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเชื่อในเรื่องเศรษฐกิจทั้งภาพใหญ่หรือมหภาค และภาพย่อยๆระดับบริษัทหรือจุลภาค ส่วนประเภท ข. เชื่อหมดเลยขอให้บอกมาเถอะ
เมื่ออาทิตย์ก่อนผมได้อ่านกระทู้ที่มีสมาชิกของ www.thaivalueinvestor.com ท่านหนึ่งเขียนถามเพื่อนๆในกระทู้ว่า เขาเคยลงทุนหุ้นแบบใช้ปัจจัยพื้นฐานและหันมาใช้ปัจจัยทางเทคนิคเมื่อปีที่แล้วปรากฏว่าเพื่อนสมาชิกท่านนั้นลงทุนแบบเทคนิคแล้วได้รับผลตอบแทนสูงมากครับ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยในการลงทุนทั้งสองแบบว่าแบบไหนดีกว่ากัน และถ้าลงทุนแบบใช้ปัจจัยพื้นฐานแล้วเมื่อหุ้นขึ้นมากๆแล้ว จะขายแล้วมารอซื้อกลับเมื่อราคาลงมากันไหม?
จริงๆแล้วคำถามนี้มีมานานแล้วครับ และเพื่อนสมาชิกท่านนี้ไม่ใช้ท่านแรกที่สงสัยและถามมา มันเป็นคำถามที่ตอบยากเอาการทีเดียวครับ และมีเพื่อนๆหลายท่านพยายามตอบแต่คงยังไม่ชัดนักจึงได้เกิดคำถามแบบนี้ขึ้นเรื่อยมา
จะว่าไปแล้วผมเองเคยถามตัวเองในเรื่องนี้มาตลอดระยะเวลาที่ผมลงทุนในหุ้นมาเหมือนกันครับ ว่าที่เราลงทุนแบบเน้นคุณค่านี่มันได้ผลตอบแทนดีหรือไม่? จนในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่ให้กับตัวเองได้ครับ
คำตอบที่ผมให้กับตัวเองก็คือว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ผมลงทุนเป็นหลักของผมนี้ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะผมจะต้องใช้ความละเอียด รอบครอบ ตรวจตราบริษัททุกซอกทุกมุม ก่อนจะจ่ายเงินร่วมหุ้นกับเจ้าของเดิม และต้องมั่นใจว่าผู้บริหารเก่งและซื่อสัตย์ และผมต้องหวังผลตอบแทนระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนแบบทบต้น(Compounding Effect) ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์
ต่อข้อถามที่ว่าราคาขึ้นไปสูงแล้วจะขายหุ้นไปก่อนแล้วค่อยกลับมาซื้อคือเมื่อราคาต่ำหรือไม่ สำหรับผมแล้ว เนื่องจากผมอิงอยู่บนหลักที่ว่า กิจการที่ดี ที่ทำเงิน เจ้าของกิจการไม่คิดเลิกกิจการอยู่แล้ว แต่สำหรับกิจการที่ไม่ดี ไม่ทำเงิน ผมไม่เชื่อว่าเจ้าของอยากจะทำต่อ (ไม่ทำต่อไม่เป็นไร ยังเอามาหลอกขายชาวบ้านนี่ซิ) ดังนั้นคำตอบของผมคือถ้าเป็นหุ้นที่เยี่ยมยอดแล้วละก็ยังไงก็ไม่ขายเด็ดขาด ขึ้นก็ไม่ขาย ลงก็ไม่ขาย(ลงมามากๆผมซื้อเพิ่ม)
ที่จริงแล้วสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ปกติจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราคาเท่าไร พวกเขาจะสนใจผลประกอบการที่จะประกาศออกมาในแต่ละไตรมาส แต่ละปี สนใจอนาคตของกิจการ สนใจพฤติกรรมของผู้บริหาร สนใจกำไร กระแสเงินสดของบริษัท และเงินปันผลมากกว่าครับ
เหตุผลต่างๆที่ผมกล่าวมานี้มาจากหลักการที่Warren Buffettให้เหตุผลกับผู้ถือหุ้น Berkshire Hattaway เสมอ แต่ผมเพิ่งเข้าใจความข้อนี้เมื่อผมเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองเมื่อปีที่แล้วนี่เอง กิจการแรกของผมออกมาย่ำแย่ ยิ่งทำยิ่งเสียเงิน กว่าจะเลิกได้เสียไปไม่น้อย กิจการต่อมายิ่งทำยิ่งได้เงิน อย่างนี้ให้เลิกคงไม่ยอม
นี่คือเหตุผลที่ผมตอบตัวเองครับ สรุปได้ว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอาจไม่ใช่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่มันเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด(ในความคิดของผม) และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว ที่ผ่านมาการลงทุนของผมไม่ค่อยได้เสียวเท่าไรนัก แต่มักได้ลุ้นว่ากำไรของบริษัทจะออกมาเพิ่มขึ้น ลดลงเท่าไร และผมจะได้ปันผลเท่าไร เท่านั้นเองครับ _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:21 am Post subject: |
|
|
|
เริ่มต้น 'ลงทุนหุ้น' อย่างไรดี?
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เมื่อปีที่แล้วตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว สำหรับคนที่มีเงินฝากนอนแช่อยู่ในแบงก์ รับดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างทุกวันนี้ อาจจะคันไม้คันมืออยากจะนำเงินมา "ซื้อหุ้น" เหมือนกัน
แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี กลัว "ขาดทุน" ก็กลัว ขณะเดียวกันก็อยากได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก กล้าๆ กลัวๆ เลยไม่ได้ซื้อหุ้นสักที
อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ ผู้ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นได้ไม่นานมานี้ หลายคนอยากได้ผลตอบแทนเยอะๆ เหมือนพรรคพวกบ้าง เลยขนเงินเข้าตลาดหุ้นกันยกใหญ่
โดยเฉพาะผู้ที่มาใหม่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นเมื่อปลายปีที่แล้วหรือต้นปีนี้ ปรากฏว่า ส่วนใหญ่จะเกิดอาการ "บาดเจ็บ" จากตลาดหุ้นกัน บางคนอาจจะ "เข็ด" ตลาดหุ้นไปเลย แต่ก็มีบางส่วนที่อยากจะกลับมา ?เอาเงินคืน? บ้างเหมือนกัน กลุ่มนี้ถ้าลองพิจารณาทบทวนการลงทุนของตนเองดู อาจจะพบว่า เราผิดพลาดตรงไหน...
การเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น นอกเหนือจากที่จะต้องมีเงินสดส่วนหนึ่งสำหรับซื้อหุ้น และต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์แล้ว
สิ่งที่ผู้ที่อยากจะเริ่มลงทุนหรือนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นการลงทุนใหม่ๆ ไม่ได้คำนึงถึงมากนัก แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สามารถสรุปได้คร่าวๆ ได้ดังต่อไปนี้
หนึ่ง: ต้องมีหลักการ
การขนเงินเข้า "ตลาดหุ้น" โดยไม่มีหลักการอะไรประจำตัว ก็เหมือนกับการ "ล่องเรือในมหาสมุทร" โดยไม่มีหางเสือเรือ โอกาสที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่วางไว้ก็คงจะมีไม่มากนัก หลักการเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง
ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้จาก "ประสบการณ์" ของตัวเองจากการลงทุนในตลาดมานานพอสมควร ลองผิดลองถูก แล้วค่อยๆ สั่งสมกลายเป็น ?หลักการ? ประจำตัวของตนเอง
อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากการค้นคว้าหา "ความรู้" โดยการอ่านหนังสือการลงทุนแล้วนำ มาทดลองปฏิบัติจนเหมาะสมกับการลงทุนของตนเอง หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการสอบถามวิธีการจากนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วนำมาประยุกต์ใช้
วิธีที่จะทดสอบตัวท่านเองว่า ท่านมี ?หลักการ?ประจำตัวหรือเปล่า ก็คือ...
ถามตัวเองว่า "ท่านจะทำอย่างไรถ้าหุ้นที่ท่านถืออยู่ ราคาตกต่ำลงอย่างรุนแรง" ถ้าท่านทำอะไรไม่ถูก วิตกกังวล กลุ้มใจ นอนไม่หลับ เวลาที่เห็นหุ้นในพอร์ตราคาตกเอาๆ แสดงว่า ท่านไม่มี ?หลักการ? ในการลงทุนประจำตัวที่เพียงพอ
สอง: ข้อมูลที่เพียงพอ
นอกเหนือไปจาก ?หลักการในการลงทุน? แล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจะต้องมีก็คือ "ข้อมูล" ถ้าท่านมีหลักการการลงทุนเป็น "นักลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน"
ข้อมูลที่ท่านต้องการก็คือ งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น งบกำไรขาดทุน งบดุล หรือ งบกระแสเงินสด รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานของบริษัทและอุตสาหกรรมนั้นๆ
งบการเงินเหล่านี้สามารถหาได้จากเวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ หรือ สามารถใช้บริการจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านเปิดบัญชีอยู่ได้
งบการเงินเป็นเสมือนลายแทงที่เราใช้ในการค้นหา "ขุมทรัพย" ของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่ซ่อนเอาไว้ ขณะเดียวกันเราก็สามารถค้นหา "ระเบิดเวลา" ของบริษัทเหล่านั้นได้ก่อนที่จะโผล่ออกมา การอ่านงบการเงินจำเป็นต้องมีความรู้ทางบัญชีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ขนาดดอกเตอร์ก็เข้าใจได้ ไม่ได้ยากจนเกินไป
ถ้าท่านมีหลักการการลงทุนเป็น ?นักลงทุนแบบเทคนิค? ข้อมูลที่ท่านจะต้องมีก็คือ กราฟและข้อมูลทางสถิติต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจการลงทุน
สาม: เตรียมจิตใจให้พร้อม
การเข้าตลาดหุ้นโดยไม่มีการเตรียม "จิตใจของตนเอง" ให้ดีพอ อาจจะทำให้ท่านมีโอกาส "ขาดทุน" ได้มาก
เพราะตลาดหุ้นเป็นที่ทดสอบจิตใจของนักลงทุนเป็นอย่างดี
คนส่วนใหญ่เมื่อตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ราคาหุ้นร่วงลงอย่างมาก จะเกิดอาการตกใจ และกลัวที่จะขาดทุนมากกว่าเดิม เลยขายหุ้นออกไป
บ่อยครั้งที่พอขายหุ้นไป ราคาหุ้นตัวนั้นกลับดีดกลับไปที่ราคาสูงกว่าที่ขายไปอย่างน่าเสียดาย เป็นเพราะจิตใจที่หวั่นไหวไปตามกระแสของตลาดหุ้น ทำให้เราเกิด "ความกลัว" ขึ้นในจิตใจ เมื่อเห็นราคาหุ้นที่เราถืออยู่ลดลงอย่างน่าใจหาย
การเตรียมจิตใจก่อนที่จะเข้าตลาดหุ้นนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะการมีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนของตลาดหุ้น จะเป็นเกราะป้องกันตัวของท่านจากการ "ขาดทุน" เนื่องจาก "ความกลัว" ในจิตใจของท่านเองได้
สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะเข้าลงทุนในตลาดหุ้น หรือผู้ที่กำลังพิจารณาการลงทุนของตัวเอง เพื่อที่จะตั้งหลักลงทุนใหม่ หัวข้อทั้งสามที่กล่าวมาแล้วคือ การมีหลักการการลงทุนประจำตัว การมีข้อมูลในการลงทุนที่เพียงพอ และการเตรียมจิตใจให้พร้อมต่อตลาดหุ้น
... คือ สิ่งที่ท่านจะต้องนำติดตัวไปด้วย ก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น และยังเป็นการช่วยหาคำตอบที่ว่า ทำไมเวลาลงทุนหุ้น เรามักจะ "ซื้อแพง" และ "ขายถูก" อยู่บ่อยๆ _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:21 am Post subject: |
|
|
|
หุ้นตก....จะทำอย่างไร?
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
หลายท่านเห็นหัวเรื่องแล้วอาจคิดว่า เขียนเรื่องอะไร ไม่เข้ากับบรรยากาศเลย!
จริงครับระยะนี้หุ้นขึ้นทุกวัน จะปรับลดลงบ้างก็เล็กน้อย ถือเป็นการขายทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้ายังจำกันได้ถึงบรรยากาศตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ว่า มันอึดอัดรำคาญใจอย่างที่สุด..!
ว่าไปแล้วหุ้นขึ้นก็ต้องมีลง ลงแล้วมันก็ต้องขึ้น เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จะมีก็แต่เพียงระยะเวลาที่ขึ้นและลงเท่านั้นที่ไม่แน่นอน
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างไม่เสียบรรยากาศอย่างแน่นอนครับ
สำหรับ Value Investor แล้ว การขึ้นลงของหุ้นถือเป็นเรื่องปกติครับ Value investor เชื่อว่า การขึ้นหรือลงของหุ้นในระยะยาวเกิดจาก ปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ และการขึ้นลงของหุ้นในระยะสั้นเกิดจาก "ความโลภ" และ "ความกลัว" ของนักลงทุน เมื่อความโลภเกิดขึ้นจากการที่ได้เห็นหุ้นขึ้นต่อเนื่องก็เข้าซื้อมากขึ้น ทำให้หุ้นยิ่งขึ้นจนในที่สุดก็เกิดความกลัวก็ขายออกทำกำไร
แต่หากกลัวมากถึงขั้นตกใจอย่างที่นักวิเคราะห์เรียกว่า "Panic" กันอย่างช่วงที่มีไข้หวัดนก หรือเหตุการณ์ 911 นักลงทุนก็จะรีบขายหุ้นออก เราก็จะเห็นหุ้นตกกันอย่างรุนแรงทีเดียว
Value Investor หลายท่านมักเห็นโอกาสตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาก่อน จนทำให้เกิดอาการตกใจขายหุ้นออกมาเป็นโอกาสลงทุนชั้นดี ถือเป็นมหกรรมลดราคากันเลยก็ว่าได้ครับ
ผมขอยกตัวอย่างเพื่อนของผมท่านหนึ่ง ท่านนี้ถือหุ้นอยู่บริษัทหนึ่ง ถือมานานมาก เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐาน พอเกิดเหตุการณ์ 911 ท่านชิงขายก่อนเลยครับ เหตุเพราะกลัวว่าหุ้นที่ถืออยู่จะตกไปกับเขาด้วย
ผลออกมา ก็คือ ท่านคาดการณ์ได้ถูกครับ มันตกลงมาจริงๆ คือตกมาประมาณ 3%เห็นจะได้ครับ แต่ที่มันตกลงมานั้น เป็นเพราะท่านกับนักลงทุนอีกไม่กี่คนขายออกมา เนื่องจากปริมาณการซื้อขายน้อยมาก และในวันต่อมาราคาก็ปรับตัวกลับมาที่เดิม และแถมปรับขึ้นไปอีกต่างหาก
แต่ท่านก็ยังไม่ได้ซื้อกลับ เพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์ พอท่านหันมาดูหุ้นนี้อีกที ราคาปรับขึ้นสูงกว่าที่ท่านขายออกไปพอสมควร ทีนี้เกิดอาการตกใจซื้อเลย และหุ้นบริษัทนี้ก็ปรับตัวขึ้นตลอดมา
อีกตัวอย่างหนึ่งครับ มีหุ้นอยู่บริษัทหนึ่งราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อปี 2546 จนต้นปี 2547 จากนั้นตลาดหุ้นก็ตกเรื่อยมา พาเอาราคาหุ้นบริษัทนี้ลดลงมาด้วย เพื่อนผมท่านนี้เห็นว่า ราคาลงมามากแล้วเลยเข้าซื้อครับ ปรากฏว่า ซื้อได้ราคาถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าอีก ตอนนี้ก็ยังถูกเหมือนเดิม...
อย่างที่กล่าวไว้ครับว่า Value Investor เชื่อว่า หุ้นขึ้นลงในระยะยาวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั้นๆ เป็นสำคัญ ดังนั้น Value Investor มักจะไม่สนใจราคาหุ้นรายวันหรือในระยะสั้นๆ เป็นอันขาด
พวกเขาจะสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการในระยะยาว เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถในการทำกำไร และการขยายตลาด ฯลฯ
Value Investor เชื่อในเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของกิจการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการ นั่นเอง
ถามว่า เคยซื้อหุ้นแล้วราคามันตกลงไปแบบน่าใจหายไหม?
สำหรับผมแล้ว เคยครับ!
ตกไปเกือบ 50% สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องตรวจสอบพื้นฐานของกิจการใหม่แล้วครับว่า มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่กระทบมูลค่ากิจการขนาดนี้ หากไม่พบว่ามีอะไรกระทบเลย พื้นฐานคงเดิม นั่นคือโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มในราคา "ส่วนลด" หากมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานก็ต้อง "ขายทิ้ง"
ตัดสินใจพลาดต้องแก้ไขทันทีครับ
ท่านเชื่อไหมว่าในยามที่หุ้นตก ตลาดหุ้นซบเซา นักลงทุนหลายรายอยากขายหุ้นกันนั้น ยังมีหุ้นพื้นฐานดีๆ ราคาเหมาะสมให้เลือกลงทุนอย่างมากมาย บางท่านอยากให้หุ้นตกนานๆ เพราะรอเอาเงินปันผล หรือสะสมเงินมาซื้อหุ้นราคาถูกๆ เก็บไว้เพิ่มอีก และกลัวว่ามันลงและจะขึ้นมาก่อนจะได้ปันผลและสะสมเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ทัน
จะว่าไปแล้ว การเห็นหุ้นลงแล้วกระโดดโลดเต้นดีใจ มันก็คงแปลกอยู่สักหน่อย
แต่คุณๆ เชื่อไหมครับว่า ในวิกฤตินั้นมักมีโอกาสอยู่เสมอ! _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:22 am Post subject: |
|
|
|
'หุ้นดี' ...ดูอย่างไร?
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ถ้าท่านศึกษาบทวิเคราะห์ หรือคำแนะนำของโบรกเกอร์ตาม นสพ. ต่างๆจะพบอยู่บ่อยๆ ว่า มักจะมีคำแนะนำของนักวิเคราะห์ให้ซื้อ "หุ้นพื้นฐานดี" เก็บไว้ลงทุนระยะยาว บางแห่งก็จะบอกชื่อหุ้นให้ซื้อลงทุนเรียบร้อย โดยที่ท่านไม่ต้องไปปวดหัวกับการค้นหา "หุ้นพื้นฐานดี" อย่างที่กล่าวไว้
ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นตามที่มีคนบอก จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเพิ่มเติมตามหลัง หรือลงทุนโดยซื้อหุ้นตามที่มีคนแนะนำให้เราซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ โดยที่เราไม่ได้เข้าใจ และศึกษาธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง
วิธีการดังที่กล่าวมา จึงไม่ใช่วิธีที่ "นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า" หรือ Value Investor ควรปฏิบัติ
สำหรับ "นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า" ควรจะทำศึกษาหุ้นตัวนั้นและการบ้านอย่างหนักก่อน ที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง
การหา "หุ้นพื้นฐานดี" นั้น ไม่ยากเกินความสามารถและเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเราเอง ยิ่งถ้าเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลกับสภาพของตลาดหุ้น ที่ราคาหุ้นอ่อนไหวไปตาม "ความโลภ" และ "ความกลัว" ของอารมณ์นักลงทุนทั้งหลายในตลาด
หุ้นพื้นฐานดีสามารถบอกได้โดยดูจากงบการเงินของบริษัทนั้น ก็คือ งบดุล งบการเงิน และงบกระแสเงินสด โดยดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี เพื่อป้องกันการตกแต่งบัญชี และดูความสามารถของบริษัทว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่
วิธีดูหุ้นพื้นฐานดีที่จะกล่าวในที่นี้ จะพูดถึงเฉพาะหุ้นที่มีประวัติการดำเนินงานที่ดี โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงหุ้นที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (Turnaround) ที่ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่นาน
ลักษณะที่ดี 9 ประการของ "หุ้นพื้นฐานดี" ควรจะมีดังต่อไปนี้
1.มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หุ้นที่ดีควรจะมียอดขายที่เติบโตขึ้น ถ้าเติบโตเพิ่มขึ้นได้ทุกปีก็จะดีมาก แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจนั้นมีการขยายตัว และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้ ส่วนหุ้นที่มียอดขายสาละวันเตี้ยลงทุกปีทุกปี น่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หมายถึงว่า กิจการนั้นกำลังถูกคู่แข่งแย่งตลาดสินค้าไป หรือไม่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะอยู่ในข่ายอุตสาหกรรมตะวันตกดิน (sunset industry) หรือผู้บริหารมีปัญหาในการดำเนินกิจการ แต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ต้องใช้ปัจจัยอีกหลายอย่างในการวิเคราะห์ธุรกิจ ดังจะกล่าวต่อไป
2. มีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี
บริษัทที่มีการควบคุมการดำเนินงานที่ดี เราสามารถตรวจสอบดูได้จากงบกำไรขาดทุน โดยสังเกตจากต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควรจะไปตามยอดขายของกิจการ ถ้ายอดขายสูงขึ้นค่าใช้จ่ายก็สามารถอนุโลมให้เพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนยอดขายที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรจะระวังและถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำควรตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุนในบริษัทนั้น
3. ไม่ประสบปัญหาขาดทุน
บริษัทที่ดีควรจะมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของผู้บริหาร ถ้าขาดทุนตลอดปีหรือไม่ ก็ขาดทุนปีเว้นปี นักลงทุนควรเอาเวลาไปศึกษาธุรกิจอื่นจะดีกว่า ยกเว้นท่านที่ชอบลงทุนใน "หุ้นฟื้นคืนชีพ" (Turnaround) ที่ขาดทุนมาหลายปีอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนจะปลอดภัยกว่า
4. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (Positive Working Capital)
ธุรกิจที่ดีควรมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพราะธุรกิจควรมีการเตรียมความพร้อมของเงินทุนระยะสั้นให้เพียงพอต่อ การจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น มิฉะนั้นธุรกิจอาจจะมีปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้
โดยเฉพาะบริษัทที่ทำการกู้ยืมระยะสั้นมาก อาจจะต้องสำรองเงินสดไว้พอสมควรทีเดียวสำหรับการจ่ายคืนหนี้ที่เรียกเก็บภายใน เวลาไม่นาน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง ที่รับเงินจากการขายให้กับลูกค้าเป็นเงินสด แต่ได้เครดิตจากผู้ผลิตสินค้าเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจ่ายเงิน
ในกรณีนี้เงินทุนหมุนเวียนอาจจะติดลบได้ ซึ่งกลับกลายเป็นจุดแข็งสำหรับธุรกิจประเภทนี้เสียอีก เพราะแทนที่จะต้องมีเงินสำหรับของที่อยู่ในสต็อกกลับเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าคงคลังแทน
5. มีหนี้ไม่มากหรือมีหนี้อยู่ในฐานะที่เหมาะสม
ตัวเลขคร่าวๆ ที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการตรวจสอบสภาพหนี้สินของธุรกิจก็คือ "อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน" (Debt/Equity Ratio) ธุรกิจที่มีหนี้สินต่อทุนสูง แสดงว่า มีการกู้ยืมหนี้ระยะยาวมาก และทำให้ธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง อัตราหนี้สินต่อทุนที่พอเหมาะที่ใช้กันทั่วไปคือ น้อยกว่าหนึ่งเท่า หรือไม่เกินสองเท่า
6. มีกำไรสะสม (Retain Earning) เพิ่มขึ้นทุกปี
ธุรกิจที่ดีควรมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสามารถนำกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ธุรกิจที่มีกำไรสะสมลดลง นักลงทุนควรตั้งคำถามก่อนที่จะลงทุนในบริษัทนั้นว่า บริษัทนำกำไรสะสมนั้นไปใช้ ทำอะไรและมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่
7. มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder Equity) เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ
บริษัทที่สามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอนับว่า เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกิจการที่มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นลดลงหรือติดลบ แสดงว่า ธุรกิจนั้นที่ผ่านมามีการขาดทุนเกิดขึ้น
8. กำไรต่อยอดขาย (Profit Margin) มากพอสมควร
ธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของกิจการในระดับที่ดี แต่กำไรต่อยอดขายสูง อาจจะดึงดูดให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆ เข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นมากขึ้น
ในขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงส่วนมากจะมีกำไรต่อยอดขายต่ำ เพราะมีการตัดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของตน ทำให้กำไรของทั้งอุตสาหกรรมลดลง ดังนั้น ธุรกิจที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงก็คือ ธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ (Cost Leadership)
9. ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูง
ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น คำนวณจาก กำไรหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น (Net Profit/ Equity) ธุรกิจที่มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงแสดงว่า ผู้บริหารสามารถบริหารเงินทุนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางธุรกิจที่มีเงินกู้ยืมสูงก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงขึ้นได้ เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของหนี้สินระยะยาวมากกว่าส่วนผู้ถือหุ้น
ดังนั้น ในบางกรณีอาจจะจำเป็นต้องใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Total Capital) ในการตรวจสอบความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจากได้รวมส่วนหนี้สินระยะยาวในการคำนวณไว้ด้วย
ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หาได้จากกำไรหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินระยะยาว (Net Profit/(Longterm Liability+Equity)) บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง จะน่าสนใจกว่าบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำ
การค้นหาลักษณะที่ดี 9 ประการข้างต้นของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ท่านลงทุนมากขึ้น แทนที่จะรอให้คนอื่นหรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่างๆ มาแนะนำ "หุ้นพื้นฐานดี" ให้กับท่าน
ท่านสามารถที่จะเริ่มศึกษาและค้นหา "หุ้นพื้นฐานดี" ได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งนับว่าเป็นหนทางในการเป็น "นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า" หรือ Value Investor ที่ดีทางหนึ่ง _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:23 am Post subject: |
|
|
|
ขอบข่าย 'ความรู้' (Circle of Competence) โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
"ความเสี่ยง คือ การที่เราตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยที่เราไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้น" นี่เป็นคำพูดที่ "Warren Buffett" กล่าวเอาไว้เมื่อมีคนมาถามเรื่องความเสี่ยงกับเขา
ในการลงทุนนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักและได้เห็นได้ยินจากสื่อต่างๆ มักจะตัดสินใจลงทุนไปตามคำแนะนำของผู้อื่นเช่น นักวิเคราะห์ เพื่อนฝูง และผู้ที่คิดว่าเป็นเซียนหุ้น น้อยคนนักที่ผมจะเห็นว่า เขาเลือกหุ้นที่เขารู้จักและเข้าใจองค์ประกอบทางพื้นฐานของกิจการนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง
ผมเห็นเช่นเดียวกันกับ Warren Buffett เป็นอย่างยิ่ง หากเราตัดสินใจเอาเงินของเราไปลงทุนซื้อหุ้นในกิจการที่เราไม่มีความเข้าใจมันเลย แต่ลงทุนไปเพราะมีคนแนะนำว่าดีนั้นเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ถ้ามันขึ้นแล้วรีบขายก็ดีไปแต่ถ้ามันเอาแต่ลงนี่ซิตัวใครตัวมันจริงๆ แม้แต่ผู้แนะนำยังหลบเราเลย เรื่องนี้ไปต่อว่าผู้แนะนำไม่ได้ เพราะเราไปเชื่อตามเขาเอง
สำหรับการเลือกลงทุนของผมนั้น ผมจะเน้นในกิจการที่ประกอบธุรกิจที่ง่ายๆและผมสามารถทำความเข้าใจในองค์ประกอบธุรกิจนั้นได้อย่างไม่ยากเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน ผมสามารถหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้ง่ายๆ
เช่น จากตัวแทนจำหน่าย ลูกค้า หรือแม้แต่คู่แข่งของกิจการนั้นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Information) เพื่อใช้ในการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาว
ผมยกตัวอย่างเช่น หากเราจะลงทุนในกิจการที่ผลิตน้ำอัดลม จริงๆ แล้วกิจการนี้ศึกษาหาข้อมูลได้ง่ายมากครับ คือ เราเองก็อาจเป็นผู้ใช้สินค้าอยู่แล้ว ร้านค้าเกือบทุกที่ก็จำหน่ายน้ำอัดลม คู่แข่งก็มีเพียงสองสามราย ผมเคยเดินไปซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งและเลยถือโอกาสคุยกับผู้ขายจนได้ข้อมูลพอควร ถามเพื่อนๆ เวลาทานอาหารตามร้านอาหารว่าชอบดื่มอะไรระหว่างสองสามยี่ห้อนี้ ผมเคยถามแม้แต่คนขับรถส่งน้ำอัดลมเสียด้วยซ้ำไป
หากเป็นกิจการอื่นที่อาจจะนอกเหนือจากชีวิตประจำวันของเราแต่อาจไม่ห่างตัวเรานัก เช่น มีพี่น้องหรือพรรคพวกเราทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนั้น เราก็สามารถสอบถามหาความรู้ในอุตสาหกรรมนั้นได้เป็นอย่างดี ผมเองเคยซักเพื่อนผมที่อยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเสียจนเขาถามว่า แค่ซื้อหุ้นทำไมต้องรู้ต้องซักอะไรมากขนาดนี้ ผมก็ตอบว่า "ต้องรู้ให้มากซิ เพราะเราจะร่วมเป็นเจ้าของกับเขานะ"
ผมเชื่อว่านักลงทุนอีกหลายท่านที่อยากจะเรือกลงทุนในหุ้น แต่ยังไม่ทราบว่า ควรจะซื้อหุ้นบริษัทไหนดี ซื้อแล้วจะมีอนาคตไหม เงินลงทุนจะปลอดภัยไหม ผมแนะนำให้มองรอบๆ ตัวเราเองก่อนว่าเราใช้สินค้าอะไรบ้าง กินดื่มอะไรบ้าง ใช้บริการอะไรบ้าง และมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง
ลองหาข้อมูลจากแหล่งนั้น ผมว่าดีกว่าไปถามนักวิเคราะห์มากครับ เพราะเราจะได้ข้อมูลครบ ที่นี้เราก็นำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ได้แล้วว่า เราน่าจะลงทุนกับเขาหรือไม่
เรื่องที่ผมเล่ามานี้เป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่ก็ใช้ได้ผลจริงๆ Warren Buffett ยังบอกว่า เขามักจะเลือกลงทุนในสิ่งที่เขาดื่มเขากินเลยครับ...
หลายคนอาจจะค้านผมว่า ถ้าทำอย่างที่ผมว่าอาจเสียโอกาสได้ อาจจะเป็นจริงครับ แต่ถ้าคุณไม่รู้จริงแล้วลงทุนไปมันเป็นการเสี่ยงดวงจริงๆ หากโชคดีก็ดี หากไม่ดีก็จะกลับมาคิดว่าไม่น่าเลย ไม่น่าเลย เพราะเรื่องที่กลัวจะเสียโอกาสนี่แหละเป็นโอกาสให้นักปั่นหุ้นกระทำแก่นักลงทุนรายอื่นเสมอมา
เรื่องต่างๆ ในโลกนี้มีด้วยกันมากมายครับ แต่เมื่อถึงตอนจะต้องตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรที่สำคัญลงไปนั้น จะมีเรื่องให้เราพิจารณาแค่สี่ส่วนเท่านั้นเองครับ คือ เรื่องที่สำคัญที่เรารู้และเข้าใจ เรื่องที่ไม่สำคัญแต่เรารู้และเข้าใจ เรื่องที่สำคัญที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจ และเรื่องที่ไม่สำคัญและเราไม่รู้ไม่เข้าใจ
ทุกคนคงคิดว่า เราคงไม่ไปสนใจอะไรกับเรื่องที่ไม่สำคัญไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามที แต่สำหรับเรื่องที่สำคัญที่จะนำพาประโยชน์มาสู่เรานี้ต้องคิดหนักกันสักหน่อย
การลงทุนนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุนแน่นอน แต่ผมมักจะเห็นการตัดสินใจลงทุนไปโดยความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่
สำหรับผมแล้วผมไม่กล้าทำในสิ่งที่ผมไม่รู้ไม่เข้าใจครับ ผมต้องหาความรู้ในสิ่งนั้นๆก่อนตัดสินใจทุกครั้ง และผมจะไม่แคร์กับโอกาสใดๆ ที่อาจทำให้ผมรวยหรือขาดทุนโดยไม่รู้ตัวมาก่อนแน่นอนครับ... _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:24 am Post subject: |
|
|
|
ลงทุนด้วย Scuttlebutt
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีนักลงทุนจำนวนมาก ที่ลงทุนซื้อหุ้นสักบริษัทหนึ่ง โดยที่ไม่ได้เข้าใจในบริษัทที่ลงทุนดีพอ
หลักการในการลงทุนที่ใช้กันส่วนใหญ่โดยทั่วไป ก็คือ ซื้อหุ้นบริษัทที่นักวิเคราะห์ตามโบรกต่างๆ บอกว่าดี น่าซื้อลงทุนในช่วงนั้น แล้วถือไว้จนกว่า ?ราคาหุ้น? ของบริษัทนั้นจะได้ตามเป้าหมาย
โดยที่บางครั้งยังไม่ได้ใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทนั้นด้วยตัวเองสักครั้งเดียว บางท่านอาจจะคิดแค่เพียงว่า ซื้อหุ้นบริษัทนั้น มาเพื่อต้องการขายในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา เท่านั้นเอง
แต่ ?ราคาหุ้น? อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ และเมื่อราคาหุ้นตกลงอย่างมากในช่วงภาวะตลาดตกต่ำ ถ้าเราไม่เข้าใจในธุรกิจนั้นดีพอ บางครั้งทำให้เราไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเราเองได้ว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปกับหุ้นที่ซื้อมาดี เราจะซื้อเพิ่ม ถือต่อหรือขายออกไป
โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้วิเคราะห์หุ้นบริษัทนั้นด้วยตัวเราเอง เพียงแค่อาศัยบทวิเคราะห์ของโบรกแล้วลงทุนตามที่ได้เห็นได้ยินมา อาจจะทำให้เราเผชิญปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้นได้
สำหรับ ?นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า? ควรจะทำความเข้าใจในบริษัทที่จะลงทุนเป็นอย่างดีก่อนที่ลงทุนในบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราควรจะเข้าใจในบริษัทนั้นด้วยตัวเราเอง มากกว่าที่จะเชื่อในสิ่งที่เราได้เห็นได้ยินจากบทวิเคราะห์ โดยที่ไม่เข้าใจในความเป็นมาของการวิเคราะห์เหล่านั้น
วิธีที่จะทำให้เราเข้าใจในกิจการที่เราจะลงทุน มีด้วยกันหลายวิธี แต่วิธีที่น่าสนใจและได้รับการยอมรับมานานของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ก็คือ การทำ "Scuttlebutt" ซึ่งริเริ่มเผยแพร่โดย Philip Fisher นักลงทุนซึ่ง Warren Buffet ให้การเคารพนับถือและยอมรับว่าเป็นต้นแบบของการลงทุนของ Buffet เอง
คำว่า Scuttlebutt อาจจะไม่มีคำแปลตรงตัวนัก แต่อาจจะแปลเป็นภาษาไทยคร่าวๆ ได้ว่า "ทะลุทะลวง" หมายถึง การศึกษาบริษัทที่จะลงทุนให้เข้าใจด้วยตัวเราเองก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยการศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่จะลงทุนนั้นจากหลายๆ แหล่ง เช่น จากลูกค้า พนักงาน คู่ค้า หรือ ผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ รวมถึงข่าวจากหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะลงทุนซื้อหุ้นโรงพยาบาลสักแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจำนวนมากอาจจะได้ยินได้เห็นมาว่า หุ้นของโรงพยาบาลนั้น เป็นหุ้นที่ดีน่าซื้อลงทุน ก็ตัดสินใจซื้อหุ้นโรงพยาบาลนั้นไว้ทันที โดยที่ยังไม่ทราบว่า โรงพยาบาลนั้นตั้งอยู่ที่ไหน และอาจจะยังไม่เคยใช้บริการโรงพยาบาลนั้นเลยสักครั้งเดียว
สำหรับการลงทุนแบบ Value Investing ก่อนที่จะลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ควรจะเริ่มด้วยการทำ Scuttlebutt บริษัทนั้นเสียก่อน
ถ้าต้องการที่จะลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลสักแห่งหนึ่ง นักลงทุนสามารถจะทำ Scuttlebutt ได้ดังต่อไปนี้...
หนึ่ง เดินทางไปที่โรงพยาบาลนั้นด้วยตนเอง เพื่อดูว่า โรงพยาบาลนั้นเป็นอย่างไร มีคนไข้มาใช้บริการเยอะแค่ไหน สถานที่ของโรงพยาบาลนั้นเป็นอย่างไร มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าอย่างไรบ้าง เป็นการประเมินบริษัทนั้นคร่าวๆ ว่า กิจการดีจริงอย่างที่นักวิเคราะห์กล่าวไว้หรือไม่ ถ้าไปเห็นโรงพยาบาลจริงๆ แล้ว ไม่มีคนไข้เลยมาใช้บริการเลย ก็มองไม่เห็นว่าโรงพยาบาลนั้นจะน่าลงทุนได้อย่างไร
สอง ลองใช้บริการของโรงพยาบาลนั้นดูว่าเป็นอย่างไร เพื่อลองปฏิบัติตัวเป็น?ลูกค้า?ของโรงพยาบาลนั้นดูว่า ทางโรงพยาบาลมีการให้บริการต่อลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง น่ากลับมาใช้บริการหรือไม่ ถ้าลองใช้บริการด้วยตัวเราเองแล้วพบว่า การบริการไม่น่าประทับใจ ไม่น่ากลับมาอีก โรงพยาบาลนั้นก็คงไม่สามารถรักษาลูกค้าไว้ได้ดีพอ และจะมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นได้ในอนาคต
สาม ถ้ายังไม่เคยใช้บริการจากโรงพยาบาล อาจจะสอบถามจากคนใกล้ตัว หรือคนที่เรารู้จักหลายๆ ท่านที่เคยใช้บริการของโรงพยาบาลนั้นมาแล้วว่าเป็นอย่างไร ถ้าคำตอบที่ได้รับเป็นผลทางบวกต่อโรงพยาบาล เช่น บริการดีเยี่ยม น่าประทับใจ จะกลับไปใช้บริการ ในฐานะนักลงทุนก็น่าจะพิจารณาทำการ Scuttlebutt โรงพยาบาลนี้ต่อไป
สี่ สอบถามพนักงานของโรงพยาบาลว่า เขาเหล่านั้นคิดกับโรงพยาบาลอย่างไร และ ผู้บริหารปฏิบัติต่อพนักงานอย่างไร เช่น อาจจะถามพยาบาลดูว่า การทำงานในโรงพยาบาลนี้ดีหรือไม่ มีอะไรที่ดี มีอะไรที่น่าปรับปรุงบ้าง คิดว่าทำงานหนักไปหรือเปล่า มีสวัสดิการที่ดีหรือไม่ เทียบกับโรงพยาบาลอื่นแล้วเป็นอย่างไร
ท่านอาจจะต้องทำความรู้จัก คุ้นเคยกับพนักงานเหล่านี้สักพัก ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด บริษัทที่พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อบริษัท จะทำให้พนักงานทุ่มเททำงานมากกว่าบริษัทอื่นๆ
ห้า สำหรับนักลงทุนรายย่อย อาจจะไม่สามารถเข้าพบผู้บริหารโรงพยาบาลนั้นได้ด้วยตนเอง ดังนั้นวิธีที่สามารถที่จะตรวจสอบผู้บริหารของโรงพยาบาล ก็สามารถทำได้ด้วยการพูดคุยกับพนักงาน เช่น พยาบาล แพทย์ แคชเชียร์ หรือแม้แต่ รปภ. และ พนักงานทำความสะอาด ก็เป็นแหล่งให้ข้อมูลที่ดี เพื่อทดสอบว่าผู้บริหารของโรงพยาบาลเป็นอย่างไร
อีกวิธีหนึ่งที่จะตรวจสอบผู้บริหารก็คือ การอ่านข่าวและบทสัมภาษณ์ผู้บริหารของโรงพยาบาลตาม หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่างๆ แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผู้บริหารเหล่านั้นได้กระทำจริงๆ ในภายหลัง ว่าตรงตามที่ได้กล่าวไว้หรือไม่
หก ตรวจสอบคู่แข่งขัน เช่น โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง หรือ โรงพยาบาลที่มีฐานลูกค้าใกล้เคียงกัน ว่ามีความสามารถในการบริหารแตกต่างจากโรงพยาบาลที่เราสนใจอยู่มากน้อยเพียงใด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ถ้าวิเคราะห์แล้ว โรงพยาบาลที่เราจะลงทุนสามารถแข่งขันกับโรงพยาบาลอื่นๆ ได้ ถึงจะน่าสนใจ
ที่กล่าวมานั้น คือ วิธีการคร่าวๆ ที่เราจะสามาถทำการ Scuttlebutt โรงพยาบาลที่เราสนใจจะลงทุนสักแห่งหนึ่ง แต่เราก็สามารถนำวิธีการเดียวกันนี้ ไปใช้ในการตรวจสอบกับบริษัทอื่นๆ ที่เราสนใจในตลาดหลักทรัพย์ได้แทบจะทุกบริษัท
โดยอาจจะขยายขอบเขตของการหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การสอบถามข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบป้อนบริษัท หรือ สอบถามผู้แทนจำหน่ายของบริษัทถึงทิศทาง และความสามารถของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ ก็จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุนเช่นกัน
วิธีการดังกล่าวจะช่วยให้เราเข้าใจ และสามารถวิเคราะห์บริษัทที่เราจะลงทุนได้เป็นอย่างดี แทนที่นักลงทุนจะอาศัยบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ เพียงอย่างเดียว ก็ "อย่าลืม" ทำ Scuttlebutt ก่อนที่จะซื้อหุ้นคราวต่อไป.. _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:24 am Post subject: |
|
|
|
จุดสังเกต 'งบการเงิน'
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
การลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น จะมีการวิเคราะห์ด้วยกัน 2 แบบ คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยการวิเคราะห์เชิงปริมาณนี้ ก็หนีไม่พ้นต้องวิเคราะห์จากงบการเงิน โดยวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง ให้มากที่สุด เท่าที่ข้อมูลเราจะหาได้
ในงบการเงินนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญๆ คือ งบดุล(Balance Sheet) งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) และหมายเหตุประกอบงบการเงิน (Note to Financial Statement) ข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องใช้ร่วมกัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
งบดุลจะให้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆบริษัทมีสินทรัพย์ หนี้สินและทุน มากน้อยเท่าไร มีความมั่นคงเพียงใด
สังเกตง่ายๆว่า หากหนี้สินมากกว่าทุน แสดงว่า บริษัทนี้กู้เงินมาลงทุนเป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นมากมายและยาวนานหลายปีสินทรัพย์ที่มีเกือบทั้งหมดจะเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ รายได้ที่ทำมาหาได้จากการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าหนี้
ส่วนที่เหลือถึงจะตกมาถึงผู้ถือหุ้น บริษัทนี้หากเกิดวิกฤติขึ้นมา มักจะเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ในทางกลับกันหากบริษัทมีหนี้น้อย รายได้ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้ถือหุ้น สินทรัพย์ที่บริษัทมีจะเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่
บริษัทที่ Value Investor ชอบ ก็คือ บริษัทที่ไม่มีหนี้สิน หรือมีน้อยมาก เพราะปลอดภัยและรายได้ที่หาได้เป็นของผู้ถือหุ้น
"งบกำไรขาดทุน" จะให้ข้อมูลว่า บริษัทได้ดำเนินกิจการในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆ มีรายได้จากการดำเนินงานมาจากอะไรบ้าง มีต้นทุนเกิดขึ้นเท่าไรบ้าง ในงบกำไรขาดทุนนี้จะมีการบันทึกบัญชีการได้ค่าใช้จ่ายแบบคงค้าง คือได้ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน เมื่อส่งสินค้าแล้วถือว่า ได้ขายออกไปแล้ว
ดังนั้น เวลาวิเคราะห์งบการเงินต้องทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการบันทึกบัญชีให้ละเอียดว่า บริษัทมีนโยบายในการบันทึกบันชีอย่างไร..?
"งบกระแสเงินสด" จะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงิน 3 ส่วน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากการลงทุน และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ให้ข้อมูลที่ปรับจากเกณฑ์คงค้างในงบกำไรขาดทุนมาเป็นเกณฑ์เงินสด เราจะได้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆนั้น บริษัทขายสินค้าแล้วสามารถเก็บเป็นเงินสดได้มากน้อยเท่าไร ทั้งนี้จะมีการปรับรายการที่ไม่ใช่เงินสดออกจนหมด เช่น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร อุปกรณ์ สินค้าคงเหลือต่างๆ และข้อมูล อีกมาก
ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทว่า ในเวลางวดนั้น บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในเรื่องใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใด
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน ให้ข้อมูลว่า บริษัทจัดหาเงินมาใช้ลงทุนและดำเนินกิจการจากแหล่งใด กู้มาหรือใช้ทุนเดิมหรือเพิ่มทุน
ผมอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ กับการสังเกตงบการเงินเพื่อการลงทุนที่ปลอดภัย หลายท่านคงจะจำกรณี "หุ้น ROYNET" กันได้ดี หรือหากเป็นนักลงทุนใหม่คงจะต้องกลับไปค้นกันหน่อยครับ เพราะกรณีนี้โด่งดังมากและทำให้นักลงทุนกลายร่าง ปีกงอกเป็นแมงเม่ากันมากมาย จน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต้องลงมาจัดการกันจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จนทุกวันนี้ยังไม่จบเรื่องเลยครับ
รายการนี้นักลงทุนหลายคนเจออาการที่เรียกว่า ผีหลอกกลางวัน ครับ กำไรอยู่ดีๆตั้งสองไตรมาส 10.2 ล้านบาทก้าวกระโดดจากขาดทุนสุทธิ 11.19 ล้านบาทในปีก่อน แล้วกลับมาเป็นขาดทุนสุทธิ 36.7 ล้านบาทในไตรมาส 3 ขาดทุนสะสมแล้ว 71ล้านบาท
ก่อนหน้านั้นบริษัทรายงานว่า บริษัทพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้อย่างมากมาย จัดว่า "ก้าวกระโดด" เลยก็ว่าได้ ที่มาของอาการผีหรอกก็ไม่มีอะไรมากครับ ผู้บริหารแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาบันทึกรายได้เร็ว(เกิน)ไป(ไม่)หน่อย ครับ แต่แล้วก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พวกท่านก็เกิดรู้เดียงสาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยนำหุ้นของพวกในตระกูลท่านที่มีอยู่ 60% ของทุนจดทะเบียน เข้าไปขายให้แมงเม่าทั้งหลายจนหมดสิ้น
พอ...งบออกเท่านั้นแหละครับ ซากแมงเม่าก็กองเกลื่อนไปทั่วตลาดหลักทรัพย์
ผมลองเข้าไปดูงบย้อนหลังดูพบว่า บริษัทฯขายชั่วโมง Internet แบบฝากขาย บริษัทย่อยให้บริการอี-คอมเมิร์ซและเป็นที่ปรึกษาเรื่องการออกแบบwebsiteและการรับรู้รายได้ก็เปิดเผยอย่างชัดเจนในหมายเหตุประกอบงบการเงินในข้อที่ 3 สรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ หัวข้อย่อยที่ 3.1 บริษัทรับรู้รายได้ดังนี้
3.1.1 รายได้จากการขายบันทึกรับรู้ เมื่อส่งมอบสินค้า
3.1.2 รายได้จากการฝากขายบันทึกรับรู้ เมื่อได้รับการชำระเงิน
แต่ในงบกำไรขาดทุนมีหัวข้อ รายได้จากการขาย รายได้จากการให้บริการ รายได้ดอกเบี้ย รายได้อื่นๆ ไม่มีหัวข้อรายได้จากการฝากขาย จึงเป็นช่องทางให้ผู้บริหารเล่นแร่แปรธาตุได้อย่างง่ายดาย โดยผู้สอบบัญชีเองก็ไม่อาจตรวจพบได้ (อันนี้ไม่รับรองนะครับ)
เรื่องของเรื่อง คือ บริษัทเร่งรับรู้รายได้จากการฝากขาย ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับชำระเงินเป็นจำนวนมากทั้ง 2 ไตรมาส จนไตรมาส 3 ผู้สอบบัญชีทนไม่ได้ จึงทำการปรับงบการเงินให้สะท้อนภาพความเป็นจริง ซึ่งเป็นเหตุให้แมงเม่าวงแตกกระเจิง
โดยไตรมาส 1 รับรู้รายได้24 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6.9 ล้านบาท ไตรมาส 2 รับรู้รายได้ 23.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3.24 ล้านบาท
ทีนี้มาดูที่งบกระแสเงินสด ผมพบตัวเลขในหัวข้อ ลูกหนี้การค้าและตั๋วเงินรับ ในไตรมาสแรกประมาณ 22 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ประมาณ 34,738 บาท ในไตรมาส 2 งวด 6 เดือนประมาณ 42.25 ล้านบาท เทียบกับงวด 6 เดือนของปีก่อนหน้าที่ประมาณ 504,143 บาท พอมาในงวด 9 เดือน ตัวเลขเหล่านี้ถูกปรับใหม่จนมีสภาพดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
อย่างที่ยกตัวอย่างมานี่แหละครับ แค่เรื่องการรับรู้รายได้แค่นี้ ก็ทำร้อนไปตามๆกัน เหตุการณ์นี้บอกให้รู้ว่า งบการเงินนั้น หากเราวิเคราะห์และสังเกตให้ดีๆมัน คือ แหล่งข้อมูลที่จะบอกพิรุธได้อย่างมาก แต่ก็น้อยคนจริงๆที่จะใส่ใจดูกัน
สำหรับผมและเพื่อน Value Investor อีกหลายท่านมุ่งเน้นว่า ต้องรู้เรื่องธุรกิจให้ชัดเจนทุกขุมขนเลย มีความรู้เรื่องบัญชีเล็กน้อยแต่ให้สังเกตและตั้งข้อสงสัยให้มากไว้ แล้วหาคำตอบให้ได้ก่อนการลงทุน จะปลอดภัยครับ
ใน www.thaivalueinvestor.com มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า Chatchai ท่านตรวจสอบงบการเงินได้ละเอียดมาก หากสนใจศึกษาเรื่องนี้ให้ไป post กระทู้ถามได้เลยครับ....
จุดสังเกต 'งบการเงิน'
มนตรี นิพิฐวิทยา
การลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น จะมีการวิเคราะห์ด้วยกัน 2 แบบ คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยการวิเคราะห์เชิงปริมาณนี้ ก็หนีไม่พ้นต้องวิเคราะห์จากงบการเงิน โดยวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง ให้มากที่สุด เท่าที่ข้อมูลเราจะหาได้
ในงบการเงินนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงินที่สำคัญๆ คือ งบดุล(Balance Sheet) งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) และหมายเหตุประกอบงบการเงิน (Note to Financial Statement) ข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องใช้ร่วมกัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
งบดุลจะให้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆบริษัทมีสินทรัพย์ หนี้สินและทุน มากน้อยเท่าไร มีความมั่นคงเพียงใด
สังเกตง่ายๆว่า หากหนี้สินมากกว่าทุน แสดงว่า บริษัทนี้กู้เงินมาลงทุนเป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นมากมายและยาวนานหลายปีสินทรัพย์ที่มีเกือบทั้งหมดจะเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ รายได้ที่ทำมาหาได้จากการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าหนี้
ส่วนที่เหลือถึงจะตกมาถึงผู้ถือหุ้น บริษัทนี้หากเกิดวิกฤติขึ้นมา มักจะเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ในทางกลับกันหากบริษัทมีหนี้น้อย รายได้ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้ถือหุ้น สินทรัพย์ที่บริษัทมีจะเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่
บริษัทที่ Value Investor ชอบ ก็คือ บริษัทที่ไม่มีหนี้สิน หรือมีน้อยมาก เพราะปลอดภัยและรายได้ที่หาได้เป็นของผู้ถือหุ้น
"งบกำไรขาดทุน" จะให้ข้อมูลว่า บริษัทได้ดำเนินกิจการในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆ มีรายได้จากการดำเนินงานมาจากอะไรบ้าง มีต้นทุนเกิดขึ้นเท่าไรบ้าง ในงบกำไรขาดทุนนี้จะมีการบันทึกบัญชีการได้ค่าใช้จ่ายแบบคงค้าง คือได้ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน เมื่อส่งสินค้าแล้วถือว่า ได้ขายออกไปแล้ว
ดังนั้น เวลาวิเคราะห์งบการเงินต้องทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ในการบันทึกบัญชีให้ละเอียดว่า บริษัทมีนโยบายในการบันทึกบันชีอย่างไร..?
"งบกระแสเงินสด" จะประกอบไปด้วยข้อมูลทางการเงิน 3 ส่วน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากการลงทุน และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ให้ข้อมูลที่ปรับจากเกณฑ์คงค้างในงบกำไรขาดทุนมาเป็นเกณฑ์เงินสด เราจะได้ข้อมูลว่า ในช่วงเวลางวดบัญชีหนึ่งๆนั้น บริษัทขายสินค้าแล้วสามารถเก็บเป็นเงินสดได้มากน้อยเท่าไร ทั้งนี้จะมีการปรับรายการที่ไม่ใช่เงินสดออกจนหมด เช่น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร อุปกรณ์ สินค้าคงเหลือต่างๆ และข้อมูล อีกมาก
ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุน จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทว่า ในเวลางวดนั้น บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปในเรื่องใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใด
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน ให้ข้อมูลว่า บริษัทจัดหาเงินมาใช้ลงทุนและดำเนินกิจการจากแหล่งใด กู้มาหรือใช้ทุนเดิมหรือเพิ่มทุน
ผมอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ กับการสังเกตงบการเงินเพื่อการลงทุนที่ปลอดภัย หลายท่านคงจะจำกรณี "หุ้น ROYNET" กันได้ดี หรือหากเป็นนักลงทุนใหม่คงจะต้องกลับไปค้นกันหน่อยครับ เพราะกรณีนี้โด่งดังมากและทำให้นักลงทุนกลายร่าง ปีกงอกเป็นแมงเม่ากันมากมาย จน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต้องลงมาจัดการกันจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จนทุกวันนี้ยังไม่จบเรื่องเลยครับ
รายการนี้นักลงทุนหลายคนเจออาการที่เรียกว่า ผีหลอกกลางวัน ครับ กำไรอยู่ดีๆตั้งสองไตรมาส 10.2 ล้านบาทก้าวกระโดดจากขาดทุนสุทธิ 11.19 ล้านบาทในปีก่อน แล้วกลับมาเป็นขาดทุนสุทธิ 36.7 ล้านบาทในไตรมาส 3 ขาดทุนสะสมแล้ว 71ล้านบาท
ก่อนหน้านั้นบริษัทรายงานว่า บริษัทพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้อย่างมากมาย จัดว่า "ก้าวกระโดด" เลยก็ว่าได้ ที่มาของอาการผีหรอกก็ไม่มีอะไรมากครับ ผู้บริหารแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาบันทึกรายได้เร็ว(เกิน)ไป(ไม่)หน่อย ครับ แต่แล้วก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พวกท่านก็เกิดรู้เดียงสาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยนำหุ้นของพวกในตระกูลท่านที่มีอยู่ 60% ของทุนจดทะเบียน เข้าไปขายให้แมงเม่าทั้งหลายจนหมดสิ้น
พอ...งบออกเท่านั้นแหละครับ ซากแมงเม่าก็กองเกลื่อนไปทั่วตลาดหลักทรัพย์
ผมลองเข้าไปดูงบย้อนหลังดูพบว่า บริษัทฯขายชั่วโมง Internet แบบฝากขาย บริษัทย่อยให้บริการอี-คอมเมิร์ซและเป็นที่ปรึกษาเรื่องการออกแบบwebsiteและการรับรู้รายได้ก็เปิดเผยอย่างชัดเจนในหมายเหตุประกอบงบการเงินในข้อที่ 3 สรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ หัวข้อย่อยที่ 3.1 บริษัทรับรู้รายได้ดังนี้
3.1.1 รายได้จากการขายบันทึกรับรู้ เมื่อส่งมอบสินค้า
3.1.2 รายได้จากการฝากขายบันทึกรับรู้ เมื่อได้รับการชำระเงิน
แต่ในงบกำไรขาดทุนมีหัวข้อ รายได้จากการขาย รายได้จากการให้บริการ รายได้ดอกเบี้ย รายได้อื่นๆ ไม่มีหัวข้อรายได้จากการฝากขาย จึงเป็นช่องทางให้ผู้บริหารเล่นแร่แปรธาตุได้อย่างง่ายดาย โดยผู้สอบบัญชีเองก็ไม่อาจตรวจพบได้ (อันนี้ไม่รับรองนะครับ)
เรื่องของเรื่อง คือ บริษัทเร่งรับรู้รายได้จากการฝากขาย ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับชำระเงินเป็นจำนวนมากทั้ง 2 ไตรมาส จนไตรมาส 3 ผู้สอบบัญชีทนไม่ได้ จึงทำการปรับงบการเงินให้สะท้อนภาพความเป็นจริง ซึ่งเป็นเหตุให้แมงเม่าวงแตกกระเจิง
โดยไตรมาส 1 รับรู้รายได้24 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6.9 ล้านบาท ไตรมาส 2 รับรู้รายได้ 23.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3.24 ล้านบาท
ทีนี้มาดูที่งบกระแสเงินสด ผมพบตัวเลขในหัวข้อ ลูกหนี้การค้าและตั๋วเงินรับ ในไตรมาสแรกประมาณ 22 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ประมาณ 34,738 บาท ในไตรมาส 2 งวด 6 เดือนประมาณ 42.25 ล้านบาท เทียบกับงวด 6 เดือนของปีก่อนหน้าที่ประมาณ 504,143 บาท พอมาในงวด 9 เดือน ตัวเลขเหล่านี้ถูกปรับใหม่จนมีสภาพดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
อย่างที่ยกตัวอย่างมานี่แหละครับ แค่เรื่องการรับรู้รายได้แค่นี้ ก็ทำร้อนไปตามๆกัน เหตุการณ์นี้บอกให้รู้ว่า งบการเงินนั้น หากเราวิเคราะห์และสังเกตให้ดีๆมัน คือ แหล่งข้อมูลที่จะบอกพิรุธได้อย่างมาก แต่ก็น้อยคนจริงๆที่จะใส่ใจดูกัน
สำหรับผมและเพื่อน Value Investor อีกหลายท่านมุ่งเน้นว่า ต้องรู้เรื่องธุรกิจให้ชัดเจนทุกขุมขนเลย มีความรู้เรื่องบัญชีเล็กน้อยแต่ให้สังเกตและตั้งข้อสงสัยให้มากไว้ แล้วหาคำตอบให้ได้ก่อนการลงทุน จะปลอดภัยครับ
ใน www.thaivalueinvestor.com มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า Chatchai ท่านตรวจสอบงบการเงินได้ละเอียดมาก หากสนใจศึกษาเรื่องนี้ให้ไป post กระทู้ถามได้เลยครับ.... _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:25 am Post subject: |
|
|
|
'ROE' สำคัญกับการลงทุนอย่างไร? โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีหลักการในการลงทุนหลายอย่าง บางท่านอาจจะให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นเป็นหลัก โดยใช้หลักการทางเทคนิคเป็นจุดสำคัญ หรือ บางท่านอาจจะชอบลงทุนในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ซื้อขายวันต่อวัน
การลงทุนในลักษณะดังกล่าวอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องรู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของบริษัทที่จะลงทุนมากนัก สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้นมากกว่า
แต่ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" ที่เน้นการถือหุ้นที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุนก็คือ การที่นักลงทุนควรจะเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจที่จะลงทุนนั้นเป็นอย่างดี
บทความที่ผ่านมา นักลงทุนได้รับข้อมูลการวิเคราะห์บริษัทที่จะลงทุนอย่างคร่าวๆ รวมถึงวิธีการในการทำ Scuttlebutt ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกถึงหัวข้อของอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญค่าหนึ่ง ก็คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE)
ROE คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ สูตรที่ใช้กันทั่วไป
ก็คือ ROE = Net Profit/Equity หรือ กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น
สมมติบริษัท ก. มีงบกำไรขาดทุนและงบดุล ณ ปลายปีคร่าวๆ ดังนี้
งบกำไรขาดทุนบริษัท ก. (หน่วย: ล้านบาท)
ยอดขาย 12,000
ต้นทุนรวมภาษี 10,800
กำไรสุทธิ 1,200
งบดุลบริษัท ก.(หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 2,000
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 0
ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,000
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ก. คำนวณจาก กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเท่ากับ 1,200/8,000 = 15%
ในทางปฏิบัติควรจะนำส่วนผู้ถือหุ้นของต้นปีและปลายปีมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อความถูกต้องมากขึ้น ROEที่คำนวณได้แสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้นไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับ 15% จากการดำเนินงานของบริษัทตามปกติ
นักลงทุนสามารถนำ ROE ไปเปรียบเทียบระหว่างบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์เพื่อตรวจสอบความสามารถของผู้บริหารในการบริหารเงินลงทุนของบริษัท
สมมติอีกบริษัทหนึ่ง คือ บริษัท ข. มี ROE เท่ากับ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท ก. ข้างต้นที่มี ROE 15% แล้ว นักลงทุนจะพบว่า บริษัท ก. มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าในจำนวนเงินลงทุนที่เท่ากัน
สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว บริษัทที่มี ROE สูงกว่าจะน่าสนใจมากกว่า เพราะ บริษัทที่มี ROE สูงสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน การรักษา ROEให้สูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ถ้าบริษัทดำเนินกิจการอย่างมีกำไรและเก็บบางส่วนไว้เป็นกำไรสะสม จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การรักษา ROE ให้อยู่ในระดับเดิม บริษัทจำเป็นต้องทำกำไรให้มากขึ้นให้เพียงพอต่อการเติบโตของส่วนผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นปีละ 10%
บริษัทที่ต้องการรักษา ROE ให้เท่าเดิมในปีถัดไป จำเป็นจะต้องมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% ด้วยเช่นกัน ซึ่งในความเป็นจริง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างสูงมากทีเดียว
อีกกรณีหนึ่ง บางบริษัทอาจจะทำให้ ROE สูงขึ้นได้โดยใช้ leverage จากการกู้ยืมทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้สินระยะยาว
ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. และ ค. มีงบกำไรสุทธิเหมือนกัน แต่บริษัท ค. มีงบดุลดังต่อไปนี้
งบดุลบริษัท ค. (หน่วย: ล้านบาท)
ทรัพย์สินหมุนเวียน 2,000 หนี้สินหมุนเวียน 500
ทรัพย์สินถาวร 8,000 หนี้สินระยะยาว 4,700
ส่วนของผู้ถือหุ้น 4,800
รวมทรัพย์สิน 10,000 รวมหนี้สินและส่วนผู้ถือหุ้น 10,000
ดังนั้น ROE ของบริษัท ค. เท่ากับ 1,200/4,800 = 25% ซึ่งมากกว่าบริษัท ก. มาก แต่บริษัท ก. ไม่มีหนี้สินเลย ขณะที่บริษัท ข. มีหนี้สินอยู่เกือบเท่าส่วนผู้ถือหุ้น
ในกรณีนี้ เราควรจะใช้อัตราส่วนทางการเงินอีกค่าหนึ่งในการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ คือ Return on Total Capital Ratio (ROTC) คำนวณได้จาก
ROTC = Net Profit/(Longterm Liability + Equity) หรือ
กำไรสุทธิหารด้วยผลบวกของหนี้สินระยะยาวกับส่วนผู้ถือหุ้น
จากตัวอย่างข้างต้นจะพบว่าบริษัท ก. มี ROTC เท่ากับ 15% (1,200/8,000) ในขณะที่บริษัท ค. มี ROTC ลดลงเหลือเพียง 12% (1,200/(4,700+4,800))
ในกรณีเช่นนี้ บริษัทที่มี ROE สูงกว่าอาจจะมี ROTC ต่ำกว่าได้ การใช้ ROE เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทที่จะลงทุนอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
ดังนั้นนักลงทุนนอกจากจะใช้ ROE เปรียบเทียบระหว่างบริษัทแล้วอาจจะต้องใช้ ROTC ในการเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น เพราะ ROTC จะทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการลงทุนของบริษัทได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น บางบริษัทอาจจะมี ROE เพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะบริษัทที่เพิ่งออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ สาเหตุเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยผลการดำเนินงานเปลี่ยนจากการขาดทุนในอดีตมาเป็นทำกำไรได้ในปีปัจจุบัน ทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้นทันทีได้
ลักษณะเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณานำกำไรขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ออกจากการคำนวณ เพราะจะทำให้ ROE ที่หาได้สูงเกินไป และไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานตามปกติของบริษัท
บางบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร (Cyclical) เช่น วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เหล็ก กระดาษ หรือ ผลิตภัณฑ์การเกษตร บางปีบริษัทจะมีผลกำไรตกต่ำเพราะส่วนใหญ่แล้วราคาและต้นทุนของกิจการเหล่านั้น จะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้ามากกว่าที่จะถูกกำหนดโดยบริษัท
ถ้าปีใดราคาสินค้าลดลงก็จะทำให้บริษัทมี ROE ในปีนั้นต่ำไปด้วย แต่บางปีอาจจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดี และมีกำไรสูงขึ้น ผลพลอยได้ก็คือทำให้ ROE ของบริษัทในปีนั้นสูงตามขึ้นไปด้วย
เราสามารถตรวจสอบได้ว่า บริษัทนั้นๆอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรหรือไม่ง่ายๆด้วยการตรวจสอบ ROE ย้อนหลังหลายๆปี ถ้าพบว่า ROE มีลักษณะที่มากบ้างน้อยบ้างสลับกันไปก็สันนิษฐานได้ว่า บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร
จากเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าการที่บริษัทมี ROE สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีในระยะยาวเสมอไป
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ควรตรวจสอบ ROE ของบริษัทที่สนใจลงทุนก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
บริษัทที่มี ROE สม่ำเสมอจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ เพราะแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีการบริหารงานที่ดี สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทก็เพิ่มพูนความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:26 am Post subject: |
|
|
|
ผลตอบแทนจาก 'สินทรัพย์ดำเนินงาน' (RONOA)
โดยมนตรี นิพิฐวิทยา
ในงบการเงินของบริษัทที่เราวิเคราะห์นั้น จะประกอบด้วยตัวเลขมากมาย ตามที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ในตอนที่แล้วคุณวิบูลย์ได้กล่าวถึงเรื่อง Return on Equity หรือ ROE ซึ่งเป็นการวิเคราะห์งบการเงิน ที่ใช้อัตราส่วนมาบ่งบอกความสามารถ ในด้านต่างๆ ของกิจการ
หากท่านสังเกตงบการเงินของบริษัทใดก็ตาม จะพบว่า ในงบดุลส่วนสินทรัพย์ที่นักบัญชีแยกให้เราเห็นเป็น 2 ส่วน คือ สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) และ เครื่องจักรอาคารสถานที่ (Properties, Plant and Equipments) หรือจะเรียกว่า "สินทรัพย์คงที่" ก็น่าจะได้ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรอบ 1 ปี ส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในรอบ 1ปี
หากพิจารณากันให้ดีๆ แล้ว นักบัญชีไม่ได้แยกสินทรัพย์ให้นักลงทุนเห็นชัดเจนสักเท่าไรนัก เพราะหากเรามองการลงทุนในหุ้นคือการร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว เราควรต้องทราบว่า สินทรัพย์ใดเป็นสินทรัพย์ดำเนินงาน (Operating Assets) สินทรัพย์ใดเป็นสินทรัพย์ที่มีไว้แต่ไม่ได้ใช้เพื่อการดำเนินงาน (Non Operating Assets)
หลายท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่ามันต่างกันอย่างไร...?
จริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างชัดเจนมากที่เดียว ตัวอย่างเช่น บริษัท 2 แห่งคำนวณ Return on Assets, ROE ได้เท่ากัน แต่พอแยกสินทรัพย์ดำเนินงานออกจากสินทรัพย์ทั้งหมดแล้ว ปรากฏว่า บริษัทหนึ่งมี Return on Net Operating Assets(RONOA) สูงกว่าอีกบริษัทหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
นั้นหมายความว่าบริษัทที่มี RONOA ต่ำกว่านั้น มีสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่มากกว่าอีกบริษัทหนึ่งเป็นแน่แท้ และแน่นอนว่าเราต้องหาต่อให้ได้ว่า ทำไมถึงได้มีสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่มาก
ทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินดำเนินงานที่ผมกล่าวนี้ มักไม่ค่อยแน่นอนตายตัวนัก เราต้องพิจารณาตามสภาพแวดล้อมของกิจการเองครับ เพราะแต่ละกิจการดำเนินธุรกิจแตกต่างกัน แต่ผมพอจะให้แนวทางพอใช้เป็นเครื่องสังเกตไว้
ยกตัวอย่างเช่น เงินสด สินค้าและวัสดุคงเหลือ (Inventory) ที่ดินที่ใช้ประโยชน์ คือ มีโรงงานตั้งอยู่และมีการผลิตสินค้า ที่ดินที่ซื้อเอาไว้ ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ไม่นับครับ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้า รายการเหล่านี้ล้วนจัดเป็นสินทรัพย์ดำเนินงาน
บางบริษัทมีเงินสดเหลือมาก แต่ไม่ได้ใช้ไปลงทุนสร้างผลตอบแทนเลย แถมไม่จ่ายออกมาเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นด้วย บริษัทนี้ RONOAต่ำแน่นอนครับ
บางบริษัทมีที่ดินมากแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์และไม่ยอมขายออกเอาเงินมาลงทุนให้งอกเงยบริษัทหนี้ก็น่าสงสัย
บริษัทที่สินค้าและวัสดุคงเหลือมากๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ยอดขายมิได้ขยายตามไปในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันหรือมากกว่า แสดงว่า บริษัทนั้นมีปัญหาบางประการในเรื่องการจัดการสินค้าที่พร้อมขายและวัสดุสำหรับการผลิตแน่ เรื่องนี้ในฐานะผู้ร่วมเป็นเจ้าของกิจการต้องไม่ละเลยที่จะต้องตรวจสอบกับฝ่ายบริหารของบริษัทนะครับ
ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เช่น บัญชีลูกหนี้ อันนี้ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานแน่นอน แต่สำคัญนะครับ หากมีลูกหนี้มากในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขายแล้วละก็ต้องตรวจสอบเช่นกันว่า การติดตามหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือมีการบันทึกบัญชีแบบลักไก่หรือไม่
เมื่อได้ตัวเลขสินทรัพย์ดำเนินงานสุทธิ (Net Operating Assets) แล้วเราก็ใช้สูตรเดียวกันกับการหาอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั่นเองคือ
ROA = รายได้สุทธิ / สินทรัพย์สุทธิ
หากเป็นอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ดำเนินงานสุทธิ (Return on Net Operating Assets, RONOA) ก็ใช้สูตร
RONOA = รายได้สุทธิ / สินทรัพย์ดำเนินงานสุทธิ
ผลที่ได้ออกมาต้องเปรียบเทียบกัน หากบริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดีแล้ว ROA กลับ RONOA จะใกล้เคียงกันมาก แต่ในทางตรงกันข้าม ROA น้อยกว่า RONOAมากๆ ให้ระวังครับ บริษัทนี้กำลังมีการลงทุนที่ผิดประเภท หรือส่อพิรุธน่าสงสัยว่า เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ เพื่ออะไร อาจจะเอาเงินทุนของบริษัทไปซื้อที่ดินของญาติๆเอาไว้ในราคาสูงกว่าราคาตลาดมากๆ หรืออาจลงทุนแบบไม่รอบคอบแทนที่จะได้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพกลับเป็นอนุสาวรีย์เครื่องจักรมาตั้งเกะกะแทน
ในการวิเคราะห์งบการเงินมีสูตรให้เราคิดแบบสำเร็จมาแล้ว แต่วิธีการมักไม่ตายตัวแปรไปตามสภาพแวดล้อมของกิจการและสถานการณ์ในขณะนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้วิเคราะห์ว่า ต้องการทราบอะไรของกิจการให้ละเอียด และที่สำคัญการแปลความหมายจากผลลัพธ์ที่เราคำนวณได้นั้นสำคัญที่สุด จะเห็นว่า เมื่อได้ผลลัพธ์มาแล้วเราก็ได้คำตอบมาส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่คำตอบที่เป็นที่สุด แต่มันเป็นแนวทางให้เราไปสืบหาคำตอบที่เราต้องการต่อไปว่า ไปแล้วการลงทุนแบบเน้นคุณค่านี้นักลงทุนน่าจะมีพฤติกรรมคล้ายนักสืบก็ว่าได้นะครับ
เอาละครับ เรามาเริ่มต้นการเป็นนักสืบ เสาะหาขุมทรัพย์ที่จะนำพาเราไปสู่อิสรภาพทางการเงินแบบไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือลุ้นกับความเสี่ยงอะไรกันมากมายกันดีกว่าครับ _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:28 am Post subject: |
|
|
|
เก็งกำไร
โดยมนตรี นิพิฐวิทยา
ว่าไปแล้วการเก็งกำไรในบ้านเราไม่ต่างจากการพนันเท่าไรนัก นักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นวันต่อวันก็ซื้อหุ้นเพื่อขายเอากำไรในวันนั้น หากขาดทุนมากๆจึงจะยอมเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบจำเป็น
ช่วงอาทิตย์นี้ผมนั่งเผ้าร้านในอาคารแถบสีลมซึ่งหนาแน่นด้วยห้องค้า พอเวลาเย็นตลาดหุ้นปิดก็จะเห็นนักลงทุนมีอายุกันซักหน่อยพูดคุยกันถึงการได้เสียในวันนั้นๆกันมากมาย ผมเองนั้นไม่กล้าเสี่ยงมากขนาดนั้นจริงๆแม้อายุผมจะยังไม่มาก ที่จริงแล้วความเสี่ยงน่าจะเหมาะกับคนหนุ่มสาวมากกว่า
ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงหรือขึ้นลงผันผวนอย่างนี้เราจะพบเห็นหุ้นเก็งกำไรซึ่งล้วนแต่เป็นหุ้นขนาดเล็กขึ้นลงได้เสียกันมาก และดูน่าตื่นเต้นเป็นที่สุด โดยเฉพาะวอแรนท์ต่างๆขึ้นลงกันแบบต้องลุ้นสุดตัวเลยทีเดียว ซึ่งทำเอาเดือดร้อนถึงทางตลาดหลักทรัพย์และ BIZ WEEK ฉบับที่แล้วต้องออกมาเตือนนักลงทุนให้รู้ถึงกลวิธีที่รายใหญ่สร้างราคากัน แต่ผมว่าอย่างไรก็ยังคงมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีกเสมอๆแน่นอน
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความคิดภายในลึกๆของมนุษย์ทุกคน ไม่เฉพาะคนไทยหรอกครับเป็นกันทั่วโลกจนมีนักเศรษฐศาสตร์ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ออกมากันเป็นเรื่องเป็นราวโดยมีการตั้งเป็นทฤษฎีกันเลย คือ Behavioral Finance หรือการเงินเชิงพฤติกรรม และ Mental Accounting หรือ การหักลบตัวเลขในสมองของมนุษย์ ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งในอย่างแรก
ผมอยากจะยกตัวอย่างเรื่อง Mental Accounting ให้ลองพิจารณากันดูครับน่าสนใจทีเดียว แล้วลองเอาไปคิดดูว่าเราก็เป็นอย่างนี้หรือไม่
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีสามีภรรยาไปฮันนีมูนกันที่ลาสเวกัส และได้เข้าไปเล่นพนันกันในคาซิโน ทั้งคู่เล่นพนันกันจนเงินหมดจึ่งกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ขณะที่กำลังจะเข้านอน สามีก็ได้พบเงินที่ลืมค้างในกระเป๋าเสื้อ 10 USD เขาจึงได้แต่งตัวออกไปลองพนันใหม่ ปรากฏว่าเขาเล่นชนะ จากเงิน 10 USD เขาได้กำไรเพิ่มขึ้นเลื่อยๆจนทางคาซิโนบอกว่าไม่สามารถรับการแทงพนันของเขาได้แล้ว เขาจึงแลกชิปทั้งหมดเป็นเงิน 100 ล้าน USD ไปแทงที่คาซิโนอื่น ปรากฏว่าคราวนี้โชคไม่ได้อยู่ข้างเขา เขาเสียเงินทั้งหมดที่ได้จากการพนันให้คาซิโนนั้นไปจนหมด แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องเดินกลับโรงแรม
พอถึงห้องพักภรรยาก็ตื่นมาถามว่าเขาหายไปไหน เขาก็ตอบว่าไปคาซิโนมา ภรรยาจึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าไม่เลวร้ายจนเกินไป เสียไปแค่ 10 USD เอง!
จริงมันก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปครับ แต่หากคิดให้ดีๆ ถ้าเขาเลิกเล่นและกลับห้องพักเขาจะมีเงิน 100 ล้าน USD จริงๆแล้วเขาเสียเงินไปมากขนาดนั้นจริงๆ แต่ภายในสมองของเขาคิดว่าเงินนั้นได้มาฟรีๆ ถึงจะเสียไปก็เป็นของฟรี แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ของฟรีนะครับ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีแน่นนอน
เอาอีกตัวอย่างหนึ่งจะได้เห็นกันชัดๆ มีชายผู้หนึ่งเตรียมเงิน 1,000 บาทเพื่อจะไปจ่ายค่าซักแห้ง พอไปถึงร้านแล้วหาเงินที่เตรียมมาไม่พบ จึงหงุดหงิดที่ต้องเอาเงินใหม่ออกมาจ่าย แต่พอกลับถึงบ้านก็พบว่าเงินที่เตรียมเอาไว้นั้นเขาลืมไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกตัวหนึ่ง เมื่อพบแล้วก็ดีใจว่าได้เงินที่หายไปกลับมาฟรีๆ
หรือหากคุณได้บัตรชมดนตรีของศิลปินที่คุณชื่นชอบมากมาฟรีๆ แล้วคุณทำหาย คุณส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้สึกเสียดายและจะไปซื้อใหม่ แต่หากว่าคุณต้องซื้อมาเองและหายคุณจะเสียดายมากและอาจจะไม่ยอมเสียเงินอีก
นี่แหละครับเรื่องของ Behavioral Finance และ Mental Accounting และทฤษฏีนี้ละครับที่ตอบคำถามว่าทำไมเจ้ามือรวยทุกที ก็เพราะว่าเงินที่เจ้ามือเสียไปจะยังไม่หายไปไหนหากผู้เล่นยังไม่เลิก ในท้ายที่สุดผู้เล่นจะต้องเสียกับคืนเจ้ามืออยู่ดี ตราบใดที่ยังมีพฤติกรรมทางการเงินอย่างที่กล่าวมา ได้ก็คิดว่าของฟรี เสียก็ต้องแก้ให้ได้
นักลงทุนรายใหญ่มักจะลงทุนลากหุ้นสร้างราคาล่อรายย่อยเป็นลำดับแรก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาไม่กลัวเสียเงินเปล่าหรือ จากสถิติแล้วเจ้ามือได้เปรียบเสมอ เมื่อรายย่อยเข้ามาผสมโรง รายใหญ่ก็เริ่มปล่อยหุ้นออก แล้วกระตุกใหม่ ที่ต้องปล่อยก่อนก็เพื่อให้รายย่อยขายออก ไม่เช่นนั้นลากราคาลำบากครับ เพราะรายย่อยคอยซื้อขายทำลายจังหวะอยู่ตลอด พอลากได้ที่รายใหญ่จะทิ้งให้รายย่อยจัดการกันเองอย่างที่เห็นๆกันอยู่เสมอ รายย่อยที่ได้แล้วเลิกมีน้อยมากครับ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์ชอบซื้อหุ้นตอนขึ้นครับ ตอนลงไม่กล้าซื้อหรือไม่เล้าใจ ความเสียหายจึงเกิดกับรายย่อยเสมอมา
พวกValue Investor มักจะไม่สนใจกับการขึ้นลงหวือหวาของหุ้นที่นักลงทุนอื่นกำลังตื่นเต้นกัน หากแต่ว่ามักจะเฝ้ามองเพื่อหาเหตุผลและทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นสังเกตได้จากการสนทนากันผ่านweb board จะเอาเรื่องหุ้นที่หวือหวาเหล่านี้มาสนทนากันมาก จากการหาเหตุและผลนี้ทำให้ Value Investor เห็นว่าเป็นการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากและไม่คุ้มกับผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงไม่ค่อยพบว่า Value Investor จะร่วมวงกับเขาด้วย
Value Investor มักคิดว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นไม่ได้มาฟรีๆครับ มันมาจากการทำงาน การวิเคราะห์หาข้อมูลอย่างหนัก ต้องเสี่ยงกับการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้มาไม่ได้มาฟรีๆแน่ๆ ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องถูกนำกลับมาหาผลตอบแทนต่อยอด และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไรนั้นหมายถึงอิสรภาพทางการเงินที่สูงขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังหมายถึงแต้มต่อในการลงทุนอีกด้วย
เมื่อเราทราบถึงพฤติกรรมลึกๆที่เกิดกับทุกคนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการควบคุมมันให้ได้ครับ การลงทุนนั้นสำคัญที่ข้อมูลและการควบคุมจิตใจ ใครศึกษาหาข้อมูลมาดีแล้ว ต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว คุมจิตใจให้ได้คนนั้นมักจะประสบความสำเร็จเสมอครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการควบคุมจิตใจครับ _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Thu Sep 16, 2004 12:30 am Post subject: |
|
|
|
ลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮม
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ เบนจามิน เกรแฮม เพราะในวงการการลงทุนของโลกถือว่า ท่านอาจารย์เกรแฮม เป็นผู้บุกเบิกการวิเคาระห์หลักทรัพย์สมัยใหม่ เมื่อปี 1934 ราวๆ 70 ปีที่แล้วด้วยหนังสือ Security Analysis ที่เป็นผลมาจากการรวบรวมการบรรยายของ อ.เกรแฮม ในช่วงที่ทำการสอนชั้นเรียนปริญญาโทของมหาวิทยาลัย Columbia ที่นิวยอร์ค ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหนังสือเล่มดังกล่าวยังคงมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาจนถึงทุกวันนี้
ในชั้นเรียนดังกล่าว มีลูกศิษย์สมัครเข้าไปเรียนกันมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟต ซึ่งต่อมากลายเป็นนักลงทุนมือหนึ่งที่มีทรัพย์สินมากมายมหาศาลเป็นอันดับสองของโลก บัฟเฟตร่ำรวยมาจากการใช้หลักการลงทุนตามแบบที่ อ.เกรแฮม แนะนำเอาไว้ ด้วยการลงทุนในการซื้อหุ้นบริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ผ่านบริษัทที่ชื่อ ฺBerkshire Hathaway
การลงทุนตามแบบ วอร์เรน บัฟเฟตนั้น มีหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษวางขายตามร้านหนังสือต่างๆทั่วไป ท่านผู้อ่านสามารถอ่านและศึกษาการลงทุนตามแบบวอร์เรน บัฟเฟต อย่างไม่ยากนักด้วยมีการแปลเป็นภาษาไทยออกมาหลายเล่มด้วยกัน โดยเฉพาะในช่วงปลายปีทีแล้ว ที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยผ่านการทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี
แต่ถ้าศึกษาลึกเข้าไปจะพบว่า การลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮมแท้ๆนั้น มีข้อแตกต่างจากการลงทุนแบบวอร์เรน บัฟเฟตอยู่หลายประการด้วยกัน
ดังนั้นจะกล่าวถึงวิธีการลงทุนตามแบบต้นตำรับของ อาจารย์เบนจามิน เกรแฮม ว่ามีอะไรที่แตกต่างไปจากการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตบ้าง ซึ่งสามารถสรุปคร่าวๆได้ดังต่อไปนี้
หนึ่ง เกรแฮมตัดสินใจลงทุนด้วยงบการเงินเพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากการวิเคาระห์งบการเงินของบริษัทนั้นแล้ว ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากงบการเงิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจอย่างมาก เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือ คุณภาพของแบรนด์และตราสินค้ายี่ห้อของบริษัท เช่น โค๊ก หรือ ยิตเลต ที่ไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถครองตลาดได้เท่าเทียมได้เป็นเวลานาน
ส่วนเกรแฮม จะคำนึงถึงงบการเงินเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยจะเปรียบเทียบบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ด้วยการวิเคาระห์บริษัทผ่านทางงบการเงินล้วนๆ โดยเฉพาะจากงบกำไรขาดทุน และงบดุล (งบกระแสเงินสดยังไม่ได้มีการจัดทำเป็นมาตรฐานในสมัยนั้น)โดยไม่ได้สนใจในการวิเคาระห์เชิงปริมาณและคุณภาพของบริษัทนั้นมากนัก
เกรแฮมให้ความสำคัญกับงบดุลค่อนข้างสูงกว่างบกำไรขาดทุน เพราะเชื่อว่างบกำไรขาดทุนนั้น สามารถทำการตกแต่งบัญชีได้ง่ายกว่า แต่กับงบดุลแล้วการพลิกแพลงทางบัญชีจะมีผลน้อยกว่างบกำไรขาดทุน
ยกตัวอย่างเช่น บริษััทอาจจะทำให้กำไรในปีนั้นเพิ่มขึ้นมากจากการรับรู้รายได้ของสินค้าที่ถูกส่งไปให้ผู้จัดจำหน่าย โดยบันทึกเป็นยอดขายในปีนั้นทันทีโดยที่ยังอาจจะเก็บเงินไม่ได้ ซึ่งในงบกำไรขาดทุนจะแสดงว่าบริษััทมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานในปีนั้น แต่ถ้าสังเกตุดูในงบดุลจะเห็นว่ารายได้ดังกล่าวยังอยู่ในลูกหนี้หมุนเวียนของบริษัทเท่านั้น ยังไม่ได้กลายมาเป็นเงินสดในมือแต่อย่างใด ซึ่งงบดุลจะแสดงได้ถูกต้องตรงความเป็นจริงมากกว่าที่แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุน
การใช้งบดุลเป็นหลักในการวิเคาระห์ ทำให้เกรแฮมให้ความสำคัญกับทรัพย์สินที่จับต้องได้ตามที่แสดงไว้ในงบดุลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของเงินสด ทรัพย์สินหมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียน ถ้าพบว่าบริษัทใดมีเงินสดหลังจากหักหนี้สินต่างๆแล้วมากกว่าราคาหุ้น ก็หมายความว่า การลงทุนในบริษัทนั้นถึงแม้บริษัทจะล้มละลาย ผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุนก็ยังคงมีเงินสดเหลือจากการจ่ายหนี้ทั้งหมดแล้ว เรียกว่า ซื้อหุ้นแบบนี้แล้วปลอดภัย 100%
ในช่วงแรกๆบัฟเฟตก็ใช้กฏเกณท์การลงทุนตามแบบอาจารย์เกรแฮมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการวิเคาระห์บริษัทจากงบการเงินซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แตในภายหลังก็่ได้ปรับปรุงวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น
สอง เกรแฮมไม่สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัท
เกรแฮมเชื่อว่า การสัมภาษณ์ผู้บริหารนั้นจะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่เบี่ยงเบน และเข้าข้างตัวบริษัทมากกว่าที่จะได้ข้อมูลที่เป็นกลาง รวมทั้งผู้บริหารบริษัทส่วนมากมักจะพูดถึงแต่ด้านดีของบริษัทตนเอง ถ้าเป็นไปได้นักลงทุนควรจะหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์ผู้บริหาร
ในขณะเดียวกันนักลงทุนก็สามารถตรวจสอบผู้บริหารได้จากการตรวจดูงบการเงินของบริษัทนั้นย้อนหลังหลายๆปี เพื่อจับผิดว่ามีการซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้หรือไม่ ถ้าพบว่างบการเงินของบริษัทนั้นไม่ชอบมาพากล ก็สันนิษฐานได้ว่า ผู้บริหารบริษัทนั้นไม่ค่อยโปร่งใสเท่าที่ควร และควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทนั้น
สำหรับเกรแฮมแล้ว ถ้านักลงทุนมีความรู้ทางบัญชีและงบการเงินพอสมควร ก็สามารถตรวจสอบความผิดปกติของผู้บริหารบริษัทจากการวิเคาระห์งบการเงินได้ โดยที่ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ผู้บริหารแต่อย่างใด
แต่สำหรับการลงทุนแบบบัฟเฟตแล้ว ผู้บริหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เพราะอนาคตของบริษัทขึ้นกับผู้บริหารเป็นส่วนประกอบสำคัญ การตรวจสอบผู้บริหารนั้นไม่ควรจะใช้วิธีการวิเคาระ์ห์จากงบการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะใช้ข้อมูลอย่างอื่นในการประกอบการพิจารณาผู้บริหารด้วย เช่น การเข้าสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง หรือ จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความสามารถของผู้บริหาร
สาม เกรแฮมจะขายหุ้นถ้าราคาเกินพื้นฐาน
วอร์เรน บัฟเฟต กล่าวอยู่เสมอว่า ระยะเวลาการถือหุ้นของบริษัทที่ตนลงทุนอยู่นั้นก็คือ ตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า บัฟเฟตจะไม่ขายหุ้นที่ลงทุนอยู่ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นจะมีราคาสูงเกินพื้นฐานไปมากเพียงใดก็ตาม เหตุผลก็คือ ตราบใดที่บริษัทนั้นเ็ป็นบริษัทที่ดี บริหารด้วยผู้บริหารที่มีความสามารถและไว้ใจได้ บัฟเฟตก็จะยังคงถือหุ้นบริษัทนั้นไว้ตลอดไป จะเห็นว่า บัฟเฟตถือหุ้นวอชิงตันโพสไว้จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 30 ปี หรือถือหุ้นโค๊กไว้ถึง 20 ปีโดยไม่ได้ขายออกไปแม้แต่หุ้นเดียว
แต่สำหรับเกรแฮม การลงทุนซื้อหุ้นใดๆก็ตามจะลงทุนก็ต่อเมื่อราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ เรียกว่ายิ่งถูกยิ่งดี ถ้าได้แบบแบกะดินได้ก็ยิ่งดี และเมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นจนเกินกว่าพื้นฐานที่กำหนดไว้แล้ว เกรแฮมจะขายหุ้นนั้นออกไป แล้วนำไปลงทุนในบริษัทอื่นต่อไป โดยส่วนใหญ่เกรแฮมจะขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่าที่ซื้อลงทุนมาประมาณ 50%
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้บัฟเฟตจะยกย่องเกรแฮมว่าเป็นอาจารย์ในการลงทุนของตน และเป็นผู้มีพระคุณเปรียบเหมือนเป็นพ่อคนที่สอง แต่การลงทุนของบัฟเฟตก็มีความแตกต่างจากต้นตำรับ Value Investing อย่างเกรแฮมอยู่หลายประการดังทีได้่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วิธีการลงทุนจะต่างกัน กองทุนที่ทั้งสองบริหารก็สามารถทำผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญก็คือสามารถชนะผลตอบแทนของตลาดโดยรวมได้่เป็นระยะเวลานาน
สำหรับในเมืองไทย เท่าที่ผมรู้จักก็มี คุณChatchai ขาประจำของ www.Thaivalueinvestor.Com ที่มีวิธีการลงทุนแทบจะถอดแบบมาจากอาจารย์เกรแฮมต้นตำรับอย่างไม่ผิดเพี้ยน คุณ Chatchai ลงทุนโดยอาศัยการแกะงบการเงินเพียงอย่างเดียว ตรวจสอบผู้บริหารจากงบการเงิน ไม่ได้สนใจในแบรนด์ของบริษัทแต่อย่างใด และขายหุ้นที่ลงทุนไว้เมื่อราคาสูงเกินพื้นฐาน ที่สำคัญด้วยวิธีการลงทุนเช่นนี้เองที่ทำให้คุณ Chatchai สามารถมีอิสรภาพทางการเงินด้วยอายุเพียง 30 ต้นๆเท่านั้น
ดังนั้นจากตัวอย่างของคุณChatchai ใครที่คิดว่า Value Investing ใช้ไม่ได้ในตลาดหุ้นเมืองไทยคงต้องพิจารณากันใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การจะตัดสินใจลงทุนแบบไหนก็ขึ้นกับความต้องการและความถนัดของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
Mon money Top Posters

Joined: 30 Jan 2003 Posts: 1601 Location: วงแหวนบางแค
|
Posted: Mon Sep 27, 2004 10:22 pm Post subject: |
|
|
|
ลงทุนแบบก้นบุหรี่ (Cigar Butt Investing)
โดย มนตรี นิพิฐวิทยา
เห็นคุณวิบูลย์เขียนถึงอาจารย์เกรแฮมทำให้ผมนึกถึงวิธีการลงทุนตามแบบท่านอาจารย์ผู้นี้คือแบบก้นบุหรี่ จริงๆแล้วเป็นคำเหน็บแนมของWarren Buffettต่อการลงทุนแบบถอดแบบจากท่านเกรแ
ฮม เขากล่าวว่ามันเป็นเสมือนการหยิบก้นบุหรี่ที่คนอื่นทิ้งไว้ที่พื้น แต่มันยังคงมียาสูบเหลืออยู่ แล้วเราเก็บมาสูบ แม้มันจะยังคงมีควันอยู่ แต่มันก็สูบได้อีกครั้งสองครั้งก็ต้องทิ้งแล้ว แต่มันเป็นของฟรีครับ
ผมเองใช้การลงทุนแบบนี้ก็บ่อยเหมือนกันครับ สำหรับผมแล้วการลงทุนแบบนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว แต่ในระยะยาวแล้วจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไรนัก หากไม่ขายหุ้นนั้นออกไปก่อนเมื่อราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงราคาที่แท้จริงในระยะสั้นๆ ในแบบของเกรแฮมจะขายเมื่อราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50%ของราคาที่ซื้อ แต่สำหรับลูกศิษรุ่นต่อๆมาของเกรแฮมได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับสถานการณ์มากขึ้นซึ่งได้ผลดีทีเดียว
สำหรับหลักการนั้นฉบับก่อนคุณวิบูลย์กล่าวไว้แล้ว ท่านใดสนใจลองกลับไปอ่านได้ครับ มาครั้งนี้ผมจะลงรายละเอียดและยกตัวอย่างมานำเสนอพอแต่หน้ากระดาษจะอำนวย
วิธีคิดในการเลือกซื้อหุ้นตามแบบก้นบุหรี่นี้ต้องใช้งบการเงิน โดยเฉพาะงบดุลเป็นสำคัญครับ เพราะเราต้องหา NET-net Asset Value บางท่านเรียกหุ้นแบบนี้ว่า NET-NET Stock อย่าเข้าใจผิดว่าซื้อเช้าขายสาย หรือซื้อสายขายบ่าย หรือถ้าเหลือความหวังเล็กๆน้อยเข้าสนามรบตอนเช้าแล้วขอตายตอนปิดตลาดนะครับ NET-NET Stock นี้ซื้อแล้วถือรอราคาปรับตัวขึ้น ใช้เวลาพอสมควรนะครับ ไม่เสี่ยงขนาดนั้น การลดความเสี่ยงของการลงทุนแบบนี้ใช้การวิเคราะห์งบดุล และกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นแบบนี้หลายๆบริษัท
สูตรของ NET-net Asset Value เป็นดังนี้ครับ
NET-net Asset Value = สินทรัพย์หมุนเวียน หนี้สินหมุนเวียน หนี้สินระยะยาว
จะเห็นว่า NET-net Asset Value คือเอาสินทรัพย์หมุนเวียนมาหักเอาหนี้สินทั้งสั้นและยาวออกให้หมด สังเกตุว่าเขาไม่เอาสินทรัพย์คงที่หรือ Fixed Assets มาคิดเลย ยังไม่พอนะครับ เราจะต้องซื้อหุ้นแบบนี้ในราคา 1/3 NET-net Asset Value อีกต่างหาก
ลำพังหาหุ้นที่ NET-net Asset Value ต่ำกว่าราคาหุ้นก็ยากอยู่แล้ว นี่ต้องหาหุ้นที่ต่ำกว่า NET-net Asset Value ถึงสามเท่าอีก ยิ่งไปกันใหญ่ ผมเคยหาตอนตลาดประมาณ 200 300 จุด เอาหุ้นที่กำลังซื้อขายได้ก็ยังหาไม่เจอเลยครับ ที่มีอยู่ก็กำลังจะไปไม่รอดแล้วครับ
เมื่อหาไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร มีลูกศิษย์ของอาจารย์เกรแฮมท่านหนึ่งคือ Walter Schlosse ได้ใช้หลักการ NET-net Asset Value ก่อนแต่หลังๆใช้ไม่ได้ เขาเลยใช้ สินทรัพย์ที่จับต้องได้ทั้งหมดหรือ Total tangible Assets หักด้วยหนี้สินระยะสั้นหรือ Current Liabilities มาหักลบกัน แล้วมองหาหุ้นที่ราคาต่ำกว่าค่าที่หาได้นั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาต่ำกว่าค่าที่หาได้ถึงสามเท่าครับ ซึ่งก็ใช้ได้ผลดี เพราะถ้าดูแล้ว(ตามความเห็นของผม) เราควรเอาสินทรัพย์ที่มีตัวตนทั้งหมดเช่นโรงงาน เครื่องจักที่ยังใช้งานได้ สินค้าคงเหลือ และลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้สูญเพราะเห็นอยู่ว่ามันมีอยู่จริง ส่วนหนี้สินระยะสั้นหรือ Current Liabilities ต้องตัดออกแน่ๆเพราะยังไงต้องจ่ายเจ้าหนี้ภายในหนึ่งปี หากไม่มีจ่ายเราไม่ควรไปยุ่งเพราะบริษัทก็คงไม่มีเหลือจ่ายผู้ถือหุ้นเหมือนกัน ส่วนหนี้สินระยะยาวนั้นเชื่อว่าหากบริษัทยังพอไปได้เจ้าหนี้ก็ยังคงยอมประนอมหนี้ให้ได้ ไม่น่าห่วงนักซึ่งเราก็เห็นกรณีอย่านี้มากมาย เช่นแปลงหนี้เป็นทุน ลดหนี้ ตัดดอก เป็นต้น
สำหรับตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้ดูกันนั้นเป็นตัวอย่างในอดีตทั้งนั้นครับ เพราะเพื่อไม่ให้เกิดการชี้นำ เป็นเพื่อการยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษาจริงๆ ผมขอยกกรณีหุ้น ATC ในอดีตที่เศรษฐกิจดีราคาสูงมาก แต่เมื่อเกิดวิกฤตราคาร่วงเอาร่วงเอา จนราคามาอยู่แถวๆ 3 5 บาท แต่ถ้าเราไปดูสินทรัพย์แล้วพบว่ามีมากเอาการ แต่หนี้สินก็ไม่น้อย แต่อย่าลืมว่า บริษัทนี้ตั้งมาได้ไม่นานเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆก็ยังคงมีสภาพดีอยู่ แถมบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจแบบเป็นรอบ ที่ราคา 3 5 บาทถือว่าต่ำมากๆ เอาจำนวนหุ้นคูณราคาแล้ว สร้างโรงงานขนาดนี้ไม่ได้แน่ พอราคาผ่านไปไม่นานประมาณ ปีสองปี ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นแบบไม่เคยให้เห็นเลขหลักเดียวอีกเลย ขณะนี้ราคาก็อยู่ 60 กว่าบาท(ขณะเขียนต้นฉบับ) ใครซื้อไว้แล้วใจแข็งถือมาจนทุกวันนี้รวยไม่รู้เรื่องครับ ผมเองรับสารภาพว่าซื้อแถว 3 5 บาทแต่จากหลักการก้นบุหรี่แล้วคาบไว้นานไม่ได้เลยคายเร็วไปหน่อยเลยอดรวยเลย และนี่คือจุดอ่อนของหลักการแบบนี้
อีกตัวอย่างหนึ่งค่อนข้างคลาสสิกมากครับ กรณีหุ้น APRINT เมื่อหลายปีก่อนราคาร่วงมาแถวๆ 7 10 กว่าบาท ในขณะที่Book Valueก็สูงกว่าราคามาก แถมบริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลตลอดไม่เคยขาดเลย ราคาหุ้นแม้จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมาหลายปี แต่เนื่องจากเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยหวือหวาจึงไม่ค่อยมีคนสนใจ ปรากฏว่าเวลาผ่านไปราคาก็สะท้อนมูลค่าจนได้ เป็นกรณีคลาสสิกอย่างไรหรือครับ ก็ตรงที่ว่าเป็นบริษัทที่ดีไม่ขาดทุนจ่ายปันผลตลอด มูลค่าตามบัญชีสูงกว่าราคาหุ้นมาก จัดว่าเป็นบริษัทที่ไม่วิกฤตเลยแต่ราคาวิกฤตมากจริงๆ ใครซื้อแล้วถือไว้สบายใจไม่ต้องระแวง ลุ้นปันผลอย่างเดียวครับ
ว่าไปแล้วถ้าขยันหาเราจะพบหุ้นก้นบุหรี่มากมายในช่วงวิกฤต และหากถือมาจนปัจจุบันเราก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ราคาปรับตัวขึ้นเอง แต่ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าหายากมากครับ ถึงมีก็ถือได้สั้นๆไม่ยาวจนราคาปรับตัวขึ้นหลายเท่าตัว และเราต้องระมัดระวังมากขึ้นเพราะมีนวัตกรรมใหม่ทางการเงินและการบัญชีมากมาย ตบแต่งบัญชีได้แนบเนียนมาก การปล่อยข่าวลือ การปั่นหุ้น สารพัดวิธีการจนผมเองก็งงไปหมด หากมีโอกาสจะเอามาคุยให้ฟังครับ
การลงทุนแบบก้นบุหรี่นี้ค่อนข้างใช้ได้ผลดีในยามเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นราคาตกมากเกินกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่ควรจะเป็น แต่จุดอ่อนของมันก็คือเราไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพของมัน ทำให้บางครั้งเราอาจพลาดท่าได้ หรือเราอาจขายออกเร็วเกินไปได้ หากเราตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ครับ อีกอย่างหนึ่งคือจิตใจต้องมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆแม้ซื้อแล้วราคาจะลงมาอีก เราต้องตรวจดูให้ชัดยิ่งขึ้นว่าเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่วิเคราะห์ไว้ราคาลงมาถือเป็นการลดราคาท้าวิกฤตครับ รีบตะครุบด่วน! _________________ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง แม้แต่การลงทุน |
|
Back to top |
|
 |
|
|