27th anniversary

January 26th, 2006

ชุมพล “คน ทำ มะ ดา” ตอนที่ 4

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

ชุมพล "คน ทำ มะ ดา"

ตอนที่ 4

คอลัมน์ ชีวิตหนึ่งซึ่งเรียบง่าย
โดย บินหลา สันกาลาคีรี

คนไม่มีมาด

หลายคนยังจำได้ วันแรกๆ ที่รถโฟล์กเต่าคันนั้นวิ่งเข้าในอาณาบริเวณปูนใหญ่เมื่อ
33 ปีที่แล้ว

นายช่างอาวุโสบางคน "เหล่" คนขับรถอย่างไม่ค่อยพอใจ

และทักทายไปในตัว

นั่นเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มวัยเบญจเพส
รูปร่างสันทัด หน้าตาเด๋อด๋าคนนี้มีดีอย่างไร

ถึงได้ "เหาะ" ข้ามหัว เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมบริหารของบริษัท

แว่วเสียงเรียกบางฉายาลอยลมมาแต่ไกล

"ตี๋เล็ก"

ใครก็ใครเถอะ ถูกเรียกเช่นนี้คงโกรธ แต่คนในรถโฟล์กเต่ายังยิ้มได้
ไม่ยักโกรธ

อย่างน้อยนายช่างพวกนี้ก็ไม่ใช่คนแรกที่เรียกเขาว่าตี๋เล็ก

และเชื่อได้ว่าไม่ใช่คนสุดท้าย

 

ในกาลต่อมา หลังจากขึ้นเป็นนัมเบอร์วันของปูนซิเมนต์ไทยแล้ว

วันหนึ่ง คุณชุมพลต๊อกๆ ไปที่บ้านถนนชิดลมของ
คุณสุนิสา แฮนค็อก น้องสาวคุณหญิงภรณี ล่ำซำ

เขาสวมเสื้อยืดตัวโปรด รองเท้าแตะคู่โปรด
ในมือมีเทปวิดีโอ

พนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูมองหน้า

"มาหาใคร"

"มาหาคุณสุนิสา"

"มีธุระอะไร"

"เอาวิดีโอเทปมาคืน"

คราวนี้ รปภ.หนุ่มมองจดเท้า

"อ้อ เอาวิดีโอมาส่งหรือ โน่น ไปเข้าทางประตูหลัง"

เขาชี้ให้คุณชุมพลรู้ว่าเด็กส่งม้วนวิดีโอควรจะใช้ประตูไหน
กว่า รปภ.จะรู้ว่าอาตี๋คนนี้เป็นใคร เจ้าของบ้านก็ได้หัวเราะไปหลายรอบ

วิธีอธิบาย

"อาตี๋"-"ตี๋เล็ก"

กับพนักงานรักษาความปลอดภัยบ้านคุณสุนิสาคนนั้น
เรื่องเล็กๆ แค่นี้ คุณชุมพลไม่จำเป็นต้องอธิบาย

แต่กับเหล่าผู้อาวุโสของเครือซิเมนต์ไทย
ที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันอีกนาน
คุณชุมพลอธิบายใช่แค่ฉายาตี๋เล็ก ความแตกต่างหลากหลายทำให้ทุกเรื่องถูกจับไปปรามาสไปเขม่นได้เสมอ

ด้วยสำเนียงพูดไทยที่แปร่งๆ ภาษาเขียนยิ่งใช้ไม่ค่อยถูก จะพูดจะเจรจาอะไรใช้ภาษาอังกฤษตลอด
มิหนำซ้ำชื่อย่อของชุมพล ณ ลำเลียง ในภาคภาษาอังกฤษ ยังเป็น ซี-เอ็น (CN) ซึ่งเมื่อพูดเร็วๆ
ก็คือ "เซียน" นั่นเอง

"พวกเราคงได้ดีแหละคราวนี้
มีเซียนมาอยู่แล้วนี่"

ถ้อยถาก ที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

 

รถโฟล์กเต่าใช้เสียงหัวเราะเยาะเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อน
มาถึงที่ทำงานแต่เช้า

ด้วยหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน สิ่งจัดการลำดับแรกคือ
ระบบบัญชี

คุณชุมพลส่องสายตาเล็ง "ฉายศักดิ์ แสง-ชูโต"

หัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ บริษัทน้ำมันเอสโซ่
คนนี้คือมือหนึ่ง จบจากญี่ปุ่นโดยตรง

คุณฉายศักดิ์เล่าให้ฟังภายหลัง

 

"เป็นเรื่องยากที่ผมจะลาออกจากเอสโซ่ไปอยู่ที่ใหม่ที่เงินเดือนน้อยกว่า

แต่คุณชุมพลตามตื๊อทุกรูปแบบ นัดคุยที่สปอร์ตคลับ
นัดคุยที่ห้องอาหารเทียร่า" มือหนึ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

"โก้มาก"

ใช่เพราะความโก้หรือเปล่า ที่ทำให้คุณฉายศักดิ์ยอมปลงใจด้วย

จะใช่หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่รออยู่ ปูนซิเมนต์ไทยไม่ใช่ความโก้
แต่เป็นงานที่หนัก-หนักมาก

 

"เราไม่เคยเห็นตะวันตกดินเลย
คุณชุมพลทำงานหนักมาก

กว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืดทุ่มสองทุ่ม
บางวันก็ติดรถผมกลับ"

คุณฉายศักดิ์หวนถึงความหลัง

 

 

ถ้าถามว่าผลของการทำงานหนักเป็นอย่างไร

ผลคือสามารถเปลี่ยนระบบบัญชีดั้งเดิมที่ใช้มานานถึง
25 ปี

เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้ภายในปีเดียว!!

 

บอกแล้วว่าสำหรับเพื่อนร่วมงานคนเงียบๆ แบบคุณชุมพลยินดีอธิบาย

ว่าเขาคือใคร เข้าร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ได้อย่างไร
เป็นการอธิบายแบบชุมพล อธิบายด้วยการกระทำ

เสียงหัวเราะเยาะเลือนหาย หน้าตาของตี๋เล็กก็ดูน่ารัก
ไม่เด๋อด๋าเท่าไรแล้วในตอนนี้

 

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2549
ปีที่ 29 ฉบับที่ 3761 (2961)

January 19th, 2006

ชุมพล “คน ทำ มะ ดา” ตอนที่ 3

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

ชุมพล "คน
ทำ มะ ดา"
ตอนที่ 3

คอลัมน์ ชีวิตหนึ่งซึ่งเรียบง่าย
โดย บินหลา สันกาลาคีรี

รุก : one way ticket

การเอ่ยคำว่า "รุก" ในสถานการณ์ต้มยำกุ้งเป็นพิษ
ล่อแหลมต่อการถูกกล่าวหาว่าเพ้อฝัน องค์กรธุรกิจของไทยตระหนักกับคำว่า "ถูกรุก"
และ "จนกลางกระดาน" มากกว่า

หลายรายที่พกความหวังและหัวใจวิงวอน บินไปเจรจาหนี้เมืองนอก
กลับถูกปล่อยให้นั่งรอหน้าห้องอย่างไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีโอกาสได้พบแม้แต่โอเวอร์โค้ตของเจ้าหนี้
อย่าว่าถึงความเห็นใจ แม้เพียงความเข้าใจ นายธนาคารต่างชาติก็ไม่เปิดโอกาสให้

หากแต่สำหรับธุรกิจแล้ว ในบางครั้งถ้าไม่เลือกเป็นฝ่ายรุก
ท่านจะถูกรุก

ถ้าไม่รุก ไฉนจะชดเชยรายได้ที่วูบหาย

ยิ่งกว่านั้น การรุกยังก่อเกิดกลิ่นอายพิเศษชนิดหนึ่ง
เป็นสัมผัสที่ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงยิ่ง โดยสำหรับองค์กรมีแต่ผู้นำที่ถือธงเดินหน้าเท่านั้นที่รักษาน้ำใจไพร่พลในยามระส่ำระสายได้

การรุกจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะรุกเจ้าหนี้
จัดเป็นศิลปะที่ต้องฝึกปรือ

ลูกหนี้อย่างเครือซิเมนต์ไทยก็บินไปเมืองนอกอย่างลูกหนี้รายอื่น
ต่างกันคือไม่ได้ไปมือเปล่า แต่พกเงินไปใช้หนี้จำนวนหนึ่ง เมื่อมีเงินไป ประตูห้องก็เปิด
เมื่อนั้นปาก หัวใจ และความจริงก็ได้มีโอกาสทำงาน

การรุกอีกด้านคือ ข้อมูลข่าวสาร ตรงข้ามกับลูกหนี้หลายรายที่ปกปิด
โยกย้าย ขุดหลุมฝังบัญชีสีแดงกันอุตลุด คุณชุมพลสั่งให้ธุรกิจในเครือซิเมนต์ไทยปฏิบัติตรงกันข้าม
เปิดเผยข้อมูลและสถานะของบริษัทโปร่งใส วิธีนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้ได้เท่านั้น
ยังสร้างพลังฮึดให้พนักงาน

มาถึงการรุกขั้นสำคัญ รุกอย่างพลรบพลราบดาบสองมือ
คือฝ่ายขายลงถึงพื้นที่ ปัญหาการขายภายในประเทศคือต้นทุนเพิ่มทำให้ต้องขึ้นราคา
แต่เครือซิเมนต์ไทยก็ใช่ว่าไม่มีคู่แข่งที่กำลังรบอุตลุดเพื่อหนีตายเช่นกัน หากผลีผลามพลั้งพลาด
โอกาสจะเสียลูกค้าก็มีสูง

"ผมคิดว่าเราควรพิจารณาปรับราคาสินค้าเป็น
2 ครั้ง ห่างกัน 1-2 เดือน แทนที่จะปรับครั้งเดียวเพื่อเช็กสถานการณ์ตลาด"
คือกลยุทธ์ในแฟ้มประชุมของเครือซิเมนต์ไทย

สำหรับการขายในต่างประเทศซึ่งจะได้เงินตราสกุลแข็ง
สำคัญอย่างยิ่งในภาวะที่เงินบาทโอนเอน พนักงานที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ถูกส่งไปต่างประเทศทันที
แต่การเดินทางย่อมมีค่าใช้จ่าย คาถาที่กำกับติดตัว ท่องสามเวลาหลังอาหารก็คือ "จำไว้
หน้าที่ของคุณ ไปแล้วต้องขายให้ได้"

จดจำเด็ดขาดและมีอารมณ์ขันยิ่งกว่าคาถามัดใจ
คือมอบตั๋วเดินทางขาไปเที่ยวเดียวเมื่อทำยอดขายได้ มีเงินสดติดกระเป๋า ตั๋วเดินทางเที่ยวกลับจึงถูกส่งตามไปถึงมือวีรชนตราช้าง

นิทานจากยอดเขา

มีแต่ผู้คนที่ฟันฝ่าวิกฤตมาด้วยกันเท่านั้น
ที่จะเห็นตัวตนแท้จริงของกัน

การฟันฝ่าวิกฤตไม่ต่างอะไรกับการปีนเขา ยากลำบากแต่เมื่อถึงยอดเขา
สิ่งที่ได้รับก็วิเศษยากจะบรรยาย อย่างมากก็นั่งลงหัวเราะให้กัน

การประกาศเกษียณของคุณชุมพลหลังจากนำพาเครือซิเมนต์ไทยมาถึงจุดของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เหมือนมือกระบี่ที่พอใจกับภารกิจลุล่วง

โดยอุปนิสัยคุณชุมพลเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่น
ไม่ยุ่งกับใคร และไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วย ไม่ชอบการสรรเสริญเยินยอ แต่นั่นแหละใครเล่าจะยอมให้นายดีๆ
ใช้ใบลาออกปักแทนธงชัยแล้วเดินลงจากยอดเขาไปเดียวดาย

ทั้งหมดคือที่มา ที่ทำให้มีหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549
ปีที่ 29 ฉบับที่ 3759 (2959)

January 12th, 2006

ชุมพล คน ทำ มะ ดา ตอนที่ 2

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

ชุมพล "คน ทำ
มะ ดา" ตอนที่ 2

คอลัมน์ ชีวิตหนึ่งซึ่งเรียบง่าย
โดย บินหลา สันกาลาคีรี

เพื่อน

เป็นความจริงที่ว่า บรรดานายธนาคารขี้ผวาเพิ่มปัญหาโถมทับเครือซิเมนต์ไทย…แต่ขณะนี้ที่กำลังอยู่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์
ก็เป็นนายธนาคาร คุณบรรยงค์ ล่ำซำ รุ่นใหญ่แห่งกสิกรไทย

โดยปกติทั้งคุณชุมพลและคุณบรรยงค์ก็ต่างเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว
ทว่าคำพูดน้อยๆ นั้นมีความหมายยิ่ง

"ได้" เสียงจากปลายสายหนักแน่น

ฟังดูเหมือนง่ายดายยิ่ง

ฟังดูเหมือนช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเพื่อนเป็นนายแบงก์
แต่ในความเป็นจริง คำพูดสั้นๆ นั้นมีที่มายาวไกล

ย้อนกลับไปใน พ.ศ.2512 เมื่อธนาคารกสิกรไทยกับธนาคารไดอิชิร่วมตั้งบริษัททิสโก้ขึ้นมา
คุณชุมพลวัย 22 เป็นหนึ่งในทีมบริษัทใหม่

"ครั้งแรกที่ได้รับคำแนะนำให้รู้จัก
ผมนึกในใจว่าทำไมทิสโก้ถึงจ้างเด็กมาทำงาน" คุณบรรยงค์เปิดใจเล่าความหลัง
"เพราะตอนนั้นหน้าตาคุณชุมพลดูเด็กเหลือเกิน นึกว่าเพิ่งจบมัธยมมาใหม่ๆ"

"หลังจากได้รู้จักและพูดคุยคบค้าด้วย
ผมประทับใจในบุคลิกและลักษณะของคุณชุมพล ตลอดจนความรู้ความสามารถ ผมเห็นมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ"

ในความเป็นจริงของ 30 ปีให้หลังที่มาพร้อมกับคำพูดสั้นๆ
"ได้" ของคุณบรรยงค์ นั้นเหยียดยาวยิ่งนัก คือความนับถือห่วงใยซึ่งกันและกัน
คือความมั่นใจ เชื่อมั่น

บางทีสิ่งที่ดีที่สุดของการมีเพื่อน อาจไม่ได้อยู่ที่เพื่อน
หากแต่อยู่ที่คุณ อยู่ที่ความสม่ำเสมอของคุณ อยู่ที่คำถามว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณได้ทำอย่างไรกับเพื่อนและมิตรภาพ

รับ : รับความจริง

ภายในห้องกรรมการผู้จัดการใหญ่บนชั้น 3 การถอนใจเฮือกของคุณอวิรุทธิ์อาจเปรียบได้กับโอกาสหายใจอีกเฮือกหนึ่งของเครือซิเมนต์ไทย

แต่เจ้าของห้องรู้ดีว่า ลูกโซ่หายนะที่เกี่ยวร้อยต่อเนื่องเป็นเส้นยาว
ขณะนี้ยังไม่เห็นสุดปลายสาย โทรศัพท์ครั้งเดียวนั้นแม้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์

โดยปกติการประชุมผู้บริหารระดับสูงของเครือซิเมนต์ไทย
(ที่เรียกกันว่าคณะจัดการนั้น) จะมีขึ้นเมื่อตรวจสอบแล้วว่าอยู่เมืองไทยกันพร้อมหน้า
แต่วาระนี้ไม่รอครบองค์ประชุม ทุกเซลล์สมองที่มีตราช้างประทับ ถูก กจญ.เรียกหาเพื่อจะบีบ
จะคั้น จะกลั่น "ช้างเผือก" ออกมาให้ได้

คุณชุมพลใช้คำว่า "นาทีนั้นเราเหมือนเรือกลางทะเลที่ถูกคลื่นลมมรสุมกระหน่ำ
มองไม่เห็นฝั่งเลย" ทั้งปัจจัยภายนอกคือค่าเงินที่ผันผวนไม่นิ่ง ยิ่งทำให้ยากจะประเมิน

"เราระดมความคิด ปรึกษาปรับแผนกันทั้งวันทั้งคืน
เดินหน้าทำตามแผนอย่างรวดเร็ว ลองผิดลองถูกแก้ไขไปด้วยกัน และทำทุกอย่างที่จะให้ธุรกิจอยู่รอดและเจ็บตัวน้อยที่สุด"

เป้าหมายไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่จะพลิกกำไรในชั่วคืน
แต่คือความเป็นจริง "เจ็บตัวน้อยที่สุด"

และติดตามมาด้วยมาตรการที่เป็นหัวใจของการแก้ปัญหา-มาตรการตั้งรับ

"ตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร
?"

คุณชุมพลถามต่อที่ประชุม ทั้งยกคำถามเดียวกันนี้ให้บริษัทที่ปรึกษานำไปประเมินความเป็นจริง

"เรามีความสามารถแค่ไหน ทำอะไรที่ถนัดสุด
มีภาระหน้าที่อะไร ธุรกิจใดมีอนาคต ธุรกิจใดไม่เหมาะสมกับเรา" ล้วนเป็นโจทย์ที่มีค่า
ไม่ว่าต่อบุคคลหรือองค์กรธุรกิจก็ตาม การพบความผิดพลาดของตัวเองนับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
แต่ที่ใหญ่กว่าคือยอมรับสิ่งค้นเจอแล้วแก้ไขแม้จะเจ็บปวด (และเสียหน้า) มาตรการตั้งรับสางทีละปมละเปลาะออกมา
เป็นเหมือนมีดหมอที่เลาะไปตามร่องพังผืด เฉือนเนื้อร้ายทิ้งก่อนที่จะลุกลามมากกว่าที่เป็น

คำว่า "ลด ละ เลิก" ไม่เพียงใช้กับการต่อต้านอบายมุขเท่านั้น
แม้แต่ไขมันส่วนเกินทางธุรกิจ บริษัทลูกบริษัทหลานที่เบียดกันแน่นเป็นลางสาดแย่งขั้ว
ก็ถูกลด ละ เลิกไปเช่นกัน

จะพูดว่าเสียหน้าก็ได้ ที่ปูนใหญ่จำต้องประกาศยกเลิกการสร้างอาคารสำนักงานใหญ่หลังใหม่แสนหรู
ทั้งที่ได้เริ่มงานบางส่วนไปแล้ว ที่ดินผืนใหญ่ถูกปรับใช้เป็นสนามฟุตบอลแทน แต่ชาวปูนมองโลกในแง่ดีกว่านั้นมาก
เขาเห็นว่าถึงจะเป็นสนามฟุตบอลแต่นี่คือสนามที่ไม่มีวันทรุด คือสนามแข็งแรงที่สุดในโลก

ด้วยว่ามีเสาเข็มกว่า 200 ต้นขนัดอยู่ใต้ผิวธรณี

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2549
ปีที่ 29 ฉบับที่ 3757 (2957)

January 12th, 2006

ชุมพล คน ทำ มะ ดา ตอนที่ 1

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

ชุมพล "คน
ทำ มะ ดา" ตอนที่ 1

คอลัมน์ ชีวิตหนึ่งซึ่งเรียบง่าย
โดย บินหลา สันกาลาคีรี

        "ชีวิตหนึ่งซึ่งเรียบง่าย" เป็นบันทึก
"คนทำมะดาที่ไม่ทำมะดา" อย่าง ชุมพล ณ ลำเลียง กจญ.ปูนซิเมนต์ไทย หนังสือเล่มนี้ที่ได้ถูกลิขิตขึ้นเพื่อแจกวันอำลาอาลัยกจญ.คนทำมะดาคนนี้
ซึ่ง เรียบเรียงโดย บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียนซีไรต์ 2548 "ประชาชาติธุรกิจ"
เห็นว่ารายละเอียดในเล่มมีแง่มุมที่ซ่อนเคล็ดลับที่ไม่ลับชวนให้อยากสื่อถึงผู้ที่ไม่ได้รับหนังสือเล่มนี้มีโอกาสได้รู้จักคนทำมะดาคนนี้
โดยได้รับอนุญาตจากทีมงานประชาสัมพันธ์ปูนซิเมนต์ไทยเพื่อเผยแพร่เนื้อหา ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่ฉบับประจำวันที่
5 มกราคม 2549 เป็นต้นไป

ที่ซึ่งมีแต่คนไม่ธรรมดา

ตำนานกว่า 90 ปีของปูนใหญ่ ว่ากันว่าคนที่ก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งหรือ
"นายห้าง" ของที่นี่จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ มีความโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่ง

เรียกง่ายๆ ว่าต้องเป็นคน "ไม่ธรรมดา"

คุณจุฬา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อดีตกรรมการ ผู้จัดการบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย
ผู้ผ่านการร่วมงานกับ "นายห้าง" รุ่นแรกๆ หลายคนเคยเล่าไว้ว่า

นายห้างสูง (มิสเตอร์คาร์สเตน ฟรีส เยสเปอร์เซ่น
ชาวเดนมาร์ก) โดดเด่นที่ความเข้มงวด

นายห้างเหม หรือ มิสเตอร์เฮมมิงเซ่น เป็นยอดประนีประนอม

คุณบุญมา วงษ์สวรรค์ นายห้างชาวไทยคนแรก
คือผู้ที่ถือกฎอย่างเคร่งครัด

คุณสมหมาย ฮุนตระกูล ผู้ต่อมาเป็น รมว. คลังที่ดีและเก่งที่สุดของประเทศไทยคนหนึ่ง
ไม่ธรรมดาที่ความเป็นนักธุรกิจการค้า

คุณจรัส ชูโต คือนักบริหารที่สวมวิญญาณสมัยใหม่

คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้ใส่ใจในเรื่อง
"คน" และสร้างตำนานการเพิ่มผลผลิตที่ต่อเนื่องและยาวนาน

แต่ละท่านล้วนไม่ธรรมดา

จำเนียรกาลจวบถึงชุมพล ณ ลำเลียง…นายของเรา

ไม่ยากที่จะพูดว่าคุณชุมพลก็ไม่ใช่คนธรรมดา

กรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบปี
ฝ่าฟันนำพาเครือบริษัทซึ่งมีหนี้เกือบ 5,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ กลับมามีกำไร มีปันผลให้ผู้ถือหุ้น
ย่อมไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ขณะเดียวกัน คำคำนี้กลับขัดแย้งอย่างหนักกับความเป็นคุณชุมพลในแต่ละวัน
แต่ละนาที

พูดได้ว่าคนภายนอก "รู้จัก" นายของเราน้อยมาก
คนภายในอย่างเราก็ไม่แน่ว่าจะ "รู้ใจ"

เมื่อหนังสือเล่มนี้ถึงมือของท่าน บรรณาธิการและคณะผู้จัดทำอาจตกงานไปแล้ว
เพราะคุณชุมพลไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับท่าน ไม่ชอบการยกยอปอปั้น ไม่ชอบเป็นข่าว
ไม่ชอบ ฯลฯ รวมทั้งหวงความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ แต่หลังจากได้ร่วมระดมสมอง (ที่พวกเรายังพอมีอยู่)
แล้วก็ได้ตกลงกันว่าจะต้องเดินหน้าตามแผน ด้วยข้อสรุปว่า บุคคลท่านนี้สมควรเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับการยกย่องของเครือซิเมนต์ไทย

ไม่เพียงแต่ในฐานะของคนที่ไม่ธรรมดา

ที่มากกว่านั้นคือ ในฐานะของคนที่แสนจะ "ทำมะดา"

กัปตันไททานิก

ต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2540

เป็นธรรมดาและบ่อยครั้ง ที่ คุณอวิรุทธิ์
วงศ์พุทธพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการเงิน จะเข้าพบเพื่อหารือผู้บริหารสูงสุดของเขา
ที่ห้องทำงานชั้น 3 เพียงแต่ครั้งนี้ไม่น่าจะธรรมดานัก ด้วยหน้าตาของคุณอวิรุทธิ์เป็นเช่นนี้

ทั้งเครียดและกังวลใจ

เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้น

"กอจอญอครับ" ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่
เสียงเครือเจือวิตก

เป็นธรรมเนียมที่นี่ที่จะเรียกกรรมการผู้จัดการใหญ่ว่ากอจอญอ
หรือในภาษาเขียนก็เป็น "กจญ." ไม่นิยมเรียก "boss" อย่างที่อื่นเขา

"สิ้นเดือนนี้เราไม่มีเงินพอจ่ายเงินเดือนให้พนักงานครับ"

ถ้าอีก 80,000 หูของคนเครือซิเมนต์ไทยมาได้ยินประโยคนี้พร้อมกัน
ทุกหู ทุกหัวใจคงหล่นวูบโดยมิได้นัดหมาย นอกจากพนักงานกว่า 40,000 ชีวิตแล้ว เครือซิเมนต์ไทยหรือปูนใหญ่ยังพ่วงแบกบริษัทในเครือไว้อีกกว่า
200 บริษัท มิพักต้องพูดว่าผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มิพักต้องพูดถึงหนี้สินและตัวเลขสีแดงที่
กำลังจะบ่าเข้ามาไม่ขาดสาย เฉพาะปัญหาเงินเดือนพนักงานซึ่งเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำ
แข็ง ก็มหึมาพอจะล่มนาวาลำนี้ได้แล้ว

เงินเดือนพนักงาน…

ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่เหลือบตาดูเจ้านายของเขา
จำได้ว่า กจญ.ไม่เคยเป็น "พนักงาน" เครือซิเมนต์ไทยด้วยซ้ำ เมื่อ 25
ปีที่แล้ว ตำแหน่งแรกที่ชายร่างเล็กผู้นี้ได้รับทันทีที่เข้าสู่ชายคาบริษัทคือหนึ่งในทีมบริหาร
เขามาในฐานะได้รับความคาดหวังว่า วันหนึ่งจะขึ้นเป็นกัปตันใหญ่

เมื่อ 25 ปีที่แล้ว กจญ.เคยนึกไหมว่า วันนี้นาวาจะจมสู่ก้นสมุทรพร้อมกับธงชื่อของเขาบนโต๊ะทำงาน
กจญ.ที่ชื่อ "ชุมพล ณ ลำเลียง" สะอาดและเปล่าโล่งเช่นทุกวัน ไม่มีกระดาษแม้สักแผ่น

ถ้าเช่นนั้นใบลาออกก็คงยังไม่ได้เขียน

ไม่ใช่ไททานิก

 

ต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2545

เสียงปรบมือกระหึ่มและยาวนาน

ปรบมือให้กับเครือซิเมนต์ไทย

นาทีนั้น ไม่มีใครรู้ว่าในใจของชุมพล ณ ลำเลียง
คิดอย่างไร

ใช่คิดถึงเสียงหวั่นวิตก ในวันเดียวกันนี้เมื่อ
5 ปีที่แล้วหรือไม่ ?

สิ่งที่ผ่านมาไม่ง่ายกับการฝ่าฟันแน่ๆ หากตั้งแต่เมื่อเส้นกราฟราคาหุ้นและผลกำไรของปูนใหญ่ค่อยๆ
โงองศาขึ้นมั่นคงอีกครั้ง สปอตไลต์ทุกดวงก็ฉายจับร่างของเขา ทั้งสื่อนานาชาติหลายสาขา
โดยเฉพาะใน พ.ศ.2547 ที่มีรายงานด้วยความภาคภูมิใจว่า "เป็นปีที่มีผลประกอบการสูงสุดนับแต่
ก่อตั้งมา"

มิพักพูดถึงในฐานะบรรษัทภิบาล ผู้บริหารแห่งปี
และเจ้าของรางวัล Deming Prize จากประเทศญี่ปุ่นถึง 3 ปีซ้อน

ถ้าจะถามถึงเหตุผลที่ทำให้ผลลัพธ์ของเครือ
ซิเมนต์ไทยไม่เป็นเช่นไททานิก รายละเอียดคงนับเนื่องเป็นพันหน้า และจะเป็นตำราบริหารธุรกิจเล่มสำคัญ
ถ้าถามกับคุณชุมพลโดยตรง คำตอบก็คงเป็นอย่างที่เขาเคยตอบแล้วหลายครั้ง

"เราทำงานเป็นทีม เครือซิเมนต์ไทยเป็นองค์กรใหญ่เกินกว่าที่คนคนเดียวจะทำอะไรได้เองหมด"

หากสิ่งหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดที่สุด ความแตกต่างระหว่างเรือยักษ์ลำนั้นกับชุมพล

ไททานิกไม่มีเพื่อน

แต่ชุมพล ณ ลำเลียง มีเพื่อน

สงครามเฉพาะหน้า

บนโต๊ะไม่มีใบลาออก

ไม่มีกัปตันเรือคนไหนโจนเอาตัวรอด ในห้วงแห่งความเป็นตาย

นาทีที่ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่รายงานจบ คุณชุมพลถามโดยไม่เสียเวลาคิดทวนหรือลังเล

"เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ ?"

พร้อมกับตัวเลขที่ได้รับ เขายกหูโทรศัพท์

การโทร.ครั้งนั้นเป็นจุดผกผันสำคัญห้วงหนึ่งของประวัติศาสตร์เครือซิเมนต์ไทย

นับแต่การก่อตั้งบริษัทเมื่อ 92 ปีที่แล้ว
(พ.ศ. 2456) วิกฤตหน่วงหนักของเครือซิเมนต์ไทยเกิดขึ้น 2 ครั้งด้วยกัน หนแรกคือช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่
2 เมื่อเครื่องบินของสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดถล่มโรงงานจนสถานีแปลงไฟและหม้อเผาปูนพังพินาศ
แม้จะมีการอธิบายว่า แท้จริงต้องการหย่อนใส่สถานีรถไฟบางซื่อแต่พลาดเป้า ก็ยากจะเชื่อเช่นนั้น
ด้วยเป็นที่รู้กันว่าทหารญี่ปุ่นใช้ปูนของเครือ ซิเมนต์ไทยเป็นยุทธภัณฑ์สำคัญ ผลพวงของระเบิดทำให้บริษัทเกือบต้องเลิกกิจการ

ราวๆ 50 ปีต่อมา วิกฤตการณ์ที่สองก็เกิดขึ้น
แม้ไม่ใช่สงครามโลก แต่ผลพวงของมันก็แผ่กระทบไปทั้งโลกในนามของ "Tom Yum Kung
Disease"

ในช่วงทศวรรษ 2530-39 เครือซิเมนต์ไทยสยายกิจการอย่างเริงร่า
กินพื้นที่ถึงธุรกิจประเภทที่ไม่เคยมีความชำนาญ ทรัพยากรทุกด้าน ทั้งเทคโนโลยี
เงิน และกำลังคน ขยายตัวเต็มที่ อาคารสำนักงานใหญ่หลังที่ 3 เตรียมผุดรองรับความใหญ่โตที่ไม่อาจหยุดยั้ง
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดยั้ง พร้อมกับประกาศลดค่าเงินบาทของรัฐบาลในปี 2540

จากหนี้สินต่างประเทศกว่าแสนล้านบาท วันรุ่งขึ้นปูนใหญ่แบกหนี้ทันทีกว่าสองแสนล้าน

บรรดานายธนาคารขี้ผวา ระงมเรียกหนี้คืนก่อนกำหนด

ราคาหุ้น (บลูชิป) ถล่มติดพื้น จากพันกว่าบาท
เหลือร้อยกว่าบาท

ตัวแทนจำหน่ายหลายร้อยรายทั่วประเทศต่างเดือดร้อนด้วยพิษเศรษฐกิจ

การยกหูโทรศัพท์เพียงครั้งเดียวสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงหรือ
?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2549
ปีที่ 29 ฉบับที่ 3755(2955)

December 22nd, 2005

wikipedia.org

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

ถ้ามีคนพูดถึงสารานุกรมออนไลน์ที่มีข้อมูลทันเหตุการณ์และครอบคลุมหัวข้อต่างๆ มากที่สุดในตอนนี้ น่าจะมีชื่อของ วิกิพีเดีย รวมอยู่ด้วย เพราะทุกวันนี้ วิกิพีเดีย มีข้อมูลให้สืบค้นราวๆ เจ็ดแสนหัวข้อภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2001 ที่เริ่มก่อตั้ง แถมยังได้ชื่อว่าเป้นข้อมูลที่ทันสมัยมากที่สุด เพราะวิกิพีเดียเป็ยฐานข้อมูลแบบเปิด (โอเพ่นซอร์ส) ที่อนุญาติให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้าไปอัพเดทข้อมูลได้ด้วยตัวเอง และถ้าหัวข้อไหนยังมีข้อมูลไม่ละเอียดพอก็สามารถเติมเนื้อหาลงไปได้ทันที

จิมมี่ เวลส์ ผู้ก่อตั้งวิกิพีเดีย ขึ้นมาเป็นคนแรก ใฝ่ฝันจะให้วิกิพีเดียเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางความรู้ที่ใหญ่ที่สุด สะดวกที่สุด และเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพื่อคนทั่วโลกจะได้เข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน ช่วงแรกมีคนวิจารณ์กันหนาหูว่า เขาออกจะฝันไปสักหน่อยที่ (ดัน) คิดว่าคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปจะเข้ามาอัพเดทข้อมูลโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่จำนวนข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันของวิกิพีเดีย คงพอจะใช้เป็นตัวยืนยันได้ว่า พลเมืองของโลกกำลังแบ่งปันความรู้ให้กันและกันเท่าที่จะทำได้ ส่วนเรื่องที่มีคนสงสัยว่าข้อมูลในวิกิพีเดีย มีความน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน รวมไปถึงคำถามว่าข้อมูลในแต่ละหัวข้อที่มีคนอัพเดท จะมีความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาแทรกด้วยหรือไม่ จิมมี่ให้คำตอบว่า ถ้าข้อมูลนั้นมีอคติหรือไม่ตรงกับความจริง ก็จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน้รายอื่นๆ เข้ามาแก้ไขข้อมูลให้ ซึ่งหมายความว่าวิกิพีเดียอาจเป็นทางเลือกใหม่ที่จะกระตุ้นให้คนทั่วโลกหมั่นตรวจสอบองค์ความรู้ต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่มีใครชี้นำว่าใครถูกหรือใครผิดเสมอไป

ภายใต้ระบบร่วมด้วยช่วยกันแบบนี้ บางทีวิกิพีเดีย (อาจ) เป็นชุมชนออนไลน์แบบใหม่ที่จะช่วยให้สังคมในโลกจริงใกล้เคียงกับสังคมในอุดมคติมากขึ้นก็เป็นได้

website
ภาษาไทย http://th.wikipedia.org
ภาษาอังกฤษ http://www.wikipedia.org

a day 64
ที่มา นิตยสาร a day
ฉบับที่ 64 เดือนธันวาคม 2548

December 15th, 2005

ดี - ร้าย แล้วแต่ใครจะมอง

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

หญิงสาวคนหนึ่ง
หงุดหงิดใจกับเหตการณ์ที่ทำงาน ที่เกิดขึ้นทุกวัน
เนื่องจากในออฟฟิศของเธอนั้น
มีแต่คนที่ชอบให้ร้ายกันและกันเสมอ
บ้างก็จับกลุ่มนินทา ผู้อื่น
บ้างก็ชอบจับกลุ่มบ่นระบายเรื่องไม่พอใจและปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำ งาน
หัวหน้าที่ชอบดุด่า เพื่อแสดงอำนาจ
ลูกน้อง ที่แอบ
ว่า เจ้านายลับ หลัง

………………………………… ……

หญิงสาวจึงมาทำงานทุกวันด้วยความเบื่อหน่าย
และอยากจะลาออกไปให้พ้นๆๆ จากบริษัทแห่งนี้
ทุกๆวันเธอจึงเฝ้าแต่มองหาที่ทำงานใหม่
ที่เธอคิดว่า สังคมในการทำงานจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

วันหนึ่ง หญิงสาว ไปท่องเที่ยวที่วัด ๆ
หนึ่ง
มี สุนัข 2 ตัว กำลังยืน ประจันหน้า และพร้อมที่จะเข้ากัดกัน
ต่างฝ่าย ต่างก็ ขู่ คำราม เสียงดัง เป็นที่หนวกหู แก่ผู้คน

ด้วยความ รำคาญ หญิงสาว จึงเข้าไปไล่
สุนัข เมื่อ ถูกไล่ ก็ วื่งหนีไปด้วยความกลัว
แต่ไม่ช้า สุนัข ทั้งสอง ก็ กลับมา คำราม ขู่กัน ในพื้นที่เดิม อีก
หญิงสาว ก็เดินเข้าไปไล่มันอีก มันก็ วิ่งหนี และกลับมา แบบเดิม อีก
หญิงสาว ไล่สุนัข จนเหนื่อย รู้สึกรำคาญ กับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก
เธอเริ่มคิดว่า ทำไม วัดนี้ ไม่มีคนมาคอยดูแล
คอยไล่สุนัข เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่มาวัด
แถมสุนัขจรจัดก็มีมาก สร้างความสกปรก และความรำคาญให้แก่ผู้คน

………………..
……………

มีพระเดินผ่านมา เธฮจึงเอ่ยปาก ถาม ขึ้นว่า

” หลวงพี่ ไม่รำคาญเสียงสุนัข บ้างเลยหรือ
มันเห่าเสียง ดัง ทำไมไม่ไล่มันไปเสีย ”

พระหนุ่มจึงตอบว่า
” เราไม่เห็นได้ยินเสียงเห่าของสุนัขเลย
โยม จะให้รำคาญได้อย่างไร”

หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
” เอ๊ะ หลวง พี่ เสียงหมาเห่าออกจะดังขนาดนี้
ยังบอกว่าไม่ได้ยิน เหรอ”

………………………

” หูอาตมาไม่ได้หนวก เสียงสุนัขนะได้ยิน อยู่
แต่อาตมาได้ยินว่ามันทะเลาะกัน
เดี๋ยวทะเลาะกันเหนื่อย มันก็เลิกไปเอง
ไม่เห็นได้ยินเสียงเห่า ว่า น่ารำคาญ อย่างที่โยม บอก

ว่าแต่โยม เถอะ ไปทะเลาะกับสุนัข 2 ตัว นั้น ด้วย เหรอ
ถึงได้ หงุดหงิดเดือดเนื้อร้อนใจ ไปกับมัน ด้วย ”

………….. ……. …………

หากเรามอง ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความทุกข์
แต่เป็นเพียง เรื่อง โชคร้าย ที่ผ่านเข้ามาในบางจังหวะของชีวิต
เราก็จะไม่ทุกข์ และจะมีกำลังใจที่จะต่อสู้ กับเหตุการณ์โชคร้ายที่จะเกิดขึ้น ได้

……เราปฎิเสธไม่ได้ว่า
สิ่งที่ทำให้เรา ร้อนรนจิตใจ
ถ้าเรา เพียงแค่มองสิ่งเหล่านั้น ด้วยการมีเมตตา
เราจะสามารถรู้สึกสงบ และเป็นสุข
ได้

การมีชีวิตอยู่ในสังคม ทุกวันนี้
เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
การฝึกมองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ด้วยความเมตตา
จะเป็นเกราะป้องกันจิตใจเรา ให้อยู่ห่างไกลจากความ ทุกข์
และจะรู้สึกเบาสบาย เป็นสุขได้ทุกเวลา

December 2nd, 2005

ทัศนคติ

Posted by Administrator in อ่านเจอมาชอบ

“หลายครั้งในชีวิต…ไม่ใช่ใครอื่นหรือเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมหรอกที่ทำให้ชีวิตคุณดูเหมือนไร้ทางออก หากเป็นทัศนคติของคุณเองต่างหากที่เป็นตัวการใหญ่”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในประเทศกานาครับ

วันหนึ่งในวิชาภาษาอังกฤษ ครูยกกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ขึ้นมา

กระดาษแผ่นนี้มีจุดสีดำเล็กๆ อยู่จุดหนึ่งที่มุมล่างด้านขวาของกระดาษ

“เด็กๆ พวกเธอมองเห็นอะไรบ้าง” ครูชี้ไปที่กระดาษ

“จุดสีดำ” พวกเด็กตะโกนตอบพร้อมกัน

คุณครูยิ้ม นิ่งไปสักครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถาม

“ทำไมไม่มีใครสักคนเห็นสีขาวของกระดาษ” เธอตั้งคำถาม “พวกเธอมองเห็นแต่เพียงจุดสีดำเล็กๆ”

แล้วคุณครูก็สอนมุมมองใหม่ให้กับนักเรียน

“นี่คือ สิ่งที่แย่มากของธรรมชาติมนุษย์ ไม่มีใครมองเห็นด้านดีและภาพในมุมกว้างของสิ่งต่างๆ เลย ขอให้พวกเธออย่าใช้ชีวิตที่เหลือกับทัศนคติแบบนี้เป็นอันขาด”

นี่คือ บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งของเด็กชายคนนี้

เป็นบทเรียนจาก “กระดาษสีขาว” และ “จุดสีดำ”

มันดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันทำให้มุมมองของเด็กชายคนหนึ่งต่อโลกใบเดิมเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง

ครับ เด็กชายคนนี้ชื่อ “โคฟี่ อานัน”
เลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบัน

ที่มา
มติชน