หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Tibular
Joined: พุธ เม.ย. 18, 2007 10:20 pm
531
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Tibular
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: อวสานของตลาดทุน?/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จริงๆตอนนี้สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ทุกอย่างโอเคอยู่แล้วในทางเศรษฐกิจ ตลาดทุน-ตลาดเงิน ภาษีกิจการต่างๆ รวมถึงยังพอมีความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างประเทศ เพียงแต่ว่ากว่าที่เราจะหาทางออกจากความวุ่นวายทางการเมืองมาได้ ก็ดันมาติดในบางเรื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจที่นำเสนอโดยฝั่งประชาธิปไตยที่ชนะมา ทำไมเรื่องนโยบายถึงถูกนำมาพูดถึงโดยผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็เพราะพวกเขาเห็นผลกระทบว่าจะส่งผลไม่ดีในอนาคต ถ้าไม่ฟังกันเลย ประเทศจะก้าวไปได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเห็นแนวทางที่ไปด้วยกันได้ และได้รับการยอมรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประเทศจะได้เดินหน้าได้ การก้าวจากประเทศรายได้ปานกลาง จนไปเป็นประเทศรายได้สูงเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันมีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วว่าได้ผลโดยนโยบายเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว แม้แต่ จีน เวียดนาม ที่เป็นสังคมนิยม ก็หันมาใช้ประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจเป็นตัวนำ ทำไมไทยจะไม่ใช้ตาม เรื่องทุนผูกขาด ก็ต้องดูหลายเรื่อง เช่น ความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรม ขนาดตลาด จำนวนผู้เล่นที่เหมาะสม กิจการต่างชาติที่เข้ามาแข่งขัน รวมถึงจำนวนเงินลงทุนของกิจการบางอย่างที่มากจนกิจการรายเล็ก กลาง ไม่สามารถลงทุนได้ ไม่คุ้ม เพราะไม่เกิดการประหยัดจากขนาด ดูอย่างช่วงทีวีดิจิตอลบูม กสทช.ออกเร่ขายในอนุญาติ หลายเจ้าก็แห่กันเข้ามา แต่ในที่สุดขนาดตลาดที่เหมาะสมจะกำหนดผู้เล่นเอง ทีวีดิจิตอลหลายช่อง ในที่สุดก็ปรับตัวจนเหลือแต่ช่องที่ทำกำไรอยู่ได้เท่านั้น นี่คือประสิทธิภาพของตลาด หลายช่องต้องอาศัยความดราม่า เพื่อสร้างเรทติ้ง ดูรายการเล่าข่าวต่างๆ เล่นกับกระแสต่างๆ เพื่อเรตติ้ง เพื่อความอยู่รอด จริยธรรมสื่อ นี่แทบเก็บเอาไว้ก่อน เพราะปากท้องสำคัญกว่า ตรงนี้น่าเป็นห่วงรัฐควรมาเช็คหน่อย กิจการธนาคารเองก็โดนเรื่องฟรีค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเจ้าหนึ่งเป็นผู้เริ่มต้น แต่เขาก็มีเหตุผลเพื่อเพิ่มต้นทุนของพวกฟินเทคที่จ้องเข้ามาอยู่ แต่ผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์ เพราะมีการเกิดขึ้นของแอพฯการเงินที่ทันสมัย มีความคล่องตัว เกิดการขยายตัวในการใช้งาน ถึงแม้แบงค์จะเสียประโยชน์แต่เขาก็ต้องปรับตัวหารายได้จากทางอื่นแทน สมัยโน้ตบุ๊ค อุปกรณ์คอมฯ กล้องดิจิตอลบูมๆ แต่เมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาและมีประสิทธิภาพดีขึ้นๆ จนได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะมีฟีเจอร์ต่างๆใกล้เคียงหรือดีกว่า โน้ตบุ๊คยอดขายก็ตกลง ส่งผลถึงอุปกรณ์คอมฯ กล้องดิจิตอลไปด้วย อย่างพันทิปประตูน้ำก็ได้รับผลกระทบหนักจนต้องปรับตัวมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีกิจการหลายเจ้าได้ประโยชน์ตรงนี้ สามารถปรับตัวรับกระแสที่เปลื่ยนแปลง ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ มีสินค้าให้เลือกมากขึ้นในราคาที่สมเหตุผล กิจการที่ได้รับผลกระทบก็มีหลายเจ้า ก็ปรับตัวกันไป กิจการร้านหนังสือ สำนักพิมพ์เองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะผู้บริโภคหันมานิยมเสพสื่อทางออนไลน์มากขึ้น ผ่านมือถือได้โดยตรง ส่งผลให้สื่อสังคม โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีข้อดีคือเสรี มีเนื้อหาที่ผู้บริโกคเลือกได้เองตามความชอบ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และก็ส่งผลต่อความคิด ความรู้สึกของผู้คนมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เกิดการให้ข้อมูลเท็จ หลอกลวง ล่อลวง บูลลี่ออนไลน์ ทัวร์ลง การใช้ภาษาที่ก้าวร้าว หยาบคาย ด่าทอกันสนุกปาก การเสพข่าวสารต่างๆ ก็ถูกส่งต่อสั้นกระชับเกินไป บางสื่อแค่ไม่กี่วินาที ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่ประกอบด้วยข้อเท็จจริงบ้าง การตรวจสอบก็เป็นไปได้ยาก ค้าปลีก กับ สื่อสาร ส่วนสำคัญคือทุนต่างชาติถอนตัวไปเพราะสู้ไม่ไหว อาจจะด้วยเรื่องคุณภาพที่ด้อยกว่า หรือเป็นเพราะนโยบายของบริษัทแม่ในเรื่องการลงทุน ความคุ้มค่า หรือโอกาสลงทุนทางธุรกิจในภูมิภาคอื่นๆ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของทุนในประเทศ โรงไฟฟ้าเองก็มีหน่วยงานกำกับดูแล ถึงแม้บางกิจการจะประมูลโรงไฟฟ้าได้มาด้วยความดูน่ากังขาสำหรับหลายคน แต่ด้วยการปรับราคาพลังงานต่างๆลงเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในช่วงฟื้นตัวหลังโควิด 19 และจากราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นมากจากการเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในที่สุดก็ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก ค่าไฟจึงเพิ่มขึ้นมาก แต่ในช่วงฤดูถัดไปของปี ด้วยต้นทุนพลังงานที่ลดลงแล้ว จะทำให้ค่าไฟลดลงเอง ยังมีตัวอย่างอีกหลายธุรกิจที่ปรับตัวไปตามสภาพตลาด บางเจ้าหดหายไป บางเจ้าเล็กลง หรือ เกิดเจ้าใหม่ขึ้นมา หรือเจ้าที่ทำได้ดีกว่ายังคงอยู่รอดและทำได้ดียิ่งขึ้น การที่รัฐจะไปควบคุมต้องดูให้ดี ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ต้องดูนักลงทุนต่างประเทศด้วย เขาอาจเห็นว่ามาลงทุนแล้วไม่คุ้ม เพราะต้นทุนสูง ไม่ต้อนรับเขา เขาไปที่อื่นดีกว่า กิจการในประเทศเองอาจหมดแรงจูงใจ อยู่ไปแบบแกนๆ ไม่พัฒนา อย่างนี้ในระยะยาวจะแย่เอาทั้งประเทศ ตอนนี้ระบบเศรษฐกิจของไทยเปิดกว้างมาก มันกระทบกับไปทุกภาคส่วน ถ้าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง มันก็มีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ แต่ประโยชน์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับประเทศไหมเป็นคำตอบที่สำคัญที่สุด ตรงนี้คือสิ่งที่มือที่มองไม่เห็นจัดสรร ส่วนเรื่องอื่นที่มือที่มองเห็นต้องดูแล เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมต่างๆขึ้น เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องการแก้คอร์รัปชั่น การตรวจสอบงบของกระทรวงต่างๆให้รัดกุม การดูแลสวัสดิการให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและอนาคตของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ดุลพินิจให้รอบคอบ เพราะจะส่งผลกระทบหลายด้านเป็นภาระการคลังผูกพันยาวนาน ทำให้ประเทศอ่อนแอในระยะยาว รัฐบาลควรจัดระเบียบราชการในเรื่องต่างๆ กฏหมายต่างๆให้คล่องตัว ทั้งเรื่องความโปร่งใสในการประมูลงานรัฐ สัมปทานต่างๆ รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุนต่างประเทศ เพราะเรายังต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่มาก รัฐบาลกลางต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น เล็กลง มีการกระจายอำนาจออกไปสู่ระดับจังหวัดมากขึ้น รัฐบาลต้องเน้นเรื่องช่วยการเจรจาค้าขายกับต่างประเทศ นำรายได้เข้าประเทศ ดึงการลงทุนต่างประเทศเข้ามา สร้างอุตสาหกรรมใหม่ ยกระดับอุตสหกรรมเดิม ใช้ประโยชน์จากตลาดทุน-ตลาดเงินให้เป็น มีการส่งเสริมนักธุรกิจ-นักลงทุนในประเทศ เพิ่มการกระตุ้นการบริโภคไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดกระจายการค้า การลงทุนตามมา ตรงนี้จะทำให้เศรษฐกิจในจังหวัดต่างๆขยายตัว ส่งผลถึงค่าแรงโดยรวมให้ปรับขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัว รวมถึงการเปิดรับแรงงานหนุ่มสาวจากต่างประเทศเข้ามาทำงานอยู่อาศัยทั้งระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง ใครเข้ามาทำประโยชน์ให้ประเทศ ต้องดูแลเขาอย่างดี มีสวัสดิการที่เหมาะสม แต่ก็ต้องมีกฏ ระเบียบต่างๆชัดเจนให้ไม่เอาเปรียบคนในประเทศ ต่อมาเขาเข้ามาอยู่นานๆเข้า ด้วยธรรมชาติของมนุษย์เขาก็ต้องปรับตัว ยิ่งอาศัยอยู่นานเขาก็ชินและกลายเป็นคนในชาตินั้นไป เพราะเกิดความผูกพันและมีต้นทุนในการย้ายไปที่อื่นสูง คนเราอยู่ที่ไหนสบายกายสบายใจ มีโอกาสในการทำงาน สามารถยกระดับความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมกับฐานะ เขาก็อยู่ การนำเข้าแรงงานถาวรจะช่วยแก้ไขปัญหาการเกิดน้อยและปัญหาประชากรแก่ตัวลงได้ ซึ่งยุคนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่ไทยต้องรีบเร่งก่อนที่จะมีการแย่งแรงงานกันเกิดขึ้นในอนาคต
โดย
Tibular
อาทิตย์ มิ.ย. 11, 2023 1:53 pm
0
4
Re: แด่หนุ่มสาวผู้ร้าวราน
คนหนุ่มสาวไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว เดินไปข้างหน้าดีกว่า จะมากังวลเป็นคนแก่ทำไม กังวลเท่ากับไม่ทำอะไร การเปรียบเทียบกับผู้อื่นนั้นเสียเวลาเปล่าๆ หนุ่มสาวรุ่นใหม่มีโอกาสใหม่ๆมากมายมากกว่าคนรุ่นก่อน สิ่งต่างๆยิ่งเปิดกว้าง ยิ่งมีโอกาส เพียงแต่ต้องเปิดหูเปิดตา เรียนรู้ให้มาก จนมีประสบการณ์เพียงพอ จะเข้าใจว่าทำอย่างไรชีวิตถึงจะดีขึ้น เพียงแต่ตอนรายได้ยังไม่มากต้องรู้จักประมาณตัวเองก่อน อย่าเห่อไปกับกระแสต่างๆ มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้แต่พอดี มีมากมายเหลือเก็บแล้วใช้ไปเถอะ ยิ่งโอกาสในการลงทุนสมัยนี้เปิดกว่าง หลากหลาย เข้าถึงง่ายขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น มีหน่วยงานกำกับที่ทำงานดีขึ้น กิจการต่างๆมีธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น ตรงนี้ยิ่งปกป้องนักลงทุน แต่สิ่งที่คลุมเครือก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน ทั้งการฉ่อฉล หลอกลวง การกล่าวอ้างเกินจริง สงครามข้อมูลข่าวสาร การกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศ แนวคิดที่ขัดแย้งกัน นวัตกรรมใหม่ๆที่ดูดี กูรูที่มีคำพูดฟังดูดี ไลฟ์โค้ชที่พร่ำสอนไปเรื่อย การลงทุนใหม่ๆที่ล่อตาล่อใจ ฯลฯ เราแค่ต้องใช้ความคิดให้ลึกซึ้งขึ้น ควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้น ก็จะก้าวผ่านไปได้
โดย
Tibular
ศุกร์ ส.ค. 26, 2022 10:04 am
0
2
Re: อนาคตของประเทศไทย VS เวียตนาม/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันปรับตัวได้เร็วมาก เพราะกิจการเอกชนใหญ่ๆในไทยต่างก็มีเงินทุนและกำลังคนที่มีความสามารถ รวมถึงการปรับตัวจากภาครัฐแม้จะยังไม่ดีมากพอ ตรงนี้คือปัญหา แต่ประเทศไทยยังคงมีความสามารถในการเติบโตต่อไปได้อีกยาวนานในหลายๆด้าน ถ้าได้มีโอกาสเดินทางไปยังจังหวัดใหญ่ๆหลายๆจังหวัดในแต่ละภาคจะเห็นข้อนี้ รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศของเอกชนต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างมาก เราแค่ต้องการคนรุ่นหนุ่มสาวในปัจจุบันที่มีความรู้และประสบการณ์จริงๆ และมีทัศนคติที่ดีเข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศ ตรงนี้คือปัญหา
โดย
Tibular
อาทิตย์ ส.ค. 14, 2022 10:40 am
0
1
Re: “ดร.นิเวศน์” เปิดใจ ลงทุนตลาดหุ้นไทย “ก๊อกสุดท้าย”
อนาคตไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ถูกต้องอย่างแท้จริง จะเห็นลางๆก็ต่อเมื่อมันกำลังจะมาถึง แต่เหตุการณ์จะเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่นั้น เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในเหตุการณ์นั้นแล้ว สมัย SET 1800 จุดก็ไม่เห็นมีใครบอกให้ขายหุ้นให้หมดเพราะเป็นจุดสูงสุด จะมีเพียงความเห็นแทงกั๊กว่าดัชนีอาจปรับตัวลงได้ หรือไม่ก็ทรงๆเท่านั้นเท่านี้ หลังจากนั้นเวลาต่อมาเกิดโรค COVID-19 ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร หรือบอกได้ว่ามันจะลามไปทั่วโลก ทำได้แค่เพียงแทงกั๊กว่าการระบาดจะเกิดขึ้นแบบนั้นแบบนี้ และจะจบลงอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์จะได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมเสมอในการคิดและการตัดสินใจ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราจะส่งผลต่อความคิดและการตัดสินใจของเรา ในสถานการณ์ที่ดี เราก็มักจะมองโลกในแง่ดี ในสถานการณ์ที่อะไรดูแย่ เราก็มักจะมองโลกในแง่ร้าย เราเองก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าความคิดและการตัดสินใจของเราได้รับผลกระทบอยู่ อดีตดูชัดเจนเสมอ แต่อนาคตมักจะเลือนลาง สิ่งที่เรารู้ คนอื่นก็รู้ มีอยู่ สิ่งที่เรารู้ คนอื่นไม่รู้ มีอยู่ สิ่งที่คนอื่นรู้ เราไม่รู้ มีอยู่ สิ่งที่ทั้งเราไม่รู้และคนอื่นไม่รู้ มีอยู่
โดย
Tibular
ศุกร์ พ.ย. 12, 2021 10:25 am
0
6
Re: วีไอพันธ์ุแท้ตายไปหรือยังกับตลาดหุ้นยุคปัจจุบัน
VI มันคือวิธีการลงทุนแบบหนึ่งเท่านั้นละครับ การลงทุนคือซื้อสินทรัพย์ที่คุ้มค่ากับผลตอบแทน อย่าไปยึดติดมากกับคำว่า วีไอพันธุ์แท้ หน้าที่ของนักลงทุนคือสร้างพอร์ตการลงทุนให้เติบโต ไม่ว่าจะใช้หลักการไหน จะช้าหรือเร็ว ทำได้หมด
โดย
Tibular
อาทิตย์ ต.ค. 24, 2021 10:43 am
0
2
Re: เทศกาลขายหมู/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ อย่าติดกับดักทางความคิด การลงทุนระยะยาว ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นระยะยาว หุ้นทุกตัว เมื่อถึงเวลาก็ต้องขาย นักลงทุนได้เปรียบก็ตรงนี้ เพราะเราสามารถกลับมาซื้อหุ้นใหม่ได้ ณ.ราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมเสมอ อย่ากลัวที่ต้องตกรถ แต่ให้ทำการบ้านหาหุ้นที่น่าสนใจไว้ เพื่อรอเวลาและโอกาส ในฐานะนักลงทุนรายย่อย เราไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ เราแค่ได้รับผลตอบแทนจากกำไรกิจการเท่าเทียมกับเจ้าของกิจการเท่านั้น
โดย
Tibular
อาทิตย์ ต.ค. 10, 2021 11:58 am
0
14
Re: ความฝันของ(หัว)กะทิ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สิ่งมีชีวิตก็แสวงหาหนทางไปเรื่อยๆ แต่ทางไหนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด? เมื่อมนุษย์อพยพออกจากแอฟริกาเพื่อความอยู่รอด ทำให้มนุษย์กระจายไปทั่วโลก ร่างกาย สีผิว มีการปรับตัวแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ปรับชีวิตความเป็นอยู่ ให้เหมาะสมตามแต่พื้นที่ที่อพยพไป มีการแลกเปลี่ยนสินค้า-บริการ เพื่อความอยู่รอด เกิดผู้นำ-ผู้ตาม เกิดการปกครอง เกิดการเอารัดเอาเปรียบ เกิดสงคราม เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ไม่มีใครฟังใคร จนผู้คนล้มตายจำนวนมาก กว่าจะเข้าใจว่าการต่อสู้ใช้กำลัง นำมาซึ่งความเสียหายในวงกว้าง ไม่คุ้มกับสิ่งที่สูญเสียไป ส่วนร่างกายมนุษย์ที่อวัยวะต่างๆทำงานร่วมกัน ก็มีเซลล์ที่ทำตัวเป็นอิสระขึ้นมา จนกลายเป็นเนื้อร้าย ขยายตัวไปตามส่วนต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบในร่างกายเสียสมดุลลงไป จนอวัยวะทุกส่วนล้มเหลว และเสียชีวิตลง เพราะเนื้อร้ายเติบโตเร็วเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้ การพัฒนาการของร่างกายนั้นใช้เวลายาวนาน ว่าสิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนไม่จำเป็น สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ สิ่งไหนต้องทำก่อน สิ่งไหนต้องทำหลัง การแบ่งตัวของเซลล์เมื่อถือกำเนิดนั้น มีการสร้างและสลายเซลล์ สร้างอวัยวะบางส่วนและสลายอวัยวะบางส่วน กว่าจะกำเนิดเป็นทารกมีชีวิต
โดย
Tibular
อาทิตย์ พ.ค. 09, 2021 11:09 am
0
5
Re: ความเชื่อเรื่องเทพเจ้ากับคนไทย
"ผมสังเกตว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย มีแนวคิด ความเชื่อแปลกๆ..." แค่การสังเกตคงนำมาอนุมานว่าเรื่องที่สังเกตตรงกับสิ่งที่เราคิดทั้งหมดคงยังไม่ได้หรอกครับ... ผมรู้แค่ว่า ถ้าใครคนไหนกระทำสิ่งอันเป็นกุศล เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น มีผลเป็นความสุข หรือใครคนไหนสอนให้กระทำสิ่งอันเป็นกุศล เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น มีผลเป็นความสุข และทำมาเป็นระยะเวลายาวนาน อย่างน้อยๆก็น่าจะสิบปีขึ้นไป ผมก็นับถือแล้วละครับ
โดย
Tibular
จันทร์ เม.ย. 12, 2021 11:38 am
0
1
Re: สิ่งที่บ่งบอกว้าเรากำลังถือหุ้นที่ผิดพลาดอยู่คืออะไร
1. เราซื้อหุ้นที่แพงเกินไปตั้งแต่แรก เพราะเราประเมินมูลค่าหุ้นโดยละเลยมูลค่าหนี้ และให้อัตราคิดลดน้อยเกินไป เราให้ PE สูงเกินไป ประมาณการกำไรของกิจการมากเกินไป หรือแม้กระทั่งเราอดทนต่อราคาหุ้นที่กำลังพุ่งสูงขึ้นไม่ได้ 2. การเติบโตของกิจการไม่เป็นตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้ ผลตอบแทนโครงการที่บริษัทคาดการณ์ไว้ไม่เป็นตามที่คิด ความไม่แน่นอนในอนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องคิดเสมอ ถึงแม้ว่า ผู้บริหารจะออกมาบอกว่าโครงการนั้นๆดีแน่นอน 3. เรามองหุ้นที่เราถือว่าดีกว่าความเป็นจริง ปัจจัยทางธุรกิจนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หากเราขาดการตรวจสอบ หรือแม้กระทั้งเวลาเกิดวิกฤติมากระทบ ราคาหุ้นทุกตัวจะกระทบหมด แต่หุ้นที่แข็งแรงหรือได้ประโยชน์จากเหตุการนั้นมักจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า ตรวจสอบว่าหุ้นของเราแข็งแกร่งระดับไหน และให้เกรดหุ้นในพอร์ตของเราอย่างสม่ำเสมอ ว่าเป็น A B+ B C+ C 4. เราไม่เผื่อ MoS จากข้อ 2.และข้อ 3. กรณีที่ถ้าเราซื้อหุ้นโดยมี MoS เราจะไม่ขาดทุนหนักแม้ถือหุ้นผิดพลาด
โดย
Tibular
พุธ ม.ค. 13, 2021 12:00 pm
0
9
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
ขออนุญาตสอบถามหน่อยนะครับ ว่า อิสระจากความคิด ของคุณ Tibular มีความหมายว่าอย่างไร แบ่งแยกอย่างไร มีระดับขั้นไหม มีวิธีฝึกอย่างไร รักษาความสามารถและวัดผลอย่างไรได้บ้างครับ มีอิสระจากความคิด - คือ อยากคิดก็คิด ไม่อยากคิดก็ไม่คิด แบ่งแยกอย่างไร - คือ คิด กับ ไม่คิด มีระดับขั้นไหม - ไม่มี มีแค่ คิด กับ ไม่คิด มีวิธีฝึกอย่างไร - กายคตาสติ หรือ อานาปานสติ โดยในเบื้องต้น ดึง ความรู้สึก นึก คิด ที่อยู่ๆเกิดขึ้น ให้กลับมา รู้ อยู่กับกายหรือลมหายใจ ในขณะที่ดึงกลับมารู้กายหรือลมหายใจ จะเห็นความดับไปของความรู้สึกนึกคิด ในขณะที่เพลินหลุดออกจากการรู้กายหรือลมหายใจ จะเห็นความเกิดขึ้นของความรู้สึกนึกคิด พยายามมีสติอยู่กับกายหรือลมหายใจให้มากขึ้นๆ จนกายสงบ ลมหายใจสม่ำเสมอ ความรู้สึกนึกคิดสงบ ทำซ้ำๆไปแบบนี้ หรือจะสังเกตความรู้สึกนึกคิดว่ามันเกิดขึ้นและดับไปเอง แล้วกลับมาอยู่กับกายหรือลมหายใจก็ได้ แต่จะช้าหน่อย จนสงบ ระงับ มีความเป็นสมาธิเกิดขึ้น รักษาความสามารถ - การฝึก จะฝึกช่วงไหน เวลาไหน นานเท่าไหร่ก็ได้ ตามสะดวก แต่ให้สม่ำเสมอ และวัดผลอย่างไร - เริ่มสังเกตตัวเองได้เวลาใจลอย เกิดความรู้สึกนึกคิดแล้วไม่คิดต่อ หรือดับไปได้เร็วขึ้น ความรู้สึกนึกคิดผุดขึ้นมาน้อยลง สบายตัว สบายใจ ปลอดโปร่ง ความอยากได้ ความโกรธ ความคิดในทางลบน้อยลง ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น นอนหลับสนิท อยากคิดเรื่องไหนก็อยู่กับเรื่องนั้นจนจบเป็นเรื่องๆไปได้ มีความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น แก้ปัญหาได้ดี มีเหตุผลขึ้น มีสติอยู่กับลมหายใจได้ตลอดวัน ตัวที่ทำให้เรารู้สึกนึกคิดนั่นนี่ คือความเพลิน ความพอใจ เมื่อมีความเพลิน ความพอใจ ต่อสิ่งใด ท่านเรียกว่ามีอุปทานในขันธ์ห้านั่นเอง ถ้าละความเพลิน ความพอใจได้ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ(ตัวรู้และเรายึดติดกับตัวนี้ตลอดเวลา) และไม่กำเริบขึ้นมาอีก จนดับสนิท ก็จบการฝึก ระยะเวลาก็ขึ้นกับแต่ละบุคคล อาจยาวนานกันไปตลอดชีวิตหรือหลังจากนั้น ส่วนรายละเอียดต่างๆ ถ้าเป็นชาวพุทธหรือผู้ที่สนใจ ก็สามารถศึกษาธรรม จากพระสูตรต่างๆของพระโคดม ซึ่งมีความหลากหลาย ละเอียดลุ่มลึกในหลายแง่มุม สอดคล้องกับบุคคลประเภทต่างๆ ไม่ว่าในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการปฏิบัติที่ยิ่งขึ้นไป ตามแต่สะดวกเลยครับ สำหรับผมก็จะเลือกสิ่งที่ง่ายต่อการปฏิบัติของตัวเองครับ
โดย
Tibular
พุธ ธ.ค. 30, 2020 1:46 pm
1
10
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
อิสรภาพทางการเงิน มันแค่คำพูดสวยหรูครับ เพราะถ้าเราคิดว่า เมื่อเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว เราจะได้ทำสิ่งที่ชอบ จะได้หาความหมายของการมีชีวิต หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็เหมือนการทนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง ทำไมเราไม่ควรมีความสุขในสิ่งที่เราชอบ หรือเราทำทุกวันซะตอนนี้ ถ้าเราเอาอิสรภาพทางการเงินเป็นตัวตั้งในชีวิต เราจะละเลยสิ่งรอบตัวไป หรือถ้าวันนึงเราเกิดมีอิสรทางการเงินขึ้นมาจริงๆ เรามีเงินเยอะมากๆ ก็ลองทดสอบใจตัวเองดู โดยการทำทาน บริจาคเงิน ว่าเราทำได้มากแค่ไหน แล้วเรามีความรู้สึกเป็นอย่างไรเมื่อเสียทรัพย์ไป ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ดีให้เราได้ทำความเข้าใจความหมายของการมีชีวิต สำหรับผมความหมายของการมีชีวิตคือ มีอิสระจากความคิด
โดย
Tibular
อังคาร ธ.ค. 29, 2020 10:41 am
0
9
Re: นักลงทุนคนใดในบอร์ด thaivi ที่ท่านนับถือหรือเป็นไอดอลในการลงทุน
พี่ลูกอีสานครับ เพราะเป็นนักลงทุนอาชีพที่สร้างตัวขึ้นมาจากการลงทุนจริงๆ มีแนวคิดที่เป็นมาตรฐานในการเป็นนักลงทุนอาชีพที่ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
โดย
Tibular
ศุกร์ ธ.ค. 25, 2020 11:06 am
0
19
Re: ใครที่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดปีนี้บ้างครับ หรือรุ่นพี่viอยากจะแนะนำหน้าใหม่บ้างครับ
การเป็นนักลงทุนอาชีพในตลาดหุ้น ฝึกงาน 3 ปี ทดลองงาน 10 ปี เป็นงานที่ทำได้ตลอดชีวิต การเลือกหุ้น การประเมินความเสี่ยง การประเมินมูลค่า Margin of Safety การบริหารพอร์ต การบริหารเงินหน้าตัก การควบคุมค่าใช้จ่าย
โดย
Tibular
พุธ ธ.ค. 16, 2020 1:08 pm
0
12
Re: รู้สึกแย่กับปัจจุบัน คนไทยแตกแยก ด่ากัน เกลียดกัน ทำร้ายกันเอง
ถือว่าปกตินะ มันคือกฏ 50/50 ซึ่งติดตัวสิ่งมีชีวิตมานานแล้วล่ะ สู้หรือหนี เชื่อหรือไม่เชื่อ ทำตามหรือไม่ทำตาม ชนะหรือแพ้ เพราะมันทำให้เกิดการอยู่รอดยังไงล่ะ ถ้าเรามีความคิด ความเชื่อ เหมือนกันหมด มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน คงสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เพียงแต่ที่มนุษย์เราแพร่พันธุ์ไปทั่วโลกได้เร็วกว่า เพราะเราเลือกอย่างมีเหตุผล เพราะเรามีสัญชาตญาณการรักษาเผ่าพันธุ์มากกว่า เพราะมนุษย์มีความเมตตาเป็นส่วนใหญ่ เผ่าพันธุ์จึงดำรงอยู่ได้ เราเอ็นดูเด็กเล็ก ไม่ว่าลูกของเราเองหรือของผู้อื่น เราเอ็นดูลูกสัตว์ เวลาไปอยู่ตามธรรมชาติ เรารู้สึกสงบ ไม่ต้องห่วง คนไทยเราจะแตกแยก ด่ากัน เกลียดกัน ทำร้ายกันเอง ไปอีกนาน เพียงแต่เราต้องพยายามใช้เหตุผลกันมากขึ้น คนสุดโต่งสองกลุ่ม ไม่เท่ากับคนส่วนใหญ่ เพียงแต่พวกเค้าเสียงดัง จึงต้องระวังผู้นำทางความคิดให้มาก มาคิดเรื่องการเลือกผู้นำที่มีคุณธรรมกันดีกว่า
โดย
Tibular
จันทร์ พ.ย. 02, 2020 10:32 am
0
4
Re: ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
ไม่เห็นด้วยกับข้อ 1 ส่วนข้ออื่นเห็นด้วย " 1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป " การยกเอาประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ควรใช้แค่ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นระยะยาวแค่ไหน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงเวลาต่างๆกัน นักลงทุนคนไหนจับกระแสได้ถูกก็มักจะได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำในช่วงนั้น ถ้าใครลงทุนโดยมีแค่ศรัทธาอย่างเดียว คุณได้ถือหุ้นจนแก่แต่ผลตอบแทนก็งั้นๆ หรือรอจนคุณเกษียณคุณอาจจะขาดทุนเงินต้นไปมากมาย ถ้าอยู่ในช่วงตลาดหุ้นขาลง ระยะเวลาเกี่ยวเนื่องกับการเติบโต สถิติคือสถิติ ประวัติศาสตร์คือประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เอามาเป็นศรัทธาในหุ้น คุณต้องมองโลกตามความเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต เราต้องดูหุ้นเป็นช่วงเวลาเทียบกับการพัฒนาและการเติบโตของแต่ละประเทศ ตอนนี้ไม่เห็นมีเซียนหุ้นคนไหนบอกว่าหุ้นไทยดีเลย แรงงานแก่ตัว ความสามารถในการแข่งขันลดลง สินค้าและอุตสาหกรรมล้าสมัย ผลตอบแทนระยะยาวที่คาดหวังก็น่าจะน้อยกว่านั้น จุดสำคัญของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จึงอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ยังเติบโตเท่านั้น รวมทั้งต้องมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การลงทุนต่างประเทศจึงเป็นตัวสำคัญถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เราควรเลือกไปลงทุนประเทศที่ยังเติบโตมีการพัฒนา และก็ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่ประมาท ปล.ไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้น 15-20 ปีแล้วได้ผลตอบแทนดีเสมอ จุดนี้เป็นมายาคติ ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามเซียนหุ้นแต่ละคนดูสิว่ายังถือหุ้นตัวเดิมอยู่ไหมเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว
โดย
Tibular
พุธ ต.ค. 14, 2020 10:34 am
0
9
Re: กิจการที่ดี ในระยะยาว จะแสดงมูลค่าที่แท้จริง
เสริมนะ เรื่องมูลค่าของกิจการ และราคาตลาด ไม่จำเป็นที่ราคาหุ้นในตลาดจะสะท้อนมูลค่ากิจการในระยะยาวเสมอไป อาจเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะในตลาดหุ้นไม่มีใครสามารถไปกำกับดูแลว่าหุ้นที่ดีจะต้องมีราคาเหมาะสม บางช่วงราคาหุ้นอาจจะนิ่งๆ ต่ำกว่ามูลค่า เกินมูลค่าก็ได้ ตลาดหุ้นนั้นสะท้อนกลไกตลาดเสรีได้ชัดเจนที่สุด อย่าไปหลงกับเรื่องระยะเวลามากเกินไป เพราะคุณอาจจะได้ผลตอบแทนที่น้อยเกินไป หรือแม้กระทั่งขาดทุนได้จากหุ้นที่คุณคิดว่าเป็นกิจการที่ดี เพราะขายมันช้าเกินไป ตลาดหุ้นสะท้อนความต้องการซื้อ-ขายเป็นช่วงเวลา และก็ขึ้นกับปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมมันได้ นักลงทุนหุ้นได้แต่ใช้ประโยชน์จากตลาดหุ้นในการซื้อ-ขาย และพึ่งพาความโปร่งใสในการกำกับดูแล และรอคอยว่าจะได้ผลตอบแทน ช้าหรือเร็ว มากหรือน้อย หรือแม้กระทั่งขาดทุน การปกป้องตนเองจากการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น คุณต้องเลือกซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าหรือราคายุติธรรมเท่านั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นที่แพงและหวังว่ามันจะแพงขึ้นได้อีก และราคามันเพิ่มขึ้น นั่นคือคุณโชคดี จงขายมันซะ หุ้นที่สามารถรักษาความแพงได้นานๆ คือหุ้นที่มีมูลค่าการเติบโตแฝงอยู่ ถ้าวันไหนมีอะไรมากระทบการเติบโต ราคาหุ้นจะเหวี่ยงกลับไปอีกด้าน คุณต้องระวัง การเลือกซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าหรือราคายุติธรรมจึงปกป้องคุณจากความเสียหายได้ไม่มากก็น้อย และยิ่งถ้าคุณได้ซื้อหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพและมีการเติบโต ในราคาต่ำกว่ามูลค่าหรือราคายุติธรรม คุณแทบไม่ต้องทำอะไรอีกเลยนอกจากการอดทนและรอคอยโอกาสในการขายที่กำลังจะมา นักลงทุน เซียนหุ้น ขาใหญ่ ฯลฯ หลายๆท่านก็ขายหุ้น เมื่อพอใจกับผลตอบแทน น้อยคนจริงๆที่ถือหุ้นตั้งแต่วันแรกที่ซื้อจนถึงปัจจุบัน พอร์ตหุ้นของแต่ละคนก็เปลี่ยนแปลงไปตามมุมมองการลงทุน
โดย
Tibular
อังคาร ต.ค. 06, 2020 11:47 am
0
8
Re: สิ่งที่ นักลงทุนระยะยาว ควรทำมีอะไรบ้างครับ
ให้ความสำคัญกับ "Margin of Safety" ให้มากที่สุด เพราะไม่ว่าเราจะซื้อหุ้นกี่ตัวในพอร์ตก็ตาม หรือลงทุนระยะยาวขนาดไหน "Margin of Safety" จะทำให้เราไม่ซื้อหุ้นที่แพงมา และกันไม่ให้เราทำอะไรโง่ๆ
โดย
Tibular
ศุกร์ ต.ค. 02, 2020 11:51 am
0
3
Re: ขอความรู้เรื่องของราคาหุ้นค่ะ
หุ้นที่มีราคาแพงๆ มักจะมีการขายและซื้อต่อวันเยอะๆ อันนี้เกิดจากการที่นักเก็งกำไรเข้าช้อนซื้อและเทขายกันใช่ไหมคะ เหมือนการปั่นหุ้นหรือเปล่าคะ แล้วสำหรับนักลงทุนแบบ VI จะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ถือกันยาวๆ แต่ราคาหุ้นดูนิ่งๆ แต่มีปันผลดีแบบนี้ถือว่าดีหรือเปล่าคะ แล้วอย่างค่า PE ที่เราเห็นของแต่ละบริษัทเชื่อได้ไหมคะว่าเป็นค่านั้นจริงๆ (หรือควรคำนวณเองดูค่ะ) รบกวนพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนแชร์ความรู้กันได้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ😊🙏 1. หุ้นที่มีราคาแพงๆ ตรงนี้คือแพงแบบไหน ราคาหุ้นหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย หลักพัน หรือ แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานและอนาคตของกิจการ 2. มักจะมีการขายและซื้อต่อวันเยอะๆ อันนี้เกิดจากการที่นักเก็งกำไรเข้าช้อนซื้อและเทขายกันใช่ไหมคะ เป็นผู้เล่นในตลาดที่มาซื้อขาย ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกันไป เช่น เก็งกำไร ลงทุน หรือเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ 3. เหมือนการปั่นหุ้นหรือเปล่าคะ ไม่เหมือนการปั่นหุ้น การปั่นหุ้นมักจะเป็นในหุ้นขนาดเล็ก กลาง และมักเป็นหุ้นที่ผลประกอบการไม่ดี หรือแม้กระทั่งมีกำไรเติบโตดีก็มีการปั่นกันได้ โดยมักจะมีการร่วมมือ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นนั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมี ข่าว ข่าวลือ ข่าววงใน คำแนะนำต่างๆ ทั้งจากโบรคเกอร์ ผบห. ผถห.ใหญ่ นักลงทุนรายใหญ่ เซียนหุ้น กูรู SNS ฯลฯ เป็นส่วนสนับสนุน ทำให้มีปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ มีราคาเหวี่ยงขึ้นลงหวือหวาน่าสนใจ และ กลต. ไม่สามารถจะตรวจสอบได้ เพราะ กลต. บอกว่าไม่มี ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ 4. แล้วสำหรับนักลงทุนแบบ VI จะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ถือกันยาวๆ แต่ราคาหุ้นดูนิ่งๆ แต่มีปันผลดีแบบนี้ถือว่าดีหรือเปล่าคะ ลำดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นมีสองอย่าง นั่นคือ ปันผล และ กำไร(ขาดทุน)จากการขายหุ้น ปันผล เกิดจากการที่กิจการทำกำไรสุทธิได้ และจ่ายผลตอบแทนออกมา กิจการจะไม่จ่ายปันผลก็ได้อีกด้วย กำไร(ขาดทุน)จากการขายหุ้น เกิดจาก ส่วนต่างราคาหุ้นที่เราซื้อ ราคาหุ้น ณ.ขณะนั้น เกิดจาก ความต้องการซื้อ-ขายหุ้น ของผู้เล่นในตลาด ความต้องการซื้อ-ขายหุ้น เกิดจาก ความต้องการผลตอบแทนของผู้เล่นในตลาด โดยการคาดเดาราคาหุ้นที่ควรจะเป็นในอนาคต ราคาหุ้นที่ควรจะเป็นในอนาคต เกิดจาก พื้นฐานของกิจการ การเติบโตของกิจการ ภาวะแวดล้อมต่างๆในอนาคต และมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่ออนาคตของกิจการ สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้หุ้นมีราคาขึ้นมา และทำให้ผู้เล่นในตลาดยินดีที่จะถือหุ้น ซื้อหรือขายหุ้น เพื่อผลตอบแทน สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็น VI หรือไม่ก็ตาม ก็ควรเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการเติบโต ต้องซื้อที่ราคาเหมาะสม หรือต่ำกว่ามูลค่า มีปันผลหรือไม่มีก็ได้ แต่ต้องได้ผลตอบแทนในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าจากปันผลหรือส่วนต่างของราคาก็ตาม ไม่จำเป็นที่ราคาหุ้นต้องดูนิ่งๆ หรือมีปันผลดีหรือไม่ นักลงทุนในตลาดหุ้นมีหน้าที่ต้องรักษาเงินลงทุน และขยายเงินลงทุนของตัวเอง เพื่อผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ เพราะฉะนั้นการบริหารพอร์ตให้เติบโต เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่มีถือหุ้นยาวไปเรื่อยๆแบบไร้จุดหมาย 5. แล้วอย่างค่า PE ที่เราเห็นของแต่ละบริษัทเชื่อได้ไหมคะว่าเป็นค่านั้นจริงๆ (หรือควรคำนวณเองดูค่ะ) ค่า PE มีวิธีคิดหลายแบบ ต้องลองศึกษาดู ส่วนค่า PE ที่เราเห็นของแต่ละบริษัทในเวบ มักจะเป็นค่าคร่าวๆจากตัวเลขในอดีต ค่า PE ถ้าเราอยากจะทราบ ณ.ปัจจุบัน หรืออนาคต เราต้องคำนวณเอง
โดย
Tibular
พุธ ก.ย. 30, 2020 11:28 am
0
3
Re: การเป็นนักลงทุนแนว VI (จะขายหุ้นช่วงไหนดี)
เพิ่มเติมอีกข้อนะ การขายหุ้นอย่าไปอิงกับระยะเวลามากเกินไป อย่ายึดติดกับคำว่าถือยาวมากเกินไปคุณจะเสียโอกาสเสมอ แม้ว่าจะเป็น Super Stock ก็ตาม เพราะเราเป็นนักลงทุน มิใช่เจ้าของหุ้น เราต้องขายหุ้นเมื่อหุ้นที่เราถือเกินมูลค่ามากๆในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะดีกว่า ยกตัวอย่าง ช่วงราคาน้ำมันราคาสูง นักลงทุนหลายท่านก็ขาย PTTEP ไป ช่วงราคาถ่านหินสูง ก็ต้องขาย BANPU ช่วงราคาหุ้น HMPRO สูงมากเกินไปก็ขายได้ ช่วงหุ้นหนังสือดี ช่วงหุ้นไอทีดี ราคาเกินมูลค่าก็ขาย ช่วงหุ้นส่งออกทำกำไรดี ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากก็ขายได้ กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ผ่านมาหลายตัวก็ต้องขาย ค้าปลีก โรงพยาบาลก็เช่นกัน ถ้าติดตามจะเห็นว่านักลงทุนหลายๆท่าน นั้นขายหุ้นนะถ้าคิดว่าได้ผลตอบแทนเหมาะสม สิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นคือการบริหารพอร์ตให้เหมาะสม เราต้องขยานฐานเงินทุนด้วย ถ้าไม่ขายฐาน เงินทุนเราจะไม่ขยาย ผลตอบแทนเราจะไม่เติบโต อย่ากลัวว่าจะไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม เพราะตลาดหุ้นเคลื่อนไหวตามดีมานด์-ซัพพลาย มุมมองและอารมณ์ของผู้ลงทุนในตลาดต่อข่าวสาร เศรษฐกิจ และพื้นฐานกิจการ เพราะฉะนั้นจะมีจุดให้เราลงทุนได้เสมอ ถ้าเรามีข้อมูลพร้อม รู้จักอดทนและรอคอย อย่าไปคิดว่าตลาดหุ้นแบ่งแยกกับเศรษฐกิจจริง เพราะภาพเศรษฐกิจและธุรกิจ จะสะท้อนมาที่ตลาดหุ้นเสมอ
โดย
Tibular
พุธ ก.ย. 23, 2020 2:43 pm
0
13
Re: เวลาที่อ่านบทวิเคราะห์ ให้น้ำหนักกับบทวิเคราะห์นั้นมากน้อยแค่ไหนครับ
ให้น้ำหนักกับข้อมูล ข้อเท็จจริง มากที่สุด เพราะนักวิเคราะห์ใกล้ชิดกับข้อมูลในระดับน่าเชื่อถือได้ ประมาณการทางการเงินต้อง ดูว่าสอดคล้องกับความเป็นจริงของกิจการไหม ให้น้ำหนักกลางๆ แต่ส่วนใหญ่นักวิเคราะห์ทำการบ้านมาค่อนข้างใช้ได้ ความคิดเห็น ยกไว้ ฟังกลางๆ ไม่ให้น้ำหนัก ราคาเป้าหมาย ดู WACC ว่าสมเหตุสมผลไหม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมองโลกในแง่ดี จึงไม่ให้น้ำหนัก ราคาเป้าหมายปรับได้ตามความสนใจหุ้นของนักลงทุน ณ.ตอนนั้น กับภาพในอนาคตของหุ้นแต่ส่วนใหญ่ก็มองโลกในแง่ดี จึงไม่ให้น้ำหนัก ส่วนเรื่องความเสี่ยง บทวิเคราะห์เตือนช้ามาก และน้อย ไม่ทันเหตุการณ์ และอีกครั้งมองโลกในแง่ดีเสมอแม้มีความเสี่ยง
โดย
Tibular
จันทร์ ส.ค. 10, 2020 10:12 am
0
5
Re: ถ้าจะเป็นVI จำเป็นต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ไหมครับ
ภาษาจำเป็นเพื่อข้อมูล ข่าวสาร ทันโลก อย่างน้อย ภาษาอังกฤษต้องฟัง อ่าน เข้าใจ ถ้าได้ภาษาอื่นๆด้วยจะดีมาก
โดย
Tibular
จันทร์ ส.ค. 10, 2020 9:59 am
0
0
Re: อายุยืนอย่างมีคุณภาพ (4)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ธรรมชาติมีเกิดมีเสื่อมมีส่งผลกระทบต่อเนื่อง การจะใช้ยาที่ผลิตทำให้ร่างกายคงหนุ่มสาว โดยไปกระตุ้นการทำงานของ ไมโตคอนเดรียกับนิวเคลียสเซลล์ฟังดูดี แต่ผลที่ได้คงต้องส่งผลกระทบตามมาแน่ๆ ร่างกายมีสมดุล เช่น ภาวะที่ NAD+ เกิดขึ้น มันเป็นไปเพราะการออกกำลังกาย พอออกกำลังกายเสร็จ ร่างกายต้องการการฟื้นฟูของระบบต่างๆ หรือ แม้กระทั่งการอดอาหารก็เป็นการกระตุ้นร่างกาย ให้สร้างเซลล์ทดแทน จึงทำให้ดูหนุ่มสาว แต่การอดอาหารหรือออกกำลังกายมากเกินไปก็มีผลเสีย ่่ต่อระบบร่างกาย เช่น ร่างกายอ่อนล้า ระบบสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย หัวใจทำงานหนัก และสำหรับคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์และอาจมีโรคอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้ความดันสูง เส้นเลือดตีบ ฯลฯ ส่วนการอดอาหารนานๆ ก็แน่นอน กระเพาะอาหารอาจเกิดแผลในกระเพาะ รวมถึงการขาดสารอาหารอื่นๆจนไปกระทบกับ ระบบต่างๆในร่างกายเป็นต้น การคิดเพิ่มปริมาณ NAD+ (โดยการบริโภค NMN) เพียงเท่านี้ แล้วหวังว่าจะทำให้ร่างกายทำงานได้ดีจึงมีความเสี่ยง เพราะมันต้องไปส่งผลเสียในร่างกายระยะยาวแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
โดย
Tibular
พุธ ต.ค. 25, 2017 2:35 pm
0
7
Re: เมื่อไรหุ้นไทยจะขึ้น /ไพบูลย์ นลินทรางกูร
อ่านแล้วขัดๆ นักลงทุนก็รู้ว่าเป็นเพราะ PE ตลาดที่สูง เกิดจากการคาดหวังการเติบโต แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่เติบโตเท่าไหร่ ซึ่งมันก็สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจ หุ้นจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ได้อย่างไร ถือว่าแค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ สภาพเศรษฐกิจทรงๆ ไม่ได้ดีอะไร ปีหน้าก็คงทรงๆ การลงทุนใหญ่ๆ ที่ตีปี๊บอย่างนั้นอย่างนี้ กว่าจะได้เริ่มโครงการนี่อีกปีสองปี เพราะความล่าช้าของการอนุมัติโดยภาครัฐ ถึงจะเร็วแล้ว แต่ก็อย่างต่ำหกเดือน สภาพการบริโภคที่ทรงๆ เอกชนก็ไม่ลงทุนใหม่ เพราะอัตรากำลังผลิตไม่ถึงขีดที่ต้องขยาย มีแค่ไม่กี่อุตสาหกรรมที่พอไปได้ การส่งออกก็งั้นๆ รักษาระดับเฉยๆ สรุปอะไรก็ทรงๆ น่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี การเอา PE ไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านนี่ก็อีกหยาบมาก สภาพเศรษฐกิจสังคมของแต่ละประเทศก็ต่างกันไปเอา PE มาเทียบได้อย่างไร คงต้องหันมานำเข้าแรงงานกันอย่างจริงจังทดแทนแรงงานไทยที่ยกระดับตัวเองขึ้น มองว่าต้องเปิดประเทศด้านแรงงานก่อนเพื่อน เพื่อดึงดูดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้เค้ามาอยู่กับเราและอยากอยู่ เหมือนที่อเมริกาเคยทำ เริ่มจากแรงงานเริ่มต้นจนถึงระดับหัวกะทิ เพื่อทดแทนอัตราเกิดที่ต่ำลง จัดระบบให้ดี การลงทุนใหม่ๆสำคัญมาก จะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ เราต้องลงทุน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาทดแทนโดยเร็ว อย่าไปกลัวเรื่องคนแก่ตัวมากเกินไป เพราะเทคโนโลยี จะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้ระดับนึง ประเทศเรายังกว้างใหญ่ มีพื้นที่อีกมากในการพัฒนา ที่สำคัญประเทศเรามีเงินเหลือแล้ว ทั้งสองอย่างก็เป็นรัฐบาลกำลังทำอยู่ ช่วงนี้ก็เหมือนเป็นช่วงทรงๆ อนาคตก็ค่อยๆดูกันไป การลงทุนหุ้นในช่วงนี้ก็หวังมากไม่ได้ ประคองตัวกันไป
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. ส.ค. 17, 2017 11:25 am
0
5
Re: สวัสดีครับชาวviทุกท่านผมสมาชิใหม่มีเรื่องขอความเห็นครับ
ขอตอบให้สั้นๆนะครับ 1intuchตอน55บาท5พันหุ้นตัวนี้กะถือยาวปันผลสูง - I์NTUCH ปันผล จะขึ้นกับกำไรของ ADVANC มากนะครับ อีกส่วนนึงจะมาจาก THCOM ก็ไปดูว่า ณ.ตอนนี้ กิจการของ ADVANC ยังกำไรดีเหมือนเดิมซึ่งจะทำให้จ่ายปันผลได้มากเท่าเดิมหรือเปล่า? ถ้าไม่ดีเท่าเดิม ปันผลที่สูงอาจจะได้น้อยลง 2bafsตอน46บาท5พันหุ้นถิอตามดร.นิเวศน์ปันผลไม่ค่อยมากแต่ถือว่าแข็งแกร่งขึ้นลงไม่มากกะถือยาวรอซื้อเพิ่มตอนลง - BAFS เป็นไปตามการเติบโตของเที่ยวบินและปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและโอกาสในการลงทุนเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน แข็งแกร่งไหมก็ดูจากความคึกคักของการท่องเที่ยวโดยใช้เครื่องบิน ปันผลไม่ค่อยมากเพราะซื้อที่ราคาค่อนข้าง สะท้อนการเติบโตของกำไรในอนาคต 3ttwตอน10.5บาท1.8หมื่นหุ้นถามในพันทิพยคล้ายๆintuchแต่แกว่งตัวไม่มาก - ไม่คล้าย INTUCH เพราะทำธุรกิจคนละอย่างกัน TTW นั้นได้สัมปทานการให้บริการน้ำประปาในบางจังหวัดของภาคกลาง การบริโภคน้ำประปา เป็นสิ่งจำเป็นแต่การเติบโตก็ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนใหญ่ก็จะปรับราคาตามเงินเฟ้อ 4กองทุนdif14.40 1.2หมืนหุ้นถือตามดร.กวีกสิกรไทยแนะนำปันผลหลายรอบไม่เสียภาษี - กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มีอายุจำกัด แม้จะยกเว้นภาษีเงินปันผลให้ แต่ถ้าผ่านไปไม่มีการลงทุนใหม่ NAV จะลดลง ราคาจะลดลงจนไม่คุ้มกับปันผล ก็ให้ระวัง ณ.จุดนี้ไว้ อย่าซื้อที่ราคา P/B มากเกินไป และควรดูระยะเวลาที่เหลือของสัญญาต่างๆให้ละเอียด 5aotตอน58 5พันหุ้นตามเพื่อนบอกว่าเป็นหุ้นเติบโต แต่ซื้อขายบ่อยซื้อตอน54ขายตอน56 ซือตอน56.5ขาย57.5รู้งี้ไม่ซื้อขายบ่อยดีกว่าขาดทุนค่าคอมเลยจับใหม่ตอน58 อยากขอความเห็นviทั้งหลายเกี่ยวกะหุ้นตัวนี้ครับ - ก็เป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมการบิน เที่ยวบินมาก คนใช้บริการมาก ก็เก็บค่าบริการได้มาก การเติบโตมาจากการท่องเที่ยวซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินในกระเป๋าของผู้คนในภูมิภาคต่างๆ ค่าโดยสารเครื่องบินซึ่งถูกลงมากจากต้นทุนน้ำมัน ค่าเงิน ความชอบในสถานที่ท่องเที่ยว การโปรโมตของแต่ละประเทศ ฯลฯ การซื้อขายบ่อยจะโดนค่าคอมมิชชั่นกินไปเรื่อยๆ ราคาของหุ้นที่เป็นที่นิยมว่ามีอนาคตที่ดี(หรือเปล่า?)ก็จะแพงขึ้นซึ่งบางที คนที่ไปซื้อตอนที่ทุกคนรู้ว่ามันจะดี จะได้ของแพงไปจนไม่คุ้มกับการลงทุนแม้ว่าหุ้นจะเติบโตไปได้อีกหลายปี 6tmwกะเอาปันผลจะขึ็นxd 26กค.60จับตอนก่อนขึ้นxdประมาณเดือนครึ่งตอน43 ฟังนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งจำชื่อไม่ได้บอกซื้อเวลาดังกล่าวขายหลังxdประมาณ2เดือนจะมีผลกำไรประมาณ10%แต่คัทลอสตอนลงเกิน5%ตอนนี้เด้งกลับ43เสียดายเหมือนกันครับใจไม่นิ่งพอ -TMW ไม่มีคอมเม้นท์ครับ เพราะไม่ได้ติดตาม 7ตามความเห็นดร.นิเวศว่าให้หาหุ้นที่peหารgน้อยกว่า1 จะมีผลตอบแทนปีหนึ่งจะกำไรประมาณ10กว่า%จึงจัด5ตัวตัวละประมาณ1.5หมื่นบาทประกอบด้วย zmico spcg hft pdi rml ขาดทุน4ตัวคัทลอสpdiลงมา7%กว่าhftตอนแรกกำไรประมาณ10%ตอนนี้เสมอตัวครับ - PE/G ใช้กับหุ้นเติบโตที่การเติบโตของกำไรค่อนข้างสม่ำเสมอนะครับ ซึงต้องเป็นหุ้นที่มีความต้องการในสินค้าและบริกาเพิ่มขึ้น และมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี(ในช่วงขณะนั้น) แต่อาจจะไม่สามารถใช้กับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ยาง เหมืองแร่ หรือ อสังหาริมทรัพย์ หรือ กลุ่มโบรคเกอร์ ตามว่ารบกวนviทุกท่านดูพอทผมให้ทีว่าสมควรปรับแต่งตรงไหนอะไรอย่างไร เพราะจริงๆอยากเป็นviแต่ตอนหุ้นแก่วงตัวมากๆซื้อขายบ่อย(aot tmw)เลยไม่ทราบ่ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนแบบไหน ขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้าครับ และขออภัยadminด้วยถ้าทำผิดกฎ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ -VI หรือไม่ VI ก็ไม่สำคัญครับ ถ้าเป็นการลงทุนก็ต้องดูภาพระยะยาวสิ่งที่เราสนใจ ถ้าหุ้นก็ต้องดูที่กิจการว่าเป็นอย่างไร และซื้อให้ได้ราคาที่ไม่แพงหรือมีส่วนลดมากที่สุดและรอกำไรที่จะค่อยๆเพิ่มจนราคาหุ้นสะท้อนคุณภาพของมัน นั่นทำให้เราได้กำไร ระหว่างนั้นถ้าหุ้นมีกระแสเงินสดที่ดี ก็จะได้ปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และเราต้องคอยตรวจสอบดูความคิด หรือ สมมุติฐานของเราเรื่อยๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจว่าจะ ถือหุ้น ขายหรือซื้อเพิ่มเติม ได้อย่างเหมาะสมครับ ราคาหุ้นแกว่งตัวทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี การซื้อขายบ่อยๆบ่งบอกว่าเป็นการเทรดดิ้ง-เก็งกำไร ซึ่งต้องอาศัยทักษะมาก ควรศึกษาต่อไปครับ ส่วนการปรับแต่งพอร์ท ก็ให้ขึ้นกับความรู้ที่เรามีครับ ข้อแนะนำของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเก่งๆ ก็มันจะบอกให้หาความรู้ในการลงทุน-เก็งกำไร เรียนรู้จากประสบการณ์ เริ่มแต่น้อย อาศัยเหตุผล-คิดเองให้มาก สร้างพอร์ทที่มีการกระจ่ายความเสี่ยงที่เหมาะสมสำหรับเรา มีการจัดการเงินทุนที่ใช้ในช่วงเวลาที่ดีและร้าย ควบคุมอารมณ์ ต้องระวังเรื่องความคิด เช่น เรื่องที่คิดว่าเรารู้แต่จริงๆเราไม่รู้ เรื่องที่เราไม่รู้แต่คิดว่ารู้ และพยายามอย่าขาดทุน-เอาตัวรอดให้ได้ก่อน
โดย
Tibular
ศุกร์ ก.ค. 21, 2017 11:31 am
0
23
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
ยังไม่ควรออกจากงานครับ ถ้ามุ่งมั่นในการลงทุน สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลแล้ว การมีเงินมาเติมพอร์ตจากรายได้อย่างเงินเดือน ฯลฯ ถือว่าดีมาก ดีกว่ามาหวังพึ่งกำไรจากการลงทุนหรือเงินปันผลที่เหลือจากรายจ่ายของเรา มาลงทุนเพิ่ม ซึ่งนับจากนี้การลงทุนจะหวังผลตอบแทนระดับสูงได้ยากพอสมควร บัฟเฟตเอง ก็ไม่ได้ใช้เงินลงทุนอย่างเดียว แต่มีเงินทุนเพิ่มเติมจากบรัษทประกัน และอื่นๆ การทำงานอย่างมีความสุข ไม่ใช่การหนีปัญหาต่างๆ แม้จะออกจากงานเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ก็จะเจอปัญหาอีก ถ้ามีโอกาสอยู่แล้วควรใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด อย่าประมาทเพราะการลงทุนนั้นมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ คุณจะเครียดเปล่าๆ อย่าเพิ่งไปฟังความเห็น นักเขียน หรือกูรูคนนั้นคนนี้ แล้วเอามาเป็นบรรทัดฐาน ให้ถาม ตัวเอง ว่าสถานะ ความพร้อม ประสบการณ์ และการใช้ชีวิต คุณเองจะลำบากมากไหม อย่าให้ ความคิด ความอยาก ทิฐิ ความเชื่อ มาจูงคุณไป พระผู้มีพระภาคเจ้า (ถ้าคุณนับถือพุทธ ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณควรเชื่อมากที่สุด มากกว่าผู้รู้ใดๆ) ทรงสอนไว้เรื่องกรรม กล่าวคือ ท่านว่าไว้ว่าเจตนา(ความคิด)ว่าเป็นกรรม ความคิดนั่นแหล่ะเป็นตัวกรรม คิดแล้วทำอะไร ให้มองให้รอบคอบ ว่ากรรมนั้น ทำให้ตัวเองลำบาก ผู้อื่นลำบากหรือเปล่า เป็นประโยชน์ หรือ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลไหม มีสุขเป็นผล มีสุขเป็นวิบาก(คือผลถัดไป)ไหม หรือ เป็นอกุศล(การฆ่า การลักทรัพย์ พูดหยาบ พูดยุแยง เพ้อเจ้อไม่มีเหตุผล โกหก ล่วงเกินผู้คนที่มีผู้ปกป้องรักษา เสพสุราเมรัยจนครองสติไม่อยู่ และมีความคิดว่า ทำดีไม่มีผล ทำบุญบูชาไม่มีผล พ่อ แม่ ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี สมณะผู้ปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไม่มี) ซึ่งทำให้ มีความทุกข์เป็นผล ทุกข์เป็นวิบาก หรือเปล่า แล้วค่อยคิดค่อยทำกรรมนั้นๆ ถ้าจะทำอะไรลงไปพียงเพราะทัศนคติ แค่ว่า ความสุขที่เกิดจากการกัาวข้ามผ่านอุปสรรคยากๆ อย่างที่นักเขียนว่าไว้ตามหนังสือที่คุณอ่าน ว่าจะทำให้ชีวิตยากจะมีความสุข นั้นเป็นจริงอย่างที่เค้าว่าไว้หรือเปล่า ผมอยากให้กลับความคิดว่า อุปสรรคยากๆตอนนี้ก็คือ ความคิดในหัวคุณนั่นแหละ ก้าวข้ามตรงนี้ไปได้คุณก็จะมีความสุข
โดย
Tibular
พุธ มี.ค. 29, 2017 11:02 am
0
14
Re: แนวคิดการลงทุนหุ้นปันผล
อันตรายมากครับถ้าจะดูแค่ปันผล เพราะราคาหุ้นนั้นขึ้นลงไปตามปัจจัยต่างๆ นั่นอาจทำให้เราขาดทุนได้มากกว่าปันผลเสียอีก เพราะฉะนั้น เราควรดูการเติบโตของกิจการมากกว่า หลักที่สำคัญนั้น ปีเตอร์ ลินซ์ ให้ดูว่า กิจการมีการเติบโตยังไง คือ 1. ลดต้นทุน 2. เพิ่มราคา 3. ขยายตลาดใหม่ 4. ขายสินค้าและบริการให้ลูกค้าเดิมได้มากขึ้น 5. ตัดขายหน่วยธุรกิจที่ไม่มีกำไร ลองมองดูให้ดี เรื่องพวกนี้ไม่ยากเกินไปครับ ทีนี้ เรื่องสำคัญ คือเรา ต้องให้ความสำคัญกับราคาซื้อหน่อย ว่าแพง หรือ ถูก ซึ่งการที่เราจะรู้ว่าหุ้นแพงหรือถูก เราต้องสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้นั่นเอง ตรงนี้ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์มากพอ... และเวลาจะซื้อหุ้นต้องมีมาร์จินออฟเซฟตี้ครับ ไม่งั้นอันตราย จะมองแค่ปันผลเป็นหลักไม่ได้
โดย
Tibular
เสาร์ มี.ค. 18, 2017 12:43 am
0
11
Re: การลงทุนแนววีไอ ในอนาคต
คับ ก็คงลำบากขึ้นหน่อย แต่นักลงทุน VI ในตลาดพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาก็ยังสามารถอยู่ได้ ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยบริษัทจะน้อยกว่าเยอะ แต่แนวการลงทุนอิงพื้นฐานอย่าง VI ก็ยังสามารถประยุกต์ได้เสมอ ถึงแม้ตลาดในไทยจะอิ่มตัว แต่บริษัทจดทะเบียนที่ขยายการลงทุนไปต่างประเทศก็ยังเติบโตได้ หรือแม้แต่กองทุนอสังหาฯ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ หรือกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศเราก็ลงทุนได้ถ้าไม่สามารถออกไปลงทุนตลาดต่างประเทศได้โดยตรง ก็ยังพอมีอยู่มาก ซึ่งถือว่ายุคนี้ ช่วงต่อจากนี้ เรามีเครื่องมือต่างๆให้ใช้ในการลงทุนเยอะขึ้นซึ่งเป็นข้อดีมาทดแทน ไม่ว่าข้อมูลข่าวสาร กฏเกณฑ์ระเบียบที่โปร่งใส ความรับผิดชอบของบริษัทจดทะเบียน-บรรษัทภิบาล และที่สำคัญ โบรกเกอร์ก็เอาอกเอาใจเราในการให้บริการต่างๆ ตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีประสิทธิภาพในการซึมซับข่าวสารเร็วขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนมูลค่าได้เร็วทันที นักลงทุน VI ที่ประเมินมูลค่า และการเติบโต บนสมมุติฐานที่แตกต่าง และมีมุมมองที่เฉียบคม ก็ยังสามารถหาหุ้นลงทุนได้คับ แต่ต้องขยันขึ้นมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และต้องเน้นไปที่การการกระจายความเสี่ยงให้มาก(มุมมองส่วนตัว) และการบริหารพอร์ต(Asset Allocation)ให้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงมีการ Re-evaluate มูลค่าหุ้น และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนเป็นระยะๆเสมอๆ เรียกได้ว่าต้องรอบคอบขึ้นกว่าเดิมเยอะสำหรับสภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2016 12:41 am
0
12
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจครับ อวิชชา, อาสวะ, นิวรณ์, อนุสัย ต่างกันอย่างไร http://faq.watnapp.com/word/296-04-00-0039 พระอรหันต์ มีทั้งแบบสุขและทุกข์กระทบท่านอยู่ กับ แบบเวทนาที่ดับเย็นครับ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ กับ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ต่างกันอย่างไร http://faq.watnapp.com/th/practice/85-old-practice/382-01-02-0016 จิต คือ กริยาที่รู้แจ้งครับ การดูจิตอย่างละเอียด ทำอย่างไร http://faq.watnapp.com/th/practice/85-old-practice/679-01-02-0069
โดย
Tibular
อังคาร เม.ย. 05, 2016 11:11 pm
0
1
Re: ถ้าคุณเป็นผูุ้ถือหุ้นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15M
ซึ่ง มันจะกระทบผลการดำเนินงานให้ทรงๆ ไม่ดี หรือ ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรทรงๆ ลดลง หรือ เพิ่มขึ้น และกระทบผู้ถือหุ้น ทำให้มูลค่าหรือราคาหุ้น ทรงๆ ลดลง เพิ่มขึ้น และเงินปันผลที่ได้รับ ว่าจะทรงๆ ลดลง หรือเพิ่มขึ้น ต่อไป... สำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและความมีธรรมาภิบาลของกิจการล่ะครับ ทางเลือกมีน้อย เสียงมีน้อย สุดท้ายถ้าไม่ไหวหรือรับไม่ได้ก็ต้องขายหุ้นทิ้งเป็นทางออก หรือใครมี MoS มากหน่อยก็รับผลกระทบได้เยอะและนาน ถ้าน้อยมาก หรือไม่มีเลย ก็ลำบากไป...
โดย
Tibular
ศุกร์ พ.ย. 13, 2015 7:37 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ตรงส่วนที่ขีดเส้นใต้นี้ “...กาลามชนทั้งหลาย อริยะสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง 4 ประการ..." แก้คำผิดเป็นอย่างนี้นะครับ ขอโทษทีครับตรวจไม่ละเอียด “...กาลามชนทั้งหลาย อริยะสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง 4 ประการ..."
โดย
Tibular
อาทิตย์ ก.ย. 27, 2015 10:55 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ตามพระสูตร ที่พระศาสดาตรัสบอกสอนนะครับ (ขอย่อนะครับ เพราะยกพระสูตรมาได้ไม่หมด) จากปฏิจจสมุปบาท เพราะมีอวิชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี เพราะมีสังขารทั้งหลายเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี ฯลฯ วิญญาณ จะทำงานกับ นามรูป จึงปรากฏเป็นการเกิดกองทุกข์ตามมา (เกิด แก่ เจ็บตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ มีความปราถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น) ถ้าสัตว์(หรือสิ่งๆหนึ่งหรือตัวเราที่แท้จริง)ซึ่งเป็นผู้หลงอยุ่เพราะมีอวิชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก ดังสัตตสูตรนี้ http://etipitaka.com/read/thai/17/191/ ทำให้สัตว์นั้นยังมีฉันทะ(ความพอใจ) ราคะ(ความพอใจอย่างยิ่ง) นันทิ(ความเพลิน) ตัณหา(ความอยาก) ในขันธ์ห้า(รป1นาม4) หรือ อายตนะทั้งหก(รูป5นาม1) คือ รูป(กาย) เวทนา(พอใจ ไม่พอใจ เฉย) สัญญา(ความจำได้หมายรู้) สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง) วิญญาณ(กริยาที่รู้แจ้ง) และ ตา(รูป) หู(เสียง) จมูก(กลิ่น) ลิ้น(รส) กาย(สัมผัส) ใจ(ธรรมารมณ์) ก็จะมีการเกิดต่อไปครับ แม้ว่ารูปหรือร่างกายจะตายไปก็ตาม แต่ จิต(กริยารู้แจ้งในขันธ์ทั้งสี่คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร) หรือ วิญญาณ(กริยาที่รู้แจ้งทางอายตนะทั้งหก) ยังทำงาน จึงทำให้เกิด นามรูปตามเจตนาหรือกรรมที่ทำมา ซึ่งพระศาสดาเรียกการได้อัตภาพนี้ว่าเป็นกรรมเก่า เช่น กรรมเก่าทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือเกิดในภพภูมิต่างๆ จิต มโน วิญญาณ ความหมายคือ กริยาที่รู้แจ้งนะครับ เป็นธาตุที่มีตามธรรมชาติ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวันตลอดคืนดังพระสูตรนี้ อัสสุตวตาสูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้นยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดคืนและตลอดวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติหลักในการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์แปด หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ สมถะ วิปัสสนา หรือ อานาปานสติ เพื่อทำการละอาสวะและอนุสัยที่คุ้นเคยกับอกุศลออกไปก่อน จึงจะทำให้จิตเกิดสมาธิ เห็นการทำงานของขันธ์ห้า ว่าไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้นและดับไป บังคับไม่ได้ เป็นไปตามปัจจัย(เหตุ) เห็นอกุศลที่ทำให้มีการเกิด คือ ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา ที่มีในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรียกว่าอุปทาน(ความเพลินใดในรูป ฯลฯ) ถ้าทำบ่อยๆหรือเห็นบ่อยๆก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากสิ่งเหล่านี้ และจะคิดได้ว่า จิตนี้หลอกเราเหมือนที่พระศาสดาว่าไว้ว่า “ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลายเอ๋ย! นานจริงหนอที่เราถูกจิตนี้ คดโกง หลอกลวง ปลิ้นปลอก, จึงเมื่อเรามายึดถือ ก็ยึดถือเอาแล้ว ซึ่งรูป, ซึ่งเวทนา, ซึ่งสัญญา, ซึ่งสังขาร, และซึ่งวิญญาณ นั่นเทียว : เพราะความยึดถือ (อุปาทาน) ของเรานั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ, เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ, เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ก็จะเข้าสู่สภาวะที่ท่านเรียกว่า สงบ ปราณีต หรือ อมตะธรรม หรือ เป็นความไม่มีโรค เป็นนิพพาน คือไม่ปรากฏอีกในสังสารวัฏ หรือ บรมสุขที่แท้จริง สรุปในเรื่องภพนี้ภพหน้า ชาตินี้ชาติหน้าว่าควรสนใจไหม พระศาสดาตรัสไว้ในส่วนหนึ่งของ เกสปุตตสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=4930&Z=5092 “...กาลามชนทั้งหลาย อริยะสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ย่อมได้ประสบความอุ่นใจถึง 4 ประการ ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดี ทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่าเมื่อเราแตกหายทำลายขันธ์ไปแล้วจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เป็นความอุ่นใจประการที่ 1 ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมที่ทำไว้ดี ทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครองตนอยู่โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่ แต่ในชาติปัจจุบันแล้ว เป็นความอุ่นใจประการที่ 2 ถ้าเมื่อคนทำชั่วย่อมได้ชั่ว แต่ถ้าเราไม่ได้คิดร้ายต่อใคร ที่ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้อง เราผู้มิได้ทำบาปกรรม เป็นความอุ่นใจประการที่ 3 ก็ถ้าเมื่อคนไม่ทำชั่ว ก็ไม่มีชื่อว่าเป็นอันชั่วไซร์ ในกรณีนี้เราเห็นว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน เป็นความอบอุ่นใจประการที่ 4..." แล้วก็เรื่องการปรากฏขึ้นของวิญญาณและนามรูป พระศาสดาทรงอุปมาเหมือนแสงกับฉากรับแสง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรือนยอด[ปราสาท] หรือศาลามีสองยอด หน้าต่างด้านทิศตะวันออก อันบุคคลเปิดไปทางเหนือหรือทางใต้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปแสงสว่างส่องเข้าไปทางหน้าต่าง จะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ฯ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ตั้งอยู่ที่ฝาด้านตะวันตก พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าฝาด้านตะวันตกไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ฯ ภิ. ที่แผ่นดิน พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแผ่นดินไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ฯ ภิ. ที่น้ำ พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าน้ำไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ฯ ภิ. ไม่ตั้งอยู่เลย พระเจ้าข้า ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ไม่มีอยู่ในกวฬีการาหารไซร้ ... ในผัสสาหารไซร้ ... ในมโนสัญเจตนาหารไซร้ ... ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ไม่งอกงามในวิญญาณาหารนั้น ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใด ไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้นย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใด ไม่มีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่าไม่มีความโศก ไม่มีธุลีไม่มีความคับแค้น ฯ
โดย
Tibular
เสาร์ ก.ย. 26, 2015 3:26 pm
0
2
Re: The genius of Warren Buffett in 23 quotes
ชอบส่วน On gold และขำกลิ้งมากครับกับมุขของลุง ลุงแกบอกว่า ถ้ารวมทองคำทั้งหมดในโลกมาหลอมเป็นลูกสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จะได้ลูกเต๋าทองคำยักษ์ที่มีความกว้างเท่ากันด้านละ 67 ฟุตเลยทีเดียว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านยูเอสดอลล่าซึ่งคิดเป็นเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดของอเมริกา(ประมาณ 20 ล้านล้านยูเอสดอลล่า) มูลค่าลูกเต๋าทองคำยักษ์นี้สามารถซื้อฟาร์มในอเมริกาได้ทั้งหมดและสามารถซื้อบริษัทอย่าง Exxon Mobil ได้ถึงเจ็ดบริษัท แถมยังมีเงินเหลือใช้เล่นๆอีกต่างหากหนึ่งล้านล้านยูเอสดอลล่า ลุงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า แกคงจะบ้าถ้ามานั่งกอดจูบลูบคลำลูกเต๋าทองคำยักษ์
โดย
Tibular
อาทิตย์ ส.ค. 23, 2015 12:09 pm
0
1
Re: ศ.ก. ของประเทศไทยที่ตกต่ำทุกวันนี้ เนื่องมาจากการผูกขาด
เป็นประเด็นที่น่าคิดเหมือนกันนะครับ สำหรับภาวะประเทศในปัจจุบัน รัฐบาลเอาเข้าจริงๆก็เป็นแค่รักษาการณ์เท่านั้น ภายใต้สภาวะแบบนี้ ถึงแม้ว่าการทำอะไรจะดูเหมือนมีอำนาจเต็มในการจัดการปัญาหาต่างๆ แต่จริงๆแล้วอาจทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะผลกระทบในอนาคตยังบอกได้ยาก เช่น โครงการต่างๆที่ได้ดำเนินงานไป จะได้รับการสานต่อไหม หากคืนอำนาจสู่ระบบปกติ รัฐบาลต่อไปที่ได้รับการเลือกตั้งจะสานต่อไหม เลยทำให้การพิจาราณาอะไรต้องใช้เวลามาก และต้องประสานงานไปยังส่วนต่างๆ รวมถึงทัศนคติของผู้ที่ได้เลือกมาทำหน้าที่รัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้ บางท่านบางกระทรวงแนวคิดดี แต่ออกมาผิดที่ผิดเวลา เช่น การเก็บภาษีที่ดิน ส่วนทางด้านเศรษฐกิจที่มีปัญหาภาวะถดถอยลง ส่วนนึงอาจเป็นเพราะประเทศอื่นเค้าก็ทำใจลำบาก เหมือนกันที่ต้องค้าขายกับประเทศที่ยังไม่อยู่ในภาวะปกติ เลยค้าขายไม่ได้เต็มที่ และอีกประเด็นนึงคือฝีมือการทำงาน ของทีมเศรษฐกิจที่ยังน่ากังขาว่าเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดขึ้นดีแค่ไหน
โดย
Tibular
ศุกร์ เม.ย. 17, 2015 2:28 pm
0
2
Re: ศ.ก. ของประเทศไทยที่ตกต่ำทุกวันนี้ เนื่องมาจากการผูกขาด
ศ.ก. ของประเทศไทยที่ตกต่ำทุกวันนี้ เนื่องมาจากหลายปัจจัยครับ 1. ภาคการส่งออกใน ภาคอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ข้าว ดำเนินนโยบายผิด ยาง ความต้องการยางจากจีนหดตัว น้ำตาล หดตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันลดลงและปริมาณซัพพลายเกิน ภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์เด่นๆของไทย เช่น ฮาร์ดดิสก์ หดตัวลงเพราะความต้องการใช้งานน้อยลง ตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความนิยมของผู้บริโภค ที่หันมานิยมสมาร์ทโฟน และแท็ปเลตมากกว่า 2. ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น และ การยกระดับสินค้าในการแข่งขันกับชาติอื่นๆ เราผลิตสินค้าที่ใช้ต้นทุนแรงงานเป็นหลักมาสิบกว่าปีแล้ว จากสมัยที่เปลี่ยนจากการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลัก ซึ่งด้วยการเปลี่ยนแปลงจากการสินค้าเกษตรเป็นหลัก มาเป็นสินค้าอุตสาหกรรม ทำให้รายได้ของคนไทยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดการจ้างงานหลากหลายประเภทในหลายอุตสหกรรม แต่ตอนนี้หมดยุคแบบนี้แล้ว เพราะประเทศที่ตามเรามา เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา พม่า ได้ทดแทนอุตสาหกรรมเหล่านี้ที่เราเคยทำมาก่อน รวมถึงจีนด้วย ซึ่งในจีน ค่าแรงขั้นต่ำก็เพิ่มขึ้นมาก จนต้นทุนต่างๆเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ส่วนของการส่งออกจีนก็ฃะลอตัวลงไป จีนเลยหันมา เพิ่มการบริโภคในประเทศ จึงส่งผลให้การนำสินค้าเข้ามาผลิตลดลง ทำให้ประเทศผู้ส่งออกขั้นต้นและวัตถุดิบชะลอดตัวลงไปด้วย ทำให้รายได้จากการส่งออกของประเทศเหล่านั้นลดลง 3. การลงทุนใหญ๋ๆในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเราไม่ได้ทำมานานแล้ว เราสร้างแต่ถนน ส่งเสริมการใช้รถขนส่ง ขนสินค้า ซึ่งต้องพี่งพาพลังงานอย่างมาก ประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานน้อยกว่าการบริโภคอย่างประเทศเราจึงเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงาน เราไม่ได้สนใจในเรื่องโลจิสติกส์เลย ไม่เหมือนประเทศที่เค้ารู้ตัวว่าเค้ามีพลังงานน้อย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงค์โปร์ มาเลเชีย ที่สนับสนุนระบบขนส่งโดยราง ทำให้ต้นทุนพลังงานลดลง จึงมีเงินลงทุนเหลือไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นเป็นเวลาหลายปี 4. การวิจัย การลงทุนในด้านเทคโนโลยี การสร้างเทคโนโลยีของตัวเองในด้านต่างๆน้อยเกินไป องค์ความรู้เหล่านี้มีประโยชน์ ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ทำให้การความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงเรื่อยๆ 5. เรื่องของค่านิยมในสังคมส่วนรวม เช่น ค่านิยมความมีวินัย ค่านิยมในการเสียสละเพื่อประเทศ ค่านิยมในการเคารพสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยเมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เรายังไม่ดูแลทรัพย์สินสาธารณะ เรายังทิ้งขยะกันไม่เป็นที่ เรายังทำอะไรตามใจ โดยไม่คิดถึงว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร แต่ใครมาละเมิดสิทธิเราเราจะโวยวาย แต่เราละเมิดสิทธิคนอื่นได้ไม่เป็นไร หยวนๆ เพราะสังคมเราเป็น สังคมที่มีน้ำใจ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะครับ จำนวนคนไทยทุกวันนี้เกือบเจ็ดสิบล้าน พื้นที่ส่วนตัวก็น้อยลง การเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ควรให้ความสำคัญ และที่สำคัญ ค่านิยมในการทำงาน เช่น หนักเอา เบาสู้ หายไปแล้ว 6. ความเชื่อๆผิดในศาสนาพุทธซึ่งมีผู้นับถือในไทยจำนวนมากโดยบัตรประชาชน เช่น เรื่องผลของกรรม ว่ามีผู้อื่นบันดาล เลยต้องอ้อนวอนบูชา บน เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อจะได้รุ่งเรือง เพื่อตำแหน่งหน้าที่ ทำให้ไม่เกิดความพยายาม ทำให้ไม่ใช้ความสามารถของตัวเอง ทำให้รอคอยความหวัง ทำให้ไม่ทำอะไร ความเชื่อเรื่องกรรมที่ผิดนั้นประกอบด้วย 1. บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน 2. บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะการบันดาลของเจ้าเป็นนาย 3. บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย ติก. อํ. ๒๐/๒๒๒/๕๐๑. 7. การเมืองของไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง และผู้ที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ ซึ่งทุกท่านเป็นคนเก่งมีความสามารถ แต่ไม่สามารถวางยุทธ์ศาสตร์การพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องได้ เพราะปัญหาต่างๆ เช่น ... ยังมีอะไรอีกไหมครับลองช่วยกันคิดดูครับ ส่วน ศ.ก. ของประเทศไทยที่จะรุ่งเรื่องในวันหน้า น่าจะมาจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ เช่น 1. กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและแปรรูปอาหาร นำโดยบริษัทส่งออกอาหารรายใหญ่ของไทย รวมถึงกลุ่มผลิตและบริการอาหาร-เครื่องดื่ม 2. กลุ่มอุตสาหกรรมการบริการ เช่น การเงินการธนาคาร ค้าปลีก การแพทย์ การท่องเที่ยว โรงแรม 3. กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์สมัยใหม่ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า แผงวงจร หน้าจอ ของสมาร์ทโฟน หรือ โซลิดสเตตไดรฟ์ 4. กลุ่มอุตสาหกรรมการบริการด้านการสื่อสาร-ดาวเทียม-มีเดีย ยังมีอะไรอีกไหมครับลองช่วยกันคิดดูครับ
โดย
Tibular
ศุกร์ เม.ย. 17, 2015 10:40 am
0
9
Re: ลองอ่านดูแล้วจะพบว่ามันเป็นความจริงครับท่านนักลงทุนทั้งห
ก็ไม่ใช่สักทีเดียวน่ะคับ คนเรียนเก่งเป็นเจ้าของธุรกิจก็มี เรียนไม่เก่งเป็นเจ้าของธุรกิจก็มี คงเหมาเข่งไม่ได้หรอก คนที่เห็นประสบความสำเร็จมาก แต่ไม่จบ เอก โท ตรี ย่อมมีคนสนใจ ข่าวออกเยอะ ข่าวประโคมเยอะ เราเลยรู้จัก คนอีกส่วนนึงอาจจะประสบความสำเร็จน้อยกว่า แต่ก็จบ เอก โท ตรี ก็มีเยอะ แต่ข่าวไม่ได้ประโคมอะไร เราเลยไม่รู้จัก ส่วนความสามารถในการสร้างธุรกิจให้เจริญ มันก็มีปัจจัยหลายอย่าง การตัดสินใจ ภาวะอุตสาหกรรม การเป็นผู้แรกๆในการเริ่มต้นธุรกิจนั้นๆ การบริหารงาน การปรับตัว การอยู่ถูกที่ถูกเวลา แม้แต่กระทั่งสายสัมพันธ์ต่างๆ ฯลฯ ส่วนผู้ที่อยากทำงานเป็นผู้บริหาร พนักงาน ทำงานตามสายงาน เติบโตตามหน้าที่การงาน เค้าอาจจะมีความถนัดอย่างนั้น ไม่ได้ไม่ดีอะไร ดีซะด้วยซ้ำ เพราะสังคมจะได้มีความหลากหลายในการทำงาน เหมาะสมกับความถนัดและความสามารถ อาชีพมีหลายหลาย ต่างพึ่งพาอาศัยกัน ตามความถนัด ตามความสามารถ หลายคนได้ทำในสิ่งที่ชอบ หลายคนไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ทุกคนก็ทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่ตองเป็น สัมมาอาชีวะ คืออาชีพ ที่ไม่ทำให้เกิดการฆ่า การทำร้าย การโกหก การละเมิดทรัพย์สินผู้อื่น
โดย
Tibular
อาทิตย์ มี.ค. 29, 2015 10:53 am
0
10
Re: พอร์ตเท่าไรเรียกมีอิสระภาพทางการเงิน ปันผลต่อปีเท่าไรออก
อย่างต่ำ ยี่สิบล้านครับ ปันผลต่อปี นับเอาว่าได้ประมาณ 4-5% ต่อปี ก็ตกแปดแสนถึงล้านนึงต่อปี ถึงจะสบายเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยค่าครองชีพสมัยนี้ครับ
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2015 10:35 pm
0
26
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
สนใจการลงทุนเมื่อสมัยเรียน ป.ตรี ช่วงหลังปี 40 ตลาดหุ้นล่มสลาย มีหนังสือหุ้นอยู่ไม่กี่เล่ม คนเขียนก็เป็นนักเก็งกำไรเสียส่วนใหญ่ ไปยืนอ่านตามร้านหนังสือแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วก็ลืมไปนานจนเรียนจบ ตะเกียกตะกายหางานทำ เปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ จนมีเงินเก็บพอสมควร ก็เลยอยากทำให้เงินมันงอกเงยบ้าง เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง พอดีเจอหนังสือเกี่ยวกับหุ้นด้วย อ่านหนังสือที่เค้าเขียนก็จินตนาการไปว่าเราน่าจะทำได้ จิ้นกันไป จนบางทีลืมว่าเรา มีความสามารถและมีความเข้าใจในการลงทุนแค่ไหน เห็นคนเล่นหุ้นเขียนหนังสือว่าเค้ารวยงั้นรวยงี้ (ได้ยินแต่เล่นหุ้นแล้วเจ๊ง) แต่เพราะหุ้นดูเป็นเรื่องที่ท้าทายน่าสนใจ ซึ่งจริงๆมันไม่ง่ายเลย แถมมีความเสี่ยงมากด้วย (แต่พวกคนทำงานในวงการนี้ ชอบเป่าหูเราตลอดเวลา ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้เท่านั้นเท่านี้ ไม่กี่ปีก็เป็นเศรษฐีเงินล้าน มันบ้าป่าว มีอะไรมารับรอง ที่จะทำผลตอบแทนได้ดีๆได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ง่ายๆนะเว้ย) ก็เริ่มใส่เงินในพวกกองทุนตราสารหนี้ก่อน แต่เอ๊ะมันไม่ทันใจ เลยใส่กองทุนดัชนีซะเลย ฝันหวานว่าดัชนีมันน่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ (โชคดีหม่อมอุ๋ยทุบตลาดหุ้นให้ด้วยมาตรการกันสำรองฯ) ดัชนีหุ้นมันก็ขึ้นจริงๆ ขายกองทุนเรื่อยๆทุกเดือน ได้เงินง่ายดีฟ่ะ มาลุยซื้อหุ้นเองดีกว่าไหม ง่ายซะขนาดนี้ (มารู้ความจริงทีหลังว่าหุ้นมันตกเยอะเลยเด้งมาได้เยอะ ประกอบกับผลประกอบการ บริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆมันดีด้วย) ไปเปิดพอร์ตเลย มือไม้สั่น ใจหวิวๆ กดจิ้มหุ้นไปห้าตัว คิดว่าศึกษามาดี คิดว่าอ่านเยอะ คิดว่ามีความรู้ หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย ได้กำไรส่วนต่าง ทำเหมือนกับให้เค้าเช่าหุ้น แต่ทำไมหุ้นบางตัวมันขึ้นไปเลย ไม่ลงมาให้ซื้ออีก ทำไมหุ้นบางตัวมันลงอย่างเดียวเลย มันยังไงกัน??? ไปเจอหนังสืออืกเขียนเรื่อง การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ??? อะไรหว่า ??? แต่อ่านแล้วปิ๊งเลย สรุปเป็นช่วงๆได้ว่า 2 ปี ช่วงฝึกงาน อ่านๆๆๆ เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ทดลองซื้อขายด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อนเป็นประสบการณ์ 5 ปี ช่วงทดลองงาน ซื้อ-ขายหุ้นตามความรู้ที่มี และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเงินจำนวนที่มีนัยสำคัญ (โชคดีที่สามารถผ่านช่วงเหตุการณ์ร้ายๆและฟื้นตัวกลับมาได้ เช่น ซับไพร์ม ช่วงนั้นเสียหายมากเลย คิดว่ามันจะกินเวลานาน ทำใจไว้แล้ว แต่มันกินเวลาไม่นานอ่ะ จนหลายๆคนลืมไปแล้วว่ามันน่ากลัวแค่ไหน หลังจากนั้นก็มีเซียนหุ้นเกิดขึ้นมากมาย เค้าว่าเค้าทำวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ พอร์ตโตเพราะกล้าเสี่ยงบ้าง หรือซื้อหุ้นมันเข้าไปเลยตามเซียนคนนั้นคนนี้บอก ซึ่งก็ได้ผลนะเนี๊ย ได้กันไม่รู้กี่เด้งต่อกี่เด้ง ถือเป็นโชคดีของท่าน เกิดยุคทองของวีไอ 555 แต่ถ้าซับไพร์มมันยื้อยาวนานกว่านั้นเซียนอาจซี้ไปแล้ว) ช่วงหลังจาก 7 ปีผ่านมา ก็พอเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้ตามเหตุและปัจจัยที่เคยพยายามมา เหะๆ แต่ยุคทองดันมาจบซะแล้ว ง่ะ T T
โดย
Tibular
อาทิตย์ มี.ค. 08, 2015 8:34 pm
0
7
Re: annual letter ฉบับครบรอบ50ปี ลุงบัฟ
แถมด้วยหนังสือที่ลุงแนะนำให้อ่านสองเล่ม 1. “Where Are the Customers’ Yachts?” by Fred Schwed 2. “The Little Book of Common Sense Investing” by John Bogle มีลิ้งค์ให้โหลดคับ http://213.55.83.214:8181/Management/01278.pdf
โดย
Tibular
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 11:30 am
0
3
Re: จุดที่น่าจะปรับปรุงของการรายงานงบงวดปี
การรายงานงบการเงินประจำปีทางบัญชี สำหรับไตรมาสสี่ บริษัทสามารถเลือกได้ครับว่า จะรายงานเฉพาะงบการเงินประจำปีนั้น หรือ ทั้งไตรมาสสี่และงบประจำปี ก็คงแล้วแต่ความสะดวกและเหตุผลของบริษัท อาจจะประหยัดค่าทำบัญชีก็ได้ 55 แต่ถ้านักลงทุนอยากให้รายงานด้วย อันนี้คงต้องส่งผ่านไปทาง กลต. หรือ ตลท.
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. ก.พ. 26, 2015 12:13 pm
0
1
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
สอบถามหน่อยครับ สรรพากรให้ผมส่งเอกสาร ทั้งๆที่ผมยื่นปันผลแค่ในตลาดไป คือไม่ต้องส่งไปใช่ไหมครับ หรือแค่ในกรณีที่ในตามวงเล็บครับ ขอบคุณครับ 5. รายงานการประชุมผู้ถือหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (กรณีผู้จ่ายเงินปันผลอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์) ถ้ามีก็ต้องส่งไปคับ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง สรรพากรเค้าอยากรู้ว่าเรามีรายได้จากไหนบ้างอ่ะคับ แต่ถึงยังไงเค้าก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้วคับ ทำไปตามระเบียบดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2015 1:56 pm
0
0
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
บริการสอบถามข้อมูลการขอคืนภาษี ภ.ง.ด. 90,91 เข้าใช้ได้แล้วนะครับ รวมถึง การอัพโหลดเอกสารด้วย (ใช้พาสเวิร์ดตอนเข้าไปเสียภาษี) (บางทีหน้าจอมันจะค้างก็กดซ้ำหน่อยหรือกรอกใหม่) อย่าลืมใบนำส่งเอกสารนะครับ ทำเป็นไฟล์ pdf สะดวกสุด เช่น copy ใส่ word แล้วแปลงไฟล์เป็น pdf http://www.rd.go.th/publish/27942.0.html
โดย
Tibular
อาทิตย์ ม.ค. 11, 2015 1:32 pm
0
1
Re: การเลือกกองทุนอสังหาฯ
TIF1 ค่อนข้างเสี่ยงนะครับ 1. หลังจากน้ำท่วมแล้วนี่ ผู้เช่าก็หายไปพอควร ตัดหนี้เสียกันไป การหาผู้เช่าใหม่ก็ยังทำได้ไม่เต็มที่ 2. อุตสหกรรมส่วนใหญ่ในนิคมเหล่านี้ เป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์-ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาลงอยู่ แต่ก็เริ่มปรับเปลี่ยนมาผลิตเพื่อตอบสนองตลาดด้านคลาวด์มากขึ้นตามความต้องการใช้งานการเก็บข้อมูลมากขึ้น สถานการณ์ไม่ต่างจาก TFUND แต่ TFUND ก็ได้ซื้อโรงงานทางภาคตะวันออกเหมือนกัน แต่ก็มีการกระจุกตัวในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์-รถยนต์ ซึ่งก็ชะลอตัวเช่นกัน ถ้าสนใจกองทุนแนวนี้ WHAPF ดูจะความเสี่ยงน้อยกว่านะครับ
โดย
Tibular
พุธ ธ.ค. 24, 2014 4:52 pm
0
3
Re: สัญญาณอันตราย/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
กลัวได้แล้วล่ะครับ ยกระดับมาร์เก็ตแคปปี 63 แตะ 30 ล้านลบ. นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ในปี 57 คาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap) จะอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณการซื้อขายต่อวันจะอยู่ที่ 1.4 แสนสัญญา ขณะที่ ตลท.ตั้งเป้าหมายในปี 63 จะมี Market cap เพิ่มเป็น 30 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท และปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ 4.5 แสนสัญญา http://www.thairath.co.th/content/466924 สัดส่วนมาร์เก็ตแคปต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในปีปัจจุบันอยู่ที่ราว 120% และคาดว่าในปี 2563 จะเพิ่มข้นไปสู้ที่ระดับ 150% ได้ และมีวอลุ่มเทรด 1 แสนล้านบาท/วัน จากปีนี้ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน As pointed by Warren Buffett, the percentage of total market cap (TMC) relative to the US GNP is “probably the best single measure of where valuations stand at any given moment.”
โดย
Tibular
พุธ ธ.ค. 03, 2014 1:37 pm
0
11
Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ
ขอเสริมเรื่องการปลีกวิเวกซักนิดครับ สำหรับเรื่องเหตุในการปลีกวิเวกนั้นจะทำให้เราสามารถเห็นจิตปรุงแต่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ การที่จิตไปรับรู้อารมณ์ หรือ การทำงานของขันธ์ห้าโดยการที่วิญญาณขันธ์ไปรับรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ หรือ การทำงานของรูป-นาม เมื่อเห็นการปรุงแต่ง ก็เห็นความเกิดขึ้น จางคลาย ดับไป ได้ง่ายขึ้น พอเห็นชัดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจถึง ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน มีเพียงตัวตนชั่วคราวในสิ่งนั้น เมื่อเห็นชัดเช่นนั้น แล้วก็จะเกิดความเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เกิดความเข้าใจว่า เพราะความไม่รู้ หรือ อวิชชานี่เอง ทำให้เราถูกจิต หลอกลวงมานาน ว่าจิตนี้เป็นตัวเราของเรา เหมือนนายช่างปลูกเรือน สร้างนั่น สร้างนี้ มาตลอดเวลา สร้างภพ สร้างชาติ สร้างกรรม ไม่จบสิ้น ก็ถือได้ว่าเข้าใจธรรมที่พระศาสดาได้แสดงแล้ว ซึ่งก็ควรปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นต่อไป แต่การที่จะไปอยู่ปลีกวิเวกหรือไม่วิเวกนั้น ท่านก็อุปมาอุปไมย เรื่อง เพื่อนสอง นั่นคือ การเกิดขึ้น ของความคิด ความจำ ความชอบ พอใจ อันทำให้เกิดการปรุงแต่งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเหมือนมีเพื่อนมานั่งคุยอยู่ในหัวเราตลอดเวลา ใครไปอยู่วิเวก แต่มี เพื่อนสอง ท่านก็ว่า ไม่ได้อยู่ผู้เดียว ใครไม่ปลีกวิเวก แต่ไม่มี เพื่อนสอง ท่านก็ว่า นั่นแหละ คือการอยู่ผู้เดียว เพราะฉะนั้น การปลีกวิเวก ก็อาจจะเหมาะกับบางท่าน ที่มีความเข้าใจธรรมระดับหนึ่ง หรือ เรียกว่ามีอินทรีย์ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรทดลอง ก็ทดลองได้เสมอๆ เพื่อหาความสมดุลแห่งการปฏิบัติ หรือเพื่อการขัดเกลาตัวเองอย่างเข้มงวด แต่บางท่านไม่ต้องปลีกวิเวก ก็ปฏิบัติได้ดี เช่น เห็นการเกิดดับใน กาย เวทนา จิต ธรรม ภายในบ้าง-ภายนอกบ้าง (สติปัฏฐานสี่) เห็นอริยสัจ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เจริญอานาปานสติได้ดีในทุกขณะ ซึ่งก็แล้วแต่ความเหมาะสมของอินทรีย์แต่ละท่านนั่นเอง
โดย
Tibular
อังคาร พ.ย. 25, 2014 10:09 am
0
2
Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ
ก็ได้ในแง่การตรวจสอบให้เห็นจริงในจิตของตัวเองในเรื่อง การเกิดทุกข์ ตรงสายเกิดทุกข์ของปฏิจจสมุปบาท ว่ามันเกิดขึ้นอย่างที่พระศาสดาว่าไว้ไหม? เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป คือ อิทัปปัจจยตา ส่วนการเกิด-ดับไปของทุกข์ พระศาสดาเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ตรงนี้จะเห็นได้ชัด เมื่อเราเห็นหุ้นขึ้น-ลง หรือ เมื่อ ประสาทสัมผัสเรากระทบกับสิ่งต่างๆ เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี แต่กว่าจะเห็นได้ ก็ต้องมีอินทรีย์ห้าพละห้าในระดับหนึ่ง ศรัทธา (ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะมีมากขึ้น เมื่อเข้าใจมากขึ้น โดยการปฏิบัติ และ การตรวจสอบธรรมนั้นด้วยตนเอง) วิริยะ (ความเพียรละอกุศล สร้างกุศล) สติ (สติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ) สมาธิ (ฌานสี่ หรือสูงกว่านั้น หรือ อานาปานสติ) ปัญญา (การเข้าใจอริยสัจสี่ หรือ การเกิดสัมมาทิฏฐิขึ้น) สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นอริยสัจสี่ นั่นเอง ทุกข์ (ความที่สิ่งต่างๆนั้นไม่เที่ยง ดับไปได้ เสื่อม แตกสลายไปได้) เหตุให้เกิดทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด) ความดับไปของทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาทสายดับ) ทางดำเนินให้ถึงความดับไปของทุกข์ (มรรคมีองค์แปด) ก็ยังได้อีกหลายแง่มุมนะครับ ธรรมของพระศาสดามีมากเหลือเกิน แต่ขอให้เราเข้าใจได้แจ่มแจ้งซักบทหนึ่งก็เป็นประโยชน์แล้ว จริงๆเราก็ควรปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกเลยครับ ส่วนจะที่ไหนนั่น พระศาสดาว่าไว้ว่า ที่ไหนเราสงบ กุศลเจริญ ก็ใช้ได้แล้วครับ บางท่านชอบปลีกวิเวกก็ได้ หรือ บางท่านอยู่ในบ้านก็ได้ หรือ แม้แต่ ขณะทำงานก็ได้ ได้หมดทุกเวลาครับ ยิ่งปฏิบัติมากพระศาสดายิ่งชม
โดย
Tibular
จันทร์ พ.ย. 24, 2014 11:36 am
0
2
Re: คุณธันวา อดีตนายกสมาคมthaiviหวนคืนสังเวียนธุรกิจ
ทำได้อย่างเดียวคับ คือ บริหารสินทรัพย์ที่มีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ที่ดีที่สุดคือเป็นพันธมิตรกับเหล่าโอเปอร์เรเตอร์อื่นๆ โดยเฉพาะ AIS การที่่จะกลับมาแข่งขันได้คงยาก เน้นความร่วมมือ แบ่งกันกินกันใช้ดีกว่าคับ เป็นประโยชน์แก่ TOT ที่สุดแล้ว
โดย
Tibular
เสาร์ พ.ย. 15, 2014 12:32 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ภพ เป็นแดนเกิด หรือก็คือ กรรม (เป็นกุศล หรือ อกุศล) แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ (แตกสลาย ดับไป) และอาการที่เกิดจากความทุกข์ เหตุเกิดแห่ง กรรม (หรือก็คือเจตนา) คือ สัมผัส หรือ ผัสสะ ทาง ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจได้รู้สึก เมื่อกระทบแล้ว เกิดอะไรขึ้นตามมา (เห็นทันไหม) ความพอใจ ไม่พอใจ หรือ เฉยๆ ใช่หรือไม่ ลองตรวจสอบดู แล้วหลังจากนั้นละ เกิดอาการทางจิตอย่างไรต่อไป เกิดความอยาก ไม่อยาก ความมี ความเป็น ความเห็น แล้วลงมือกระทำอะไรไหม แล้วเกิดผลอย่างไร เหล่านี้คือเหตุเกิดแห่งทุกข์ การละขาดซึ่งภพ ก็ทำให้ กรรม หมดลง กรรมเก่าคือขันธ์ห้าที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรานั้น ทำให้เรารู้สึกต่ออารมณ์ได้ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตเข้าไปรับรู้) นั่นเป็นเหตุให้ เกิดภพ เกิดกรรม(ใหม่) ตาม อนุสัย หรือความเคยชิน ที่ติดตัวมา ทำให้เรา เพลิน พอใจ อยาก ไปกับสิ่งที่เข้ามา ในจิต หรือ ในการรับรู้ เราก็จะทำกรรม(ใหม่)ที่เป็น กุศลบ้าง หรือ อกุศลบ้าง (กุศล-อกุศลกรรมบทสิบ) นั่นก็คือ กรรม(ในอดีต)ได้ส่งผลแล้ว ในขณะที่จิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น จะดี หรือ ไม่ดี ก็ตาม เราก็ต้องรับผลกรรมนั้นไป ท่านจึงให้ตรวจสอบเสมอเวลาจะทำอะไร ว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งตนเองและผู้อื่นเสมอๆ ทีนี้ ถ้าหมดกรรม หรือ ละขาดซึ่งภพได้แล้วจะเป็นอย่างไร ท่านก็ได้ตรัสรู้ว่า การเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามันมีมายาวนาน ทำทั้งดี และไม่ดี ส่งผลให้เราได้ดีก็มีมาก ลำบากก็มีมาก หมุนวนเวียน ไม่จบไม่สิ้น ไม่มีทางออก คงไม่มีใครอยากเกิดมา แล้วลำบาก เจ็บไข้ พิการ ยากจนเข็ญใจ หรือเกิดมาซึ่งความเป็น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย (แล้วท่านก็แสดงเหตุที่ทำให้เกิด ให้เป็นอย่างนั้นไว้ ว่าเกิดจากการทำกุศล-อกุศลอย่างไร) การละกรรมเก่า ละการเกิดภพ และอกุศลต่างๆในการเกิดคราวก่อนที่ยาวนานจนหาประมาณไม่ได้นั้น ท่านก็ได้แสดงไว้ใน มรรคมีองค์แปดนั่นเอง ผลที่ทำก็เกิดในปัจจุบัน ในทุกขณะจิต กรรมเก่าที่เป็นอกุศลจึงละไปๆ กรรมใหม่ที่เป็นกุศลจึงเกิดขึั้นๆแทนที่ ทำไปเรื่อยๆ ท่านอุปมาอุปไมย ถึง คลองใหญ่น้อย สุดท้าย ก็ไหลลงไปรวมอยู่มหาสมุทร และถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่าเราเคยทำหรือเคยเป็นอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่สำคัญว่า ถ้าเราทำกรรมใหม่ที่เป็นกุศลนั้นคือมรรคมีองค์แปด กรรมที่เป็นอกุศลจะไม่มีทางเกิดได้เลย มีแต่กรรมที่เป็นกุศลจะเกิดขึ้นๆ ทำให้เราได้รับกรรมที่เป็นกุศลต่อไป เปรียบเหมือนความเค็มของเกลือหยิบมือในแก้วน้ำ เปรียบเทียบกับเกลือหยิบมือในแม่น้ำ น้ำที่ในจะเค็มกว่ากัน ถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่าเราทำอกุศลอะไรมาบ้าง แต่ถ้าเราเจริญมรรคมีองค์แปด ก็เหมือนน้ำที่มากขึ้น ทำให้เกลือไม่เค็มอีกต่อไป จนสุดท้าย เราละกรรม ละภพได้ทั้งหมด ทั้งที่เป็นกุศล และเป็นอกุศล นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ ที่ๆไม่มี ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นที่ๆสัตว์ทั้งหลายควรไปให้ถึง ปล. อยากแนะนำให้ศึกษาพระสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ก่อน แล้วจะเข้าใจอะไรอีกเยอะมาก คำสอนของท่าน จะแยกแยะ-แจกแจงสิ่งทีเกี่ยวข้อง เรียงลำดับจากความสำคัญจากมากมาน้อย-น้อยมามาก หยาบมาละเอียด-ละเอียดมาหยาบ และเรียงตามลำดับว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน-หลัง ถ้าไม่เข้าใจ ท่านก็จะนิยาม ความหมายไว้ ถ้ายังไม่เข้าใจความหมาย ท่านจะมีอุปมาอุปไมยไว้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ให้อ่านไปเรื่อยๆ เราจะสามารถเชื่อมโยงธรรมของท่านได้
โดย
Tibular
อังคาร ต.ค. 21, 2014 9:41 pm
0
1
Re: สิ้นสุดยุคทองของ VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คือแบบว่า ไม่ถึงกับแย่อะไรหรอกคับ แต่ว่าการที่จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงๆ (เกิน 20-25%) อาจจะยาก (แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ซะหน่อย) ดร. ท่านก็ว่า ถ้าทำผลตอบแทนได้ 10-15% ต่อจากนี้ก็ถือว่าเยี่ยม ซึ่งผมก็ว่ามันเยอะแล้วนะ แต่ก็อีกนะ สถานะการณ์ก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ โอกาสดีๆ อาจจะรอเราอยู่ข้างหน้าก็เป็นได้ อย่ายอมแพ้ ท้อแท้ เสียก่อน อย่างตลาดที่อเมริกาเอง หลักการลงทุน VI ก็ยังคงใช้ได้มาตลอดตั้งแต่ 70-80 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้หลังๆ นักลงทุนเน้นคุณค่าตัวเอ้ เช่น แกรแฮม จะออกมาพูดว่าเค้าชักยอมรับว่าตลาด กำหนดราคาได้เหมาะสม ซึ่งในระยะยาวแล้ว ทุกตลาดหุ้นทั่วโลก (รวมทั้งไทย) ก็น่าจะเป็นอย่างอเมริกา แน่นอนว่า บางช่วงก็เป็นยุคทอง บางช่วงก็เป็นยุคตกต่ำ บางช่วงก็เป็นยุคธรรมดา แต่หลักการลงทุนที่ จำกัดความเสี่ยง และ ได้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล ก็จะยังอยู่ตราบเท่าที่มีตลาดหุ้น เราควรพยายามต่อไป แม้ยุคทองอาจจะจบลง แต่เราเดินกันมาไกลแล้ว ลองมองย้อนกลับไปถึงวันที่เราเริ่มเดินทาง เรามีความฝัน ความหวัง ความพยายาม ก็แค่รักษามันไว้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
โดย
Tibular
อังคาร ต.ค. 21, 2014 8:50 pm
0
6
Re: เตรียมตัวแก้ผ้า ว่ายน้ำ
ว่ายน้ำไม่เป็นคับ สงสัยจะจมน้ำแน่ อิอิ
โดย
Tibular
พฤหัสฯ. ต.ค. 16, 2014 10:28 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
กระทู้นี้ดีมากๆครับ ช่วยๆกันแปะข่าวหุ้นปั่นไว้ เป็นส่วนนึงที่ช่วยให้นักลงทุนเรา ไม่ตกเป็นเหยื่อ และเป็นการพัฒนาตลาดทุนไปในตัวด้วย อันนี้นำมาจากเวบพันทิปครับ น่าสนใจดี ไม่รู้จะมีหุ้นปั่นด้วยหรือเปล่า? หุ้นที่ให้ผลตอบแทนติดลบตั้งแต่เริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จนถึงปัจจุบัน http://pantip.com/topic/32654995
โดย
Tibular
พุธ ต.ค. 08, 2014 12:53 pm
0
3
361 โพสต์
of 8
ต่อไป
ต่อไป
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
ชื่อล็อกอิน:
Tibular
อายุ:
48
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
สะพานสูง
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ เม.ย. 18, 2007 10:20 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
531 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.03% จากโพสทั้งหมด / 0.08 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว