หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Tongue
สุดแท้ทางเดิน
Joined: อังคาร ธ.ค. 02, 2003 10:38 am
725
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Tongue
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
ประเทศไหนโลกที่มีวิธีการแก้ปัญหาความจนได้ดีที่สุดคับ
เคยอ่าน เรื่อง ยูโทเปีย ของ โทมัส มอร์ ครับ เป็นรัฐในอุดมคติ อ่านแล้วก็ชอบครับ ในโลกแห่งความจริง คิดว่า น่าจะเป็น ชาวอามิช นะครับที่น่าจะมีความเพียงพอมากที่สุด น่าจะสงบที่สุด แต่พวกนี้ก็อยู่กันเป็นกลุ่มเล็กๆครับ ซึ่งก็ไม่รู้จะต้านกระแสทุนนิยมได้นานแค่ไหน
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ม.ค. 25, 2007 10:53 am
0
0
The Compendium of Symposium: 1st revised edition
:bow: :bow: :bow: และเป็นกลอนที่ไพเราะมั่กๆครับ แรกตื่นเราแตกต่าง ทั้งทิศทางและปัญญา เกิดก่อหล่อหลอมมา คนละหมุดจุดหมายทาง ต่างที่ต่างสีสัน อาจบางวันนั้นเดียวดาย คุ้ยค้นที่หล่นหาย และคลับคล้ายจะไม่เห็น ที่จริงช่างต่างใจ แท้ข้างในเราชัดเด่น กลมกลืนร่มรื่นเย็น ยังคงเห็นทุกโมงยาม ปลีกย่อยมาอย่างไร ก็หลอมใจแนบน้อมตาม เกลียวกลมและกินความ ว่าเลือด "วีไอ" นั้นสีเดียว
โดย
Tongue
อาทิตย์ ม.ค. 21, 2007 10:57 pm
0
0
THAIVI Beer Festival
muffin wrote เอายังครับ เปิดเลยดีกว่า :twisted: :twisted: :twisted: ลงชื่อครับ 1. ตั๋งครับ P Por_jai wrote หนนี้รับรองชกสมศักดิ์ศรี ไม่มีทิ้งตัวง่ายๆครับ พี่พอใจ พูดถึงเรื่องมวย เพิ่งนึกได้มีวีซีดี พี่มารถชกมวยไทย กับใครไม่แน่ใจ แต่แกถีบอีกฝั่งซะเสียมวยเลย ฝ่ายนู้นเข้าไม่ได้ออกลูกหงุดหงิดพยายามจะวิ่งเข้าหา เปิดหน้า พี่มารถ เลยจิ้มอัปเปอร์คัตสวน มึนงงไปหลายวิ จากนั้นก็ เละ ครับ ไว้เจอคราวหน้าจะเอาไปฝากครับ (ปล. ซื้อมาจากร้าน star soccer น่ะครับ พี่พอใจเคยถามหาอยู่ เผื่อจะลองแวะๆไปดู)
โดย
Tongue
อาทิตย์ ม.ค. 21, 2007 10:31 pm
0
0
สอบถามสไตล์การลงทุนเพื่อนๆ
ข้างล่างนี่ คือ note ของผมตอนต้อง present เรื่อง irrational exuberance ว่ามันเกิดได้อย่างไร เพราะตามทฤษฎีทางการเงินทั่วไปมันอธิบายไม่ได้ เพราะมันอยู่บน assumption ว่า คนเรามีเหตุผลในการตัดสินใจ ผมต้องโน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าคนเรามันไม่มีเหตุผลมากนักหรอก ไม่งั้นมันก็ไม่มีฟองสบู่ หรือ เหตุการณ์ขายหนีตาย เห็นว่ามีส่วนที่เกี่ยวกับ utility function เลยขอแปะมาทั้งดุ้นครับ (ในตลาดหุ้น มีนักลงทุนหลายประเภท หลายขนาด บางทีมันป่วยการที่จะไปคาดเดาครับ ผมว่ามันยาก ด้วยการเป็น VI แล้ว เราแค่ยอมรับว่าตลาดมันไม่มีเหตุผลครับ แล้วก็พยายามลงทุนอย่างมีเหตุผล (เชิงธุรกิจ) มันก็เท่านั้น) แต่ถ้าใครสามารถคาดเดาพฤติกรรมเจ้ามือ(ผู้มีหุ้นมาก) หรือ ตลาดได้ ก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งอ่านงบครับ Are we rational or irrational? ทฤษฏีทางการเงินโดยทั่วไปแล้ว จะมีสมมุติฐานว่า คนเรานั้น ตัดสินใจในเรื่องต่างๆอย่างมีเหตุผล โดยมีลักษณะนิสัยที่เป็น risk averse พูดง่ายๆคือ เราจะตัดสินใจเลือก optimal payoffs เสมอ เช่น ถ้าผมเสนอให้คุณเล่นเกมส์ หัว ก้อย ถ้าทายถูก เอาไป 10 บาท ถ้าทายผิดไม่เสียอะไร แต่ถ้าบอกไม่เอาอ่ะขี้เกียจทาย ขอ 4 บาท เลยได้ไหม ผมก็โอเค ผมให้เล่นได้เรื่อยๆไม่จำกัดจำนวนเกมส์ ถามว่าคุณเสี่ยงที่จะทายหัวหรือก้อยไหม หรือว่าจะเอา 4 บาททุกเกมส์ คิดว่าแน่นอน ทุกคนคงเลือกที่จะเสี่ยงทาย เพราะ โดยความน่าจะเเป็นแล้ว คุณจะได้ 5 บาทต่อเกมส์ ซึ่งมากกว่า นี่เป็น ทฤษฎี rational expectation hypothesis (ทฤษฎีความคาดหวังตรรกยะ แปลเป็นไทยแล้วไม่เห็นเพราะเลย) ที่บอกว่า เวลาเราจะเลือกอะไรนั้น เราจะประเมิณความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเลือกกลยุทธ์ ที่ให้ผลตอบแทนที่ optimal โดยที่ ข้อมูลทุกย่างเราทราบหมดแล้ว ตอนนี้เราจะเห็นว่ามีประเด็นหลักอยู่ 2 ประด็น 1. เรื่องของการประเมิณความน่าจะเป็น 2. เรื่องข้อมูลทุกอย่างเรารู้หมดแล้ว (complete information) สำหรับประเด็นแรก ในโจทย์ง่ายๆนี้ เราทราบดีอยู่แล้วว่า ความน่าจะเป็นในการออก หัว หรือ ก้อย คือ 0.5 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เราอาจะสงสัยได้ว่า เอ แล้วเวลาเล่นจริงๆ มันก็อาจไม่ได้ออกอย่างละครึ่งนี่นา ตรงนี้เรามั่นใจได้ว่ามันจะเกิดอย่างละครึ่งๆเท่ากัน ถ้าเราสามารถ enlarge sample size ไปได้เรื่อยๆ อย่างในเกมส์นี้ ทีนี้ลองเปลี่ยนเกติกาดู ผมให้เล่นค่ 10 ตา คุณจะเลือกที่จะเสี่ยงทายไหม หรือขอกิน 4 บาทนิ่มๆ แล้วถ้าให้เล่น 9 ตา ล่ะ ผมมั่นใจว่า ถึงตรงนี้ ความคิดเริ่มจะไม่เหมือนกันสักเท่าไร่แล้ว ใช่ไหมครับ แล้วถ้าผมเปลี่ยนเป็นไม่บอกว่าให้เล่นกี่ตาล่ะ อาจจะเป็นตาเดียวเลิกหรือเล่นเรื่อยๆก็ไม่รู้ (Incomplete information) ตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า ยังไงก็ขอเสี่ยงทาย เพราะ จะได้ 10 บาท 4 บาท หรือไม่ได้อะไรเลยก็ไม่เห็นจะแตกต่างนี่หว่า งั้นถ้าเพิ่ม ขนาดของรางวัล ล่ะ เป็น ทายถูก ได้ 1000 ไม่ทายได้ 400 แล้ว 1แสน กับ 4 หมื่นล่ะ แผนการของคุณเปลี่ยนไปไหม Does size matter to you? ลองคิดดูครับ ความน่าจะเป็น ระหว่าง เกมส์ที่ให้ payoff 10 บาทกับ 1 แสนบาทก็เท่ากัน แต่คุณอาจจะเลือกที่จะเสี่ยงทายในเวลาหนึ่ง และเลือกที่จะ minimax หรือ กินของชัวร์ในอีกเวลาหนึ่ง ตรงนี้ ผมพยายามจะสื่อว่า แม้แต่ pattern ของคุณ (degree of risk lover or risk averse) ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ลองเพิ่มขนาดของรางวัลไปอีกนิดซิ สัก 1 ล้านบาท ถ้าทายถูก กับไม่ทายได้ 4 แสน สำหรับผมแล้ว ไม่ต้องให้ถึง 4 แสนหรอก แสนเดียวก็พอแล้ว ถึงตรงนี้ทุกคนคงเห็นด้วยแล้วว่าจริงๆแล้ว คนเราน่ะ ไม่ได้ มีเหตุผลตลอดเวลาหรอก เราไม่สามารถ และ ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ อย่าง optimal ตาม rational hypothesis หรอก จริงๆแล้ว เรา somewhat irrational (inconsistent in choosing choices) depend on our own utility function แต่ละคนก็จะมี utility function ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่นิสัย ความมั่งคั่ง การศึกษา รสนิยม ขนาดและลักษณะของเหตุการณ์ และ factor อื่นๆอีกมาก ความไม่มีเหตุผล และการตัดสินใจของคนเรานั้นจะยิ่ง complicated มากขึ้นอีกเมื่อมีจำนวนผู้เล่นมากกว่า 1 คน ลองนึกถึงเกมส์ที่มีผู้เล่น 2 คน อย่างเช่นหมากรุก หากเคยเล่นหมากรุก เราอาจเคยเห็นสถานการณืเช่น คู่ต่อสู้เราเลือกที่จะเอาหมากแพงๆมาแลก หมากที่ถูกกว่า ซึ่งดูเผินๆแล้วอาจไม่สมเหตุสมผล แต่กลับทำให้รูปเกมส์ของเขาดีมากและเป็นต่อเราและเอาชนะเราได้ในที่สุด หรือในบางสถานการณืที่คู่ต่อสู้เลือกที่จะเสียหมากอื่นๆมากกว่าหมากที่เขาถนัด เช่นเขาอาจยอมเสียม้าเพื่อรักษาโคน เพราะเขาถนัดมันมากกว่า หรือในเกมส์ที่ต้อง cooperative กันอย่าง prisoner dilemma เกมส์ หรือลองนึกถึงเกมส์ที่มีผู้เล่นหลายคน เช่น การเมืองบ้านเราสมัยก่อน ที่เป็นรัฐบาลผสม ถ้าพรรคของคุณได้คะแนนเสียงมากสุด แต่ไม่พอที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว คุณจะผสมอย่างไร ถ้าคุณรวมกับพรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง ซึ่งอาจจะเป็นวิธีที่ง่าย แต่ถ้าเขาไม่ยกมือให้ คุณก็จบ คุณเลยอาจต้องมองหาพรรคที่ได้คะแนนไม่มากหลายๆพรรค เพื่อว่า มันจะได้ฮั้วกันยากหน่อย เรียกว่าไม่รวมหัวกันจริงๆก็ล้มเรายากหน่อย ถ้าคิดอย่างนี้ แล้วถ้าเราคิดว่าพรรคของเราจะไม่ได้คะแนนอันดับหนึ่งล่ะ เราอยากจะเป็นที่สองหรือ ที่สามดี? ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะอธิบายว่า ในทางทฤษฎีแล้ว มันบอกว่า how one should behave แต่ในความเป็นจริงแล้วมันสำคัญกว่ามากที่จะต้องรู้ว่า how one actually behave เพื่อที่จะวางแผนได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการศึกษาจิตวิทยาของคนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ง หลักๆแล้วก็จะมีดังข้างล่างนี้ (overcon, disposition, herding, excessive opt, heuristic, control illus)
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ม.ค. 18, 2007 11:14 pm
0
0
เงินลงทุนในประเทศ = เงินออม + เงินทุนต่างชาติ ??
http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/seminar/yearly/symposium2005/paper/5SavingBOT_paper.pdf You may read appendix III, the golden rule of growth and saving. and if any understand well, pls explain coz i dont quite :lovl: :lovl:
โดย
Tongue
พุธ ม.ค. 10, 2007 12:01 am
0
0
เงินลงทุนในประเทศ = เงินออม + เงินทุนต่างชาติ ??
มาดูอัตราการสะสมของคนไทยกัน ปัญหาการถดถอยของการออมภาคครัวเรือน คอลัมน์ ระดมสมอง โดย รศ.ดร.วิมุต วานิชเจริญธรรม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3759 (2959) "เงินน่ะ...ออมหนึ่งส่วน ใช้สามส่วน เก็บเงินไว้ให้ลูกเถอะ...เฮีย" โฆษณาปลุกจิตสำนึกการออมชิ้นนี้ ชี้แนะให้ประชาชนจัดสรรเงินหรือรายได้ในแต่ละเดือน ให้กับการใช้จ่าย และการออมเป็นสัดส่วนตายตัว โดยมีหลักง่ายๆ ว่า การใช้จ่ายของบุคคลนั้นควรมีสัดส่วนเท่ากับ 3 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือซึ่งเท่ากับ 1 ใน 4 ของรายได้ ควรจัดสรรไว้เป็นเงินเก็บออม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือให้ออมเงินเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของรายได้เสมอ หากทุกคนในประเทศปฏิบัติตามกฎนี้ เราจะพบว่าอัตราการออมต่อรายได้ประชาชาติ (saving to GDP ratio หรือ saving rate) ของประเทศไทยควรจะเท่ากับ .25 จากงานวิจัยเรื่อง long-term saving in Thailand โดยคณะเศรษฐกรประจำธนาคารแห่งประเทศไทย อันประกอบด้วย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา และนายธรรมนูญ สดศรีชัย ที่ได้นำเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2548 ที่ผ่านมานั้น ชี้ให้เห็นว่า อัตราการออมของประเทศไทยในขณะนี้สูงเกินกว่าอัตราร้อยละ 25 ตามเกณฑ์ของงานโฆษณาส่งเสริมการออมชิ้นนั้นไปแล้ว โดยอัตราการออมในปี 2546 นี้อยู่ที่ร้อยละ 30.5 ของรายได้ประชาชาติ แม้ว่าอัตราการออมในระดับร้อยละ 30 นี้จะถูกจัดว่าเป็นอัตราการออมในระดับสูง เมื่อเทียบกับอัตราการออมในประเทศอื่นๆ แล้ว แต่คณะเศรษฐกรของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า อัตราการออมของประเทศอยู่ในช่วง "ขาลง" เพราะประเทศไทย เคยมีอัตราการออมสูงสุดอยู่ที่ระดับร้อยละ 35.2 ของรายได้ประชาชาติ ในปี 2534 และนับจากปีนั้นเรื่อยมา อัตราการออมก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงโดยตลอด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบอันเป็นที่มา ของการออมมวลรวมของประเทศนี้ จะให้ภาพที่แตกต่างไป และช่วยให้เราเข้าใจถึงสาเหตุของการรณรงค์สนับสนุนการออมได้มากขึ้น เราสามารถจำแนกองค์ประกอบของการออมมวลรวมนี้อย่างง่ายๆ ออกเป็น หนึ่ง การออมของภาคครัวเรือน สอง การออมสุทธิของรัฐบาล และสุดท้าย การออมของภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจ การออมของภาคครัวเรือนเคยมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในการออมมวลรวม เพราะเคยมีสัดส่วนมากที่สุดถึงครึ่งหนึ่งของการออมมวลรวม ในช่วงทศวรรษที่ 90 การออมภาคครัวเรือนมีสัดส่วนในรายได้ประชาชาติสูงถึงร้อยละ 14.4 ในปี 2532 แต่ทว่าอัตราการออมภาคครัวเรือนถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง นับแต่ปีนั้นเป็นต้นมา จนในปี 2546 นี้ อัตราการออมภาคครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติลดลงเหลือเพียงร้อยละ 3.8 เท่านั้นเอง ภาครัฐบาลก็ประสบกับความถดถอยในอัตราการออมเช่นเดียวกันกับภาคเอกชน หลังจากที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 จนรัฐบาลในยุคสมัยนั้นต้องมีมาตรการรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่ายและสร้างวินัยทางการคลัง อันมีผลให้รัฐบาลยุคสมัยต่อมา คือในช่วงทศวรรษที่ 90 มีการเกินดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และทำให้อัตราการออมของภาครัฐต่อรายได้ประชาชาติมีสัดส่วนในการออมมวลรวมไม่น้อยไปกว่าการออมภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี นับแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา ภาครัฐมีการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้อัตราการออมในปีงบประมาณ 2545-2546 มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 18 ของรายได้ประชาชาติเท่านั้น ภาคเศรษฐกิจที่มีอัตราการออมสูงที่สุด และเป็นตัวผลักดัน ให้อัตราการออมของประเทศสูงถึงร้อยละ 30 ได้คือ ภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจ โดยในปี 2546 นั้น วิสาหกิจโดยรวมมีการออมคิดเป็นสัดส่วนของรายได้ประชาชาติถึงเกือบร้อยละ 80 โดยส่วนหนึ่งของการออมในภาคธุรกิจนี้เป็นการออมในรูปการสำรองค่าเสื่อมของทุนกายภาพที่ถูกสั่งสมมาในยุคเศรษฐกิจบูม ช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 ข้อเท็จจริงนี้ชวนให้เกิดความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคตยิ่งนัก เพราะภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นหน่วยเศรษฐกิจหลักของประเทศ กลายมาเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีอัตราการออมต่ำที่สุดในระบบไปเสียแล้ว ในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ การออมของภาคเอกชนมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เพราะเป็นที่ยอมรับกันในทางทฤษฎีว่า การออมของภาคเอกชนคือตัวจักรสำคัญ ที่จะช่วยให้ยกระดับรายได้ต่อหัว ของประชากรในระยะยาว และมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจมีอัตราการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนอีกด้วย ดังนั้นการรณรงค์สร้างวินัยในการออมให้กับภาคครัวเรือน ด้วยเกณฑ์การออม 1 ใน 4 ของรายได้ ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม สำหรับการยุติภาวะถดถอยในการออมภาคครัวเรือน หากแต่...การแก้ปัญหาใหญ่ระดับมหภาคเช่นนี้มิอาจสัมฤทธิ์ได้ด้วยกลยุทธ์การโหมแคมเปญ รณรงค์ให้คนออมเงินมากขึ้นเพียงถ่ายเดียว หากต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง สมควรที่รัฐบาลจะหยิบเอางานศึกษาชิ้นดังกล่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย มาใช้ประกอบการวางนโยบาย เพราะงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยชิ้นนี้ ได้ศึกษาเจาะลึกลงไปในระดับครัวเรือน โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจรายได้ และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน (หรือ socio-economic survey) ที่จัดเก็บโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ และใช้ข้อมูลจากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยเอง เพื่อทำความเข้าใจกับพฤติกรรมการออม ของภาคครัวเรือนอย่างละเอียด จากการจำแนกกลุ่มครัวเรือนในปี 2546 ตามระดับรายได้ ไล่จากน้อยไปมาก ดร.กอบศักดิ์และคณะ ได้พบถึงความแตกต่างในพฤติกรรมการออม ระหว่างกลุ่มรายได้ โดยครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ระดับล่างนั้น มีอัตราการออมต่ำกว่าครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ขั้นสูง ไม่เพียงเท่านั้น จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในปี 2546 เทียบกับครัวเรือนในกลุ่มรายได้ระดับเดียวกัน ในปี 2539 นั้น ปรากฏว่าในปี 2546 ครัวเรือนในกลุ่มรายได้ระดับล่างนั้น มีอัตราการออมที่ลดลงกว่าในอดีตอีกด้วย ข้อมูลที่สำรวจนั้นยังแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการออม ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตพื้นที่ของกรุงเทพฯและภาคกลาง ซึ่งเมื่อคิดเทียบเป็นสัดส่วนกับการออมทั้งประเทศแล้ว จะพบว่าร้อยละ 63 ของการออมทั้งประเทศ จะมาจากครัวเรือนที่มีถิ่นฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง ข้อค้นพบนี้ชี้ช่องให้เห็นว่า การออมที่ถดถอยลงนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และอยู่ในพื้นที่ไกลจากความเจริญ ในขณะที่ครัวเรือนกลุ่มที่มีรายได้สูงนั้น ยังคงมีอัตราการออม อยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากในอดีตเท่าใดนัก หากจะพิจารณาให้ลึกลงไปอีกว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีอัตราการออมต่ำนั้น มีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขา "เลือก" ออมหรือใช้จ่ายเช่นนี้ คณะผู้วิจัยได้พบว่ามีปัจจัยที่หลากหลาย ผสมผสานกัน สาเหตุหนึ่งนั้นอาจมาจากการที่พวกเขามีรายได้น้อยไม่พอกิน จึงทำให้พวกเขาไม่มีเงินเหลือเก็บสำหรับการออม หรืออาจมีสาเหตุมาจากที่พวกเขาขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเงินๆ ทองๆ จึงทำให้พวกเขาไม่อาจวางแผนการเงิน สำหรับวันข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ครัวเรือนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ อาจประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น สถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น เมื่อครัวเรือนมีต้นทุนในการติดต่อกับแหล่งเงินทุนในระบบ พวกเขาจึงถูกผลักเข้าสู่วงจรความยากจน ที่เริ่มต้นจากการขอกู้จากแหล่งเงินทุนนอกระบบ ที่คิดดอกเบี้ย ในอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดเงินทุนในระบบเป็นอย่างมาก การแก้ปัญหาความถดถอยในการออมภาคครัวเรือน อาจต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กับการแก้ปัญหาความยากจน เพราะงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยชิ้นดังกล่าวค้นพบว่า รายได้เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการออมของครัวเรือน ครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะออมมากกว่าครัวเรือนรายได้ต่ำ ข้อค้นพบนี้ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความสำคัญอันยิ่งยวดของการยกระดับรายได้ให้กับครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ระดับล่าง เพราะเพียงแก้ปัญหาความยากจนได้แล้วไซร้ ปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ก็จะคลี่คลายตามไปเอง ...อนิจจา ที่การแก้ปัญหาความยากจนในวันนี้ ได้ถูกนำไปผูกโยงกับกลยุทธ์ทางการตลาด และใช้เป็นสตอรี่ สำหรับการทำเรียลิตี้โชว์การเมือง ที่ต้องการเพียงเพื่อหลบกระแสต่อต้านของคนกรุง หากยังเล่นกันแบบนี้ต่อไปอีก ต่อให้ถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ คนจนคงไม่หมดไปจากประเทศไทยหรอกครับ
โดย
Tongue
อังคาร ม.ค. 09, 2007 11:57 pm
0
0
ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
อองตวน wrote ความเสี่ยง ที่ผมหมายถึงในกระทู้นี้ คือความผันผวนของราคาตลาด individual stock price volatility ที่เกินเหมาะสม มากกว่า ความเสี่ยงในลักษณะ expected stock return's diviation from estimation error ครับ ผมคิดว่าคุณอองตวนคงหมายถึง เหตุการณ์พวกฟองสบู่(irrational exuberant)รึเปล่าครับ พวกนี้ผมคิดว่าเกิดจากพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนครับ พวก overconfidence, พฤติกรรมตามแห่, infectious greed, greater fool game อะไรเทือกๆนั้น ถ้าจะลดพวกนี้ อืมม ผมว่าต้องเริ่มที่ตัวนักลงทุนแต่ละคนเลย ต้องพัฒนาให้เก่งๆครับ พูดสั้นๆคือต้องให้มี rational investor ในตลาดเยอะๆ ก็คงเป็นเรื่องการพัฒนาให้ความรู้ สร้างวัฒนธรรมความพอดีให้เกิดขึ้น ไม่ให้คนเป็นวัตถุนิยมมาก ไม่เห็นว่าตลาดหุ้นเป็นทางรวยลัด ไหนๆรัฐบาลก็ขวาจัด อย่างคุณอองตวนว่า ผมก็ขอแสดงไอเดียบรรเจิดๆมั่งละกัน (แต่สุดท้ายผมก็ว่ายากส์ครับ มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน) 1. นักลงทุนต้องผ่านการบวช :lovl: :lovl: 2. นักลงทุนก่อนมีบัญชีได้ ต้องผ่านการอบรมจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมี 2 วิชาหลักคือ personal fiance, กับ behavioral finance 3. ตลท.(และรัฐบาล)ต้องสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาคนอย่างสุดๆ ต้องมีห้องสมุดเยอะๆ พิมพ์หนังสือหรือแปลหนังสือขายในราคาถูกๆเยอะๆ มี investor service คือใครสงสัยอะไรโทรถามได้ ยกตัวอย่างเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยตอนนี้ inflation targeting คืออะไร เรื่องพวกนี้ผมว่านักลงทุนและคนทั่วๆไปควรรู้ว่ามันคืออะไรแต่บางทีมันก็ยากเหลือเกินที่จะรู้ ผมเลยเสนอให้มี center ไปเลยอยากรู้โทรถามหรือไปถามได้
โดย
Tongue
อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 11:44 pm
0
0
ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
อยากให้ตลาดหลักทรัพย์ มีมาตรการสนับสนุนปรัชญาพอเพียงดูบ้าง เป้าหมาย : 1. ช่วย balance น้ำหนักความต้องการใน capital gain และ dividend yield ของนักลงทุนให้เหมาะสมขึ้น จากทุกวันนี้ส่วนแรก dominate ส่วนหลังค่อนข้างมาก เสนอให้เปลี่ยนค่าคอมเป็น 0.10 ตอนซื้อ 0.40 ตอนขาย เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางจิตวิยาในตอนซื้อ ทำให้นักลงทุนสนใจตลาดมากขึ้น ต้องการศึกษาข้อมูลมากขึ้น และเป็นการเพิ่มต้นทุนในตอนขายทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ๆที่ยังไม่มีแนวการลงทุนที่ชัดเจน (ว่าชอบเก็งกำไรหรือถือยาวๆตามพื้นฐาน) ชะลอการตัดสินใจด้วยอารมณ์เมื่อเจอเหตุการณ์ร้าย ลดการผันผวนที่มาจากการตื่นตระหนกขายของนักลงทุน ในระยะยาว เป็นการสนับสนุน long term investor 2. บั่นทอนกิจกรรมของ นายตลาด ให้หงอยลง บรรเทาความเดือดร้อนแก่บรรดา ซังกุงดอยสูงสุดทั้งหลาย ออกกฎให้ 1 คำสั่งซื้อขาย มีมูลค่าไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ของวงเงินพอร์ต (แต่สามารถตั้งหลายคำสั่งได้ ไม่จำกัดจำนวนคำสั่ง) เป็นการเพิ่มต้นทุนทางเวลาให้กับนักลงทุนเมื่อคิดจะซื้อหุ้นตัวใดในสัดส่วนที่เป็นนัยสำคัญต่อพอร์ต เป็นการเพิ่มต้นทุนทางเวลาให้มาร์เก็ตติ้ง ทำให้ต้องคีย์หลายคำสั่ง ถ้าหุ้นทั่วไปก็จะไม่มีปัญหามาก แต่ถ้าพวกหุ้นปั่น วิ่งขึ้นวิ่งลงแบบน่ากลัวมากๆ ก็จะคีย์กันไม่ทัน ลำบากมากขึ้น ทำให้ลักษณะการซื้อขายหุ้นเหล่านี้ลดลง (พร้อมกับรายได้ของบล. และเสียงด่าที่มากขึ้นจากบล.) 3. ความผันผวนในวันน้อยลง โอกาสการขาดทุนรุนแรงแบบสุดโต่งภายในวันน้อยลง สนับสนุนภาพลักษณ์ในสายตา ผู้ออมเงินในหลักทรัพย์อื่น(ส่วนใหญ่ของประเทศ)ที่เมินตลาดหุ้น ด้วยเหตุผลว่ามันใกล้เคียงบ่อน จำกัดสถานที่และเวลาในการแจ้งราคาหุ้นแบบ real time โดยเฉพาะ ตัววิ่งๆในทีวี เพราะการที่ให้ดูข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณหุ้น โดยที่ไม่มีข้อมูลมาพร้อมกัน เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้อาจเป็นการสนับสนุนการซื้อขายแบบรายวันได้ (ปล. ในห้องค้า หรือ internet อณุญาติให้มี การแจ้งราคาแบบ real time ได้ เพราะถือว่า นักลงทุนที่มามีความสนใจมากกว่าคนทั่วไปและพร้อมที่จะรับความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ในห้องค้า และหน้าจอเทรด ต้องมี ป้ายแปะ ว่า "ห้ามเล่นการพนัน" :lovl: :lovl: :lovl: ) 4. ราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องสะท้อนพื้นฐานทันทีภายในวันสองวัน เช่นเดียวกับ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ค่อยๆเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามทิศทางราคาหุ้นจะสอดคล้องกับมูลค่ากิจการอยู่ดี เสนอให้มีการให้คะแนน นักวิเคราะห์ว่า บล.ไหน ควรเชื่อมากๆ บล.ไหน ควรเชื่อน้อยๆ ทำให้นักวิเคราะห์ต้องตั้งใจออกบทวิเคราะห์ให้ดี และเป็นการลดการออกบทวิเคราะห์แบบช่วยรายใหญ่ (ปล. เป็นไอเดียของ รศ.ดร.อาณัติ ลีมัคเดช ใน คอลัมน์ MIF Financial Lab, Biz week ฉบับบวันที่ 22 ธ.ค. 49) MIF Financial Lab : เลือกหุ้นจากเซียน การลงทุนในหุ้น จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากในการตัดสินใจ ตลอดจนทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล นักลงทุนจำนวนหนึ่งจึงเลือกที่จะลงทุนตาม เซียน ในที่นี้คือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นผู้ใกล้ชิดข้อมูล และมีทักษะดีกว่าตน ตลอดจนนโยบายของ ก.ล.ต.ที่มุ่งส่งเสริมบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ให้ผลิตงานวิจัยของตนขึ้นมา อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในต่างประเทศและไทยพบว่า การลงทุนตามคำแนะนำของนักวิเคราะห์หุ้นนั้น ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของตลาด เมื่อไม่กี่ปีก่อน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา ปรับ Merril Lynch ไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยข้อหาว่า ใช้นักวิเคราะห์หุ้นของตนในการเชียร์หุ้นของลูกค้าที่ใช้บริการอื่นจากบริษัท โครงการปริญญาโททางการเงิน (MIF) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่าปัญหาของประเด็นนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก 1.ยังไม่มีหน่วยงานใดทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของงานวิจัย 2.ขาดระบบยกย่องนักวิเคราะห์ที่ทำการวิเคราะห์และเสนอผลงานอย่างมีคุณภาพ 3.การวิเคราะห์หุ้นไม่ได้ระบุน้ำหนักในการลงทุน ทำให้ไม่สามารถสร้างพอร์ตเพื่อเปรียบเทียบผลการลงทุนระหว่างคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ 2 ค่ายได้ โครงการ MIF เก็บรวบรวมข้อมูลคำแนะนำหุ้นจากนักวิเคราะห์ค่ายต่างๆ มาหาเฉลี่ยของราคาหุ้นคาดการณ์ แล้วคำนวณหาน้ำหนักการลงทุนในแต่ละหุ้นที่ควรสร้างพอร์ต เราเรียกพอร์ตนี้ว่าพอร์ต เลือกหุ้นจากเซียน เงื่อนไขการจัดพอร์ต เลือกหุ้นจากเซียน มีดังนี้ 1.พิจารณาเฉพาะ 10 บริษัทที่มีมูลค่าบริษัทสูงสุดใน SET50 ของเดือนที่จัดพอร์ตเท่านั้น 2.เรียงอันดับของอัตราผลตอบแทนคาดการณ์ของหุ้นแต่ละตัวจากคำแนะนำของนักวิเคราะห์หุ้น 3.กำหนดช่วงอัตราผลตอบแทนคาดการณ์จากคำแนะนำของนักวิเคราะห์หุ้น 4.หุ้นที่ไม่มีนักวิเคราะห์แนะนำในเดือนใด ให้ใช้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตมาคำนวณ 5.คำนวณน้ำหนักการลงทุนในพอร์ต โดยการสร้างพอร์ตที่ให้อัตราผลตอบแทนคาดการณ์สูงสุด ภายใต้ความเสี่ยงที่ไม่มากไปกว่าความเสี่ยงของดัชนี SET50 การทดสอบกับข้อมูลเริ่มต้นจากเดือนมกราคม 2005 ถึงเดือนมิถุนายน 2006 ได้ผลเปรียบเทียบผลตอบแทนที่เกิดขึ้นดังตาราง SET50 พอร์ตเลือกหุ้นจากเซียน ม.ค.-2005 0.050606 0.087117 ก.พ.-2005 0.056474 0.005256 มี.ค.-2005 -0.08099 -0.13084 เม.ย.-2005 -0.03318 -0.01625 พ.ค.-2005 0.013159 -0.0385 มิ.ย.-2005 0.011909 0.040747 ก.ค.-2005 0.000252 -0.02075 ส.ค.-2005 0.032827 0.036589 ก.ย.-2005 0.036369 0.03722 ต.ค.-2005 -0.05615 -0.05208 พ.ย.-2005 -0.02178 -0.02744 ธ.ค.-2005 0.068858 0.026087 ม.ค.-2006 0.068513 0.152542 ก.พ.-2006 -0.02436 -0.05613 มี.ค.-2006 -0.01452 0.027383 เม.ย.-2006 0.047787 0.109805 พ.ค.-2006 -0.07661 -0.01787 มิ.ย.-2006 -0.04412 -0.04491 อัตราผลตอบแทนสะสม 1.015013 1.083532 ความเสี่ยง 0.048522 0.066964 อัตราดอกเบี้ย 0.001947 0.006555 Sharpe 0.040119 0.097886 ตารางนี้แสดงว่าการลงทุนตาม SET50 ในเวลา 18 เดือน มีอัตราผลตอบแทน 1.5% ในขณะที่ พอร์ต เลือกหุ้นจากเซียน มีอัตราผลตอบแทน 8.3% ซึ่งเมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนพร้อมความเสี่ยง ด้วยวิธี Sharpes Ratio จะพบว่าพอร์ต เลือกหุ้นจากเซียน มีค่าสูงกว่ามาก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงกว่าดัชนีตลาดก็ตาม ท่านผู้อ่านที่สนใจศึกษาวิธีสร้างพอร์ตนี้ สามารถดาวน์โหลดงานวิจัยเบื้องต้นจากเวบไซต์ MIF ที่ http://www.bus.tu.ac.th/mif
โดย
Tongue
อาทิตย์ ม.ค. 07, 2007 9:43 am
0
0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
เอามาให้อ่านครับ ผู้เขียนเห็นด้วยกับหม่อม และ ให้ประเด็นว่า "ไม่ได้กีดกัน แต่ขอมีสิทธิเลือกทุนที่มีคุณภาพ" ก็น่าสนใจดี อ่านแล้วอยากให้ตลท. ออกกฎบ้าง "ค่าคอมซื้อ 0.10 ค่าคอมขาย 0.40 ไปกลับ 0.50 เหมือนเดิม แต่ลักษณะเงินลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป" ตลาดหุ้นคือ "มายา" ข้าวปลา (ส่งออก) คือของจริง โดย นงนุช สิงหเดชะ มติชนรายวัน วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10519 "เว่อร์" เกินไปหน่อยสำหรับผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์รายหนึ่ง ที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกาดีดดิ้นเกินเหตุ โดยเปรียบเทียบว่า มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เพื่อจัดการปัญหาเงินทุนต่างประเทศ เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท มีความรุนแรงเหมือน "สงครามโลก" หลังจากตลาดหุ้นในวันอังคารที่ 19 ธันวาคม ได้ตกลง 108 จุด ที่ว่ากันว่าทำให้มูลค่าตลาดหุ้น (มาร์เก็ต แคป) หายไป 8 แสนล้านบาท มูลค่าตลาดหุ้นหายไป 8 แสนล้านบาท (ซึ่งหายไปแค่ตัวเลข) ก็จริงแต่คน 99%ยังอยู่สุขสบายดี สินค้า-อาหารไม่ได้ขาดแคลน เงินเฟ้อไม่ได้สูงวันละ 200% แล้วมันจะเป็นสงครามโลกไปได้อย่างไร ภาวะตลาดหุ้นวันที่ 19 ธันวาคม สะท้อน "คุณภาพ" ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง สะท้อนสภาพที่ถูกเปรียบเปรยว่า เป็นบ่อนการพนัน เป็นวงไฮโล น้ำเต้า ปูปลา ห่างไกลจากการ "พัฒนา" และ "มืออาชีพ" เพราะ "นักลงทุน" จริงๆ มีน้อย ส่วนใหญ่มีแต่ "นักปั่น-นักเก็ง-นักเล่นหุ้น" ประเภทซื้อเช้าขายเช้าและขายวันละหลายรอบ ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การ "ลงทุน" ทำให้ตลาดผันผวนเปราะบาง เพราะผู้เล่นหุ้นในตลาดบ้านเรา 80% เป็นรายย่อย (แมลงเม่า) ที่เหลือเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันการเงิน ซึ่งตลาดหุ้นที่มีคุณภาพและมั่นคงต้องมีสัดส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันค่อนข้างสูง รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านหนึ่งสะท้อนตลาดหุ้นบ้านเราได้ดี ท่านบอกว่า "แค่หมาเห่าก็ขายกันแล้ว" ซึ่งอยากจะเพิ่มเติมอีกว่า "แค่กระแอมกระไอ" ก็ขายกันแล้ว ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจซื้อหรือขาย ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้บริหารตลาดหุ้น และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลองกลับไปถามตัวเองด้วยว่า ได้พัฒนา ได้โชว์ฝีมือในการสร้างความโปร่งใสในตลาดหุ้นไทย จนสามารถดึงดูด "ทุนที่มีคุณภาพ" เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นได้หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดหุ้นกลายเป็น "ขุมทรัพย์" ของนักการเมือง ญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือ ของนักการเมืองไม่กี่ตระกูล มาเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่นด้วยการใช้ข้อมูล "ภายใน" (อินไซด์ เทรดดิ้ง) เพราะยังไม่เห็น ก.ล.ต.โชว์ฝีมือเอาคนเหล่านี้มาลงโทษได้เลย โดยเฉพาะญาตินักการเมืองในรัฐบาลที่แล้ว ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายใช้ "ข้อมูลภายใน" เทขายหุ้น โบรกเกอร์หรือใครหน้าไหน ที่เอาแต่เรียกร้องความรับผิดชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรกลับไปกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ให้มีธรรมาภิบาล อย่าสุมหัวกับพวกนักเก็งกำไรขาใหญ่ทำลายตลาดหุ้น ใช้ความฉ้อฉลทุกรูปแบบเพื่อเอากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง มาตรการของแบงก์ชาติเมื่อวันอังคารที่ 18 ธันวาคม ว่าไปแล้วคือการผ่าตัดใหญ่ เพื่อส่งสัญญาณว่า เราต้องการเงินทุนระยะยาวเป็นหลัก ไม่ใช่ "เงินร้อน" ที่เข้ามาเก็งกำไรที่จะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ "เงินร้อน" หรือเงินทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร สร้างความพินาศให้กับเศรษฐกิจไทยมาแล้วเมื่อปี 2540 ที่เราแพร่เชื้อต้มยำกุ้งไปทั่วโลก กระทั่งทำให้นานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศถือเป็น "วาระสำคัญ" ในการถกเถียงเพื่อแก้ปัญหาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายจอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน เจ้าของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ตัวเอ้ ที่เคยถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ถล่มค่าเงินบาทของไทย เมื่อปี 2540 ได้ไปกล่าวต่อที่ประชุมนักธุรกิจอินเดีย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมว่า ประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหา "วิกฤต" ควรใช้วิธีควบคุมเงินทุนต่างชาติ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับใครต่อใคร เพราะปกติโซรอสเป็นผู้สนับสนุนเศรษฐกิจเสรี การเงินเสรี ในการประชุมประเทศอุตสาหกรรม 8 ประเทศหรือจี 8 ที่เยอรมนีจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้ สมาชิกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ยินยอมตามข้อเรียกร้องของเยอรมนีที่จะให้มีการพิจารณาหาแนวทาง ทำให้เฮดจ์ฟันด์มีความ "โปร่งใส" มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการสร้างปัญหาต่อระบบการเงินโลก นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเฮดจ์ฟันด์ ตั้งอยู่มากที่สุด ยินยอมให้มีการหยิบยกเรื่องนี้ ขึ้นมาพิจารณา จากที่เคยปฏิเสธมาโดยตลอด คนไทยคนไหนที่ดีดดิ้นเกินเหตุ ต่อเหตุการณ์ตลาดหุ้นของไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม น่าจะกลับไปทบทวนลดความ "เว่อร์" ลงบ้าง อย่าไปกังวลเลยว่าเงินทุนจะไม่ไหลเข้า หรือความมั่นใจของต่างชาติจะหายไป เพราะ "นักลงทุน" กับ "กำไร" ก็เหมือนกับ "ผึ้งกับเกสรดอกไม้" ไปไหนก็ไปด้วยกัน และนักลงทุนย่อมรู้ดีว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศสุดโต่งที่จะกลับไปสู่การปิดประเทศ จริงอยู่เราต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศ แต่ไม่มากจนกระทั่งเราต้องสูญเสียอธิปไตยในการบริหารจัดการ จัดระเบียบและดูแลการลงทุน แต่เราควรมีสิทธิที่จะ "คัดเลือก" แต่ทุนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แต่มุ่งจะสร้างแรงจูงใจเพื่อเอาใจต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียว จากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาโดยตลอดนั้น และใช้วิธีใดก็ไม่ได้ผลนั้น ผู้รู้บางคนเคยทำนายไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงที่สุดแบงก์ชาติอาจจะเลือกใช้แนวทางใด แนวทางหนึ่ง ระหว่าง "ทิ้ง" ภาคส่งออก ด้วยการให้ค่าเงินบาท เป็นไปตามสภาพตลาด นั่นคือแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ กับอีกวิธีหนึ่งก็คือใช้มาตรการทางการเงินที่ "รุนแรง" เพื่อสกัดและไล่เงินทุนต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทมหาศาลกว่า 2 แสนล้านบาท เพราะแทรกแซงไม่ไหวอีกต่อไป มาตรการวันที่ 18 ธันวาคม ที่ใช้ยาแรงด้วยการกักเงินต่างชาติไว้ 30% แสดงให้เห็นชัดว่าแบงก์ชาติเลือกที่จะ "อุ้ม" ภาคส่งออกเนื่องจากเป็นภาคที่สร้างรายได้เข้าประเทศมากที่สุดคิดเป็น 60% ของจีดีพี หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เราจะมีรายได้จากการส่งออกน้อยลง จะทำให้เราขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งในที่สุดเงินทุนต่างชาติก็จะไหลออกไปอยู่ดีเพราะขาดความมั่นใจ แต่เป็นการไหลออกไป พร้อมกับที่เศรษฐกิจของประเทศพังพอดี และภาคที่ได้รับผลกระทบหนักคือเกษตรในฐานะที่เป็นสินค้าส่งออกหลัก ฟังจากข้อมูลของคุณธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการแบงก์ชาติที่บอกว่านักเก็งกำไรมีเป้าหมายจะโจมตีค่าเงินบาทให้แข็งไปถึง 29 บาทต่อดอลลาร์แล้วน่ากลัวมาก หากถึงจุดนั้นส่งออกคงตายกันหมดแน่ เพราะระดับราคาที่ผู้ส่งออกอยู่ได้ก็คือ 37-38 บาทต่อดอลลาร์ มากสุดก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 บาท ดังนั้น เป็นเรื่องถูกต้องที่แบงก์ชาติจะเลือกใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อ "รักษา" ภาคส่งออก ซึ่งเป็นภาค "เศรษฐกิจแท้จริง" ของประเทศ แทนภาคธุรกิจที่ใช้ "เงินต่อเงิน" อย่างตลาดหุ้น ในยุคเศรษฐกิจพอเพียง น่าจะจำกันไว้อย่างหนึ่งว่า "ตลาดหุ้นคือมายา ข้าวปลาสิของจริง" หน้า 6
โดย
Tongue
เสาร์ ม.ค. 06, 2007 11:45 am
0
0
ปีหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง
คุณ eto wrote เอากลยุทธ์ปีหน้าของผมมะ Hit-and-Run หรือว่า wait a little bit and hit it harder so we dont have to run make it "Home run" แต่ถ้าตีแรงแล้ววืด ก็ Run home แล้วกัน
โดย
Tongue
เสาร์ ม.ค. 06, 2007 11:10 am
0
0
BAD NEWS NEVER COME ALONE
5. เรื่องเกี่ยวกับ ก.ม.นอมินี ตอนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงกฎในการโหวตนะครับ คือ ไม่อนุญาติให้ทำการ split voting หรือ partial vote แล้ว เริ่มเมื่อวันที่ 1 ที่ผ่านมา เมื่อก่อนถ้าคุณถือหุ้น 100 สามารถ Vote for 20 against 20 ไม่ออกเสียงอีก60 ก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วครับ ต้องโหวตเหมือนกันทั้งจำนวน ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่มีลูกค้าหลายราย ต้องมีปัญหากับการเปิดบัญชี เพราะเขาอาจมีลูกค้าต่ออีกทอดหนึ่ง 6. เรื่องมาตรการสกัดการเก็งกำไรเงินบาท วันจันทร์ต้องเริ่มวันแรกแล้ว คือนักลงทุนต่างชาติต้องมีบัญชีสำหรับเงินที่จะนำเข้ามาลงทุนใหม่ ต้องเปิดบัญชีใหม่เรียกว่า SNS บัญชีนี้ ถ้าซื้อหุ้น ไม่ต้องโดนหัก 30 เปอร์เซนต์ แต่ถ้ายังไม่มีบัญชีนี้ (บัญชีเก่าเรียกว่า NRBA) แล้วซื้อหุ้นก็ต้องโดนหัก 30 เปอร์เซนต์ เรียกง่ายๆว่าบังคับเปิด แต่ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้เปิดกันมากนัก อาจจะเพราะคาดว่า อาจมีการยกเลิกมาตรการหรือชะลอออกไป แต่เปล่าครับ ประชุมเมื่อวานแล้วสรุปว่าเอาเลย คาดกันว่าวันจันทร์ พวก แบ็คออฟฟิศ ปั่นป่วนแน่ ใครมีเพื่อนทำพวก custody ลองเช็คๆข่าวดูครับ พื้นฐานธุรกิจกระทบหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่อารมณ์นี่ผมว่ากระทบแน่ๆ อ้อ สุดท้ายเรื่องหัก 30 เปอร์เซนต์ ยกเว้นเฉพาะหุ้นที่อยู่ในตลาดนะครับ warrant กับหุ้น unlisted ไม่ยกเว้นเน้อ กรุณาเช็คข่าวก่อนเชื่อครับ
โดย
Tongue
เสาร์ ม.ค. 06, 2007 10:21 am
0
0
หากพรุ่งนี้ตลาดลบเกิน 50 จุดจะซื้อหรือขายกันครับ
โดยส่วนตัวแล้ว หุ้นที่ถือๆมานี่ไม่ค่อยตกตาม SET อ่ะครับ เวลาขึ้นมันก็ไม่ค่อยขึ้น เลยไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน อืมม ถ้าพรุ่งนี้ตก 50 จุดเหรอ อ่ะงั้น ลองไปเล่น future น่าจะดีกว่า มะเคยเล่นเลย
โดย
Tongue
อังคาร ม.ค. 02, 2007 11:47 am
0
0
คำแนะนำสำหรับวันพรุ่งนี้
หวัดดีปีใหม่ครับ พี่มน งานนี้เล่นเอาพี่เครียดเลยแฮะ ตอนนี้ผมว่าความเชื่อมั่นของคนนี่หายไปเยอะเลย ไม่รู้ว่าประเด็นหลักอยู่ที่การที่เรายังไม่มีการเลือกตั้งหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราต้องมีแน่นอน และหวังว่าจะไม่เกิน สิ้นปีนี้ (2550) ซึ่งหลังจากนั้นอะไรๆก็น่าจะดีขึ้น เพราะงั้นตอนนี้ผมจะรอ ร๊อ รอ ถ้าถูกมากก็อาจจะแคะกระปุกมาซื้อ แต่ถ้าเวลาผ่านไปมันมีตุ๊กติ๊ก ตุ๊กติ๊ก ผมคงขอไปเวียดนามด้วยคนนาพี่ เห็นว่าผิวเนียน เอ๊ย เติบโต 9-10% นี่ไทยจะแพ้เวียดนามแล้วรึนี่ อ้อ อีกเรื่องที่น่ากลัว ก.ม.นอมินี
โดย
Tongue
อังคาร ม.ค. 02, 2007 11:19 am
0
0
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เห็นใครๆก็บ่นเศรษฐกิจไม่ดี
P Jeng wrote อยากทราบว่าเพื่อนรู้สึก หรือมีอะไรบ่งชีว่าเศรษฐกิจไม่ดีหรือไม่ และการลงทุนในตลาดหุ้นจะกระทบอย่างไร ตัวชี้วัดความมั่นใจผู้บริโภค, Consumer Confidence IndEX (CCI) http://www.price.moc.go.th/cci/index.asp
โดย
Tongue
เสาร์ ธ.ค. 30, 2006 9:24 am
0
0
ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเรามาร่วมกันอวยพร ให้กับเว็บไซด์ TVI
ขอให้ THAIVI อยู่ไปนานๆๆๆ ขอให้ทุกท่านโชคดี มีความสุขคร้าบบ
โดย
Tongue
จันทร์ ธ.ค. 25, 2006 11:15 pm
0
0
วันนี้ผมล้างพอร์ตแล้วครับ
การจะหลุดจากวังวนเดิมได้จริงๆ ต้องเปลี่ยนที่ "ความคิด" ไม่ใช่เปลี่ยนที่ "ตัวหุ้น" ครับ :cool: ห้างสรรพสินค้าอ่ะ มันมี sale ตลอดแหละครับ แต่อย่า เป็นโรคติด sale เรียกว่า มีงาน sale เมื่อไหร่ไปมันตลอด ซื้อๆเข้าไป สุดท้ายเสื้อผ้าเต็มตู้แล้วก็ไม่คอยได้ใส่ บางตัวซื้อมาก็ไม่ชอบ บอกให้บริจาคก็ไม่กล้า เอาไปเปิดท้ายขายก็เสียดายราคาที่หายไป สุดท้ายก็กองอยู่ในตู้ พอมีรุ่นใหม่ sale ใหม่ก็ไปซื้อมาใหม่อีก (ปล. บางคนหนักกว่าครับ เป็นโรคติด shopping ถ้า sale เราไม่ซื้อ แล้วที่ซื้อไปจะได้ใส่ไหมก็ไม่รู้ แต่มันสวยนี่แล้วก็เป็นรุ่นใหม่ด้วนนิ เอาดีกว่า) มันจะ sale ไม่ sale เราก็ไปเดินเล่นครับ เดินดูเรื่อยๆ สบายๆ อันไหนจำเป็น หรืออยากได้ ก็เล็งๆไว้ กะๆราคาที่พอรับได้ไว้ sale เมื่อไหร่ก็ไปซื้อ ซื้อแล้วก็แล้วกันครับ อย่าคิดมาก ลองดูพฤติกรรมการชอปของสาวๆดูสิครับ สนุกดี บางคนจะซื้ออะไรที่มัน อินเทรน ตลอด เหมือนต้องสวยตลอดเวลา แต่บางคนก็จะแต่งแบบกลางๆ จะสวยหน่อยเฉพาะเวลาไปงานสำคัญ ผมว่าเวลาซื้อเสื้อผ้ามันก็แล้วแต่จุดประสงค์เหมือนกันนะครับ ว่าซื้อใส่สำหรับวันธรรมดาๆ หรือใส่ไปงาน ถ้าใส่ธรรมดาๆ วิธีการซื้อคง passive หน่อยคือ เอาไม่ต้องเตะตามาก ใส่ได้นานๆราคาไม่แพง สีไม่ซ้ำกับที่มีในตู้แล้วมากนัก เรียกว่าเอาให้มันคุ้มค่าในระยะยาวหน่อย แต่ถ้าจะใส่ไปงาน บางทีก็ต้องเลือกที่มันมีอะไรนิดนึง เตะตาหน่อย ราคาก็คงต้องแพงขึ้นหน่อย ซื้อมาแล้วอาจใส่ได้ไม่กี่ที เรียกว่าไม่ต้องคุ้มอ่ะ แต่ขอดูดีมีหน้าตา มีเรื่องอวดเรื่องคุยหน่อย จบงานก็จบกัน เลือกหุ้นก็คงคล้ายๆกันครับ อยู่ที่ว่าเน้น active หรือ passive ถ้าเห็นว่าผมหน้าเก่า เป็นที่รังเกียจ ก็จะได้ออกจาก tvi ครับ ผมว่าพี่พอใจคุยสนุก เป็นกันเองดีออก friendly ขนาดนี้ จะเป็นที่รังเกียจได้อย่างไร ผมไม่เห็นด้วยหรอกครับ แต่ เอ้อ ผมเห็นด้วยกับเรื่องก่อนหน้านั้นครับ :la:
โดย
Tongue
เสาร์ ธ.ค. 23, 2006 2:52 pm
0
0
คุณเคยได้มากที่สุด กี่เด้ง ในหนึ่งครั้ง
เคยได้ 5 เด้งแต่เสียตังค์ครับ ถือ 9 สองตัว จั่วได้ 9 อีกตัว แต่เจ้ามือ ป๊อก 8 เด้งครับ เจ้ามือมี 9 2ตัวครับ หงุดหงิดมากครับ ทำไมมันไม่ลุ้นก่อนเราจั่ว ปล่อยเราลุ้นตั้งนาน
โดย
Tongue
เสาร์ ธ.ค. 23, 2006 2:19 pm
0
0
ร่วมตอกบัตรเป็นพยานวันประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย
ตอกด้วยคน
โดย
Tongue
อังคาร ธ.ค. 19, 2006 10:36 pm
0
0
ถามเรื่อง Finance หน่อยครับ
สมมติว่า ฝากเงิน A บาท ดอกเบี้ย 1 % ต่อปี ทบด้น ปีละครั้ง สิ้นปี จะได้ A+0.01A บาท หรือ 1.01A ถ้าฝาก n ปี A n = 1.01^n A ดังนั้นถ้าต้องการได้เป็น 2 เท่าของเงินเริ่มต้น A n = 2A จะได้ 1.01^n = 2 หรือ n= log2/log1.01 = apprx 70 ปี ถามต่อว่า ถ้ารอต่อจนครบ 100 ปี จะได้เงินเท่าไหร่ A 100 = 1.01^100A = apprx 2.7048A กล่าวคือ ถ้า เงินต้น(A) 100 บาท ครบ 100 ปี ที่ 1เปอร์เซนต์ทบต้น จะได้ เงินทบต้นประมาณ 270 บาท 48 ตังค์ สังเกตว่า 2.7048 มีค่าใกล้เคียง e ถ้าพิจารณาต่อ สมมติ แบงค์จ่ายถี่ขึ้นคือ ทุกเดือน ครบ 100 ปี (1200 งวด) จะได้เป็น (1+(1/12)*1%)^1200 = 2.7172 หรือ 271 บาท 72 ตัง ถ้าแบงค์จ่ายมันทุกวันเลย จะได้ (1+(1/36500))^36500 = 2.7182 ถ้าทุกวินาที (1+(1/(365*24*60*60))*1%)^(365*24*60*60*100) = 2.718282 จะเห็นได้ว่ามันเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยลงเรื่อยๆ และเข้าใกล้ค่าคงที่ตัวหนึ่ง (e) (ใน ฟอร์มของ (1+1/n)^n เมือ่ n เพิ่มขึ้นจะเข้าใกล้ค่าคงที่ค่าหนึ่ง e) เพราะงั้น e = lim n approaches infinity (1+1/n)^n = 2.718281828459...
โดย
Tongue
อังคาร มิ.ย. 27, 2006 11:39 pm
0
0
บริษัทควรมีหนี้เงินกู้บ้าง เพราะอะไรครับ อ่านแล้วงง ?
หนี้ โดยปกติ แล้วมี cost ต่ำกว่า ทุน ครับ (equity) หนี้ ยังสามารถนำไปลด tax ได้ด้วย
โดย
Tongue
เสาร์ เม.ย. 22, 2006 2:17 am
0
0
*การแตกพาร์หุ้นมีผลดีอย่างไรทั้งที่ราคาหุ้นไม่สูงมาก*
เขาว่า แตกพาร์ ทำให้ หุ้นเยอะขึ้น และราคาถูกลง (แบบไม่ วีไอ) ทำให้รายย่อยมีโอกาสเข้าซื้อหุ้นได้มากรายขึ้น เพราะอย่างน้อยสุดต้องซื้อ 100 หุ้น (ถ้าหุ้นละ 500 ก็ 5หมื่นแล้ว) ทำให้การกระจายหุ้นทั่วถึงขึ้น ถูกต้องตามหลักการกระจายหุ้นที่ดี ในทางกลับกัน ก็ขายง่ายขึ้นด้วย ลูกค้าเยอะขึ้น ออร์เดอร์เล็กลง ขายแพงขึ้นอีกหน่อย สบายใจ
โดย
Tongue
พุธ ก.พ. 22, 2006 10:04 pm
0
0
การส่งคำสั่งซื้อ
พอสิ้นวันก็ล้าง ออร์เดอร์ที่ไม่แมทช์ ทิ้งครับ ถ้ายังอยากจะได้ไวๆ ก็ต้องตั้ง overnight ครับ หลัง 5 โมงครึ่ง จะได้เป็นคิวแรกๆของวันรุ่งขึ้น ถ้าจะเอา 10000 หุ้น แต่ไม่อยากตั้ง bid ทีเดียวหมด เดี๋ยว bid หนา กลัวเขาไม่ขาย หรือ กลัวเขาขายมาให้ ก็ไม่รู้ ก็แบ่ง ออร์เดอร์ชื้อได้ 2 วิธี สมมติแบ่งเป้น ลอตละ 1000 วิธีแรก ก็จะ bid ไปก่อน 1000 พอออเดอร์แมทช มันจะออโต้เข้าไปอีก 1000 แต่ไปต่อคิวใหม่นะครับ อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบ อีกวิธี คือ แบ่งเคาะทีละ 1000 แบบนี้ตั้งชื่อหุ้น ราคา กับ account ทีเดียว enter ทีนึงก็ 1000 หุ้นๆ จนครบ
โดย
Tongue
พุธ ก.พ. 22, 2006 9:50 pm
0
0
นอมินี และคัสโตเดียนคืออะไรครับ
อย่าวที่คุณ เจโช บอกครับ แล้วก็ทำหน้าที่เก็บรักษาหุ้นครับ ถ้าถือเป็นใบหุ้น เราก็รับฝาก ทำหน้าที่เอาหุ้นไปเข้าคิว ถอนคิวด้วยครับ เช่นถ้าลูกค้าต่างชาติซื้อหุ้น local มา ก็ต้องเอาไปเข้าคิว แปลงเป็น foreign ให้ NVDR ก้เหมือนกัน ในทางกลับกัน ถ้าเขาจะขายหุ้นเป็น local แต่มี F อยู่ก็ต้องแปลงให้ หลักๆแล้วก็คือเป็นตัวกลางระหว่าง TSD ศูนย์รับฝาก กับลูกค้าน่ะครับ ส่วนนอมินี ก็ คือตัวแทนครับ เช่น สมมติว่าเราทำงานใน บล. อยากเปิดพอร์ทแต่เขาไม่อนุญาติ เราก็ให้เพื่อนเปิดให้ อย่างนี้เพื่อนก็เป็นนอมินี เรา
โดย
Tongue
พุธ ก.พ. 22, 2006 9:29 pm
0
0
เสื้อรุ่นใหม่เรียบง่ายสไตล์ VI
เบอร์ 3 คร้าบ
โดย
Tongue
อังคาร ม.ค. 24, 2006 10:27 pm
0
0
Money and Portfolio Management แบบวีไอเค้าทำกันยังไงครับ?
ผมแบ่งเงินนะพี่ ได้เงินมา จะมีหลายก๊อก ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้ทั่วไป อีกส่วนเก็บเป็นเงินสดไว้เพื่อสภาพคล่อง ที่เกินมาก็เก็บไว้ซื้อหุ้น 2. เวลาซื้อผมซื้อตอนมันถูกๆครับ ส่วนใหญ่ก็ตูมเดียวแหละครับเพราะเงินไม่เยอะมาก ซื้อแล้วไม่ค่อยคิดมาก 3.ตอนแรกที่ซื้อ ตอนนั้น 10 ตัว ครับ กระจายทุกกลุ่ม ราคามันขึ้นบ้าง ลงบ้างครับ ถัวๆกันไป แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นครับว่าแต่ละตัวแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ก็ค่อยๆคัดออกครับ 4. ผมจำกัดความเสี่ยงด้วยการ พยายามทำเงินให้มันเย็นๆ แล้วเอามันไปอยู่ที่เย็นๆครับ แต่ก็มีบ้างครับ ที่เอาเงินเย็น ไปอยู่ที่ร้อนๆ ไหม้ทุกทีพี่ :lol: :lol:
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2006 12:26 am
0
0
ต่างชาติตกใจซื้อไป15360ล้าน
limit การถือครองเหรอครับ ไม่มีแล้วนิครับ ถือผ่าน NVDR ได้ครับ จะถือทั้ง 100% ก็ยังได้ แค่ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงในประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้นเอง ผมไม่แน่ใจนะครับพี่ CK ว่าผมเข้าใจถูกไหม ส่วนใหญ่แล้ว ต่างชาติถ้าซื้อ NVDR หรือ L มักจะนำมาแปลงเป็น F ถ้า room เต็มมากๆ เขา หรือ เจ้าอื่น ต้องซื้อ F ทำให้ราคาสูงขึ้น แล้วราคา L หรือ NVDR น่าจะสูงตาม สุดท้าย มันขายครับ เรื่องสิทธิในการออกเสียง ผมคิดว่าเขาให้ความสำคัญพอสมควรนะครับ ไม่รู้จริงๆเป็นอย่างไรนะครับ อ่านของคุณ chansiaw เลยลองคิดตาม
โดย
Tongue
พุธ ม.ค. 04, 2006 11:43 pm
0
0
เนื่องในโอกาสปีใหม่นี้ มาเผยเคล็ดวิชากันดีมั้ยครับ
การซื้อหุ้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ money management อย่าสำคัญผิด กับ เอ้อ... "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ครับ
โดย
Tongue
พุธ ม.ค. 04, 2006 11:20 pm
0
0
เพื่อนๆ จะมีวิธีทำใจอย่างไรครับ ถ้าเห็นหุ้นเพื่อนคนอื่น....
ผมไม่ได้ดูหุ้นมาพักหนึ่งแล้ว วันนี้ อยู่ดีๆเพื่อนที่เป็นมาร์ โทรมาแซว เฮ้ย หุ้นนายไม่ไปไหนเล๊ย set บวกไปจะ 20 จุด ชาวบ้านเขาไปไหนกันแล้ว เฮอะๆๆ หุ้นนาย แหม มันมาเอาคืน (ตอนร่วง เอามันไว้เยอะ) ฮึๆ เดี๋ยวก่อนๆ :evil:
โดย
Tongue
พุธ ม.ค. 04, 2006 11:14 pm
0
0
ต่างชาติตกใจซื้อไป15360ล้าน
รู้สึกการซื้อต่างชาติในหุ้นหลายๆตัว ใกล้ถึง limit แล้วไม่ใช่เหรอครับ พวกแบงค์ มันน่าจะถึงแล้วไม่ใช่เหรอครับ
โดย
Tongue
พุธ ม.ค. 04, 2006 10:25 pm
0
0
การคำนาณมูลค่าหุ้นที่แท้จริงจากงบดุลทำยังไงครับ
โดยทั่วไปแล้ว ก็ใช้หลักการ valuation ทั่วไปครับ เช่น พวก eva หรือ dcf พวกนี้ครับ หลักและวิธีคิดของแต่ละวิธีอาจต่างกันบ้างนะครับ ซึ่งพวกนี้ศึกษาได้จากตำรา ไฟแนนซ์ทั่วไปครับ แต่ผมว่าอย่ายึดติดมากครับ เอาเป็นแนวๆพอ ผมว่าความสามารถในการแข่งขันระยะยาว การเติบโต หรือ กลยุทธ์การตลาดสำคัญกว่ามาก margin of safety มันคือ ซื้อของถูกกว่าที่ควรจะเป็นครับ เช่น ประเมิณแล้ว ได้ 100 แต่ซื้อที่ 80 ก็ 20% ครับ
โดย
Tongue
พุธ ธ.ค. 14, 2005 8:23 pm
0
0
Thaivi.com อายุจะสามขวบแล้วนะ
:cheers:
โดย
Tongue
พุธ ธ.ค. 14, 2005 8:02 pm
0
0
ใครตาม PICNI บ้างครับ..ขอคำแนะนำหน่อย
ลองไปดูเรื่อง goodwill สิครับ น่าจะมีอาการเปื่อย เอ้ย ป่วย อีกอันนี่ หนี้ระยะสั้นเยอะมากไม่ใช่เหรอ เล่นออกวอร์ ล้างหนี้เนี่ย ไม่ชอบเลย
โดย
Tongue
อังคาร พ.ย. 15, 2005 4:41 pm
0
0
วันนี้มีหุ้นซิลลิ่ง2ตัว
ที่จำได้ ก็ ประชาสัมพันธ์ น่ารักครับ ตอนนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรลึกๆนะ ก็ถามทั่วๆไปน่ะครับ แนะนำบริษัทเป็นอย่างไร ทำอะไร น้ำมันแพง ลูกค้าต้องรัดเข็มขัด แล้วจะลดงบโฆษณาไหม จะปรับกลยุทธ์ อย่างไร มีลูกค้าหลักอยู่ 3 เจ้า (ยำยำ ฮอนด้า แล้วก็อะไรไม่รู้) น้อยไปไหม จะทำอย่างไร คำตอบที่ได้ก็กว้างๆน่ะครับ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ นโยบาย ของลูกค้าเป็นหลัก บางสินค้า อาจจะลด บางสินค้า อาจจะใช้โอกาสนี้ โฆษณา เพื่อชิง market share อย่างยำๆ อาจจะมีนโยบาย เพิ่มงบก็ได้ เพราะ น้ำมันแพง คนมักหันมาทาน มาม่า ยำๆ มากขึ้น หรือ ฮอนด้า ก็อาจไม่ลดมากนัก เพราะต้องรักษา อิมเมจ และเป็นเรื่องการแข่งขันด้วย รถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ แข่งโฆษณากันสูงเหมือนกัน ส่วนเรื่องการรักษาลูกค้าก็ คือ ต้องมีความเข้าใจ ในลูกค้าอย่างดี เวลาโฆษณาไปจะได้ได้กลุ่มลูกค้า เพิ่มยอดให้ลูกค้าได้ คือต้องพยายามเป็นเหมือน ฝ่ายโฆษณาของบริษัทลูกค้าเลย เหมือนบริษัทเดียวกัน เขาอยู่ได้เราก็อยู่ได้ ไม่ได้ถามเรื่องงบการเงินเลย งบการเงิน เคยเปิดๆดู ก็ไม่ได้ถูกใจอะไรนะ (จริงๆแล้ว รู้สึกแปลกๆ ด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจว่า A/R หรือ A/P นะรู้สึกมันเยอะไปหน่อย) พื้นฐานเขา ผมก็เฉยๆ ครับ หลักๆก็ทำโฆษณา ความเสี่ยงที่คิดได้ก็ มี เรื่องลูกค้ามีงบ ไม่มีงบ จะเปลี่ยนเจ้าไหม ลูกค้าหลักมีอยู่ 3 เจ้าเอง ผมว่าน้อยไป แล้วก็ พวกนี้ ครีเอทีฟ สำคัญ เกิดย้าย หรือ ใครมาซื้อตัว ก็มีผลทีเดียว ที่ ceiling มาเห็น กำไร เพิ่มนี่ คงเพราะใครมาอัดงบโฆษณา (บวกกับขึ้นรับข่าว กระทู้ พี่คัดท้าย เรื่อง ทีวี 20 ช่อง ใครได้ใครเสีย ) แต่ไม่รู้นะ มันอาจจะมีอะไรดีๆ อย่าง harry ว่าก็ได้ ผมไม่ได้ติดตามเลย
โดย
Tongue
อังคาร พ.ย. 15, 2005 4:27 pm
0
0
จะผิดมั้ยถ้าผมลงทุนแบบนี้ ?
ไม่เห็นผิดเลยครับ บางทีเราไม่อยากลงทุนหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อย เพราะ กลัวว่าถ้าเกิดต้องใช้เงินฉุกเฉินจะขายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นที่มีมีการซื้อขาย แค่ หลายพัน หรือ ไม่กี่หมื่นหุ้นต่อวัน ก็มีสภาพคล่องเพียงพอแล้วสำหรับผม แต่ถ้าต้องการสภาพคล่อง เพื่อการเคลื่อนไหวของราคา คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โดย
Tongue
ศุกร์ พ.ย. 04, 2005 2:29 pm
0
0
คุณฉัตรชัยครับ น้องฟอเรสถามว่า WG
ตัวนี้ผมทำเป็นรายงาน เทอมก่อน ครับ มันส์มากครับ เพราะกลุ่มอื่น เอาแต่หุ้นดังๆมา advanc, cpf พวกนี้ กลุ่มผมเอา WG ถ้าวิเคราะห์ด้วย 5 forces แล้ว จะเห็นว่า WG มีนโยบายกระจายลูกค้าครับ คือไม่มีลูกค้ารายไหนมีสัดส่วนเกิน 30 % เป็นนโยบายครับ ทำให้ป้องกันการพึ่งพาลูกค้าไม่กี่ราย และก็มี supplier อยู่หลายเจ้าครับ อย่างที่พี่ฉัตรชัย บอกครับ ไม่ได้ขายเป็น commodity และผมก็คิดว่าต้นทุนพวกนี้มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับ raw mat ที่ลูกค้าต้องใช้ครับ เรื่องอนาคตมั่นใจได้อย่างไรว่า ลูกค้าจะไม่ลดลง เท่าที่ดู รายได้โตขึ้นเรื่อยๆครับ เฉลี่ย 5 ปีน่าจะอยู่ที่ ประมาณ 4 เปอร์เซนต์ เพื่อนเอาไปลิ้งค์ กับ GDP แล้วก็การเติบโตของสินค้าประเภทนี้ด้วยครับ โดยสมมติว่า GDP เป็น worst case ก็ ประมาณ 3 เปอร์เซนต์ ส่วนการเติบโตของกลุ่มก็เอามาเฉลี่ยเอา แล้วก็ให้น้ำหนัก ก็ดูแล้วมันก็ยังไปได้ครับ แต่ส่วนตัว ผมว่าอยู่ในตลาดมาเกิน 15 ปี ไม่เคยเพิ่มทุน กำไรสมเหตุสมผล ก็เป็นบทพิสูจน็ แล้วครับ ตัวนี้ที่ดีที่สุดในความคิดผมคือ มันไม่มี cap ex ครับ ใช้ DCF ประเมิณกันโดย assumption ค่อนข้าง consevative ได้ราคาสูงมากครับ เลยต้องใช้วิธีอื่น กลัวมันเว่อร์ไป 55 เคยประเมิณ เงินสดเหลือ เห็นแล้วงงครับ เยอะจริงๆ ประมาณ 500 ใน 5 ปี เรื่อง ROE ก็น่าสนครับ ROE น้อย เพราะ equity เยอะแต่เป็นเงินสดทั้งน้าน สุดท้ายคุยกับเพื่อนในกลุ่ม (คนนี้เก็งกำไร มากกว่า ถือยาวๆ) มันบอกว่า ดีแต่ซื้อตัวนี้ขอซื้อตัวอื่นดีกว่า ไม่ขึ้นเลย ผมก็บอกว่า อ้าว ถ้าจะมองในแง่นี้ เวลาตัวอื่นลง มันก็ไม่ลงนะ ดูดิ่ ราคานี้ ไม่มีคนติดหุ้นนา หายไป 2 วัน มันกลับมาบอก ที่โบรกมัน มีคนติดที่ 37 ผมบอกเป็นไปไม่ได้มันไม่เคยถึงนี่ กลับมาเชคดู เออ มี จริงด้วย เลยสรุปกันว่า เอ้า งั้นรอมันทะลุ hi เก่าด้วย volume support ก่อนแล้วค่อยซื้อ :lovl: แต่ผมว่ารอประชุมผู้ถือหุ้นแล้วไปถามดีกว่า คิดไงกับเคส อากู๋
โดย
Tongue
ศุกร์ พ.ย. 04, 2005 11:39 am
0
0
เท่าที่เดา port จำลอง ลงทุน 10 ล้าน ของ Dr.T น่าจะได้กำไรสูง
ที่โหล่มารายงานตัวครับ ซื้อไป 9.3 ล้าน ขาดทุนไปแล้ว 3.2 ล้าน - 32.18 เปอร์เซนต์ ปันผลก็ไม่มี วอแรนต์ล้วนๆ spali-w2, estar-w2, และ jas-w2 พอร์ตจริงไม่มีซักตัว :\/: :\/: อิอิ
โดย
Tongue
ศุกร์ ต.ค. 28, 2005 4:41 pm
0
0
มีใครสน egat บ้าง
คุณ jay chou ก็ยอเกินไปครับ ผมยังติดหุ้นอยู่เลย งบการเงินกฟผ. ดาวโลด ได้ที่นี่ครับ www.egat.co.th. เกี่ยวกับบมจ. ---- annual report หรือใครอยู่ใกล้ๆไปขอได้เลยครับ
โดย
Tongue
ศุกร์ ต.ค. 21, 2005 4:21 pm
0
0
มีใครสนใจ ah หรือเปล่า...
เมื่อวานไป company visit มาครับ น่าสนใจครับ คร่าวๆ ไทยเป็น second largest pick up ที่หนึ่งคือ USA แต่ที่นู่นจะเป็น ขนาดใหญ่ มากกว่า 1 ตัน ต่ำกว่า 1 ตัน ไทยเป็นที่หนึ่ง ช่วงปี 97 98 วิกฤติมา ทำให้เหลือกำลังการผลิตเยอะ เลยหันมาเน้นส่งออกด้วย ดูจาก chart หลัง 98 ดีขึ้นมากเลย และ export มีสัดส่วนเยอะทีเดียว (น่าจะเกือบครึ่ง) อนาคต nissan จะเข้ามาเล่นตลาด pick up มากขึ้น และเลือก AH เป็น 1 ใน 5 supplier ด้วย AH จะเป็น holding company สินค้าหลักก็ jig, โครงช่วงล่าง, และเป็น dealer ford การผลิต ตอนนี้เต็มกำลังการผลิตแล้ว มีการ outsource บางส่วน กำลังขยายโรงงานที่ อมตะ 30 % และสร้างใหม่อีกหนึ่งโรง คาดเสร็จปีหน้า competitive advantage ผู้บริหารบอกว่า quality คือหัวใจ เขาบอกว่า ppm (part per million ของ defect น้อยกว่า 100) ตอนเดินดูในโรงงาน สังเกตุเห็น line หนึ่งมี แค่ 8 เอง เน้นการจัดการที่ดี มีการจัดการแบบญี่ปุ่น jit, ekaban, การจ่ายตังค์ตามจำนวนชิ้นงานที่ดี มากกว่าจำนวนเวลา concept QCDEM (quality, cost, delivery, engineering, management) เรื่อง bargaining power ของ supplier มีจำนวน supplier มาก 16 tier ทำให้ไม่น่าห่วง และ cost ส่วนใหญ่อยู่ที่การบริหารจัดการด้วย และลูกค้า (toyota) ก็ช่วยต่อรองราคาด้วย หุ้นมี 24 ล้านหุ้น เงินสดปี 47 มี 5 ร้อยกว่าล้าน d/e ประมาณ 0.5 เรื่อง margin ที่ลดลง ผู้บริหารตอบว่า nature ของธุรกิจต้องเป็น economy of scale เน้นที่ volume มากกว่า จึงไม่อยากให้ดูที่ margin มากนัก อื่นๆ โรงงานกับ office ดูง่ายมาก คือ ถ้ามีการย้ายการผลิตนี่ ยกไปได้ง่ายๆเลย มีโครงการจะย้ายไปจีนด้วย โรงงานทั่วไป ก็สะอาด เรียบร้อย เครื่องจักรดูใหม่ดี การทำงานดูมีระบบ ระเบียบดี หน้าตาพนักงานก็ดูสบายๆ ไม่เครียด อนาคตจะเป็น holding ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว ทำให้ในงบ มีการลงทุนใน บ.ย่อย, บ.ลูกพอสมควร อาจดูยากขึ้น เจ้าของมีหุ้นประมาณ 40 กว่าเปอร์เซนต์ อยู่ในช่วงขยาย cap ex น่าจะเยอะอยู่ ดูแล้วเป็นหุ้นลงทุนยาว หวัง growth แต่ไม่รู้ว่า รถยนต์มี cycle ไหม
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ต.ค. 20, 2005 11:35 am
0
0
กลุ่มสิ่งทอ
อิจฉาผมทำม๊าย มีอยู่กะจึ๋งนึง ผมไม่ค่อยได้สนใจหรอกครับ เรื่องการกีดกันหรือไม่กีดกัน ผมว่า แบรนด์ มันมีอยู่ ยังไงมันก็มีตลาดรองรับ ยังไงมันก็ขายได้ อย่างน้อยก็ในบ้านเรา อีกอย่าง ผมว่าพวกนี้มันอยู่ที่ ดีไซน์มากกว่านะ ถ้าเสื้อผ้าคุณมีดีไซน์ มันก็คนละตลาดกับผ้าโหลแล้ว ไหนจะเรื่องการตลาดอีก หลังๆนี่ ผมจะดูๆยี่ห้อ BSC มากกว่า คือดูเรื่องการตลาดนะครับว่าเป็นอย่างไร เคยถามสาวๆ เขาก็โอเคนะ ตอนประกวดนางงามก็เป็น สปอนเซอร์ด้วย ที่ซื้อมาตอนนู๊น ก็เห็นมันถูกดี หนี้ก็ไม่มี ธุรกิจก็ง่ายๆ brand มันติดตลาดดี เค้ามี arrow, guy laroach, daks, bsc etc เห็นว่าสินค้าครอบคลุมหลายกลุ่มลูกค้าดี ก็เลยซื้อๆมาครับ เรื่องสิ่งทออยู่ช่วง sunset indrustry นี่ ผมก็เฉยๆครับ ก็เห็นมันก็กำไรของมันอยู่ทุกปี อาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ถ้ามันถูก มันก็โอเคไม่ใช่เหรอ เออ ถ้าเป็นอย่างเจ้า ตายเกลี้ยง ต่อให้สิ่งทอ เป็น super sun rise ผมก็ไม่เอา
โดย
Tongue
ศุกร์ ต.ค. 07, 2005 11:50 am
0
0
ข้อมูล EGAT หาได้ที่ไหนครับ
annual reprt ไปขอได้จากบริษัทเลยครับ
โดย
Tongue
อังคาร ต.ค. 04, 2005 9:45 am
0
0
ทำไม SPORT ถึงไม่กำไรมากมายอย่างที่คิด
ผมว่าเมื่อก่อนลูกค้าก็คือ คนพนันบอลแหละ สมัยก่อนนักศึกษาจะฮิตมาก soccer เล่มกับ marlbolo แดงซอง เนี่ย หลายๆร้านแทบจะวางคู่กันเลย จำได้ว่าขึ้นราคา แรงมาก 7 บาท เป็น 10 12 แล้วก็ 15 แต่หมดเร็วมาก แล้วก็มี โทรถามผลบอล ด้วย "ตึ่ง ๆๆ สวัสดีครับ สยามกีฬา สตาร์ซอคเกอร์ ยินดีให้บริการ นาทีละเก้าบาท ทั่วประเทศ ตู๊ด" "ต้องการทราบผลฟุตบอล พรีเมียร์ชิพ กด 1 กัลโช่ เซเร อา กด 2 ...ตู๊ด" "สวัสดีครับ รายงานผลฟุตบอล กัลโช่ ประจำวันที่ ....ตู๊ด" เดี๋ยวนี้คนเล่นมันลดลงเยอะ ก็ไม่ต้องรีบรู้ผลอะไรขนาดนั้น ของในร้านก็ไม่น่าสนใจ เท่าไหร่ ไม่ค่อยหลากหลาย มีอยู่ไม่กี่ทีมเอง (ไม่ค่อยมีโรม่า) แถมของแท้ มันแพง (ค่าลิขสิทธิ์ น่าจะเป็นต้นทุนที่สูงทีเดียว) แถมแป๊บๆ จบฤดูกาล เปลี่ยนแบบอีกแล้ว ไปหลังสนามศุภดีกว่า หนังสือกีฬาอื่นๆ ก็ดูไม่น่าซื้อ อย่าง เทนนิส กับ มวยเนี่ย ผมดูแล้วรูปเล่มไม่น่าซื้อ ตลาดเองก็น่าจะมีส่วน เดี๋ยวนี้ ไม่มีมวยเจ๋งๆ เท่าไหร่ FHM ก็ใช้ได้ แต่ตอนนี้ maxim กำลังมาแรงนะผมว่า
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ก.ย. 29, 2005 12:13 pm
0
0
เสวนา สภากาแฟ
พี่มน wrote มันมากครับวันนี้ มันหนุกตรงไหนเนี่ยพี่ หลอกผมตื่นเต้นแต่เช้า "มาถึง ขึ้นมาชั้น 9 เลยนะ เดี๋ยวรู้เองว่าจะเจอพี่ที่ไหน" ไปถึง โห....สาวตูมเลย สาวห้องค้า
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ก.ย. 29, 2005 11:33 am
0
0
สงสัยมานานแล้วกับนิยามคำว่าปั่นหุ้น
ถ้าตามหลักการ ผมว่าน่าจะใช้ วอลุ่ม กับ การขึ้นลงของราคา ที่มากผิดปกติเป็นตัวตัดสินนะครับ ถ้าผิดปกติก็ขึ้น H หรือ SP แล้วเข้าไปตรวจสอบ ประเด็นเลยน่าจะอยู่ที่ เข้าไปในจังหวะที่ดีไหม ถ้าช้าไป หรือไม่เข้าไปเลย แมงเม่าก็ตายเรียบ แต่ถ้าเร็วไป บ่อยไป ก็คงไม่ดีเหมือนกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ มันก็ฟันธงลำบากอยู่ดี คงได้แค่ลดความร้อนแรงไป สักพักก็เอาใหม่ สุดท้ายผมว่ามันอยู่ที่นักลงทุนแต่ละคนเลยนะ ว่าระดับไหนเรียกปั่น ไม่ปั่น แล้วชอบเล่นหุ้นปั่นหรือเปล่า อย่างตอน ไก่น้อย กับ ห้องน้ำออนไลน์ (e-wc) เนี่ยใครบอกไงไม่รู้ แต่ส่วนตัวผม ผมว่ามันหมุนเร็วเกินจะรับไหว ไม่ไหวจริงๆ
โดย
Tongue
อังคาร ก.ย. 27, 2005 11:57 am
0
0
เสวนา สภากาแฟ
คอนเฟิร์มครับ พรุ่งนี้เจอกันพี่มน พี่ ba_2l
โดย
Tongue
อังคาร ก.ย. 27, 2005 9:48 am
0
0
พักหลัง ทำไมมะค่อยคุยเรื่องหุ้นกันเลย
ส่วนตัวผม ผมก็ถือหุ้นตัวเดิมๆ ถ้ามีตังค์ หรือ ปันผลมา ก็คงซื้อเพิ่มตัวที่มีอยู่ เลยไม่ค่อยได้มองตัวใหม่ๆเท่าไหร่
โดย
Tongue
จันทร์ ก.ย. 26, 2005 3:01 pm
0
0
เสวนา สภากาแฟ
กำลังเบื่อเลย หาเรื่องไปเหล่ด้วยดีกว่า
โดย
Tongue
จันทร์ ก.ย. 26, 2005 2:57 pm
0
0
หรือ?จะเป็นทีของหุ้น p/bv ต่ำ
สบายดีครับ ตั่งอ่ะ เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าดังใหญ่แล้วนะ...... ขอให้ได้ที่1 นะ mj โอย ดังเดิงอาไร ตกรอบไปแล้ว :lovl: :lovl: ก็สบายดีเหมือนเดิมแหละ thank you
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ก.ย. 22, 2005 11:30 am
0
0
แจ็ค มาสอน valuation หน่อย
ใช่แล้ว โดยหลักการ 2 วิธีนี้ แตกต่างกันอย่างไร อย่าง DCF ก็เป็นวิธีที่ดีและนิยมใช้อยู่แล้ว เพราะมันมองทั้ง หนี้และทุน ทีนี้ RIM มันมองแต่ส่วนทุน มันมีหลักการอย่างไรเหรอ ทำไมถึงไม่มองหนี้สิน ตอนนั้นนายอธิบายไว้โอเคเลย แต่เราจำไม่ได้แล้ว 555 ขออีกทีดิ่ อ้อ ตอบตามความเข้าใจนะ สบายๆ คุยกันเล่นๆ
โดย
Tongue
พฤหัสฯ. ก.ย. 22, 2005 11:17 am
0
0
แจ็ค มาสอน valuation หน่อย
พิมพ์ไปก็งงไป ครับ แต่เชื่อว่าอ่านช้าๆแล้วจะเข้าใจครับ เหอๆ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย อืมม์ คือกำลังบอกว่า การ valuate นี่มีหลักๆ อยู่ 2 อย่าง คือ ประเมิณทั้ง firm กับ ประเมิณเฉพาะ equity ใช่ไหม เท่าที่จำได้ DCF นี่จะประเมิณทั้งบริษัทโดยผ่าน กระแสเงินสด ถูกไหม ถ้าจะเอาเฉพาะ equity ก็มาลบออกทีหลัง แล้วแบบไหนมันดีกว่า หรือไม่ดีกว่า มันต่างกันยังไง อืมม์ แล้ว cost of equity นี่หาไงเนี่ย ลืม แล้วทำไมต้อง คูณ equity ใน T-1 ด้วยล่ะ
โดย
Tongue
พุธ ก.ย. 21, 2005 5:16 pm
0
0
แจ็ค มาสอน valuation หน่อย
หวัดดี คุณ jack กำลังจะหลับพอดี แนะนำก่อน คุณ jack เป็นเพื่อนเรียนที่ MIF ครับ เข้าเรื่องเลยดีกว่า คืออธิบาย valuation หน่อยสิ คือ ไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ เอา RIM ดีกว่า เห็นแปลกดี มันคือ อะไรอ่ะ
โดย
Tongue
พุธ ก.ย. 21, 2005 4:01 pm
0
0
613 โพสต์
of 13
ต่อไป
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
Tongue
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
investment
ความถนัด:
investment
ที่อยู่:
ลาดพร้าว 87
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ธ.ค. 02, 2003 10:38 am
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ ม.ค. 26, 2013 12:02 pm
โพสต์ทั้งหมด:
725 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.04% จากโพสทั้งหมด / 0.09 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
สุดแท้ทางเดิน
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว