Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย ขอด้วยครับ ขอบคุณครับ [email protected] โดย Murphy.Bkk เสาร์ พ.ค. 23, 2015 6:41 am

Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย รบกวนขอด้วยครับ ขอบคุณมาก [email protected] โดย Murphy.Bkk ศุกร์ ก.พ. 14, 2014 6:08 pm

Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย ยอดเยี่ยมครับ รบกวนขอข้อมูลเพื่อไปศึกษาต่อด้วยครับ ขอบคุณครับ [email protected] โดย Murphy.Bkk อังคาร ก.ย. 04, 2012 6:08 am

Re: ไม่นึกเลยว่าอาหารที่ถือมาเนิ่นนานตัวหนึ่ง จะขึ้นถึงขนาดน ผมก็ถือหุ้นอาหารตัวหนึ่ง ขายทั้งอาหารคนและสัตว์ ถือมา 3 ปีครึ่งแล้ว ขึ้นมาเป็น 1300 % แล้ว :D โดย Murphy.Bkk พฤหัสฯ. พ.ค. 17, 2012 7:35 am

Re: สิ่งที่ผม สงสัยมาตลอดกับ tfex ขึ้นกับวิธีการใช้ tfex ครับ อย่างช่วงกลางปีที่ผ่านมา บางคนได้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสูงมาก เช่น 50% ซึ่งเกินกว่าที่เราคาดไว้มาก (เราอาจคาดแค่ได้ผลตอบแทน 10% ในปีนี้ก็ดีมากแล้ว) เมื่อเข้าสู่ประมาณต้นเดือนสิงหา ตลาดหุ้นเริ่มเข้าสู่ขาลง มีข่าวร้ายเริ่มเข้ามาเต็มตลาด ผลตอบแทนก็เริ่มลดลง เช่นเหลือ 40% ส่วนตัวเราเองนั้น 40% นี่ก็ถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้มากแล้ว หุ้นที่อยู่ในมือ ก็กะลงทุนระยะยาว ไม่เคยคิดจะขาย แล้วก็ยังได้ปันผลอยู่ ในลักษณะนี้ ผมคิดว่า การใช้ TFEX จะได้ประโยชน์มาก แม้ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยงรายบุคคลของเราก็ตาม ถึงหุ้นจะขึ้นอีกเราก็อาจเสียดายอยู่บ้าง แต่ที่เราอยากได้มากกว่าคือ การล็อกกำไรของปีนี้ให้อยู่ในระดับ 40% (ที่เกินความคาดหวังของเราอยู่แล้ว) โดย Murphy.Bkk ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 11:01 pm

Re: ทำตอนตลาดลง หุ้นดีๆ ก็ลงตาม ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกัน เหตุผลก็คงเป็นเพราะ ราคาหุ้นเป็นไปตาม demand-supply "ราคาหุ้นระยะสั้นตามอารมณ์ตลาดและข่าว ระยะยาวตามผลประกอบการ" มีคนขายมากกว่าคนซื้อ หุ้นก็ลงเป็นธรรมดา แม้ว่า "หุ้นดีๆ" อาจมีชาว vi ถือไม่ขาย แต่มันมีคนอื่นขายเยอะแยะ คนซื้อน้อยกว่า ก็ลงธรรมดา (คนขายก็คงมีวิธีคิดของเขา เช่น อารมณ์ตลาดแบบนี้ถือเงินสดปลอดภัยกว่า, ไม่อยากขายเป็นคนสุดท้าย, ...) เหตุผลสามัญเกิดขึ้นเสมอกับหุ้นสามัญ โดย Murphy.Bkk พุธ ส.ค. 24, 2011 6:59 pm

Re: การลงทุนแบบเสี่ยงๆ แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ระมัดระวังเรื่องความเสี่ยงมากขึ้นหน่อยแต่ก็ยังยึดติดกับตัวเลขที่ว่ากล่องใบที่สองมีโอกาสให้ผลตอบแทนงามกว่า ดังนั้นเขายังคงลงทุนในกล่องใบที่ 2 อยู่ แต่ลงทุนด้วยความระมัดระวังขึ้นคือด้วยเงินที่มีอยู่เขาจะไม่ลงไปทีเดียวทั้งหมด 400 บาท แต่เขาลงทุนไปเพียงครั้งละ 100 บาทเท่านั้น ดังนั้นเมื่อลงทุนครบ 4 ปีเขาจะได้ผลตอบแทนตามความน่าจะเป็นแล้วคือ 600 บาท (หยิบได้ไข่ที่มีเงิน 3 ฟอง และได้ไข่ว่างเปล่า 1 ฟอง) การลงทุนลักษณะนี้ก็ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร แต่กลุ่มสุดท้ายเขาไม่สนใจผลตอบแทนที่สูงของกล่องใบที่สอง แต่เขาเลือกจะลงทุนในกล่องในแรกที่เขามั่นใจ 100% ว่าในแต่ละครั้งจะไม่มีทางขาดทุนแต่จะได้ผลตอบแทน 20% ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะกล้าทุ่มหมดตัวคือ ในปีแรกยอมจ่าย 400 บาท และได้ผลตอบแทนมาเป็น 480 บาท พอปีที่สองเขาก็จะทุ่มหมดตัวเช่นกันคือยอมจ่าย 480 บาท และได้เงินกลับมาเป็น 576 บาท พอถึงปีที่สาม เขาก็จ่ายหมดเลยคือ 576 บาท และได้เงินกลับมาจำนวน 691.2 บาท และพอถึงปีที่สี่ เขาก็จะมีเงิน 829.44 บาท และนั่นทำให้คนกลุ่มนี้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุดเมื่อผ่านไป 4 ปี จริงๆแล้วสำหรับปัญหาที่เป็นแบบนี้ (ตามที่กำหนดไว้คือกล่องใบแรกได้ผลตอบแทน 20% เสมอ และกล่องใบที่สองใน 4 ครั้งได้ผลตอบแทน 100% 3ครั้งและ 0% 1 ครั้งเสมอ) เราสามารถทำได้ดีกว่า 829.44 บาท มากพอควรเลยครับ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ใช้การผสม โดยทุกปี ลง 200 บาทในกล่องใบที่สอง+ที่เหลือทั้งหมดในกล่องใบที่หนึ่ง -- กรณีเลวร้ายสุด คือปีแรกที่ลงไม่ได้เงืินจากกล่องใบที่สอง ปีอื่นๆได้กลับมา100%ทุกปี ผ่านไป 4 ปีได้เงินรวม 997.12 บาท มากกว่า 829.44 บาท 20% (เงินจะเปลี่ยนแปลงดังนี้ 400 --> 240 --> 448 --> 698 --> 997) -- กรณีดีสุด คือปีสุดท้ายที่ลงไม่ได้เงินจากกล่องใบที่สอง ปีอื่นๆได้กลับมา 100% ทุกปี ผ่านไป 4 ปีได้เงินรวม 1288.32 บาท มากกว่า 829.44 บาท ถืง 55% (เงินจะเปลี่ยนแปลงดังนี้ 400 --> 640 --> 928 --> 1274 --> 1288) นี่เป็นแค่ตัวอย่างแบบง่ายๆ ถ้าจะให้ได้มากกว่านี้ ก็สามารถทำได้อีก ด้วยวิธีผสมในการลงในกล่อง 2 ใบครับ อย่างไรก็ดีในการลงทุนจริงจะมีปัจจัยต่างๆมากมาย ไม่ได้คำนวณได้ด้วยตัวเลขตรงไปตรงมาแบบนี้เสมอไป แต่ผมคิดว่าการลงทุนแบบผสมนี้สามารถใช้ได้กับในชีวิตการลงทุนจริงได้อย่างดีด้วย โดย Murphy.Bkk อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 10:23 pm

Re: อยากได้หุ้น กำไรสม่ำเสมอ และ ดังนั้นถ้าใครลงทุนสั้นกว่า 10ปี การเลือกหุ้น PEสูงGrowthสูง จะได้ผลกำไรต่ำกว่า PEต่ำ Growth ต่ำ โดย PEG=1 โดยดูจากตัวเลข แก้คำผิด ปกติถ้า PEG เท่ากัน ผมคิดว่าเลือกบริษัทที่มี Growth สูงกว่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า (บนสมมติฐานว่า growth สูงเช่นนั้นตลอดไป) เช่น ปีที่ 1 หุ้นบริษัท A มีราคา 100 บาท กำไร 10 บาท growth=10 กับ หุ้นบริษัท B มีราคา 100 บาท กำไร 5 บาท growth=20 จะเป็นดังด้านล่างนี้ครับ ccc.png จะเห็นได้ชัดเจนว่า ลงทุน ใน B ที่มี PE=20, Growth=20 กำไรมากกว่าเสมอ (หมายถึง Capital Gain ที่เราได้จากราคาหุ้นเมื่อเราขายหุ้น) แต่เนื่องจากบริษัทที่มี growth สูง อาจไม่สูงเช่นที่เห็นตลอดไป เช่นบางบริษัทดู growth สูงในช่วงต้น เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยต่างๆ ทำให้ growth ลดลง (คู่แข่งเข้ามาแชร์ผลกำไร บริษัทใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ฯลฯ) สมมติว่า A ที่มีราคา 100 บาท กำไร 20 บาท ค่า PE=5 growth=5 มีความแน่นอนของ growth เป็น 5% ตลอดในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ กับ B ที่มีราคา 100 บาท กำไร 5 บาท ค่า PE=20 growth=20 growth มีแนวโน้มลดลง ตลอดช่วง 10 ปี โดยลดลงปีละ 10% ของกำไรในปีก่อนหน้า จะเป็นดังนี้ครับ aaa.png แสดงว่าเมื่อเริ่มต้นเราลงทุน 100 บาทเท่ากัน ในช่วงต้น บริษัท B ให้ผลตอบแทนมากกว่า จนถึงปีที่ 8 ที่บริษัท A เริ่มให้ผลตอบแทนสูงกว่า ดังนั้นในระยะเริ่มต้นเลือก B ในระยะยาวมากเลือก A ครับ อย่างไรก็ดี อันนี้เป็นการคำนวณทางตัวเลขเท่านั้น ในความเป็นจริงเราควรต้องดูคุณภาพด้านอื่นๆของบริษัททั้งสองด้วยครับ ** หมายเหตุ การคำนวณตัวเลขด้านบน กำหนดให้ซื้อขายให้ราคา กำไร*growth ตลอด เช่น ปีที่ 3 บริษัท B จะมีกำไร 7.08 บาท growth (คำนวณจากปีที่2) 18% ก็จะซื้อขายในปีที่ 3 เป็น 18*7.08=127บาท โดย Murphy.Bkk อังคาร ส.ค. 02, 2011 6:09 pm

Re: ANTHONY BOLTON ว่าอย่างงี้แล้วเราๆท่านๆว่าอย่างไงครับ ปกติถ้า PEG เท่ากัน ผมคิดว่าเลือกบริษัทที่มี Growth สูงกว่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า (บนสมมติฐานว่า growth สูงเช่นนั้นตลอดไป) แต่เนื่องจาก growth อาจไม่สูงเช่นที่เห็นตลอดไป เช่นบางบริษัทดู growth สูงในช่วงต้น เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยต่างๆ ทำให้ growth ลดลง (คู่แข่งเข้ามาแชร์ผลกำไร บริษัทใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ฯลฯ) เช่น ปีที่ 1 หุ้นบริษัท A มีราคา 100 บาท กำไร 20 บาท growth=5 กับ หุ้นบริษัท B มีราคา 100 บาท กำไร 5 บาท growth=20 สมมติว่า A ที่มี ค่า PE=5 growth=5 มีความแน่นอนของ growth เป็น 5% ตลอดในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ B มีค่า PE=20 growth=20 growth มีแนวโน้มลดลง ตลอดช่วง 10 ปี โดยลดลงปีละ 10% ของกำไรในปีก่อนหน้า เราจะได้ตัวเลขดังด้านล่างนี้ครับ aaa.png แสดงว่าเมื่อเริ่มต้นเราลงทุน 100 บาทเท่ากัน ในช่วงต้น บริษัท B ให้ผลตอบแทนมากกว่า จนถึงปีที่ 8 ที่บริษัท A เริ่มให้ผลตอบแทนสูงกว่า ดังนั้นในระยะเริ่มต้นเลือก B ในระยะยาวมากเลือก A ครับ อย่างไรก็ดี อันนี้เป็นการคำนวณทางตัวเลขเท่านั้น ในความเป็นจริงเราควรต้องดูคุณภาพด้านอื่นๆของบริษัททั้งสองด้วยครับ ** หมายเหตุ การคำนวณตัวเลขด้านบน กำหนดให้ซื้อขายให้ราคา กำไร*growth ตลอด เช่น ปีที่ 3 บริษัท B จะมีกำไร 7.08 บาท growth (คำนวณจากปีที่2) 18% ก็จะซื้อขายในปีที่ 3 เป็น 18*7.08=127บาท โดย Murphy.Bkk อังคาร ก.ค. 12, 2011 9:34 am

Re: 2011 จบครึ่งปีแล้ว อาการเป็นไงกันบ้าง ได้ผลตอบแทนประมาณ 20% (ไม่รวมปันผล) ครับ รู้สึกพอใจกับผลตอบแทนที่ได้ เพราะตั้งเป้าทั้งปีไว้น้อยกว่านี้ครับ ที่ชนะตลาดได้ น่าจะมาจาก การถือหุ้นน้อยตัว ทำให้ผลตอบแทนไม่ไปตามตลาดและตัวที่มั่นใจถือในอัตราส่วนมาก และบังเอิญมันขึ้นมาครับ โดย Murphy.Bkk เสาร์ ก.ค. 02, 2011 7:00 am

Re: ขอคำแนะนำ port เล๊กการขยาย ทำได้ช้ามากครับ ผมคิดว่าต้องลงทุนดูอีกสักระยะจนแน่ใจว่าเราสามารถทำกำไรได้พอสมควร ถ้าแน่ใจว่าวิธีการลงทุนเราถูกวิธีได้ 20% ต่อปีโดยเฉลี่ยแน่ๆแล้ว เราก็ยืมเงิน กู้เงิน หรือ margin มาลงทุนเพิ่มครับ ผมใช้วิธีนี้อยู่ตอนนี้ได้แบ่งเงินลงทุนในหุ้นมาประมาณ 25 เซนนี ยืม+กู้มาอีก 70 เซนนี ตั้งแต่ต้นปีมานี้กำไรได้มา 40 เซนนี ถ้านับเป็น ROE ก็ 160% (หักดอกเบี้ยกู้ยืมคืนผู้ให้กู้แล้ว) อย่างไรก็ดีการลงทุนมีความเสี่ยง ในตลาดขาขึ้นแบบนี้กำไรจากการใช้กู้ยืมก็มาก แต่ตลาดขาลงต้องระมัดระวังอย่างยิ่งครับ และถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องระวังและเตรียมใจกับผลตอบแทนที่อาจไม่เป็นตามคาดด้วยครับ โดย Murphy.Bkk พุธ เม.ย. 27, 2011 9:11 am

Re: ความผิดพลาดในการเลือกหุ้น ความผิดพลาดในการเลือกหุ้น ความผิดพลาดในการเลือกหุ้นน่าจะแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ประการที่หนึ่ง ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการเลือกซื้อหุ้นที่คิดว่าดีไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ดีอย่างที่คิด เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะรู้ความจริง ซึ่งอาการที่มักจะสังเกตุได้ของความผิดพลาดประเภทนี้คือ "ติดดอย" และประการที่สอง ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการเลือกที่จะไม่ซื้อหุ้น หรือขายหุ้นที่คิดว่าไม่ดี แต่แท้ที่จริงแล้วหุ้นตัวนั้นกลับกลายเป็นหุ้นที่ดีมาก ซึ่งอาการที่มักจะสังเกตุเห็นได้คือ "ตกรถ" ความผิดพลาดแบบที่ 1 ที่เลือกซื้อหุ้นผิด คิดว่าดีแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ อันนี้เราสามารถจำกัดผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ โดยรีบขายหุ้นนั้นทิ้งโดยเร็ว เมื่อรู้ว่าเราซื้อหุ้นหรือดูธุรกิจผิดพลาด "อย่าเก็บวัชพืชไว้" ครับ ถึงขาดทุนก็รีบขายโดยเร็ว ส่วนความผิดพลาดแบบที่ 2 ประเภทที่ไม่ซื้อหุ้นที่ดี (ไม่นับรวมขายหุ้นที่คิดว่าไม่ดี) อันนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆครับ เพราะหุ้นที่ดีมีอยู่จำนวนมาก เราไม่สามารถซื้อหุ้นทุกตัวที่ดี ที่ราคาขึ้นมากๆ ได้ ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้และผมก็ยึดถือเป็นคติประจำตัวก็คือ "เราไม่สามารถซื้อหุ้นทุกตัวที่ดีได้ แต่หุ้นทุกตัวที่เราซื้อต้องดีแน่ๆ" ดังนั้นก่อนเราจะซื้อหุ้นเราต้องทำการบ้านให้ดีที่สุดทุ่มเทแรงเพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นที่จะซื้อมันเป็นธุรกิจที่ดีสุดๆและเราอยากเป็นเจ้าของจริงๆ และเราก็ไม่ต้องเสียดายถ้าเห็นหุ้นที่ไม่ได้ซื้อกำลังวิ่งขึ้น :D โดย Murphy.Bkk อังคาร มี.ค. 15, 2011 3:52 pm

Re: วิเคราะห์การลงทุนจากพอร์ต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมชอบประโยคนี้มากครับ "หุ้นที่ขาดทุนนั้น ส่วนใหญ่ควรเป็นหุ้นที่เพิ่งมีการซื้อเข้าพอร์ตมาไม่นาน หุ้นที่ซื้อมานานแล้วไม่ควรมีการขาดทุน" หลายครั้งที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ/กลัว เวลาที่หุ้นที่ซื้อเข้ามาใหม่ราคาลดลงอย่างมาก 10-20% ในเวลาไม่นาน ทั้งๆที่เราก็วิเคราะห์ธุรกิจมาดีแล้ว ประโยคนี้ของดร.ช่วยให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมของหุ้นในตลาดได้มากขึ้น ถ้าวิเคราะห์ธุรกิจดีแล้วหุ้นที่พึ่งซื้อไม่นานจะราคาตกลงก็ไม่ต้องกังวลมาก แต่ถ้าหุ้นที่ซื้อนานแล้ว ราคาไม่ไปไหนหรือต่ำลง ก็ควรขายทิ้งดีกว่า ยิ่งถ้ามันไม่ให้ปันผลที่น่าพอใจด้วยแล้ว :) โดย Murphy.Bkk จันทร์ มี.ค. 14, 2011 11:23 pm

Re: สำหรับคนที่ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ณ เวลานี้ครับ เชื่อว่ามีหลายๆ คนเป็นเหมือนผม..ณ เวลานี้ (9 มีนา54) พอร์ทว่าง หรือมีหุ้นแค่ไม่เกิน 20% ของพอร์ท อยากซื้อหุ้น - อึดอัด แต่ดูแล้วตัวไหนก้อ upside เหลือไม่มาก ผมแนะนำ รอ ครับ เพราะเคยซื้อแล้ว พอซื้อหุ้นมันนิ่ง อึดอัดกว่า .... ถ้าชอบกด Like ครับ เอ้ยไม่ใช่ facebook ปล.ใครมีวิธีอื่นแนะนำนอกจากรอมั้ยครับ ช่วยแนะนำเม่าน้อยๆหัดใหม่แบบผมด้วยนะครับ ผมคิดว่าถ้าตอนนี้พอร์ตว่างหรือมีหุ้นน้อยมาก ก็น่าจะรอครับ ยิ่ง set index ขึ้นสูง ความเสี่ยงที่จะลงมาก ก็ยิ่งเพิ่ม ดังนั้น ถ้าเข้าซื้อในขณะที่ set index สูงก็มีความน่าจะเป็นที่ระยะสั้นหุ้นจะปรับตัวลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อได้ ดังนั้นยุทธศาสตร์สำหรับกรณีพอร์ตว่างอาจต้องรอ โดยระหว่างนี้ก็ทำการบ้านเลือกหาธุรกิจที่ดีครับ (แต่ถ้าเลือกเจอบริษัทที่ดีราคายุติธรรม ลงทุนระยะยาวก็น่าจะยังโอเคอยู่) ส่วนตัวผมเอง ไม่เคยขายหุ้นทิ้งหมดพอร์ตหรือมีหุ้นต่ำกว่า 50% เลย ตอนนี้ก็มีหุ้นอยู่เกือบ 90% (นี่พยายามขายออก เอาเงินสดเก็บไว้บ้างแล้ว ปกติมีหุ้นเกิน 100% อยู่ในพอร์ต) และก็พยายามขายออกเป็นเงินสดอยู่ครับ เพราะแบบที่บอก set index สูงความน่าจะเป็นที่จะลงก็ยิ่งมากและมีความเสี่ยงสูงขึ้น โดย Murphy.Bkk พฤหัสฯ. มี.ค. 10, 2011 6:53 pm

Re: เห็นหุ้นขึ้นแล้วเครียด ซื้อแบบ DCA ครับ D urable C ompetitive A dvantage? ผมอ่านปุ๊บนึกถึงคำนี้ก่อนเลยแฮะ แต่คงไม่ใช่ น่าจะเป็นซื้อเฉลี่ย โดย Murphy.Bkk อังคาร มี.ค. 08, 2011 7:03 pm

DW ไม่ใช่การพนัน มันคือเกม ผมคิดว่ามันขึ้นกับการใช้ประโยชน์จาก DW มากกว่าครับ จะมองเป็นการพนัน เกม ก็มองได้ หรือจะมองเป็นการบริหารความเสี่ยงก็ได้ ผมยกตัวอย่างละกัน ผมมี CPF ตั้งแต่ 2.9, 3.4, 4, 5.2, เรื่อยมาจนราคา 21 บาทก็เก็บอยู่ ก็สะสมมาเรื่อยๆ เมื่อมีเงินเพิ่ม จนเดือนกรกฎา ปีนี้ราคา CPF 23.7 บาท ซึ่งผมคิดว่า UPSIDE ไม่เยอะแล้ว แต่ประเมินว่าภายในสิ้นปีน่าจะถึงสัก 26, 27 บาท ตอนน้ันบังเอิญไปเห็น CPF08CA ซึ่งราคา 3.12 บาท จริงๆผมอยากเก็บ CPF เพิ่มอีกสัก XXX,XXX หุ้น แต่ใช้เงินมาก ตอนนั้นมีหุ้นอื่นที่น่าสนใจอยู่ ก็เลยไม่อยากลงเพิ่มที่ CPF ณ ตอนนั้น ก็เลยตัดสินใจลงที่ CPF08CA ในจำนวน 2 เท่าของ XXX,XXX หุ้น แต่ใช้เงินน้อยกว่ามาก ซื้อ 2 หุ้น CPF08CA ถึงเท่ากับ 1 CPF (โดยเพิ่มเงิน 18.81 บาท) ประโยชน์ที่เราได้รับก็คือ 1. เราล็อกราคาซื้อ CPF ไว้ที่ 2*3.12+18.81 = 25.05 บาท/หุ้น โดยใช้เงินแค่ 2*3.12=6.24 บาท ก็คิดว่าเมื่อได้เงินเพิ่มมาก็อาจจะนำไปเปลี่ยน (ขาย CPF08CA ซื้อ CPF แล้วบอกอีก 18.81 บาท) 2. อัตราเร่ง ที่เราจะได้ ถ้าหุ้น CPF ขึ้นไปใกล้เคียงตามที่เราประเมิน (ตอนนั้นเหลือเวลาอีก 2 ไตรมาสให้คอนเฟริม ผลประกอบการ ซึ่งคาดว่าน่าจะดีขึ้นโดยลำดับ ซึ่งมีเวลาพอควร) การซื้อหุ้น CPF จะได้กำไรน้อยกว่าการซื้อ CPF08CA ที่จะมีอัตราเร่งมากกว่ามาก แต่อย่างไรก็ดี ตอนที่ผมซื้อ CPF08CA เป็นช่วงที่คนไม่ได้ให้ความสนใจ กว่าผมจะเก็บได้ตามจำนวนทีต้องการก็ใช้เวลาหลายวัน ตอนนี้ DW มีคนมาเล่นในเชิงการพนัน ทำให้ราคามันเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก สิ่งที่ผมทำก็คือใช้ประโยชน์จากมัน ผมก็ขายไปเกือบหมดแล้วครับ ได้กำไร 70% กว่าๆ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์จากมันมากกว่า การที่เราจะเหมารวมว่าคนเล่น DW เป็นคนโง่ คงไม่ใช่มั๊งครับ โดย Murphy.Bkk เสาร์ ต.ค. 09, 2010 9:58 am

DW สุดยอดแห่งการเก็งกำไร ต้องขออภัยด้วยครับ การใช้สิทธิของ DW ที่ออกในปัจจุบันเป็นแบบที่ท่าน offshore-engineer อธิบายไว้ คือเป็นการชำระเงินส่วนต่างของราคาอ้างอิงกับราคาการใช้สิทธิเท่านั้นครับ ทางบริษัทผู้ออก DW ไม่ส่งมอบหุ้นแม่ให้จริงๆ อย่างไรก็ดีในแง่ของการวิธีการใช้ DW ให้เกิดประโยชน์กับผู้ลงทุน ผมคิดว่ายังคงเหมือนเดิมกับที่ได้พูดไป คือหากเราประเมินมูลค่าหุ้นได้ไม่คลาดเคลื่อนมาก เราก็สามารถนำส่วนต่างที่ได้รับ (ถ้าประเมินถูกต้อง ราคาอ้างอิงมากกว่าราคาใช้สิทธิ และได้กำไรส่วนต่าง) + ราคาใช้สิทธิ นำไปซื้อหุ้นแม่จากกระดานได้ โดยณ.วันที่เราซื้อหุ้นก็เหมือนกับล็อกราคาซื้อไว้โดยชำระเงินแค่ราคา DW (โดยซื้อในจำนวนที่ระบุไว้ในการใช้สิทธินั้นๆ) เท่านั้น ผมคิดว่าแล้วแต่วัตถุประสงค์การใช้ครับ บางคนอาจใช้ในแง่การพนันอย่างเดียว หรืออาจใช้ตามที่ผมได้กล่าวข้างต้นก็ได้เช่นกัน โดย Murphy.Bkk ศุกร์ ก.ย. 24, 2010 9:49 pm

DW สุดยอดแห่งการเก็งกำไร DW สามารถไปเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้จากบริษัทผู้ออก DW ครับ มันต่างจาก Warrant ทั่วไป ที่บริษัทที่สามเป็นผู้ออก ไม่ใช่บริษัทเจ้าของหุ้นเป็นคนออก แต่สามารถไปแลกเป็นหุ้นแม่ได้เช่นกัน โดย Murphy.Bkk ศุกร์ ก.ย. 24, 2010 8:15 pm

DW สุดยอดแห่งการเก็งกำไร ขึ้นกับวิธีการใช้ประโยชน์จากมันนะครับ เช่น หุ้น XX ราคา 24.9 หุ้น XXYYCA (DW) ราคา 3.4 กำหนดการใช้สิทธิ์ 2 หุ้น DW ต่อ 1 หุ้นแม่ + เพิ่มเงิน 18.8 บาท การที่เราซื้อ 2 หุ้น DW แทนการซื้อ 1 หุ้นแม่ ก็จะทำให้ -- ประหยัดเงิน แทนที่ต้องลงเงิน 24.9 บาท ก็ลงแค่ 3.4*2 = 6.8 บาท (ถ้าซื้อ 100,000 หุ้นแม่ ก็ประหยัดได้เยอะ) เอาเงินที่ประหยัดได้ไปทำอย่างอื่นก่อน ถึงเวลาค่อยแปลงเป็นหุ้นแม่ -- สมมติเราคำนวณว่าก่อนหมดอายุ บริษัทก็จะแสดงผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาสต่อๆ ไป ทำให้มูลค่าหุ้นอย่างน้อยต้องเป็น 27 บาท (หุ้นแม่) ก็จะทำให้เราได้อัตราผลตอบแทนทวีคูณ (ด้วยการซื้อหุ้น DW แทนการซื้อหุ้นแม่) ในกรณีนี้ หุ้นแม่เดิม 24.9 เป็น 27 เพิ่ม 2.1 บาท --> หุ้น DW จะเพิ่ม 1.05 บาท (เพราะ 2 ตัวแลกได้ 1 หุ้นแม่) หุ้น DW เดิม 3.4 จะเป็น 4.45 เพิ่ม 1.05 บาท ผลตอบแทนการลงทุน หุ้นแม่ = (27-24.9)/24.9 = 8% ผลตอบแทนการลงทุน หุ้น DW= (4.45-3.4)/3.4 = 31% สรุปคือถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธีและเราประเมินมูลค่าบริษัทให้อีกหลายเดือนข้างหน้าก่อน DW หมดอายุ ได้ไม่คลาดเคลื่อนมากนัก ก็จะทำให้ 1. ประหยัดต้นทุน 2. เพิ่มอัตราผลตอบแทนครับ แต่หากประเมินผิด อันนี้จะทำให้ผลเป็นตรงกันข้าม อัตราขาดทุนจะเพิ่มขึ้นมากมาย โปรดระวัง!! โดย Murphy.Bkk ศุกร์ ก.ย. 24, 2010 7:05 pm

เฉลี่ยแต่ละปี มีหุ้นที่ชนะตลาดกี่ตัว ถ้าคิดแบบตรงไปตรงมา (ซึ่งไม่ถูก) ก็จะได้ว่า ครึ่งหนึ่ง มากกว่าค่าเฉลี่ย (set index) แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่า set index เป็นการคำนวณที่มีน้ำหนักมูลค่าตลาดของหุ้นถ่วงด้วย เช่น PTT ขึ้นลงแต่ละจุดมีผลต่อ set index มากกว่าหุ้นตัวเล็กๆขึ้น 1 จุด ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่ว่าในปีนั้นๆ หุ้นที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นตัวใหญ่หรือเปล่า ถ้าหุ้นตัวใหญ่เช่นใน set50 ขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ปีนั้น ก็มีหุ้นที่ชนะตลาด จำนวนน้อย เช่น 100, 200 ตัว แต่ถ้าปีไหน หุ้นส่วนใหญ่ที่ขึ้นเป็นหุ้นเล็ก ปีนั้นก็มีหุ้นชนะตลาด จำนวนมาก นี่คิดคร่าวๆนะครับ ถ้าจะหาจริงๆ คงต้องไปดูข้อมูลจริงเป็นปีๆไป โดย Murphy.Bkk อังคาร ก.ย. 07, 2010 11:16 pm

ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้ ปัญหาคือ ณ จุดที่เราลงทุน เราหาได้ว่าบริษัทมั่นคง ฐานะการเงินดี กำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอที่ผ่านมา แต่เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้จริงๆ ว่าบริษัทนี้จะจ่ายปันผลในอนาคตได้เท่าไร วิกฤตเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และเมื่อเราลงทุนไปแล้วเราก็เกิดความกลัวความโลภ เช่น บริษัทกำไรลด จ่ายปันผลลดลง ราคาหุ้นตกลง เราก็กลัวยอมขายขาดทุนไป และคิดว่าขาดทุนไม่ป็นไรไปซื้อตัวที่คาดหวังว่าจะทำเงินได้มากกว่าหลังจากนี้ดีกว่า หรือเห็นบริษัทอื่นกำไรมากขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังที่เราลงทุนไปแล้ว เราก็โลภอยากได้บ้าง ก็ขายขาดทุน ไปซื้อบริษัทอื่นนั้น คนที่ลงทุนเก่งที่สุดยังขาดทุนเช่นกัน บัฟเฟตต์ขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทโคโนโคฟิลิปป์ เป็นต้น นับประสาอะไรกับนักลงทุนทั่วไปหรือนักเล่นหุ้น ขาดทุนเป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้ ไม่เห็นแปลกอะไร ด้วยความเคารพ โดย Murphy.Bkk อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 2:36 pm

ตลาดหุ้นสอนอะไรเรา ความโลภและความกลัวทำให้คนเราตัดสินใจผิดพลาดได้ เราควรใช้ประโยชน์จากมัน ไม่ใช่ตกเป็นเหยื่อ โดย Murphy.Bkk พุธ มิ.ย. 23, 2010 10:00 pm

เคยล้างพอร์ตกันไหมครับ? ไม่เคยล้างพอร์ตครับ แต่ปรับพอร์ตอยู่อย่างต่อเนื่อง ช่วงไหนที่มีสัญญาณชัด (ซี่งไม่เคยแน่นอน บางทีก็ไม่เป็นตามสัญญาณ) ว่าตลาดกำลังจะเป็นขาขึ้น หรือหุ้นมีราคาถูก (set index ต่ำมาก หรือราคาหุ้นตัวนั้นสูง) ก็ถือเงินสดน้อย ช่วงไหนมีสัญญาณชัดว่าตลาดกำลังจะเป็นขาลง หรือหุ้นมีราคาแพง ก็ขายหุ้นถือเงินสดมากหน่อย แต่พวกนี้ไม่ถูกเสมอไป แต่การปรับพอร์ตโดยเฉลี่ยจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าไม่ทำอะไร และอยู่เฉยๆ ในกรณีที่สัญญาณชัด โดย Murphy.Bkk อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2010 10:37 am

อาทิตย์นี้จะเป็นวันของชาว vi ไม๊เนี่ย ช่วงนี้มีเหตุการณ์ไม่ค่อยน่าไว้ใจ ทั้งสถานการณ์บ้านเมืองและวิกฤตจากกรีซ ผมทยอยลดหุ้นในพอร์ต เก็บเงินสดไว้ 50% เตรียมไว้พักใหญ่แล้ว ตอนนี้ก็นั่งคอยอยู่ครับ โดย Murphy.Bkk อาทิตย์ พ.ค. 16, 2010 11:33 am

ขอถามเกี่ยวกับที่พักเงินหน่อยครับ K-Money และก็ ทองคำ โดย Murphy.Bkk อาทิตย์ พ.ค. 09, 2010 10:22 am

ขอคำแนะนำเรื่องสิทธืการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จองยังไง? หุ้นเพิ่มทุน warrant (MINT-W4) ครั้งนี้ จะเข้า port เราโดยอัติโนมัติ ไม่ต้องดำเนินการใดๆครับ ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนครับ ในอัตราส่วน 10 หุ้น MINT/ 1 หุ้นเพิ่มทุน (MINT-W4) ก็รอสักพัก MINT-W4 จะมาอยู่ใน port เองครับ โดย Murphy.Bkk ศุกร์ เม.ย. 30, 2010 8:19 am

หุ้น Muraco และ Paul Energy ที่คุณเทพกล่าวถึงในหนังสือ เป็น จริงๆ แล้ว คุณเทพอาจไม่อยากเขียนตรงๆ ให้ชัดเจนเกินไป แต่คิดว่า Muraco = METCO (มูราโมโต้ อีเล็คตรอน) Paul Energy = PTT (ปตท.) ---------- โดย Murphy.Bkk อังคาร ก.ย. 18, 2007 5:16 pm