หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
กูรูขอบสนาม
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
Joined: ศุกร์ มิ.ย. 08, 2007 8:29 pm
987
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - กูรูขอบสนาม
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ไม่มีแบรนด์/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
นี่คือข้อผิดพลาดของแบรนด์ราคาปานกลาง-ถูก เมื่อมาให้ห้างสรรพสินค้าที่ขายของแพงทำการตลาด แม้เมื่อปีสองปีที่แล้วจะมีการทำ re strategy ลดราคาลงมา ก็ยังแพงมาก..มาก อีกกรณีหนึ่งที่น่าจะวายวางในไม่ช้าก็คือ ร้านรองเท้า PayLess ซึ่งจัดจำหน่ายโดยเจ้าเดียวกัน เปิดเป็น Shop ในห้างเหมือนกัน ก็น่าจะไปไม่รอด เพราะราคาไม่ได้ pay less เลย pay พอๆกับแบรนด์ทั่วไป อาจจะ more เมื่อเทียบกับบรรดารองเท้าใน discounted store ด้วยซ้ำ นี่คือบทเรียนของแบรนด์ถูกที่ถูกขายแพงจากเจ้าจำหน่าย โชคดีที่ ฺUniqlo ลงมาทำการตลาดเอง จึงสามารถรักษา Pricing ในระดับที่ต้องการได้ (แรกๆได้ยินว่า Central จะขอมีส่วนร่วมด้วย)
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ก.ค. 04, 2016 5:13 pm
0
2
Re: หุ้นกลุ่ม กระจายสินค้า/ Trading Business
แสดงว่าอีกหน่อยพวก distributor ค้าส่ง ก็จะต้องอยู่ในตลาดเล็กๆ ตลาดเฉพาะสิครับ ที่ modern trade เขาไปไม่ได้ เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มที่เล็กเกิน ในขณะที่เขาต้องจับตลาดmass ตลาดเล็กบางเซ็ทเม้นท์ เล็กแต่ลึก :P ตลาดสัตว์เลี้ยงปีหนึ่ง 20000 กว่าล้านบาท เฉพาะส่วนของบริการ (Pet shop/ Grooming/ สัตวแพทย์) ประมาณ 30% ถ้าเราเข้าร้านเหล่านี้ จะเห็นผลิตภัณฑ์แบรนด์เล็กแบรนด์น้อยที่ไม่ปรากฏใน Modern Trade เต็มไปหมด เช่นเดียวกับ ตลาดเสริมสวย ก็จะมีร้านผูกขาดที่ห้างเสริมสวย ทำเล็บ ทำผม ซื้อของประจำ (ไม่ใช่ Modern Trade แน่ๆ เพราะไม่ได้เครดิตและส่วนลด) ร้านนั้นก็เลยทำตัวเป็น Distributor เพิ่มบริการส่งของถึงที่ (ช่างทำผม เสริมสวย ไม่มีเวลาไปช้อปเพราะต้องบริการลูกค้าตลอด) ที่เราพูดคุยกันอยู่ เรายกตัวอย่างสินค้าประเภท Fast Moving Consumer Goods มีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ไม่ได้ขายผู้บริโภคโดยตรง 3M ที่เพื่อนๆรู้จักกันดี ขายตรงเข้า Modern Trade ในส่วนของ Consumer Goods แต่ในส่วนของ Industrial Usage ก็ผ่าน Distributor อีกราย ที่เก่งในการขายของเข้าโรงงานแทน :P ความเสี่ยงสำหรับ Distributor ในการดำเนินธุรกิจกับ ร้านค้าย่อยเหล่านี้ก็คือ หนี้เสียหรือชำระหนี้ช้า ( ถ้าไม่แน่ใจ เก็บสดดีกว่า) :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ต.ค. 07, 2013 7:46 am
0
1
Re: หุ้นกลุ่ม กระจายสินค้า/ Trading Business
เห็นกระทู้นี้มาพักหนึ่งแล้ว ขอกลับไปทำ research ก่อน แล้วค่อยมาเสริมความคิดเห็นให้กับคุณหมอ ก่อนอื่นคงต้องย้อนกลับไปดูที่มาของธุรกิจ Distribution ว่ามีกี่ประเภท ว่าไปที่จริง การกระจายสินค้าก็คือหน้าที่ของฝ่ายขายนั่นเอง สมัยก่อนเวลาพูดถึงแผนก Sales ก็มักจะครอบคลุมเรื่อง Distribution ไปด้วย เพราะตอนนั้นยังไม่มีศัพท์ประเภท Logistics เข้ามา ธุรกิจการขายและกระจายสินค้าจึงออกมาใน 2 ลักษณะ 1. ผู้ผลิตมีสินค้าเอง จัดจำหน่ายและกระจายเองเฉพาะของแบรนด์ตัวเอง เช่น บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายที่มีโรงงานผลิตสินค้าในเครือ ดังที่เพื่อนๆและคุณหมอ Kotoro เกริ่นไว้ตอนต้น 2. ผู้ผลิตจำหน่ายสินค้าในเครือ และรับจำหน่ายให้กับพันธมิตรแบรนด์อื่นๆที่ไม่ขัดแย้งกัน ในเมื่อต้องเจาะช่องทาง Buyer รายเดียวกันแล้วก็พ่วงสินค้าตัวอื่นๆไปด้วยกันซิ เผื่อมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือเป็นขนม น้ำจิ้ม สร้างสีสัน ตื่นเต้นประปรายบ้าง เราจะเห็นจุดเริ่มต้นของสินค้านอกเครือด้วยการเป็นของแถมชิมลางก่อนจะถูกจัดเข้า Shelf ภายหลัง ถ้าสินค้านั้น Work 3. บริษัทไม่มีสินค้าเอง ทำหน้าที่จำหน่ายและกระจายอย่างเดียว เช่น DKSH รวมไปถึงบริษัทที่ Import แบรนด์นอกเข้ามาด้วย อย่าง พิริืยะพูล หรือ ซิโน แปซิฟิค รวมทั้ง บริษัทน้องใหม่ Winner IPO (ขอบอกว่าเส้นพาสต้าและน้ำมันมะกอกเอามาทำกับข้าวรสชาติใช้ได้ทีเดียว ราคาก็สมเหตุสมผล) เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ ซิโน แปซิฟิค ในประเด็นของการแข่งขันและไหวทันกับสถานการณ์การตลาด บริษัทในลักษณะที่ 3 นี่แหละจะมีดีกรีของการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะไม่มีหลังพิงฝาหรือมือที่โอบอุ้มจากบริษัทแม่ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นบริษัทเหล่านี้ มีอัตราผลกำไรไม่มาก เพราะ Commission ของ Distributorship จริงๆ น้อยรายที่จะได้ถึงหลักสิบกลางๆ (อย่างมากก็ต้นๆ) ยกเว้นเป็นสินค้าเฉพาะจริงๆ เช่น ยารักษาโรค เวชภัณฑ์การแพทย์ มิหนำซ้ำ สินค้าแบรนด์ที่ฟูมฟักแต่เริ่มก่อเกิด เมื่อเติบใหญ่และมีอนาคตตตตต เจ้าของแบรนด์ (Principal)ก็จะนำกลับไปเลี้ยงดูเอง ก็เลยถูกเปรียบเทียบเป็นแม่กาฟักลูกให้คนอื่น แรกๆอาจจะเจ็บใจบ้าง แต่นี่คือโลกของธุรกิจ อย่ามัวเสียเวลาคับแค้นนานนัก เพราะตัวเลขยอดขายวิ่งตามหลังเราตลอด ต้องหาสินค้าแบรนด์อื่นๆมาเสริมแทน อุปสรรคด่านสำคัญที่เพิ่มอำนาจเงื้อมมือคุกคามขณะนี้ก็คือ ระบบการค้า Modern Trade ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าระบบพาณิชย์บ้านเราจากเดิมสิ้นเชิง ทำให้เกิดระบบ Short Cut ตัดตัวกลางยี่ปั๊ว ซาปั๊ว หายออกไป อย่างไรก็ดี โชว์ห่วย ค้าปลีกเล็กๆในต่างจังหวัดก็ยังมีหนทางและระยะเวลาอยู่รอด( ไม่รู้กี่ปี) บริษัทใหญ่ๆอีกนั่นแหละ ก็ยังสามารถตั้งระบบ Jobber หรือ Concessionaire รับผิดชอบหน่วยจำหน่ายและกระจายสินค้าในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายได้ ทีนี้ มาดูซิว่า Distributor Business Model จะอยู่ในระบบ Modern Trade อย่างสมน้ำสมเนื้อได้อย่างไร ในกรณีที่เป็นบริษัทจัดจำหน่ายอย่างเดียว 1. Mean & Lean องค์กรจ้องปรับขนาดให้ผอมและเคลื่อนไหวทันท่วงที เพราะรายได้มาจากแค่ Commission เท่านั้น ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ( ยกเว้นคนทำงาน) เราจะไม่เห็นบริษัท Disitributor เหล่านี้ ตกแต่งอาคารหรูหรา ( ไปดู DKSH ที่บางจากก็เหมือนโรงงานตึกสี่เหลี่ยมธรรมดา เผลอๆนึกว่าเข้าไปในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า) งบประมาณในการสร้างแบรนด์หรือ Entry Fee เจ้าของแบรนด์เป็นคนออกอยู่แล้ว ฉะนั้นค่าใช้จ่ายส่วนนี้จึงลอยตัวไป ยกเว้นเราเป็นคนนำแบรนด์นั้นเข้ามาเอง 2. Flexible รู้ว่าไม่มีแบรนด์ไหนอยู่กับเราตลอดไป ยอมรับความจริงข้อนี้เสีย มองหาโอกาสใหม่ๆตลอดเวลาเผื่อการทดแทนแบรนด์ที่ตีจาก รวมทั้งบุคลากร กลยุทธ์องค์กร เพราะไม่ใช่แค่แบรนด์(และเม็ดเงิน)เท่านั้นที่ไป บางครั้ง Principal ก็เอาแผนกที่ดูแลทั้งยวงไปหมดเลย เพื่อตั้งทีมขายใหม่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ยอดขายก็ต่อเนื่อง ผู้บริหารระดับสูงต้องดูแล Portfolio ของลูกค้าตลอดเวลา รายไหนจะไป รายไหนน่าจะได้มาทดแทน ลูกค้าบางรายไปทีหนึ่ง เม็ดเงินหายไปครึ่งหนึ่งก็มี ก็อย่ารอช้าเอาแบรนด์คู่แข่งเข้าเสียบได้เลย ถ้าไม่มีสัญญาตกลงกันไว้ก่อน 3. Bargaining Power กับ Modern Trade เราอยากจะเป็นพันธมิตรกับ Modern Trade หรอกนะ แต่รู้สึกทาง Modern Trade ไม่ค่อยมีทัศนะคติที่เป็นมิตรกับบรรดาคนขายของเท่าไหร่นัก เอาเถอะ ด้วยอาชีพ หน้าที่ของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ก็รู้ๆนิสัยและทัศนะคติกันไว้ บุคลิกของ Modern Trade จะถูกสอนให้จำขึ้นใจว่าเลยว่า “ได้คืบ เอาศอก” หรือจะรุนแรงกว่านั้นก็คือ "จงเป็นศัตรูกับ Supplier ทุกราย" (ข้อนี้ ห้าง "รถเต็ม" สอน Buyer เป็นคติประจำใจ ) ฉะนั้น เมื่อเรายื่นนิ้วไปหนึ่งนิ้ว เขาจะงับไปทั้งมือ เมื่อเรายื่นไปหนึ่งแขน เขาจะงับไปทั้งตัว และอย่ายื่นไปทั้งตัวเด็ดขาด เพราะเราจะไม่เหลืออะไรกลับมาเลย (แถมโดนเจ้านายอัดกลับ ตกงานอีก) ดังนั้นการเป็นนักเจรจา ต่อรองกับ Modern Trade ที่เก่ง จึงเป็น Competitive Advantage ที่ลูกค้าของคุณ(เจ้าของแบรนด์) ต้องการ เพราะพวกเขาเอง ไม่สามารถพาสินค้าเข้าห้างใหญ่ๆเหล่านี้ได้เอง 4. Area of Excellence หาพื้นที่ของตัวเองว่าเก่งด้านไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเข้าห้างใหญ่ยักษ์อย่างเดียว Distributor ใหม่ๆ หลายรายสามารถเข้าตลาด Niche ได้ โดยที่ยักษ์ใหญ่ไม่สามารถเข้าทันหรือลงมาเล่น เช่น เข้าตลาดร้านเสริมสวย ตลาดสัตว์เลี้ยง/สัตวแพทย์ 5. Change Business Model เท่ากับเปลี่ยนบทบาทของรูปแบบธุรกิจไปเลยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท ดังเช่น Li & Fung ซึ่งจัดเป็นสุดยอดในการ Outsourcing และ Integration ดังที่บางท่านได้แสดงความคิดเห็น กล่าวกันว่า เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว ที่ Li & Fung นำเสนอให้กับลูกค้า คือเสื้อส่งมาจาก UN เพราะ แพ็ทเทินทำที่ฮ่องกง เนื้อผ้าทอจากปากีสถาน ด้ายและกระดุมจากจีน ปกและสาปจากกัมพูชา ตัดเย็บในเมืองไทย (ตอนนี้คงเปลี่ยนไปที่อื่นแล้ว) และทั้งหมดขนย้ายไปมา เสร็จภายใน 48 ชั่วโมง พิมพ์มายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า ธุรกิจคนกลาง Distributor อาจจะไม่ได้เป็นอาทิตย์ตกดินเหมือนโรงงานผลิต เพราะมี asset สำคัญคือ คนและความรู้ ( Knowledge/Skill) มีผู้ผลิตสินค้าเก่งๆอีกเยอะในโลกนี้ ที่ไม่รู้จะขายของตัวเองได้อย่างไร ก็เป็นโอกาสของ Distributor รายเล็กรายน้อยเข้ามาเป็นแม่กาฟักไข่ด้วยกัน :8)
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ต.ค. 05, 2013 12:46 pm
0
22
Re: โกดัก ประกาศล้มละลาย ปิดฉากตำนานกว่า 130 ปี
เคยเล่าเรื่องราวของอดีตยักษ์ใหญ๋ Kodak ไว้ในกระทู้หนึ่งนานมากมาแล้ว แต่คิดว่าน่าจะยังไม่ล้าสมัย ถ้าเราได้กลับดูสาเหตุของความล้มเหลวครั้งนี้ เมื่อพูดถึง Kodak กับชาวเมืองโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ด ใครๆก็เชิดหน้าภูมิใจว่านี่คือ คุณพ่อสุดที่รักของพวกเรา คุณพ่อที่อุ้มดูปูเสื่อ ให้การศึกษา ให้งานเราทำ ให้เงินเราใช้ คุณพ่อผู้เป็นสัญญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ สมาชิกอย่างน้อย 1 คนในครอบครัวประชากรโรเชสเตอร์ทำงานที่ Kodak การเป็นพนักงาน Kodak มีความหมายมหาศาล (พอๆกับเลือดน้ำเงินของชาว IBM) นั่นหมายถึงอนาคตที่หมดห่วง เพราะมีงานทำจนเกษียณ มีรายได้ตอบแทนเหนือกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ไม่นับโบนัสปลายปีมาพร้อมกับ Santa Kodak สิทธิพิเศษต่างๆทางด้านสวัสดิการและสมาชิกคันทรี คลับ เลิศหรู ทุกคนทำงาน สบายๆ 9 -5 นาฬิกา หากทำงานนอกเวลานั้นก็มี OT ตอบแทนสาสม ในด้านผลิตภัณฑ์เองเล่าก็เป็นผู้นำทางฟิลม์อันดับหนึ่ง แม้มียักษ์ฟูจิตามมาติดๆแต่ก็ไม่น่ากังวลหรอก อย่างไรเสีย ญี่ปุ่นก็แค่ญี่ปุ่น ไม่มีทางมาตีตลาดมะกันได้ หนังโฆษณา Kodak ทุกเรื่องแทบทำให้คนดูน้ำซึมไปกับการเล่าเรื่อง อดีตและความทรงจำอันสวยงามของผู้คน ตั้งแต่ลูกถือกำเนิดตีนเท่าฝาหอย จนโตเป็นเด็กสาวปอม ปอม เกิร์ล ถัดมาอีกสักพักก็เป็นเจ้าสาวแสนสวย แล้วก็ท้องป่องกลายเป็นคุณแม่ มีหลานตีนเท่าฝาหอยเกิดมาอีก วนเวียนซาบซึ้งไปมา ว่าแล้ว เราก็หรู เริด เชิด หยิ่งไปตามใจเชิบ..เชิบ มหันตภัยเงียบมาเยือนไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ซาบซึ้งเรื่องเก่าๆโรแมนติค คู่แข่งรายใหม่ที่ย่ำกรายในปริมณฑลของการถ่ายภาพ ม้นไม่ใช่ฟิล์มสีอีกแล้ว หากคือเทคโนโลยีดิจิตอลที่นำไปประยุกต์ในกล้องถ่ายรูปไม่ต้องใช้ฟิล์ม ( Filmless Camera) ถ่ายภาพปุ๊บ เห็นทันที ล้างลบออกก็ง่าย ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องซื้อฟิล์ม ไม่ต้องรอล้างฟิล์ม เอาล่ะซิ คุณพ่อ Kodak มัวแต่สั่งให้ลูกๆพัฒนาฟิล์มสีคุณภาพดียิ่งขึ้นๆ จนลืมมองข้างนอกว่า เทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปแล้ว ฟิล์มสีสวยสด ถ่ายรูปสมจริง กลายเป็นสิ่งตกยุค ตกสมัย ความจริงคุณพ่อ Kodak ก็เห็น ใช่ว่าจะมืดบอด แผนก R &D ออกใหญ่โต แต่คงคิดว่า นั่นเป็นการถ่ายภาพแบบโก้เก๋ ไม่ได้ใช้งานจริง หรือถ้าพัฒนากล้องดิจิตอลขึ้นมาแล้ว อุ๊ยโหย๋ย ก็มากินตลาดฟิล์มลูกรักสุดหวงน่ะซิ ทำไปได้อย่างไร ว่าแล้วก็ใจเย็น วางเฉยไว้ก่อน มันเป็นแค่แฟชั่นนะ แฟชั่น เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่กล้องไร้ฟิล์มโก้เก๋ เป็นแฟชั่นระยะยาวเสียแล้ว จำนวนกล้องที่ขายได้มากขึ้นๆ พอๆจำนวนสั่งซื้อฟิล์มสีที่น้อยลงๆ นั่นคือจุดเริ่มต้นอวสานคุณพ่อ Kodak กำไรที่ลดลงจนต้องขายกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเพื่อรักษากระแสเงินสด (บริษัทเวชภัณฑ์ Sterling Drug/ ผลิตภัณฑ์ Consumer Household L&F) เริ่มบ่งบอกอาการอ่อนแอของคุณพ่อที่เห็นชัดขึ้นทีละน้อยๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้กระเป๋าเงินคุณพ่อพองขึ้นมาเลย เมื่อเริ่มต้นพัฒนากล้อง Digital ออกสู่ตลาด ก็วายไปแล้ว ทุกวันนี้จากหุ้นที่เคยสูงสุดถึง 90 กว่าเหรียญ เหลือเพียงแค่เท่าไหร่ล่ะ...(ฝากดูให้ด้วยครับ) ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ครานี้จะกล่าวถึงบริษัทลูกนอกคอกของคุณพ่อ Kodak Eastman Chemical เป็นบริษัทผู้ผลิตสารเคมี เพื่อใช้ในงานผลิตฟิล์มถ่ายภาพและป้อนบริษัทอื่นๆในเครือ ตั้งอยู่ที่ Kingsport มลรัฐเทนเนซซี่ ห่างไกลจากคฤหาสน์เมืองผู้ดีของคุณพ่อเป็นโยชน์ ลูกกลุ่มนี้เลยมีเลือดกบฎอยู่บ้าง โดยอุปนิสัยของคนทำงานชาวใต้ ชาว Kingsport ทุกคนทำงานหนัก ทุ่มเท ขยันขันแข็ง งานเป็นงาน เล่นก็เป็นงาน งานทั้งชีวิต ประหยัด อดทน อึด (คุณสมบัติหลังนี้จำเป็นมาก) ไม่มีหรอก Vacation หรูๆ ปาร์ตี้เรือยอร์ช หรือใช้ชีวิตสุดสัปดาห์ที่ Country Club แบบชาวโรเชสเตอร์ นั่นคือการใช้ชีวิตแบบบารอนหลงยุค ว่าเข้านั่น แน่นอนในสายตาของชาว Kodak ที่โรเชสเตอร์ ย่อมมองชาว Eastman Chemical เป็นลูกบ้านนอก เชย ทึ่ม ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ดีตรงขยันทำงานเป็นวัวควาย เพราะฉะนั้นเอาไว้สั่งงานอย่างเดียว หาไม่รู้ไม่ ลูกบ้านนอกกลุ่มนี้ก็แสนจะอึดอัด กับวิธีทำงานแบบลูกผู้ดีที่โรเชสเตอร์เหลือเกิน เสนออะไรไปก็โดนปัด คิดอะไรใหม่ๆให้ก็บอกให้ชะลอไว้ก่อน ถูกกดมากๆก็ฮึดขึ้นมา ก่ออารยะขัดขืน ขอแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่ ในลักษณะของ Employee Buy Out (EBO) จากพลังรวมใจพนักงานทั้งหมด ในปี 1994 ขณะที่บริษัทคุณพ่อกำลังประสบปัญหาการเงิน ไม่สามารถเกื้อหนุนลูกๆทั้งหลายได้อีกต่อไป วันต่อวันได้แต่จัดการขายมรดกเก่าเก็บเลี้ยงชีพ พร้อมแผนโละคนออก Eastman Chemical ฝ่าด่านอรหันต์ออกมา ทนร้อน ทนหนาว ดำเนินธุรกิจด้วยพนักงานกันเอง ไร้คุณพ่อคอยกุมบังเหียนและสั่งการ ทดลองบทเรียนบริหารใหม่ๆผิดพลาด พลั้งไป แต่ก็แก้ตัวได้และเรียนรู้จนเก่งกล้า ประสบความสำเร็จติดอันดับ Fortune 500 ด้วยยอดขาย $ 7.5 พันล้านเหรียญ ในปี 2006 มีพนักงาน 11,000 คน นับเป็นความกล้าหาญของผู้บริหารบริษัทบ้านนอกขณะนั้น หากยังเกาะติดกระเตงกับคุณพ่อ Kodak อยู่ล่ะก้อ มีหวังถูกยุบหรือไม่ก็ขายทิ้ง ความสำเร็จของลูกกบฎปรากฏยกย่องในวิกีดังนี้ Quote: In January 2008, Corporate Responsibility Officer Magazine (CRO) named Eastman one of the five best corporate citizens among chemical companies in the U.S.[1] Eastman was also ranked 64th in CRO magazine's list of 100 Best Corporate Citizens for 2008. [2] ทิ้งอดีตที่เคยรุ่งเรือง มองมุ่งไปข้างหน้า จึงทำให้ Eastman Chemical มีวันนี้ได้
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:31 pm
0
0
Re: อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy
อืมม์ ทำได้แล้ว วิชาเก่ายังไม่ลืม เข้าชั้นเรียนกับ Drucker
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 8:46 am
0
0
Re: อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy
ถ้าชอบบทความกึ่งวิชา(เกิน)การเช่นนี้ ขอเสนออีกบทความหนึ่งในอดีต หัวข้อนี้เลย เข้าชั้นเรียนกับ Drucker ไม่ได้เข้ามาพักใหญ่ ทำ Link ไม่เป็นแล้ว รบกวนทำ search หัวข้อนี้เอา ในห้องนั่งเล่นแล้วกัน :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 8:32 am
0
0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
มีบทสัมภาษณ์ First Hand โดยตรงเกี่ยวกับ CEOบริษัทต่างๆอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งหมดเคยลงพิมพ์ในคอลัมน์ Executive Briefcase ของ Bangkok Post เป็นภาษาอังกฤษ คิดว่าเจ้าของคอลัมน์คงยินดีที่จะให้เผยแพร่ เคยเอามาลงไว้บ้างแล้วในห้องร้อยหุ้น ถ้ามีห้องนี้เกิดจริง จะขออนุญาตเอามาโพสให้ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 2:02 pm
0
0
คิดไงกับข่าว เฮียปอจะเทค คาร์ฟูร์
ตัดบทความจากคอลัมน์ในบางกอกโพสต์ ว่าด้วยขุนพล ปตท. ด้านรีเทล ส่วนใหญ่ข่าวที่ออกมารับทราบทั่วไปของ ปตท. จะเกี่ยวกับผู้บริหารด้านน้ำมัน หารู้ไม่ว่ามีขุนพลอีกระดับหนึ่งที่บริหารร้านค้าปลีก Jiffy (ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจาก Jet) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทดแทนกับราคาน้ำมันที่ถูกกดดัน คนๆเดียวกันนี้เองที่น่าจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ พลิกโฉมใหม่ของ ปตท. เข้าสู่วงการ Retail เต็มตัว :wink: มารู้จักและดูวิธีการคิดของเขาดูซิบ้างว่าเป็นอย่างไร PTT Retail Excels through perfect storm Published: 11/02/2010 at 12:00 AM Newspaper section: Business 'To be successful in any business, management should concentrate on people, process and technology. Thai management usually disregards this practice. Hence, instead of taking a closer look at process, we normally just reduce headcount," says Dr Krisnapol Komolboon. As managing director of PTT Retail Management Co Ltd (PTTRM), Dr Krisnapol oversees the retail arm of PTT that runs the former Jet service stations, now rebranded as PTT, which it acquired two years ago from Conoco Phillips of the United States. A scientist by training, he joined PTT after finishing a PhD from the Polymer Institute of Technology. He then moved along PTT's corporate ladder with his last position as executive vice-president for corporate planning (downstream business). He helped lead the bid that resulted in the merger of the 146-station Jet network with PTT group. "We assessed Jet's next 15 years would produce 300 million baht in profit annually in 2007. Two years later, we had to decide whether to keep the Jet and Jiffy brand, so I recalled the words of my ex-boss and former PTT president Luen Krisnakri: 'a bad decision is making no decision'," explained Dr Krisnapol. After customer research and internal discussion, he proposed to buy only the Jiffy convenience stores. The Jiffy brand is copyrighted throughout Southeast Asia and the purchasing value was not disclosed. "To change all the Jiffy signs from highways to doors, we would have spent at least 300 million baht. We paid a lot less to keep the Jiffy brand," he said. PTTRM now enjoys a light oil sales volume of 655,000 litres per month per location, higher than the industry average, and 2.2 million baht per month from Jiffy convenience stores. "To be successful after taking over from Conoco Phillips, I had to ensure that all 150 team members at the head office were aiming for the same target. I told them 'The Only Easy Day Was Yesterday', as the US Navy SEALs motto says. We have worked very hard to make everyone at PTT feel like family," said Dr Krisnapol. Activities such as trips to the PTT gas unit facility and town hall-style meetings have been applied to make everyone feel like part of the team. Six months after taking over Jet, Dr Krisnapol did some fact-finding. "We knew beforehand there were only two areas where PTT was rated better than Jet stations. They were quality of light oil and perception of lowest price. I had 400 face-to-face, in-depth interviews at our 146 stations nationwide. Trust and care are the two issues most important to our customers. Cleanliness of washrooms is also a unique preference people have for our stations," he said. Just as customers are important, staff are the company's face to the outside world. "People are always at the top of my priority list. We currently provide quarterly training to our store managers, who serve customers every day," he explained. The latest addition, the "Platinum" grade service station, has been modified to include a better landscape, more convenient washrooms and a better variety of cooked foods. This new format was evaluated by an outside assessor as more customer-friendly. The company will add a Platinum station this year to bring the total to eight.
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ส.ค. 26, 2010 10:54 am
0
0
Re: จิบเบียร์คิว2 ศุกร์ที่ 3 กย. 6โมงเย็น สโมสรทหารบก(กระทู้
:8) 6. สโมสรทหารบก http://img840.imageshack.us/img840/4667/20100725.jpg แผนที่สำหรับเดินทางมานะครับ http://img33.imageshack.us/img33/4764/20100725p.jpg แผนผังบริเวณริมสระน้ำชั้นสองที่เป็นที่จัดงานครับ http://img51.imageshack.us/img51/5159/201007252.jpg อะ..เพิ่งมาเห็นแผนที่ รู้สึกจะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ถ้าท่านใดมาทางรถไฟฟ้า พอเลยสถานีอนุสาวรีย์มาก็เป็นสนามเป้า ซึ่งจะอยู่ก่อนถึงถนนที่ตัดระหว่างพหลโยธินกับวิภาวดี เห็นเขาเรียกว่า วิภาวดีซอย 2 (ในแผนที่ข้างบนสถานีสนามเป้าอยู่เลยถนนตัดไปแล้ว เดี๋ยวจะเลยถึงสถานีอารีย์) ขอให้ลงฝั่งขวา (หรือถ้าลงผิดก็ขึ้นมาใหม่ก็ได้) ลงมาจะเจอบริษัทฟอร์ท คอร์ปอเรชั่นพอดี( Forth Corporation) ใครร่วมทุนกิจการอยู่ จะแวะไปพูดคุยกับเจ้าของพอเป็นพิธีก็ไม่มีใครว่า แต่คุยกลับด้วยหรือเปล่าไม่รู้นา แล้วก็เดินขึ้นมาจนถึงถนนตัดเส้นนี้ (วิภาวดี ซอย 2) ประมาณ 1 ป้ายรถเมล์ ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเรียกแท๊กซี่ได้เลย แล่น 2-3 นาทีก็ถึงแล้ว :wink: ขออนุญาตพี่ป้อมลงแผนที่ที่ถูก แต่ไม่มีสโมสรทหารบกในแผนที่นี้นา เพื่อนๆดูประกอบเองแล้วกัน สโมสรฯจะอยู่แถวๆ Military Base ไป http://inside.cm.mahidol.ac.th/mmf/images/stories/cmmu%20map.gif
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ส.ค. 07, 2010 2:15 pm
0
0
เรื่องของเดือนวาด
ยังไม่รู้ว่าเดือนวาดจะค้าขายอะไร แต่ถ้าได้ที่ราคาถูกขนาดนี้ เอามาให้เช่าต่อล่ะก้อ ลองดูธุรกิจที่ไม่ต้องการคนพลุกพล่าน ทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการต้องการสมาธิ แต่เรียกร้องค่าตอบแทนได้สูง อย่าง.... http://www.newtemplenv.iirt.net/hora/hands/point.gif ก็ไม่เลวนัก ถ้าแม่นจริง คนจะบอกต่อๆกันเอง หากบริการมากขึ้น อาจต้องมีฉากกั้นด้วยซ้ำ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ พ.ย. 09, 2009 1:12 pm
0
0
Female Economy : เมื่อเศรษฐกิจโลกอยู่ในมือผู้หญิง
คุณ กูรู เมื่อไหร่ มหิดล จะมีสัมนา การตลาดอีกอะครับ ตอนนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาโครงงานอยู่ (หัวข้อและเนื้อหา) น่าจะเริ่มเห็นเป็นเค้าโครงตอนประมาณธันวาคม พร้อมจะเผยแพร่และเชื้อเชิญให้เข้ามาฟังตอนมกราคม (ปลายๆ) ซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนต้องรายงานตัวจบการศึกษาพอดี รายละเอียดคืบหน้าอย่างไร จะแจ้งให้รับทราบทันที ขอบคุณที่ติดตามและให้คอมเม้นท์เป็นระยะๆ :wink: เจอกันครั้งหน้า เรานัดกันมาทักทายสวัสดี ดีมั้ยเอ่ย เพราะหลายคนในเวปก็รู้จักกันตอนไปสัมมนาประจำภาคนี่แหละ :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ พ.ย. 04, 2009 9:30 am
0
0
บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส
เรื่อง Alice นี่อ่านแล้วงง ยิ่งแปลไทยกันหลายสำนวนเลยยิ่งอ่านยิ่งงง ถ้าจะอ่านบทกวีหรือเพลงก็ต้องอ่านต้นฉบับใช่มั้ยครับ ผมรู้สึกว่าเรื่อง Alice นี่เอามาพูดเรื่องการลงทุนจะสนุกมาก แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดให้เป็นเรื่องราวยังไงเลยมาถามพี่โหน่งแทน ราชินีโพแดงเอะอะก็ตัดหัวๆ คนแบบนี้ก็มีเนอะ แกมีไพ่อยู่กี่สำรับนะ เอาพอที่จำความได้นะ :wink: อลิศหลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์พันลึก ไปเจอกระต่ายแสนกล วันๆก็ได้แต่เดินพึมพำงุ่นง่าน "ไม่ทันล่ะ ไม่ทันล่ะ" ไม่รู้ว่าไม่ทันอะไร (สงสัยไม่ทันราคาหุ้นขึ้นมั้ง) อลิซ แทนที่จะหยุดตรองสักนิด ก็กลับเดินตามกระต่ายแสนกลนั้นไป (ไหนก็ไม่ร้) ด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางสถานที่เธอเข้าไม่ได้ ก็กินเครื่องดื่มวิเศษเข้า เดี๋ยวตัวใหญ่คับห้อง เดี๋ยวตัวเล็กกะจิริด จนแล้วจนรอดก็เดินตามกระต่ายไปโดยไม่รู้ไปทำไม หากอลิซหยุดคิด ไม่ต้องเดินตามกระต่าย (แล้วให้กระต่ายเดินตามเธอ) ก็คงจะไม่ต้องเจอควีนเจ้าอารมณ์ที่วันๆเอาแต่จะตัดหัวข้าราชบริวาร จนตัวอลิซเธอเองก็เกือบเอาชีวิตกลับมาแทบไม่รอด และก็ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกมาเล่าให้ฟัง เอ..หรือจะให้เธอไปเจอโดโรธี เด็กสาวจากแคนซัสที่ถูกพายุทอร์นาโดพัดไปเมืองมรกต ในเรื้อง The Wizard of Oz ก็จะกำเนิดเรื่องราวผจญภัยระหว่างคู่หู่คู่ใหม่ได้มหัศจรรย์ น้องริว ลองแต่งเรื่องใหม่นี้ดูมั้ยล่ะ :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ส.ค. 26, 2009 5:11 pm
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4
ไหนๆจะไปสังสรรค์ที่ชายทะเลจันทร์เพ็ญแล้ว ขอเล่าประวัติร้านให้ฟังหน่อย เคยเขียนไว้ในกระทู้หนึ่งนานมาแล้ว ประวัติร้านโดยสังเขป ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 มีนาคม 2496 โดยนายจรัส และนางจันทร์ ชลวิบูลย์ เดิมทีเป็นร้านเล็ก ๆ ขายอาหาร, กาแฟ อยู่หน้าปากซอยงามดูพลี หรือเชิงสะพานน้อย (ในอดีต) ต่อมา เจ้าของที่ขายที่ดิน จึงต้องย้ายเข้ามาเช่าที่ของบริษัท ชายทะเล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานน้ำส้มสายชู (ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ พระราม 4 ในปัจจุบัน) โดยมีพลเรือตรีชลิต กุลกำธร เป็นประธาน และนายจรัส ชลวิบูลย์ เป็นผู้จัดการ จากนั้นก็ได้เริ่มการขายไก่ย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาเจ้าของโรงงานน้ำส้ม ต้องการเลิกกิจการ ทางผู้ก่อตั้งภัตตาคาร จึงได้ขอซื้อที่แปลงนี้ พร้อมกับกิจการผลิตน้ำส้มสายชู และได้ย้ายโรงงานน้ำส้มไปอยู่ที่ถนนรามอินทรา (ภัตตาคาร จันทร์เพ็ญ รามอินทรา ในปัจจุบัน) โดยภัตตาคารแห่งนี้ได้รับเกียรติยศอันสูงสุด นั่นคือ ได้รับพระราชทานตรา ครุฑ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2506 เนื่องจากทางภัตตาคารฯ ได้มีโอกาสรับใช้พระองค์ท่านเกี่ยวกับงานสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงส่วนพระองค์ เนื่องในวันพระราชสมภพ หรือวันอภิเษกสมรส เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน สาเหตุที่ ลูกค้าส่วนมากมักจะเรียกภัตตาคารจันทร์เพ็ญว่า ชายทะเลจันทร์เพ็ญ ก็เนื่องจาก ภัตตาคารจันทร์เพ็ญตั้งอาศัยอยู่ในบริเวณของบริษัท ชายทะเล จำกัดมาก่อน ปัจจุบัน ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ พระราม 4 ยังคงมีลูกค้ามาใช้บริการเป็นประจำ ในจำนวนที่มากทีเดียว ณ ตอนนี้ ผู้บริหารภัตตาคารทั้งสองแห่ง ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว ข้อมูลจากเวปไซค์ของภัตตาคารเอง สรุป ร้านนี้มีอายุยืนยาวมาถึง 56 ปีแล้ว เท่ากับอายุใครละเนี่ย :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 6:39 pm
0
0
ไปให้กำลังใจกันหน่อยน้า
ฉิงหรือหญ่าย เจอหน้าเป็นๆเดี๋ยวรู้กัน เผลอๆอาจจะคล้ายๆตัว Centaur ก็ได้ อ้าว.. :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.ค. 23, 2009 7:37 pm
0
0
วิถีมหาเศรษฐี / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อกี้โพสไม่ขึ้นน่ะ ยังไม่ได้อ่านเลย มัวแต่ทำอย่างอื่นอยู่ มีเสวนาโต๊ะกลมวันศุกร์นี้ที่ห้องสมุด TMBAM หัวข้อ เศรษฐีนีข้างบ้าน ใครว่างไปฟังก็ได้ เริ่มบ่ายสองเป็นต้นไป เอ..เมื่อกี้ไปโพสกระทู้จ๊อกกิ้งของพี่ป้อม ทำไมไม่ขี้นก็ไม่รู้ หวังว่าพี่ป้อมอาจจะมาอ่านในนี้ :roll: สวัสดีจ้า จะถามพี่ป้อมว่า เคยได้ยินชื่อชาวนา นักวิ่งมาราธอนอายุ 61 ปี คนหนึ่งมั้ยที่ชื่อ Cliff Young กูรูลิงค์ น้องวิกี้มาไม่ได้ เพราะทำให้โพสไม่ขึ้น เขาวิ่งอย่างไร โดยไม่นอนเลย แล้วเป็นไปได้หรือเปล่าในแง่ของสภาวะร่างกาย
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ก.ค. 21, 2009 11:47 am
0
0
วิถีมหาเศรษฐี / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ได้ตัวหนังสือมาแล้ว ซื้อที่ Kino เล่มล่ะ 460(ลด 20% แล้ว) เตรียมฤกษ์ตะลุยอ่าน แต่สงสัยเป็นได้แค่เศษ...ฐีมากกว่า :lol: http://businessplusbooks.files.wordpress.com/2009/06/jones-richest-man-in-town3.jpg อ่านเสร็จค่อยมาเสริมบทความของอาจารย์แล้วกัน
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.ค. 16, 2009 8:20 pm
0
0
อย่าขาดทุน!!!
ไม่ได้เข้ามาแจมพักหนึ่ง เพราะมัวไปแข่งอ่านหนังสือเร็วในห้องสมุดอยู่ เท่าที่กูรูสัมผัสตาโหน่งมา โหน่งมีปัญหาเรื่องการสะกดคำเยอะพอสมควร แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเครื่องคอมของตาโหน่งพิมพ์ไม้ไต่คู้ไม่ได้รึเปล่า เลยกลาย เปน เหน ทุกครั้ง ก็ไม่เป็นไรนะ ตาโหน่งนะ ถือเสียว่าเป็นการรื้อฟื้นความหลังเก่าๆ วิธีสะกดแบบนี้เกิดขึ้นสมัยจอมพล ป. เป็นนายกฯ เพราะต้องการตัดเสียง สระ วรรณยุกต์ให้น้อยลง จดจำง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเขียนเผยแพร่สู่สาธารณะ ก็จะถูกติงเช่นนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยถกประเด็นร้อนกันว่า ภาษาบ้านเราไม่มีลูกน้ำเว้นวรรคแบบนี้, แต่เชื่อมั้ย นักปราชญ์ภาษาบางท่านยังยืนกรานว่า , เราควรจะมีเครื่องหมายลูกน้ำเมื่อต้องการให้คนอ่านเว้นวรรคใหญ่, หนึ่งในนั้นคือ จิตร ภูมิศักดิ์, ข้อคิดเห็นดังกล่าวถูกวิพากษ์จากบรรดานักภาษาไทยเป็นอันมาก, แต่จิตร ก็ยังยืนยันที่จะเขียนหนังสิอในสไตล์การเว้นวรรคแบบนี้, เราถึงได้เห็นหนังสือหลายเล่มของจิตร คงรูปแบบประโยคดั้งเดิมไว้ กระนั้นก็ตาม เมื่อข้อเขียนออกสู่สายตาคนทั่วไปก็คงเกิดข้อฉงน โดยเฉพาะอนุชนรุ่นหลังที่รากเหง้าภาษาฝอยเต็มที ก็คงต้องให้ตาโหน่ง ตรวจดูซ้ำสักครั้งก่อนจะโพส ตาโหน่งสมองอัจฉริยะอยู่แล้ว ลองใช้นิ้วพลิกๆปทานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถานวันล่ะ 100 หน้า แผล็บเดียว ภาษาไทยจะดีขึ้นทันควัน :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ก.ค. 11, 2009 9:12 am
0
0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
http://www.labschools.net/cur/cur5/abc%20for%20thai%20kids_files/kid01.gif ขอแสดงความยินดีด้วยนะน้องโจ เด็กผู้หญิงน่ะน่ารักดี ขี้อ้อน ขี้ประจบ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ มิ.ย. 17, 2009 9:04 pm
0
0
วันหุ้นร้อน คืนฝนฉ่ำ
บทเสริม ไม่มีในบทความ มูลค่าการซื้อขายของวันนั้นประมาณ สี่หมื่นล้าน ที่พุ่งสูงเนื่องจากอัดอั้นมานาน ทั้งอาทิตย์มีเทรดอยู่ไม่กี่วัน วันจันทร์ไม่ได้เปิดเพราะหยุดชดเชยแรงงาน แต่ข่าวออกมาแล้วทางฟากตะวันตก ก็เลยมีคนสะสมกำลังไว้ พอเช้าวันอังคารที่ 4 ข่าวเพิ่งกระจายในบ้านเรา วันต่อมาคือวันพุธก็หยุด วันฉัตรมงคล (บางคนในห้องค้า บอกว่า ไม่น่ามีวันหยุดเลย) เพราะฉะนั้นจะเหลือคนเอาหุ้นกลับบ้าน ใจตุ้มๆต่อมๆ มาเทรดวันพฤหัสและศุกร์เท่านั้น หลังจากมู้ดดี้ ปรับอันดับเครดิตไทย สถาบันอื่นๆก็เริ่มเมียงมอง (ตามเคย) ทำให้โวลุ่มพีคมากในเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงมิถุนายนในปีนั้น อ้อ มีอีกเหตุการณืหนึ่งที่ทำให้หุ้นชนเพดานเลยตั้งแต่นาทีแรก ก็คือหลังวันประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในรัฐบาลของพลเอกชวลิต คนที่ซื้อก็คือต่างชาติ แน่อยู่แล้ว เม่าไทยได้แต่ทำตาปริบๆ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องถึงสองวัน หลังจากน้นก้อ.....ทรุด ทรุด ทรุดลงมาโดยตลอด ที่เหลือก็คือ...ประวัติศาสตร์จ้า :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ มิ.ย. 14, 2009 7:44 pm
0
0
วันหุ้นร้อน คืนฝนฉ่ำ
14.00 น. ณ ห้องค้าหลักทรัพย์อีกแห่งย่านงามวงศ์วาน สภาพห้องค้ามีทั้งส่วนที่เป็นคอมพิวเตอร์ให้ลูกค้าไปยืนกดดู แต่ไม่มีเก้าอี้นั่งเพื่อจะได้ไม่ยืนครอบครองนานเกินไป และส่วนที่มีเก้าอี้นั่งสบายเรียงเป็นแถวเกือบร้อยตัว หากในวันนี้ทุกตัวล้วนมีกระเป๋า เสื้อ แฟ้ม สมุดและสัมภาระสารพัด แสดงความเป็นเจ้าของเต็มไปหมด โดยที่เจ้าตัวยังไม่ได้กลับมานั่งที่ของตน ตัวเลขในกระดานยังนอนสงบเงียบ ขอพักเหนื่อยหน่อยหลังจากวิ่งพุ่งไม่หยุดตลอดช่วงเช้า เสียงคุยจ้อกแจ้กเริ่มดังเข้ามาจากนอกห้อง สักครู่บรรดาคุณเถ้าแก่ เถ้าแก่เนี้ยว อาซ้อ อาเจ็ก คุณลุง คุณป้า คุณนาย หลากหลายอาชีพก็ปรากฏตัวเข้ามา 14.00 น. ตลาดเปิดอีกครั้ง คราวนี้ผู้คนที่หายไปจากที่นั่งกลับมายึดครองเก้าอี้ตัวเดิม ด้วยหน้าตาแตกต่างกันไปทั้งกังวล ทั้งดีใจ ทั้งตระหนก ทั้งกล้าๆกลัวๆ หญิงสาวบางคนรีบเอามือปิดหน้า เมื่อเห็นตัวเลขในหุ้นที่เพิ่งขายออกเมื่อภาคเช้าขยับสูงขึ้นไปอีก เสียงบ่นพึมพำดังตลอด รู้อย่างนี้.. โธ่ ไม่น่าเลย อุตส่าห์เก็บมาตั้งนาน เห็นมั้ย บอกแล้ว ไม่เชื่อ ประโยคหลังไม่ทราบเปรยกับใคร แต่น่าจะกล่าวกับตัวเองมากกว่า ในภาวะกระทิงของตลาด ใครจะฟังใครเล่า 15.00 น. หุ้นหลายตัวพุ่งชนเพดานอย่างคาดไม่ถึง และไม่กี่นาทีต่อมา เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง ดัชนีทะลุระดับ 500 จุดได้ โอ้โฮ เป็นไปได้อย่างไง ตรง 460-490 กลวงไปหมดเลย นี่นี่ ข่าวร้อนๆ ข้างบนบอกให้รีบเทขายหุ้นแบงก์กับไฟแน็นซ์เสีย ข้างบนไหนอีกเล่า หลายคนตาโต คนพูดตอบอึกอัก ก้อ..ข้างบนนั่นแหละ เลยไม่รู้ว่าเป็นใคร สงสัยอ้ายโม่งตัวไหนที่อยากจะเจ้าตลาดตอนช่วงเทขายราคาต่ำลงมา แต่ยิ่งกังวลหุ้นธนาคารใหญ่ก็กระเถิบสูงขึ้นไปอีก 15.30 น. ใครบางคนในตลาดดูเหมือนจะพยายามหันเหความสนใจจากกระดานดัชนี สู่หนังสือที่กำลังอ่าน แต่ฝืนไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเฮอีก เมื่อหุ้นยอดนิยมอีกหลายตัวชนเพดานไปเกือบหมด ดูซิคะ ขนลุกไปหมดแล้ว หุ้นอะไรไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ขึ้นวันเดียว 50 กว่าจุด สาวหุ้นอีกนางรับโทรศัพท์เสียงร้อนรน ลูกขาลูก วันนี้อยากกินอะไรดี แม่รวยมาสามหมื่นกว่าบาท 16.00 น. หมูไม่กลัวน้ำร้อนเข้ามาเลยครับ เสียงพนักงานการตลาดหนุ่มเชื้อชวนกระฉับกระเฉง เมื่อมีหุ้นสุดฮิตอีกตัวปล่อยลงตลาด ทั้งที่เป็นหุ้นไม่มีปัจจัยพื้นฐานอะไรที่บ่งบอกน่าลงทุนเลย แต่นั่นแหละเหล่านักลงทุนก็แห่วิ่งซื้อดั่งหนึ่งเหมือนแมลงติดปีก พร้อมจะโผและถลาได้ทุกเมื่อ ได้ผล..ดัชนีของหุ้นไร้ปัจจัยขยับขึ้นทันที 16.15 น. ณ วินาทีนี้ไม่มีใครนั่งติดเก้าอี้ได้อีกแล้ว ทุกคนลุกขึ้นยืนมองหน้ากระดานเรียงราย หากเราอยู่ในห้องค้าหลักทรัพย์ ณ เวลานั้น จะเห็นสีหน้าของความละโมบ โกรธตัวเองที่ตัดสินใจช้าไป เร็วไป ไม่ตัดสินใจ ความเสียดาย อยากได้คืนอีก ไม่กล้าขาย ไม่กล้าซื้อ และความกังวลสารพัดที่ปรากฏในหน่วยตา ไม่มีใครผลิรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งได้รับส่วนต่างจากผลกำไร ที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย 16.20 น. อีกสิบนาที อุณหภูมิความร้อนค่อยลดลง ดัชนีหุ้นเริ่มมอบตัวเหลือ 500 ต้นๆ เพิ่มขึ้น 46 จุด เสียงแว่วๆว่า อาจจะมีการต่อเวลาตลาดปิดจากสี่โมงครึ่งไปถึงห้าโมงเย็น เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ซื้อขายยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด อย่าเล่นตลกน่า แค่นี้หัวใจก็จะวายอยู่แล้ว 16.30 น. ตลาดปิด ไม่มีการต่อเวลาอย่างที่คิด พนักงานการตลาดหนุ่มรีบวิ่งไปที่เครื่องพิมพ์ สั่งพริ้นท์เอกสารการซื้อขายของหุ้นวันนี้ให้แก่ลูกค้าที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ในหัวของเขามีแต่ตัวเลขหมุนติ้วของจำนวนสั่งซื้อขายพันๆราย แต่นั่นแหละคือโอกาสทองของช่วงชีวิตโบรกเกอร์ ซึ่งถึงเวลาได้สูดกลิ่นอายความมั่นคงของชีวิตเสียที หลังจากที่นั่งซึมเซามาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ต่อให้กี่คำสั่งซื้อขายวิ่งไล่เข้ามาก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างถวายชีวิต เพราะค่าธรรมเนียมที่ได้ในวันนี้นั่นหมายถึงความอยู่รอดของอีกหลายชีวิตเช่นเขา 17.00 น. "เจอกันวันพฤหัสนะครับ เสียงทักทายอำลาหลังตลาดปิด แผงไฟในกระดานเริ่มดับทีละแผงๆพร้อมคอมพิวเตอร์ ที่ถูกใช้งานหนักมาตลอดวัน บรรยากาศห้องค้าหลักทรัพย์กลับสู่ความสงบในอุณหภูมิปกติ ไอร้อนระอุยังจางๆในความมืดสลัว เมฆดำเริ่มก่อตัวแต่ไกล คืนเดียวกันนั้นเอง ฝนได้ตกลงมาตั้งแต่หัวค่ำจนยันสว่าง ตกหนักราวกับจะดับความร้อนรุ่มของอุณหภูมิตลาดหุ้นเมื่อภาคกลางวันให้หมดสิ้น เพื่อให้ตลาดได้เย็นลงก่อนจะถูกจุดอุณหภูมิใหม่ในวันเปิดตลาดอีกครั้ง ก่อนจะหลับใหลไปกับเสียงฝนเซ็งแซ่ ในสำนึกห้วงสุดท้ายของผู้สังเกตการณ์เห็นแต่ตัวเลขกะพริบของดัชนีพร่างพรางจนมึนไปหมด :shock: และก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วๆจากที่ไหนสักแห่งว่า . เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง..... :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ มิ.ย. 14, 2009 7:42 pm
0
0
ดัชนีชี้วัดเศรฐกิจของสหรัฐชี้ว่าผ่านจุดตำ่สุดไปแล้ว (แบบแปลก
กูรูขอเพิ่มบ้าง ดัชนีไส้อั่ว วันไหนไปช้อปปิ้งตามศูนย์ประชุม ถ้าอยากรู้ว่าจะขอต่อรองสินค้าข้าวของได้หรือเปล่า ก็ต้องรู้ต้นทุนของการเช่าพื้นที่ ว่าแล้วก็ต้องเดินไปบริเวณซุ้มขายอาหาร ซึ่งมักมีอยู่ทุกงาน ไปที่ซุ้มน้ำพริกหนุ่ม แหนม ไส้อั่ว ถ้ามีไส้อั่วหั่นเป็นชิ้นๆให้ชิม แสดงว่า ค่าเช่าบู้ท แม่ค้ายังพอรับไหว ถึงพอเจียดกำไรเอาไส้อั่วราคาแพงมาให้ชิมได้ ถ้ามีแต่แคบหมูจิ้มน้ำพริกหนุ่ม ให้ชิมล่ะก้อ แพงหูฉี่แน่ๆ ข้าวของในงานจะต่อรองได้ยากมาก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงเดินกลับบ้านเสีย แห่ะ แห่ะ :roll: http://image.zazana.com/images/8340754583.jpg
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 9:12 am
0
0
ขอสอบถามพี่ๆน้องๆที่เรียน/เคยเรียนMBA
แล้ว MBA ที่ไหนสาวสวยเยอะสุดครับ ? ไม่รู้เป็นอย่างไร ปริญญาโทแทบทุกที่ อย่าง เอ็มบีเอ เนี่ย มีแต่สาวๆทั้งน้านเลย หรือว่าโลกนี้มีแต่ผู้หญิง :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ มิ.ย. 10, 2009 11:54 am
0
0
ขอสอบถามพี่ๆน้องๆที่เรียน/เคยเรียนMBA
[quote="กาละมัง"][quote="Boyadvance"]ผมมีคำถามที่ข้องใจ
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ มิ.ย. 10, 2009 8:41 am
0
0
ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ
เซียนน้องริวสะบัดปลายนิ้วโพส เมื่อข่าวร้ายที่สุดผ่านไป หุ้นก็มักมีเด้งดึ๋งทางเทคนิค ซึ่งการที่ข่าวร้ายที่สุดผ่านไปก็ยังไม่ได้หมายความว่าจุดต่ำสุดผ่านไปแล้วนะครับ (เศรษฐกิจยังลบต่อ พ้นจากลบก็ยังฟุบต่อ) แต่เมื่อทราบ Q3/41 หุ้นบ้านเราเริ่มนิ่งแล้ว พอทราบ Q4/41 เมษาบ้านเราหุ้นพุ่งเป็นร้อยจุดในเดือนเดียว มาเสริมให้น้องริวในกระทู้อาจารย์หมอแพรนด้า หุ้นไทยในปี 2542 เริ่มฟื้นตัวประมาณเดือนเมษายน หลังจากผ่านจุดระทมระทวยปลายปี 2541 เนื่องจากข่าวการปรับอันดับเครดิตจากบริษัทเรทติ้ง ตอนเดือนเมษายังพุ่งไม่เท่าไหร่ แต่เพราะติดวันหยุดหลายวันช่วงสงกรานต์ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียขึ้นกันหมด พอของเราเปิดก็เลยชดเชยไม่ให้เสียกำลังใจ :wink: แต่ที่พุ่งเป็นเรื่องเป็นราวและเฮฮากันใหญ่ก็คือต้นเดือนพฤษภา ด้วยเหตุผลของบริษัทจัดอันดับสองยักษ์ดังรายละเอียดข้างล่างนี้ (ความจริงตอนเมษาก็อีกยักษ์หนึ่ง แต่ไม่ใหญ่เท่า) :lol: 2 พฤษภาคม 2542 Moody ได้ปรับสถานะระดับเครดิตของประเทศ จากแนวโน้มที่มีเสถียรภาพ (Stable)เป็นบวก (Positive) โดยมีความเป็นไปได้ที่ระดับเครดิตจะได้รับการปรับให้สูงขึ้น จากระดับ Ba1 สำหรับตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาว และ NPสำหรับตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศระยะสั้นตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ประกาศเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2540 5 พฤษภาคม 2542 บริษัท S&P ประกาศเปลี่ยนสถานะเครดิตของประเทศไทย จากที่มีแนวโน้มเป็นลบ(Negative) เป็นมีเสถียรภาพ (Stable) ส่วนระดับเครดิตยังคงอยู่ที่ระดับ BBB- สำหรับตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศระยะยาว และ A-3 สำหรับตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งเป็นระดับเครดิตที่ประกาศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2541 โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในการปรับโครงสร้างภาคการธนาคารและภาคเอกชน รวมทั้งภาระหนี้ต่างประเทศที่ลดลง ความสำเร็จในการเพิ่มทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นตัวชี้ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อภาคเอกชน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถลดภาระ Swap และระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องระหว่างประเทศให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้น ในระยะสั้นความกดดันต่อระดับเครดิตของประเทศจึงมีน้อยมาก อย่างไรก็ดี ระดับเครดิตของประเทศปัจจุบัน ยังสะท้อนถึงการปรับโครงสร้างที่รวดเร็วในภาคธนาคารและภาคเอกชน ดุลการชำระเงินที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่มีความสุขุมรอบคอบ http://www.pdmo.mof.go.th/document/history_rating.pdf ช่วงที่ข่าวออกมา อยู่ในวันหยุดติดต่อกัน จำได้ว่า พอเปิดมาวันทำการช่วงเช้าก้ฮือฮาเตรียมพร้อม สถานีโทรทัศน์ไปตั้งกล้องดักสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เป็นการใหญ่ แถวๆห้องค้าลาดพร้าว ตอนเช้าขึ้นไปว่าเยอะแล้ว ตอนบ่ายยิ่งขึ้นไปเฉียดๆร้อย แต่ก็มีแรงกดลงมาทำให้ไปไม่ถึง จำได้ว่า ตกเย็นวันนั้น ฟ้าครึ้มทั่วกรุงเทพ แล้วฝนที่ห่างหายไปนาน ก็ตกเกรียวกราวลงมาห่าใหญ่ ดับความร้อนของอุณหภูมิในตลาดหุ้นได้พอสมควร :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ก.พ. 23, 2009 8:09 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
พี่ป้อม สวัสดีจ้า เสียดายวันสัมมนา "จะอยู่ จะไป เศรษฐกิจไทย" เมื่อวันก่อน พี่ไปเสียก่อน เลยอดเจอเพื่อคารวะเลย :cry: ปัญหาของการบริหารธุรกิจแบบครอบครัวเงียบเฉียบอย่าง Mars ก็มี ไว้จะเล่าต่อ ตอนนี้ขอเข้าห้องสอนก่อน :wink: ความจริงล่าสุดมีเรื่องที่น่าสนใจของชนเผ่าอามิชในอเมริกา ที่คาดว่าจะไม่กระทบกระเทือนกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เลย ไว้ค่อยเรียงร้อยความในใจเสร็จต่อจากความลับของตระกูลมาร์ส แล้วมาคุยสนุกๆให้ฟัง :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ก.พ. 07, 2009 10:13 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
http://www.cocoasustainability.mars.com/images/role/big_principles.jpg คำแนะนำเหล่านี้ มาจากมุมมองของคนที่ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมชาวมาร์ส จนรู้ดีว่าเอเยนซี่โฆษณา(และบริษัทคู่ค้าอื่นๆ)ที่จะร่วมงานกับมาร์ส ควรจะนำเสนอและปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะชนะใจ ได้รับมอบหมายรับผิดชอบแคมเปญโฆษณาของผลิตภัณฑ์มาร์ส ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ( และช่วยให้บิลลิ่งพุ่งกระฉูด) และจะยิ่งชนะใจยิ่งขึ้นหากได้รู้ลึกถึงวัฒนธรรมองค์กรของมารส์ ที่ได้รับการถ่ายทอด ปลูกฝังกันอย่างเข้มแข็ง ในหลายๆประการ เช่น ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นคำที่สกปรกสำหรับมารส์ ( Status at Mars is a dirty word) ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครมีออฟฟิคส่วนตัว ทุกคนถ่ายเอกสารเอง รับโทรศัพท์เอง หากจะต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ตั๋วโดยสารชั้นประหยัดเท่านั้นที่บริษัทจะอนุญาต ไม่มีนอกเหนือจากนี้ ระบบราชการเป็นสิ่งที่พึงรังเกียจ การออกบันทึกภายใน (Memo) เป็นการกระทำที่ค้านกับนโยบายบริษัท ทุกคนทำงานบนพื้นฐานความเสมอภาค เรียกชื่อหน้ากัน ( A first name basis)ไม่เว้นเจ้าของตระกูล พนักงานของมาร์สจะถูกเรียกว่า ผู้ร่วมงาน (Associate) การจ่ายเงินค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทเป็นหลัก เงินทุกเซ็นต์ที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจ จะถูกนำกลับไปรวมในบัญชีของบริษัทเท่านั้น จอห์น, ฟอร์เรสต์ และแจ็คเกอร์ลีน จะได้รับเฉพาะเงินปันผลตามสัดส่วนปกติ มาร์สดำรงสถานะทางการเงินที่ปลอดหนี้ ทุกครั้งที่จะขยายกิจการหรือธุรกิจออกไป ตระกูลมาร์สจะใช้เงินสดเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติของธุรกิจอเมริกัน (แต่สำหรับบ้านเรา เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะยุคหลังฟองสบู่แตก) ความสะอาดและอนามัยเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักให้ขึ้นใจในชาวมาร์สทุกคน กล่าวกันว่า ชาวมาร์สภูมิใจนักหนา ที่จำนวนแบคเตอเรียบนพื้นโรงงานหน่วยผลิตของบริษัท มีจำนวนน้อยกว่าแบคเตอเรียในอ่างล้างจานตามบ้านทั่วไป ว๊าว:roll: คุณภาพ คือ ข้อกำหนดบังคับอันยิ่งยวด เม็ดช็อคโกแล็ค M&M นับล้านเม็ดต้องถูกทิ้งไป (เสียดายจัง) เพราะเพียงตัวหนังสือที่ปรากฏบนเม็ดเลือนหรือไม่ชัดพอ ฯลฯ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.พ. 05, 2009 10:50 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
http://images.teamsugar.com/files/upl0/1/15259/08_2008/IMG_5954.preview.JPG ขอยังไม่เฉลย แต่จะให้ท่านลองอ่านบันทึกเบื้องล่างต่อไปนี้ ข้อความบางส่วนเป็นการตัดตอนมาจากบันทึกภายใน ของเอเยนซี่โฆษณาแห่งหนึ่งที่ให้บริการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของมาร์สอยู่ปัจจุบัน (กูรูก็เคยทำงานที่นี่ ช่วงนั้นกินช็อคโกแล็ตแทนข้าวแทบทุกมื้อ) :B ข้อความเหล่านี้กำลังแนะนำให้เอเยนซี่ท้องถิ่นประเทศหนึ่ง เตรียมการเสนองานและพบกับผู้บริหารระดับสูงของมาร์ส ที่จะมาเยี่ยมเยือนตลาดลูกอมในภูมิภาคต่างๆ คำแนะนำดังกล่าวได้แก่ หนึ่ง เตรียมข้อมูลการตลาดให้พร้อม ตัวเลขต่างๆจะต้องทันกับสภาวะตลาดปัจจุบันให้มากที่สุด ห้ามปั้นตัวเลขเด็ดขาด สอง เตรียมผู้เข้าประชุมให้พร้อม ไม่ต้องขนเข้าไปเยอะ ขอเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับงานจริงๆ ระบุตำแหน่งและหน้าที่ของแต่ละคนให้ชัดเจนว่า เกี่ยวข้องกับการดูแลลูกค้ามาร์สอย่างไร ทุกคนที่ร่วมประชุมจะต้องเอ่ยปากพูด ถ้าคิดว่าการนิ่งเฉยนั้นดีที่สุด ก็จงออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ (พูดง่าย อย่าเอาฟายมานั่งในห้องประชุมด้วย) :roll: สาม จงแสดงความกระตือรือร้นที่อยากจะร่วมงานกับมาร์ส แต่อย่ามากเกินไปจนถึงขนาดถ้าไม่ได้มาร์สเป็นลูกค้าแล้ว เอเยนซี่จะต้องพังทลายในไม่ช้า มาร์สไม่ชอบการแสดงบทบาทเกินจริง ฝ่ายบริการลูกค้าผู้หญิง หรือที่เรียกว่า Client Service กรุณาสำรวจเครื่องแต่งกายของตนด้วย ขอให้งดใส่ตุ้มหูกระตุ้งกระติ้งหรือสร้อยข้อมือแวววาวระหว่างประชุม เพราะอาจจะดึงดูดความสนใจของการประชุมมากเกินไป) สี่ รูปแบบการนำเสนอนั้น ขอให้เรียบง่ายต่อความเข้าใจ ด้วยตัวเลข และเหตุผลที่ประกอบอย่างหนักแน่น อย่าหวือหวาหรือเน้นเทคนิคแพรวพราว จนทำให้คนฟังเพลินไปเลยว่ากำลังดูหนังการ์ตูนหรือแฟนตาซีอวกาศ อย่าใช้เวลานำเสนอมากจนเกินความจำเป็น ขอให้ตรงประเด็นและชัดเจน ห้า หากตอบคำถามใดๆไม่ได้ หรือไม่แน่ใจ ให้ยอมรับออกไปตรงๆ อย่าอ้อมค้อมหรือเฉไฉ ลูกค้ามาร์สจะตะขิดตะขวงใจถ้ารู้ว่าถูกหลอก จงสืบเสาะหาข้อมูลนั้นกลับมาตอบให้ได้โดยเร็วที่สุด หก ลูกค้ามาร์สอาจจะอยากตรวจตลาดท้องถิ่นนั้นๆ โดยจะไปตามลำพังหรือไปกับเอเยนซี่ ขอให้ดูความประสงค์ของพวกเขาด้วย เจ็ด ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับใดๆทั้งสิ้น ผู้บริหารมาร์สให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัวมาก ไม่นิยมการสังสรรค์ใดๆนอกเหนือจากเรื่องงานและผลิตภัณฑ์ของบริษัท :kq:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.พ. 05, 2009 10:40 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
http://www.foodmag.com.au/Uploads/PressReleases/food/Images-20081007/chocolate.jpg บริษัทมาร์สก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มบุคคลตระกูลมาร์สตั้งแต่ปี ๑๙๒๒ ดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทเอกชนมาตลอด ไม่เคยข้องเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่เคยเผยแพร่เรื่องราวใดๆของตระกูลออกมานอกจากผลิตภัณฑ์ในตลาด ไม่เคยมีบทสัมภาษณ์จากประธานกรรมการบริหาร ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อจนถึงรุ่นลูก (และคงจะถึงรุ่นหลาน เหลนด้วย) จดหมายขอสัมภาษณ์จากนิตยสารใดๆจะถูกเก็บเงียบนอนสงบนิ่งในแฟ้ม ไม่เคยมีการหยิบยกปัดฝุ่นขึ้นมาพิจารณา พอๆกับรายการโทรทัศน์ต่างๆที่จดๆจ้องๆขอมีโอกาสเข้ามาสัมภาษณ์สักครั้ง หากสำเร็จก็ถือเป็นโบนัสครั้งยิ่งใหญ่ของคนทำงาน ก็ได้แต่ฝัน..หวานค้างไว้ สู้ไปกินช็อคโกแล็ตมาร์สให้หายช้ำใจดีกว่า :wall: ข้อมูลเท่าที่ปรากฏสู่การรับรู้ของคนภายนอกก็คือ จอห์น มาร์ส แชร์ตำแหน่ง CEO ร่วมกับพี่ชายอีกคน คือ ฟอร์เรสต์ มาร์ส ซีเนียร์ โดยแบ่งสายงานรับผิดชอบคนละสายงานออกจากกันไป CEO สองคนจะนั่งด้านในสุดของชั้น ๒ โดยมีแจ็คเกอลีน มาร์ส น้องสาวอีกคนนั่งถัดมาในฐานะตำแหน่ง Vice President พวกเขาทั้งหมดใช้เลขานุการร่วมกัน ความลึกลับของตระกูลมาร์สได้รับการกล่าวขานถึงอย่างน่าชวนทึ่ง พร้อมถูกวิจารณ์ เผยแพร่ในวงการนักการตลาดหัวสมัยใหม่ เพราะสิ่งที่สามพี่น้องตระกูลมาร์สปฎิบัติอยู่ทุกวันนี้ ขัดแยังอย่างสิ้นเชิงกับทฤษฎีการบริหารองค์กรทั้งหลาย ปรมาจารย์หลายสำนักพยายามสรรหาทฤษฏีใหม่ๆ เพื่ออธิบายลักษณะเฉพาะตัวของมาร์ส และองค์ประกอบของความสำเร็จเชิงธุรกิจ ซึ่งบริษัทมาร์สนำหน้ามาตลอด จนถึงทุกวันนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า มาร์สเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เงียบและสงวนเนื้อสงวนตัวมากที่สุด :\/: ลองดูข้อมูลที่เปิดเผยมากที่สุดจาก น้องวิกี้คนเก่ง The Mars family is a family that owns the confectionary company Mars, Inc., bearing their name. The family was called the richest family in America by Fortune magazine in 1988. Upon the death of Forrest Mars, Sr., ( ตอนที่น้องวิกี้บันทึกล่าสุด ฟอร์เรสต์ มาร์ส ผู้พี่เสียชีวิตไปแล้ว แน่นอนอย่างลึกลับมากๆ) he and his two sons were ranked #29, 30, and 31 by Forbes magazine's list of richest Americans, and they each had a worth of approximately $4 billion. As of 2008, Forrest Mars's three children are ranked by Forbes List of "The World's Billionaires" as #46, with $14.0 billion each [1]. The family is fiercely protective of their privacy, refusing to do interviews with the press or, with the exception of Jacqueline Mars, be photographed in public.[2] List of Mars's family fortune as of March 5, 2008 published by Forbes. Forrest Edward Mars, Jr. US$14.0 billion Jacqueline Mars US$14.0 billion John Mars US$14.0 billion Total: US$42.0 billion http://en.wikipedia.org/wiki/Mars_family แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้มาร์สเป็นองค์กรที่น่าอัศจรรย์ใจปานนั้น :bow:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.พ. 05, 2009 10:27 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
ยังไม่มีใครเข้ามาตอบ งั้นเขียนต่อแล้วกัน ขอเฉลยด้วยภาพแทน http://www.americas-favorite.com/products/thumbnails/product_3.jpg ฤาธุรกิจครอบครัวจะสูญสิ้น : บทเรียนจากตระกูลมารส์ ณ สำนักงานเลขที่ ๖๘๘๕ ถนนเอมสตรีท ชานเมืองแมคลีน มลรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ภาพชินตาที่ชาวเมืองละแวกนั้นจะเห็นในทุกๆเช้าก็คือ เมื่อถึงเวลา ๖.๓๐ นาฬิกาตรง จอห์น มาร์ส ชายวัยกลางคนอายุ ๕๖ ปี (เมื่อหลายสิบปีก่อน) ขับรถจี๊บสเตชั่นวากอนปี ๑๙๘๙ เทียบเข้าจอดลานรถกะทัดรัด เคียงข้างกับตึกทำงาน ๒ ชั้น ตึกเรียบๆธรรมดาที่มองเผินๆละม้ายคล้ายโรงเก็บของ ไม่มีการตกแต่งหรูหราเหมือนบริษัทชั้นนำอื่นๆ เขาเปิดประตูชั้นล่างตัวอาคารเข้าไป เปิดไฟ เดินขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง และทำในสิ่งที่บรรดา CEO น้อยคนนักที่อยากจะปฏิบัติ นั่นก็คือ หยิบบัตรชื่อจอห์น เอฟ มาร์ส ตอกบัตรเวลาเข้าทำงานของตัวเอง ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง ประธานกรรมการบริหารบริษัท มาร์ส บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตขนมหวานและช็อคโกแล็ต ที่มียอดขายทั่วโลกมากกว่า ๑๒,๕๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ (ล่าสุดปี 2007 : 25,000 ล้านเหรียญ http://biz.yahoo.com/ic/40/40297.html ) ด้วยขนาดของธุรกิจที่ใหญ่กว่าจ้าวฟาสต์ฟู้ด แม็คโดนัลด์ และบริษัทผู้ผลิตซีเรียลอย่างเคลล็อค ผลิตภัณฑ์ของมาร์สมีทั้งท้อฟฟี่ อมยิ้ม ขนมหวาน ช็อคโกแล็ตสารพัด เด็กๆทุกคนทั่วโลกต้องรู้จัก เคยได้ลิ้มชิมรสกันถ้วนหน้ามาแล้ว มาร์สครองตลาดอมยิ้ม (Lollipops) กว่าหนึ่งในสี่ของตลาดสหรัฐอเมริกา เฉพาะแค่ช็อคโกแล็ตเม็ดเคลือบ M&M ตัวเดียว ก็สร้างรายได้มากกว่ารองเท้ารีบ็อคเสียอีก ไม่เพียงแต่อาหารของมนุษย์เท่านั้น มาร์สยังเข้าใจพฤติกรรมสัตว์ ผลิตอาหารสัตว์ชื่อดัง อาหารสุนัข เพคดีกรี อาหารแมว วิสกัส ซึ่งก็มีวางขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตในบ้านเราแทบทุกแห่ง (ถ้ากังขาว่ามีใส่ช็อคโกแล็ต M&M ลงไปบ้างหรือเปล่า น้องแมว น้องหมาถึงติดใจ ร้องขอกินอยู่เรื่อยๆ ลืมไปได้เลย อ่านต่อแล้วจะเลิกสงสัยเด็ดขาด) :wink: ย้อนกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของมาร์สอีกครั้ง เผื่อจะพาให้ท่านผู้อ่านเห็นความโอ่อ่าของการตกแต่งภายในบ้าง จอห์น มาร์สเดินผ่านสำนักงานบนชั้น ๒ ซึ่งไม่มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ เราจะเห็นบริเวณพื้นที่กว้าง มีโต๊ะโลหะสีดำและเก้าอี้พลาสติกสีส้ม สีเบจ(เหมือนสีช็อคโกแล็ต M&M) เรียงรายประปรายไปทั่ว อีกด้านหนึ่งเป็นห้องกระจกธรรมดา ๔ ห้อง ตีฝากั้นไว้สำหรับใช้ประชุม ไม่มีใครมีห้องทำงานส่วนตัว จอห์น มาร์ส เดินฝ่าเฟอร์นิเจอร์สีสันเหล่านั้น ตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานประจำตัว แล้วก็เริ่มงานประจำวัน ท่านผู้อ่านคงจะประหลาดใจเหมือนกับกูรู เรากำลังอยู่ในสำนักงานใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มียอดสินทรัพย์ของตระกูลซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในนิตยสารForbesว่า มีสูงถึง ๑๒,๕๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ (ย้ำอีกครั้ง ตอนนี้เป็น 2 เท่า จากข้อมูลล่าสุด ปี 2007) แต่ออฟฟิคที่เห็นอยู่นี้ วางผังรูปแบบปฏิบัติงานภายใน ให้ดูเสมือนเป็นเพียงสำนักงานส่วนสนับสนุน (Back Office Support) เท่านั้นเอง ความแปลกใจงุนงงเล็กๆคงจะได้รับการคลี่คลายลง ถ้าเรามีโอกาสย้อนกลับไปดูภูมิหลังของบริษัทมาร์สกันบ้าง :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.พ. 05, 2009 10:12 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
[quote="por_jai"]:8) เป็นclassic caseจริงๆ
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ก.พ. 03, 2009 5:15 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
ข่าวล่าสุด Lay Off อีกแล้ว Kodak to Layoff at Least 3,500 Workers This Year No Payout for 2008 Executive Performance-Based Compensation . -- Graphic Arts Online, 1/29/2009 3:21:00 PM ROCHESTER, N.Y., Jan. 29, 2009 -- Eastman Kodak Company (NYSE:EK) today reported preliminary fourth-quarter 2008 results, which reflect the impact of the global recession, the slowdown in consumer spending and reduced business investment, as well as changes in the value of the U.S. dollar. For the fourth quarter, Kodak reported a preliminary loss from continuing operations of $133 million, or $0.50 per share and preliminary Net Loss of $137 million, or $.51 per share. Fourth-quarter sales were $2.433 billion, a 24% decline from the year-ago quarter. Digital sales for the fourth quarter were $1.779 billion, a 23% decline from the year-ago quarter, and traditional revenues were $652 million, a 27% decline from the year-ago quarter. ราคาหุ้นล่าสุด January 30,2009 : EK 4.53 USD -0.46 -9.22%
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 9:49 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
Competency, the core internal strength: Corporate strategy has to be based on an internal strength or competency. By considering this doctrine, a company will not enter an unknown area without proper expertise. Still, if the company intends to do so, it can enhance its own internal competency or acquire technology from somewhere else. In Kodak's case, even management was aware of major threats, not only from Fuji but also from Sony. In 1981, Sony introduced the Mavica electronic camera, which was able to display pictures on a television screen. Kodak still had not made enough effort to cross the chasm to a digital breakthrough inside the company. In fact, Kodak also had competency in many areas, not only a strong base in photo film, but also a sound understanding of the consumer market. If the Kodak board had put applied right strategy in the context of digital applications, consumers today might still be associating happiness with Kodak Moments.
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 9:39 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
The board and CEO as key strategists: From the long-term view, an organisation really needs set of strategies to support an annual operating plan (AOP) or business plan. The board and CEO have to dedicate effective times to discuss strategies in detail including how to measure business achievement. Board members, however, have been used to focusing mainly on financial performance in order to enhance shareholder value. This may not help much in terms of the future business. What they need to change is to let the CEO propose long-term strategy supported by an AOP with plenty of base information. Thus, they can ensure that company is on the right track with the right process for achieving defined goals. After crafting corporate strategy, the company has to clearly define functional strategy - marketing, HR, financial including investment strategy, and so on. Do not ignore innovation strategy especially for firms that rely on changing consumers' behaviour. 3M has a"customer-inspired innovation" strategy on top of the famous 15% rule, which relates to the free-time allowance for employees to spend thinking about new product ideas in their areas of expertise.
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 9:35 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
Think strategy, think long-term: In order to address strategy issues properly, an organisation has to have a very long-term view of its business. This view needs to incorporate factors including future technology, consumer trends, potential competitors and more. Let's look at some examples. Sony understood clearly what consumers were looking for. As a result, the new personal and portable audio system called Walkman was born. Canon crafted the right strategy to focus on the niche Soho (small office home office) market, which started to prosper in the US back in the 1980s. This market for printers was not dominated by Xerox, which focused on the corporate market with sophisticated machines. Canon copiers launched at the end of 1982, brought the company great success at the same time as Xerox started to tumble. Strategy can be categorised in many ways. One simple way is based on time frames - long- and short-term. The long term is mainly related to the company's vision, in some cases beyond a three-year horizon. In the case of Eastman Kodak, the board and CEO missed this view and sat in their comfort zone as a photographic film, paper a chemical company, as well. They never grasped the opportunity to reposition Kodak as a company in the business of images. Kodak even entered the chemical-related pharmaceutical business by acquiring Sterling Drug in 1988 for US$5.1 billion, compared to Sterling's estimated market value of $3.5 billion. By the time digital revolution arrived, even George Fisher, who had an outstanding reputation for turnaround time at Motorola and joined Kodak in 1993 as chairman and CEO, could not hold back the tide. Today Kodak's shares are trading around $7, down from a height of $94.25 in February 1997, the days that Fisher took a helm
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 9:29 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
มาลงบทความของคุณพ่อ Kodak ล่าสุดในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Think strategy, be happy, go lucky Many of us fondly recall happy childhood times and the smiling faces of our family members. Over the years, one company has helped us to indulge this nostalgia. The company's brand essence was so strong that even today, many people associate its yellow colour with happy times that came to be known as "Kodak Moments". However, the golden years of Kodak and its familiar yellow film box have faded for several reasons. The major one was defining the wrong long-term strategy, a mistake that any board or CEO of any company can face. Some survived their mistakes, some did not.
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 9:20 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
เพื่อนๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงอยากจะทราบแล้วล่ะซิว่า สถานการณ์ล่าสุดของอดีตยักษ์ใหญ่อย่างโกดักเป็นไปอย่างไร เดี๋ยวขอให้บทความล่าสุดที่เขียนไว้ตีพิมพ์เสียก่อน แล้วค่อยมาถ่ายทอดในนี้ ไม่นานหรอกคร้าบ :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 8:45 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://imagecache2.allposters.com/images/pic/VAS/0000-1168-4~Kodak-Ne-gaspillez-pas-Posters.jpg แน่นอน พนักงานของอีสต์แมน เคมีคอล รวมทั้ง เดฟเวนพอร์ท ไม่สู้พอใจนัก ที่เงินโบนัสที่เขาควรได้กลับถูกตัดลง เพราะผลประกอบการขาดทุนโดยรวมของสำนักงานใหญ่ ด้วยสามัญสำนึกและสัญชาติญาณของคนทำงานติดดิน เดฟเวนพอร์ท เริ่มมองเห็นภยันตรายที่กำลังคุกคามบริษัทโกดัก ซึ่งจะต้องลามมาถึงบริษัทลูกๆไม่ช้าก็เร็ว อีสต์แมน เคมีคอล เอง ก็อาจจะถูกตัดสินชะตากรรมให้รวมหรือขายทิ้งไป เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วิถีชีวิตของชาวใต้ที่เรียบง่าย ทำงานหนักอย่างพวกเขาจะเป็นเช่นไร โดยไม่รอช้าเดฟเวนพอร์ทและคณะกรรมการบริหารบริษัทอีสต์แมน เคมีคอล ได้ยื่นข้อเสนอขอแยกตัวออกจากบริษัทแม่โดยเร็ว และจะนำหุ้นทั้งหมดกระจายเข้าระดมทุนจากตลาดมหาชน พวกเขารอคำตอบวันแล้ววันเล่า เพราะไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ในภาวะที่บริษัทกำลังระส่ำด้วยวิกฤตหลายเรื่อง ด้วยสายเลือดของนักต่อสู้ เดฟเวนพอร์ท รุกอย่างไม่ถอยอีกนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของพวกเขา เมื่อปลายปี ๑๙๙๓ ระหว่างที่สำนักงานใหญ่ที่โรเชสเตอร์ กำลังติดต่อทาบทามหา CEO คนใหม่อย่างขะมักเขม้น อีสต์แมน เคมีคอล ได้ประกาศตัวเป็นบริษัทมหาชน อิสระจากโกดักทั้งทั้งปวง การตัดสินใจของเดฟเวนพอร์ทครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ถูกต้องและเหมาะเจาะกับเวลาทั้งปวง หุ้นของบริษัททะยานขึ้นทันทีในวอลล์สตรีท อีกทั้งบริษัทก็ได้รับรางวัล Malcolm Baldrige Quality Award รางวัลเกียรติยศสูงสุดในการจัดการคุณภาพยอดเยี่ยมในแต่ละอุตสาหกรรม แม้แต่ จอร์ช ฟิชเชอร์ ผู้มาดำรงตำแหน่ง CEO โกดักคนต่อมา ก็ยังอดชื่นชมวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของเดฟเวนพอร์ทไม่ได้ ภายหลังที่ทั้งสองได้พบปะกันเนืองๆ ไม่ใช่ในฐานะพ่อ-ลูกอีกต่อไป หากเป็นคู่ค้าทางธุรกิจ เห็นมั๊ยครับ เดฟเวนพอร์ท อาศัยความสามารถกอปรกับสัญชาติญาณแบบหนูๆสนิฟ กับสเคอร์รี่ ดมกลิ่นทุกครั้งที่มีอะไรทะแม่งผิดสังเกตและรีบดำเนินก่อนล่วงหน้า ทำให้วิถีชีวิตของเขาและเพื่อนร่วมบริษัทตลอดจนชุมชนชาวเมืองคิงสพอร์ท ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องถามหาว่า คุณพ่อโกดักหายไปไหน ทั้งหมดนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เปรียบเทียบเรื่องจริงกับนิทานที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ หวังว่าพวกเราคงจะเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทุกขณะโดยไม่ต้องพร่ำวอนร้องหา พ่อหรือแม่ฉันหายไปไหน ทำไมถึงทิ้งฉันไป เช่นเดียวกับที่พนักงานยักษ์ใหญ่โกดักเคยเรียกร้องมา :pray:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 8:22 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://www.virginia.edu/anthropology/listings/kg.jpg ก็มิใช่ว่าจะมีคนยึดมั่นติดมั่นแบบเฮมกับฮอว์ เท่านั้น ยังมีคนแบบเจ้าหนูสนิฟกับสเคอร์รี่ ที่มีจมูกพิเศษดมกลิ่นทะเแม่งๆได้ก่อนใครอื่น เขาผู้นี้ก็คือ เออร์นี่ เดฟเวนพอร์ท(Earnie Deavenport)CEO แห่ง อีสต์แมน เคมีคอล เมืองคิงสพอร์ท มลรัฐเทนเนสซี่ ภูมิหลังที่เติบโตมาจากระดับล่างสุดของครอบครัวชาวชนบทยากจนแห่งรัฐมิสซูรี เดฟเวนพอร์ท มีวิถีชีวิตที่ยากแค้นลำบากมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหัวใจไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกับ อีสต์แมน โกดัก เขาก้าวสู่ตำแหน่งงานทีละก้าวอย่างมั่นคงจนเป็นผู้บริหารสูงสุดเมื่อปี ๑๙๘๙ และพยายามไม่ดำเนินรอยตามความผิดพลาดแบบที่บริษัทใหญ่ประสบ บริษัทอีสต์แมน เคมีคอล แหกกฏหลายข้อของบริษัทแม่ เช่น ขอร้องกึ่งบีงคับให้พนักงานของตนซื้อหุ้น เพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของและร่วมรับผิดชอบกับผลการดำเนินงาน ถ้าธุรกิจไปได้ดี หุ้นก็จะมีราคา ผลประโยชน์ก็จะกลับคืนสู่พนักงานเอง พนักงานทุกระดับของอีสต์แมน เคมีคอล ต้องประหยัด ไตร่ตรองทุกวิถีทางที่จะระมัดระวังมิให้เกิดการสูญเสียโดยใช่เหตุ ทุกคนทำงานหนัก ไม่มีเวลาสรวลเสเฮฮา ไม่มีความฝันเลิศเลอเหมือนพนักงานที่โรเชสเตอร์ ทุกคนทำงานเพื่อมุ่งหวังชีวิตที่ดีขึ้น สังคมที่มีความสุข ปราศจากอาชญากรรม ผลก็คือ ธุรกิจเคมีของบริษัทเป็นกิจการเดียวที่มีกำไร และกลายเป็นแหล่งสำรองเงินสดขนาดใหญ่เพื่อค้ำจุนฐานะของบริษัทแม่ :shock:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 8:08 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://imagecache2.allposters.com/images/pic/MEPOD/10083019~Woman-Cautiously-Descends-a-Cliff-Path-to-the-Beach-Clutching-Her-Precious-Kodak-Posters.jpg เห็นมั๊ยล่ะครับ ชาวโกดักยักษ์ใหญ่มีสภาพตอนนี้ไม่ผิดกับเฮมกับฮอว์ มนุษย์จิ๋ว ที่เคยเล่าไว้เลย ทุกคนเครียดและโกรธกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และยิ่งแค้นหนักขึ้น เมื่อรู้ว่าคณะกรรมการบริหารบริษัท ผู้ไม่เคยตัดสินใจอะไรถูกต้องเลย ได้ปลด เคย์ วิทมอร์ออก และแต่งตั้ง จอร์ช ฟิชเชอร์ (George Fisher)อดีต CEO จากโมโตโรล่า เข้าสวมตำแหน่งแทน ด้วยค่าตอบแทนที่แพงที่สุดเท่าที่CEO คนไหนเคยได้รับมาในประวัติศาสตร์ เมื่อ ฟิชเชอร์ ขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดแล้ว สิ่งที่เขาได้เร่งดำเนินการก็คือ ผ่าตัดองค์กรขนานใหญ่ ตัด ขายทิ้งกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักออกไป ได้แก่ธุรกิจเวชชภัณฑ์ของสเตอริ่งค์ ดรัก ธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภค บริโภคของ L&F เจ้าของแบรนด์น้ำยาทำความสะอาด Lysol เพื่อนำเงินมามุ่งพัฒนาธุรกิจฟิล์มและกล้องให้แข่งกับฟูจิ เสริมความแข็งแกร่งให้กับหน่วยงานต่างๆ สลายระบบการทำงานที่เชื่องช้า ไม่ทันการณ์ ขยายตลาดฟิล์มโกดักในญี่ปุ่นและภูมิภาคอื่นๆให้มากขึ้น เหตุการณ์ต่อมาก็คือสิ่งที่เรารับรู้ในปัจจุบัน โกดักเริ่มเยียวยา ฟื้นไข้ขี้นมาบ้าง ถึงทุกวันนี้ แม้พนักงานที่เคยถูกเลย์ออฟ จะได้รับกลับเข้าทำงานบ้างโดยมีลักษณะการจ้างงานเป็นสัญญา ทุกคนก็ยังอดพรั่นพึงถึงฝันร้ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ ไม่มีใครเรียกหาคุณพ่อโกดักอีกต่อไป :evil:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 7:57 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://www.kodakgirl.com/images/kgposter16.jpg ความจริง ถ้าพวกเขามีจมูกช่างดมกลิ่นแบบเจ้าหนูสนิฟกับเคอร์รี่สักนิด ไม่หลงระเริง กับชีวิตเลิศหรูจนเกินไป พวกเขาอาจจะสังเกตเห็นเงาของคุณพ่อโกดักเริ่มจาง และหดสั้นลงทุกทีๆ ไม่ได้แผ่อาณาจักรกว้างกระจายเหมือนแต่ก่อน เริ่มตั้งแต่ทิศทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน การลดขนาดของบริษัทลูก พร้อมการโยกย้ายสังกัดพนักงานระลอกแล้วระลอกเล่า ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน กอปรกับภาวะการแข่งขันที่มิอาจสู้กับคู่แข่งญี่ปุ่นคือฟูจิ ได้ ล้วนสร้างแรงกดดันให้กับผู้บริหารระดับสูงของโกดักหลายต่อหลายคน มาปะทุเอาเมื่อ เคย์ วิทมอร์(Kay Whitmore) ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO ในกลางปี ๑๙๙๐ ทว่าผู้บริหารระดับกลางและระดับล่างมิได้รับรู้ถึงแรงกดดันเหล่านี้เลย เพราะถูกปกปิดจากคณะกรรมการประการหนึ่ง และถึงรู้ก็ยังคงคิดว่าเป็นแค่ปัญหาชั่วครั้งชั่วคราวตามวัฏจักรธุรกิจขึ้นๆลงๆ ซึ่งชาวโกดักเคยฝ่าฟันมากันได้แล้วในหลายชั่วอายุคน ชาวโกดักยังดำเนินวิถีชีวิตตามปกติ มาทำงานตามเวลา กลับตามเวลา มีเวลาพักเที่ยงกินอาหารๆดีและย่อยถึงสองชั่วโมง มีปาร์ตี้งานเลี้ยงไม่เคยเลิกลา ความฝันแบบอเมริกันชน ยังอยู่ในมโนภาพของทุกคน ทว่าฝันร้ายของชาวโรเชสเตอร์เริ่มต้นขึ้น เมื่อมีการประกาศโปรแกรมสมัครใจออกของพนักงานด้วยค่าตอบแทนสูงลิ่ว เหมือนประกาศสถานะที่ยังแข็งแกร่งของบริษัท ชาวโกดักส่วนหนึ่งซึ่งมีอายุงานมากพอสมควร และเริ่มคิดถึงวัยเกษียณได้สนองโปรแกรมนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ส่งผลอะไรกับประสิทธิภาพของการทำงานของพนักงานที่เหลือ เพราะต่างคิดว่า คุณพ่อโกดัก ยังมีเงินเก็บเงินเก่าสะสมมากพอที่จะดำเนินธุรกิจ คุ้มครองความมั่งคงให้ชีวิตพวกเขาได้อีกนาน ความฝันของชาวโกดักเริ่มสั่นคลอน เมื่อมีการประกาศเลิกจ้างครั้งต่อมา ด้วยค่าชดเชยน้อยลงกว่าเดิม เมื่อมีการเลิกจ้างที่หนึ่งเกิดขึ้นได้ ครั้งที่สอง และครั้งที่สามก็ตามมาติดๆอย่างไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว ด้วยจำนวนพนักงานที่ถูกให้ออกทบเท่าทวีคูณ ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้าและครั้งที่เท่าไรไม่รู้จบก็กำลังจะไล่ตามมา ความฝันแบบอเมริกันชนสูญสลายลง ณ บัดนั้น แน่ละครับ ไม่มีใครเข้าใจหริอยอมรับว่าทำไม คุณพ่อที่แสนดีอย่างโกดักจึงกระทำกับลูกๆที่แสนจงรักภักดีอย่างพวกเขาได้ พวกเขาไม่ใช่แรงงานฝีมือกระจอกๆเหมือนพนักงานรุ่นแรกของโกดักเลย เป็นถึงวิศวกรระบบ ผู้จัดการแผนกสำคัญๆ ทั้งนั้น บางคนก็เคยเป็นพนักงานดีเด่นที่อุทิศทุ่มเทชีวิตและเวลาเพื่อโกดัก บางคนเพิ่งได้รับการโปรโมทมาหยกๆ และหลายคนเพิ่งจบการศึกษาระดับสูงด้วยเงินลงทุนของ คุณพ่อโกดัก จำนวนมหาศาล พวกเขามีนงง ฉงน ตะโกนร้องว่า คุณพ่อโกดักหายไปไหน ใครเอาพ่อของฉันไป :cry:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 7:49 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://www.kodakcollector.com/english%20kodak%20girl.jpg สำหรับชาวเมืองโรเชสเตอร์ Kodaks Moment มีความหมายยิ่งใหญ่เหนือกว่านั้น ชื่อโกดักไม่ได้แปลว่าฟิล์มหรืออุปกรณ์ถ่ายภาพ แต่เป็นชื่อของพ่ออุปถัมภ์ผู้ร่ำรวยและเมตตา ชาวเมืองโรเชสเตอร์ มองช่วงเวลาของโกดักคือความมั่นคง มั่นคั่งทุกลมหายใจเข้าออกของชีวิตทีเดียว เด็กเล็กที่เกิดมาในรัฐนี้จะถูกปลูกฝังสายเลือดของความเป็นโกดัก ดั่งพ่อบังเกิดเกล้าผู้จะคุ้มครองให้ความดูแลแต่เล็กจนเติบใหญ่และลาโลกในที่สุด ทุกคนเห็นสัญลักษณ์กล่องเหลืองทุกที่ทุกแห่งหนในเมือง ตั้งแต่อาคารร้านค้าชุมชน สนามเด็กเล่น ตึกเรียนในสถาบันการศึกษาต่างๆ หอประชุมกลางเมือง เวทีการแสดง สวนสาธารณะ ฯลฯ ทุกครอบครัวชาวโรเชสเตอร์จะต้องมีใครสักคนทำงานอยู่ที่โกดัก และเป็นที่กล่าวถึงอย่างภาคภูมิว่า ถ้าคุณไม่ได้ทำงานที่โกดัก แสดงว่าคุณยังไม่ได้ งานทำอย่างแท้จริง ( If you didnt work for Kodak, you didnt have a real job) ชาวโกดัก(Kodaker)ทุกคนอิ่มหมีพีมันกับเงินเดือนค่าตอบแทนที่ได้รับอย่างเหลือเฟือ ไม่นับโบนัสกลางปี ปลายปี เงินสงเคราะห์ เงินบำนาญสะสม เงินสวัสดิการอีกสารพัด ภายใต้ระบบพ่ออุปถัมภ์ดังกล่าวนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม ก็อยากจะทำงาน ณ ที่นี้ตลอดไป พร้อมๆกับสานความฝันตามแบบฉบับชาวอเมริกันผู้ร่ำรวย Americans Dream นั่นก็คือ ชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยบ้านหรูหรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รถสปอร์ตขับในเมืองและรถกึ่งแวนสำหรับขับพักผ่อน มีเงินและสินทรัพย์สุขสบายตลอดระยะเวลาจ้างงาน และเงินสะสมก้อนใหญ่หลังเกษียณ มีวันหยุดประจำปีทุกปี เป็นสมาชิกคันทรีคลับหรือสโมสร เพื่อพบปะสังสรรค์กับผู้คนในระดับเดียวกัน เป็นต้น นี่คือวิถีที่มั่นคงและเพียบพร้อมอย่างหาที่ติไม่ได้เลย ภายใต้ร่มเงาของคุณพ่อโกดัก และแล้ว วันหนึ่งคุณพ่อของพวกเขาก็ได้หายไป :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 7:46 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 2
http://brightbytes.com/collection/images/kodak_girl.jpg จากชีสฉันหายไปไหน ถึงพ่อฉันหายไปไหน ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ยังคงจำกันได้ถึงนิทานคติสอนใจ ใครเอาชีสของฉันไป หรือ Who Moved My Cheese? แต่งโดย Spencer Johnson, M.D. ซึ่งได้กูรูสรุปความย่อๆเล่าสู่กันฟังไปแล้ว แม้เนื้อหาจะดูเป็นเรื่องสมมติแต่แก่นของเรื่อง มาจากสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในโลกปัจจุบัน ทั้งมนุษย์จิ๋วอย่างเฮมกับฮอว์กับเจ้าหนูสนิฟกับสเคอร์รี่ ก็คือปุถุชนคนทำงานทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนนานัปการ ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนจะมีวิธีการเผชิญและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มาคราวนี้ กูรูจะสะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทั่วโลกรู้จักกันดี บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปกครองพนักงานด้วยระบบพ่ออุปถัมภ์ (Paternalistic) มั่นคง อบอุ่น มาตลอด นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถึงขนาดเหล่าพนักงานตั้งข้อกังขาและร้องถามหา พ่อฉันหายไปไหน ครับ บริษัทยักษ์นี้ก็คือ โกดัก(Kodak) หรือที่อเมริกันชนรู้จักกันดีในสัญญลักษณ์กล่องเหลือง (Yellow Box) จอร์ช อีสต์แมน (George Eastman) ถือกำเนิดบริษัท อีสต์แมน โกดัก เมื่อปี ค.ศ ๑๘๘๘ เมืองโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาเริ่มธุรกิจพัฒนาฟิล์มถ่ายภาพจากโรงเก็บของเล็กๆที่บ้าน ด้วยความขยันหมั่นเพียร อดทนและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้แก่อุปสรรค บริษัท อีสต์แมน โกดักได้เติบใหญ่และสร้างคุณูปการสารพัดแก่ชนชาติอเมริกัน จน"โกดัก" ได้กลายเป็นชื่อเรียกใช้ในครัวเรือน(Household Name)ไปโดยปริยาย ทุกบ้านเรือนจะต้องมีผลิตภัณฑ์ของบริษัทยักษ์กล่องเหลืองปรากฏ ณ มุมใดมุมหนึ่งตลอดเวลา เพิ่อเตรียมพร้อมนำออกมาใช้บันทึกภาพได้ไม่ติดขัด สมกับแคมเปญโฆษณาที่สร้างสรรค์มาต่อเนื่องหลายปี เมื่อใดที่คิดถึงห้วงขณะอันควรค่าแก่การจดจำ เมื่อนั้นคือเวลาของ โกดัก( Kodaks Moment) กล่าวกันว่าใครก็ตามที่มีจิตใจอ่อนไหวมากๆ ได้ดูหนังโฆษณาโกดักที่ไร อดน้ำตาซึมไม่ได้ เพราะเนื้อเรื่องของหนังแต่ละชุด จะถ่ายทอดถึงความประทับใจในห้วงขณะต่างๆของวิถีมนุษย์ อาจจะเป็นการตัดต้นสนคริสตมาสครั้งแรกของตัวคุณ การเป่าเค้กวันเกิดแกมเปื้อนไปหมด วันที่คุณจบการศึกษาพร้อมอนาคตอัน สดใส วันแต่งงาน เริ่มปักหลักชีวิตครอบครัว จนกระทั่งเกษียณอายุและเป็นคุณตา คุณยาย นั่งเล่าเรื่องราวในอดีตของตนผ่านภาพถ่ายจากฟิล์มโกดักซ้ำแล้วซ้ำอีก
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 7:43 pm
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย
อ้อ อีกนิดหนึ่ง ลืมแจ้งไป น้องๆหรือเพื่อนๆคนไหนต้องการจะเอาบทความที่เขียน ไปใช้ประกอบในการวิเคราะห์หรือเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับทำรายงาน ระหว่างเรียนหนังสือ กูรูยินดีเลย เพียงขอเครดิตต้นเรื่องให้ทางเวปเท่านั้น :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 11:30 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย
ขอบคุณสำหรับผู้ที่ติดตามอ่านทุกท่าน กำลังจะโพสตอนต่อไปเร็วๆนี้ :wink: อ้อ มีผู้ถามหลังไมค์ว่า ข้อเขียนของกูรูในห้องบทความกับนั่งเล่นจะต่างกันอย่างไร ขอตอบดังนี้ ในห้องบทความจะเป็นบทความวิชาการหรือกรณีศึกษาที่ผ่านมาระยะหนึ่ง จนมีบทสรุปที่ชัดเจน จะได้ไม่มีเรื่องฟ้องร้องภายหลัง มีข้อมูล ตัวเลข และข้อเท็จจริงสนับสนุน (อิงความรู้สึกส่วนตัวน้อยมาก) ส่วนนั่งเล่นเป็นเรื่องที่ใช้ประสบการณ์ตัวเองเป็นหลัก อาจจะเป็นเรื่องราวบทเรียนที่ทำจริง ร่วมจริงในอดีต ข้อเขียนจะเบาๆ ไร้สาระเล็กน้อย ใส่ความคิดเห็นตัวเองเยอะ เพราะฉะนั้นอ่านๆอาจจะมีอคติบ้าง ไม่ว่ากันนะ :lol: ส่วนห้องหุ้น (ไม่ค่อยได้โพสบ่อย) จะต่อยอดเรื่องราวของธุรกิจที่กล่าวถึงในปัจจุบัน ไม่เก่าจนเกินไปนัก :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ม.ค. 28, 2009 11:22 am
0
0
เล่าเรื่องสัมปทานมือถือ
เรื่องคลื่นความถี่ของ Digital Phone 1800 ไม่แน่ใจว่ามาจาก TAC หรือเปล่า แต่ตัวธุรกิจมาจาก "สามารถ" พ.ศ. 2540 (สามารถ) ก่อตั้งบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด ดำเนินธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ Digital PCN 1800 http://www.businessthai.co.th/content.php?data=411450_Technology-Digital สามารถ พัฒนาสินค้าตัวนี้ขึ้นมา เรียกกันภายในว่า พีซีเอ็น 1800 ต่อมา รีแบรนด์ดิ้งเป็น " Hello" ยังแซวกันเองในวงการเลยว่า สงสัยพูดได้แต่คำว่า เฮลโล เท่านั้น เพราะสัญญาณและเครือข่ายยังไปไม่ถึงไหน :lol: หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปีถัดมา Hello ขายให้ Advance เอามาทำเป็นแบรนด์รองในพอร์ทโฟลิโอ เจาะกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นศ.ที่ชอบพูดเยอะๆ ไม่ทราบว่าถูกพัฒนาเป็น พรีเพด หรือเปล่า ต้องขอให้ผู้รู้แจ้งมาไขความกระจ่างอีกที ตอนนั้นหลายแบรนด์ก็เจ็บตัวไปเยอะกับโทรศัพท์มือถือ หนึ่งในนั้นก็มี สหวิริยา ยี่ห้อ มาตรา (Matra) พวกเรา(ปากไม่ดี)แอบเรียกว่า "แม่มาตาม" เพราะหายตัวไปทันทีที่ออกสู่ตลาดไม่กี่เดือน :roll: ส่วนผู้ที่ถามหาว่า เพจเจอร์ หายไปไหน กำลังรวบรวมข้อมูลและความประสบการณ์ในความทรงจำสักพัก ค่อยถ่ายทอดให้ฟังแล้วกัน สนุก เร้าใจ ไม่แพ้มือถือ แน่ โฆษณาล่วงหน้าไว้ก่อนเด้อ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ม.ค. 20, 2009 12:51 pm
0
0
เล่าเรื่องสัมปทานมือถือ
(ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่...ไปสรรหาคนรุ่นใหม่ไฟแรงจากภาคเอกชนมาบริหาร...เจอกฏระเบียบราชการเข้า...หงายท้องกับเป็นแถว....ล้วนแต่ง้อยเปลี้ยเสียขา...ทำงานไม่เป็นทั้งนั้นเลย) ประมาณปี 2528 มีโอกาสทำงานร่วมกับ กสท. ซึ่งเพิ่งย้ายไปอยู่แถวหลักสี่ใหม่ๆ เข้าร่วมประชุมกับนักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง (ยังเป็นระดับผู้น้อยอยู่) รับผิดชอบเรื่องการส่งไปรษณีย์ด่วน เทเลกซ์ โทรเลข ( ไม่แน่ใจว่าในไทยหรือระหว่างประเทศด้วย) ประชุมกันหลายครั้ง รู้สึกถึงความแตกต่างต่าง โดดเด่นของบุรุษผู้นี้ ที่ไม่ค่อยเหมือนคนทำงานในองค์กรอุ้ยอ้ายนี้เลย เพราะมีการตัดสินใจที่ชัดเจน เร็วและทำจริง ผลงานตอนนั้นที่ประทับใจก็คือ การปลุกโทรเลขขึ้นมาให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้น ในวาระสำคัญ แทนที่จะเป็นโทรเลขตัวหนังสือส่งเรียงติดกันเป็นพรืด ก็ทำเป็นแพ็ทเทิร์นแปลกๆเสีย เช่น วาเลนไทน์ ก็ส่งตัวหนังสือในโทรเลขเป็นฟอร์มดอกกุหลาบ เป็นต้น เป็นการเพิ่มโอกาสและจำนวนผู้มาใช้บริการมากกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ทราบว่า บุรุษผู้นี้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตขึ้นตามลำดับ แล้ววันหนึ่งก็ถูกค่ายโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่ง (ตอนนั้นมีแค่ 2 ค่ายเอกชน) ซื้อตัวไป ทำงานเป็นใหญ่เป็นโตจนวันสุดท้ายก่อนจะขายหุ้นทั้งหมดไป นี่คือตัวอย่างของคนหนุ่มไฟแรงที่มีความสามารถในองค์กรรัฐวิสาหกิจ ทีถูกอุ้มไปอยู่ภาคเอกชนด้วยเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่า :roll: และไม่ใช่เป็นคนแรก เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ องค์กรจะเหลืออะไร :cry: คำตอบ เหลือเชื่อที่ยังอยู่ได้ :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ม.ค. 13, 2009 7:50 am
0
0
เล่าเรื่องสัมปทานมือถือ
ช่วงนายกอานันท์ จำได้ว่าประมูล FIX LINE ใหม่น่าครับ ทำให้เกิด Telecom ASIA และ TT&T น่าเป็นช่วงก่อนหน้านั้นครับ :) ตอนนั้น ยังเป็นชื่อ CPTelecom อยู่ การรื้อประมูล Fix Line เป็นเรื่องที่ฮือฮามาก เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการรื้อเจรจาต่อรองกันใหม่ ระหว่างผู้ให้(รัฐ/กระทรวงคมนาคม)และเอกชน (ซีพี เทเลคอม) คุยกันสองสามรอบถึงได้ข้อสรุปให้แยกสัมปทาน ส่วนที่เป็นในกท.ให้ ซีพีได้และต่างจังหวัดให้ ทีทีแอนด์ทีได้ คู่เจรจาขณะนั้นฝ่ายรัฐคือ นายกอานันท์ รมต.คมนาคมคือ นุกูล ประจวบเหมาะ(ฉายาติงลี่) และผู้ช่วยมือขวาจากแบ็งค์ชาติ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ฝ่ายเอกชน คือ คุณธานินทร์ โดยตัวเองเลย ดีลเจรจานี้มีการเก็บเอกสารสำหรับเป็นกรณีศึกษาไว้ด้วย :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ม.ค. 13, 2009 7:35 am
0
0
สัมมนาการตลาด ฟรี
ขอบคุณครับ :D แล้วคุณกูรูขอบสนามลงทะเบียนงานไหนล่ะครับ :wink: ขอดูบรรยากาศหน้างานก่อนนะคร้าบ เผลอๆอาจจะต้องแวบเข้าไปแต่ละเวที แล้วค่อยๆแวบออกมา จะได้ฟังครบทุกสัมมนา (และได้ของสมนาคุณครบ งกอะ :twisted: ) ก็จัดตรงกันเสียทุกอันเลยนี่นา
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ม.ค. 06, 2009 7:36 am
0
0
สัมมนาการตลาด ฟรี
หัวข้อสุดท้าย http://img33.picoodle.com/img/img33/3/1/5/f_GuerrilaMarm_9fb08f2.jpg เพือนๆผู้สนใจอาจจะจองชื่อลงทะเบียนไว้ตาม เบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ หรือถ้าไม่แน่ใจก็ลองๆไปเมียงๆมองๆดูในงานว่าพอที่นั่งว่างอยู่หรือเปล่า จริงๆ คงจะเหลือเยอะ เพราะเป็นศุกร์บ่ายวันทำงาน แล้วเจอกันเด้อ :lol:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ม.ค. 05, 2009 9:42 pm
0
0
สัมมนาการตลาด ฟรี
หัวข้อที่ 3 กลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ สร้างได้ด้วย Fan Club http://img33.picoodle.com/img/img33/3/1/5/f_MouthToMoutm_39ab3dd.jpg
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ม.ค. 05, 2009 6:56 pm
0
0
137 โพสต์
of 3
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
กูรูขอบสนาม
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มิ.ย. 08, 2007 8:29 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ ก.ค. 09, 2023 4:23 pm
โพสต์ทั้งหมด:
987 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.05% จากโพสทั้งหมด / 0.15 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว