หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Pallas
"As Above, So Below"
Joined: พฤหัสฯ. ก.ค. 05, 2007 4:22 pm
128
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Pallas
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: รบกวนแนะนำ App ของ Iphone เพื่อใช้ในการลงทุน
อ้อ แล้ว BA II Plus ก็เป็น apps ที่น่าสนใจมากครับ แต่ TI ตั้งราคาไว้แพงไปหน่อย จำไม่ผิด $15.99 ? ของ HP ก็มีราคาประมาณเดียวกันเลย ถ้าไม่มี financial calculator เลยซักอัน ลองดูประมาณชื่อ BA Financial Calculator Pro หรือพวก 10BII, 17BII ผมไม่เคยใช้เอง แต่จำได้ว่ามีพวกเลียนแบบราคาประมาณ $5 หลายตัว กดเครื่องคิดเลขง่ายกว่ากด excel เยอะครับ ผมใช้ 12C Platinum Financial Calculator ของ RLM Tools เป็น Complete Simulation of the HP-12C Platinum Calculator เหมือนกับของจริงมาก ดีกว่าด้วย เพราะเลือกหมุนแนวนอน หรือแนวตั้งก็ได้ ใช้บน iphone จนเลิกพกของจริงเลยครับ ราคาอยู่ที่ $5.99
โดย
Pallas
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 5:29 pm
0
0
Re: จัดเรียง หุ้นที่ รายได้จากการขาย ต่อ ทรัพย์สิน สูงๆ
โทษทีครับพี่ เพิ่งได้เข้ามาอ่านอีกทีวันนี้ เลยมาตอบช้าไปหน่อย ก่อนอื่นขอชี้แจงนิดนึงครับว่าสูตรที่ผมเสนอนั้น ไม่ใช่ว่าผมคิดเองนะครับ แต่ลอกมาจากหนังสือ The Little Book that Beats the Market ทั้งหมดเลย แต่ผมพยายามตีความจากหนังสือให้เข้าใจเท่านั้นเอง เรื่องแรก Earnings Yield นั้น ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือใช้ EBIT แทน Net Profit ก็เพราะต้องการเปรียบเทียบบริษัทที่มีระดับหนี้สินและอัตราภาษีต่างกันให้อยู่บนฐานเดียวกันได้ และส่วนที่สองคือ Enterprise Value นั้น ในหนังสือบอกว่า เขาใช้แทน Price of Equity เพราะว่ามูลค่าบริษัทนั้นรวมทั้งส่วนของผู้ถือหุ้นและ Debt Financing ด้วย ซึ่งบริษัทใช้เงินทุนจากทั้งสองทางมาสร้างกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งทำให้เราสามารถเปรียบเทียบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่มีระดับหนี้สินและอัตราภาษีแตกต่างกันได้เช่นกัน เขายกตัวอย่างว่า หากบริษัทระดมทุนสร้างอาคารมูลค่า 1,000,000 โดยใช้เงินกู้ 800,000 และส่วนผู้ถือหุ้น 200,000 โดยอาคารสามารถสร้าง EBIT = $100,000 ในกรณีนี้ Earnings Yield แบบของเขา จะได้ = 100,000/1,000,000 = 10% แต่หากใช้ Net Profit แล้ว (สมมติให้ดอกเบี้ยเงินกู้ 6% และอัตราภาษี 40%) Net Profit จะกลายเป็น $31,200 (EBIT 100,000- ดอกเบี้ย 48,000 - ภาษี 20,800 = Net Profit 31,200) ถ้าเราคิด ROA ก็จะได้ = 31,200/1,000,000 = 0.31% แต่ถ้าคิด ROE = 31,200/200,000 = 15.6% โจเอลยังยกตัวอย่างในรายละเอียดต่อว่า สมมติเราเปรียบเทียบบริษัท A กับ บริษัท B โดยมีข้อมูลดังนี้ บริษัท A บริษัท B รายได้ 100 100 EBIT 10 10 ดอกเบี้ยจ่าย 0 5 กำไรก่อนภาษี 10 5 ภาษี (@40%) 4 2 กำไรสุทธิ 6 3 Market Cap 60 10 ถามว่า หุ้นตัวไหนถูกกว่า? P/E 10 3.33 ถ้าเราใช้ P/E หุ้น B จะถูกกว่าหุ้น A แต่ถ้าเราใช้ Earnings Yield แบบ EBIT/EV เปรียบเทียบ พบว่า EBIT/EV ของหุ้น A = 10/(60+0) = 16.7% EBIT/EV ของหุ้น B = 10/(10+50) = 16.7% แปลว่า ทั้งสองบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานเหมือนกัน พูดง่ายๆก็คือ ไม่ว่าคุณจะเลือกจ่าย 60 เพื่อบริษัทที่ไม่มีหนี้เลย ก็มีค่าเท่ากับ จ่ายค่าหุ้น 10 เพื่อเป็นเจ้าของบริษัทที่ติดหนี้อีก 50 นั่นเอง เรื่อง Market Value of Equity ผมคิดว่า ก็เหมือนกับ Market Cap. นั่นล่ะครับ แต่ในหนังสือมีหมายเหตุเพิ่มเติมว่า ให้รวม มูลค่าหุ้นบุริมสิทธิด้วย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าในตลาดหุ้นมีหุ้นสักกี่ตัวที่มีหุ้นบุริมสิทธิ และมูลค่าตลาดของหุ้นบุริมสิทธิคิดอย่างไร ตอนนี้ผมจึงคิดว่า เท่ากับ Market Cap. จะสะดวกสุด สำหรับ Net Interest-bearing Debt นั้น เขาไม่ได้เขียนอธิบายไว้ว่าแปลว่าอะไร ผมเข้าใจว่า น่าจะหมายถึง หนี้สินทั้งหมดที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ทั้งเงินกู้ธนาคารและหุ้นกู้ที่บริษัทออก แต่ไม่แน่ใจเรื่องที่ว่า Net คืออะไร แต่อ่านที่พี่ครรชิตค้นมาและความเห็นประกอบของพี่แล้ว ผมเห็นด้วยกับพี่ครับ สำหรับตัววัดที่สอง คือ Return on Capital นั้น = EBIT / (Net Working Capital + Net Fixed Assets) Net Working Capital ผมเห็นด้วยกับพี่ ว่า = ลูกหนี้การค้า + สินค้าคงเหลือ - เจ้าหนี้การค้า (ไม่เอาเงินสดมาคำนวณด้วย) แต่ Net Fixed Asset ผมคิดว่า ไม่ควรเอาหนี้สินไม่หมุนเวียนมาหักออก เพราะคำว่า Net ตรงนี้ผมเข้าใจว่า หมายถึง การหักเอาค่าเสื่อมราคาสะสมออกเท่านั้น หมายความว่า สภาพสินทรัพย์ถาวรปัจจุบัน เช่น อาคาร สำนักงาน โรงงาน ฯลฯ ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ อันที่จริงผมคิดว่าหากหามูลค่าตลาดของสินทรัพย์ถาวรได้น่าจะดีที่สุด แต่ทำให้ยุ่งยากจนเกินกว่าจะเป็น Magic Formula จึงใช้แค่ การหักค่าเสื่อมออกให้ใกล้เคียงกับมูลค่าปัจจุบันที่สุดแทน ส่วนหนี้สินไม่หมุนเวียนนั้น ไม่น่าจะเกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวร เพราะหากนำมาหักออกไป ทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจจะต่ำเกินจริง และสินทรัพย์ถาวรนั้นก็ไม่ได้ funding ด้วยหนี้สินไม่หมุนเวียนอย่างเดียวแต่มี Equity เข้าไปผสมด้วย ผมคิดว่าคนละเรื่องกัน สรุปคือ ผมเห็นด้วยกับสูตรพี่ทุกอย่าง ยกเว้น Net Fixed Asset ที่ผมคิดว่า น่าจะเป็น สินทรัพย์ถาวร หักค่าเสื่อมราคาสะสม เท่านั้น (ไม่นำสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมาคำนวณด้วย) ถึงตรงนี้ ก็ต้องขอบคุณพี่ครรชิตมากที่ช่วยทำสูตรต่างๆเข้าไปในไฟล์ให้ มันสุดยอดจริงๆครับ :bow: :bow: :bow:
โดย
Pallas
ศุกร์ ม.ค. 28, 2011 5:47 pm
0
0
Re: จัดเรียง หุ้นที่ รายได้จากการขาย ต่อ ทรัพย์สิน สูงๆ
พี่ครรชิตครับ อยากถามว่า จะเป็นไปได้มั้ยครับที่ในไฟล์มหัศจรรย์ของพี่จะมีข้อมูล Return on Capital กับ Earnings Yield เพราะในหนังสือ Little book that beats the market นั้น ผู้เขียนเขาใช้ 2 ตัวนี้เป็นหลักครับ แต่หากเราหาไม่ได้ เขาก็เสนอให้ใช้ ROA กับ PE แทน ตอนนี้ในไฟล์ของพี่ใช้ PEAR ที่เป็นตัวผสมระหว่าง ROA กับ PE อยู่ แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากใช้ตัวเดียวกับผู้เขียนหนังสือไปเลย Earnings Yield = EBIT / Enterprise Value โดย Enterprise Value = Market Value of Equity + Net Interest-bearing Debt Return on Capital = EBIT / (Net Working Capital + Net Fixed Assets) โดย Net Working Capital = Receivables + Inventory - Payable (ไม่เอาเงินสดมาคำนวณด้วย) ถ้าทำได้ ไฟล์ของพี่ก็ยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นไปอีกเลยครับ แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณพี่มากนะครับ
โดย
Pallas
พุธ ม.ค. 26, 2011 6:04 pm
0
0
Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market
ตามหนังสือเรื่อง The little book that beat the market ครับ เค้าบอกว่าให้เลือกซื้อหุ้นตาม Rank PE+ROA (ROE) แล้วเมื่อครบปีให้ขายทิ้ง แล้วซื้อใหม่ตาม Rank ทีนี้ ถ้าเกิดตัวที่เราซื้อทีแรกเป็น Rank อันดับหนึ่ง แล้วพอครบหนึ่งปีเราจะขาย แต่ไอ้ตัวที่เราต้องขาย มันก็ยังเป็น Rank อันดับหนึ่งอยู่ แล้วเราต้องขายหรือถือไว้ครับ เพราะถ้าขาย แล้วซื้อกลับมามันก็น่าจะไม่สมเหตุสมผล หรือว่าให้ขายไป แล้วซื้อตัวอื่นที่ไม่ใช่ตัวที่เราขายครับ ไม่ทราบท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรครับ จริงๆถ้าเราจะพูดให้ตรงกับหนังสือแล้ว ในหนังสือให้ใช้ Earnings Yield กับ Return on Capital ครับ ไม่ใช่ PE กับ ROA โดย Earnings Yield = EBIT / Enterprise Value โดย Enterprise Value = มูลค่าตลาดของส่วนผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย สุทธิ เขาอธิบายไว้เหมือนกันว่า Earnings Yield เหมาะสมกว่า PE อย่างไร ประเด็นหลักอยู่ที่การตัดความบิดเบือนของอัตราภาษีและระดับหนี้สินออกไป รวมถึงเขาต้องการความสามารถในการทำกำไรจากเงินที่เราซื้อทั้งบริษัท (ทั้งส่วน equity ที่ราคาหุ้นปัจจุบัน บวกกับ เงินกู้ที่บริษัทกู้มาเพื่อทำธุรกิจ) ส่วน Return on Capital นั้น โจเอลเขาบอกว่า เท่ากับ EBIT / (Net Working Capital + Net Fixed Assets) ซึ่งก็ไม่ใช่ทั้ง ROA และ ROE อยู่ดี ในหนังสือก็อธิบายไว้เช่นกันว่าตัววัดนี้เหมาะสมกว่า ROA และ ROE อย่างไร ส่วนหนึ่งได้บอกว่า ใช้ EBIT แทนกำไรสุทธิ เพราะตัดการบิดเบือนกำไรจากการดำเนินงานจากความแตกต่างของอัตราภาษีและระดับหนี้สิน ส่วนที่ใช้ Net Working Capital + Net Fixed Assets ก็เพราะว่าต้องการนำมาเฉพาะทุนที่บริษัทใช้ทำธุรกิจจริงๆ ไม่รวมพวกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายของหนังสือ เขาบอกว่า หากไม่สามารถหาอัตราส่วนดังกล่าว ก็อาจะใช้ PE กับ ROA แทนก็พอได้ครับ (แต่นั่นก็หมายความว่าความบิดเบือนจากอัตราภาษี, ระดับหนี้สิน, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ฯลฯ ก็ยังไม่ถูกตัดออกไปครับ) อีกเรื่องหนึ่ง Joel ให้ความสำคัญของการกรองหุ้นตัวเล็กออกไป โดยการกำหนด Market Cap ขั้นต่ำด้วยนะครับ เพราะลดปัญหาเรื่องสภาพคล่องของหุ้น สำหรับวิธีขายนั้น เขาแนะนำให้ใช้กฎขายเมื่อครบ 1 ปี โดยถ้าหุ้นขาดทุน ให้ขายก่อนครบ 1 ปีเล็กน้อย ส่วนถ้าหุ้นกำไร ก็ให้ขายหลังครบ 1ปีเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้คงเป็นคำแนะนำสำหรับในสหรัฐฯ เพราะเขามีภาษีบน capital gain สำหรับบ้านเราคงไม่ต้องก่อนหรือหลังเพราะไม่มีภาษี Capital Gain แต่คงใช้กรอบเวลา 1 ปีตามทฤษฎีของเขา คราวนี้ กลับมาที่คำถามว่า ถ้าครบ 1 ปี หุ้นตัวเดิมก็ยังอยู่ใน Top List ที่จะซื้อ จะทำอย่างไร? หลักสำคัญของ Magic Formula คือ ตัดความยุ่งยากไปให้หมด เข้าใจว่า Joel เคยบรรยายไว้ว่า "I call it the Not-Trying-Very-Hard Model. My mantra is to keept things simple." หรือทำนองว่า "ผมเรียกวิธีนี้ว่าโมเดล "อย่าพยายามให้มากนัก" เวทย์มนตร์ของผมคือทำให้ง่ายเข้าไว้" ดังนั้น ก็ไม่ต้องไปคิดว่า เขาป้องกันเรื่องหุ้นถูกเรื้อรัง ให้เราทำตามระบบไปเลย แต่ถ้าหากเสียดายค่า comm. เพราะต้องขายแล้วซื้อหุ้นตัวเดิมกลับมา ก็อาจจะคำนวณดูว่า สุทธิแล้วต้องซื้อเพิ่มหรือขายออกเท่าไร แล้วซื้อหรือขายเฉพาะส่วนต่าง ไม่ต้องขายไปทั้งหมด แล้วซื้อกลับเข้ามาใหม่ก็ได้ ทั้งหมดนี้ ผมตอบตามสิ่งที่อ่านจากหนังสือนะครับ ในโลกความเป็นจริง ใครจะไปประยุกต์ใช้สูตรอะไรก็ได้ เพราะต่างคนก็ต่างความเห็น และเป็นเงินของใครของมันด้วย
โดย
Pallas
จันทร์ ม.ค. 24, 2011 3:53 pm
0
0
ช่อง 3 ถูกเผา นี่กระทบ BEC หรือเปล่า หรือว่า MCOT
สอบถามดีเจเวอร์จิ้นที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาบอกว่าพังเฉพาะชั้น 1 โครงสร้างไม่น่ากระทบ ที่มาเป็นหน่วยจู่โจมเคลื่อนที่ มอเตอร์ไซค์หลายสิบ
โดย
Pallas
พุธ พ.ค. 19, 2010 7:43 pm
0
0
ถามเรื่อง โอนหุ้้นให้ลูก
ถามอีกนิดครับ แล้วเค้าใช้อะไรตัดสินครับว่าไม่ได้ตั้งใจจะให้จริง จะได้ระวังไว้ แหะๆ เรื่องตั้งใจจะให้จริงหรือไม่ ดูง่ายๆจาก เงินปันผล ครับ ถ้าลูกได้รับเงินปันผล แล้วโอนเงินนั้นให้พ่อแม่ทันทีทั้งจำนวน ก็ส่อเจตนาว่า เจ้าของหุ้นจริงๆไม่ใช่ลูก แต่เป็นพ่อแม่ต่างหาก วิธีตรวจสอบอื่นก็คงมีอีก หากจะระวัง ก็ขอให้เริ่มจากเจตนาที่จะโอนให้ลูกจริงๆ ไม่ใช่ไปฝากเอาไว้ในชื่อลูก หมายความว่า สิทธิในการซื้อ ขาย รับเงินปันผล หรือโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ก็เป็นสิทธิของลูกที่เป็นเจ้าของหุ้น ไม่ใช่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของพ่อแม่เหมือนเดิม กรณีของอดีตนายกฯ มีรายละเอียดเยอะมากครับ มีทั้งยกให้ และขายให้ โยกไปโยกมาในเครือญาติ มีโอนไปที่แอมเพิลริช, วินมาร์ค, บลูไดมอนด์ พอเล่นแร่แปรธาตุมากขนาดนี้ย่อมมีร่องรอยให้ตามไม่ยากเลยครับ (ถ้ามีคนกล้าตามรอย) ที่สำคัญ กรณียึดทรัพย์อดีตนายกฯที่ศาลเพิ่งตัดสินไป ประเด็นอยู่ที่การได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยใช้อำนาจที่มิชอบ นะครับ ไม่ใช่เรื่องภาษีขายหุ้น (ภาษีเป็นคดีอื่น) ดังนั้น การวินิจฉัยเรื่องซุกหุ้นจะส่งผลกับ conflict of interest ที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ (ห้ามตั้งแต่ รธน. 2540 แล้วครับ) ใครสนใจเรื่องภาษี ควรไปศึกษาคดีที่ศาลอาญาตัดสินให้คุณหญิงพจมานและคุณบรรณพจน์ผิดในคดีภาษีเมื่อปี 2551 น่าจะตรงกว่า
โดย
Pallas
พุธ มี.ค. 03, 2010 12:00 am
0
0
ถามเรื่อง โอนหุ้้นให้ลูก
ผมว่าก็ควรจะให้บรรลุนิติภาวะก่อนนะครับ เพราะถ้าต่ำกว่านั้น เมื่อบุตรถือหุ้นมีเงินได้จากเงินปันผล หากมากกว่า 15,000 บาทต่อปี พ่อแม่จะหักค่าลดหย่อนบุตรไม่ได้แล้วนะครับ อีกอย่างบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การทำนิติกรรมก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากบิดามารดา ดังนั้น ในที่สุดผมคิดว่า ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ถือหุ้นอยู่ดีครับ อ้อ ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่นักกฎหมายนะครับ เป็นเพียงความเห็นของผู้สนใจเท่านั้น หากจะทำจริงและยอดเงินสูง แนะนำให้ปรึกษากับนักกฎหมายภาษีก่อนครับ
โดย
Pallas
อังคาร มี.ค. 02, 2010 5:04 pm
0
0
พรูเดนเชียล ซื้อ AIA ล้านล้านบาท ที่ฮ่องกง
เท่าที่ผมทราบ AIA ประเทศไทย มีฐานะเป็น สาขา ของ AIA ที่ฮ่องกง เมื่อ Prudential ซื้อ AIA ฮ่องกง ก็ย่อมได้ไทยไปด้วยครับ เรื่องชื่อนั้น AIA ในเอเชียได้รีแบรนด์เป็น AIA โดยไม่ถือว่าเป็นคำย่อแล้ว ลองสังเกตโลโก้ของ AIA ดู จะพบว่า ต่างจากอันเก่าเล็กน้อย เมื่อไม่เป็นคำย่อ ความหมายที่เขาต้องการสื่อคือ ไม่เกี่ยวอะไรกับ AIG และ American แล้ว แต่เป็น AIA เลย อันนี้ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วครับ เพราะเขาก็แต่งตัวรอ IPO อยู่เหมือนกัน หลังจากนี้ Prudential จะตัดสินใจ IPO หรือเปล่า ก็คงต้องดูต่อ แต่ดูท่าทางว่า IPO จะช่วยเรื่องสภาพคล่องของ Prudential มากครับ และเป็น IPO ขนาดยักษ์ของโลกเลยทีเดียว ส่วนเรื่อง Brand ผมว่า Prudential ไม่น่าเปลี่ยนชื่อ AIA นะครับ อุตส่าห์ซื้อมาตั้งแพง แบรนด์ AIA ก็ยังขายได้อยู่ ดีกว่า Prudential แน่ๆ
โดย
Pallas
อังคาร มี.ค. 02, 2010 4:56 pm
0
0
ถามเรื่อง โอนหุ้้นให้ลูก
ตามความเข้าใจของผม ถ้าโอนหุ้นให้คนอื่น ในทางภาษีจะถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้รับ อย่างไรก็ตาม กรณีโอนให้ลูก สามารถยกเว้นภาษีได้ โดยบอกว่า เป็นเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี (ม.42 ในประมวลรัษฎากร)ครับ อย่างไรก็ตาม กรณีของอดีตนายกฯนั้น ปัญหาคือ ไม่ได้เป็นการโอนกันจริงๆ แต่เป็นการอำพรางนิติกรรม โดยผู้ถือหุ้นตัวจริงยังคงเป็นอดีตนายกฯกับภรรยา รายละเอียดสามารถอ่านได้จากคำฟ้องของอัยการ และคำพิพากษาของศาล เพราะขั้นตอนที่ทำมีพิรุธชัดเจน ไม่งั้นคงไม่มีมติของศาลในเรื่องนี้ออกมาเป็นเอกฉันท์หรอกครับ พิรุธเช่น การจ่ายเช็คคืนหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีการจ่ายเท่ากับปันผลที่ได้รับ แต่เกินยอดหนี้ เลยขีดฆ่าแก้ไขเป็นตัวเลขไม่เกินยอดหนี้, หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทำขึ้น เขียนชื่อเจ้าหนี้เป็นคุณหญิงพจมาน แต่ ณ วันที่บนตั๋ว ยังไม่ได้เป็นคุณหญิงเลย (ส่อพิรุธว่าจัดทำขึ้นภายหลัง) ฯลฯ กรณีของคุณ suirya หากจะโอนให้ลูกสาวจริงๆแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากโอนเพียงเพื่อเลี่ยงภาษีตนเอง ในอนาคตอาจเกิดปัญหาได้ การโอนไม่จริง สามารถดูได้จากหลายวิธี วิธีหนึ่งคือดูว่า เงินปันผลเข้าบัญชีใคร หากเงินปันผลเข้ามา 100,000 บาท แล้วลูกสาวก็โอนเงินมาให้พ่อเลย 100,000 บาททันที ก็น่าสงสัยว่าเป็นการถือหุ้นแทนพ่อ มากกว่าการโอนเงินจริงๆ ความเห็นของผมคือ ถ้าต้องการโอนหุ้นให้ลูกสาวจริงๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ โอนได้เลย จะได้เป็นโอกาสที่สอนให้ลูกเรียนรู้เรื่องการลงทุนด้วย แต่อย่าทำด้วยเหตุผลการเลี่ยงภาษีด้วยการถือหุ้นแทนเลยครับ
โดย
Pallas
อังคาร มี.ค. 02, 2010 4:31 pm
0
0
เศรษฐศาสตร์กับพระพุทธศาสนาสอนเรื่องเดียวกัน?
ลองดู สารบัญ ของหนังสือก็ได้ครับ ว่าน่าสนใจอย่างไร ข้อคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ข้อจำกัดของเศรษฐศาสตร์แห่งยุคอุตสาหกรรม ๑. การแยกตัวโดดเดี่ยวเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ๒. ไม่เป็นอิสระจากจริยธรรม แต่ไม่ใส่ใจจริยธรรม ๓. อยากเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ไม่อาจและไม่น่าจะเป็น ๔. ขาดความชัดเจนเกี่ยวกับความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ก. ความต้องการ ข. การบริโภค ค. งาน และการทำงาน ง. การแข่งขัน-การร่วมมือ จ. สันโดษ-ค่านิยมบริโภค ฉ. การผลิต ลักษณะสำคัญของเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ๑. เศรษฐศาสตร์มัชฌิมา: การได้คุณภาพชีวิต ๒. เศรษฐศาสตร์มัชฌิมา: ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สรุป บทพิเศษ หลักการทั่วไปบางประการ ของ เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ๑. การบริโภคด้วยปัญญา ๒. ไม่เบียดเบียนตน-ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๓. เศรษฐกิจเป็นปัจจัย ๔. สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ๕. บูรณาการในระบบสัมพันธ์ของธรรมชาติ
โดย
Pallas
อังคาร ต.ค. 20, 2009 3:17 pm
0
0
เศรษฐศาสตร์กับพระพุทธศาสนาสอนเรื่องเดียวกัน?
ลองหาเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ของเจ้าคุณประยุตต์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อ่านดูสิครับ น่าจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับกระทู้นี้ได้
โดย
Pallas
อังคาร ต.ค. 20, 2009 3:08 pm
0
0
ถามความเห็น เรื่อง สโมสรฟุตบอลเข้าตลาด ครับ
Match ที่ เมืองทอง อัดกับชลบุรี เก็บค่าตั๋วได้ 800000+ ขายของที่ระลึกได้ 800000+ ครับ คนเยอะมากๆ นั่นเป็นแมตช์ใหญ่ครับ ไม่ได้เป็นทุกแมตช์ แต่เหมือนที่บอกไว้ครับ ว่าถ้ากระแสไม่ตก และแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าสนใจครับ
โดย
Pallas
อังคาร ต.ค. 13, 2009 10:43 pm
0
0
ถามความเห็น เรื่อง สโมสรฟุตบอลเข้าตลาด ครับ
ปัจจุบัน ทุกทีมยังไม่มีใครมีกำไรจริงๆหรอกครับ รายได้หลักของทีมบอลมาจากสปอนเซอร์ แต่กำลังสร้างรายได้ตัวใหม่ๆจากค่าตั๋ว และค่า merchandize ทำทีมบอลปีนึงมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20-30 ล้านบาท รายได้ค่าตั๋ว คนละ 50 บาท เต็มที่มีคนดู 5,000 คน ก็ได้ 250,000 บาทต่อแมตช์ ปีนึงแข่งในบ้าน 15 แมตช์ ได้มา 3.75 ล้านบาท ค่า merchandize ตีว่า แมตช์ละ 200,000 ได้ตลอดปี 3 MB รวม 2 ตัวนี้ ก็ 6.75 MB ยังขาดทุนอยู่ 13-23 MB ต้องอาศัยสปอนเซอร์มาโปะครับ ถ้าได้แชมป์พรีเมียร์ ได้เงิน 10 MB ส่วนใหญ่จะหักเข้าสโมสร 5 MB อีก 5MB เป็นโบนัสให้นักเตะกับสตาฟฟ์ แต่ถ้าได้ที่ 2 รางวัลจะเหลือ 2 MB เองครับ อย่างไรก็ตาม ถ้ากระแสดูบอลที่สนาม รวมถึงดูบอลถ่ายทอดสด ไม่ตก และยังแรงอีก 2-3 ปี ธุรกิจนี้จะมีอนาคตเลยทีเดียว เพราะสปอนเซอร์ก็จะเริ่มสนใจมากขึ้น อาจจ่ายกันหลายสิบล้านต่อปีก็ได้ ยังไงก็เอาใจช่วยให้ธุรกิจนี้เกิดครับ เยาวชนจะได้สนใจกีฬามากขึ้น ทีมไทยจะได้มีหวังไปบอลโลกจริงๆเสียที
โดย
Pallas
อังคาร ต.ค. 13, 2009 5:20 pm
0
0
มีบริษัทไหนจะได้อานิสงค์จากบอลโลกปีหน้ามั๊ยครับ
RS ได้สัญญาลิขสิทธิ์บอลโลก (ครอบคลุมทั้งบอลโลก บอลยูโร บอลเยาวชน บอลหญิง ฯลฯ) มาในราคาที่แพงมาก ทำให้ขาดทุนเยอะ ลองไปดูตอนบอลยูโรปีที่แล้วก็ได้ครับ จะเห็นว่าขาดทุนไปเยอะทีเดียว ส่วนช่วงนี้ ถ้าเล่นข่าวก็คงเล่นเรื่องถ่ายทอดซีเกมส์ลาวครับ
โดย
Pallas
จันทร์ ก.ย. 28, 2009 5:49 pm
0
0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
Esplanade ไม่ใช่ของ Major หรือครับ? Esplanade เป็นของ Siam Future ครับ โดย Major เป็นผู้ถือหุ้นของ Siam Future อีกที ส่วนแบรนด์ Esplanade Cineplex คือชื่อโรงภาพยนตร์ที่เปิดใน Esplanade ไม่ใช่ตัว Esplanade ครับ เหมือนกับ Paragon Cineplex ที่หมายถึงโรงหนังในสยามพารากอน แต่ตัวสยามพารากอนเองก็เป็นของกลุ่มสยามพิวรรธ์ กับเดอะมอลล์
โดย
Pallas
ศุกร์ มิ.ย. 26, 2009 2:40 pm
0
0
roe กับ pe ต่อเนื่องจากกระทู้ LH มีอะไรดีกว่าตัวอื่น
ขออนุญาตร่วมแจมด้วยนะครับ ถ้าเราวิเคราะห์สิ่งที่คุณ hong ตั้งประเด็นมาโดยใช้ Gordon growth model มูลค่ากิจการ (Share Price) = D (1+g) / (r-g) นำมาหา Justified trailing P/E = D (1+g) / (r-g) / E ให้ b = retention ratio = (Earning - D) / E = 1- (D/E) เพราะฉะนั้น D/E = 1- b แทนค่ากลับเข้าไปจะได้ P/E = (1-b) (1+g) / (r-g) ....(Equation 1) หาก growth สูง จะได้ P/E ที่เหมาะสมสูงตามไปด้วย กลับมาที่ growth (g) Sustainable Growth หาได้จาก เอากำไรส่วนที่เก็บไว้หลังจ่ายปันผล (retention) ไปลงทุนต่อได้ผลตอบแทนตามสัดส่วน ROE (Return on Equity) ดังนั้น g = b * ROE หากเรานำ Du Pont Ratio มาแทนค่า ROE จะได้ g = b * (Net Income/Sales) * (Sales/Total Assets) * (Total Assets/Equity) ...(Equation 2) แปลว่า Growth เป็นผลมาจาก Retention Ratio, Net Profit Margin, Asset Turnover, และ Financial Leverage ตอนนี้เราได้ 2 สมการที่จะมาพิจารณาประเด็นของคุณ Hong ต่อ ข้อ 1. ความเสี่ยงธุรกิจ ข้อนี้ผมไม่แน่ใจว่า หมายถึงความเสี่ยงอะไร เช่นความเสี่ยงจากการกู้เงินมาก (Financial Leverage), ความเสี่ยงจาก operation (มี fixed cost สูง) ฯลฯ จึงขอข้ามไปก่อน ข้อ 2. การให้เครดิตลูกค้าน้อยๆ น่าจะแปลว่า Asset Turnover สูงขึ้น ทำให้ growth สูงขึ้น ส่งผลให้ Justified P/E สูงไปด้วย ข้อ 3. รับเครดิตเจ้าหนี้ยาวๆ => Asset Turnover สูงขึ้น => Growth สูงขึ้น => Just. P/E สูงด้วย ข้อ 4. ขายสินค้าเร็ว สินค้าคงคลังต่ำ => Asset Turnover สูงขึ้น => Growth สูงขึ้น => Just. P/E สูงด้วย ข้อ 5. ลงทุนจำนวนไม่มากในการขยายกิจการ แปลว่า ROE สูง => Growth สูงขึ้น => Just. P/E สูงด้วย ข้อ 6. มีการเติบโตสูง อันนี้ตามสมการ 1 อยู่แล้ว g สูง ทำให้ Just.P/E สูงด้วย ข้อ 7. มีหนี้น้อย => Financial Leverage ต่ำ => Asset/Equity ต่ำ => Growth ต่ำ => Just. P/E ต่ำ (ตรงนี้ต่างกับที่คุณ Hong บอก อยากแลกเปลี่ยนความเห็นเหมือนกันครับ) ข้อ 8. ดอกเบี้ยต่ำ => Profit Margin สูง => Growth สูงขึ้น => Just. P/E สูงด้วย ไม่รู้ว่าท่านอื่นมีความเห็นอย่างไรบ้างกับการวิเคราะห์แนวนี้ครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 18, 2009 11:56 am
0
0
โอกาส arbritage มาอีกแล้วหุ้น SCAN
ทำไมเดวาไม่ซื้อ scan ทั้งหมด ในตลาดเลย ที่ราคา 6.x บาทแล้วก็ทำเรื่องบอก กลต หรือ ถ้าซื้อได้ไม่หมด ก็อาจซื้อไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ก็ได้ ก็เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ scan คงไม่ยอมขายที่ราคาปัจจุบันครับ และ % free float ทั้งหมดอยู่ที่ 39.43% เท่านั้น กว้านซื้ออย่างไรก็ไม่พอที่จะทำ backdoor listing ครับ
โดย
Pallas
อังคาร พ.ค. 05, 2009 10:31 pm
0
0
ทำไมคนอื่นมอง TTA เป็นหุ้นเก็งกำไร แต่ผมกลับมองเป็น VI
ทั้งน้ำมันปาล์มกับยางรถยนต์ ก็เป็นหุ้นโภคภัณฑ์ทั้งหมดครับ สำหรับเรื่อง TTA จะเป็นหุ้น Value หรือเปล่า ต้องมองไปในอนาคตครับว่า ปีนี้และปีต่อไป กำไร, ROE, เงินปันผล มีทิศทางอย่างไร ไม่ใช่ใช้ตัวเลขในอดีตมาเป็นตัวตัดสินใจ
โดย
Pallas
พุธ เม.ย. 22, 2009 4:08 pm
0
0
คำแนะนำของบัฟเฟตต์สำหรับปีนี้
กำลังจะสอบอีกครั้งครับ :roll: มีอะไร pm กันก็ได้ครับ :)
โดย
Pallas
พุธ เม.ย. 22, 2009 4:04 pm
0
0
คำแนะนำของบัฟเฟตต์สำหรับปีนี้
ในตำรา CFA Level 2 เรื่อง Portfolio Management ได้กล่าวถึงบัฟเฟตต์กับการกระจายความเสี่ยงไว้เหมือนกันครับ ผมเคยสรุปไว้ใน blog ของผม ลองไปอ่านตาม link นี้ก็ได้ครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pallas&month=04-2008&date=21&group=5&gblog=1 โดยสรุปคือ แม้ว่า บัฟเฟตต์จะไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่และการกระจายความเสี่ยง แต่พอร์ตฯของเบิร์กไชร์ฯ ก็มีการกระจายความเสี่ยงอย่างยอดเยี่ยม เพราะผลตอบแทนของพอร์ตเท่ากับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัว แต่ความเสี่ยงโดยรวมกลับลดลง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าบัฟเฟตต์ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการกระจายความเสี่ยงไปทั้งหมดหรอกครับ แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นหลายๆตัว (ตามทฤษฎีคือ 30 ตัว) เพื่อกำจัด unsystematic risk ให้หมดไปต่างหาก เพราะแนวทางที่ควรจะเป็นคือ การเฟ้นหาหุ้นดีๆที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วลงทุน โดยไม่ต้องพยายามไปถือหุ้นให้มากๆเพื่อกระจายความเสี่ยงครับ
โดย
Pallas
พุธ เม.ย. 22, 2009 11:52 am
0
0
คำแนะนำของบัฟเฟตต์สำหรับปีนี้
บัฟเฟตต์เป็นฝ่ายตรงข้ามของทฤษฎีกระจายความเสี่ยง หรือทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ ที่มาจากงานของ Markowitz ครับ ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นปี 1993 บัฟเฟตต์เคยเขียนไว้ว่า "กลยุทธ์ที่เราใช้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับการกระจายความเสี่ยงแบบมาตรฐาน ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงสรุปว่า กลยุทธ์ของเรามีความเสี่ยงสูงกว่ากลยุทธ์ที่นักลงทุนทั่วไปใช้ เราไม่เห็นด้วย เราเชื่อว่า นโยบายการจัดพอร์ตโฟลิโอแบบมุ่งเน้นอาจจะช่วยลดความเสี่ยง หากมันไปทำให้นักลงทุนวิเคราะห์และพิจารณาคุณลักษณะของธุรกิจอย่างหนักก่อนการเข้าไปซื้อหุ้น" และในปี 1996 บัฟเฟตต์ก็เคยบอกว่า "การกระจายความเสี่ยงเป็นการป้องกันเนื่องจากขาดความใส่ใจ ถ้าคุณต้องการมั่นใจว่าไม่มีสิ่งร้ายๆเกิดขึ้นกับคุณเมื่อเทียบกับตลาด คุณควรทำอย่างนั้น ไม่มีอะไรผิด มันเป็นวิธีการที่ดูเหมาะสมที่สุดสำหรับบางคนผู้ซึ่งไม่ทราบวิธีการวิเคราะห์ธุรกิจ" มีเรื่องเล่าในหมู่นักลงทุน VI (เข้าใจว่าคนเขียนคือมาร์ค ทเวน นักเขียนชื่อดัง) ว่า คนโง่พูดว่า "อย่าใส่ไข่ทุกฟองของเจ้าเอาไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียว" หรือ "ให้กระจายเงินและความสนใจของเจ้า" แต่คนฉลาดพูดว่า "ใส่ไข่ทุกฟองของเจ้าไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียวแล้วจับตาดูตะกร้าใบนั้นไว้!" ปล.คำพูดที่ยกมา ส่วนใหญ่ผมนำมาจากสำนวนแปลของคุณ web ในหนังสือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ครับ
โดย
Pallas
พุธ เม.ย. 22, 2009 1:00 am
0
0
โอกาส arbritage มาอีกแล้วหุ้น SCAN
ใน annual report ของ Berkshire Hathaway ปี 1988 บัฟเฟตต์บอกว่า การประเมินความเสี่ยงของโอกาส arbitrage จะต้องตอบคำถาม 4 ข้อ ดังนี้ (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ กลัวเก็บเนื้อหาไม่ครบ) 1) How likely is it that the promised event will indeed occur? 2) How long will your money be tied up? 3) What chance is there that something better will transpire - a competing takeover, bide, for example? 4) What will happen if the event does not take place because of antitrust action, financing glitches, etc.?
โดย
Pallas
ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 6:09 pm
0
0
โอกาส arbritage มาอีกแล้วหุ้น SCAN
การจ่ายปันผลจะจ่ายได้เฉพาะจากกำไรเท่านั้นครับ จ่ายจากทุนไม่ได้ จากงบสิ้นปี 51 SCAN มีกำไรสะสมยังไม่จัดสรรอยู่ 106 ลบ. หรือ 1.77 บาท/หุ้น ดังนั้นจ่ายปันผลสูงสุดได้เพียง 1.77 บาทต่อหุ้นเท่านั้นครับ ผมเข้าใจว่าดีลนี้คือ Backdoor Listing เพราะคุณปิ่นมุกและคุณชานนท์สามารถทำให้ธุรกิจของเดวาเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาดำเนินการตามปกติ โดยเฉพาะภายใต้ภาวะตลาดอย่างนี้ ผมคิดว่า หลังจากดีลนี้จบลง จะมีการเปลี่ยนชื่อ SCAN เป็น DEVA และเปลี่ยนธุรกิจจากเดิมเป็นอสังหาฯ สุดท้ายก็ไม่มีชื่อ SCAN อีกต่อไปครับ
โดย
Pallas
ศุกร์ เม.ย. 10, 2009 5:53 pm
0
0
สถาบันการเงินต่อไปที่จะสร้างปัญหา
by the way ถ้าจำไม่ผิด AIG ลงทุนใน TMB หรือเปล่าหนอ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TMB คือ ING ครับ
โดย
Pallas
พุธ ก.ย. 17, 2008 5:42 pm
0
0
ถามเกี่ยวกับ CFA ครับ
เนื้อหาใน schweser เป็นการย่อความลงมา โดยใช้ LOS เป็นตัวตั้งครับ เหมาะกับการอ่านเตรียมสอบที่มีเวลาน้อย ส่วนของ CFA Institute เป็นตำราเรียน เนื้อหาบางส่วนไม่จำเป็นต้องอ่านเพื่อสอบ (เฉพาะที่ระบุว่าเป็น optional) แต่ก็น่าอ่านครับ Case Study ที่ยกมาก็เป็นเรื่องในโลกการเงินจริงๆ อ่านแล้วได้ความรู้มาก (ผมได้ความรู้เกี่ยวกับ CDO จากตำรา CFA มากครับ) แต่หากเหลือเวลาอ่านไม่มาก ก็คงต้องเลือกอ่าน Schweser กับทำข้อสอบก่อนล่ะครับ
โดย
Pallas
พุธ ก.ค. 30, 2008 5:44 pm
0
0
ถามเกี่ยวกับ CFA ครับ
มายืนยันความเห็นของคุณ mindtrick ครับว่า ตำราของ CFA ดีมากเลยครับ (หมายถึงฉบับของ CFA Institute ไม่ใช่ฉบับย่อที่ใช้ติวกันนะครับ) ตอนแรกผมคิดว่า เรียน MBA มา คงเคยอ่านเรื่องพวกนี้มาหมดแล้ว แต่พอมาอ่านจริง กลับพบว่า ตัวเองเป็นกบในกะลาเลย ทำให้เข้าใจว่า CFA มาจาก Practitioner ต่างกับตำราในมหาวิทยาลัยอย่างไร
โดย
Pallas
อังคาร ก.ค. 29, 2008 8:50 am
0
0
รบกวนอยากทราบ ข้อด้อยของ IRR ครับ
มีหลายเหตุผลครับ เช่น - บางโครงการมี Multiple IRR คือมีหลายค่า เพราะมีการ reinvest ในปีหลังๆ, - ถ้ามีเงินลงทุนจำกัด แล้วต้อง prioritize โครงการ ควร prioritize ตาม NPV เพราะ IRR ไม่ได้บอกขนาดของผลตอบแทน บอกแต่ % Return
โดย
Pallas
จันทร์ ก.ค. 28, 2008 6:33 pm
0
0
ถามเกี่ยวกับ CFA ครับ
ถ้าจำไม่ผิด มีพูดถึงวิเคราะห์เทคนิคในเรื่อง Portfolio Management ว่าด้วย Market Efficency เพราะถ้ามีแบบ Weak Form กลยุทธ์ที่ใช้ technical จะต้องไม่สร้างผลตอบแทนเหนือตลาดอย่างสม่ำเสมอครับ จึงมีงานวิจัยมา support สมมติฐานข้อนี้
โดย
Pallas
จันทร์ ก.ค. 28, 2008 4:49 pm
0
0
ถามเกี่ยวกับ CFA ครับ
ขอตอบเท่าที่ทราบนะครับ เพราะเพิ่งสอบไปเพียง Level 2เท่านั้น มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่บ้างเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ละเอียดมาก จิตวิทยาการลงทุน ยังไม่เจอครับ ส่วน money management ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร เพราะใช้คำกว้างมาก ถ้าสนใจเนื้อหาของ CFA สามารถเข้าไปอ่าน Learning Objective Statements (LOS) ได้ที่เว็บไซต์ของ CFA โดยตรงครับ ที่ www.cfainstitute.org เพราะเนื้อหาหลักสูตรของ CFA มีการปรับปรุงอยู่ทุกปี ให้ทันสมัยกับโลกการเงินที่เปลี่ยนไปครับ
โดย
Pallas
จันทร์ ก.ค. 28, 2008 1:14 am
0
0
ของที่ระลึกมอบแด่พี่ครรชิตครับ
ยินดีด้วยครับ :cheers: :cheers: และขอบคุณมากๆสำหรับการแบ่งปันสุดยอดข้อมูลให้กับชาว Thai VI ทุกคนครับ :bow: :bow:
โดย
Pallas
จันทร์ ก.ค. 14, 2008 5:05 pm
0
0
Super Investor by ดร.นิเวศน์ 8 กรกฎาคม 2551
คุณ chatchai ครับ ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้ กลต.มีการแก้ไขกฎเกณฑ์เรื่องนี้ให้ยืดหยุ่นขึ้นแล้วครับ กล่าวคือ การถือครองหุ้นไม่น้อยกว่ากี่% นั้น จะใช้เป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีครับ นอกจากนั้น บางขณะที่ไม่สามารถลงทุนตามสัดส่วนที่กำหนดในโครงการด้วยเหตุภาวะสงคราม, วิกฤติเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อตลาดหลักทรัพย์ และราคาตลาดลดลงอย่างรุนแรงในรอบปีบัญชี บลจ.สามาถทำรายงานการไม่สามารถลงทุนตามสัดส่วนดังกล่าว โดยเฉลี่ยในรอบสามเดือน หกเดือน เก้าเดือน และสิบสองเดือนของรอบปีบัญชีให้ ก.ล.ต. ได้ครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 1:56 pm
0
0
มาทายกันว่าเงินเฟ้อจะขึ้นไปถึงเท่าไหร่ ???
สำนักงานดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคครับ สำหรับผู้อยากทราบว่าคำนวณอย่างไรก็เข้าไปอ่านได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานเขา www.price.moc.go.th ผมลองศึกษาคร่าวๆแล้ว ก็เห็นว่าทำกันเป็นระบบดีครับ แต่จะมีการแอบเล่นกลตัวเลขข้างในหรือเปล่า ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าตัวเลขของบ้านเรามีความน่าเชื่อถือสูงพอสมควร ไม่เหมือนของอาร์เจนตินาที่มีการแก้ไขวิธีวัดอัตราเงินเฟ้อจนกลายเป็นว่าต่ำติดดิน และไม่มีใครเชื่อถือกันเลย ลองอ่านบทความของ ดร.ไสว บุญมา ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ หน้า 12 วันนี้ดูครับ แต่หากอ่านแล้วคิดว่าวิธีของเขายังมีข้อบกพร่องอยู่ เห็นทางสำนักงานเขาแจ้งว่าสามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคก็สามารถแสดงความเห็นได้ที่ www.price.moc.go.th หรือโทร. 02-5075847 55 กลุ่มดัชนีราคาผู้บริโภค http://www.price.moc.go.th/contentNews.aspx?id=1
โดย
Pallas
ศุกร์ ก.ค. 04, 2008 2:06 pm
0
0
รบกวนถามพี่ๆ Mon money, chatchai, ลูกอีสาน และท่านอื่นๆคับ
ยังไม่ผ่านเกณฑ์ของคุณลูกอีสานว่าไว้ทั้งข้อ 1-3 ส่วนข้อ 4 ยังไม่ได้คิดไปถึงเลยครับ แต่ผมว่า เกณฑ์ข้อ 1. ก็คือดัชนีชี้วัดอิสรภาพทางการเงินนั่นเอง หากเราสามารถบรรลุอิสรภาพทางการเงินได้แล้ว ก็ย่อมมีอิสรภาพในการเลือกจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ สำหรับบางคนแล้ว การได้เป็นนักลงทุนอิสระที่ไม่ต้องทำงานประจำเป็นความสุขในชีวิต ก็สามารถเลือกเป็นได้ ส่วนบางคนที่ยังรักทีจะทำงานประจำหรือทำธุรกิจของตนเองอยู่ ก็สามารถจะทำต่อไปได้ อิสรภาพในการเลือกเป็นสิทธิพิเศษจริงๆครับ
โดย
Pallas
จันทร์ มิ.ย. 30, 2008 4:49 pm
0
0
CISA = CFA
ใน CFA II มีหัวข้อเรียนรู้เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ Asset Valuation ว่า มีรากฐานมาจากตำรา Security Analysis ของ Graham และ Dodd ด้วยครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 26, 2008 4:10 pm
0
0
อยากถามเกี่ยวกับ ROI กับ Dividend Yield ของ บริษัทหนึ่งครับ
ผมคิดว่าน่าจะเป็นการพิมพ์ผิดมากกว่าครับ เพราะ เงินปันผล/กำไรสุทธิต่อหุ้น น่าจะเท่ากับ Dividend Payout Ratio ส่วน อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ก็คือ Dividend Yield = เงินปันผล/ราคาต่อหุ้น ส่วน ROI นั้น ปกติไม่น่าจะใช้กับ Dividend Yield เพราะ Return จากการลงทุนในหุ้นนั้นมีทั้ง Capital Gain และ Dividend ครับ
โดย
Pallas
อังคาร มิ.ย. 24, 2008 7:59 pm
0
0
CISA = CFA
CFA ไม่ได้เป็นทฤษฎีอย่างเดียวนะครับ เพราะ core concept ของเขาคือต้องเป็นความรู้ที่ practical ใช้ได้จริงในโลกการเงิน มีการ review หลักสูตรตลอดเวลา textbook level 2 ปีล่าสุด ผมอ่านเจอ case study เรื่อง warren buffet กับ Diversification น่าสนใจดีครับ หัวข้อการสอบของแต่ละ level จะเปลี่ยนไปทุกปี (แต่เปลี่ยนไม่เยอะ) ทำให้มีการออก text book ใหม่ทุกปี (แปลว่า CFA Institute ได้ตังค์เพิ่ม :D ตอนนี้ค่าสอบก็รวมค่าหนังสือไปด้วย แพงขึ้นไปอีก) Level 1 มีสอบปีละ 2 ครั้ง ต้นมิ.ย.และต้นธ.ค. ส่วน Level 2,3 จะสอบปีละครั้งตอนต้นมิ.ย. ถ้าคุณ Ohyes จะสมัครสอบ ก็เข้าไปสมัครที่ website CFA Institute ได้เลยครับ และถ้าพอจะจ่ายเงินเพิ่มเติมได้ ผมแนะนำให้ไปสมัครเรียนกับสถาบันที่จัดติวสอบ CFA ดีกว่า เพราะเหมือนแกมบังคับให้เราศึกษาทุกสัปดาห์ ตอนนี้น่าจะเพิ่งเริ่มติวครับ ปล. กำลังลุ้นผล Level 2 อยู่เหมือนกันครับ :roll:
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2008 2:00 pm
0
0
Buffett ใช้อัตราส่วนลดกี่ % ในวิธี DCF
ถ้าใช้เท่ากับพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ซึ่งก็คือ Risk-free rate จะไม่ต่ำไปหน่อยหรือครับ เพราะ Discount Rate ต่ำก็ทำให้มูลค่าหุ้นสูงไปด้วย ผมว่าเราน่าจะให้ Risk premium กับความเสี่ยงที่เราไปลงทุนในหุ้นซักหน่อยก็ดี ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ ส่วนตัวผมเอง คงใช้ไม่ต่ำกว่า 10% ครับ แต่ก็อยากทราบความเห็นของคุณสวนหย่อมด้วย จะได้เห็นมุมมองอีกมุมหนึ่งครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2008 4:59 pm
0
0
ฝากท่านผู้รู้ตอบหน่อยครับเรื่อง ROE
คุณสวนหย่อมก็อธิบายค่อนข้างชัดเจนแล้ว แต่ขอเสริมนิดนึงครับว่า Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) มีหน่วยเป็น บาท จำนวนหุ้น มีหน่วยเป็น หุ้น เพราะฉะนั้นจาก ROE = กำไร / ส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวตั้งก็มีหน่วยเป็นบาท ตัวหารก็มีหน่วยเป็นบาท เพราะฉะนั้น หน่วยของ ROE จึงเป็น เปอร์เซ็นต์ ส่วน EPS = กำไร / จำนวนหุ้น ตัวตั้งมีหน่วยเป็นบาท ตัวหารมีหน่วยเป็นหุ้น เพราะฉะนั้นหน่วยของ EPS คือ บาท/หุ้น ครับ
โดย
Pallas
จันทร์ มิ.ย. 09, 2008 2:55 pm
0
0
เงินต้นที่ต้องชำระคืนเจ้าหนี้ อยู่ในส่วนไหนของ งบกำไรขาดทุน
จากข้อมูลที่คุณให้มา ผมไม่แน่ใจว่า หนี้สินรวม ที่คุณยกมานั้น คือหนี้สินที่รวมเจ้าหนี้การค้า, หนี้สินหมุนเวียนอื่น ฯลฯ ด้วยหรือเปล่า? เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ยอดลดลงของหนี้สินรวม ไม่ใช่การชำระคืนเงินต้นอย่างเดียวครับ อาจมาจากเจ้าหนี้การค้าลดลงก็ได้ ถ้าอยากทราบว่าชำระคืนเงินต้นไปเท่าไหร่ ตรงงบกระแสเงินสดในส่วนกิจกรรมจัดหาเงินที่คุณยกมาก็ตอบในตัวอยู่แล้ว คือมีการชำระคืนเงินต้นไป 139,682,540 บาท ส่วนชำระดอกเบี้ยเท่าไหร่ ให้ไปดูที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ส่วนการพิจารณาจ่ายคืนเงินต้นนั้น ผู้บริหารจะตัดสินใจโดยไม่ต้องรอว่าปีนั้นจะจ่ายเงินปันผลเท่าไหร่ครับ เพราะโดยปกติเงินกู้ระยะยาวจะมีการชำระเงินต้นตามงวดอยู่แล้ว (หากไม่จ่าย จะถือว่าผิดนัดชำระหนี้ กลายเป็น NPL ไป) และอาจชำระเงินกู้เร็วกว่างวดก็ได้ หากผู้บริหารพิจารณาแล้วว่ามีเงินสดเพียงพอที่จะชำระเงินกู้และไม่กระทบกับแผนการดำเนินงาน เวลาวิเคราะห์งบกระแสเงินสด ลองพิจารณากิจกรรมของบริษัทตามลำดับดังนี้ดูครับน่าจะทำให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น 1) บริษัทจะต้องจัดหาเงินทั้งจากการขายหุ้นสามัญและการกู้ยืมเงินจากธนาคาร ตรงนี้คือ กิจกรรมจัดหาเงิน 2) นำเงินที่ได้มาไปจัดซื้อจัดหาสำนักงาน โรงงาน เครื่องมือ เครื่องจักร เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ที่จะไปสร้างรายได้ ตรงนี้คือ กิจกรรมลงทุน 3) สินทรัพย์ที่เราจัดหามาเริ่มทำงาน นำไปสู่รายได้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว (รวมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยด้วย) ก็ได้กำไรเป็นเงินสดจากการดำเนินงาน นั่นคือ กิจกรรมดำเนินงาน 4) ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจว่าจะนำกำไรเงินสดทีได้จากกิจกรรมดำเนินงานในข้อ 3) ไปลงทุนเพิ่ม (กิจกรรมลงทุน), ชำระเงินกู้ (กิจกรรมจัดหาเงิน) หรือจ่ายเงินปันผลคืนผู้ถือหุ้น (กิจกรรมจัดหาเงิน)
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:26 pm
0
0
ขอความกระจ่างข้อสงสัยเล่นแนว VI คือยังไงครับ
1) เท่าที่ผมเข้าใจ เล่นหุ้นแบบ Day Trade คือซื้อขายหุ้นภายในวัน โดยไม่เหลือหุ้นติดกลับบ้านครับ เป็นแขนงหนึ่งของการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร 2) เล่นหุ้นแบบ VI นั้น (จริงๆผมว่าต้องใช้คำว่า ลงทุนในหุ้นแบบ VI มากกว่าครับ เพราะไม่ได้ทำเล่นๆ แต่ทำจริงจัง) ลองหาอ่านกระทู้ในคลังกระทู้คุณค่า ก็จะเข้าใจมากขึ้น ถ้าให้สรุปง่ายๆ คือ การซื้อหุ้นที่ดี ในราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสม จะต่ำกว่าแค่ไหนก็ขึ้นกับการกำหนด Margin of Safety (MOS)ของแต่ละคนครับ นั่นคือเราจะต้องประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมออกมาให้ได้ก่อน (ขั้นตอนนี้เป็นส่วนที่ยากครับ) ยกตัวอย่างเช่น เราคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมได้ 10 บาท/หุ้น เรากำหนด MOS ของเราที่ 40% แปลว่าหากราคาหุ้นต่ำกว่า = 10 x (1-40%) = 6 บาท/หุ้น เราก็จะซื้อหุ้นตัวนี้ครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 6:55 pm
0
0
ปลูก ยางพารา เชิญเข้ามาแชร์ข้อมูลกันนะครับ
เรื่องส่วนแบ่งกับคนกรีดยางจะเป็น 50:50 หรือ 60:40 นั้น คุณพ่อผมเคยอธิบายให้ผมฟังว่า ไม่ได้เป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกสวนแม้ว่าจะอยู่อำเภอเดียวกัน โดยคุณพ่อให้หลักการไว้ว่า ต้องคำนวณดูว่ารายได้ของคนกรีดยางให้เราเมื่อคิดเป็นต่อเดือนแล้ว เพียงพอในการใช้ชีวิตของเขาหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอ เราก็อาจต้องเพิ่มส่วนแบ่งให้เขา มิฉะนั้นอาจมีการโกงน้ำยางได้ เรื่องโกงน้ำยางเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากโดยเจ้าของสวนแทบจะจับไม่ได้เลย ได้แต่สงสัย :? การหาว่ารายได้ของคนกรีดยางเพียงพอหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับขนาดสวนยางของเรา ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้ เปอร์เซ็นต์น้ำยาง ซึ่งแตกต่างไปแต่ละสวนตามสภาพดินฟ้าอากาศ พันธุ์ยาง การดูแลใส่ปุ๋ย ฯลฯ ปล.ตอนนี้คุณพ่อขายสวนไปแล้วครับ เพราะจะเอาเงินไปลงทุนขยายธุรกิจของครอบครัว และราคาสวนยางช่วงนี้ก็กำลังดีด้วย :D
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:21 am
0
0
การหา PE ของหุ้น ในช่วงกลางปี...
โดยทั่วไปแล้ว การหา P/E จะมีอยู่ 2 แบบ คือ 1) Trailing P/E คือการใช้กำไรของ 4 ไตรมาสล่าสุด Trailing P/E = ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้นของ 4 ไตรมาสล่าสุด 2) Leading P/E คือการคาดการณ์กำไรของปีหน้า โดยอาจเป็นกำไรของปีหน้าทั้งปี หรือกำไรของ 4 ไตรมาสถัดไปก็ได้ Leading P/E = ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ของปีหน้า ในการหามูลค่าหุ้นที่เหมาะสม Trailing P/E อาจไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเป็นการมองอดีต ที่ควรจะเป็นคือการมองไปในอนาคตคือ Leading P/E ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ผมว่าวิธีการเอา EPS ไตรมาสล่าสุดคูณ 4 น่าจะเสี่ยงไปหน่อย โดยเฉพาะถ้าธุรกิจมี seasonal effect หรือมีการเติบโตสูงครับ
โดย
Pallas
เสาร์ พ.ค. 31, 2008 10:08 pm
0
0
ถามเกี่ยวกับงบบริษัทฯกับบริษัทย่อยหน่อยครับผม
ผมไม่เคยวิเคราะห์หุ้น tipco นะครับ แต่ขออนุญาตตอบหลักบัญชีเท่าที่เข้าใจ โดยผลกระทบของบริษัทร่วมต่อบริษัทแม่นั้นจะมีผลต่องบการเงินรวมกับงบการเงินเฉพาะบริษัทต่างกัน tipco ถือหุ้น 24% ใน tasco ดังนั้น ในงบการเงินรวมของ tipco จะได้รับผลจาก tasco โดยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ดังนี้ งบกำไรขาดทุน จะรับรู้กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยนำกำไรสุทธิของ tasco ในสัดส่วน 24% มาบันทึกในงบรวมของ tipco งบดุล ด้านสินทรัพย์ตรงเงินลงทุนในบริษัทร่วม จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุน อย่างไรก็ตาม ตามมาตรฐานบัญชีใหม่เกี่ยวกับเงินปันผล ในงบการเงินเฉพาะบริษัท จะรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมได้ก็ต่อเมื่อบริษัทร่วมจ่ายเงินปันผลมาให้บริษัทแม่เท่านั้น ปกติแล้วการลงทุนในบริษัทร่วมนั้น บริษัทแม่ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัทร่วม แม้จะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดก็ตาม ดังนั้น บริษัทแม่ก็คงไม่ได้คาดหวังจะขายหุ้นออกไปเพื่อเอาส่วนต่างราคา แต่จะคาดหวังเอาผลประกอบการของบริษัทร่วมมารวมกับผลประกอบการของบริษัทแม่มากกว่า ทางบัญชีจึงบันทึกด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ที่ผมเล่าให้ฟังข้างบน หากบริษัทซื้อหุ้นของบริษัทอื่นมาเพื่อตั้งใจจะขายเอาส่วนต่างราคา ทางบัญชีจะบันทึกการลงทุนนี้ในสินทรัพย์เป็น หลักทรัพย์เพื่อค้า (Trading Securities) มากกว่าเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม รายละเอียดเรื่องบัญชีเกี่ยวกับเงินลงทุนนี้ยังมีอีกมากและค่อนข้างซับซ้อน ผมคิดว่าลองไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับบัญชีจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เห็นมีหลายท่านแนะนำให้อ่านหนังสือของ ดร.ภาพร ก็ลองไปหาอ่านดูนะครับ
โดย
Pallas
เสาร์ พ.ค. 31, 2008 12:33 am
0
0
ESOP ต่างกับ Warrant ยังไงครับ
ESOP ย่อมาจาก Employee Stock Option Program เป็นโปรแกรมจูงใจพนักงานโดยให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัท คล้ายๆกับ warrant ในเชิงของการให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ แต่ต่างกันตรงที่ ESOP เป็นการให้กับพนักงาน โดยอาจมีเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการออก ESOP เช่นให้ทยอยใช้สิทธิทีละ 20% ฯลฯ ส่วน warrant นั้นเป็นสิทธิที่จะซื้อหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องให้พนักงานครับ อาจจะให้กับผู้ถือหุ้นเดิม หรือออกใหม่เพื่อระดมทุนเข้าบริษัทก็ได้ อ้อ warrant หรือ esop ไม่ได้เป็นการแจกหุ้นนะครับ เพราะราคาใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้นก็ยังคงมีอยู่ อาจเป็นราคาพาร์ ราคาเฉลี่ย 30 วันก่อนหน้า หรือราคาอื่นๆก็ขึ้นกับการกำหนดของบริษัท
โดย
Pallas
เสาร์ พ.ค. 31, 2008 12:16 am
0
0
จะดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นกับระยะยาวได้ที่ไหนครับ
ดอกเบี้ยที่ธนาคารคิดนั้น ไม่ได้แยกว่าเป็นดอกเบี้ยระยะสั้นหรือระยะยาวหรอกครับ แต่จะแยกตามประเภทดังนี้ MOR สำหรับ O/D ซึ่งก็เป็นสินเชื่อระยะสั้นประเภทหนึ่ง MRR สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี MLR สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารคิดกับลูกค้าแต่ละรายย่อมแตกต่างกันตามความเสี่ยงและอำนาจต่อรองของลูกค้าแต่ละคน โดยอาจเป็น MLR+xx%, MLR-xx% ก็ได้ ดังนั้น การจะบอกว่าดอกเบี้ยระยะสั้นหรือระยะยาวจะเป็นเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าบริษัทไม่ได้ให้ข้อมูลไว้ในหมายเหตุประกอบงบ ว่าแต่จะทราบไปทำไมหรือครับ?
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 12:13 am
0
0
Residual Income Model ?
Residual Income (RI) หรือ Economic Profit คือมูลค่าสุทธิของบริษัทหลังหักต้นทุนของเงินทุนทั้งหมด (Equity Charge)แล้ว หรือ RI = กำไรสุทธิ - ต้นทุนของเงินทุน = กำไรสุทธิ - (มูลค่าเงินทุน x ต้นทุนของเงินทุน) วิธีนี้เป็นการแก้ไขความไม่ครบถ้วนของกำไรสุทธิในงบการเงินที่สุทธิเพียงแค่ต้นทุนของเงินกู้ (ดอกเบี้ยจ่าย) แต่ยังไม่ได้หักเอาค่าใช้จ่ายของทุน (หรือเรียกได้ว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังของผู้ถือหุ้น) มูลค่าของเงินทุน ก็คือ Book Value นั่นเองครับ ต้นทุนของเงินทุน (Cost of Equity หรือ Re) ส่วนใหญ่นักวิเคราะห์จะคำนวณมาจากทฤษฎี CAPM ที่ว่า Re = Rf + (Beta * Risk Premium) รายละเอียดการคำนวณมีอีกเยอะ คงต้องลองไปค้นอ่านเองครับ
โดย
Pallas
พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 12:07 am
0
0
พอร์ตการลงทุนคืออะไรครับ
พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) คือกลุ่มของการลงทุนของคนๆหนึ่ง หรือกองทุนๆหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นคุณ awev เอาเงินมาลงทุนในหุ้นทั้งหมด 20,000 บาท โดยนำไปลงทุนใน หุ้น A 100 หุ้น @ 50 บาท/หุ้น = 5,000 บาท หุ้น B 100 หุ้น @ 50 บาท/หุ้น = 5,000 บาท หุ้น C 100 หุ้น @ 50 บาท/หุ้น = 5,000 บาท และถือเงินสด (หรือฝากธนาคาร) ไว้ 5,000 บาท เราก็สามารถพูดได้ว่าคุณ awev มีพอร์ตโฟลิโอขนาด 20,000 บาท ประกอบด้วยหุ้น A 25%, B 25%, C 25%, และเงินสด 25% เมื่อเวลาเปลี่ยนไป มูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็จะเปลี่ยนไปตามราคาตลาด อาจส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวเปลี่ยนไป เช่น หุ้น A 100 หุ้น @ 80 บาท/หุ้น = 8,000 บาท หุ้น B 100 หุ้น @ 50 บาท/หุ้น = 5,000 บาท หุ้น C 100 หุ้น @ 40 บาท/หุ้น = 4,000 บาท และถือเงินสด (หรือฝากธนาคาร) ไว้ 5,000 บาท ขนาดของพอร์ตคุณ awev ก็จะเปลี่ยนเป็น 22,000 บาท ประกอบด้วยหุ้น A 36%, B 23%, C 18%, และเงินสด 23% เรื่องเงินสดนับไม่นับเนี่ย สำหรับผม ผมจะนับรวมในพอร์ตถ้าเงินสดนั้นเป็นเงินที่ตั้งใจนำมาลงทุนในหุ้น แต่ยังรอให้ราคาหุ้นที่เราเล็งไว้ตกลงมาที่ราคาที่่เผื่อ Margin of Safety ก่อน เงินสดในพอร์ตมีค่ามาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ Mr. Market ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ อย่างในช่วงนี้ :wink: เรื่องหนังสือน่าอ่าน ผมว่ามีกระทู้ในเว็บนี้เขียนแนะนำไว้ค่อนข้างมากแล้ว ลองไปค้นอ่านดูนะครับ
โดย
Pallas
พุธ พ.ค. 28, 2008 11:56 pm
0
0
Berkshireไม่เคยปันผล ผู้ถือหุ้นก็ไม่มีทางมีอิสรภาพทางการเงิน
ผมว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแผนการและกลยุทธ์ของแต่ละคนนะครับ เพราะว่าแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป โดยหลักการแล้ว หุ้นที่ปันผลสูงมักมีอัตราเติบโตต่ำ และหุ้นที่ปันผลน้อยมักมีอัตราเติบโตสูง พิจารณาได้จาก อัตราเติบโตของกำไร (กรณี ROE สม่ำเสมอ) = ROE x ( 1- Dividend Payout Ratio) เพราะฉะนั้น หากไปมุ่งเน้นหุ้นที่ปันผลสูง ที่มักทำให้อัตราเติบโตต่ำ ส่งผลให้ตลาดให้ P/E ต่ำกว่า และราคาหุ้นก็เติบโตช้ากว่าด้วย ดังนั้น ถ้าหวังจะให้พอร์ตเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะต้องเน้นที่หุ้น Growth ในพอร์ตที่เน้นหุ้น Growth เราสามารถสร้างเงินปันผลขึ้นมาเองตามวิธีที่คุณ atsu บอก ก็คือ การทยอยขายหุ้นออกบางส่วน ข้อดีของวิธีนี้คือ โดยรวมแล้วพอร์ตก็ยังมีอัตราเติบโตสูง และกำไรจาก Capital Gain ก็ไม่ต้องเสียภาษีด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยของวิธีนี้คือ หากราคาหุ้นสูงก็ค่อนข้างลำบากที่จะทยอยขายไปเรื่อยๆ เช่น กรณีของ Berkshire ที่มีราคาสูงระดับหลายแสนหลายล้านบาทต่อหุ้น ฯลฯ โดยเฉพาะพอร์ตขนาดเล็กที่มีเงินไม่มาก สำหรับผมแล้ว ตอนนี้พอร์ตมีขนาดเล็กและยังหารายได้จากงานประจำมาใช้จ่ายได้อยู่ ก็เลยต้องเน้นหุ้นเติบโตมากหน่อย ไว้พอร์ตโตถึงเป้าหมายที่ต้องการ ก็คงเริ่มปรับมาเน้นหุ้นปันผลเพื่อรับกระแสเงินสดกลับมาให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำครับ :D
โดย
Pallas
อังคาร พ.ค. 27, 2008 5:10 pm
0
0
สงสัยเกี่ยวกับ เงินปันผลและงบการเงิน ครับ
เพิ่มเติมคุณ charnengi นิดนึงตรงที่ เงินปันผลจะไม่กระทบงบกำไรขาดทุนครับ แต่จะกระทบงบดุลและงบกระแสเงินสดแทน ถ้าพิจารณาทีละขั้นตอนจะเข้าใจง่ายขึ้นครับ 1) บริษัทมีกำไรในปี '07 (งบกำไรขาดทุน) ทำให้ กำไรสะสม (งบดุล) เพิ่มขึ้น 2) ในปี '08 ผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายปันผล เกิดรายการ จ่ายเงินสด (งบดุลและงบกระแสเงินสด) เป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ทำให้ กำไรสะสม (งบดุล) ลดลง รายละเอียดการจ่ายปันผลสามารถดูได้จากหมายเหตุประกอบงบการเงินครับ
โดย
Pallas
อังคาร พ.ค. 20, 2008 4:22 pm
0
0
THAI TAP น้ำมาแล้วครับ
[quote="vivitawin"]ประปาเข้าตลาดได้ แต่ ไฟฟ้าห้ามเข้า แปลกดีนะครับ
โดย
Pallas
พุธ พ.ค. 07, 2008 2:07 pm
0
0
71 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
Pallas
ระดับ:
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
Bangkok
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. ก.ค. 05, 2007 4:22 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ ก.ค. 22, 2023 3:08 pm
โพสต์ทั้งหมด:
128 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
"As Above, So Below"
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว