หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
chinn
Joined: พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 5:14 pm
226
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - chinn
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
ไม่ทราบว่าจะตอบได้มั้ย ขอถามคุณ Chinn ว่าทุกวันนี้ยังใช้มาร์จิ้นรึเปล่าครับ ใช้อยู่ครับ และใช้de ratio มากกว่าแต่ก่อนมากครับ เข้าใจว่าถามเพื่ออยากรู้ว่ายังคุ้มค่าอยู่หรือไม่ ของผมยังคุ้มที่จะใช้อยู่ก็ใช้ไปครับ ได้ต้นทุนเงินมาถูกครับ
โดย
chinn
พุธ มี.ค. 06, 2013 2:34 pm
0
5
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
ขอ email ด้วยครับ จะส่งให้ครับ
โดย
chinn
จันทร์ มี.ค. 04, 2013 9:24 am
0
0
Re: จุดเริ่มต้นของพอรต์ร้อยล้าน เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมเดาว่า น่าจะมาจากพี่ ซื้อความสุขไวไป ทั้ง แต่งงาน รถ Port เลยไม่ถึง 9 หลัก ตอนนี้ผมซื้อบ้าน รถ ดูแล ครอบครัว port โตช้าลงไปเหมือนกัน กำไรไม่ทบต้นเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ดูมีค่ากว่าการดูเลขport ที่ขึ้นๆไปเรื่อยๆ แล้วไม่ได้ใช้ อย่างที่ พี่ Picatos บอก มันอาจจะดีแล้วที่เป็นเช่นนี้ เพราะมี 9 หลักก็อาจไม่สุข ดังคำที่ พระท่านว่า คนเรามีอะไรก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ผมเชื่อว่า ผมซึ่งเป็นนักลงทุนที่ไม่เก่งแลัฉลาดนัก ไม่ขยันแกะงบ เยอะเท่ากับนักลงทุนท่านอื่นนัก คงสำเร็จจาก สามปัจจัยคือ การทำทาน และรักษาศีล และทำภาวนา ผมทำทานมาตลอดตั้งแต่เด็ก มีแค่ไหนก็ทำ ช่วยคนได้ก็ช่วย ตามความเหมาะสม จนเพื่อนบางทีก็ว่าเราโง่ และเริ่มถือศีลปรมัตถ์ เรื่องสุรา ตั้งแต่ อายุ 20 ซึ่งทำให้ผมไม่ไปที่อโคจร และมีเวลาศึกษาสิ่งต่างๆมากกว่าคนอื่น ตอนนี้ก็รับครบ 5 ข้อละ ก็ทำให้มีสิ่งที่ดึงไว้ไม่ให้ไปทำสิ่งที่นักปราชญ์ ว่าจะนำทุกข์มาให้ การทำทานจะทำให้เราเห็นค่าหรือความสำคัญกับเงินน้อยลง เพราะเราสละเป็นประจำ จึง ตัดสินใจบนเหตุผลมากกว่า ความกลัวกับโลภ การรักษาศีล ก็ทำให้เรารู้จักหักห้ามใจไม่ทำสิ่งที่ผิดเพื่อความสุขปลอมเล็กๆน้อยๆ ซึ่งสำคัญกับการบริหารเงินด้วยเหตุและผล ไม่รู้สึกว่าต้องไปไล่ตามหุ้นเวลาหุ้นเรานิ่งแต่ชาวบ้านวิ่ง ส่วนการทำภาวนา ก็ทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เพราะสิ่งทั้งหลายเกิดจากปัจจัยที่เชื่ิอมโยงกัน และสุดท้ายมันก็ขึ้นกับว่า กรรมใดจะส่งผล เราในปัจจุบัน เพราะเราก็ทำได้แค่สร้างปัจจัย แต่ไม่สามารถกำหนดผลได้จริง
โดย
chinn
อังคาร พ.ย. 27, 2012 10:43 am
0
94
Re: Equity Linked Note (ELN)
ได้รับ email จากโบรกเกอร์ เสนอผลิตภัณฑ์ใหม่คือเจ้า Equity Linked Note (ELN) เขาว่ามันมีลักษณะคล้าย zero coupon bond โดย >> หากราคาหุ้นลงมาถึง Strike ที่เลือกไว้ ลูกค้าก็ได้หุ้น+ผลตอบแทนที่ออกมาเป็นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น หุ้นแต่ละตัวจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 และหุ้นแต่ละตัวจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 Strike >> กรณีราคาหุ้นไม่ลงถึง Strike ที่เลือก ลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนตามตาราง Annualised Yield after tax ระยะเวลาการลงทุนประมาณ 30-48 วัน ไม่ทราบท่านใดมีความรู้เกี่ยวกับไอ้เจ้านี่บ้าง และมันจะเอามาใช้ประโยชน์ยังไง ผมอ่านดูทีแรกก็รู้สึกว่าดี แต่พอคิดๆไปอีกมันดูคล้ายกับการ sell put option คือจะมี limited gain เวลาหุ้นขึ้น แต่จะมี unlimited loss เวลาหุ้นตก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า ผลลัพท์น่าจะเหมือน sell put option +ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น ครับ ถ้า หมดอายุราคาหุ้นต่ำกว่า strike ก็เอาเงินที่อยู่ในตราสารหนี้ไปจ่าย loss+ ซื้อหุ้นให้เราราคาตลาด ส่วนถ้าลงไม่ถึง ก็ได้ดอกเบี้ย + ค่า premium option ก็ทำให้ดูผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไป ผมคิดว่าน่ากลัวว่าจะทำให้นักลงทุนเสียหายหนักในอนาคตได้ครับ แต่ก็คงเป็นเครื่องมือสำหรับก้าวเดินต่อไปเพื่อความครบเครื่องของตลาดทุนครับ
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ก.ค. 05, 2012 1:06 am
0
1
Re: ท่านจะทำอย่างไรเมื่อหุ้นตกและท่านซื้อหุ้นด้วยเงินมาร์จิ้
ออกตัวก่อนครับว่าที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมานั้น ตัวผมเองไม่ได้ซื้อหุ้นด้วยเงินมาร์จิ้นหรอกครับ แต่เห็นว่าเดี๋ยวนี้แม้แต่นลท.แนววีไอบางส่วนก็ซื้อหุ้นโดยการใช้เงินมาร์จิ้น แม้กระทั่งเซียนบางท่าน แต่จะเปิดเผยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาหุ้นตกกระทู้ต่าง ๆ ก็จะมีมากมายว่าควรทำอย่างไร ส่วนหนึ่งที่มักจะถูกเอ๋ยถึงคือ ให้ดูที่ MOS ของหุ้นที่เรามีอยู่ การพยายามอย่าไปจับจังหวะของตลาด การกลับไปวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการใหม่ ซึ่งผมอ่านแล้วก็เข้าใจว่าวิธีการแบบนั้นน่าจะเป็นของคนที่ซื้อหุ้นเงินสด ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นการคอมเมนต์เรื่องหุ้นที่ซื้อด้วยมาร์จิ้นกับตลาดในขาลงว่าควรจะทำอย่างไร เลยตัดสินใจโพสต์กระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อจะได้เรียนรู้ร่วมกันว่า มุมมองและวิธีการของการลงทุนมันจะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ ผมเองรู้สึกว่าถ้าเราซื้อหุ้นด้วยเงินมาร์จิ้นแล้วตลาดเป็นขาลงหรือคิดว่ามันน่าจะลง วิธีการมองและการถือหุ้นแบบการลงทุนแบบปกติแบบที่เราทำ ๆ กันอยู่มันอาจจะไม่เหมาะ??? ต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้างในบางเรื่องหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้เล่นกับเรื่องพื้นฐานของกิจการอย่างเดียว แต่เรายังเล่นกับ 1) ดอกเบี้ยของเงินกู้ ถ้ายิ่งติดหุ้นนานต้นทุนก็ยิ่งสูงขึ้น 2) ความบ้าคลั่งของสภาวะตลาด จริงอยู่บางครั้งหุ้นที่เราซื้อเราคิดว่าดีแล้ว แต่มันลงไปเรื่อย ๆ เพราะตลาดเป็นขาลงหรือ panic แรง ๆ เราต้องต่อสู้กับความบ้าคลั่งเหล่านี้ เราเห็นว่าหุ้นยังดีถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยเงินสด เราคงไม่เดือดร้อนจะถือจนมันกลับขึ้นมาใหม่ นานแค่ไหนก็ได้ แต่สำหรับเงินมาร์จิ้น โบรกไม่เล่นกับเราด้วยแน่ ถ้าหุ้นยังลง คุณต้องเอาเงินสดมาวางเพิ่ม ถ้าหนักเข้าก็โดน force sell 3) สภาวะจิตใจของตัวเอง ผมเชื่อแน่ครับว่า คนเล่นมาร์จิ้นเวลาหุ้นลง อารมณ์และความรู้สึกมันคงมากกว่ายามเล่นหุ้นด้วยเงินสด อยากให้มาแชร์ไอเดียกันครับ ขอบคุณครับ 1) ดอกเบี้ยของเงินกู้ ถ้ายิ่งติดหุ้นนานต้นทุนก็ยิ่งสูงขึ้น แชร์:ดอกเบี้ยบช.มาร์จิ้นไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกครับ ปันผลจากส่วนเงินสดและส่วนเงินกู้ มันพอจะชดเชยได้ ถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว ไม่นานราคาก็กลับมาครับ 2) ความบ้าคลั่งของสภาวะตลาด จริงอยู่บางครั้งหุ้นที่เราซื้อเราคิดว่าดีแล้ว แต่มันลงไปเรื่อย ๆ เพราะตลาดเป็นขาลงหรือ panic แรง ๆ เราต้องต่อสู้กับความบ้าคลั่งเหล่านี้ เราเห็นว่าหุ้นยังดีถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้ด้วยเงินสด เราคงไม่เดือดร้อนจะถือจนมันกลับขึ้นมาใหม่ นานแค่ไหนก็ได้ แต่สำหรับเงินมาร์จิ้น โบรกไม่เล่นกับเราด้วยแน่ ถ้าหุ้นยังลง คุณต้องเอาเงินสดมาวางเพิ่ม ถ้าหนักเข้าก็โดน force sell แชร์:ข้อนี้คือประเด็นหลักเลย Force Sell ตัวเองแต่เนิ่นๆครับ และวางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่ากู้พอประมาณ เช่นทุน 66% กู้ 33% ในภาวะตลาดไม่ดี การขายหุ้นบางส่วนเพื่อลดหนี้ไปอยู่ในระดับปลอดภัยมากๆ สามารถทำได้โดยการขายหุ้นจำนวนไม่มากเพื่อลดหนี้ ซึ่งจะ รับรู้ขาดทุน ไม่มากเลย เช่น หุ้นที่เราซื้อมา ขาดทุนไป 10%-20% และเราขายทิ้งไป 10%-20% เท่ากับ เราขาดทุนเพียงเล็กน้อย ซึ่งมีผลต่อ มูลค่าหุ้นรวมที่ราคาเป้าหมายไม่มาก คนที่โดน Force Sell ส่วนมาก ไม่ขายเลย จึงถึงราคา Call Margin ได้ง่ายและ ขาดทุนมากเมื่อโดนบังคับขาย สรุป คือให้วางแผนแต่แรก ลดหนี้ลง ไปสู่ระดับ ที่เหมาะสมในภาวะนั้นๆ แล้วโบรคจะไม่เข้ามายุ่งกับบัญชีคุณครับ 3) สภาวะจิตใจของตัวเอง ผมเชื่อแน่ครับว่า คนเล่นมาร์จิ้นเวลาหุ้นลง อารมณ์และความรู้สึกมันคงมากกว่ายามเล่นหุ้นด้วยเงินสด แชร์: ผมว่าแล้วแต่คนครับเหมือนคนที่ VI ถึงแก่นแล้ว ยามหุ้นลงเขาจะยืนบนเหตุผลมากกว่าคนที่เป็นนักเก็งกำไร คนที่เล่นมาร์จิ้นบนเหตุผลแล้ว ก็สามารถตั้งสติแก้ไขสถานการณ์และเตรียมรับมือได้ เช่นเดียวกันครับ ช่วงนี้คนถือหุ้นด้วยเงินสดโทรมาขอกำลังใจผมกันเยอะ ส่วนผม Margin เต็มที่ยังไม่ค่อยได้ดูหุ้นเลยครับ :D
โดย
chinn
พุธ พ.ค. 23, 2012 7:45 am
0
16
Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร
อาทิตย์ที่ผ่านมาได้คุยกับผู้รู้หลายท่าน และได้นำสิ่งที่ตนเองทำผ่านมา มาพิจารณา เลยอยากเข้ามาแชร์ครับ ผมเกิดไอเดียถึงขออนุญาติเรียกว่าความสุข 3 stage ครับ 1 ช่วงเอาสุขเข้าตัว ช่วงออกจากงานใหม่ๆ ผมทำทุกสิ่งที่เคยอยากทำหรือฝันว่าจะมีก่อนเกษียณ ไม่ว่าจะเป็น finess ออกรถคันแรก ออกมาอยู่คอนโด ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยงต่างประเทศ หาอาหารหรูๆทาน ทำวนเวียนแบบนี้ วันๆ นั่งถามตัวเองว่าอยากทำอะไรอีก ทำตามความอยากไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ สักระยะ ผมเริ่มเห็นว่าความสุข มันเกิดขึ้นตอนที่กำลังได้ พอได้ก็เริ่มเป็นความเคยชิน และสุดท้ายกลายเป็นความเบื่อ และวิ่งหาสิ่งใหม่ๆไปเรื่อยๆ เลยเริ่มเห็นละว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เลยมาเริ่ม stage 2 ซึ่งได้คุยกับผู้รู้ท่านบอกว่า ลูกเศรษฐีในตปท ที่อยู่ stage นี้ แล้วหาทางไปต่อไม่ได้ก็หลงไปใช้ยาเสพย์ติดเพื่อแก้เบื่อจนชีวิตตกต่ำก็มีมาก 2 ช่วงสร้างสุขให้ผู้อื่นเพื่อให้ตนเองสุข หลังจากผ่านช่วงแรกจนเบื่อ ผมเดิมมีความสุขเวลาได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข หรือได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เลยคิดว่าได้เวลาทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นบ้าง เช่น สอนผู้อื่นลงทุน วางแผนบริหารเงิน แนะนำหุ้นให้ผู้อื่น ทำไปเรื่อยๆ เริ่มพบว่า มันก็เป็นสุขที่ เจือทุกข์ เช่น เราหวังให้ทุกคนที่เราอยากให้มีความสุขมากขึ้น แต่บางครั้งก็ยากเกินกว่าจะทำได้ จนเราเหนื่อยใจ ในบางครั้ง เขากลับมองเจตนาเราร้ายด้วยซ้ำไป ว่าหลอกให้ซื้อหุ้น ตนเองจะได้ขายดังเช่น ที่พี่ๆในห้องหลายคนโดนๆกัน สุดท้ายเลยเริ่ม ยึดหลักพรหมวิหาร 4 โดยวางอุเบกขา หรือปล่อยวางนั่นเอง คือทำแล้ววาง แนะนำคนแล้วปล่อย ทำไปเรื่อยๆ จึงเริ่ม stage 3 3 ช่วงเลิกวิ่งตามสุข หลังจากที่เริ่มเรียนรู้ว่าเราต้องวางอุเบกขา เราเลยเริ่มนั่งสมาธิบ้าง วิปัสสนาแห้งบ้าง ศึกษาธรรมบ้าง ก็เริ่มเข้าใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เรามีเจตนาเป็นกรรม มีเจตนาเป็นเหตุ ส่วนชีวิตเป็นผลของกรรม สิ่งทั้งหลายล้วนเป็นของโลก เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตายไปเอาไปไม่ได้สักอย่าง อย่าไปอินกับมันมาก ไม่กี่ปีก็ตายแน่ จากนั้นผมก็เริ่มภาวนาว่าตายแน่ ตายแน่ เป็นหลัก ผมว่าใจเริ่มเบาขึ้น สบายขึ้น แต่คงยังไม่มีอิสระภาพทางจิตใจอย่างสมบูรณ์ แต่ผมมั่นใจว่าผมในปี้นี้มีความสุขแท้กว่าปีที่แล้วแน่นอนครับ
โดย
chinn
อังคาร มี.ค. 27, 2012 10:41 pm
0
21
Re: ขอปรึกษาท่านที่เล่นมาร์จินหน่อยครับ...
ในไทย ปกติผมใช้บล ธนชาตครับ ดอกเบี้ย 5.75-6.25% ขึ้นอยู่กับ volume เทรดผ่าน internet ได้ ให้กู้สูงสุด 1:1 d:e Call margin ที่ equity ต่ำกว่า 35% ในต่างประเทศผมใช้ ubs ครับ ดอกเบี้ย1.08%กู้เป็น us เทรดผ่าน internet ไม่ได้ ให้กู้สูงสุด 70:30 d:e Call margin ที่equity ต่ำกว่า 30% ผมเข้าใจว่า vi คืออีกแนวคิดการลงทุนครับ ส่วน margin คืออีกแนวทางบริหารเงินครับ เพื่อนผมใช้ margin กันหมด อย่างน้อย ซื้อหุ้นเงินสดเกิดขาดเงินจะได้ไม่ต้องขายหุ้น สำคัญที่ต้องบริหารอย่างเข้าใจและใช้เหตุผลมีแผนรองรับ
โดย
chinn
เสาร์ มี.ค. 24, 2012 6:53 am
0
8
Re: วัฒนธรรมเภท/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บทความนี้ ผมเข้าใจว่าการที่เราจะดูว่าใครเป็นอย่างไรอย่าดูเพียงคำพูด หรือการกระทำบางอย่าง ให้ดูสิ่งที่เป็นตัวตนอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับหุ้น ที่บางครั้งเราซื้อเพราะ ประทับใจการพบปะพูดคุยเพียงครั้งสองครั้ง เราควรตรวจสอบงบการเงิน ว่าแท้จริงแล้วมีการบริหารที่โปร่งใสหรือไม่ ผมว่าเป็นบทความที่มีเจตนาที่ดีครับ ไม่สมควรที่ใครจะไปเคืองในบทความนี้ แต่ผมห่วงเรื่องใจของอาจารย์ที่ไปวิจารณ์ผู้ที่ทำความดี ว่าทำในเชิงเอาหน้า ทั้งคนที่ทำบุญ และรักษาศีล ฝึกสมาธิ จะทำให้ใจอาจารย์ ปิดรับการทำความดีที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย สำหรับคนที่มีพร้อมทุกด้านและเสียสละให้ความรู้มาตลอด จะไปเพ่งวิจารณ์ในความดีผู้อื่นครับ น่าจะอนุโมทนาดีกว่าจะไปมองว่าผู้ทำมีเจตนาใด เพราะ เจตนาของใครก็คือกรรมของเขา แต่ เราไปเพ่งกรรมเขา เจตนาเราก็เป็นอกุศลครับ ปล.ขออภัยหากทำให้ใครไม่พอใจครับ แต่ผมห่วงอาจารย์จริงๆครับ ผมก็ลงทุนประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็มาจากแนวคิดของอาจารย์ท่านนี้ครับ
โดย
chinn
จันทร์ ก.พ. 20, 2012 12:49 am
0
19
Re: financial projection ควรรู้มั้ยครับ
ลองหัดทำดูก่อนสิครับ ผมไม่ได้จบไฟแนนซ์ ไม่ได้เรียนตำราไหน แค่เอางบเดิมของบริษัท + ความเข้าใจ business modelก็ทำได้ละครับ ซึ่งถ้าทำได้ก็ไม่ต้องเรียนให้เสียทรัพยากร
โดย
chinn
เสาร์ ก.พ. 11, 2012 9:24 am
0
5
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
จากตารางคุณ mincho set low ไว้ 30 ครับ เลยทำให้ ออกมาว่าเหลือราคาให้หุ้นอีกตัวลงได้น้อยครับ ซึ่งจากตาราง ผมคิดว่าถ้ากลยุทธ์เราถือยาว ควรลด จำนวนหุ้นลงครับ เพื่อให้ call ต่ำกว่านี้มาก
โดย
chinn
จันทร์ ก.พ. 06, 2012 9:27 pm
0
1
Re: สรุปความรู้สัมมนา Super Exclusive K.Chinn,hong,moomoo 28
ในชีวิตผม ผมเห็นคนที่ลงทุนวิธี focus+ margin แล้วหมดตัวหลายคน ซึ่งรวมทั้งคุณพ่อผมด้วย (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการลงทุนในหุ้นเท่านั้น ยังรวมถึงการเปิดกิจการ) สาเหตุ มาจากการคิดไม่รอบด้าน ทั้งการบริหารเงินกู้และดอกเบี้ย อีกทั้งการมองสิ่งที่ลงทุนไม่ขาด มองแต่ด้านบวก ไม่เตรียมการด้านลบ ซึ่งทำให้การลงทุนเกิดจากการตัดสินใจผ่านอำนาจของความโลภ เท่านั้น ซึ่งหากอ่านวิธีเล่น margin จะเห็นว่าผมได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ทุกรูปแบบ กว่าผมจะทำตรงนี้ได้ ต้องสะสมประสบการณ์และความรู้หลายรูปแบบนำมาผสมผสานกัน หากคุณไม่ใช่นักลงทุนมืออาชีพ ผมแนะนำว่า ควรมีบัญชี margin ไว้เพียงเพื่อบริหารสภาพคล่อง เช่นมี 1000000 ก็ลงหุ้นที่มั่นคง ปันผลดี เช่น ptt 1000000 และยามต้องใช้เงินฉุกเฉินก็สามารถตอนเงินมาใช้โดยไม่ต้องขายหุ้นได้ หากคุณ นักลงทุนมืออาชีพ มีความรู้เรื่องหุ้นดีแล้วแต่ยังไม่ชำนาญ เรื่อง money management อย่ากู้เกินกว่า ร้อยละ 20 ของ port และลงทุนในหุ้นมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป ซึ่งผมได้ลง excel การบริหารใน webboard Thaivi แล้ว ผมคิดว่าทุกคนสามารถรวยได้จากการทำอาชีพที่ตนรัก และควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีและออมในหุ้นที่ธุรกิจมั่นคง ปันผลดีและสม่ำเสมอ และมี margin ไว้สำหรับบริหารสภาพคล่องยามฉุกเฉินเท่านั้น
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ก.พ. 02, 2012 12:26 am
0
27
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
ขอบคุณสำหรับความกระจ่างครับ คุณชิณณ์ ในกรณีที่เรามี หุ้น margin 2 ตัว อยากทราบว่าการคิดจุด call นี่ สามารถนำแต่ละตัวมาหักลบกันเพื่อดูยอดรวมได้ไหมครับ เนื่องจากเห็นคุณชิณณ์ ตอบจากกระทู้ด้านบนว่า equity/asset < 35% ถึงจะ call (ไม่ทราบว่า ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า) ลองใส่ lot หุ้นตัวที่สองดูครับ มันค้ำกันอยู่ File นี้ทำขึ้นเพื่อการคำนวนการซื้อหุ้นหลายตัวด้วย margin เพราจะทำความเสี่ยงต่ำลงกว่า ตัวเดียวบนผลตอบแทนที่เท่ากัน
โดย
chinn
อังคาร ม.ค. 31, 2012 3:40 am
0
0
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
นึกว่า call ตอน excess equity เป็น 0 ซะอีก โบรคไทย call ตอน debt/asset > 65% หรือ equity/asset<35% ee เป็น 0 ถอนเงินไม่ได้ ซื้อหุ้นเพิ่มไม่ได้
โดย
chinn
จันทร์ ม.ค. 30, 2012 12:07 pm
0
0
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
สวัสดีครับ คุณชิณณ์ ขออนุญาต ถามเกี่ยวกับการนำข้อมูลในตารางไปใช้งานเป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ เนื่องจากกำลังศึกษาเรื่องการใช้ margin อยู่ครับ chinn1.jpg จากข้อมูลในรูปนะครับ 1. Start คือ จำนวนหุ้นที่เรามีอยู่ใน port แล้ว ใช่ไหมครับ คือสถานะปัจุจุบัน ถ้าให้ผมตีความจาก ที่ตารางแปลว่าตอนนี้คุณมีหุ้น a 5000 หุ้น โดยไม่มีหนี้ 2. Mkt Price คือ ราคา ที่เราคาดว่าจะทำการซื้อ ใช่ไหมครับ คือราคาตลาด เรา action ทุกอย่างที่ราคาตลาดครับ 3. การซื้อ เราต้องทำการซื้อครั้งละ 500 หุ้น ที่ราคา Mkt Price เป็นจำนวน 10 ครั้ง ใช่ไหมครับ ถูกต้องครับ ผมทำตรงนี้ขึ้นเพื่อให้เวลา เราพิมพ์ ซื้อ หรือ ขายหุ้น เป็นlot ไม่ต้องมาเติม 0 บ่อยๆ เมื่อย มันมีผลตอนหาจุดที่ดีที่สุด ของการกู้ ผมก็จะลองสุ่มเลขดูไปเรื่อยๆ ว่ากี่ lot ถึงปลอดภัย และได้ผลตอบแทนที่พอใจ ลองเพิ่ม จาก 10 lot เป็น 15 lot ครับ หนี้จะมาทันที call ก็มา 4. ในกรณีนี้ เราจะไม่มีโดน call เนื่องจากช่อง call เป็น 0 ถูกต้องไหมครับ call 0 คือ จะโดนเรียกเงินที่ราคา 0 เนื่องจากไม่มีหนี้ครับ 5. ตัวเลขในช่อง Next หมายถึงอะไรครับ หมายความว่า ยอดหุ้น หลังจากมีการซื้อขายครับ ซึ่งไปโยงกับ lot เช่น มี 10 lot ขายหุ้นครึ่งหนึ่งก็ให้เปลี่ยน lot เป็น 5 lot next ก็จะกลายเป็น 2500 6. ถ้าเราเริ่มทำการซื้อแล้ว 1 ครั้ง แล้วราคามันวิ่งต่อ จะต้องทำอย่างไรครับ ไฟล์นี้เป็นไฟล์ประเภท วางแผน แล้วทิ้ง จนกว่าราคาจะถึงเป้าครับ แต่ระหว่างทางอยากปรับ เช่นเจอหุ้นใหม่ พื้นฐานเปลี่ยน ก็มาปรับ แล้ว ดูว่า ถ้า postion นี้ port ปลอดภัยดีไหม 7. ในกรณีนี้ ทำไมช่อง หนี้หลังปรับ มันไม่มีค่าหล่ะครับ ผมว่าผมผูกสูตรไว้นะ ถ้าคุณ เปลี่ยน lot เป็น 15 หนี้ หลังปรับจะเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่เปลี่ยนจริงๆเด๋วผมเอาตัวที่ผมปรับปรุงแล้วมาลงใหม่ครับ 8. จาก ข้อ 7 หมายความว่า เราไม่ได้ใช้ margin หรือเปล่าครับ ครับ ขอบคุณมากครับ
โดย
chinn
จันทร์ ม.ค. 30, 2012 11:59 am
0
0
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
ระดับbasic dsm ขายทุก 2 ช่องที่ลง ขายเมื่อขึ้นจากจุดต่ำสุด 3ช่อง ระดับbasic dsm ขายทุก 2 ช่องที่ลง ซื้อเมื่อขึ้นจากจุดต่ำสุด 3ช่อง
โดย
chinn
ศุกร์ ม.ค. 27, 2012 8:50 am
0
0
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
คุณชิน คับ รบกวนอธิบายระบบ dsm เพิ่มเติมหน่อยได้มั้ยคับ ผมตามไปอ่านใน pantip ดูแล้วคล้ายๆ sap แต่จาก model เห็นว่าพอหุ้นลง 2 ช่อง ก็ขายหุ้นออกไป 10% ขายไปเรื่อยๆ แบบนี้ถ้าหุ้นลงไป 20 ช่อง ก็เท่ากับเราขายหุ้นไปหมดแล้วซิครับ :roll: :wall: แล้วคราวนี้พอเราจะซื้อคืนก็ต้องดูว่า มันขึ้นไปยืนได้กี่ช่องแล้ว แล้วเริ่มซื้อคืน ตรงนี้ต้องใช้เทคนิคอลช่วยหรือยังไงคับ เข้าใจว่าคุณชิน น่าจะเอาหลักการไปประยุกต์ใช้เป็นสไตล์คุณ ชินมากกว่า แต่ผมอ่านแล้วยังไม่ get แนวคิด dsm :oops: ผมเข้าใจว่าการทยอยขายหุ้นขาลง เป็นการจำกัดความเสี่ยง คล้ายๆกับการ ยอม cut loss ไปเรื่อยๆ โดยไม่ฝืนตลาด ช่วยชี้แนะด้วยครับ ระดับbasic dsm ขายทุก 2 ช่องที่ลง ขายเมื่อขึ้นจากจุดต่ำสุด 3ช่อง หากขายแล้วซื้อคืนไม่ได้ให้ไปซื้อคืนที่หุ้นตัวอื่น (rematching) หรือที่คุณเด่นศรีเรียกว่าช่องว่าง ระดับ advance ขายเมื่อหุ้นลง บางส่วน 25%ก็ได้ 20%ก็ได้ แต่ละไม้ไม่ต้องเท่ากัน ซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้น และมีกำไร แต่ไม่มีกำไรก็ซื้อได้ แต่จะเป็นการเปิดเกมใหม่ ผมเอาแนวคิด ทยอยขาย และ rematching มาใช้คุม call margin price ครับ เพื่อกู้ได้มากแต่ไม่โดน บังคับขายตอนหุ้นลง และตอนหุ้นขึ้น หุ้นยังซื้อได้เกือบครบ (ถ้าใช้ basic dsm มันจะมีหลุด 3ไม้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเรียกว่ากองหลัง)
โดย
chinn
ศุกร์ ม.ค. 27, 2012 8:47 am
0
0
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
คุณชิณณ์ ครับ วิธีการและการใช้มาร์จิ้นช่วงที่ลงทุนเพื่อเร่ง port นั้น คุณชิณณ์ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดหรือไม่ครับ เนื่องจากเราต้องคอยทำตามแผนการที่วางไว้ใน excel ชีท และไม่ทราบว่าคุณรู้สึกเครียดบ้างไหมครับในช่วงเวลานั้น (ขอแชร์ความรู้สึกหน่อยครับ) ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ที่แบ่งปัน ทำตามแผนแบบ 2 ต้องดูแต่ไม่ต้อง เพ่งมากครับ พอหุ้นขยับ ไป step ใหม่ค่อยทำ ไม่เครียดครับ ทำตามแผนไปเรื่อย สิ้นวันทบทวนแผน สนุกดีครับ แต่ถ้าตอนนี้คงไม่หนุก ปวดหลัง
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 4:24 pm
0
3
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
คุณชินครับผมมีข้อไม่เข้าใจเกี่ยวกับข้อความเหล่านี้ "แล้ววางแผนในการบริหาร margin ว่าหากหุ้นเริ่มลง เราจะทยอยขาย ช่องละ 20000 หุ้น (ใช้แนวคิดบริหารแบบ dsm) และหลังจากนั้น ราคาหุ้นได้เริ่มลง เราก็ทำตาม แต่เราลืมนึกถึงสภาพคล่อง จึงทำให้ผิดแผน แต่ก็ทยอยขายไปเรื่อยๆ จน 2 บาท และได้ทำบัญชีไว้ หลังจากนั้น ต้องหาเงินกู้มาโปะหนี้สิน ประมาณ 1.5 ล้านบาท เมื่อเครียเสร็จ เราก็วางแผน ซื้อกลับ ทุก lot ที่ขายไป ช่องละ 20000 หุ้น ในตอนที่หุ้นขึ้น จนถึง5บาท และเผื่อเหตุการณ์ว่าขึ้นและลงไว้แล้ว ว่าอย่างไรก็สามารถรักษาสภาพ port ได้อย่างแน่นอน ไม่มีโอกาสโดน call margin" ผมไม่เข้าใจหลักการณ์นี้ทั้งหมด 1.เรามีอะไรเป็นจุดสังเกตุ ว่าหุ้นเริ่มลง 2.ขาย 20,000หุ้น ต่อวันหรือต่ออะไรครับ 3.เพราะอะไรต้องขาย 20,000หุ้น และต้องเท่ากันตลอดเลยหรือ มีเหตุผลอะไรครับ 4.ถ้ามันลงและเด้งเป็นช่วงๆเราจะทำอย่างไร 5.ถ้าไม่เล่นมาร์จิ้นยังใช้หลักการณ์นี้มั้ย 6.เรามีอะไรเป็นจุดสังเกตุว่าหุ้นเริ่มขึ้น 7.ตอนซื้อกลับต้องซื้อ วันละ 20,000หุ้นใช่ไม๊ หรือไม่แน่นอน 8.ถ้ามันขึ้นสักพักแล้วปักหัวลงเป็นช่วงๆจะทำอย่างไร ขอบคุณคุณชินล่วงหน้าครับ ขอโทษถ้าผมถามซ้ำกับคนอื่น แต่ถ้าถามซ้ำก็บอกด้วยครับผมจะไปดู มันคือหลัก dsm ครับ ตัวเลข 20000 ต่อช่อง เกิดจากการเขียน excel ว่าต้องขายหุ้นช่องละเท่าไหร่ เช่น 3.88,3.86,3.84,3.82,3.8 จึงไม่โดน call margin ต่อให้ หุ้นลงไปถึง เท่าไหร่ก็ตาม และมีเงินพอซื้อกลับเมื่อหุ้นขึ้น ซึ่งรู้ได้ไงว่าหุ้นลง ผมเริ่มขายเมื่อหุ้นลงจากจุดที่เราซื้อครับ แค่นั้นเองครับ ส่วนซื้อกลับจะซื้อเมื่อหุ้นขึ้นมาระดับหนึ่งคือยืนได้แล้ว อย่างผมเริ่มซื้อกลับ 1.26 ครับ การซื้อๆ ซื้อ ตาม ราคาที่ขึ้นครับ ช่องละ 20000 เช่น 2.02,2.04,2.06 ถ้าหุ้นลง ก็ทยอยขายตามแผนต่อครับ มันเป็นการคุมport เพื่อเพิ่มหุ้นครับ แต่ผมนำมาประยุกต์กับมาร์จิ้นครับ ส่วนว่าน่าใช้ไหม หลังจากจบเกมผมทำลาย excelทันทีครับ ไม่คิดจะแนะนำใครให้ลงทุนเกมนี้ เพราะ เป็นเกมที่ต้องทำตามแผนได้สมบูรณ์ ดังนั้นถ้าราคา โดดลง แบบเหตุการณ์ แปลกๆ ต้องปรับเกมเป็นครับ ที่นำมาเล่า เพื่อให้เห็นรูปแบบ มาร์จิ้นที่ผมใช้ทั้ง 4แบบครับ
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 10:02 am
0
3
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
ขอบคุณมากเลยครับ คุณชิณณ์ออกรายการให้ดูแล้ว ยังห่วงใยตามมาอธิบายเพิ่มเติมให้อีก นับถือครับ :bow: ตอนผมดูยังนึกว่าน่าจะขยายความเรื่องมาร์จิ้นซะหน่อย อ.ไพบูลย์เหมือนเกรงว่าจะนำไปใช้ผิดและเกิดความเสียหายได้ แต่เท่าที่ทราบดร.นิเวศน์ก็เคยใช้มาร์จิน ไม่ทราบว่าวิธีการวางแผนแบบคุณชิณณ์ที่ซื้อขายเป็น step ในกรณีที่ราคาหุ้นผันผวนขึ้นลงเพื่อกันการ call margin มีกรณีอื่นที่อาจจะนำไปใช้ไม่สำเร็จได้ไหมครับ นอกจากกรณีที่หุ้นมี volume ซื้อขายน้อยแล้ว ขอบคุณสำหรับคำถามครับ ต้องเผื่อ กรณีเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากๆครับ เช่น 911 ดังนั้น จังหวะซื้อต้องเตรียมสถานการณ์ว่าภายในกี่เดือน ที่หุ้นจะเริ่มมีประเด็น เพื่อลดเวลาที่เสี่ยงให้สั้นลง เช่น jas ผมรู้ว่า q3/53 ราคากระโดดแหงๆ เพราะ q3/52 ขาดทุนหนัก และหากตก ที่ 30 % flooor ต้องมีทางแก้ โดยมากผมกันไว้ 50% ของราคาปัจจุบันครับ แล้วต้องประเมินราคาเหมาะสมถูกต้อง หมายความว่าหุ้นของเราต้องขึ้นชัวร์
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 1:30 am
0
2
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
อยากย้ำอีกครั้งครับ ว่า ผมเป็นคนขี้กลัวมากๆ ดั้งนั้นผมทำอะไรจะวางแผนมาละเอียดมากครับ นั่งคำนวน แผนการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดเวลาครับ และเวลาเกิดความผันผวน ผมจะกลับมาดูexcelแผนที่วางไว้ตลอดครับ ไม่ให้อารมณ์ ควบคุมการ ซื้อขายเลยแม้แต่น้อยครับ
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 12:06 am
0
13
Re: Money Talk@TNN2 .... คุณ Chinn แห่ง Thai VI
เนื่องจากผมเข้าใจผิด นึกว่ารายการจะมีอีกตอนนึง เลยเก็บส่วนอธิบายการจัดการความเสี่ยงไว้ตอนท้าย จึงขออนุญาติมาอธิบายเพิ่มเติมตรงนี้ครับ นอกจากการเลือกหุ้นที่สามารถผ่านมรสุมได้แน่ ผมมีการจักการ บริหารความเสี่ยง port ดังนี้ ช่วงที่ผมลงทุน มี 4 ช่วงครับ **************************************************************** ช่วงแรก ช่วงตั้งไข่ ผมเริ่มลงทุนใน psl เงินลงทุนยังไม่มาก จึงซื้อด้วยเงินทั้งหมดและยืมเงินเดือนในอนาคต มาซื้อหุ้นก่อน ประมาณว่ามีปัญญาจ่ายหนี้ และเป็นการกู้เงินมาลงทุนจากคุณแม่ 200000 เบ็ดเสร็จ มีหุ้น psl ประมาณ 30000 หุ้น ที่ต้นทุน 17 บาท คือซื้อตอนขึ้นตลอดทาง ตั้งแต่ 10 ถึง 25 บาท เท่าที่เงินเดือนจะออก ในตอนนั้น จึงไม่มีความเสี่ยงจากการกู้ *********************************************************** ช่วงที่สอง เป็นช่วงเร่ง port ช่วงนี้เป็นช่วงที่อันตรายที่สุดในชีวิต ผมซื้อหุ้น acl ที่ราคา 4 บาท ประมาณ 2 ล้านหุ้น โดยเป็นเงินกู้ประมาณ 3ล้านบาท แล้ววางแผนในการบริหาร margin ว่าหากหุ้นเริ่มลง เราจะทยอยขาย ช่องละ 20000 หุ้น (ใช้แนวคิดบริหารแบบ dsm) และหลังจากนั้น ราคาหุ้นได้เริ่มลง เราก็ทำตาม แต่เราลืมนึกถึงสภาพคล่อง จึงทำให้ผิดแผน แต่ก็ทยอยขายไปเรื่อยๆ จน 2 บาท และได้ทำบัญชีไว้ หลังจากนั้น ต้องหาเงินกู้มาโปะหนี้สิน ประมาณ 1.5 ล้านบาท เมื่อเครียเสร็จ เราก็วางแผน ซื้อกลับ ทุก lot ที่ขายไป ช่องละ 20000 หุ้น ในตอนที่หุ้นขึ้น จนถึง5บาท และเผื่อเหตุการณ์ว่าขึ้นและลงไว้แล้ว ว่าอย่างไรก็สามารถรักษาสภาพ port ได้อย่างแน่นอน ไม่มีโอกาสโดน call margin จึงเท่ากับเรากำไรทุก lot ที่ขาย เป็นเหตุการณ์เดียวที่จัดการ margin อย่างอันตรายที่สุด เพราะได้ซื้อในปริมาณมากตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากไม่ได้คิดถึง สภาพคล่อง ********************************************************* ช่วงที่ 3 ลงทุน jas ณ จุดเริ่มต้น ผมเข้าซื้อ jas ที่ราคา ไม่เกิน 0.45 โดยกู้ margin โดยคำนวนว่าหากหุ้นราคาตกลงไป เราสามารถถอนเงินจาก od ด้วยการเอาบ้านทุกหลัง ของครอบครัวไปค้ำเพิ่ม ทำให้ปลอดภัยจากการโดน call margin หากราคา jas ไม่ต่ำกว่า 0.25 และได้วางแผน ทยอยซื้อ ตั้งแต่ 0.5 0.55 0.6 ไปจนถึง 1 บาท ในปริมาณที่ปลอดภัย คือมีการวางแผนอย่างรัดกุม จึงไม่มีโอกาสโดน call margin และหากราคาเกิดเปลี่ยนทาง ผมจะดึง หุ้นออกบางส่วนทันที โดยมี step ขายตลอดทางลงเช่นกัน (หากเกิดขึ้น) การลงทุนใน dtac ภายหลังก็ใช้วิธีนี้เช่นกันครับ ********************************************* ช่วงที่ 4 ช่วง play safe ผมเริ่มลงทุน หุ้นตัวหนึ่ง โดยเป็นตัวหลัก จะใช้เงินสดทั้งหมด แต่จะเริ่มกระจาย margin ไปยังหุ้นที่ เรามองว่าดี แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาขึ้น เพื่อ หลังจากที่เราได้ขายหุ้นตัวหลัก เราก็จะใช้หนี้ได้ และซื้อหุ้นเพิ่มในภายหลัง ซึ่งวิธีนี้ คือ ที่ผมใช้อยู่จึงบอกได้ว่าปลอดภัยมาก เพราะ ได้กันราคาไว้ลึกมาก หากคิดเป็นสัดส่วน ได้ว่า เงินทุน 85 เงินกู้ 15 ดังนั้นหากมีการผิดพลาด ผมเพียงขายหุ้นบางส่วนก็ไม่เหลือหนี้แล้วครับ และผลคือ ผมได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าใช้เงินสด 17% ในขณะที่ความเสี่ยงเท่าเดิมครับ ***************************************************** ในด้านการวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น ผมไม่เคยวิเคราะห์พลาดครับ ไม่ใช่เพราะผมเก่งนะครับ แต่เพราะผมลงทุนแต่สิ่งที่ผมเข้าใจทั้งหมดครับ สังเกตุจะเห็นว่าเป็นธุรกิจง่ายๆ ทั้งหมดครับ ****************************************** ผมค่อนข้างกังวลหลังจาก บันทึกเทปว่า จะทำให้ผู้ชมรายการเข้าใจผิดไปหมดในเรื่องของการใช้ margin จึงขออนุญาติ อธิบายตามนี้ครับ
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 12:03 am
0
34
Re: The Quest: Energy, Security, and the Remaking of the Mod
กำ จะกด+ ดันปุ่มเล็ก โดนลบ แทน ขออภัย และขอบคุณสำหรับบทความครับ
โดย
chinn
เสาร์ ม.ค. 07, 2012 7:12 pm
0
0
Re: (ยังไม่มีใครตั้ง) ผลตอบแทน 2554 เป็นอย่างไงกันบ้าง
+ 110% กว่าๆ ครับ ปี 2553 ตั้งใจว่าจะเลิกเล่นหุ้นแล้ว แต่ เบื่อพนักงานแบงค์ โทรหาเงินฝากกันจัง ให้ปรับไปถือนั่นนี่ สุดท้ายถอนไปฝากไว้ในหุ้นดีกว่า คุยกับมาร์คนเดียวพอ ช่วงต้นปี 2554 เลยเริ่มหาหุ้น มองง่ายๆ เข้า web ที่ ranking stock กด dividend มองผ่านๆ ดูว่าอะไรธุรกิจนิ่งๆ แล้วเราเข้าใจเจอ 2 อุต คือ ไฟฟ้า กับ มือถือ คัดเลือกหุ้นมา มี advance dtac glow ratch egco ทำการศึกษา 1 คืนเต็ม dtac ถูกมากที่สุด เมื่อมองจาก กระแสเงินสด บวกกับมองsmart phone ผ่าน demographic การใช้data ต้องไปไกลกว่านี้แน่ๆ ตอนนั้นแฟนจับเล่น smart phone แล้วเลยเข้าใจ ว่าคนเห็น แต่ยังไม่มีก็ต้องอยากได้แน่ๆ ปันผลต่ำๆ ก็ 7% มองกระแสเงินสดเงินเหลือเยอะมาก ไปดู telenor เห็นว่ามีปัญหาที่อินเดียกับบังคลาเทศ เดาว่า คงมีปันผลพิเศษแน่ๆ จากกระแสเงินสดที่เหลือมากเกินกว่าจะทำ 3g และปัญหา nominee กับ เงินลงทุนที่อินเดีย วันที่เริ่มทำการศึกษา ราคาอยู่42 ได้ซื้อ 48-55 ก็ซื้อ ยังคุ้ม ซื้อตัวเดียว + margin ราคาที่ 72-80 มีการลด เงินกู้ เพราะใกล้เป้าหมาย+เจอหุ้นเป้าหมายใหม่จึง ดึงทุนกลับ พอประกาศปันผลพิเศษจริง ก็ขายหมด ไม่ค่อยอยากได้ xd เพราะ dividend มีคนอยากได้กันเยอะ ทำให้ขายหุ้นได้ง่าย หลัง xd กลัวคนไม่อยากได้กันแล้ว จบละครับเหตุการณ์ปีที่แล้ว ไว้ปีหน้ามาตั้งกระทู้ใหม่ คงมีเรื่องมาเล่าใหม่
โดย
chinn
ศุกร์ ม.ค. 06, 2012 10:37 am
0
11
Re: อยากหา partner VI ก่อตั้งกองทุน VI รูปแบบบริษัทครับ
ถ้าคิดแค่เมืองไทย อะไรก็ไม่ได้ครับ ตั้ง trust ที่สิงคโปร แล้วลุยหุ้น ตปท สิครับ หากผมตั้งทีมอยากได้คนที่อยู่ ตปท แบบประชากรประเทศนั้นๆเลย
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2012 4:17 pm
0
0
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
ขอบคุณ สำหรับความห่วงใยนะครับ คุณ Mincho อาการปวดหลังดีขึ้นเยอะแล้วครับ แต่ทำ File นี้ ก็ปวดหลังใหม่ครับ เลยอยากให้ทุกคนได้ใช้ จะได้แชร์ต้นทุนการปวดหลังผมไป :D :D :D
โดย
chinn
เสาร์ ต.ค. 01, 2011 10:07 am
0
7
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
http://www.tempf.com/getfile.php?id=1060442&key=4e85c641d7a79 ถ้าเปิดไม่ได้ลองอันนี้นะครับ
โดย
chinn
ศุกร์ ก.ย. 30, 2011 8:48 pm
0
1
Re: กฎของ 72 คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้
ผมชอบเล่นกับตารางดอกเบี้ยทบต้นมากกว่าครับ ว่า ตอนนี้มีเท่านี้ กี่ % กี ปี มีเท่าไหร่ สร้างฝันให้กับตัวเองเล่นๆ ไม่ได้คิดว่าต้องได้เท่าตัวภายในกี่ปี แต่คิดว่า เท่าไหร่พอสำหรับปันผลเลี้ยงชีพ แล้วจะมีเท่านั้น เมื่อไหร่ และต้องทำอย่างไร อีกอย่าง ผลตอบแทนไม่แปรผันตามความเครียดครับ เร่งมากไม่ได้แปลว่าเครียดมากครับ เพราะมันเร่งไม่ได้ และผมว่าไม่ควรเครียดนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เสี่ยงมากไม่ใช่ได้มากครับ แต่ต้องไม่เสี่ยงถึงได้มาก (คือเรารู้ทุกมุมทุกจุดอย่างชัดเจนแล้ว ราคาห่างจากทีควรจะเป็นสูงมากๆ มันจะไม่เสี่ยงเลย แถมได้มากอีกต่างหาก) เห็นด้วยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ครับ พอร์ตเรา แข่งกับความอยากของเราแค่นั้นเอง ลงทุนในหุ้น ทำไปเรื่อยๆครับ เห็นโอกาส และไม่เสี่ยงก็ลงทุนครับ
โดย
chinn
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2011 3:06 pm
0
5
Re: ถ้า PE เป็นลบ แต่ EV/EBITDA เป็นบวกแปลว่าอะไรได้บ้างครับ
5เท่า คือราคาที่อยากซื้อครับ หวังกำไร 100% 10 เท่าคือราคาปกติในใจ
โดย
chinn
เสาร์ ก.ค. 23, 2011 5:07 pm
0
1
Re: ถ้า PE เป็นลบ แต่ EV/EBITDA เป็นบวกแปลว่าอะไรได้บ้างครับ
ขอบคุณคุณ chinn ที่เข้ามาตอบครับ จริงๆแล้วผมถามคำถามนี้ก็เพราะผมอ่านบทความวิธีการเลือกหุ้นจากคุณ chinn ที่พูดถึงการดู ev/ebitda นี่แหละครับ ผมว่ามันน่าจะทำให้เราเจอหุ้นที่นักลงทุนท่านอื่นมองข้าม แต่จริงๆแล้วกิจการมันน่าจะดี เลยลองเอาปัจจัยนี้มาดู พอเห็นบางตัว pe เป็น - แต่ ev/ebitda เป็น + แล้วมีค่าน่อยกว่า 1 อีก ดูแล้วเหมือนดีเลย เหมือนกับว่าถ้าเราซื้อหุ้นทั้งหมดแล้วควักเงินจ่ายเจ้าหนี้ให้ด้วย แค่เงินสดที่เข้าบริษัทไม่ถึงปีก็ได้ทุนคืนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแปลอย่างนั้นถูกหรือเปล่าเลยอยากจะรู้ว่าเพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรครับ ถ้าดูปัจจัยนี้อย่างเดียว ผมว่า ดีมากครับ แต่ดูต่อว่า กระแสเงินจากการดำเนินงานที่ได้จะอยู่แบบนี้ไปตลอดไหม กับ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ผู้บริหาร เขามีเป้าหมายอะไร บางกิจการ ตัวเลขนี้ดี แต่ผู้บริหารผ่องออกหมด ด้วยการซื้อสินทรัพย์ไปเรื่อยๆ แถมถือหุ้นใหญ่ จนเรา ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร จะไป กู้แบงค์มา take ก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็ไม่ซื้อครับ อย่างตอน jas ภาพ แบบนี้และ ผู้ถือหุ้นใหญ่เขาไม่ผ่องเงินออก ผมเลยเสนอในที่ประชุมให้ปรับตัวเลข ภาพทางบัญชีเลยเปลี่ยน ปล. เรื่อง EBITDA ผมคิดว่าเป็นตัวเลขที่ผมพอจะบอกให้คนอื่นทราบว่าอย่าดูกำไรทางบัญชี ให้ดูกำไรตัวเลขจริงๆ ซึ่งจริงๆมันยังไม่ใช่ EBITDA ครับ แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่าดูยังไง เพราะ ผมมองแบบ ดูการไหลของเงิน จะลองพยายามอธิบายนะครับ เช่น dtac ไตรมาสนี้(q2/2554) เริ่มต้น ผมมอง EBITDA 14000 ล้าน หัก ภาษี 2000 ล้าน แสดงว่ามีเงินไว้บริหาร 12000 ล้านต่อ 6 เดือน คิดง่ายๆ ปีละ 24000 ล้าน เพราะกิจการอยู่ในช่วงขาขึ้น ลงทุนเฉลี่ย ปีละ 8000 ล้าน เหลือ 16000 ล้าน ผมก็ถือว่ากิจการทำเงินได้ปีละ 16000 ล้าน (ซึ่งบางคนอาจเรียก FCF ) ถ้าผมยอมจ่าย 10 เท่า ก็ 160000 ล้าน เอาไปแทนในสมการ ก็จะได้ว่า EV = 160000ล้าน = mkt cap + net debt เงินสดที่มีอยู่ 20000 ล้าน หนี้สินจริงๆ ประมาณ 9000 ล้าน แสดงว่า net debt -11000 ล้าน นำไปแทนค่าในสมการ 160000 = mkt cap - 11000 171000 = mkt cap ถ้าไม่เกินราคานี้ผมก็ถือว่า หุ้น dtac ยังไม่แพง แบบ ไม่ต้องมอง growth ซื้อแล้ว ถือใจเย็นๆ รอการเติบโตได้สบายใจ เรื่องนี้มันเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่ง การซื้อของถูกสำคัญ เพราะทำให้ปลอดภัยระดับหนึ่ง แต่การซื้อของดี มีการเจริญเติบโตที่ดี และไม่กระทบต่อสิ่งต่างๆ อยู่ใน เทรนของสังคม สำคัญกว่า อีกทั้ง ผู้ถือหุ้น และผู้บริหาร dtac มาจาก นอร์เวย์ ทำให้ผมสบายใจได้ว่าไม่มีการผ่องเงินเข้าผู้บริหาร หลังจากที่ผม post อันนั้นผมก็พบว่า ผมยังไม่พร้อมที่จะถ่ายทอด idea เพราะ เหมือนเราว่าน้ำเป็นแต่ไม่รู้ว่า จะถ่ายทอดอย่างไร
โดย
chinn
ศุกร์ ก.ค. 22, 2011 9:00 am
0
3
Re: อ่านให้มันมากกก
:bow: :bow: :bow: ขอบคุณ คุณ IH และ คุณ Hongvalue มากเลยครับ อ่านมันส์มากกกกกกกกกกกกกก :D
โดย
chinn
พุธ ก.ค. 20, 2011 12:09 am
0
1
Re: ถ้า PE เป็นลบ แต่ EV/EBITDA เป็นบวกแปลว่าอะไรได้บ้างครับ
reply จากหัวข้อนี้ มีอะไรให้คิดเยอะดีครับ ประเด็นแรก ev ติดลบได้นะครับ สมมุติบริษัท ค้าปลีก mkt cap 1000 ล้าน ไม่มีหนี้ที่ต้องจ่ายจริงมีแต่หนี้หมุน เงินสดส่วนเกินจากการขายสินค้า 2000 ล้าน ไม่รู้ตรงตามตำราไหม แต่ ถ้าแบบนี้ผมถือว่า ev ติดลบ ถ้ากู้มา TAKE OVER ได้ก็กู้มา TAKE เลย :D ประเด็นที่สองที่ว่า ebitda วอร์เรน บัฟเฟต์ ไม่ใช้ ผมมองว่าถ้าหัวใจหลักของการเป็น vi คือ เราซื้อหุ้นเพื่อเป็นร่วมเป็นเจ้าของกิจการ ประโยคข้างต้น ไม่น่าจะเป็นหลักการ Ebitda ผมว่า ดูก็ได้ประโยชน์นะครับ FCF ก็ดูได้ประโยชน์นะครับ ตรงกันข้าม P/E ผมว่า ไม่ค่อยได้ประโยชน์ ในสมัยนี้ เพราะ นักลงทุนดูเป็นหมดแล้ว หุ้นดีๆและมี P/E ต่ำๆ หายาก เพราะคนถือก็คงไม่ขาย ถ้า P มันลงไปเยอะ ผมเห็นหุ้น P/E ต่ำมากๆ มักมีกระแสเงินสด ไหลออกไปทาง ลูกหนี้การค้าบ้าง หรือมีข้อเสียบางอย่างที่ทำให้ต้องระวังบ้าง ระยะเวลาของ E นั้นไม่ยั่งยืนบ้าง กลายเป็นว่าดู P/E ต้องมองให้ขาดไปอีก step การจะหาหุุ้นที่จะทำกำไรเยอะๆ ผมว่าหาหุ้นที่P/E สูงๆ แต่ EV/EBDA + แล้ว D กับ A ค่อยๆ ลด มี FCF สูงๆ และมีการลงทุน และบริหารกระแสเงินที่ดี ที่ส่งผลกระทบที่ดีต่อ earning ในอนาคต หุ้นนั้นก็จะกลายเป็นหุ้น Turn Around ไป แต่ในส่วนที่ บัฟเฟต์ ว่า การดู EBITDA เหมือนการหลอกตัวเอง ผมก็ว่า ถูกในบางหุ้น แต่ไม่เสมอไป ดังนั้น สุดท้าย ผมว่าการลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ แต่มีหลักคิด นั่นก็คือหัวใจของการลงทุนที่ว่า การซื้อหุ้นเพื่อร่วมเป็นเจ้าของ เราเลยต้องอ่านให้ขาด เข้าใจให้หมดในกิจการนั้นๆ
โดย
chinn
อังคาร ก.ค. 19, 2011 11:33 pm
0
1
Re: เป็นไปได้ไหมที่ผุ้ตามจะประสบความสำเร็จ
ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นในแต่ละตัว ที่เข้าไปดูนักหรอกครับ แต่จะเข้าไปดูจนกว่าจะเข้าใจในทุกมุม ที่สำคัญต่อการลงทุน ส่วนที่นอกเหนือ ถ้ารู้ก็ไม่เสียหาย มันมีหลักในการพิจารณาไม่มาก ไม่ต้องรู้เยอะมากขนาดนั้น 1) แนวโน้ม (ส่วนใหญ่ผมดูจากรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนไทย หรือความเป็นไปของโลก) เพื่อมองหารูปแบบของกิจการที่น่าสนใจ 2) ความคุ้มค่าในการลงทุน โดยมองจากมูลค่าซื้อทั้งกิจการว่า คุ้มไหม ถ้าได้ กระแสเงินแบบนี้ โดยต้องอิงกับข้อ 1 เพราะเราต้องแน่ใจว่า ในระยะยาวกระแสเงิน รับ ของกิจการจะเป็นอย่างนั้นตราบเท่าที่เรายังลงทุนอยู่ 3) ความเสี่ยง ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ใด ที่ทำให้บริษัทมีอันตรายบ้าง มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่ง ข้อนี้ควรให้ความสำคัญมากที่สุด โดยเป็นขั้นสุดท้ายก่อนทำการลงทุน ผมลงทุนในหุ้นสื่อสาร ผมก็พบว่า ผมรู้น้อยกว่าคนที่อยู่ในวงการเยอะ แต่คนในวงการกลับมองบางมุมที่ไม่สำคัญว่าสำคัญ และตัดสินใจผิดได้ เช่นสวัสดิการไม่ดี ลูกค้าบ่น หากเรารู้ว่าอะไรเป็น Key หลัก ที่เราจำต้องรู้ Detail ปลีกย่อยหลายๆอย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้ ผมว่า เรื่องการลงทุน ไม่ยากเกินที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่ หมอ ก็ลงทุนโรงพยาบาลได้ ************************************************** ส่วนการเป็นผู้ตามจะสำเร็จไหม ผมว่าอยู่ที่ตามเป็นไหม อ่านความคิดเขาแล้ว เห็นหลักคิดไหม อย่างช่วงแรกของการลงทุน ผมก็ลงทุนในเดินเรือ ก็เรียกว่า ตาม ผู้รู้(คุณ Invisible Hand ) แต่เรารู้ว่า มุมมอง เป็นอย่างไร เข้าใจคำว่า วัฏจักร ประเมินความเสี่ยงได้ ก็สำเร็จนะ ได้กำไร 5เท่าตัว ในเวลา 3 เดือน จนถึงปัจจุบัน ผมยังจำไม่ได้เลย ว่า Jeshi คืออะไร ต้นทุนOperate ต่อวันต่อเรื่ออยู่เท่าไหร่ แต่ก็สามารถบอกได้ระดับหนึ่งว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่ ปัจจัยในที่จะต้องเอามาพิจารณาในกิจการนั้นๆ ******************************************** ผมว่าคนเราเรียนรู้ได้นะครับ การลงทุนผมว่าก็เปรียบเหมือนสายสังคม ไม่ยากเกินเรียน ตามไปเรี่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อย สักวันก็คงเป็นผู้นำ
โดย
chinn
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 3:57 pm
0
2
ตั้งเป้าหมาย retire ที่อายุเท่าไหร่ และ พอร์ตใหญ่แค่ไหน
เห็นด้วยกับคุณหมอครับ เงินสำคัญตอนที่มีไม่พอกับกิเลสเท่านั้น ส่วนเกินกิเลส มีมากก็เท่านั้น ถ้าลดกิเลส ส่วนจำเป็นก็น้อย ถ้ากิเลส หนาๆ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ส่วนที่จำเป็นในชีวิตต่อวัน ผมว่า ไม่เท่าไหร่หรอก วันละ 500 ก็มากแล้ว *********************************** ผมออกจากงานมา เพราะไม่รู้จะทำงานมาร์ต่อเพื่ออะไร แนวทางการทำงานที่ดีต่อบริษัท มันขัดกับ แนวทางการช่วยเหลือผู้คนด้านลงทุนที่ดี และการที่เราออกมา ได้ช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่จะตกงาน ได้มียอดซื้อขาย มีลูกค้า มีรายได้(เพราะเราโอนให้) ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องใช้รายได้ส่วนนี้แล้ว *********************************** คำว่า Retire ผมจึงคิดว่า ไม่ใช่ หยุด ไม่ทำงาน แต่เป็นการทำงานที่อยากทำจริงๆ ตอนนี้ผมทำงานที่อยากทำ จริงๆ คือการลงทุน หาข้อมูลเพื่อลงทุนอย่างเต็มที่ โดยกำหนดเวลาได้เอง เข้างาน ออกงานเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องให้บริษัทมากำหนดว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ สอนหรือแนะนำ การลงทุน ไปเรื่อยเพื่อความสุขใจที่ได้ทำอะไรให้ผู้อื่น ออกกำลังกาย ทำบุญตามโอกาศ เพื่อความสุขใจและกาย ของตนเอง *********************************** เต่ลึกๆในใจ คิดเสมอว่า มันแค่นั้น ไม่มีค่าอะไร ทุกสิ่ง เหมือนแค่ฝัน พอเหตุการณ์ ผ่านไป ก็ทิ้งไว้แค่ความทรงจำ กิน กาม เกียรติ ทำให้มีความสุขแค่ตอนได้มา และไม่ทุกข์ที่ไม่ได้มา แต่ได้มาแล้ว ก็แค่นั้น ต้องวิ่งไขว่คว้าที่ดีขึ้นต่อ เพราะ เฉยๆกับสิ่งที่ได้แล้ว
โดย
chinn
พุธ เม.ย. 21, 2010 9:42 pm
0
3
ตั้งเป้าหมาย retire ที่อายุเท่าไหร่ และ พอร์ตใหญ่แค่ไหน
...........................ซื้อคืนหุ้น และกู้ Margin ซื้อ แบบราคา ขึ้นก็ซื้อ เพิ่ม ทุกราคาตั้งแต่ 1.24 จนถึง 5 บาท โดยกันความเสี่ยงทุก STEP เป็นยังไงครับ?? ทุกระดับราคาสุดท้ายที่ซื้อคำนวนความเสี่ยงว่า callราคาไหนถ้าหุ้นเริ่มหักหัวลงขายlotราคาต่ำออกบางส่วนไปเพื่อกันไม่ให้โดนcall พอหุ้นย้อนกลับก็เพิ่มหุ้นใส่ใจกับความเสี่ยงและโอกาศที่จะเกิด เป็นหลัก ราคาสุดท้ายที่ซื้อ5บาท ผมกันความเสี่ยงไว้ประมาณ2.5 ครับถ้าจำไม่ผิด
โดย
chinn
พุธ เม.ย. 14, 2010 3:59 pm
0
0
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
ตอนที่ยังแสวงหาอิสระภาพทางการเงินอยู่ มาร์จิ้นช่วยผมได้มากแต่ต้องชัดเจนว่าระดับที่ใช้เสี่ยงแค่ไหน โดนราคาเท่าไหร่ เป็นไปได้แค่ไหนแล้วจะแก้อย่างไร ตอนนี้แม้จะไม่ต้องเสี่ยงแล้ว ผมก็ยังใช้ margin หัวใจสำคัญของการใช้margin คือต้องไม่เสี่ยง
โดย
chinn
พุธ เม.ย. 14, 2010 7:14 am
0
1
ตั้งเป้าหมาย retire ที่อายุเท่าไหร่ และ พอร์ตใหญ่แค่ไหน
อายุ 29ครับ ไม่ทำงาน และไม่กลับไปทำงานประจำอีกแล้ว ลาออกมาตอน Port 20 ล้านกว่าๆ ........................... เส้นทาง สร้าง Port เริ่มทำงานที่ธนชาต 18 กุมภาพันธ์ 2546 ได้ค่าคอมช่วงตลาด Boom เดือน 7-8-9 เดือนละเกือบแสน เอาเงินทั้งหมดไป ซื้อ Psl 10บาท ขาย 48บาท ต้นปี 2547 ทำให้Port เป็น 1.2 ล้าน หลังจากนั้น พ่อแม่ เติมเงินให้ 2 ล้าน เป็น 3.2 ล้าน Port นิ่ง อยู่หลาย2-3ปี เพราะถือ JAS ได้กำไรนิดหน่อย เดือน8 ปี 51 ทำ Pair Trade JAS กับ ACL ไปจนถึงเดือน 7 ปี 2551 มูลค่า Port เป็น 5.8 ล้านบาท เดือน7 ปี 2551 ซื้อACL 4 บาท แต่หุ้นลง จึง Short ทุกราคาจนถึง2 บาท (บังเอิญรู้จัก DSM เลยขายตอนACL หลุด Low) หลังจากนั้น ซื้อคืนหุ้น และกู้ Margin ซื้อ แบบราคา ขึ้นก็ซื้อ เพิ่ม ทุกราคาตั้งแต่ 1.24 จนถึง 5 บาท โดยกันความเสี่ยงทุก STEP เดือน 7 ปี 2552 เอาหุ้นทั้งหมดขายที่ 7 บาท ได้เงิน 28 ล้านบาท จึงลาออกจากงานประจำ เพื่อมาพักผ่อนและ ลงทุนอย่างเดียว ........................................................... ตอนนี้ ถือ JAS เพื่อรอปันผลในอนาคต และทำ Port แบบสร้างกระแสเงินสด หารายได้ชดเชย ส่วนเหลือจาก กิน ใช้ ก็เอามาสะสมหุ้นเพิ่ม ชีวิต อิสระมากขึ้น ตื่นสายก็ได้ นอนทั้งวันก็ได้ มีเวลาออกกำลังกาย เที่ยวศูนย์การค้า ช่วงที่คนทำงานได้เต็มที่ เดินสบาย แต่มีเรื่องให้คิดให้วางแผนเหมือนเดิม เพราะลงทุนในหุ้นเป็นอาชีพหลัก ตั้งแต่แรก ส่วน งานหลักก็เป็นแค่อาชีพเสริมมาหลายปีแล้ว .......................................... ปัญหาใหญ่ประจำวันคือ เที่ยงนี้กินไรดีว้า :lol: :lol: :lol:
โดย
chinn
พุธ เม.ย. 14, 2010 4:30 am
0
3
ระหว่างหุ้น 2 ตัว ตัวหนึ่งกำไรดีกว่า แต่ราคาตลาดแพง
ถ้าหลับตาจิ้มก็ต้องบอกว่าเลือก SIRIi แต่เทียบ LH กับ SIRI ก็คิดหนัก เลยไม่เลือกทั้งคู่ครับ เพราะไม่ชอบอุตสาหกรรมนี้
โดย
chinn
พุธ มี.ค. 17, 2010 12:22 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
chinn
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. ก.ย. 20, 2007 5:14 pm
ใช้งานล่าสุด:
ศุกร์ พ.ค. 23, 2014 9:31 am
โพสต์ทั้งหมด:
226 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.04 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว