หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
nirut
Joined: อังคาร ต.ค. 09, 2007 8:12 pm
29
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - nirut
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ทำไมลงทุนแล้วล้มเหลว
อะไรคือลงทุนระยะยาวครับ แล้วเติ่มเงินลงทุนทุก ๆ เดือนโดยหวังว่าเราจะมีความสามารถดูกิจการได้เก่งขนาดที่มองได้ไกลกันขนาดนั้น ผมรู้สึกว่ามันเหมือนประโยคล้างสมองแบบสมัครเป็นสามาชิกขายตรงยังไงยังงั้นเลยนะครับ
โดย
nirut
อาทิตย์ ก.ค. 23, 2017 2:00 am
0
0
Re: ชาว VI มีความเห็นอย่างไรกับ ทองคำครับ
มันไม่สำคัญว่าคืออะไร แต่สำคัญว่าความสามารถของเราคืออะไรครับ :)
โดย
nirut
พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2016 6:50 pm
0
6
Re: นาทีทอง
PE เฉลี่ยยังสูงอยู่ขนาดนี้ แถมผลประกอบการณ์ที่ออกมาผมว่าก็ไม่ดีซักเท่าใดนัก มันจะเป็นนาทีทองไหวหรือครับ
โดย
nirut
จันทร์ ส.ค. 24, 2015 5:37 pm
0
1
Re: PE ตลาดที่20 เท่า ในปัจจุบัน เหมือนกันกับปี 40 จริงหรอ?
เหมือนหรือเปล่าผมไม่ทราบครับ. เพราะตอนนั้นเพิ่งเรียนจบ. ความรู้เรื่ิองการลงทุนยังไม่มีเลย. แต่ถ้าเทียบการลงทุนตั้งแต่ที่ผมเริ่มลงทุนมาประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมาตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าราคามันแพงขึ้นไปมากเลย. แถมผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ก็ผลงานไม่ได้ดีอะไรมากมายนัก ไอ้ที่ดีจริง ๆ ก็ราคาแพงจนงงว่ามันจะคุ้มการลงทุนได้จริงไหม. ในช่วนนี้ผมกลับรู้สึกกลัวมากกว่าว่าเราจะทำผลตอบแทนได้คุ้มกับความเสี่ยงที่ถ้าตลาดมันตกลงอย่างแรงหรือเปล่า. :?
โดย
nirut
อาทิตย์ มี.ค. 01, 2015 10:33 pm
0
4
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
"ต้มยำกุ้ง ภาค 3" ..... หนังที่จา พนม ไม่ได้ร่วมแสดง ลงโรงเมื่อ...6 กค. 2556 เมื่อวานซืนฉายตอนสอง คนมาshare มา like เหลือ600 จากตอนแรก 1400 แต่คิดดูยังน่าคุ้มทุน เลยตัดสินใจถ่ายทำภาค 3 (ถ้าลดตำ่กว่า500 ก็คงต้องลาโรง เดี๋ยวเจ๊งเหมือนหนังท่านมุ้ย) ตอนนี้น่าจะวิชาการหน่อยนะครับ เพราะจะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหาของเหล่าพระเอกทั้งหลายที่มาร่วมชุมนุมกัน ใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าจะตั้งหลักเดินได้อีก ผมและดร.ศุภวุฒิ ค่อนข้างโชคดีที่มีโอกาสรับรู้ค่อนข้างใกล้ชิดในระดับ ริงไซด์ (ไม่ได้เพื่อเอาอินไซด์ไปหาประโยชน์อะไรนะ...ดักคอพวกจิตอกุศลไว้ก่อน) เพราะเราทำวิเคราะห์ วิจัยไว้เยอะ ตั้งแต่ก่อนวิกฤต มีข้อมูลที่ทางการไม่มีอยู่เยอะ แค่ปลายปี96 เราก็ค่อนข้างฟันธงว่าประเทศไทยน่าจะกำลังเดินหน้าเข้าสู่วิกฤติการเงิน ถึงจะมีความหวังบ้างว่าอาจจะมี soft landing (คำเพราะที่ไม่เคยเห็นมีใครทำได้สำเร็จ....รอดูจีนละกัน) แต่ก็ดูริบหรี่ เพราะการกัดลูกปืน(bite the bullets)ก่อนเกิดฉิบหาย ไม่เป็นที่นิยมของชาวประชา ไม่เคยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไหนทำได้(จีนถึงมีหวังไง) ฝ่ายวิจัยของภัทรฯ ทำเปเปอร์เรื่องนี้ไว้เยอะตั้งแต่ปลายปี96 อ.เปี๋ยมถึงกับแวะไป World Bank ที่DC เพื่อหาข้อมูลบทเรียนของวิกฤติที่เกิดก่อนเรา เช่น Mexico Sweden เราค่อนข้างมั่นใจว่า ค่าเงิน เอาไม่อยู่ แล้วสถาบันการเงินก็จะต้องมีปัญหาแน่(ตอนที่แล้วเล่าถึงงานวิเคราะห์ของคุณธีรพงศ์ วชิรพงษ์แล้ว ) น่าเสียดายที่เราตัดสินใจไม่เผยแพร่บทความ อย่างกว้างขวาง เพราะกลัวว่าท่านๆจะหาว่ามาทำลายความมั่นใจของมหาชน ที่พวกท่านกำลังสร้างกันอยู่ แล้วพอเกิดวิกฤติก็คงถูกใส่เกลียวเขาให้เป็นแพะ เป็นตัวการ ถูกรุมกระทืบตามธรรมเนียมสังคมไทย เหมือนพวกวิจารณ์เรื่องข้าวเน่า ข้าวเสีย ที่ทำให้ข้าวไทยขายไม่ออกไง(อ้าว...แวะไปอีกและ ไอ้เตา) เราได้เอาเปเปอร์ของเราไปนำเสนอให้กับ ลูกค้าสำคัญหลายคน รวมทั้งทางการ ทั้งคลังทั้งแบงค์ชาติ ซึ่งบ้างก็เชื่อบ้างก็ไม่เชื่อ เพราะคนอื่นๆ โหรศก.ที่มีชื่อเสียงสุดยอด ท่านก็ต่างยืนยันว่าไม่น่าห่วง เรายังโชติช่วงอยู่ โดยเฉพาะทางการประสารเสียงเดียวกันว่า"รู้แล้ว กำลังแก้อยู่ พวกมึงหุบปากได้ไหม อย่าโวยวายไป" สำหรับลูกค้าที่เชื่อ ก็ปิดposition เงินกู้ตปท. หรืออาจสร้างposition ตรงข้ามบ้าง ทำให้ไม่เจ็บหนัก แก้ไม่ยากภายหลัง และแน่นอน เราต้องเสนอต่อบ.ชินคอร์ป ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญที่สุดรายหนึ่งตลอดมา ดร.ทักษิณ ท่านเห็นด้วยกับงานวิเคราะห์ของเรา ทำให้ไม่มีความเสียหายจากค่าเงินเลย ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านได้อินไซด์จากดร.ทนง ก่อน ลดค่าเงิน ไม่น่าจะมีมูลความจริง เพราะท่านclear positionตั้งแต่ต้นปี ก่อนวิกฤติตั้งนาน ท่านเชื่อเราต่างหาก ที่น่าเจ็บใจ น่าเขกกระบาล สุดแรงก็คือตัวเราเอง ทำเป็นแสนรู้ขนาดนี้ ปิดpositionเงินกู้ตปท. แต่เราก็ยังคาดการณ์ความรุนแรงของวิกฤติผิดไปเยอะ เพราะบงล.ภัทรธนกิจ ทำเพียงแค่หยุดการเติบโต ผมไม่สามารถ convince ให้หดตัวอย่างรวดเร็วรุนแรงได้ เราถึงต้องปิดตัวเองลงในปลายปี 42 (ยื้อต่อได้แค่ 2 ปีเศษ) พอเกิดวิกฤติ เราก็เลยได้มีโอกาสร่วมให้ข้อมูลความเห็นกับทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ได้พบพูดคุยกับ ทีมIMF World Bank ADB คุณKerrigan(อดีตประธาน FED NY ที่ปรึกษาคุณธารินทร์) แม้กระทั่งKrugmanผู้โด่งดังจากวิกฤตินี้ แวะมาเมืองไทยยังแวะคุยกับเรา ส่วนทางการเราก็ได้ร่วมให้ข้อมูลรวมทั้งเสนอมาตรการต่างๆที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ ทั้งที่ถามมา หรือเราเสนอหน้าเอง(ก็รักชาติ อยากช่วยชาตินี่ครับ) ส่วนใหญ่ก็เป็นดร.ศุภวุฒิแหละครับ ผมคอยติดตามเพราะสอดรู้สอดเห็น และขอยืนยันว่าเราไม่เคยได้รับข้อมูลที่ไม่สมควรเป็นการตอบแทนใดๆเลย เล่าเบื้องหลังการถ่ายทำเสียยืดยาวขอกลับเข้าสู่ฉากหลักครับ พอเปลี่ยนรัฐบาลเพราะแกงค์งูเห่า ลงนามLOI ฉบับที่2 เมื่อ 25 พย.40 ทางIMF ก็ส่งทีมrescue นำโดยพระเอกหัวเกรียน Hubert Neiss มาประจำประเทศไทย ร่วมกับรัฐแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนที่สุด ระยะแรกจะต้องหยุดยั้งความระสำ่ระสาย สร้างเสถียรภาพให้เกิดให้ได้ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุ และเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจอยู่ วิกฤตครั้งนั้นเป็นวิกฤตภาคเอกชน ซึ่งกู้หนี้ยืมสินระยะสั้นจากตปท. มาลงทุน แล้วไม่มีผลผลิตออกมาให้คุ้มกับที่ลง พอเขาขอเงินคืนก็เลยควำ่ (ไม่เหมือนภาครัฐนะครับ เจ๊งแค่ไหนก็ยื้อต่อได้ เช่น Airport Link, Elite Card เงินภาษีซะอย่าง. ไอ้เตา...ไปอีกละ กลับม้าาา) ทีนี้พอลดค่าเงินก็เลยเจ๊งลึกใหญ่ เพราะกู้เขามา 100,000ล้านเหรียญ ตอนกู้ได้บาท 2.5ล้านๆ แต่พอเขาขอคืนที่ 50 บาทต่อเหรียญ ต้องคืน 5 ล้านๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องชักดาบ ไม่มีคืน ถ้าเป็นเอกชนก็พักหนี้ เจรจากันไป แต่ถ้าเป็นสถาบันการเงินเบี้ยวไม่ได้ ระบบล่ม รัฐจึงต้องเข้าช่วย เข้าคำ้ ต่อท่ออัดเงินเข้าไปตลอด เงินสำรองก็เหี้ยน เลยต้องไปแปะIMFไงครับ (มาเลย์โชคดี ที่ควำ่โดยยังไม่โดนโจมตี ไม่ทันได้สู้ สำรองไม่ร่อยหรอ คุณพี่มหาเด่ย์ เลยทำเท่ห์ได้ ไม่ต้องพึ่ง แถมด่า IMF ทุกวัน ใช้ ้Capital Control แก้ปัญหาแทน แถมโชคดีนำ้มันขึ้น เลยฟื้นเร็ว ขืนเราทำตามเละหยังเขียดแน่ ไม่รู้ป่านนี้ฟื้นหรือยัง) ถึงจะทำงานกันอย่างหนัก แต่กว่าจะสร้างเสถียรภาพได้ก็ล่วงไปไตรมาส ๒ ปี41 ค่าเงินเริ่มขึ้นจาก 55บาทต่อเหรียญ มาอยู่แถวสี่สิบต้นๆ แล้วก็เริ่มดุลยภาพแถวนั้น ไม่ผันผวนมากอีกร่วมสิบปี ก่อนจะค่อยๆแข็งขึ้นมาให้ผู้ส่งออกที่ไม่เคยคิดจะปรับปรุงผลิตภาพร้องโอ๊กอยู่ทุกวันนี้. จากนี้จะขอเล่าการแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไม่เล่าตามtime line แล้วนะครับ เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือเรื่องระบบสถาบันการเงิน ตอนเกิดวิกฤต มีเงินให้กู้ทั้งระบบ อยู่ประมาณ 6 ล้านๆบาท ซึ่งโดยเฉลี่ย สถาบันการเงินจะมีเงินกองทุนอยู่ประมาณ 12% คือ 700,000ล้าน สุดท้ายNPL เราไปหยุดที่เฉลี่ย 45% คือ2.7 ล้านๆบาท โดยทั่วไปในวิกฤติเศรษฐกิจ NPL recovery rate อย่างเก่งก็ได้ 55% (สวีเดน ส่วนเม็กซิโกได้แค่สี่สิบกว่าๆเอง) คือจะเสียหายครึ่งหนึ่งซึ่งก็คือ 1.35ล้านๆ ซึ่งมากกว่าเงินกองทุนอยู่ 650,000 ล้าน ซึ่งโดยหลักรัฐที่เป็นผู้คำ้ประกันเงินฝากและหนี้สิน จะต้องรับภาระส่วนนี้ (นี่ประเมินคร่าวๆนะครับ เพราะจริงๆรัฐเสียหายรวมจากการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน 1.4ล้านๆบาท จากกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รวมดอกเบี้ย อาจได้คืนบ้างจากทรัพย์สินที่มีอยู่...ธปท.น่าจะประกาศบ้างเป็นระยะนะครับ เหมือนที่เรียกร้องให้เค้าประกาศเรื่องข้าวน่ะครับ) และไม่มีสถาบันการเงินไทยไหนเลยที่มี NPL ตำ่กว่า 40% และมีเงินกองทุนเกิน 15% สรุปได้ว่า ทุกแห่งมีเงินทุนติดลบ ซึ่งแปลว่า ในที่สุดจะเจ๊งเรียบ รัฐซึ่งเป็นผู้คำ้จะต้องเข้ายึดเป็นของรัฐหมด เรื่องความเสียหายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่จะต้องมีระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อหล่อเลี้ยงระบบศก.สำคัญกว่า และถ้าทุกธนาคารเป็นของรัฐทั้งหมด ลองนึกภาพว่า เรามีแต่ธนาคารอิสลาม ธนาคารSMEs อาคารสงเคราะห์ ออมสิน สิครับ มันเป็นที่ยอมรับทั่วโลก แล้วว่าถ้ารัฐทำ ไม่ห่วย ก็เ-ี้ย หรือของขาด ทีนี้เลยเป็นโจทย์ใหญ่แสนยากของคลัง ธปท. และIMF ว่าทำอย่างไรจึงจะให้ระบบคงอยู่ และยังเป็นของเอกชนในสัดส่วนที่สูง โดยที่จะต้องไม่เข้าไปอุ้มผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร อย่างไม่สมควร ซึ่งพระเอกของเราทำได้สำเร็จ เป็นเรื่องของฝีมือ เก่ง บวกด้วยเฮงด้วยอีกนิดหน่อย ขอขยายให้ฟัง - ขั้นแรกถึงจะเจ๊งหมด ก็ต้องแกล้งบอกว่ายังไม่เจ๊งก่อน เพราะไหนๆรัฐก็คำ้แล้ว วิธีการก็คือ แทนที่จะให้บันทึกความเสียหายทั้งหมดในคราวเดียว ก็ยอมว่า ถ้าหนี้ค้างยังไม่ถึง12เดือน ก็ถือว่ายังไม่เสียมาก(แค่ตุๆ) ไม่ต้องตั้งสำรองเต็มที่ แถมการตั้งสำรองก็ให้เวลาตั้งสามปีห้าปี มาตรฐานBIS ยกเว้นให้ก่อน ซึ่งเป็นการซื้อเวลา ให้ไปแก้คุณภาพสินทรัพย์ทางหนึ่ง กับให้ไปหาเงินมาเพิ่มทุนที่ติดลบอีกทางหนึ่ง (ดูเผินๆคล้ายโครงการจำนำข้าวที่บอกว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน เพียงแต่วัตถุประสงค์ ความโปร่งใส ชัดเจนกว่าเยอะ) - กระนั้นก็ตาม ถ้าธนาคารไหนไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากเงิน และผู้ให้กู้ได้ ต้องใช้เงินช่วยที่ ธปท.ต่อท่อให้เกินระดับทำให้ท่อแทบแตก รัฐก็จะเข้าควบคุม และยึดเป็นของรัฐ รวมทั้งหลังจากให้เวลาแล้วถ้าใครยังแก้ไขเงินกองทุนไม่ได้ก็ถูกยึด ถูกยุบ ถูกรวม เหมือนกัน จึงจะเห็นได้ว่า ในที่สุด กว่าครึ่งก็ค่อยๆเดินพาเหรดมามอบตัวเป็นของรัฐ เช่น ธ.ศรีนคร นครหลวงไทย นครธน มหานคร แหลมทอง สหธนาคาร รัตนสิน กรุงเทพพาณิชย์ ฯลฯ เป็นเครื่องยืนยันว่าเงินกองทุนติดลบจนเกินกว่ามูลค่าของ license หรือ franchise value ใดๆ (เดี๋ยวนี้มีค่าเป็นหมื่นล้านบาท)เลยไม่มีใครใส่ทุนให้ - ทีนี้ก็มีเรื่องโชคช่วยบ้าง ปลายไตรมาสแรกของปี41 ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวคึกคักขึ้นมา เพราะนักลงทุนเริ่มมั่นใจในแนวทางแก้ไข และเห็เสถียรภาพเริ่มกลับมา ธนาคารกสิกรไทยก็ริเริ่มรีบออกหุ้นเพิ่มทุน (ซึ่งที่ทำได้เร็ว ก็เพราะที่ปรึกษาเก่งอ่ะ คือ ภัทร กับ Goldman Sachs ) ผมยังจำได้ถึงความยากลำบากในการขายหุ้นครั้งนั้น เพราะเป็นการขายหุ้นแรกจากประเทศที่เกิดวิกฤติ ผมร่วมเดินทางรอบโลกไปRoadshow (อ้อนวอนให้เขาซื้อ)กับคุณปั้น(คุณบัณฑูรย์ ลำ่ซำ) ไปจนค่อนโลกแล้ว ยังไม่มีใครยอมจองเลย แถม ธ.กรุงเทพฯรีบประกาศ ทำบ้าง กว่าจะขายได้หมด เลือดตาแทบกระเด็น นำ้ลายแห้งเหือดไปหลายเดือน meeting หลายร้อยครั้ง (ลองนึกถึงคุณปั้นที่ต้องพูดมากกว่าผมอีก 5 เท่า แถมเป็นคนไม่พูดมาก ขนาดผมชอบพล่ามทั้งวันยังเสร็จเลย) การขายหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำนวน 376 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 88 บาทได้เงิน 33,088 ล้านบาท(ตัวเลขพวกนี้จำได้ขึ้นใจ ไม่ต้องค้นเลยครับ ผมเชื่อว่าคุณปั้นก็จำได้เหมือนกัน) ตามด้วยการขายหุ้นแบงค์กรุงเทพ อีก43,000 ล้านในเดือนถัดมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิกฤติ แล้วหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็รูดม่านปิดสนิทอีกเป็นปี กว่าจะมีใครขายหุ้นได้อีก - ส่วนธนาคารที่เหลือที่ตกรถไฟ ก็มีอาการพะงาบๆต่ออีกพัก จนรัฐต้องออกมาตรการ 14 สค. 2541 เพื่อช่วยเพิ่มทุนให้แบบวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง แต่กว่าจะเพิ่มได้จริงก็ข้ามปี เช่น ไทยพาณิชย์ ที่มีคุณชุมพล ณ ลำเลียง (พระเอกคนที่5) เข้ามาช่วยฟื้นฟู หลังจากที่ท่านเอาปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งก็เซแซ่ดไปเหมือนกัน ตั้งหลักได้ดีแล้ว ก็เพิ่มทุนทีเดียว 65,000ล้าน ในเดือนพค.42 แต่ก็เลยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด จนกระทั่งทรัพย์สินฯ ต้องเอาที่ดินโรงพยาบาลรามาธิบดีไปแลกกลับมาในภายหลัง ธนาคารอื่น เช่น ทหารไทย กรุงศรี ก็ทะยอยเพิ่มทุนได้ จนระบบเริ่มมีเสถียรภาพ โดยยังคงมี ธนาคารเอกชนเป็นหลักอยู่สี่ห้าแห่ง - แต่อย่างไรก็ดี ระบบธนาคารก็ยังคงไม่ยอมขยายตัว มัวแต่ซ่อมแซม แต่งตัว เข็ดขี้อ่อน ขี้แก่ ทำให้ศก.ไม่ค่อยขยาย ตัวจนกระทั่งสมัยรัฐบาลท่านทักษิน ที่ใช้ธนาคารกรุงไทยที่มีคุณวิโรจน์ นวลแข เข้ามาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวแบบไอเวนโฮ (ถ้าใครจำโฆษณาได้) ลุยปล่อยสินื่อนำร่องจนทุกแบงค์ต้องลุกออกมาจากกระดองเพื่อแข่งขันบ้าง วันนี้ว่าเรื่องแก้สถาบันการเงินแค่ฉากเดียวก็ยาวลาก คนดูหลับไปครึ่งโรง แถมผอ.สร้างไม่ได้ทำอะไรมาครึ่งวันแล้ว สงสัยต้องยกไปภาคต่ออีก น่ากลัวพรุ่งนี้ก็ยังจบไม่ลง เดิมทีตั้งใจจะเขียนสั้นๆระลึกถึง 2 กค.40 เท่านั้น ไหงไถลมาได้ตั้งหลายวันก็ไม่รู้ ยิ่งเล่ายิ่งมัน(คนเล่า) แต่เอาเถอะครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงมีคนอ่านแค่ สิบคน ก็จะเขียนต่อให้จบ เพราะเป็นประสบการณ์ ช่วงที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตผม ตั้งใจจะเขียนบันทึกกันลืมไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ได้เริ่มซะที เพิ่งจะมีคนหลอกให้เล่นfb มาสองเดือน เลยยิ่งเขียนยิ่งมัน เพราะมีคนคอยคุยด้วยตลอดเวลา อ่านแล้ามาเมนต์มาคุยกันบ้างนะครับ ด่าทอมาบ้างก็ได้ ถ้าพบตรงไหนไม่เข้าท่า เจอกันพรุ่งนี้ครับ
โดย
nirut
เสาร์ ก.ค. 06, 2013 3:07 pm
0
4
Re: วิธีการลอกหุ้นที่ผมใช้ประจำ
เข้ามาขอบคุณ คุณ เบสครับ. ผมเป็นกลุ่นคนส่วนน้อยมี่ได้มีโอกาสฟังที่คุณเบสบรรยายตอนไปเรียนคอสย์ของ อ. ภาพร ครับ. เลยมีโอกาสได้ลอกหุ้นเป็นครั้งแรก. ผมว่าแนวทางที่คุณเบสกล่าวมานั้นสุดยอดจริง ๆ กระชับและเข้าใจได้ง่าย. แสดงถึงการตกผลึกทางความคิดจริง ๆ. ไม่แปลกใจครับที่คุณเบสได้ผลตอบแทนจากหุ้นสุดยอดมาก ๆ. :)
โดย
nirut
ศุกร์ พ.ค. 10, 2013 1:11 am
0
1
Re: รายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นท
Test
โดย
nirut
อังคาร ก.ย. 25, 2012 4:54 pm
0
0
Re: ข้อเสนอแนะ จัดกฏระเบียบเวปใหม่ เพื่อ Thai Vi คงอยู่ตลอดไ
ขอออกความเห็นด้วยนะครับ. ผมเข้ามาดูเวปที่นี้นานมาแล้วแต่ไม่เคยโพสเลยเพราะส่วนใหญ่ที่อ่านแล้วต้องยอมรับเลยครับว่าความรู้ไม่ถึง. ยิ่งถ้าเป็นในห้องร้อยคนร้อยหุ้นในสมัยก่อน ๆ แล้วจะเห็นได้ชัดเลยครับว่าแย้งกันด้วยความรู้ทั้งนั้นใช้ความคิดเห็นก็จะน้อยมาก. แต่มาหลัง ๆ แล้วการโพสจะเป็นความเห็นส่วนตัวจะเยอะมาก ยิ่งเป็นหุ้นร้อนๆ นี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยครับ. และพอราคาหุ้นมีปัญหาก็จะมีม่ามากันเยอะจริง ๆ ส่วนตัวผมก็ขอออกความเห็นว่าแนวทางแก้ปัญหาก็น่าจะมาจากจุดนี้ละครับ 1. ไม่ควรมีการเรียงลำดับหุ้นจากการโพสครั้งล่าสุด 2. สมาชิกใหม่ควรมีช่วงเวลาก่อนเข้ามาโพสได้ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นแต่สามารถเข้าดูได้ 3. ควรมีการเก็บค่าสมาชิกและประวัติ สุดท้ายนี้ผมคิดว่าของดีก็จำเป็นที่จะต้องมีความประนีตและเอาใจใส่ในการทำครับ
โดย
nirut
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 1:15 am
0
5
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
nirut
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
bkk
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ต.ค. 09, 2007 8:12 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ ก.ค. 03, 2022 10:01 pm
โพสต์ทั้งหมด:
29 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.00 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว