หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
koh
http://www.youtube.com/watch?v=LgCwdZmNSUU
Joined: เสาร์ มี.ค. 27, 2004 9:14 pm
273
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - koh
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: พอร์ตเท่าไรเรียกมีอิสระภาพทางการเงิน ปันผลต่อปีเท่าไรออก
ผมสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เวลาเราพูดถึงอิสรภาพทางการเงิน เรามักจะอ้างอิงถึงเงินต้นและหวังว่าจะเอา "เงินปันผล" มาเป็นค่าใช้จ่าย ที่ผมสงสัยก็คือ ถ้าเราอยู่ในจุดนั้นจริง ๆ เราจะถือหุ้นเพียงเพื่อหวังเงินปันผลกันหรือไม่ หรือยังคงหวังกำไรจากราคาหุ้น เพราะทุกวันนี้ เวลาเลือกหุ้นนั้นหลายคนไม่ค่อยสนใจเงินปันผลด้วยซ้ำ บางคนมองว่าหุ้นปันผลสูง เป็นหุ้นไม่เติบโตอีกต่างหาก คิดคล้าย ๆ กันเลยครับ เพื่อนผมหลายคนเคยพูดว่าถ้าพอร์ตโตจนเท่านั้นเท่านี้แล้วจะเลิกเสี่ยงมาถือหุ้นกินปันผลพอ ผมเลยสงสัยว่าถ้าเราสามารถทำให้พอร์ตโตจากทุนกี่แสนกี่ล้านก็ว่าไป จนได้ถึง 40 ล้านแล้วเนี่ย ใครจะหยุดแล้วเปลี่ยนมาถือหุ้นกินปันผลบ้าง ถ้าถึงจุดนั้นได้จริง ๆ ผมเชื่อว่าคน ๆ นั้นก็คงจะมั่นใจในสไตล์การลงทุนของตัวเองมากพอสมควร แล้วก็อาจจะคิดว่าถ้าเราทำแบบเดิมพอร์ตก็จะโตได้มากกว่านั้นอีกมากในอนาคต แล้วก็ลงทุนแบบเดิมต่อไปเรื่อย ๆ... ขนาดของพอร์ตที่ ใหญ่ขึ้นอาจทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการลงทุนแบบเดิมๆได้นะครับ.
โดย
koh
เสาร์ มี.ค. 14, 2015 2:12 pm
0
3
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
อืมส์...... สาย โอนีล น่าจะออกไปจากตลาดตอน 1580-1600 แล้วนะครับ DD Days มาเป็นชุดเลย
โดย
koh
พุธ ธ.ค. 17, 2014 9:54 am
0
3
Re: มีวิธีเตือนคนรู้จักหรือเพื่อนยังไงดีครับ ณ ตลาดที่ดูน่าก
ช่วงสองสามปีแรกของการลงทุน ผมอดไม่ได้ที่ชอบเตือนคนอื่นๆ(ด้วยความหวังดี)เหมือนกัน แต่ช่วงนี้ อดไม่ได้ที่จะเตือนตัวเองบ่อยๆครับ :D
โดย
koh
พฤหัสฯ. ต.ค. 02, 2014 8:37 am
0
8
Re: มีวิธีเตือนคนรู้จักหรือเพื่อนยังไงดีครับ ณ ตลาดที่ดูน่าก
ตอนนี้ ยังมีคนไม่รู้ว่า ตลาดตอนนี้น่ากลัว อีกเหรอครับ :?: อ่านที่ไหน ก็เห็นแต่คนเตือน :!:
โดย
koh
พุธ ต.ค. 01, 2014 10:08 am
0
4
Re: หุ้นvalueในระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นgrowthจริงหรือคร
บอกแบบนี้ได้มั๊ย :) หุ้น growth =หุ้นที่ซื้อได้ในราคา ที่ต่ำกว่า value ในอนาคต หุ้น value = หุ้นที่ซื้อได้ในราคา ที่ต่ำกว่า value ในปัจจบัน :D
โดย
koh
พุธ ก.ย. 17, 2014 8:53 am
0
5
Re: หุ้นดีต้องมีคู/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อ้อ.. ในหนังสือไม่ได้ให้ดูที่ROEเพียงอย่างเดียวครับ แต่ให้ดู ROIC เป็นหลัก
โดย
koh
อังคาร ก.ย. 16, 2014 9:11 am
0
2
Re: หุ้นดีต้องมีคู/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://media.wiley.com/product_data/coverImage300/39/11187602/1118760239.jpg มีอีกอย่างที่ตกไปครับ คือ Efficiencies Scale เคร่าๆก็คือ ธุรกิจนั้นๆครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากและสามารถผลิตได้ในต้นทุนที่ต่ำและยังมี%ของกำไรส่วนเกินที่ดูน้อย ไม่น่าสนใจ ทำให้คู่แข่งไม่อยากเข้ามาร่วม ธุรกิจนั้นๆเลยEnjoyส่วนแบ่งตลาดคนเดียว เป็นหนังสือที่ดี เพราะตอนท้ายๆมีแยกประเภทของธุรกิจในSectorต่างๆและบอกวิธีมองหาmoatsแบบแต่ละ sectorเลยครับ ลองดูสรุปย่อๆทั้เป็นPdf files ตามLinkนี้ดูก่อนได้ครับ http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=2&ved=0CCMQFjAB&url=http%3A%2F%2Fwww.valueinvestorconference.com%2Fppt%2F2012%2F02%2520VIC%252012%2520Larson.pdf&ei=6ZgXVIbkCcSfugSP7YHwCQ&usg=AFQjCNEUaQHcFRKg07NerbkfBFbddmgoQg&sig2=5XRJyXLTcno-I7sWL6dKSg&bvm=bv.75097201,d.c2E
โดย
koh
อังคาร ก.ย. 16, 2014 9:09 am
0
8
Re: อะไรคือคุณสมบัติหลักของหุ้นเติบโต?
ถ้าจำไม่ผิด เค็นเน็ต ฟิตเชอร์ ผู้แต่งคนนี้เป็นลูกชายของ ฟิลลิป ฟิสเชอร์ (ผิดถูกยังไงรบกวนผู้รู้ แนะนำด้วยครับ) เป็นหนังสือดีที่ภาษาอ่านง่ายเล่มนึงครับ :D ใช่ครับผม อย่างไรก็ดีให้ตามไปอ่านงานหลัง ๆ ของ อาจารย์เคน ด้วยนะครับ เพราะท่านเขียนถึงข้อบกพร่องของหนังสือเล่มนี้ไว้ ขอบคุณครับ :D จะลองsearchหาดู
โดย
koh
พุธ ก.ย. 11, 2013 12:35 pm
0
0
Re: อะไรคือคุณสมบัติหลักของหุ้นเติบโต?
http://ecx.images-amazon.com/images/I/51OxLA7rRML._SY346_.jpg ในหนังสือเล่มนี้ มีการพูดถึง การใช้ตัวเลขprice to sale(ซึ่งบ้านเราไม่ค่อยใช้กัน) มาดูเพื่อหาจังหวะการเข้าซื้อ โดยมีเหตุผลว่า ธรรมชาติ ของการเติบโตของทุกๆธุรกิจ มักมีช่วงที่จะสะดุดของกำไร ซึ่งอาจเกิดจากหลายๆสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มาทดแทนของเดิมที่ล้าสมัยฯลฯ ซึ่งจะทำให้ช่วงต้นๆของการเปลี่ยนนั้น กำไรอาจจะถดถอยจากต้นทุนใหม่ที่ยังไม่สัมพันธ์กับยอดขาย เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า Growth Glitch ซึ่งหากใช้แต่กำไรในการดูการเติบโต อาจทำให้พลาดโอกาสดีๆในการเข้าซื้อ แต่ในแง่ของการดูการเติบโตของยอดขายนั้น จะSmoothกว่า โดยมีเงื่อนไขว่า การเข้าซื้อที่ P/Sที่ต่ำกว่า 0.75 นั้นจะสร้างโอกาสในการทำไรสูงกว่า แต่ทั้งนี้ต้องดูปัจจัยด้านคุณภาพมาก่อนด้วยครับ ถ้าจำไม่ผิด เค็นเน็ต ฟิตเชอร์ ผู้แต่งคนนี้เป็นลูกชายของ ฟิลลิป ฟิสเชอร์ (ผิดถูกยังไงรบกวนผู้รู้ แนะนำด้วยครับ) เป็นหนังสือดีที่ภาษาอ่านง่ายเล่มนึงครับ :D
โดย
koh
พุธ ก.ย. 11, 2013 9:40 am
0
5
Re: อะไรคือคุณสมบัติหลักของหุ้นเติบโต?
ความสามารถ ในการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและไม่เติบโต ดูตัวเลขน่าจะที่GP margin% ที่สูงกว่า การเติบเฉลี่ยของอุตสาหกรร นั้นๆ
โดย
koh
อังคาร ก.ย. 10, 2013 2:07 pm
0
13
Re: พอร์ตจากกำไรกลายเป็นขาดทุน vi ยังชิวๆกันรึเปล่าครับ
ก่อนซื้อหุ้นผมจะให้ time frame ประมาณ 5 ปีครับ สบายๆ เหลืออีกตั้งหลายปี "ดอยวันนี้ อาจเป็นตีนเขา ให้เขาปีนในวันหน้า" สู้ๆ ครับ ระวังหน่อยนะครับ ถ้าเริ่ม time frame ในปีที่ พีค พอดี
โดย
koh
ศุกร์ ก.ย. 06, 2013 9:37 am
0
2
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
ผมสงสัยมานานแล้ว กราฟ PE กับ Price ของลินท์เนี่ย มันเป็นกราฟ 2 แกน Y คำถามคือเขาตั้งสเกลกันยังไงเหรอครับ ที่แกน Y ทั้ง 2 หรือใส่ใน Excel แล้วมันจะปรับอัตโนมัติ?? สงสัยเหมือนกันครับ ว่าใช้โปรแกรมอะไรทำ เพราะเห็น ในหนังสือของ โอนีล ก็มี กำไรรายไตรมาส มาพล็อตร่วมด้วย แถมมีดัชนี s&pบ้าง ดาวโจนบ้างมาพล็อตรวม. และที่สังเกตเห็นคือ เมื่อตลาดรวมปรับฐานหุ้นเติบโตที่พื้นฐานกิจการแกร่งจะปรับตัวน้อยกว่าตลาดรวมมาก พอการปรับฐานของตลาดจบลง หุ้นเหล่านี้ราคาจะพุ่งสูงพร้อมๆหรือ กว่า ความชันของเส้นกร๊าฟของกำไรรายไตรมาสอีก
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 31, 2013 9:59 am
0
0
Re: หากเราตั้งโจทย์ไว้ว่าจะศึกษาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดหลักท
ดูกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีแนวโน้มเติบโต ตามรูปแบบการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ครับ แล้วค่อยไล่ดู ความได้เปรียบเสียเปรียบของแต่ละบมจ.ในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น
โดย
koh
ศุกร์ ส.ค. 30, 2013 8:57 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ 12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน 13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย 14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น 15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว 16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย 17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ 18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม 19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street 20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่ 21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options 22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้ 23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่ 24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:27 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
การตรวจสอบประจำ 6 เดือน พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้ 1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว? 2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว? และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา 1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม 2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป 3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้ กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch 1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย 2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี 3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน 4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง 5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ 6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล 7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ 8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ 10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:27 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น 38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว 39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ 40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม 41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ 42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7 43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:26 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี 29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย 30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่? 32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้ 33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร 34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน 35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล 36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:26 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา 20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง 21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น) 22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น 23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน 24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น 25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน 26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป 27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:25 am
0
1
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย 10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ 11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว 12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น 13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร 14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ 15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ 16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้ 17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut) 18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:25 am
0
2
Re: แยกประเภทหุ้นตามคอนเซปต์ ปีเตอร์ ลินท์ กันยังไงครับ
ช่วงหุ้นตกแบบนี้ ตอบไม่ดีอาจเจอ ดราม่า ได้ :D เอาแบบที่ไม่เกียวแต่เป็นหลักการทั่วๆไปที่ copy จากที่ใดที่หนึ่ง(ซึ่งจำไม่ได้ว่าที่ไหน ต้องขออภัยแหล่งที่มาของบมความด้วยครับ) ที่เกี่ยวกับปีเตอร์ลิ้นซ์ มาให้ดูกันดีกว่า :) Notes from Beating the Street 1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี 2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก 3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม 4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้ 5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ 6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี 7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ 8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 9:24 am
0
4
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
ลองอ่านบทความนี้ดูครับ เอามาจาก FB : indy investor forum วันนี้ก่อนกลับบ้านไปนั่งกินข้าวรอฝนหยุดตกในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ได้ยินน้องๆโต๊ะข้างๆคุยกันเรื่องหุ้นแบบเซ็งๆกันอยู่ 3-4 คน ติดดอยสูงบ้าง ถัวจนเงินหมดบ้าง ยอมขายตัดขาดทุนหนักๆบ้าง ต่างคนต่างเต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่กันคนละแบบ แต่ที่เหมือนกันอย่างนึงคือ ทุกคนบอกว่าหุ้นที่ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี เดี๋ยวราคาก็กลับมาให้ขายกำไร ทั้งๆที่บางตัวผมฟังชื่อแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ มันพื้นฐานดีในมุมไหนกันนะ ในฐานะที่ผมเคยผ่านวิกฤติปี 2008 มา (ไม่ทันปีวิกฤติปี 1997 เพราะยังเรียนหนังสืออยู่) ขอแชร์ประสบการณ์ที่เคยผ่านช่วงหนีตายตอนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เล็กน้อยให้น้องๆหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาไม่นาน (ส่วนที่เซียนแล้วก็ขอให้ข้ามไปเลย บทความนี้ไม่มีความสำคัญอะไรกับท่าน) นี่เป็นข้อสรุปของประสบการณ์ในตลาดหุ้นกว่า 10 ปีของผม ในตลาดหุ้นปกติ นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีกำไรเติบโตต่อเนื่องและราคาไม่แพงเพื่อลงทุน ในตลาดหุ้นกระทิง นักลงทุนจะมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง แต่อาจมองหุ้นเรื่องราคาถูกหรือแพงไป เพราะในตลาดกระทิงหุ้นทุกตัวมันก็แพงหมดเมื่อเทียบกับตัวมันเองในอดีต นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมบ้าง หรือเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดในขณะนั้นบ้าง เพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนการซื้อหุ้นของตนเอง ไม่ว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อจะมี P/E 20 เท่า หรือ P/E 25 เท่า นักลงทุนก็ยังบอกว่าถูก เพราะดูสิค่าเฉลี่ย P/E ของหุ้นในอุตสาหกรรมอยู่สูงถึง 35 เท่า หุ้น P/E 20 เท่า เทียบกับกำไรเติบโต 20-30% ต่อปีนับว่าถูกมาก (โดยไม่สนว่ามันจะโต 20-30% ต่อปีตลอดไปหรือไม่) คนที่ลังเลว่า P/E สูง หรือราคาหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดในอดีตมากๆ ก็จะกลายเป็นไดโนเสาร์ ตกขบวนไปโดยปริยาย แล้วในตลาดหมีล่ะ คุณคิดว่านักลงทุนจะทำอย่างไร นักลงทุนก็คงจะหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี กำไรสม่ำเสมอ มีหนี้สินน้อย และเข้าซื้อในราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตัวเองในอดีต หรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเพื่อรอให้ราคาหุ้นกลับเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงละมั้ง เปล่าเลย ความจริงมันโหดร้ายกว่านั้นมาก ในตลาดหมีโดยสมบูรณ์ นักลงทุนจะมองข้ามปัจจัยพื้นฐานทั้งหมด ไม่ว่าเป็นกำไรสุทธิ กระแสเงินสด ความแข็งแกร่งทางการเงิน หรือ Valuation นักลงทุนจะเทขายหุ้นไปตามอารมณ์ของเขาจนกว่าเขาจะพอใจ ไม่ว่าหุ้นพื้นฐานดี จะมีราคาถูกแค่ไหน P/E 10 เท่า 8 เท่า หรือ 6 เท่า เขาก็จะขายจนกว่าเขาจะรู้สึกว่ามันปลอดภัย และเมื่อทุกคนรู้สึกว่าปลอดภัยตลาดก็จะหยุดตก ในปี 2008 ผมเคยเห็นหุ้นพื้นฐานดีซื้อขายกันด้วย P/E 2-5 เท่าอยู่เยอะแยะ นักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐานเข้าซื้อหุ้นที่ P/E 6-8 เท่า ก็อาจขาดทุนได้ถึง 30-50% โดยที่เขาไม่เข้าใจว่าราคามันลงไปได้อย่างไรต่ำขนาดนั้น จนกระทั่งผลประกอบการไตรมาสต่อๆมาจึงเฉลยว่าหุ้นที่เขาถืออยู่ P/E พุ่งจาก 6-8 เท่าไปเป็น 12-16 เท่า เพราะกำไรของบริษัทที่ถือหุ้นอยู่มันหายไปครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดีหุ้นพื้นฐานดีก็คือหุ้นพื้นฐานดี สุดท้ายแล้วหุ้นเหล่านั้นก็สามารถกลับมายืนซื้อขายด้วยราคาที่่สูงกว่าเดิมเกือบทั้งหมด บางตัวในกลุ่มนั้นกลับมาซื้อขายด้วย P/E 40-50 เท่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ บทเรียนที่ผ่านมาของผมมันบอกอะไรเรา บทสรุปของคำแนะนำของผมก็คือ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าจริงๆ คุณต้องทำการบ้านให้หนัก ดูให้ออกว่าตัวไหนเป็นหุ้นพื้นฐานดี ตัวไหนเป็นหุ้นเก็งกำไร ตัวไหนเป็นหุ้นตามกระแส แล้วเลือกซื้อจะเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีจริงๆเท่านั้น ที่สำคัญคุณต้องทำการบ้านด้วยตัวเองอย่างละเอียดว่าอนาคตของกำไรแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร ธุรกิจของบริษัทนั้นๆอยู่ในช่วงใดของวัฎจักรธุรกิจ (Bussiness cycle) กำไรบริษัทไม่ใช่สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นได้ทุกปี ปีละ 30-40% ตลอดไป ทุกธุรกิจมีรุ่งเรืองมีล่มสลายไม่มีใครมีหนีพ้น สุดท้ายคุณต้องเข้าใจว่านักลงทุนในตลาดอาจคิดไม่เหมือนคุณ และเทขายทุบหุ้นดีๆของคุณให้ตกไป 50-60% จากจุดที่คุณซื้อได้ แม้ว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นขายแบบไร้เหตุผลก็ตาม เพราะในตลาดหมีไม่ค่อยมีใครมาดูปัจจัยพื้นฐานแข่งกับคุณหรอก บางคนอาจแย้งผมว่า VI เทพๆ อย่าง Warren Buffet หรือ ปรมจารย์ VI ท่านอื่นถือหุ้นได้ยาวนาน 5-10 ปี แบบไม่ขายได้ คุณต้องไม่ลืมว่าปรมจารย์เหล่านั้นเข้าซื้อหุ้นที่ตีนดอย ไม่ได้มาไล่ซื้อที่ยอดดอย พวกเขารู้ว่าในวัฎจักรของหุ้นราคาไหนเรียกถูก ราคาไหนเรียกแพง พวกเขารอที่จะซื้อหุ้นได้เป็นปีๆถ้าราคาหุ้นไม่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ จุดสำคัญมันอยู่ที่ราคาที่เข้าซื้อ ไม่ได้อยู่ที่ว่าถือทนแค่ไหน ถ้าคุณซื้อที่แพงแล้วโอกาสกำไรของนักลงทุนแบบ VI จะลดลงไปมากเลยทีเดียว ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบตามกระแส คุณต้องดูให้ออกว่าตลาดกำลังอยู่สภาวะไหน ปกติ กระทิง หรือหมี เลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ที่อยู่ในกระแสในสภาวะตลาดปกติหรือกระทิงเท่านั้น ให้ความสำคัญกับ Valuation น้อยกว่าการอ่านอารมณ์ตลาด ที่สำคัญที่สุด ห้ามซื้อหุ้นในสภาวะตลาดหมีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปต่ำหรือถูกขนาดไหนก็ตาม อย่าลืมว่านักลงทุนแบบตามกระแสซื้อหุ้นเพราะหวังจะขายให้คนนักลงทุนอื่นที่อยากซื้อต่อในราคาที่สูงกว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นเพราะราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่ากลัวที่จะไล่หุ้นในภาวะตลาดกระทิง และหากจำเป็นที่จะต้องขายตัดขาดทุนในภาวะตลาดที่มั่นใจว่ามันเป็นหมี จงอย่าลังเลที่จะทำ ยิ่งตัดใจช้า ก็ยิ่งขาดทุนมาก อย่าเป็นประเภทที่ว่าตอนซื้อก็ซื้อตามกระแส พอหุ้นตกกลายสภาพเป็น VI ถือยาวซะงั้น เพราะที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะไม่รอด ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่าตลาดปัจจุบันมันเป็นหมีหรือกระทิง มันเป็นงานของนักวิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านใช้บริการอยู่ต่างหากที่จะแนะนำท่านว่าควรซื้อหรือขายตอนนี้ เพราะอะไร คุณจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้พวกเขาแล้ว ก็จงใช้พวกเขาให้คุ้ม ผมไม่ได้อะไรจากพวกคุณ จึงให้ได้แค่การแบ่งปันประสบการณ์เท่านั้น ที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจหรือเหนือชั้นกว่าใครๆ ก็แค่นักลงทุนธรรมดาๆที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆเท่านั้น ขอให้ทุกท่านโชคดี
โดย
koh
พุธ ส.ค. 28, 2013 12:44 pm
0
3
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
นึกว่า คำว่า "ตัวเลข" หมายถึงกำไร ครับ :D ทั้งๆที่ตัวแกนหลักของเศรษฐกิจไม่ได้แย่ลง การไหลออกของเงินทุน ถึงไม่กระทบโดยตรง แต่ ทางอ้อมน่าจะมีแน่ๆนะครับ ลองดูอินโดกับอินเดีย เป็นตัวอย่างได้ :D
โดย
koh
อังคาร ส.ค. 27, 2013 9:15 am
0
1
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
ผมว่าทุกตัวที่เอ่ยมาน่าจะโตยกเว้น SE-ED และ IT เพราะเทรนด์ของสองบริษัทนี้กำลังเปลี่ยนแปลง หากบริษัทหาทางแก้ไม่ได้มันคงแย่ลงเรื่อยๆ อีกตัวที่ผมไม่สันทัดเลยคือ Jubilee เพราะนึกไม่ออกว่า ขายเพชรจะโตยังไงคนจะใส่เพชรเยอะขึ้นหรอ แต่จากผลการดำเนินงาน มันก็โตได้เรื่อยๆ อันนี้ต้องติดตาม itและse-ed สุดท้ายน่าจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมั๊งครับ
โดย
koh
จันทร์ ส.ค. 26, 2013 9:46 am
0
1
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
ผมสงสัยตลอดนะว่าที่กำลังซื้อมันดูแผ่วลง เป็นเพราะเราใช้ตัวเลขจากปีที่แล้วที่ได้รับผลบวกหลังพ้นน้ำท่วมหรือเปล่า ประกอบด้วยกับหนี้ครัวเรือนที่โตขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจในปีก่อน เราเลยโยงหลายๆเรื่องนี้เข้าด้วยกันว่าหนี้สูงขึ้นคนเลยจ่ายน้อยลง ทั้งๆที่ในทางสถิติแล้วมันอาจไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ คนอาจจะยังจ่ายมากขึ้นเหมือนเดิม แต่ตัวเลขปีที่แล้วมันสูงผิดปกติเกินไปเลยดูเหมือนว่าปีนี้โตช้าลง ในระยะ 1 ปี ธุรกิจในกลุ่มตกแต่งบ้านอย่าง HMPRO นี้"อาจจะ"ดูว่า SSSG โตได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ เพราะปีที่แล้วมีปัจจัยบวกหลังน้ำท่วมอย่างที่เกริ่นไว้ แต่ในระยะยาวผมดูจากข้อมูลปีก่อนๆว่าบริษัทนั้นโตไปพอๆกับเงินเฟ้อ ไม่มากกว่าเยอะ ไม่ต่ำกว่าเยอะ ซึ่งผมตีความว่าแต่ละสาขาไม่ได้ขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเติบโตของจำนวนสาขามันทำให้เกิดการกินกันเองของสาขาเดิมอยู่เล็กน้อย ปีที่แล้วกับปีนี้ฐานภาษีแตกต่างกันนะครับ
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 24, 2013 9:41 am
0
1
Re: ถามความเห็น หุ้นร้านค้าปลีก retail store
นั่งทำข้อมูลเล่นๆ ครับ Same Sales Store Q2 CPALL 7.9% BEAUTY 7.5% ROBINS 3.7% BIGC 3% MC -7.5% SE-ED -11.78% HMPRO 6% (คาดการณ์ หาตัวเลขไม่เจอ) GLOBAL ? MAKRO ? IT ? MINT เฉพาะร้านอาหารเฉลี่ย 1.1 The Pizza -10.3 สเวนเซ่นส์ 6.8 ซิซเลอร์ 1.2 แดรี่ตวีน 1.5 CENTEL เฉพาะร้านอาหารภาพรวม 2.2% GDP 2.8% การใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศทั้งหมด (รวมนักท่องเที่ยว) 5.1% การใช้จ่ายของครัวเรือนไทย 2.5% การใช้จ่ายของคนต่างประเทศในไทย 26.5% Sssนี่ ถ้าใส่ค่าเงินเฟ้อเข้าไป บางตัวไม่โตเลยนะครับ
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 24, 2013 9:39 am
0
1
Re: 'จัดพอร์ตสมดุล' 3 ปีกำไรพุ่ง 40%'ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒ
ความเป็น เซียนหุ้น คงไม่ใช่จุดประสงค์ของการให้ข่าวมั๊งครับ :8)
โดย
koh
ศุกร์ ก.ค. 19, 2013 11:12 am
0
5
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
สิ่งที่เรียนรู้มาก็คือ เมื่อเวลาที่ "ไม่ว่าเรามี cashหรือหุ้น 100หรือใกล้100%แล้ว" ความคิดเรามักมี Bias ในด้านใดด้านหนึ่งมากๆครับ :D ต้องควบคุม Bias ทางความคิดให้ดีๆ
โดย
koh
ศุกร์ มิ.ย. 28, 2013 5:19 pm
0
8
Re: จาก 1640 ท่านถือหุ้นกี่เปอร์เซนต์ครับ
ตอนนี้เริ่มกลัว แรงขายจากกองทุน แทน แล้วครับ ถ้าดัชนีลงมากๆจนเกิด mass crisis ทางจิตวิทยา กลุ่มผู้ซื้อLTF เมื่อ5-6ปีก่อนที่มีต้นทุนตอนดัชนีราวๆ400-500จุดที่มีกำไรพอสมควรเกิดอยากขายพร้อมๆกันขึ้นมาเพื่อ nails down พอร์ตตัวเอง แล้วกองทุนขาดสภาพคล่องขึ้นมา ก็น่ากลัวครับ หวังว่าคงไม่เกิดขึ้นนะครับ :roll:
โดย
koh
อังคาร มิ.ย. 25, 2013 9:22 am
0
2
Re: Peak ???
ตามหลักของ โอนีล แล้ว วันที่19-22มีค. คือ 4 Distribution day :8) ตอนนี้ port management สำคัญที่สุด
โดย
koh
ศุกร์ เม.ย. 05, 2013 9:29 am
0
0
Re: เพื่อน ๆ thaivi ลงทุนกันแบบไหน
William J. O'Neil + Peter Lynch
โดย
koh
ศุกร์ มี.ค. 01, 2013 9:12 am
0
0
Re: มีใครถือหุ้นตัวเดียวมากกว่า 70% ครับ
ผมครับ ถือตัวเดียวครับ ซีเอ็ด เป็นความชอบส่วนตัวครับ ------------------------------------- รวยด้วยรัก http://www.thorfun.com/story/view/URtOR67rWaF3ABtA ชอบ SE-ED เหมือนกันครับ ไม่รู้ทำไม ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าคนเข้าร้านเยอะตลอดเวลา ส่วน Trend ของ E-Book ใจผมยังมองว่าการอ่านหนังสือด้วยวิธีการสัมผัสจากกระดาษจริงๆ ยังไม่น่าจะหมดไปจากโลกง่ายๆ แต่ผมก็ยังไม่เคยซื้อหุ้น SE-ED เลยครับ งงตัวเองเหมือนกัน :8) แนะนำให้ลอง kindle ดูครับ อาจจะเปลี่ยนใจได้ ผมคุ้นๆว่าเคยอ่านว่ายอดขายหนังสือแบบ ebook ใน amazon นี่แซงหนังสือเล่มไปแล้วครับ ทุกวันนี้ถ้ามีหนังสือแปลออกมาเป็นภาษาไทย เทียบกับ ebook เป็นภาษาอังกฤษ ผมเลือกที่จะซื้อ ebook แม้ว่าผมอ่านภาษาอังกฤษได้แย่กว่าไทยพอสมควร มันสะดวกกว่ากันแบบเห็นได้ชัดเลยครับ ไม่ต้องเปลืองที่เก็บ ไม่ต้องกลัวโดนปลวกกิน ไม่ต้องกลัวเก่า สามารถพกหนังสือติดตัวได้เป็นพันเล่ม (รวมกับที่อยู่ใน cloud อีกไม่จำกัด) แต่ต้องอ่านบน ebook reader เท่านั้นนะครับ มันสบายตาไม่ต่างจากหนังสือเล่มเลย ปัจจุบันนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหนังสือแปลมาอ่านแล้วครับ ตั้งแต่ซื้อkindleมา สะดวกกว่ากันเยอะครับ ทั้งเบา ทั้งจุ ทั้งมีดิกชันนารี่ในตัว จากคนที่ขี้เกียจอ่านภาษาอังกฤษ กลายเป็นติดใจ แล้วยังหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในแนวทางที่เราชอบได้โดยการsearch โดยไม่ติดเงื่อนไขว่าเป็นเล่มที่ถูกแปลมาแล้วด้วย พบว่าในโลกของหนังสือลงทุน มีอีกหลายๆเล่มมากที่ดีแต่ไม่มีคนแปลครับ
โดย
koh
พฤหัสฯ. ก.พ. 21, 2013 9:38 am
0
0
Re: หาหนังสือครับ
http://rentalbook.tarad.com/product-th-888126-5050624-(%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81)%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95.html ลองsearchดูนะครับ น่าจะมี
โดย
koh
จันทร์ ก.พ. 11, 2013 10:08 am
0
1
Re: เซียนหุ้น...รุ่นใหม่ ความมั่งคั่ง ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลา
s2m นี่เก่งครับ ดูๆไปนี่เหมือน Marvel เลย สร้างทีม The Adventure ตอนตลาดขาขึ้น หนังดูสนุก ฮีโร่เก่ง ชนะตัวร้ายในตอนจบตลอด แต่เท่าที่เห็นตัวละครตัวอื่นๆในเรื่องบาดเจ็บล้มตายตอนไคลแมคของเรื่องตลอดเหมือนกัน :D
โดย
koh
ศุกร์ ม.ค. 25, 2013 9:40 am
0
3
Re: เมื่อตลาดหุ้นไทย PE 18 เท่า!!!!
ที่น่าสนใจกว่า คือ Q1/56เมื่อเทียบกับQ1/55(ซึ่งมียอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการอั้นไว้ของQ4/54) :D
โดย
koh
อังคาร ม.ค. 15, 2013 9:42 am
0
0
Re: Introvert Extrovert กับการลงทุน
ลืมบอกจุดสำคัญไปจุดหนึ่ง Introvert เนี่ยถึงจะดูไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เค้าสนใจจะสามารถคุยได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยครับ ถ้าจะให้ชัดขึ้นมาอีกหน่อยก็น่าจะบอกว่า Introvert ไม่ชอบคุยอะไรที่ไม่ลึก ไม่ชอบ chit chat แบบว่าเป็นไงบ้าง ไปเที่ยวไหนมา อากาศดีเนอะ ทำงานที่ไหน เรียนจบที่ไหนเหรอครับ แต่จะชอบคุยแนวที่ตัวเองสนใจ คุยอะไรที่ลึกต้องใช้ความคิดทำนองนี้ งั้นผมเองก้อ Introvert เต็มๆครับ :D
โดย
koh
อาทิตย์ ธ.ค. 02, 2012 12:48 pm
0
0
Re: กฎของ 72 คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้
บทความและวิธีคิดและนำเสนอดีครับ
โดย
koh
เสาร์ ต.ค. 27, 2012 3:28 pm
0
0
Re: หนังสือเกี่ยวกับ warren buffett คิดว่าเล่มไหนดีสุดคะ
essential buffett กับ warren buffett way ครับ
โดย
koh
พุธ ก.ย. 26, 2012 8:58 am
0
0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
3.ระวังโดนกิน. (อันนี้ ดร ฺ เคยเขียนเตืิอนมาแล้วครั้งนึงว่า ทุกชีวิตมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอด)
โดย
koh
เสาร์ ก.ย. 15, 2012 3:39 pm
0
4
Re: รับสมัครหลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1
สมัครเรียน
โดย
koh
อังคาร ก.ย. 11, 2012 9:00 am
0
0
Re: รับสมัครหลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1
สมัครเรียน
โดย
koh
อังคาร ก.ย. 11, 2012 9:00 am
0
0
Re: ประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมครับ?
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ คุณ koh :D ผมรบกวนช่วยขยายความ "น่าจะเป็นราคาที่เราประเมินว่ามันเหมาะสมแค่ไหนเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในขณะนั้นมากกว่า" ตรงนี้ประเมินยังไงครับ หมายถึงว่า ให้ประเมินจากที่มูลค่าที่เหมาะสมมากกว่าการใช้ราคาที่ตลาดโหวตครับ การประเมินมีหลายแบบและแต่ละแบบก็เหมาะสมกับแต่ละรูปแบบธุรกิจครับ แต่โดยรวมผมชอบวิธีการของปีเตอร์ลิ้นซ์ครับ เชื่อว่าVIส่วนใหญ่คงเคยอ่านมาแล้ว คล้ายๆกับที่คุณ TLSS ทำนะครับ (เพียงแต่การใช้ราคาหุ้นขณะนั้นมันเบี่ยงเบนมากหากตลาดกำลังสนใจหุ้นนั้นๆอยู่) แต่ต้องดูความสมเหตุสมผลมาประกอบด้วย เช่นหากจำนวนห้องของโรงแรมเพิ่มเท่านั้นจริงๆ มันส่งผลต่อมาร์เก็ตแชร์ของจำนวนห้องของโรงแรมโดยรวมอย่างไร เป็นไปได้มั๊ย บางครั้งอาจพบว่าไม่Logic เพราะผู้บริหารมองโลกในแง่ดีเกินไป ที่ตลกกว่านั้นคือ ในธุรกิจเดียวกันหากเป็นไปตามที่ผู้บริหารทุกบริษัทบอก จะพบว่ามันเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะผลรวมของยอดขายตามที่ผู้บริหารทั้งหลายบอก มันมากกว่ายอดขายทั้งsectorในปีนี้คูณด้วยอัตราการเติบโตแบบเวอร์ๆด้วยซ้ำครับ ซึ่งธุรกิจอสังหาจะพบเห็นเหตุการแบบนี้บ่อยมาก จึงควรทำการcross check อีกครั้งครับ
โดย
koh
จันทร์ ก.ย. 10, 2012 2:34 pm
0
0
Re: ประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมครับ?
ตัวอย่าง โดยมีสมมติฐาน ดังนี้ 1. บริษัททำได้ตามเป้าหมาย 2. ราคาหุ้น แปรตาม กำไร ซึ่งแปรตาม ยอดขาย/การขยายสาขา 3. เป็นการประเมินเพียงคร่าวๆ หยาบๆ เท่านั้นครับ ยินดีรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากเพื่อนๆ พี่ๆ ครับ ขอบคุณมากครับ :) ติดตรงข้อ2 ครับ ราคาหุ้นระยะสั้นเป็นแค่การลงความเห็นตรงกันในความคาดหวังหรือผิดหวังของตลาดครับ น่าจะเป็นราคาที่เราประเมินว่ามันเหมาะสมแค่ไหนเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในขณะนั้นมากกว่า ส่วนข้อ1นั้นควรคิดเป็นช่วงๆของการทำได้ต่ำกว่าเป้า ทำได้ตามเป้า หรือเกินเป้า ซึ่งตัวแปรข้อนี่ขึ้นอยู่กับความสามารถขิงผู้บริหาร(จากการประเมินของเราโดยใช้ข้อมูลย้อนหลังมาประกอบ) ส่วนข้อ3นั้น ต้องทำอย่างอนุรักษ์นิยมครับ
โดย
koh
เสาร์ ก.ย. 08, 2012 3:30 pm
0
0
Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย
ดีมากเลยครับ น่าจะทำออกมาขายนะครับ
โดย
koh
ศุกร์ ส.ค. 31, 2012 9:20 am
0
1
Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย
ดีมากเลยครับ น่าจะทำออกมาขายนะครับ
โดย
koh
ศุกร์ ส.ค. 31, 2012 9:16 am
0
0
Re: ***เปิดจองงานสัมมนา กลยุทธ์เลือกหุ้นแบบวีไอ 9/9/2555***
จอง1ที่
โดย
koh
พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2012 9:42 am
0
0
Re: คนอยู่บ้านเล่นหุ้นไม่ใช่อาชญากร
ป่านนี้เจ้าของกระทู้คงอายุราว36ปีแล้ว หวังว่าคงประสบความสำเร็จในชีวิตการลงทุนนะครับ :D
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 11, 2012 3:54 pm
0
0
Re: ROE และ ROA
Dครับ ขุดมาให้ดูกันอีกครั้ง
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 04, 2012 3:39 pm
0
0
Re: มหัศจรรย์ของหุ้น VI
PE&ROE น่าสนใจครับ
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 04, 2012 3:19 pm
0
0
Re: แค่ไหนถึงเรียกว่าเป็น VI
D
โดย
koh
เสาร์ ส.ค. 04, 2012 3:10 pm
0
0
Re: กำหนดการ OppDay ออกแล้วนะครับพี่น้องครับ
ดีครับ
โดย
koh
ศุกร์ ก.ค. 27, 2012 9:26 am
0
0
108 โพสต์
of 3
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
koh
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ มี.ค. 27, 2004 9:14 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ ก.ค. 26, 2023 9:36 am
โพสต์ทั้งหมด:
273 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.04 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
http://www.youtube.com/watch?v=LgCwdZmNSUU
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว