หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Isamu
Joined: เสาร์ ก.พ. 02, 2008 10:45 am
167
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Isamu
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
เล่นที่ดินผ่านหุ้น(ล่าสุดของดร.) บริษัทไหนน๊า???
ผมอ่านที่ท่านดร.เขียนไว้ นึกออกอยู่แค่ตัวเดียว นึกว่าทุกคนอ๋อกันหมดแล้ว แต่พอมาอ่านในนี้ชักงงๆเสียแล้ว ร้อยคนก็ร้อยหุ้นจริงๆ....555 มีคีย์เวิร์ดที่ต้องเคารพในเกมทายใจ"เล่นที่ผ่านหุ้น"นี้ จึงจะถูกกติกานะครับ 1.เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก ย่านใจกลางของธุรกิจ 2.หาประโยชน์จากค่าเช่าได้ ไม่จำเป็นต้องขายทรัพย์สินเพื่อที่จะสร้างเงินสดหรือกำไรโดยตรง 3.ไม่ใช่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 4.เราเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนของธุรกิจได้ผ่านการถือหุ้น 5.ธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัททำกำไรได้ดีอยู่แล้ว บริษัทที่ผมนึกออกยังมีคุณสมบัติอื่นที่ท่านดร.ชอบ 1. ธุรกิจ in trend กับคนรุ่นใหม่ 2. รายได้คาดการได้ เพราะมีอัตราการใช้ซ้ำสูง 3. มีอำนาจต่อรองมาก ผู้เช่าที่แทบจะต้องกราบ ถ้าปิดลูกค้าอย่างเราเดือดร้อน 4. เป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจด้วย อย่างนี้ร้อยคนจะเหลือหนึ่งหุ้นได้ป่าวเนี่ย แต่ต้องทำใจกับปันผลต่ำ เพราะต้องเอาเงินไปไล่ประมูลที่แปลงงามเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ขึ้น XD ครั้งหน้า เดี๋ยวรู้กันว่าใครทายถูก
โดย
Isamu
พุธ เม.ย. 28, 2010 9:43 pm
0
0
Expected value analysis
ขอความกรุณาพี่โหน่งอธิบายที่มาที่ไป หลักการของ reflexivity กับ circle of competence ด้วยครับ ผมอยากเข้าใจให้ละเอียดกว่านี้เพราะไม่เคยรู้มาก่อนครับ เรื่องวิธีการเรียน ผมเห็นว่าเรียนด้วยคำถาม หรือเรียนด้วยคำตอบก็ได้ครับ เรียนด้วยคำตอบ เรียกว่าใช้ศรัทธานำปัญญา เชื่อที่ครูสอนไว้ก่อน เกิดปัญญา แล้วเกิดปัญหา จึงถาม ไม่ค่อยกล้าถามใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอา เรียนด้วยคำถาม ฝรั่งเป็นมากกว่าคนไทย คือไม่เชื่อไว้ก่อนจนจะพิสูจน์ได้ว่าใช่ ใช้วิธีฟังมาก อ่านมากเอาเหมือนกัน แต่เพื่อที่จะพยายามไม่เชื่อ ผมคิดว่าจะใข้วิธีใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้เรียน แต่สุดท้ายศรัทธาและปัญญา ต้องเสมอกัน (คำถามและคำตอบเสมอกัน) ปล. ชอบรูปแมวครับ อันนี้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้ว :wink:
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 12:08 pm
0
0
ใส่ผ้าข้าวม้าเคียนเอวไปลงทุนในตลาดหุ้น
เขียนเรื่องแบบนี้ได้......จากคนที่คุณก็รู้ว่าใคร (กำลังฮิตเลย) http://www.youtube.com/watch?v=fIeaB_6qnno&feature=related
โดย
Isamu
จันทร์ ก.ค. 27, 2009 3:27 pm
0
0
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของตลาด
เรื่องวิธีคิดผลตอบแทนของ SET ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่ที่ห้องสมุดมาแล้วรวย ของตลาดหลักทรัพย์มีข้อมูลให้ครับ เล่มนั้นอธิบายประวัติและเหตุการณ์การขึ้นลงของ SET ทุกช่วงเหตุการณ์ไว้ด้วยเลย
โดย
Isamu
เสาร์ ก.ค. 25, 2009 11:58 am
0
0
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของตลาด
ผมคิดว่าตลาดรวมโตน้อย น่าจะไม่ได้เป็นจุดพิจารณาหลักในการเลือกลงทุนในหุ้นหรือไม่นะครับ เพราะเราเน้นเรื่องบริษัทที่เข้าไปลงทุนมากกว่า มีข้อยกเว้นเฉพาะหุ้นที่สัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจมากๆ เช่นธนาคาร แต่คนที่เข้าถือหุ้นก็รู้อยู่แล้วว่าซื้อถือได้แค่เป็นช่วงๆ และที่สำคัญ เราศึกษาการลงทุนเพื่อพยายามลงทุนให้ชนะตลาดกันอยู่ใช่ไหมครับ เพราะฉนั้นตลาดจะไปได้แค่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดี เราต้องว่ายทวนน้ำเพื่อความแข็งแรงอยู่เสมอ สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ้นเช่น RMF หรือ LTF ซึ่งผลตอบแทนส่วนใหญ่สัมพันธ์กับ SET มาก ก็น่าจะใช้วิธี สับเปลี่ยนกองทุนระหว่างกองทุนRMFหุ้น และRMFพันธบัตรเมื่อผลตอบแทนถึงจุดที่กำหนด (คล้าย Target fund) ซึ่งลดความผันผวนได้มาก จำกัดกำไร แต่จะไม่เคยขาดทุน ส่วน LTF ก็ใช้วิธีนี้ได้ แต่ต้องขายออก แล้วนำเงินมาหมุนซื้อ เพื่อลดภาษีได้อีกรอบ
โดย
Isamu
เสาร์ ก.ค. 25, 2009 11:53 am
0
0
ความน่าจะเป็น / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมครับ ผมชอบคำว่า "ถ้ายืดเวลาออกไปแล้วก็จะพยากรณ์ได้แม่นยำขึ้น" เพิ่งเคยได้ยินเป็นที่แรก แล้วก็ใช่จริงๆด้วย ขอบคุณครับ
โดย
Isamu
จันทร์ ก.ค. 20, 2009 12:38 am
0
0
อย่าขาดทุน!!!
ผมไม่ค่อยเดือดร้อนนะที่พี่เขาพิมพ์ผิด คิดว่าดีกว่าไม่พิมพ์ พิมพ์ยาวๆก็ต้องผิดมากกว่าพิมพ์สั้นๆ ผมอ่านเนื้อความ แค่อาศัยดูเจตนาเบื้องหลังมากกว่าว่าเขาอยากสื่อสารอะไร ผมก็เลยไม่เดือดร้อนมาก จริงๆที่ผมเจอมา คนที่มีความสามารถบางอย่างมากกว่าคนอื่น หรือบางคนเรียกว่าอัจฉริยะนั้น จะต้องมีการชดเชยเสมอ คืออาจทำ basic function ที่สำหรับคนทั่วไปแล้วทำได้ ได้น้อยลงได้ เดี๋ยวนี้จึงมีการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะให้เขาได้ทำเต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่ชีวิตก็ไม่ลำบาก เช่นในการสื่อสารกับผู้อื่น โดยตั้งอยู่ในความเข้าใจในความแตกต่างระว่างบุคคล วิธีคิดที่ผิดคือการเห็นว่าความเป็นส่วนใหญ่นั้นถูกต้อง และทุกคนต้องทำเหมือนกัน ผมเห็นเราพูดกันบ่อยๆเรื่อง การยอมรับความแตกต่าง แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็เข้าข้างตัวเอง ตัวเองถูกเสมอ แล้วก็หาพวก พอพวกมากก็สบายใจว่าถูกแน่ แล้วก็......เวลา พิสูจน์ว่าผิด ทีนี้ก็เริ่มเข้าใจและยอมรับความจริง เป็ดย่อมอยู่อย่างเป็ด ใครเป็นนกอินทรีย์ก็เป็นไป เราถูกกำหนดมาแล้วเกินครึ่ง แต่ต้องพยายามเอาที่เหลือ
โดย
Isamu
เสาร์ ก.ค. 18, 2009 6:31 pm
0
0
CPALL แพงไปยัง ???
อ่านกระทู้นี้แล้วดีใจที่ยังมีความเห็นต่างๆกันไปบ้าง ถูกบ้าง แพงบ้าง แสดงว่ายังไม่ผิดปกติ ถ้าทุกคนพูดตรงกัน......ผมคงเริ่มเครียดแล้ว หนักใจตรงที่ว่าถ้าขาย CPALL แล้วจะให้ไปลงทุนต่อตัวไหน คิดอยู่ทุกวัน ยังหาตัวที่มีคุณสมบัติทดแทนลำบาก เข้าทำนองว่างั้นอยู่เฉยๆดีกว่าแล้วกัน ก็เรารู้น้อย ให้เวลาช่วยคิดแทน นักลงทุนท่านทั้งหลายคงจะค่อยๆให้ราคาตรงกับความเป็นจริงไปเอง ไม่หวังขายที่ peak อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ขายหมูละกัน ส่วนตัวยังเป็นลูกค้าอยู่เหนียวแน่น ของก็อร่อยเหมือนเดิม ไว้ถ้าขยายธุรกิจแบบไม่เกรงใจรายย่อย ค่อยโบกมือลา รอดูอยู่ว่าจะเอาเงินสดไปทำอะไร.....ปันผลเพิ่มเถอะก๊าบ ราคากระฉูดแน่ๆ
โดย
Isamu
พุธ ก.ค. 08, 2009 6:24 pm
0
0
หาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นใหญ่
ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะใช้ได้เหมือนกันได้หรือไม่นะครับ ถ้าใช้ broker อื่น ผมใช้ www.tiscoetrade.com เข้าไป log in password ของ tisco หลังจากนั้นหน้าแรก click ที่ e-finance แล้วทาง tisco หรืออาจจะ broker อื่นๆ จะ log on ให้โดยอัตโนมัติ แล้วดูทางซ้ายจะมี ข้อมูลหุ้นรายตัว click ที่ major share holder หลังจากนั้น คลิกที่ชื่อ ก็จะทราบว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่ครับ และคนนั้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่กี่ตัว
โดย
Isamu
เสาร์ มิ.ย. 20, 2009 12:49 pm
0
0
มีหนังสือเล่มไหนเล่าถึงวิถีชีวิตของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ไม่มีความรู้ใดดีเท่าประสบการณ์ตรง จะรู้ว่าเกลือมันเค็มก็ต้องชิม ไม่ใช่ไปอ่านหนังสือว่าเกลือมันเค็มยังไง แนะนำให้เดินทางไปเอง เดี๋ยวนี้มี low cost airline, budget hostel เพิ่มขึ้นและสะดวกขึ้นมาก พยายามพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดี เป็นอย่างน้อย และหาเพื่อนหลายๆประเทศ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ทาง internet ทีหลังก็ได้ ทำได้แค่ไหน ก็แค่นั้นก่อน ทำหลายครั้งเดี๋ยวเก่งขึ้นเอง
โดย
Isamu
อาทิตย์ มิ.ย. 14, 2009 4:46 pm
0
0
หุ้นไทยไปได้เท่าไหร่ ValueWay : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เห็นด้วยครับ กราฟใช้การไม่ได้ช่วงนี้ เพราะเป็นสถานะการไม่ปกติ เหมือนหุ้นเพิ่งปลด SP ไม่มีแนวต้าน ไม่มีแนวรับ วัดดวงกันเห็นๆ ใครเป็นนักลงทุนแนวไหน ก็ข่มใจทำตามแนวเดิมของตัวเองให้ดีครับ อย่าเล่นเกมที่ตัวเองไม่ถนัด
โดย
Isamu
ศุกร์ มิ.ย. 12, 2009 11:09 pm
0
0
Thailand trusted brands 2009
ขอโทษที ขี้เกียจแปลครับ Methodology ABOUT THIS SURVEY The survey is carried out for Reader's Digest by The Nielsen Company. Consumers are surveyed through questionnaires distributed in Reader's Digest as well as through telephone interviews of randomly selected consumers in Hong Kong, India, Mainland China, Malaysia, the Philippines, Singapore, Taiwan, and Thailand. GOLD AND PLATINUM TRUSTED BRAND AWARDS Survey respondents are asked to name their most trusted brand in each of the product categories, and then to give each brand they name a rating, from 1 (low) to 5 (high), on six qualitative criteria: Trustworthiness & Credibility, Quality, Value, Understanding of Customer Needs, Innovative and Social Responsibility. Each brand then receives a mathematical score based on the number of respondents who named it, multiplied by the average rating on the six qualitative criteria. Brands which score clearly above competitors receive a Gold Trusted Brand Award. Most Trusted Brand Award winners achieve Gold status. Brands with scores more than three times that of their nearest competitor, or with a score at least double that of their nearest competitor and an average rating of at least 4 points (out of a possible 5) on the qualitative criteria, receive a Platinum Trusted Brand Award.
โดย
Isamu
ศุกร์ มิ.ย. 12, 2009 12:41 am
0
0
Thailand trusted brands 2009
ได้ gold เท่ากันครับ ยกเว้นได้ platinum ก็ถือว่าไร้คู่แข่ง เดิมยูนิฟเคยได้ด้วยแต่ตอนนี้ตกไปแล้ว มาลีปีนี้ทำโปรโมชั่นมาก และชื่อเขาก็ยังขายได้มาตั้งแต่ทำผลไม้กระป๋องครับ เลยขึ้นมาตีตื้น
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. มิ.ย. 11, 2009 12:26 pm
0
0
Thailand trusted brands 2009
brand recognition ส่งสัญญานหลายอย่างในการแข่งขันทางธุรกิจ บ่อยครั้งหุ้นที่มี brand recognition ที่ดี อาจไม่ได้ทำกำไรดี ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือการบินไทย ไม่ใช่ว่าเพราะบริษัทไม่ดี แต่แปลว่ามีปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่างที่ต้องประกอบกันเพื่อส่งผลให้เห็นเป็นกำไร (และราคาหุ้น) brand recognition ต้องแยกแยะให้ดีว่าเป็นของบริษัทที่เคยดี และดีอยู่ หรือ บริษัทกำลังจะดี ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ย่อมจะดีกว่าบริษัทที่ได้ติดต่อกันมาหลายปี ราคาหุ้นย่อมสะท้อนสิ่งต่างๆไว้พอสมควร แนะนำว่าควรดูต่อเนื่องหลายปีด้วยจะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น brand recognition ถือเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญของบางบริษัท และกลายเป็นกับดักของ value investor ที่นิยมเฉพาะตัวเลข แต่จะเข้ามาซื้อกิจการที่ brand เข้ามามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจ ซึ่งมักเป็นบริษัทที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ใช้สินค้าโดยตรง มากกว่าจำหน่ายให้บริษัทอื่นนำไปผลิตต่อ PE PBV จะต้องให้เพิ่มได้มากกว่าปกติ กว่าหุ้นที่ผลิตสินค้าไม่มี brand (book value ไม่บันทึกค่าความจงรักภักดีต่อ brand ส่วนกำไรก็ผันผวนช้ากว่าจึงมีค่า premium ให้) ตัวอย่างที่ดีที่สุดเวลานี้คือ 7-11 ไม่ใช่ชื่อร้าน หรือป้ายร้านที่มีสีเขียวแดง แต่เป็นตั้งแต่ เสียงออดตอนประตูเปิด เสียงพนักงานทักทาย กลิ่นแซนวิชอบในร้าน แม้คำว่า "รับขนมจีบซาลาเปาทานเพิ่มไหมคะ" นี่ก็เรียกว่า brand เวลานี้ยากที่ใครจะมาตั้งสาขาในใจผู้บริโภคแข่งกับ 7-11 แล้ว เรียกว่าประสบความสำเร็จเรื่อง sensory branding ทั้งตา หู จมูก และสัมผัส brand ที่ดีก็เหมือนชื่อเสียงของคน ที่ได้มายาก รักษาไว้ก็ยาก หากเราจะไปซื้อหุ้นที่มี brand awareness ต้องหาให้ได้ด้วยตนเองว่าเหตุใดบริษัทจึงทำเช่นนี้ได้ และจะยิ่งดีถ้าแน่ใจว่า เหตุที่ทำให้ brand นี้มีชื่อเสียงต้องรักษาไว้ได้ทนนาน และยากที่บริษัทอื่นจะเลียนแบบได้ (durable compatitive advantage) เมื่อรวมกับแนวโน้วทางสังคมศาสตร์ ธรรมชาติของธุรกิจนั้น และผู้บริหารที่ไม่โกง ก็จะกลายเป็น super stock
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. มิ.ย. 11, 2009 9:27 am
0
0
มีใครเคยรู้สึกแบบผมบ้างไหมครับ
ตอนพี่อายุเท่าน้อง ก็เป็นอย่างนี้ อาการเดียวกัน.... ตอนนี้แก่แล้ว ผ่านการขึ้นลงมาก็หลายรอบ จนชาชินกับอารมณ์แบบนี้....เห็นเป็นปกติ อารมณ์นี้ก็ปกติ วิธีแก้ก็ง่ายมาก ถ้าลงทุนได้ตามเป้า ก็ต้องพอใจ และให้ยึดเป้าหมายการลงทุนของตัวเองเป็นหลัก อย่าหวังต้องเก็บกำไรทุกบาททุกสตางต์ จะทั้งเครียด และทำให้ลงทุนได้ไม่ดี (เซียนหุ้นในนี้ก็เป็นประเภทบรรลุธรรมกันไปแล้วทั้งนั้น) ถ้าเครียดมาก....1.หนีไปปฎิบัติธรรมสักอาทิตย์ 2.ท่องคาถา ขายหมูได้ อย่าซื้อควายมา 3. stay clam stay invest อายุยังน้อย ได้เปรียบกว่าเห็นๆ
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. มิ.ย. 04, 2009 7:52 pm
0
0
LH ณ เวลานี้มีอะไรดีกว่าอสังหาตัวอื่นๆครับ
ขอบคุณครับที่มาเล่าให้ฟัง เป็นทฤษฎีที่ดีมาก ผมจะเฝ้าสังเกตุดูฝูงลิงต่อไป ถ้ามันเริ่มทำอะไรผิดปกติอีก ผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังครับ
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 5:38 pm
0
0
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
กองทุนพันธบัตร หรือกองทุนระยะสั้นที่อ้างอิงกับตราสารภาครัฐ มีทุกธนาคารครับ หรือเข้าไปในธนาคารแล้วตะโกนถามพนักงานในนั้น (โดยเฉพาะไทยพาณิชย์) ก็จะโดนล้อมในเวลาไม่กี่วินาที และมี option มากกว่านี้อีกครับ แต่ผมฝากในหุ้นหมดทุกบาทอยู่แล้วครับ ได้ปันผลมากกว่าดอกเบี้ย ไม่โดนหักภาษี แถมได้เครดิตภาษีคืนอืก ถ้าโชคดีได้ capital gain ด้วย ราคาหุ้นไทยก็ไปๆมาๆอยู่ที่เดิมครับ long term risk ต่ำ ยกเว้นหุ้นที่ไม่ควรยุ่งก็อย่าไปยุ่ง
โดย
Isamu
อาทิตย์ พ.ค. 24, 2009 9:58 pm
0
0
LH ณ เวลานี้มีอะไรดีกว่าอสังหาตัวอื่นๆครับ
ผมขี้เกียจพิมพ์ยาว เพราะต้องจิ้มเอาทุกตัวอักษร สรุปสั้นๆเลยครับ 1.เวลาหุ้นตัวไหน ราคาดี กำไรดีในช่วงนั้น ไม่ได้หมายความว่า กิจการในระยะยาวจากนี้จะดี เมื่อวันหนึ่งสิ่งต่างๆ ได้ปรากฏชัด ราคาและฝูงชนก็จะเคลื่อนไปตามนั้น และ นักลงทุนผู้ชาญฉลาด มองเห็นสิ่งต่างๆได้ แม้ยังไม่ปรากฏชัด ก็ได้กำไรชัดๆไปตามระเบียบ หุ้นแลนด์ ไม่ได้ได้เปรียบหุ้นอสังหาตัวอื่นอีกต่อไป นโยบายสร้างเสร็จก่อนขาย ไม่ได้เป็นจุดตัดสินใจสุดท้ายอีกต่อไป ตอนนี้ ต้องใกล้รถไฟฟ้าเท่านั้น บ้านเดี่ยวที่ไหน จะมีปัญญาอยู่ใกล้รถไฟฟ้า คอนโดสร้างเสร็จก่อนขายก็เสี่ยงมาก เงินจมมาก และไม่สามารถทำทีละเฟสเหมือนบ้านเดี่ยว 2.เส้นจากอดีตไม่ได้ลากตรงไปที่อนาคต หุ้นเคยดี นั้นมีอยู่ทั่วไป หาหุ้นกำลังจะดี ดีกว่า แต่ตอนนี้ช่วงฝุ่นตลบ มันก็ต้องเดาเอาจากเส้นที่ลากมาจากอดีตก่อนละวะ ราคาแลนด์ก็มากหน่อย 3.ก็เหมือนที่คุณสุมาอี้เคยเขียนไว้ เรื่อง consumer syndrome http://api.settrade.com/blog/1001ii/1001ii/2009/04/01/456 ระวังว่าการโฆษณาสินค้าดูดี กิจการ image ดี ไม่ได้แปลว่ากิจการทำกำไรดี
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. พ.ค. 21, 2009 12:44 am
0
0
AOT ของ DR นิเวศน์ +ยิกไปแล้ว
ผมนับถือที่สุดดอกเตอร์ก็เรื่องความมีน้ำใจนี่หละครับ ถ้าจะซื้อเงียบๆรวยเงียบๆก็ไม่มีใครว่า แถมยังสอนให้คิดได้อย่างมีเหตุผล ในจุดที่ผมเคยตั้งข้อรังเกียจกับหุ้นประเภทนี้ เรื่องนี้สอนผมขัดเจนเลยว่าอย่าติดกับ style มากนัก ว่า VI ต้อง fundamental, asset play, growth stock, Buffett หรือ Peter Lynch แต่ต้องรู้รอบ และหาโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดให้ได้ จะสอนนักเรียนให้ทำดี แล้วครูไม่ทำให้ดูแล้วเด็กนักเรียนที่ไหนจะเชื่อละครับ ปล. อยากเก่งแบบนี้บ้าง ผมจะติดตามและฝึกฝนต่อไปครับ
โดย
Isamu
ศุกร์ พ.ค. 08, 2009 1:15 am
0
0
ขอความเห็นพี่ๆหน่อยครับ BEC กับ MCOT
ผมอ่านเจอในคอลัมน์ของคุณนิติภูมิในไทยรัฐ เขียนว่าตอนนี้คนต่างจังหวัด ติดจานดาวเทียม กับดูเคเบิลท้องถิ่นกันแทบทุกบ้าน ฟรีทีวีก็ดูผ่านนั้นแทน ผมคิดว่า ไม่น่าสนใจทั้งสองตัวเพราะไม่รู้แน่ว่าใครจะได้ประโยชน์ และยังต้องลงทุนต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าบริษัทที่เป็น content provider เช่น Grammy น่าจะได้ประโยชน์ มากที่สุดเพราะมีช่องทางให้เลือกมากขึ้น ต้นทุนถูกลง และยังไม่ต้องลงทุนมากเสียเอง
โดย
Isamu
อาทิตย์ พ.ค. 03, 2009 7:12 pm
0
0
ตั้งคำถามเกี่ยวกับ VI ที่เก่งกาจ
เรื่องการลงทุนหุ้นระยะยาวใช้ศิลปะกับสิ่งที่เรียกว่าจินตนาการค่อนข้างมาก เป็นสิ่งที่เซียนหุ้นหรือนักลงทุนในสินทรัพย์อื่นต้องมีเพื่อความสำเร็จที่มากกว่าคือ 1.คาดเดาผลในอนาคตที่ยาวกว่าคนอื่นให้ได้อย่างใกล้เคียงที่สุด 2.ต้องกล้าที่จะทำตามแผนนั้นโดยการนำเงินที่มากในพอร์ทไปเดิมพันกับความเชื่อของตน ไม่ว่าเพิ่มหรือถอนการลงทุน 3.นักลงทุนโดยทั่วไปยังไม่ทราบถึงแนวโน้มนั้น หรือทราบแต่ไม่เชื่อ หรือทราบแต่ยังไม่ตัดสินใจเพราะรอตามคนอื่น นักพนันใช้ข้อมูลระยะสั้นมากกว่า หมดตานี้ ตาหน้าเริ่มใหม่หมด เสียแล้วต้องตัดให้ขาด ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ต้องแทง ไม่มีใครว่า นักลงทุนยิ่งระยะสั้นเท่าไหร่ก็คล้ายนักพนันมากขึ้น ถ้าใครเก่งทางนี้ก็เล่นสั้นดีกว่า เรียกว่าดูทางลมช่วงสั้นๆเก่ง ถ้าผิดแล้วก็ต้องถอยเร็ว ถ้าถูกแล้วก็ต้องไหลไปต่อ ส่วนนักลงทุนยาวนั้นจำเป็นต้องเดาแนวโน้มให้ออก ข้อมูลที่ใช้แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในงบดุล หรือ ratio ต่างๆ ไม่เช่นนั้นนักบัญชีต้องเป็นเซียนหุ้นทุกคน ข้อมูลที่สำคัญมากๆ ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยกเว้นเซียนได้แก่ 1.แนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ 2.แนวโน้มปัจจัยทางการตลาด ขนาดของตลาด และระดับความรุนแรงของการแข่งขัน 3.แนวโน้มของเทคโนโลยี และของที่ทดแทนกันได้ 4.ธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆ ที่เราจะลงทุน แล้วค่อยมามองหาบริษัทที่ได้ประโยชน์ การให้น้ำหนักกับข้อมูลที่มีได้ดี จึงจะลงทุนระยะยาวได้ดี ส่วนการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ได้เร็วกว่าก็เหมาะกับเล่นสั้นๆ ซึ่งคนธรรมดามักคิดว่าตนรู้ข่าวเร็วกว่าคนอื่นก็เลยพลาด เพราะไม่ได้เร็วจริง หรือข่าวผิดเพราะแค่ข่าวลือ น้องๆที่เคยมาให้ผมสอนเรื่องการลงทุนก่อนหน้านี้ เท่าที่สังเกตดูมีหลายแบบที่ไม่ดีครับ 1.อยากรวยเร็ว และไม่ต้องทำงานหนัก (เป็นแฟชั่นมาแรงจริงๆ) เซียนทั้งหลายล้วนแต่เคยทำงานหนักมาแล้วทั้งนั้น และรวยช้า ต้องรอตอนแก่ 2.ชอบให้บอกว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ชอบแบบต้องไปค้นคว้าแบบเจาะลึกแล้วคิดเอง ไม่ชอบอ่านเรื่องที่ไม่ถนัด 3.มั่นใจในตัวเองมากเกินไป มั่นใจในการคาดการณ์ของตัวมากเกินไป ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ อดีตก็เกิดเหตุการณ์นั้นมาก่อนแล้ว ซ้ำๆ อยากให้น้องๆ ขยัน อดทน กับการเรียนปกติ การทำงานปกติ อ่านหนังสือมากๆ และอ่านในวงกว้าง ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการลงทุน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เป็นเซียนหุ้นได้เอง ที่สำคัญต้องจดประวัติการลงทุน และเหตุผลตอนนั้นไว้ ผิดถูก เวลามาดูทีหลังจะได้สอนตัวเองได้ ส่วนแนวโน้มที่จะบอกใบ้ให้ ลองไปหาดูว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ หรือคว้าประโยชน์มาได้ บอกก่อนว่ามันไม่ได้ตรงไปตรงมานะ ครอบครัวขนาดเล็กลง คนโสดมากขึ้น ผู้หญิงเงินเดือนมากขึ้น ผู้หญิงทำกับข้าวเป็นลดลง คนอดทนรอสั้นลง ชอบลองของใหม่มากขึ้น ชอบแสดงความเป็นตัวตนในที่สาธารณะมากขึ้น ดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญตัวเองมาก่อนมากขึ้น อายุยืนขึ้นอีกแต่ไม่ยอมแก่ ชอบอิสระในทุกเรื่อง ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นโดยไม่เปิดเผยตัวจริงมากขึ้น ชอบเจอกันนอกบ้านมากกว่าพาไปที่บ้าน ชอบประสบการณ์แปลกใหม่ บริษัทที่ดูเหมือนมั่นคงกลับล้มละลาย บริษัทที่ทำได้ถูกทางโตเอาเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับเศษฐกิจ เพราะฉนั้นให้หาบริษัทที่โตไปด้วยกันกับเรานะครับ คนอายุน้อยก็ต้องลงทุนในบริษัทที่อายุไม่มาก ปรับตัวเก่ง และไปด้วยกันกับเราได้จนเราแก่ครับ สุดท้าย ถ้าเราสนุกกับการลงทุนเราจะทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
โดย
Isamu
จันทร์ เม.ย. 20, 2009 12:22 am
0
0
สหัสวรรษประเทศไทย 3
มารอฟังครับ ช่วงนี้เวบบอร์ดดูเหงาๆไปหน่อยครับ
โดย
Isamu
พุธ ก.พ. 04, 2009 10:59 pm
0
0
Cash Is King / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จะเป็นตัวไหนได้ ก็ตัวเดิมล่ะครับ ว่าแต่จะรับซาลาเปาทานเพิ่มหรือปล่าวครับ
โดย
Isamu
อังคาร ม.ค. 27, 2009 9:06 pm
0
0
10 เทรนด์แห่งอนาคต
ส่วนเรื่องที่สินค้าแบบกลางๆ จะตายลง ผมคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ครับ เพราะผู้บริโภคสมัยนี้ ตัดสินใจซื้อจากเหตุผล หรือไม่ก็อารมณ์ ยกตัวอย่าง กาแฟ ถ้าจะเอาแบบแก้ง่วงนอน รสชาติดี ก็ตามร้านข้างทาง แก้วละ 30 บาท ถ้าเอาแบบเท่ๆ ก็ Starbucks แบบกลางๆ เช่น Blue cupของ S&P ก็ต้องยอมลดราคาทุกวันพุธ โทรศัพท์มือถือ แบบเท่ๆก็ i-phone แบบเอาแต่ function ราคาสมเหตุสมผลก็ G-net ส่วนรุ่นหรือยี่ห้อที่ เท่ แต่ไม่พอ หรือ function ครบแต่แพงกว่า ก็จะไม่มีใครเลือกในที่สุด ผมว่าผู้บริโภคสมัยนี้ นอกจากซื้อของเพื่อใช้แล้ว ยังต้องการสื่อให้คนอื่นๆ ทราบถึงตัวตนของเขาด้วย เช่น เป็นคนมีเหตุผล เลือก function หรือ เป็นคนแบบเท่ๆ และไม่จำเป็นว่า เขาจะใช้แต่อารมณ์ หรือ function ในการพิจารณาเลือกของทุกชิ้น บางอย่างก็ใช้อารมณ์ บางอย่างก็แค่ function ก็พอ
โดย
Isamu
พุธ ม.ค. 14, 2009 3:34 pm
0
0
10 เทรนด์แห่งอนาคต
นิยามของ good food ครับ เท่าที่พอ search จาก google ได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะตรงกับในบทความหรือไม่ เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญครับ ส่วนใหญ่จะเห็นอยู่ในรูปสหกรณ์ครับ อย่างอันนี้ชื่อ simply good food http://wairarapa.wikispot.org/Simply_Good_Food Simply Good Food provides you with the assurance of knowing where your food comes from, as well as the benefit of contributing to a community based initiative that supports local growers, local farm workers and the environment.
โดย
Isamu
พุธ ม.ค. 14, 2009 3:13 pm
0
0
ชาว VI ท่านใด เน้นเรื่องจิตวิทยา ในการลงทุน.....บ้าง
http://www.se-ed.com/eshop/Search/SearchList.aspx?Keyword=%a8%d4%b5%c7%d4%b7%c2%d2%a1%d2%c3%c5%a7%b7%d8%b9&SearchType=Name&SelectType=All แนะนำหนังสือที่ดี เล่มหนึ่งครับ "จิตวิทยาการลงทุน" จะชนะตลาดได้ ต้องเริ่มที่ชนะใจตัวเองก่อน หากมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว ก็ยิ่งต้องอ่านครับ จริงๆ จิตแพทย์ ก็ไม่ได้เปรียบนักลงทุนทั่วไปหรอกครับ ถ้ามีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และหมั่นศึกษาเพิ่มเติมก็ประสบความสำเร็จได้ทุกคน
โดย
Isamu
อังคาร ม.ค. 13, 2009 9:04 pm
0
0
Megatrend อันใหม่ครับ บริษัทไหนจะมากับ trend นี้บ้างครับ
พบแล้วครับคอนโดสาวโสด ผู้ชายต้องเดินขึ้นบันไดไป สาวอายุน้อยให้อยู่ชั้นบนๆ ใครเดินขึ้นไหวแค่ไหนก็แค่นั้น http://www.businessthai.co.th/content.php?data=409646_%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%81 ปัจจุบันอำนาจการซื้อของผู้หญิงมีมากขึ้น จากสถิติพบว่า แนวโน้มผู้หญิงจะครองตัวเป็นโสดมากขึ้นทุกวัน และมีความต้องการที่พักอาศัยที่เป็นส่วนตัว แต่เน้นความปลอดภัยสูง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นายพิเชษฐ ศุภกิจจานุสันติ์ กรรมการบริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในตลาดคอนโดกลางเมือง เปิดเผย ช่องว่างการตลาดที่เกิดขึ้น ได้ทำให้กลุ่มแอล.พี.เอ็น.ฯซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมกลางเมือง ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพกำลังซื้อของผู้หญิงในปัจจุบันและอนาคต พวกเขาวางแผนที่จะพัฒนาสินค้าใหม่ ภายใต้แนวคิดที่พักอาศัยประเภทคอนโดกลางเมือง เฉพาะสาวโสด ขึ้นมา โดยใช้จุดขายเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ทำเลที่ตั้งจะต้องอยู่กลางเมือง สามารถเดินทางไปมาได้สะดวกสบายระหว่างที่ทำงานกับที่พักและมีความเป็นส่วนตัวสูงเป็นธีมหลักของตัวสินค้า ขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางในการพัฒนาคอนโดประเภทนี้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการศึกษาหาแนวทางอีกสักระยะ เพราะการพัฒนาคอนโดประเภทนี้จะต่างจากการพัฒนาคอนโดทั่วๆ ไปที่เคยพัฒนามาก่อน นายพิเชษฐ อธิบาย กรรมการบริหาร บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ ได้เคาะราคาคอนโดสาวโสด ในระดับปานกลาง ประมาณ 1-2 ล้านกว่าบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคนทำงานระดับกลาง และใช้ชีวิตคนเดียว ราคาขนาดนี้น่าจะเหมาะสมกับกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามจะต้องทบทวนและศึกษารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาข้อสรุปให้ชัดเจนและตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ ในต่างประเทศนั้นมีการพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับผู้หญิงโสดกันเป็นจำนวนมาก และประสบความสำเร็จในการพัฒนากันด้วย เพราะในเชิงการตลาดถือว่าเป็นตลาดเฉพาะ (Niche Market) ส่วนในประเทศไทยนั้นยังไม่เห็นมีการพัฒนาคอนโดผู้หญิงโสด ในอนาคตถ้าจะมีก็คงจะเป็นของบริษัทที่พัฒนาเป็นรายแรก พิเชษฐ์ ตั้งความหวัง
โดย
Isamu
เสาร์ ม.ค. 03, 2009 6:46 pm
0
0
MAKRO กับ BIGC ตอนนี้เลือกอะไรดี
เลือก 7-11 เหตุผลก็ ตามนี้เลยครับ http://api.settrade.com/blog/nivate/2008/11/24/417
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2008 8:13 pm
0
0
ใครมีธุรกิจ internet ในมือ ลองอ่านไหมครับ
ขอบคุณครับ
โดย
Isamu
พุธ พ.ย. 12, 2008 6:51 pm
0
0
บัฟเฟทท์สอนนักลงทุน ลุยซื้อหุ้นช่วงนี้ดีที่สุด
ทำงานเพิ่ม แล้วก็รอเงินเดือนออกครับ
โดย
Isamu
พุธ ต.ค. 22, 2008 4:10 pm
0
0
วิกฤตคราวนี้เป็นโชคดีของผู้มีหุ้นที่ดร.นิเวศน์ลงทุนมากที่สุด
จริงๆ ผมก็ลอกการบ้านดร.นิเวศน์มาหลายข้อเหมือนกันนะครับ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ ถ้าคำตอบที่ถูกที่สุดมีอยู่ข้อหนึ่ง แล้วเราก็คิดจากแนวคิดเดียวกันกับอาจารย์ที่สอนเรามา ได้คำตอบแบบเดียวกัน แล้วทำไมไม่กาข้อนั้น ไปกาตามข้ออื่นเพื่อหวังว่าถ้าตอบถูกอยู่คนเดียวแล้วจะดัง? การลงทุนก็เพื่อหวังผลตอบแทนและอิสระทางการเงิน ไม่ใช่อยากดัง ใครจะว่าผมลอกการบ้านบ้างผมไม่เคยสนใจ ลูกศิษย์ที่ดีไม่ต้องเถียงอาจารย์ให้เสียเวลา แต่ให้ถามตัวเองกลับบ้างว่าทำไมอาจารย์ซึ่งมีประสบการณ์และมีอะไรที่จะเสียมากกว่าเราจึงทำอย่างนั้น คือหาเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ เพื่อจะได้ทำเองได้ภายหลัง เปลี่ยนสำนักไปเรียนวิชาอื่นๆบ้าง จนสุดท้ายก็เก่งพอที่จะสร้างวิถีของตัวเอง และรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตัวเอง ตอนที่ยังไม่เก่ง ก็ต้องระวังตัวไว้อย่ารีบคิดว่าจะเก่งกว่าอาจารย์ คนเก่งจริงจะพบว่าตัวเองมีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ ข้อเท็จจริงทั้งหลายในโลกนี้จะมีสองส่วนเสมอ คือตัวเนื้อหา และน้ำหนักความน่าเชื่อถือ หุ้นที่ดร.นิเวศน์ถือก็มีน้ำหนักการลงทุนไม่เท่ากัน ก็บอกเป็นนัยว่าตัวไหนดีมากน้อยตามความเห็นของท่าน ตัวที่อาจจะดีน้อยหน่อยก็ลงทุนน้อยหน่อย แต่กระจายหลายตัว เพราะหุ้นพวกนี้ทายผิดอย่างมากก็ขาดทุนร้อยเปอร์เซ็น แต่ถ้าทายถูกอาจกลายเป็นสิบเท่าร้อยเท่าได้ ส่วนที่มั่นใจมากก็เห็นๆกันอยู่ว่าตอบถูก จะว่าผมเชียร์ออกนอกหน้าก็ได้ครับ เพราะถ้าไม่มีดร.นิเวศน์ ผมคงไม่ลงทุนแบบสบายใจอย่างทุกวันนี้
โดย
Isamu
จันทร์ ต.ค. 13, 2008 10:46 pm
0
0
หุ้นถูกเรื้อรัง
ขอบคุณมากครับ จะ save เก็บไว้อ่านหลายๆรอบครับ
โดย
Isamu
พฤหัสฯ. ก.ย. 04, 2008 8:10 pm
0
0
ผมเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ถือหุ้นโรงพยาบาล
ขออนุญาตมองโลกในแง่ร้าย จากคนวงใน 1.คนไข้ไปรพ.หาหมอที่ชอบ ไม่ได้ติดยี่ห้อรพ. คนไข้ไปรพ.ที่ดังเพราะจ้างหมอเก่งๆไว้ได้ ต้นทุนการดึงตัวหมอเก่งๆไว้มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ 2.คนไข้ไปหาหมอ ชอบหมอเฉพาะทาง ตอนนี้หมอเฉพาะทางไปกองอยู่รพ.เอกชน เพราะเมื่อก่อนหมอเฉพาะทางมีคนเรียนน้อย แต่ตอนนี้หมอเฉพาะทางผลิตเพิ่มยังกับดอกเห็ด อีกหน่อย 5-6 ปี รพ.รัฐก็มีหมอเฉพาะทางครบ ไม่ต่างจากเอกชน 3. คนเป็นโรค เพราะสะสมปัจจัยเสี่ยงมาเป็น 10 ปี คนไข้ล้นรพ.ตอนนี้ เป็นผลมาจาก10ปีก่อน 10ปีข้างหน้าจึงจะเป็นผลมาจากปัจจุบัน โรงพยาบาลที่รักษาโรคมะเร็งแบบครบวงจรได้ น่าจะได้ประโยชน์ในอีก 10ปีมากที่สุด เพราะยังไม่รู้วิธีป้องกัน แต่เวลาคนไข้รู้ว่าเป็นมะเร็ง ชอบมารพ.รัฐซะนี่ 4. เพิ่มจำนวนเตียง คนไข้จะไม่เพิ่มตาม ทำอย่างกับว่าสั่งให้คนป่วยได้ซะงั้น ตอนนี้รพ.เอกชน เล็งขยายไปทางคนไม่ป่วยเช่น ตรวจร่างกาย เสริมสวย บำรุง (wellness) ซึ่งรพ.รัฐ ไม่มาแข่งขันแน่ 5. หมอเก่งก็ต้องพึ่งเทคโนโลยี หมอไม่เก่งยิ่งชอบพึ่งเทคโนโลยี รพ.ต้องลงทุนกับเทคโนโลยีไม่รู้จบ แล้วเมื่อไหร่จะจ่ายปันผลงามๆได้ซะที 6. กลยุทธ์การแข่งขันของรพ.จากนี้ไปคือ focus กับ differentiation ไม่ใช่ cost leadership หรือ economy of scale รักษาคนไข้ ไม่เหมือนทำปลากระป๋องนะครับ 7. สุดท้ายคุ้นๆว่า จงหลีกเลี่ยงหุ้นร้อนแรงในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง ผมไม่มีหุ้นรพ.เลยครับ จึงมองโลกในแง่ร้ายได้สุดๆ ลองปรึกษาแพทย์ ดีกว่าซื้อหุ้นรพ.กินเองครับ ขอบคุณครับ
โดย
Isamu
อังคาร ก.ย. 02, 2008 10:05 pm
0
0
ของดีที่ใกล้ตัวเราที่ถูกที่สุดที่เรายังไม่เคยรู้จัก
สุดยอดเลยครับ
โดย
Isamu
อาทิตย์ มิ.ย. 08, 2008 2:09 pm
0
0
อุตสาหกรรมใดจะเป็นรายต่อไป
ขอเตือนจากใจจริง เวลาคนเรามองเห็นว่าเรื่องดีๆจะเกิดมาเรื่อยๆเองโดยไม่ต้องห่วงอะไร เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะกับการลงทุน ฝูงชนที่บ้าคลั่งจะขาดทุนเสมอ อยู่ให้เหนือลม เหนือข่าวในทีวีและมองให้ไกล เมื่อต่อมาคนส่วนใหญ่เริ่มเห็นเหมือนเรา เวลาแห่งการเก็บเกี่ยวจึงจะมาถึง จะลงทุนใน commodity ก็รู้ๆกันอยู่ว่าต้องซื้อตอนสินค้าล้นตลาด มาขายตอนขาดตลาด อย่าหวังว่าจะมาซื้อตอนสินค้าขาดตลาด มาขายตอนขาดตลาดกว่า กำไรน้อยนิด ไม่คุ้มเสี่ยง ลอง check ดูว่าบริษัทที่เราถืออยู่บริษัทไหน ที่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ แล้วเรายังเต็มใจซื้อสินค้าจำนวนเท่าเดิม บริษัทหรืออุตสาหกรรมนี้จะเป็นผู้ชนะเมื่อต้นทุนสินค้าแพง
โดย
Isamu
เสาร์ เม.ย. 19, 2008 8:52 pm
0
1
"ลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ เน้นมูลค่า แล้วขาดทุน" -
ขอแจมด้วยคนครับ เพราะเคยคิดจะซื้อระหว่าง CMO กับ GMMM ซึ่งมี Index event agency อยู่ ผมเลือก GMMM ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ ไม่ใช้ PE PBV DVD ดูเลย เนื่องจาก ไม่สามารถคำนวณจากฐานของปีที่แล้วได้ เป็นธรรมชาติของธุรกิจที่รายได้มาจากการประมูลงาน แย่กว่ายังมีแย่ที่สุด ผมดูเฉพาะ competitive adventage กับความอึด ให้ผ่านช่วงตกต่ำเท่านั้น ในสภาวะที่ธุรกิจตัดงบโฆษณา เนื่องจากต้นทุนพุ่งพรวด agency โฆษณาตกต่ำ ต้องเลือกเบอร์หนึ่งเท่านั้น ที่จะ come back ผมเลือกโดยเข้าไปดูใน web pageของบริบัท พบว่า งานของ Index event agency มีการกระจายตัว และ คุณภาพงานดีกว่า ทำงานระดับ inter กว่า ที่สำคัญ ผู้บริหารโหงวเฮ้งดีกว่า (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่อย่างยิ่ง) ในช่วงที่อาจขาดสภาพคล่อง Index event agency จะมี Grammy คอยช่วยด้านการเงิน และป้อนงานให้ แต่ CMO อาจถึงตาย และในกรณีที่ธุรกิจโฆษณาเริ่มฟื้นตัว บริษัทที่มีสภาพคล่องดีจะได้ประโยชน์เพราะ ธุรกิจโฆษณาต้องจ่ายไปก่อนแต่รับเงินทีหลัง เมื่อคิดได้ดังนี้จึงกำไร 50% แต่ผมยังเชื่อว่าห่านบินขึ้นทั้งฝูงอยู่ดี ต้องอดใจรอ ปล.งบการเงินและ ratioที่ดูดี บอกปัจจุบัน ไม่ได้บอกอนาคต, คนในองค์กร บอก competitive advantage และ competitive advantage จะบอกอนาคต ฝากดู non financial data และ คนในองค์กร กันด้วยนะครับ งบการเงินและ ratioที่ดูดีจะตามมาเอง
โดย
Isamu
เสาร์ เม.ย. 05, 2008 12:17 am
0
0
หุ้นโรง'บาล
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับกับ คุณ mprandy ใครที่ถือหุ้นไว้จะโกรธผมอีกคนก็ยอมครับ ใครที่ด้อมๆมองๆ ก็ขอเตือนครับ ว่ามันยังมีอีกเยอะ
โดย
Isamu
เสาร์ มี.ค. 29, 2008 12:11 pm
0
0
ถ้าต้องซื้อวันนี้ แล้วขายไม่ได้ไปอีก20ปี คุณจะซื้อหุ้นอะไร
ผมตั้งสมมุติฐานก่อนว่า หุ้นที่ราคาดีที่สุดในอีก 20 ปีข้างหน้า คือหุ้นที่ คนที่อายุ 15-25 ปี ในวันนี้ชื่นชอบในผลิตภัณฑ์และบริการ เพราะพวกนี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจซื้อสูงในเวลานั้น ถ้าใครอายุประมาณนี้ก็แค่ถามใจตัวเองก็พอ แต่มีข้อแม้ที่สำคัญมาก 2 ข้อนะครับ คือ 1.ต้องไม่มีสินค้าและบริการในอนาคตที่มาทดแทน 2.คือ มี barrier of entry สูงมาก ถ้าระยะเวลาการลงทุนเปลี่ยนไป เช่น 5 ปี ก็ต้องเข้าใจ คนกลุ่มอายุ 25-35ปีเป็นต้น หุ้นที่เข้าข่าย mega trend คือโดนใจคนกลุ่มใหญ่และยาวนานจะทำให้เรากอบโกยได้ยาวนานและมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง CPALL MINT สำหรับ เรื่องสุขภาพ ผมยังไม่แน่ใจว่า บริษัทที่ มีกิจการที่ซ่อมสุขภาพ (โรงพยาบาล) ที่เหมาะกับคนกลัวตาย หรือ สร้างสุขภาพ (อาหาร ออกกำลังกาย พักผ่อน) ที่เหมาะกับคนกลัวเจ็บ ในอนาคต อย่างไหนจะดีกว่ากัน (คนกลัวตาย หรือ คนกลัวเจ็บ อย่างไหนจะมากกว่ากัน) แต่ผมขอเลือก บริษัทที่เกี่ยวกับการสร้างสุขภาพ หรือหุ้นสำหรับคนกลัวเจ็บ เพราะ เป็นคนกลุ่มใหญ่กว่า และนักลงทุนยังไม่สนใจมันมากนัก และโอกาสขยายตัวมีได้อีกมาก
โดย
Isamu
เสาร์ มี.ค. 29, 2008 11:52 am
0
0
ย้อนยุทธ์ตอนที่ 13 จากสับแบรนด์หลอก ถึงยุทธการเอาคืน
ขอบคุณอีกครั้งครับ เพิ่งเข้าใจว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร เพราะเคยเห็นแต่เบื้องหน้า ต้องยอมรับว่าที่บ้านก็เปลี่ยนยี่ห้อไปตามนั้นเหมือนกัน รู้สึกเหมือนเสียรู้เจ้าของสินค้าเล็กน้อย ผมคิดว่าบทความที่เขียนมาเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรงครับ โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น consumer product เนื่องจากหากเราแปลความหมายของการสื่อสารการตลาดของเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ เราอาจจะพอเดาออกถึง product life cycle, market share, ระดับความรุนแรงของการแข่งขัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าทำให้เราพอที่จะคาด การยอดขายและกำไรได้ ก่อนที่นักลงทุนอื่นหรือ broker จะคาดการณ์ผลประกอบการ ผมเองชอบที่จะอ่านใจผู้บริหารผ่านการโฆษณาสินค้าของเขา ส่วนตัวจึงหลีกเลี่ยงการลงทุนใน บริษัทที่ผลิตสินค้าในตลาดอุตสาหกรรม ที่ไม่ได้ทำสงครามผ่านสื่อ ต้องอาศัยข้อมูลอื่นแทนซึ่งผมมักไม่แน่ใจในความน่าเชื่อถือเพราะไม่สามารถประเมินความถูกต้องได้เอง ผิดกับ consumer product ซึ่งผมมักจะไปลองใช้ และรับรู้ได้ถึงผลกระทบจากการทำตลาดโดยตรง ยังไงฝากรบกวนอย่าเพิ่งรีบจบนะครับ ถึงแม้ว่าจะมี น้อยกว่าร้อยคนร้อยหุ้นมาก ผมคิดว่าหลายคนที่เข้ามาในนี้เพื่อลอกการบ้านคนอื่น เอาง่ายๆไปเลยว่าจะให้ซื้อตัวไหนดี บทความดีๆ อย่างนี้น่าจะมี linkจาก front page ใน recent posts นะครับ ฝาก moderator ช่วยพิจารณาครับ
โดย
Isamu
จันทร์ ก.พ. 18, 2008 11:55 pm
0
0
จะเป็นอย่างไร หากอีกสิบปีข้างหน้า นักลงทุนกลายเป็น VI กันหมด
ขอให้ความเห็นเรื่องการสวนกระแส (contary) ซึ่งเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมาก จริงๆ แม้ว่าทุกคนจะคำนึงถึงเรื่อง VI กันหมด ก็ไม่ได้หมายความว่าการลงทุนที่ดีต้องสวนกระแสโดยการไม่ใช้หลักการ VI ไปใช้แบบอื่นๆแทน สังเกตดูในร้อยคนร้อยหุ้นนะครับ จะเห็นว่ามีหลายคนหลายแบบ ตามความถนัดหรือความเชื่อแต่ละคนจริงๆ ผมคิดว่าเราใช้หลักการคล้ายคลึงกัน แต่ศิลปะทำให้การลงทุนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แค่สวนกระแสข้อมูลหรือความนิยมใน board นี้บ้าง ก็น่าจะเพียงพอ ไม่น่าถึงขนาดเลิกไปเลย จริงๆผมว่าถ้าเป็นพันธ์แท้คงเลิกยากเพราะมันเป็นความปกติไปแล้ว สถานการณ์มักจะสร้างวีรบุรุษ ผมคิดว่าพวก contary คงจะรอวันนั้น
โดย
Isamu
อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 11:47 am
0
0
กรุงเทพธุรกิจหรือPost Today ชาวVI เลือก
ผมแนะนำกรุงเทพธุรกิจ biz weekนะครับ เพราะ VI ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจรายวัน biz week ยังสอนด้านการทำธุรกิจ ผมรู้สึกว่าช่วยให้วิเคราะห์บริษัทในส่วนที่ไม่ใช่งบการเงินได้ดีขึ้น แต่ตัวเองจริงๆแล้วอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า (บางครั้งข้อมูลที่ดีมากๆ ก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือพิมพ์)
โดย
Isamu
เสาร์ ก.พ. 16, 2008 9:43 am
0
0
จะเป็นอย่างไร หากอีกสิบปีข้างหน้า นักลงทุนกลายเป็น VI กันหมด
ผมเห็นด้วยกับคุณสามัญชนนะครับ ยกตัวอย่างได้เข้าใจดี ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า สมัยนี้บางคนชอบพูดว่าตัวเองเป็นคนมีศีลมีธรรม แต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้ลงไปในชีวิตประจำวัน ไม่ได้หัดจนเป็นธรรมชาติ น้องๆนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มหลายคน ช่วงสองสามปีมานี้ มักจะพูดว่าตัวเองอยากลงทุนแบบ VI จนดูเหมือนว่าเป็นแฟชั่นแบบหนึ่งไปแล้ว จริงๆแล้ง VI เป็นวิถีชีวิตทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุนอย่างเดียว คนที่จะอาศัยวิธีนี้แล้วประสบผลสำเร็จมากๆ จึงต้องเป็นคนที่เข้าใจและนำไปปฏิบัติ เหมือนศีลห้า ที่ถ้าปฏิบัติจนเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้วก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นคนถือศีลข้อใด ก็แปลว่าได้ว่าหัดจนเป็นธรรมชาติ ได้ผลแห่งศีล และไม่ค่อยเอาการถือศีลหรือไม่ ไปแบ่งแยกหรือตัดสินใครๆ
โดย
Isamu
เสาร์ ก.พ. 16, 2008 9:33 am
0
0
ใครๆก็ว่าต้นทุนแพงขึ้น
ผมไม่เห็นว่าในระยะยาวของต่างๆจะมีราคาแพงแบบไม่มีที่สิ้นสุดได้ มีแค่ความนิยมในเปลี่ยนกันไปในสิ่งต่างๆ เมื่อหมดความนิยมเราก็จะเห็นราคาที่แท้จริง ในระยะสั้นเราอาจจะเห็นการเพิ่มขึ้นของสินค้าต่างๆ ตามๆกันมาในช่วง 2-3 ปีมานี้เนื่องจาก ความกลัว ว่าจะขาดแคลน และ ความโลภ ของการเก็งกำไรราคาซื้อขายล่วงหน้าของสินค้า commodity ต่างๆ คนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดคงจะเป็น hedge fund ที่สามารถเข้าถึงตลาด commodity มากกว่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ สำหรับผู้ผลิตสินค้า commodity เอง เช่น น้ำมันหรือถ่านหินนั้น ในช่วงแรกดูเหมือนจะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น แต่ต่อมาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการตัดสินใจในเรื่องของการตัดสินใจขยายกำลังการผลิต เนื่องจากต้องอิงราคาสินค้านั้นว่าจะเป็นเท่าใดในอนาคต แล้วเทียบกับที่ต้องลงทุนไปว่ารับได้หรือไม่ ธุรกิจ commodity เข้ายากออกยาก ถ้าตัดสินใจผิด ราคาในอนาคตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ต้องขาดทุนไปนานหลายปี สำหรับผู้ผลิตสินค้าโดยทั่วไปก็จะถูกกดดันอย่างหนัก เนื่องจากราคาสินค้าต่างๆที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคลดลง ผู้บริโภคจะตัดรายการซื้อที่ไม่จำเป็นออกและใช้เหตุผลเรื่องราคามากขึ้น ผู้ผลิตจึงไม่สามารถผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้มากนัก ต้องกลับไปปรับปรุงกระบวนการผลิต และลดต้นทุนด้านอื่นแทน ซึ่งมักจะทำได้จำกัด ในระยะยาวผู้ที่จะได้ประโยชน์คือ บริษัทที่ยอดเยี่ยม ที่มีสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการจริงๆของผู้บริโภค ซึ่งสามารถผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้และคู่แข่งยังจะไม่สามารถเข้าทำตลาดได้เนื่องจากต้องกลับไปปรับปรุงกระบวนการผลิต และลดต้นทุนด้านอื่นอยู่เพื่อให้ผ่านวิกฤตไป ยกตัวอย่างเช่นก่อนวิกฤตเศษฐกิจคราวก่อน เราอาจรู้จักหมู่บ้านจัดสรรหลายๆเจ้า แต่หลังวิกฤตเศษฐกิจ เราได้ยินชื่อ Land and house มากกว่าเจ้าอื่นๆ โดยสรุป ผมสนใจเฉพาะธุรกิจที่ยอดเยี่ยม โดยไม่สนใจสภาวะแวดล้อมมากนัก เพราะทุกบริษัทต้องเจอเหมือนๆกัน ยังไงก็ตามวิธีที่อาจารย์นิเวศน์ ได้เคยเขียนไว้ยังใช้ได้อยู่เสมอครับ
โดย
Isamu
เสาร์ ก.พ. 09, 2008 11:00 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
Isamu
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
sleep
ความถนัด:
Cat
ที่อยู่:
Bangkok
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ ก.พ. 02, 2008 10:45 am
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. มี.ค. 17, 2011 1:35 pm
โพสต์ทั้งหมด:
167 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.03 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว