หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
areliang
Joined: พุธ ก.พ. 27, 2008 3:45 pm
432
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - areliang
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ผมก็เลย เกิดข้อสงสัยขึ้นมาบ้างว่า การตัดสินใจไม่ทำอะไร และก็ไม่ลงมือทำอะไร คือ การกระทำหรือไม่ การเลือกที่จะไม่กระทำ ก็อาจจะเป็น การลงมือกระทำในทางหนึ่งรึเปล่า รวมถึง ความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตอย่างลมๆแล้งๆ ควรหรือไม่ อีกข้อเป็นเรื่องที่มองเห็นราคาหุ้น หลายๆตัว เมื่อเทียบราคาเมื่อ 10 ปีก่อน กับราคาวันนี้ ราคากลับลงมาเท่าเดิม แม้จะมีช่วงราคาที่ขึ้นไปบ้าง มันคืออะไร 10 ปี ผ่านไปแต่ราคากลับมาเท่าเดิม มันคืออะไร
โดย
areliang
อาทิตย์ พ.ย. 29, 2020 10:10 am
1
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
แปลกจัง ที่ในวันนี้ พอผมมานึกถึงเรื่องราวของหุ้นที่เกี่ยวกับตัวผมเอง กลับรู้สึกว่าตัวผมเองลืมเรื่องหุ้นไปนานแสนนานทั้งๆที่ผมก็ดูก็นึกถึงตลาดหุ้นอยู่เป็นประจำ อาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมทำมันน้อยเกินไปรึเปล่า ผมซื้อหุ้น 3 – 4 ตัวหลักๆ เมื่อสัก 10 ปีก่อน แล้วระยะเวลา ก็ทำให้หุ้นของผมขึ้นมาบ้าง จนถึงวันที่ผม รู้สึกอยากขาย แล้วผมก็ขายไป ผมก็ขายไปโดยที่ไม่ได้ซื้อหุ้นตัวใหม่เข้ามาทดแทน อาจจะเพราะผมเป็นคนที่ขี้กลัว จุดที่ทำให้ผมเริ่มเกิดการขาย น่าจะเกิดจาก ตัวที่หนึ่ง เป็นเพราะ ผมไม่เคยได้กำไรจากหุ้นจนถึงตัวเลขจำนวนนั้น ผมเลยอยากเก็บเลขกำไรจำนวนนั้นออกมาให้เป็นความจริง และ 555 ซึ่งแน่นอน เมื่อขายแล้ว หุ้นตัวนั้นก็ขึ้นต่อไปอีกไม่น้อยเลย ถึงแม้จะต้องจำใจเสียดายกำไรที่จะได้มากขึ้น แต่กลับต้องทำ อาจเป็นเพราะ เพื่อสร้างคำตอบและตอกย้ำให้กับตัวผมเอง ว่ามันคือความจริง พอเวลาผ่านไปอีกเป็นปี ผมก็เพียงแต่ถือหุ้นที่ยังไม่ได้ขายไปเพลินๆ การซื้อขายหุ้นเกิดกับผมบ้างแบบเหยาะแหยะ จำนวนน้อยไม่เป็นนัยยะสำคัญ จนวันที่ หุ้นอีกตัวที่ผมมีอยู่ เกิดประกาศ เพิ่มทุน ซึ่งหุ้นตัวนี้ที่ผ่านมาปันผลในเกณฑ์สูง เมื่อเทียบกับราคาที่มีการขึ้นลงบ้างไม่มากนัก ถึงจะมีการเดาอยู่บ้างว่า งบประมาณนี้ โตรูปแบบนี้ ที่ผมเริ่มไม่ชอบเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มทุนเป็นแน่ แล้วพอประกาศเพิ่มทุนออกมา ผมก็ตัดสินใจ ขายดีกว่า ก็ไม่ยากเลย เพราะถือมานาน มีปันผล รวมกับราคาตอนนั้นก็มีกำไรแม้ไม่มากนัก และมันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ดึงดูดให้ผมสนใจอยากขายหุ้นที่เหลืออีก และเมื่อมีโอกาสรวมกับราคาที่ผมโอเคแล้ว ผมก็ขายหุ้นทั้งหมด ออกไป น่าจะขายหมดในตัวหลัก ภายในสิ้นปี 2015 แล้วก็เกิดภาวะพอร์ตว่าง วุ่นวายใจกันเลย พอร์ตว่างเนี่ยเริ่มรู้สึกเรื่องใหญ่เพราะจะไม่มีรายได้จากหุ้นเลย 555 แล้วในปีต่อมา ผมก็เลยพยายามลงทุนในหุ้นตัวหนึ่งตัวเดียว แต่เป็นสัดส่วนไม่มาก แต่ยอดก็ไม่น้อยเลยสำหรับตัวผม ผมแค่เพียงคิดว่า ตัวนี้น่าจะดีกว่า ตัวที่ขายๆไป รวมถึง ตัวนี้แหละ ผมจะถือ รอ วิกฤต ซึ่งมันแน่ชัด ว่าผมคงไม่หวังถึงกำไรมากนัก เพราะถ้าเข้าวิกฤตแล้วยังกำไร ผมคงต้องเลือกหุ้นได้แบบเซียน แต่ผมไม่ใช่ แต่ยังคงหวังถึงการรอดและคงอยู่ของธุรกิจนั้นนะ ราคาที่ซื้อถ้าดูกราฟย้อนหลังราคาก็ค่อนข้างสูงนะ ใช่ครับราคาลดลงมา 55 กลัวไม่มีรายได้จากหุ้น ขาดทุนมากกว่ารายได้ที่ได้จากหุ้นเยอะ 55 ถึงแม้จะปลอบใจตัวเองได้บ้างในบางคราว เอาน่ะ ตัวที่ขายไปเมื่อเทียบแล้วราคาลดลงไปมากกว่าอีก และนี่หรือ คือ สิ่งที่ผมทำทั้งหมด เกี่ยวกับหุ้น 10 ปี ผมว่าผมใช้เวลาทำธุรกรรม เกี่ยวกับหุ้นหลัก น่าจะประมาณ 30 วันทำการ และก็วันที่เวิ่นเว้อ คิดถึงหุ้นที่ถือหรือไม่ถืออยู่เรื่อยๆ เนืองๆ นี่หรือ คือรูปแบบที่ผมเป็น ซื้อในเวลาที่ทั้งตลาดราคาถูก ขายตอนที่ทั้งตลาดราคาดี อาจจะเป็นวงรอบที่ผมพอจะทำกำไรได้ เพราะ ผมไม่เก่งกราฟ ไม่เก่งดูธุรกิจเชิงคุณภาพมากนัก ไม่เก่งเก็งกำไร แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังคงหวัง จะเป็นผู้ที่อยู่รอดในตลาดหุ้นครับ
โดย
areliang
เสาร์ พ.ย. 28, 2020 10:03 pm
0
2
Re: ทำไมนักวิเคราะห์ เขารู้ว่าบริษัทจะประกาศผลประกอบการวันไห
ผมคิดว่า ผลประกอบการ ถ้าประกาศออกมา ผิดจากเดิมค่อนข้างมาก มักจะมีผลต่อราคาตลาดมาก และถ้าให้เวลาในการประกาศ 45 วัน , 60 วัน ดังนั้นบริษัท อาจจะประกาศวันไหนก็ได้ในระหว่างนั้น ทำให้ คนที่ตามใกล้ชิด ต้องคอยเปิดข้อมูลและระแวง ว่าจะประกาศในวันไหน และจะมีผลอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันถัดจากประกาศ อันนี้ทำให้เกิดการใช้เวลา และระแวง ในระยะหนึ่ง ซึ่งบางทีมันก็อาจจะเป็นความสนุก กับการลุ้น คล้ายๆ เลขที่ออก 55 แต่ส่วนหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ไม่ได้ตามตลอด เช่น ผ่านไปสักสัปดาห์ถึงมาดูหุ้น ก็บังเอิญมาเห็นหุ้นที่ลงทุน มีราคาขึ้น หรือ ลง แบบผิดปกติ จึงหาสาเหตุ แล้วได้พบว่าเกิดจาก การประกาศผลประกอบการ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าผลจะประกาศเมื่อไหร่ และกำไรเปลี่ยนแปลงมาก และไม่ได้คิดและตัดสินใจในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นการเสียสิทธิ์ในข้อมูล ผมจึงคิดว่า ตลาดหลักทรัพย์ น่าจะจัดที่สำหรับ บริษัท ที่เขาประสงค์ที่จะแจ้ง วันที่จะประกาศผลประกอบการ ไว้ล่วงหน้าสัก อาทิตย์ หรือ สักเดือน มันก็น่าจะมีประโยชน์ต่อนักลงทุนมาก รวมถึงเมื่อรู้วันที่จะประกาศผลประกอบการชัดเจน การที่มีการเคลื่อนไหวในราคาที่ผิดปกติช่วงเวลานั้น นักลงทุนก็จะตัดสินใจได้ดีขึ้น
โดย
areliang
พุธ พ.ค. 09, 2018 11:24 am
0
6
Re: ทำไมนักวิเคราะห์ เขารู้ว่าบริษัทจะประกาศผลประกอบการวันไห
รูปครับ
โดย
areliang
พุธ พ.ค. 09, 2018 11:00 am
0
1
Re: ทำไมนักวิเคราะห์ เขารู้ว่าบริษัทจะประกาศผลประกอบการวันไห
อย่างนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ น่าจะมีช่องทางให้ บริษัท ที่ประสงค์จะแจ้งวันประกาศผลประกอบการได้ล่วงหน้า ให้สามารถแจ้งได้โดยเป็นข้อมูลสาธารณะกับทางตลาดหลักทรัพย์
โดย
areliang
พุธ พ.ค. 09, 2018 10:55 am
0
0
Re: ทำไมนักวิเคราะห์ เขารู้ว่าบริษัทจะประกาศผลประกอบการวันไห
http://investor-th.truecorp.co.th/home.html เจออันนึงครับ
โดย
areliang
พุธ พ.ค. 09, 2018 10:52 am
0
1
Re: Quote ของการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
LOVE คำพูด ที่ 16 :D
โดย
areliang
พุธ มี.ค. 11, 2015 2:36 pm
0
0
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ละ สงบเงียบ นั่งมอง ทุกๆอย่างดูกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักหลังจากนั้น ทั้งเรื่องลงทุน และเรื่องอื่นๆ ลงทุนในรูปแบบ เดิม เดิม มีเวลาว่างเหลืออยู่มาก จนช่วงตลาดหุ้นเริ่มขึ้นและขึ้นเรื่อยๆก็ละ ใส่ใจหุ้นน้อยลง แต่ยังคงถือหุ้นอยู่ แต่ไม่ซื้อเพิ่ม และไม่ขาย และลองที่ใช้เวลานั้นกลับมานั่งขายของ ขายสินค้า แต่ทำในรูปแบบง่ายๆ ได้เงินสัก 1-2 หมื่นบาทต่อเดือน แล้วใช้เงินส่วนนั้นเพื่อดำรงชีพ โดยไม่ไปเกี่ยวกับเงินจากการลงทุนเลย ราวกับมนุษย์เงินเดือน น่าระราว 3 ปีได้ ผมพยายามที่จะกลับมาสัมผัส ความเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบคร่าวๆ เป็นช่วง ที่ผมคิดเรื่องธุรกิจ หุ้น น้อยมาก หรือ สงบเงียบเลยล่ะ แต่หุ้นที่ถืออยู่จำนวนน้อยตัว ก็มีบางตัวที่ขึ้นตามตลาด บางตัวก็ขึ้นไม่มาก ผมนั่งมอง แบบแทบไม่ทำอะไรเลย มากว่า 3 ปี สิ่งที่ผมเห็น คือ บริษัท มากมายในตลาดหุ้นยังคงอยู่ แม้จะเป็นบริษัทเล็ก ที่กำไรน้อย จนถึงขาดทุนเรื่อยๆ ก็ยังคงอยู่ มีบริษัทจำนวนน้อยมากที่หายไปเพราะไม่สามารถอยู่ได้จริงๆ รวมถึงมูลค่าตลาดของบริษัทเล็กๆ ที่ขาดทุน หรือ กำไรน้อย บางบริษัท กลับแพงกว่า บริษัทขนาดที่ใหญ่กว่า มีกำไรมากกว่า และแพงกว่า หลายเท่า จากเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และบริษัท ที่ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ที่เติบโตได้ไปเรื่อยๆ ทั้งจากการปรับตัว หรือ หาช่องทางทำเงินใหม่ รวมถึง ช่องทางเดิมๆ ผมมองเห็น ถึง การคงอยู่ เมื่ออยู่ไม่ได้ก็เห็นการปรับตัว กลับมาวุ่นวาย อีกครั้ง อาจเป็นเพราะ อยากมีมากกว่านี้ ทั้งที่จริงๆ ไม่ขาดสิ่งใดทางวัตถุ ยิ่งดูมูลค่าตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ได้มองเห็นคนที่ทำเงินได้จากหุ้นมากกว่าเรามากมายนัก ความรู้สึกในใจไม่อาจสงบอยู่ได้ จึงเริ่มคิด พยายามที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อว่าจะดีขึ้นไปกว่านี้อีก แต่พอมองไปที่ตลาดหุ้นก็ขึ้นมาสูงมากแล้ว ด้วยนิสัยเดิมๆ ก็คงไม่กล้า เอาเงินเข้าไปลงจำนวนมากในเวลาแบบนี้ ไม่รู้สิ ไม่รู้ต้องทำยังไง เราพร้อมเหรอ ที่จะลงทุนให้หุ้น PE สูงๆ แม้หวังได้ว่าอนาคตจะดี ผมไม่พร้อมกับลักษณะแบบนี้ ใจตัวเองตอบพร้อมจะอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากซื้อ แต่ใจอีกด้านหนึ่งกลับไม่สามารถสงบได้จากความอยากให้ได้มากไปกว่านี้ นั่นคือความวุ่นวายที่อยู่ในใจ แม้มีความรู้จากสิ่งต่างๆ มากมายประกอบอยู่ จิตปล่อยวาง คำที่พูดได้อย่างง่ายๆ เบาบาง จิตปล่อยวาง ต้องอ้างถึง หนังเรื่อง KangFu Panda 2 ความหลัง หรือ อดีต ปัจจุบัน ความหวัง หรือ อนาคต ล้วนผูกพันกับเรา การทำความเข้าใจ จนสลายคำว่า ความกล้า ความกลัว แม้ คำว่า โง่ และ ฉลาด ดูจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำได้ อาจจะได้เห็นคำว่า จิตปล่อยวาง ฉาก ในหนัง KangFu Panda 2 ฉากที่ แพนด้า ต้องยืนอยู่บนแผ่นไม้กลางน้ำ แล้ว ปืนใหญ่จากเรือ หลายกระบอกมากเล็งมาเพื่อจัดการแพนด้า ปืนใหญ่ เปรียบเหมือน ปัญหา หรือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กำลังจะถูกยิ่งเข้าใส่ แพนด้า ส่วนแผ่นไม้กลางน้ำ ที่แพนด้าขึ้นไปยืนอยู่ซึ่งบนน้ำก็ไม่ได้ดูไม่มั่นคงอะไรเลย กลับเป็นสภาวะอ่อน ยืดหยุ่น นั้นก็คือที่อยู่ของจิต และตัวแพนด้า สื่อถึงจิต ด้วยความเป็นจริงแล้ว ไม่มีแรงของสิ่งมีชีวิตที่ปะทะกับ ลูกปืนใหญ่แล้วอยู่รอดได้ แต่ฉากนี้ไม่ทำเช่นนั้น และแพนด้า เข้าสู่จิตปล่อยวาง และมีกระสุนปืนใหญ่ยิงตรงเข้ามา แพนด้ากลับมองเห็นการเคลื่อนที่ค่อยๆเข้ามาของกระสุน เหมือนมองเห็นปัญหาใหญ่ทีเดียวค่อยๆวิ่งเข้ามา แล้วใช้วิชากังฟูที่ตัวเองมี ประคอง จับ ปัด กระสุน หรือปัญหาออกไปได้ โดยที่ มือ มีไฟจากกระสุนติดอยู่ให้รู้สึกร้อนอยู่บ้าง แล้วก็รีบดับมัน ราวกับว่าแน่นอนเมื่อยังไม่คล่องแคล่วที่จะจัดการปัญหา อาจจะมีอะไรร้นรนติดอยู่ได้ แต่ให้รีบดับมัน เมื่อกระสุน หรือปัญหายิงมาอีก ก็ประคอง ปัด ได้อย่างคล่องแคล่ว รวม ถึงการกระโดด หลบ กระสุน หรือ ปัญหา ได้อย่างสบายอารมณ์ จนถึงฉากที่ รวม ระหว่าง กระสุนหรือ ปัญหา กับ จิตของแพนด้า เห็น เข้าใจ รวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อจัดการกับรากของปัญหาที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง เรือของตัวร้ายในเรื่องซึ่งก็มีปืนใหญ่อยู่ และประคอง ผลัก ลูกกระสุน กลับไปจัดการเรือของตัวร้ายได้สำเร็จ ฉากที่ว่าคงเป็นภาพหนึ่ง ที่ผมได้สัมผัส คุณสมบัติ ของคำว่า จิตปล่อยวาง การลงทุน คงเป็นสิ่งที่เคียงคู่กันไป กับชีวิต แต่มันไม่เคยสำคัญไปกว่า ชีวิต ผมอาจจะทำมันได้ ไม่ได้ดีเยี่ยม เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำได้ดีเยี่ยม ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ได้ดีเยี่ยม เพื่อไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำได้ดีเยี่ยม ถ้าใช้จิตปล่อยวางในการมอง แต่ผมควรใช้ การลงทุน ให้เหมาะกับ ชีวิตผม ผสมผสาน ให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสุขให้ผม แล้วถ้าผม ใช้การลงทุน สร้างความสุขให้ตัวผมได้แล้ว คำว่าจะลงทุนได้ดีเท่าไหร่ คงเป็นสิ่งที่ผมจะนั่งมองไปเรื่อยๆอย่างมีความสุขเฉกเช่นเดียวกัน จบแล้วครับ :D
โดย
areliang
พุธ ม.ค. 28, 2015 12:50 pm
0
5
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
จากวันเสาร์ แล้วก็มาถึงวันจันทร์ ผมไปถึงร้าน ก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะใกล้บ้านผม ก็เดินเข้าไปซื้อน้ำโกโก้ปั่น แล้วก็ไปหาที่นั่ง ตรงที่สงบหน่อย พอถึงเวลานัด ก็โทรศัพท์ ไปบอกว่า ผมมาถึงแล้วนะ คุณอยู่ที่ไหนแล้ว เราใกล้ถึงร้านแล้วหละ ผมก็นั่งกินโกโก้ปั่นไปเรื่อยๆ แล้วก็คอยมองที่ประตูร้าน แล้วเธอก็เดินเข้ามา สาวที่สวยไม่เคยเปลี่ยน สาวผิวขาว ร่างเล็ก ผมสั้น ซึ่งทำให้ใจผมสั่นไปชั่วขณะ แล้วผมก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่ใช่ล่ะ เรามาเพื่อคุยเรื่อง การสื่อสาร แล้ว เธอจะมีอะไรมาคุยกับเรา แล้วจะช่วยเราได้เหรอ เธอก็นั่งลงตรงข้ามด้วยรอยยิ้มแสนหวาน เราก็เดินไปซื้อ โกโก้ปั่นมาให้อีกแก้วนึง พอซื้อมาเสร็จ และนั่งพักมาสักครู่ เธอก็เริ่ม ถามสิ่งต่างๆ และให้ผมเล่าตอบ ไปเรื่อยๆ และเธอก็ถามต่อ แล้วผมก็ตอบไปเรื่อยๆ ความรู้สึกต่างๆ ปัญหาต่างๆ สิ่งที่ผมทำต่างๆ และเธอก็ถามอีก ไอ้ผมก็เริ่มคิดอะไรเนี่ย ให้เราเล่าอยู่อย่างเดียวแล้วจะช่วยอะไรเราได้มั้ยเนี่ย แปลกที่พอยิ่งเธอถาม ผมก็มีเรื่องพูดออกมาได้เรื่อย ผมว่า มันผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่เพราะความตั้งใจฟัง และ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมไม่เบื่อเลย ในหัวและคำพูดของผม พรรณาปัญหาต่างๆออกมามากมาย จนเธอเริ่มพูด “รู้มั้ย สิ่งที่คุณทำ ที่บอกว่า ไม่ต้องทำงาน แต่ก็จะมีรายได้เข้ามา ไม่แพ้ เงินเดือนเริ่มต้นของคนจบปริญญาโท ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณทำยังไง แต่นั่น คือ สิ่งที่ทุกคน เค้าอิจฉา นะ” คำพูดอะไรก็ไม่รู้ พอเคลื่อนที่เข้ามาถึงหูผมปุ๊ป ผมรู้สึกว่า มันวิ่งทะลุ ขึ้นไปที่สมอง กระแทกกำแพงปัญหาแตกไปเป็นจำนวนมากซึ่งรวมถึงส่วนที่ผมเล่าออกไป ทำให้ผมเริ่มคิดอะไรออก ในหัวใจเริ่มตื่นเต้น คล้ายๆเห็นแสงที่รอดเข้ามาจากทางออก ผมยังคงพยายามฟังสิ่งเธออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยคนั้นต่อไป พร้อมกับคิดด้วยตัวเองไปด้วย เราตอนนี้อาจจะอยากได้ภาพที่เป็นที่ยอมรับ เราไปอิจฉา คนที่มีภาพเหล่านั้นพร้อม เราอยากทำให้เรามีภาพเหล่านั้น โดยขณะที่คนที่มีภาพเหล่านั้น จริงๆแล้ว เขาอิจฉาเรา เหรออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ ผมก็เลยเริ่มพูดว่า ยิ่งคิด ก็ยิ่งจริง คนจะไม่อิจฉาเรา ก็อาจจะมีเพียง คนที่ได้ทำงานซึ่งเป็นงานที่เขารักเท่านั้น แต่คนที่ทำงานเพื่อให้มีเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ถ้าจุดหมายเพียงเท่านี้ อิจฉาเราแน่ เพราะ เขา ต้องตื่นมาทุกเช้า พร้อมกับหน้าที่ที่ต้องทำอะไรต่างๆ และอาจจะมากมายเสียด้วยซ้ำในสายตาของเขาเอง พร้อมกับการเดินทาง ผมพยายามพูดออกไป ให้เธอฟัง ราวกับว่า ให้เธอเป็นผู้ ยืนยัน ว่าผมกำลังคิดไปในทางที่ถูก และ เธอก็มองมาที่ผม อย่างยิ้ม ยินดี ที่ดูเหมือนเราเข้าใจ มหัศจรรย์ จริงๆ นี่ผมไปอิจฉา คนที่อิจฉาผม หรือเนี่ย เธอ พูด ใช่แล้ว คุณไปอิจฉา คนที่อิจฉาคุณ แปลกมั้ยล่ะ แล้วความอิจฉาของคุณก็มาทำร้ายคุณเอง โอ่ออออ... ผมมองเห็นแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ มองไม่ออกแค่นิดเดียว ผมไปกดชีวิตตัวเองให้ด้อยไปกว่า คนที่อิจฉาผมเลยสินะ แล้ว เธอ ก็เริ่มพูดต่อ “ และปัญหาอีกอย่างของคุณ คงเป็นเรื่องการสื่อสาร ตามที่คุณว่านั่นแหละ” ผมเลยรีบถามว่า แล้วมันมีทางแก้มั้ย แก้ยังไง (ในใจผมคิด คุณคือ นางฟ้าองค์น้อยของผมโดยแท้) เธอ เริ่มพูด ง่ายนิดเดียว หลัก 5 ข้อ จำไว้ 1. ยิ้มแย้ม 2. ทักทาย 3. พูดคุย 4. ช่วยเหลือ 5. ชมเชย ผมถามด้วยความสงสัย ยังไง ก็เห็นอยู่เห็นโดยทั่วไปนะ เหมือนผมไม่เข้าใจ เธอจึงพูดให้ฟังต่อว่า ยิ้มแย้ม อยากคุยกับใคร ยิ้มไปเถอะ แม้ยิ้มไปแล้วเค้าไม่ยิ้มตอบก็ไม่เป็นไร เค้าอาจจะแค่อารมณ์ไม่ดีและไม่พร้อมที่จะคุยต่อ แต่โดยทั่วไปคนชอบการยิ้มแย้ม อืม ถ้าผมหน้าบึ้ง หรือเครียดเข้าไป คงไม่มีใครอยากคุยกับผมแน่ อืม เธอจึงพูด ใช่ ถูกต้อง แล้วเมื่อทำข้อที่ 1 แล้ว ก็ต่อๆไปก็จะตามมาเอง อืม เนอะ ถ้าเรายิ้มแย้ม ก็ง่ายต่อการพูดคุย เมื่อเรากล่าวทักทาย ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุย เราเริ่มพูดคุยก็ใช่อาจจะต้องมีการช่วยเหลือไปมา ถ้าคิดเพียงการสื่อสาร ก็เป็นการช่วยเหลือแง่คิดไปมา และเมื่อมีการช่วยเหลือจะไม่กล่าวชมเชย ขอบคุณก็กะไรอยู่ เธอฟังผมพูด และ ยิ้มหวานอย่างอบอุ่น และยินดีด้วยกับสิ่งที่ผมได้เข้าใจ Oh My God โอ้พระเจ้าของฉัน ขอบคุณท่านจริงๆ ที่ส่งนางฟ้าองค์น้อยองค์นี้มาสอนผม
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 6:40 pm
0
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
การปรากฏตัวของนางฟ้าองค์น้อย เศร้า ซึม อยู่สักพัก เอ่ คนภายนอกมองไม่เห็นเรากัน มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า เราไม่ได้สื่อสารออกไป เค้าเลยไม่เข้าใจเรากัน แปลว่าเราอ่อนการสื่อสารงั้นเหรอ แต่ว่าถ้าสื่อสารออกไปว่า เรามีหุ้นมูลค่าเท่านี้นะ มีเงินเท่านี้นะ มันไม่พิลึกเหรอ มันใช่เหรอที่จะเป็นเรื่องเอาไปสื่อสารให้คนนอกฟัง ขนาดคนทั่วไป เงินเดือนเท่าไหร่ยังไม่บอกกันเลย ยากแฮะ หาทางออกไม่ได้ การสื่อสาร การสื่อสาร MSN Messenger ซึ่งเป็นการคุยกันทาง internet ซึ่งนิยมในสมัยนั้น อ่ะเริ่มเพิ่มทักษะการสื่อสาร จาก MSN นี่แหละ ก็เข้าไป ก็มีแต่รายชื่อเพื่อนของตัวเองทั้งๆนั้นแหละ แต่แต่ก่อนไม่ค่อยได้เล่น คุยไปเรื่อยๆ ทีละคน ถามความเห็นเค้า เกี่ยวกับการสื่อสารไปเรื่อยๆ เพื่อนแต่ละคนคงงง ว่าไอ้นี่มันเป็นอะไร จนมาถึง little angel ใครน๊า อ๋อ จำได้แล้ว Q: การสื่อสารของคน คืออะไรเหรอ A:อืม สงสัยตรงไหน มีอะไรรึเปล่า Q:แบบรู้สึกมีคนไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ คือถ้าเป็นคนในบ้านเห็นเราเข้าใจเราไม่มีปัญหา แต่คนภายนอกมันไม่ใช่ A:มีเวลารึเปล่า วันไหนว่าง มาคุยกัน Q:หาอะไรนะต้องนัดเจอเลยเหรอ แล้วเจอทำไม แล้ว คุณว่างเหรอ A:ว่างสิ อยู่แถวไหน เดี๋ยวไปหาก็ได้ Q:โห๋ จะลำบากเป็นคนมาหาด้วย รบกวนเกินไปมั้ยเนี่ย A:อยู่แถวไหนล่ะ ไม่รบกวนหรอก เราไปเรียน จิตวิทยา มา Q:แล้วมันจะช่วยเราได้เหรอ มันยากนะ (ขู่ด้วย) แถวสุขุมวิท A:เราไปบ่อยสุขุมวิท งั้นเจอร้านโอบองแปงนะ วันจันทร์ 13.00 น.
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 5:32 pm
0
2
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ผมคงไม่พูดให้ฟังถึงความรัก แต่ถ้าจะมีความรัก คงขาดการยอมรับไปไม่ได้ ทั้งจากคนที่เราจะรัก หรือคนรอบข้างของคนที่เราจะรัก และสิ่งที่ผมเป็นคือ นักลงทุน ซึ่งไม่มีภาพ ของการทำงานหนัก ให้ผู้อื่นเห็น ไม่มีภาพ ของการทำนู่นทำนี่ อย่างที่คนอื่นเขาเป็น ไม่มีภาพแม้แต่เงินในบัญชี เพราะต้องเอาไปซื้อหุ้น ไม่มีภาพอะไรเลย มันว่างจริงๆ และก็ดูว่างเปล่าด้วย ในสายตาคนที่ไม่เห็น และไม่เข้าใจ แต่เมื่อรักแล้ว จะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร กับ คนที่ไม่มีภาพอะไรเลย และแถมเป็นคนสร้างภาพไม่เป็นซะด้วย นี่เธอ เค้าบอกมาว่า เธอน่ะ วันๆไม่ได้ทำอะไรเลย ใครบอก เพื่อนร่วมงานฉันบอกมา นี่เธอ เค้าบอกมาว่า เธอน่ะ ไม่ทำงาน ขอเงิน พ่อแม่ เอา ใครบอก เพื่อนร่วมงานฉันบอกมา การยอมรับ จากคนภายนอก ดูไม่สำคัญเลย สำหรับคนอย่างผม มันไม่ใช่ซะแล้ว ผมหาคำตอบไม่ได้ ว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ ยังไง อย่างไร ใจผมปั่นป่วนมาก เหมือนชิงช้า เลยหละ แกว่งซ้ายทีขวาที เศร้า ซึม ผม ทำอะไรผิดเนี่ย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ผมเป็นคนดีด้วยนะ แต่ทำไมสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมต้องเจอ
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 5:05 pm
0
2
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ผมว่างจริงๆ ว่างเพื่ออะไรเนี่ย จนมีวันนึง เพื่อนๆนัดไปทานข้าว เพื่อนผมถามว่า มึงเล่นหุ้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เออได้เงินก็จริง แต่ก็ไม่ได้เอามาใช้(เอาไปลงทุนต่อ) แล้วมึงได้อะไรว่ะ คำถามที่ผมไม่เคยคิด แต่ต้องตอบในทันทีที่เพื่อนมันถาม มันพูดถูกหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้เงินก็จริง แต่มันก็ดูเหมือนเป็นเพียงตัวเลขถ้าเราไม่ได้ใช้ แล้วได้อะไรวะ (ในใจคิด มึงน่าจะให้คำถามนี้กับกูทางโทรศัพท์นะตอนชวนมากินข้าวอ่ะ กูจะได้นึกคำตอบมาให้) สิ่งที่คิดตอนนั้น ผมว่างจริงๆ คำๆนี้วนอยู่ในหัว แล้วอยู่ๆ ผมก็คำตอบไปว่า “อิสระ” ไง ผมพูดออกไปแบบ งง งง แล้วพลันพูดต่อไปว่า มีใครไม่ต้องการคำว่า อิสระ เปล่าล่ะ ผมตอบเอง นิ่งเอง เพื่อนมันก็นิ่งไปด้วย ผมว่างจริงๆ คำๆนี้ มันคือ อิสระ จริงๆ เหรอ เราคิดอะไรอยู่ ถ้ามันแปลว่า อิสระ จริง คำๆนี้ความหมายดีออก ใครๆก็อยากได้เป็นแน่ แต่ทำไมตอนนี้ได้แต่ คิดว่า ผมว่างจริงๆ ยังมีอีกคราว ไปเตะบอล มีเพื่อนอีกคนถามว่า “ได้ยินมาว่า เล่นหุ้นไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้เหรอ” 55 ผมตอบว่า “ ก็มีนะ ไม่ได้มาก แต่พอใช้” เพื่อนตอบว่า “ มันจะเป็นไปได้ยังไง ไม่ทำงาน แล้วจะพอใช้ได้ไง มึงต้องทำอะไรสักอย่างแหละ” ด้วยความอยากเตะบอล ก็เลยไปเตะบอลดีกว่า ผมว่า คนในบ้านผม เห็นสิ่งที่ผมทำแล้วล่ะ และเขาก็ดูเหมือน เข้าใจ ยอมรับ ในสิ่งที่ผมทำ และถ้าคนอื่น ที่อยู่ภายนอก จะไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ผมก็ไม่ถึงกับต้องใส่ใจอะไรมากนัก การยอมรับ จากคนภายนอก ดูไม่สำคัญเลย สำหรับคนอย่างผม จนกระทั่ง...
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 4:49 pm
0
2
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ความรักและการยอมรับ ผมว่างมากจริงๆ จะนั่งดูหุ้นไปใย ในเมื่อขายหุ้นเพื่อมาซื้อตัวอื่นไม่ได้อยู่ดี เออ มันว่างขนาดนี้จริงๆเหรอ ว่างจริงๆนะ เพราะแต่ก่อนแม้ไม่ซื้อขาย ก็ต้องนั่งมองหาหุ้นเสมอ คิดว่าซื้อตัวนี้ ขายตัวนั้นดีมั้ยเสมอ แต่ถ้าตอนนี้คงมีแค่ถามว่าขายตัวนี้ดีมั้ย ทั้งๆมีคำตอบว่าห้ามขายติดมาด้วย หลายเดือนหลังจากนั้น มีเช็คปันผลส่งมาที่บ้าน ผมเปิดดูด้วยรู้อยู่แล้วว่าเลขจะประมาณเท่าไหร่ เช็คปันผลใบนี้เป็นเช็คมูลค่าหลักแสน จริงๆ และสามารถทำให้ได้ปันผลเฉลี่ย 20,000 บาท ต่อเดือน ตามที่ผมบังเอิญพูดออกไป และเงื่อนไขที่ 2 ที่ผมคิดถึง แต่ผมกลับเปิดมันโดยที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ ผมกลับรู้สึกถึงความเป็นธรรมดา เงื่อนไขธรรมดา ลงทุนได้ผลแทนเป็นธรรมดา และในใจของผมคิด ผมทำได้จริงๆแฮะ ไม่มีความหยิ่งผยอง ลำพองเหมือนคราวที่ทำกำไรได้ 1 ล้านบาทแรกเลยแม้แต่น้อย ผมจึงค่อยๆนำเช็คปันผลนั้นไปให้คนอื่นในบ้านดู เหมือนเขามองดูไปที่เช็ค แล้วได้แต่คิดในใจกันว่า “เออ มันเป็นไปได้ว่ะ” และผมมั่นใจ ว่าถ้าอยู่ในเงื่อนไขธรรมดาแบบนี้ ผมทำได้อีกแน่ ดังนั้นผมเห็นทางที่จะไปต่อได้อย่างชัดเจน และด้วยเหตุผลที่ว่าหุ้นที่ผมลงทุนนั้น ราคาไม่ได้ไปไหน ผมจึงนำเงินปันผลซื้อเพิ่มในตัวเดิม และก็ว่าง รอจนต้นปียื่นภาษี แล้วก็เครดิตภาษี แล้วก็ได้รับเช็คคืนภาษี เป็นเลขหลักหมื่นละกัน เอาไปให้ที่บ้านดู เหมือนเขามองดูไปที่เช็ค แล้วได้แต่คิดในใจกันว่า “เออ มันเป็นไปได้ว่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าหุ้นที่ผมลงทุนนั้น ราคาไม่ได้ไปไหน ผมจึงนำเงินเครดิตภาษีซื้อเพิ่มในตัวเดิม ง่ายไปเปล่าเนี่ย >_< แล้วพอเริ่มมองเห็นความขึ้นลงบ้างของธุรกิจ จึงเริ่มกระจาย นำเงินปันผลไปลงบริษัท ที่ 2 ที่มันลงตัวกับผม และขั้นตอนก็เพียงแค่หมุนแบบเดิมๆ ง่ายไปเปล่าเนี่ย >_<
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 4:23 pm
0
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
จับคู่ คงอยู่นาน กับ 1. นักลงทุนรายเล็ก ผมให้คะแนนความ คงอยู่นาน น้อยสุด เพราะ มาๆไปๆมาก และยังคงไม่รู้สึกได้ถึงคำว่า สำเร็จอย่างยั่งยืนเลย 2. นักลงทุนรายใหญ่ ผมได้เห็นจากรายการโทรทัศน์ บ้าง ความสำเร็จก็เป็นที่ประจักษ์ และบางท่านก็ดูเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืนซะด้วย แต่ผม มองไม่เห็น และไม่สามารถเข้าใจวิธีทำของเขาได้ทั้งหมด 3. จ้าว 55 ไม่ต้องพูดถึง ผมมองไม่เห็นอย่างชัดเจน 4. เจ้าของ บริษัทใหญ่โต เจ้าของก็ยังเป็นคนเดิม ที่เมื่อ 5 ปี 10 ปี ก่อนก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มากอยู่ มาถึงวันนี้ก็ยังถืออยู่ มูลค่าบริษัท ก็ไม่น้อย คำว่าร่ำรวยชัดเจนเป็นที่ปรากฏ ไม่ต้องซื้อขายหุ้นก็รวยอยู่ดี และยังมีอยู่อีกหลายบริษัทด้วยทั้งเล็กและใหญ่ที่เจ้าของก็ยังเป็นคนเดิม ก็เห็นๆอยู่เป็นของยาวนาน ไม่ต้องซื้อขายหุ้น แล้วรวยด้วย ผมจึงให้คะแนนว่า คงอยู่นาน และ นิ่งด้วย คือไม่ต้องซื้อขาย 55 ทางเดินต่อไปของผม เป็นเจ้าของดีกว่า ถึงจะเป็นเจ้าของได้แค่ส่วนเล็กๆ จำนวนหุ้นไม่มากก็ตามเถอะ ราวกับการลงทุนครั้งสุดท้าย ในเวลานั้น การลงทุนที่ผมยังคงคิดว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด คือการฝากเงินกับธนาคาร ง่ายสุด ชัวร์สุด จากการที่ผมเคยคิดถึง เงิน 1 ล้าน บาท ฝากได้ดอกเบี้ย 7.5 % จะได้เงิน 75000 บาท/ปี 6250 บาท/เดือน แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่านั้นมาก เป็นเงื่อนไขที่หนึ่ง แต่ตอนนี้ผมมีเงื่อนไขที่ 2 คือ ผมอายุประมาณ 24-25 ปี คนวัยนี้ถ้าจบปริญญา ตรี เหมือนผม แล้วทำงานได้ดี คงต้องได้เงินเดือนราวเดือนละ 20,000 บาท เป็นอย่างน้อย หรือ ปริญญาโท เริ่มต้นเงินเดือนก็น่าจะราวๆนี้ ซึ่งนั่นแปลว่า การลงทุนครั้งนี้ ผมอยากถือในรูปแบบเจ้าของ นั่นแปลว่าผมจะพยายามอย่างมากเพื่อไม่ขายถ้าซื้อแล้ว แต่ผมต้องการเงินปันผล เฉลี่ยต่อเดือน 20,000 บาท ซึ่งรวมการเครดิตภาษีแล้ว และผมต้องการความมั่นคงปลอดภัยให้ใกล้เคียงการฝากเงินมากที่สุด มูลค่าหุ้นในอนาคตไม่ซีเรียสมากนัก แต่อย่าขาดทุน ผมค้นหา และผมเลือก เป็นเจ้าของ ในบริษัทขนาดเล็ก ที่มีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินสด แม้ธุรกิจดูไม่น่าสนใจนัก แต่ผลประกอบการเป็นกำไรสม่ำเสมอ ปันผลเมื่อเปรียบกับกำไรค่อนข้างสูง และมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ผมได้ปันผลเฉลี่ย 20,000 บาทต่อเดือน ผมนั่งคิดอะไรทำให้ งบของบริษัท ออกมาในลักษณะแบบนี้ เก็บเงินสดไว้มาก ธุรกิจโอเคยังไงต้องทำให้มีกำไร ปันผลกับไปที่เจ้าของ ในส่วนกำไรที่เพิ่มมา ธุรกิจ ขอให้คงอยู่แบบไม่ลำบากมากนักก็ ok ซึ่งผมคุ้นกับลักษณะนิสัยนี้มาก ผมจึงย้อนกลับมามองตัวเอง ร้านผมเอง ที่บ้านผมเวลามีกำไรก็เก็บออม ออมไปเรื่อยๆ ธุรกิจบางทีเงียบๆก็ประคองตัว ไม่คิดจะเอาเงินออมไปขยายอะไรเลย เป็นรูปแบบ อนุรักษ์นิยมมาก แล้วจะเป็นอย่างที่ผมคิดรึเปล่า ผมจึงเริ่มเข้าซื้อ จนครบตามที่ผมต้องการ ด้วยเงินจำนวนมากเมื่อเทียบกับที่ผมมี ราวกับว่าเป็นการลงทุนครั้งสุดท้าย เพราะผมจะไม่ยอมขายมันอย่างง่ายๆ แล้วผมก็รอวันที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น เป็นบริษัทเล็กๆ คนไปประชุมน้อยมาก และวันนี้เป็นวันที่ผมต้องยกมือถาม ทั้งๆที่ไม่เคยไปประชุมที่อื่นมาก่อน ตอนวาระท้ายสุดที่ให้ถาม ผมก็ถามหลายคำถามรัวๆ ซึ่งผมยังคงมองตัวผมเองว่า ผมถามอะไรมากมาย และก็ดูตัวเองเหมือนไม่รู้กาลเทศะเท่าไหร่ แต่ทำไงได้ ผมซื้อหุ้นไว้เยอะนะครับ หลังจากที่มอง ลักษณะนิสัยของผู้บริหาร ผมว่าเป็นแบบ อนุรักษ์นิยมมาก แบบที่เดาไว้ จึงมานั่งคิดย้อนหลัง ถ้าไปประชุมแล้วไม่เป็นไปตามที่คิดจะทำยังไง จะต้องขายหุ้นมั้ย เหอๆ โชคดีที่ไม่ต้องคิด (หลายปีผ่านไป ราคาหุ้นบริษัทนี้ แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย สิ่งที่ผมได้รับอย่างชัดเจนมีเพียงปันผล และทุกครั้งที่ผมบอกคนอื่นว่าผมลงทุนบริษัทนี้ มักจะถูกมองว่าเป็นการคิดที่ถูกรึเปล่า ผมยังสงสัยตัวเองเลยว่าถูกรึเปล่า แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ เวลานั้นที่ผมซื้อ มันเหมาะกับผม) โห โห่ ตอนนี้ผมมีแต่หุ้น ที่จะไม่ขาย และผมก็ไม่ค่อยมีเงินสด แล้วชีวิตที่ต่อจากนี้ผมจะทำไรอ่ะ
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 3:55 pm
0
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ภาษาไทย วันละคำ วันนี้ได้แก่ คำว่า จริต [จะ-หฺริด] (มค. จริต) น. การไป, ทางเดิน, การดำเนิน, การทำ, การประพฤติ, กิริยา (ศน.) พื้นเพของจิตซึ่งเกิดจากจิตได้รับการอบรมเสพคุ้นมาเป็นเวลาช้านานกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดมีจริตอย่างใดเมื่อใช้ความคิดก็จะโน้มเอียงไปตามจริตของเขา จิตใจ หรือ จิตใต้สำนึก ของการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ นั้นสำคัญมาก ผมมาลองนึกย้อนหลังไปดู เริ่มจาก เอนทราน สมัยนั้นคงเป็นจุดเริ่มต้น ที่เด็กนักเรียนต้องคิด ว่าจะเดินต่อไปในอาชีพอะไร แล้วสอบคัดเลือกเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเด็กนักเรียนคนนั้น ค้นพบตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วตั้งใจที่จะเป็นนักเรียนที่ดีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาที่เขาต้องการได้ เขาก็คงเฝ้าแต่ค้นหา วิธีต่างๆเพื่อพาตัวเองไปถึงความสำเร็จที่เขาต้องการ คือการสอบผ่าน ซึ่งวิธีต่างๆ อาจจะเช่น ตั้งใจเรียนแบบสม่ำเสมอแบบสบาย หรือ ความพยายาม ความเคร่งเครียด ให้เวลากับหนังสืออย่างมากถึงมากที่สุด หาครูหาอาจารย์ รวมถึงวิธีอีกมากมาย และก็เป็นความจริงคือ ก็มีทั้งคน สำเร็จ และไม่สำเร็จ ซึ่งคนที่มีจิตใต้สำนึก ของความเป็นนักเรียนที่ดี ก็ย่อมเป็นฝ่ายที่มีโอกาส สำเร็จมากกว่า(ผมคิดว่างั้นนะ) ถ้าคนเรียนจบมาแล้ว มาเป็นอาชีพ ครู จิตใต้สำนึกความเป็นครู ก็คงจะถามตัวเองว่า จะเป็นครูที่ดี ต้องทำอย่างไร สิ่งที่ใจคิด ค้นหาหนทาง ก็คงเป็นแนวนี้ แล้วก็เดินทางในอาชีพครูไปเรื่อยๆ ถ้าคนที่เป็น นักเก็งกำไร จิตใจคงอยู่ที่ maximum profit ซึ่ง นั่นหมายถึง ทำยังไงให้ได้กำไรสูงสุด ซึ่งนั่นย่อมรวมถึงความรวดเร็วในการทำกำไรด้วย สิ่งที่ใจของนักเก็งกำไรค้นหา ก็คงเป็นแนวนี้ แล้วก็เดินทางในการเป็นนักเก็งกำไรไปเรื่อยๆ จนกว่า ... หลายครั้งที่ผมเดินเข้าไปในร้านขายหนังสือ เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนมากมาย มากมายจริงๆ โดยเฉพาะสมัยนี้ แปลว่า จำนวนข้อมูลเพื่อเป็นนักลงทุน รวมถึงนักเก็งกำไร นั้นไม่ต้องพูดถึง และถ้าหนังสือการลงทุนเหล่านี้ เป็นการตอบโจทย์ แต่สิ่งที่เห็น กลับไม่ใช่ มันมีทั้งคนที่สำเร็จ และไม่สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้าเป็นคนที่ มีจิตใต้สำนึก ของนักลงทุน สิ่งที่ใจจะค้นหา และเดินทาง ก็ยังคงเป็นแนวทางแห่งนักลงทุนอยู่ดี ดังนั้น การเรียนรู้ถึงจิตใต้สำนึก ซึ่งมันอาจจะฟังดูเพี้ยน แต่มันจะทำให้เราเข้าใจอะไรได้อีกมากทีเดียว
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 24, 2015 2:57 pm
0
0
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
คำว่ามั่นคง แปลว่า แน่นหนา ทนทาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น ปลอดภัย เสถียร คำว่า แน่นหนา ทนทาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น ปลอดภัย เสถียร ผมนั่งอ่านซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ผมไม่ยุ่งด้วยแล้วล่ะกับคำว่ามั่นคง สนใจแต่เพียงความหมายของมัน แล้วมันทำให้นึกถึงคำว่า คงอยู่นาน ซึ่งมันก็คงแปลว่า คงอยู่นาน อยู่ดีไม่แปรเปลี่ยนไม่ต้องเปิดพจนานุกรมด้วย แน่นหนา จึง คงอยู่ได้นาน ทนทาน จึงคงอยู่ได้นาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น จึงคงอยู่แบบนี้ได้นาน ปลอดภัย เสถียร จึงคงอยู่ได้นาน มันใช่อ่ะ งั้นแปลว่า สิ่งที่ผมต้องการ ความมั่นคงกับตลาดหุ้น ก็คือ การคงอยู่ได้นานกับตลาดหุ้น ซึ่งผมกำลังคิดว่า การคงอยู่ได้นานกับตลาดหุ้นนี้ กำลังพาผม ไปหาคำว่า นักลงทุนมืออาชีพ ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อน ซึ่ง ผมดิ้นรน ค้นหา ไขว่คว้า ตลอด เพื่อจะให้สามารถได้อยู่กับตลาดหุ้นต่อไปได้ เอาคำว่า คงอยู่นาน ไปลองจับคู่กับ คน ที่อยู่ในความจริงของตลาดหุ้น
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 6:05 pm
0
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
งั้นเอายังไงดีเนี่ย จุดยืนดูไม่น่าปลอดภัยเท่าไหร่นะ จะไปเป็นนักลงทุนรายใหญ่ เงินก็ไม่ถึง หรือ เป็นจ้าว ดี เคยคิดนะจริงๆ แต่ด้วยสิ่งที่เข้าใจมาทั้งหมด ไม่เอาดีกว่า มันไม่ดี หรือ เป็นเจ้าของ เวอร์ไปป่ะ เงินน้อยนิด เป็นเจ้าของยังไง ไม่รู้แหละ อย่างน้อย ผม ไม่อยากอยู่ ข้อ 1 แน่นอน
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 5:22 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
เพี้ยนแล้ว ผมคนที่ฉลาดมากมายขนาดนี้อ่ะน่ะ อยู่ที่ข้อ 1 คนฉลาดอย่างผมเนี่ย ถ้าดูภาพให้เป็นห่วงโซ่อาหาร ตามที่เคยเรียนในวิชาพวกวิทยาศาสตร์ หญ้า ถูกกวางกิน กวางถูกเสือกิน ผมเนี่ยอ่ะน่ะ อยู่ ข้อ 1 มันใต้สุดของห่วงโซ่อาหารเลยนะ ผมเนี่ยอ่ะน่ะ โอ๊ะ...คคคึก...ค๊อก งั้นแกล้งตายในที่ปลอดภัยก่อนดีกว่า Unbelievable ไม่อยากจะเชื่อ เส้นทางที่ยาวนาน ความเหนื่อยยากที่ผมได้พบ มันแค่ยังทำให้ผมเป็นเพียงแค่นักลงทุนรายเล็กที่มีชีวิตอยู่รอดคนหนึ่งเท่านั้นเองเหรอ
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 4:32 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
มีใคร ที่เป็นคนอ่ะน่ะ อยู่ในความจริงของตลาดหุ้นบ้าง 1. นักลงทุนรายเล็ก ผมเคยเห็นกับตา ที่ห้องค้า ซื้อขายรวดเร็ว ทีละไม่มาก 2. นักลงทุนรายใหญ่ เข้าไปหุ้น(ขนาดไม่ใหญ่) ตัวไหนที หุ้นสะเทือน ขายไม่ขายว่ากันไป 3. จ้าว 55 เป้าหมายชัดเจน ทำกำไรแน่ถ้าถึงเป้า ทำให้หุ้นได้ราคา 4. เจ้าของ อืม เมื่อ 5 ปี คนนี้ก็เป็นผู้ถือหุ้น นี้ จำนวนเท่านี้อยู่นะ วันนี้ก็ยังอยู่ Oh my god แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ตรงไหนเนี่ย พระเจ้าของฉัน บอกฉันที ตอบ : หนูอยู่ข้อ 1 นักลงทุนรายเล็ก น่ะจ้ะ
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 4:19 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ถ้าสิ่งที่ผมเดินมาทั้งหมด คือแค่เท่านี้ ผมว่าผมให้เวลามันมายาวนานเกินไปแล้วล่ะ ผมเหนื่อยแล้วถ้าได้เพียงเท่านี้ ดังนั้นเป้าของผมจึงเปลี่ยนไป ตอนนี้ผมมาสนใจ ความจริง ของตลาดหุ้น แปลกจริง เมื่อผมกลับมาสนใจ คำว่าความจริงของตลาดหุ้น คำว่าความฝันของผมในตลาดหุ้นกลับ เริ่มมลาย ถึงแม้ความฝันยังคงอยู่ แต่มันดูเหมือนกำลังค่อยๆละลาย ทำไม เพราะอะไร
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 4:06 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ผมมองไปที่โต๊ะ ไปเห็นสิ่งที่จางลงไปมากและผมยังไม่ลืม 3 ยก แห่งการเล่นหุ้น ถ้าผมจะต้องคิดถึงการเล่นหุ้น สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นประสบการณ์ของตัวผมเอง เจอเอง ทำเอง รู้สึกเอง และเกี่ยวกับหุ้นโดยตรง และเป็นประเด็นแรกที่ผมต้องหยิบขึ้นมามอง แต่ผมจะไม่ยอมคัดให้มันกลับเข้าไปในแก้วใบใหม่ของผมทั้งหมดหรอก มันเปลืองพื้นที่ ผมจะต้องขอขบคิดมันสักหน่อย แล้วจะคัดส่วนที่ต้องการกลับเข้าไปในแก้วใบใหม่ของผม ผมจะทำให้แก้วใบใหม่นี้เจ๋งกว่าเดิม นั่นคือความตั้งใจของผม 3 ยกแห่งการเล่นหุ้นต้องถูกเรียบเรียงใหม่ ด้วย ความรู้ ทั้งหมดที่ผมมี ยาวนานหลายปีทีเดียว สำหรับ 3 ยก นี้ ขึ้น ลง เป็นว่าเล่น อย่างกับการผจญภัย ที่น่าตื้นเต้นซะเหลือเกิน สิ่งแปลกใหม่ที่ได้ประจักษ์ราวกับปาฎิหารย์ สำเร็จ แล้วกลายเป็นไม่สำเร็จ ราวกับโลกนี้เล่นตลกกับเรา ถ้าไม่มีอะไรมาดึงสติ สิ่งที่ผมอาจจะทำต่อไปและไม่แปลกนัก คือเดิน ตาม ยกที่ 3 ต่อไปเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ และตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะ สำเร็จ หรือ ไม่สำเร็จ หรือ หยุด จบ ลงยังไง ยกที่ 1 ไม่รู้ เอาไงดี ยกที่ 2 เดินต่อ รู้เพิ่ม เอาไงดี ยกที่ 3 เดินต่อ รู้เพิ่ม ไม่ถอยง่ายๆแน่ หลายปีที่ผ่านมา ทำไมผมสรุปกับตัวเองได้สั้นๆเพียงเท่านี้เอง ถ้าเอา 3 ยก มารวมกัน ก็ได้แค่คำว่า ไม่รู้ เดินต่อ รู้เพิ่ม เอาไงดี ไม่ถอยแล้วล่ะ ( แม้จะได้กำไรมาบ้าง แต่ก็ยังมองไม่เห็นความมั่นคง ที่ยั่งยืนเลย) ความคิด ที่ผมคิดว่าคิดมาจากความฉลาดทั้งหลาย ทั้งหมด มันเพียงเท่านี้เองเหรอ ผมจึงเริ่มสงสัยในความ ฉลาด และโง่ มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมว่า ตอนนี้ผมพร้อมแล้วนะ ที่เข้ามาสู่เส้นทางแห่งความจริง
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 3:58 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ผมกำลังจะทำให้ผมมีแก้วน้ำที่ว่างครั้งใหม่ สิ่งที่ผมทำคือเอาแก้วน้ำที่ผมมี ที่มันเต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้รู้ ทุกอย่างที่ผมเคยทำ และรู้สึก ... ผมเทมันออกมา กองมันไว้บนโต๊ะทำงานของผมทั้งหมด ยิ่งเทมันก็ยิ่งเยอะ มันออกมาเรื่อยๆ อย่างกับสายน้ำที่ไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ ราวกับว่าล้น หล่นไปจากโต๊ะทำงานของผมอีกมากมาย (เปรียบเปรย ซึ่งมันอาจจะเป็นการเขียนทั้งหมดลงบนกระดาษ เท่านั้น) โต๊ะผมเต็มไปด้วยอะไรมากมาย บางอย่างผมลืมไปแล้ว สีซีดจางลงไปมาก บางอย่างยังสีสด คงกระตุ้นให้ผมต้องทำอะไรอยู่เสมอแม้ในขณะนี้ ทำให้ผมเห็นอะไรต่างๆ ที่อยู่ในแก้วของผมเองได้ชัดเองขึ้นมาก ผมว่า ผมรื้อ แก้วน้ำของผม ด้วยการเท โดยบังเอิญใจร้อน เลยรีบเท (อ่านแล้วจะเข้าใจผมกันรึเปล่าเนี่ย) และตอนนี้ผมได้แก้วน้ำที่ว่างใบใหม่แล้ว
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 3:13 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
รื้อ คัด คิด ผสมผสาน จนปัญญาแล้วครับ ยากเกินจินตนาการ ผมไม่สามารถ เอาคำว่ามั่นคง มาใช้ประสานกับตลาดหุ้นได้!!! เคยดูหนังจีนกำลังภายในตอนเด็กๆ ตอนที่พระเอกต้องไปฝึกวิชาใหม่ กับอาจารย์ใหม่ เพื่อที่จะได้เก่งขึ้น มักจะได้ยินคำว่า ถ้าเจ้าต้องการฝึกวิชากับข้า เจ้าจะต้องลืมวิชายุทธ์ที่เจ้าเคยเรียนมาทั้งหมดก่อนถึงจะเรียนวิชายุทธ์จากข้าได้ ราวกับสื่อถึงว่า คุณควรจะทำตัวเองให้เป็นเหมือนแก้วน้ำที่ว่างเพื่อจะได้รับวิชายุทธ์จากข้าได้อย่างเต็มที่ ถ้าเจ้าเป็นน้ำเต็มแก้วแล้วข้าจะมอบให้ได้ยังไง ( ซึ่งขณะที่ผมเป็นเด็กอยู่นั้น กลับคิดว่า พระเอกก็มีวิชายุทธ์เก่งอยู่แล้วให้ลืมวิชาเก่าทำไม แล้วยิ่งถ้าได้เรียนรู้วิชาใหม่แล้วเติมเข้าไปไม่ยิ่งเก่งขึ้นเหรอ) และก็มีหลายครั้งที่ พระเอก เรียนรู้วิชายุทธ์ ต่างๆมามากมาย จนควบคุมไม่อยู่ ในหนังเรียกว่า ธาตุไฟเข้าแทรก และเมื่อ ธาตุไฟ ถูกแก้ไข สลายได้เสร็จด้วยวิธีอะไรก็ตาม พระเอก มักจะเก่งขึ้นไปอีก มันไม่น่าเชื่อจริงๆ 55 นั่นทำให้ผมได้คิด ว่าการได้เรียน วิชายุทธ์ มาจนเก่งในขั้นแรก ซึ่งต้องผ่านอะไรมามากมายยาวนาน ก็ไม่ง่ายแล้ว การที่ต้องมีอาจารย์ใหม่ การที่ยอมรับรู้ในวิชายุทธ์อันใหม่ ก็ไม่ง่ายเช่นกัน แต่ผมกลับได้เห็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่ยิ่งขึ้นไปกว่า นั่นคือ การผสมผสาน สิ่งที่ตอนนี้ผมจะทำอ่ะเหรอ
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 17, 2015 3:12 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
คำว่า “มั่นคง” นี่อ่ะน่ะ จะมาหาในตลาดหุ้น เพ้อเจ้อ งั้นลองหาดูเลยดีกว่า ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น เริ่มจากเอาหนังสือพิมพ์หน้ารายชื่อหุ้นมาดู ดู นั่งดู ดูอยู่นานนะ ดูรายชื่อหุ้นไปเรื่อยๆ มองยังไงก็หาไม่เจอ มองไปเรื่อยๆ เฮ้ย... เจอแล้ว สินมั่นคง อีกอันนึง มั่นคงเคหะการ มันอยู่ในฝั่งรายชื่อบริษัทที่เป็นภาษาไทยนี่เองไม่ใช่ตัวย่อ เฮ้ย คำว่า มั่นคง มันมีอยู่จริงแฮะ ในตลาดหุ้น 555 อ่ะ ล้อเล่น หรือว่าเราต้องลงทุนใน 2 บริษัทนี้ เพราะมันมีคำว่ามั่นคงนะ ลังเลแฮะ (ล้อเล่น) ผมยืนร่วมอยู่ในตลาดหุ้น ที่ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นจุดยืนที่มีความเสี่ยงที่สุดไม่แพ้ที่ไหนๆในโลกทางการเงิน ในสายตาของคนจำนวนมาก รวมถึงสายตาของผมเองด้วย เมื่อรู้เช่นนี้แล้วผมต้องทำยังไง วิ่งหนี หรือ ลุยต่อ เอ่ หรือผมต้องไปหางานอื่น ที่มีรายได้ประจำที่มั่นคงดี (คือขณะนี้ นอกจากหุ้นแล้ว ผมมีรายได้อีกอย่างคือ ค่าขนม จากการช่วยงานที่บ้านเล็กน้อยเท่านั้น) หรือลุยต่อในหุ้น ลุยยังไงให้มั่นคงหาไม่เจอ เฮ้อ เครียดอีกแล้ว ผมเลือกไม่ได้จริงๆ ผมจึงไม่เลือกทั้งสองทาง สิ่งที่ผมทำ คือ หยุด หรือ เรียกว่าพักยก ก็ได้เหมือนที่เคยทำผ่านๆมา แต่ผมไม่หยุดเฉยๆ ผมหยุดในการซื้อขายหุ้นโดยเจตนา แต่ผมไม่หยุดคิดในเรื่องหุ้นเลย (ซึ่งขณะนั้นจะมีถือหุ้นก็เพียงพวก 100 หุ้นไม่กี่ตัว ซึ่ง 1ในนั้น ปันผลมาให้ผม 5 บาทโดยเช็คปันผล) เฮ้ นอนก่อน ดีกว่า ............................ ( 3 วินาที ผ่านไปไวเหมือนโกหก เช้าแล้ว คงมีแต่ในนิยาย หรือละคร เท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้) เช้าแล้ว 555 เจ้าคำว่ามั่นคง คาอยู่ในหัว ทำไงกับมันดี แน่นอน สิ่งที่ คนฉลาด ๆ อย่างผมต้องเริ่มทำก็คือ... พจนานุกรม ไทย เป็น ไทย ฉบับ ราชบัณฑิต อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร เอามานี่เดี๋ยวนี้นะ อืม... ม หมวด มอ ม้า คำว่ามั่นคง แปลว่า แน่นหนา ทนทาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น ปลอดภัย เสถียร เวรกรรม นี่เหรอ ความหมาย ไม่มีคำว่าหุ้น สักคำ แล้วมันจะมาเกี่ยวกันได้ยังไงเนี่ย
โดย
areliang
ศุกร์ ม.ค. 16, 2015 1:46 pm
0
1
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
เปี่ยมล้นเต็มหัวใจ สั่นสะท้านทั้งความคิดและการกระทำ มันมีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ตัวผมเองเริ่มแปลกไป อยู่ๆคำว่า รอบคอบ และ ระมัดระวัง กลับวิ่งเข้าหาถาโถมเข้ามาในหัวของผมเอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่หน้าที่ผม ผมรู้ตัวเองแค่ว่า เอาไงดี ลองทำดู เสี่ยงหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก มันก็ต้องเสี่ยงอยู่แล้วล่ะ เล่นหุ้น มันจะไม่เสี่ยงได้ยังไง และทุกๆอย่างที่ผมจะทำ เพียงแต่ผมจะเสี่ยงแบบมีกรอบที่ผมรับได้ แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะถูกพลิกฝั่ง จาก ผมพร้อมจะทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ ขอให้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี คำว่าเสี่ยง เป็นแค่อะไรที่ผมเคยชินมากๆ ถ้าผมคิดว่าผมควรทำ ผมจะทำ ไม่ว่าใครจะมองว่ามันเสี่ยงแค่ไหน แล้ว ผู้ปกครองที่ครอบครองผม ก็จะเกิดอาการคิดมาก ระแวง คิดแทน ระมัดระวัง แทนผม ไปซะหมด หรือ บางทีก็สั่งห้าม ราวกับว่า ผมไม่ทำอะไรเลยซะบ้างก็ดีนะ ซะขนาดนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าหยุดผมไม่ได้หรอก ถึงแม้ผมเกิดอาการคิดใหม่อีกทีในหลายๆครั้งที่ถูกห้าม แต่ถ้าคิดใหม่แล้ว ควรทำ ผมก็ต้องทำ (ในใจไม่เคยอยากขัดคำสั่งเลยแม้สักครั้งเดียว แต่ด้วยใจและความคิดและด้วยเหตุผลทั้งหมดของตัวผมเองบอกว่าผมควรทำ และผมสัญญา ผมจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี) กลับกลายเป็น ผมกำลังพยายามรวบรวม ความคิดทุกอย่าง สิ่งที่ผมรู้ทุกอย่าง พร้อมไปด้วยกับความรอบคอบ และระมัดระวัง อย่างขาดไม่ได้ และเพ่งคิดไปถึงทางที่ผมจะเดินต่อไป แล้วอยู่ๆ คำว่า มั่นคง ก็เกิดขึ้นในใจของผมเฉยเลย และผมก็เริ่มสนใจคำว่ามั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ในใจยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะสร้างความมั่นคงได้อย่างไร งานประจำก็ไม่มี ที่ซึ่งขณะนั้นอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้ เกิดอาการคิดมาก ระแวง คิดแทน ระมัดระวัง แทนผม ไปซะหมด หรือ บางทีก็สั่งห้าม เป็นฝ่ายผมเองที่กลับระมัดระวังอย่างใจสั่น เพียงเพราะฝ่ายนั้น มอบ ความเชื่อ ให้มาเท่านั้น (แต่ผมเชื่อว่า ความเชื่อ ที่ผมได้รับมานั้น เกิดจาก สิ่งที่เขาเห็นจากการกระทำมากมายของผม ทั้งดี และไม่ดี อย่างยาวนาน ไม่ใช่การได้มาง่ายๆ มันต้องผ่านบทพิสูจน์ 555) ไม่รู้เป็นเพราะ จดหมาย หรือ ความเชื่อ ที่ทำให้ผมต้องมานั่งรู้สึกทั้งหมดนี้ หรือแค่เพราะผมเผลอพูด “วันนึงจะต้องได้เช็คปันผลแบบนี้ยอดเงินเป็นแสน” ด้วยความโลภในใจเท่านั้น ผมว่าพวกคุณคงช่วยผมตอบได้นะ อืม... แล้วเราจะเดินต่อไปยังไงเนี่ย... เฮ้อ .. สุด .. สุด
โดย
areliang
ศุกร์ ม.ค. 16, 2015 12:08 am
0
2
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ชายคนที่ครอบครอง ป้องกัน คุ้มครอง ตัวผมเสมอมา ป๊า..ป๊า ดูเช็คนี่สิ ปันผลมา 5 บาท เยอะป่ะ (ลองตอบว่าเยอะสิ) (ด้วยการที่บ้านผมนั้นเป็นร้านค้าขาย ก็มีการซื้อเช็คจากธนาคารเพื่อจ่ายค่าสินค้าอยู่แล้ว จึงรู้ราคาค่าสมุดเช็คกันดี และบ้านผมก็ไม่เคยเขียนเช็คจ่าย 5 บาทมาก่อน) ดูดิแค่ค่าเช็คก็ 10 บาทล่ะ ส่ง เงิน 5 บาทมาให้ เค้าไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ พ่อของผม ก็รับเช็คไปดูแล้วก็ยิ้มๆ และแม่ของผม ก็เอาเช็คไปดูบ้างแล้วก็ยิ้มๆเช่นกัน ด้วยความที่อะไรก็ไม่รู้ ผมพูดออกไปว่า “วันนึงจะต้องได้เช็คปันผลแบบนี้ยอดเงินเป็นแสน” ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงพูดออกไป ทันใดนั้นผมอึ้งทันทีและรีบคิดในใจอย่างรีบร้อนว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย เอ่ รึมันจะเป็นไปได้ มันน่าจะเป็นไปได้นะ แต่จะต้องทำยังไง หน้าผมคงออกแนวสับสนเล็กๆ เพราะผมพยายามไม่แสดงออกถึงความสับสนนั้น ทั้งๆที่ตัวผมกำลังร้อนผ่าว ผมเลยมองไปที่แม่ของผม แม่ของผมก็ยิ้มๆ และพูดว่า ไม่ต้องเพ้อก็ได้ แบบขำๆ ใจของผมเริ่ม เอ่ หรือมันจะไม่น่าเป็นไปได้ ทันใดนั้น มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น “ไม่ใช่สิ มันน่าจะเป็นไปได้นะ” หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดขำๆของแม่ของผม ผมไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง คำว่า “ไม่ใช่สิ มันน่าจะเป็นไปได้นะ” มาจากพ่อของผมเอง ผมเงยหน้าขึ้น ความร้อนผ่าวในตัวสงบลง แล้วอะไรที่ทำให้ความร้อนผ่าวในตัวผมสงบลงได้เร็วเพียงนี้ อะไรทำให้เขาเชื่อในตัวผม เขามองเห็นอะไร ทั้งๆที่ลักษณะคำพูดโดยทั่วไปของเขามักจะแนะไปในทางให้ระมัดระวัง แต่คำว่า “ไม่ใช่สิ มันน่าจะเป็นไปได้นะ” มันไม่ใช่ ผมยืนนิ่งราวกับทั้งโลกหยุดนิ่ง แล้วพยายามพาตัวเองกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่สามารถ สงสัย หรือตั้งคำถาม หรือ หาคำตอบใดๆทั้งสิ้น ผมรู้สึกถึง วินาทีแห่งชีวิต วินาทีที่ผมถูกเติมเต็มด้วยความเชื่อของคนที่ผมรัก
โดย
areliang
พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2015 12:46 am
0
6
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
จดหมายธรรมดาที่จะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล เป็นจดหมายธรรมดา ที่มีตราตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และด้านในก็มี เช็คปันผล แนบมาด้วย และผมก็ดูไปที่เช็ค ดูไปที่ยอดเงินในเช็คปันผล มันคือ 5 บาท ทั้งหมด 5 บาทจริงๆ ซึ่งตอนนั้นที่ผมเข้าใจค่าการซื้อเช็คจากธนาคาร ก็ใบละ 10 บาทแล้วกระมัง แต่เช็คใบนี้ จ่ายเงินเพียง 5 บาทเท่านั้น แค่ซื้อเช็คก็ขาดทุนแล้ว ในใจผมนั่งคิดว่าทำไมโลกนี้ถึงยอมทำธุรกิจกรรม ที่ดูเหมือนจะขาดทุน ซึ่งผมก็เข้าใจสิทธิดีว่าผมควรได้รับเงินปันผล 5 บาทนี้ จากการเป็นเจ้าของหุ้น 100 หุ้น ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรก็นั่งมอง นั่งสงสัยอยู่กับกระดาษเช็คใบนี้ ผมเคยได้เงินปันผลนะ หลักร้อย หลักพัน ผมไม่รู้สึกอย่างนี้ แต่พอมันเป็นยอดเงิน 5 บาท นั่งคิดสักพัก ก็เริ่มคิดว่า เอาไปให้คนอื่นดูบ้างดีกว่า ด้วยในใจก็ยังคงรู้สึก ว่า น่าแปลก น่าขำ น่าสงสารตัวเองที่ได้เช็คแค่ 5 บาท เท่านั้นเอง ทุกความรู้สึกไม่รู้ว่าพูดว่าอะไรดี แต่มันขำๆ มุ่งหน้าหาชายคนหนึ่ง
โดย
areliang
พุธ ม.ค. 14, 2015 11:38 pm
0
4
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่แสนสงบ มีบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ ท่ามกลาง ทุ่งหญ้าและทุ่งนากว้างใหญ่ มีฝูงนกออกหากิน บินไปแล้วก็บินมา มีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวเรียบง่าย นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในบ้านหลังนั้น ซึ่งทุกอย่างๆในบ้านก็ตกแต่งด้วยความเรียบง่าย หลังชายหนุ่มนั่งคิดเรื่องราวอะไรต่างๆได้สักพัก ก็คิดที่จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ก็ค่อยๆลุกและเดินไปที่ประตู พอก้าวออกจะบ้านปุ๊ป ก็พบสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ ผิวสีดำมีเขาอันใหญ่ 2 ข้าง อยู่ท่ามกลางทุ่งนาที่สวยงาม ชายหนุ่มยืนนิ่ง แล้วค่อยๆตั้งสติหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน แล้วปิดประตู ยืนนิ่งไม่ไหวติง และก็คิดว่า แป้ววว แป้ววว แป้ววว นี่มันผิดเรื่องแล้วนะ นี่มันฉากในเรื่อง แผลเก่า รึเปล่า 555 เอาใหม่ ณ บ้านหลังหนึ่งใจกลางเมืองที่ทุกๆอย่างดูแสนจะวุ่นวาย ทุกอย่างเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา แบบอยู่ติดถนนใหญ่เลยล่ะ มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูดีเสมอ (ในความคิดของตัวเขาเองอ่ะนะ :D) นั่งอยู่ในบ้าน ตรงส่วนที่เป็นโต๊ะทำงานของเขา ซึ่งรายล้อมตัวเอง ด้วย ของกินของใช้ ต่างๆนานา เยอะแยะมากมาย ของคนอื่นในบ้านทั้งนั้น แล้วก็นั่งคิด งาน ไป หวังที่จะได้ความสงบ เพื่อจะได้คิดงาน หรือ อะไร ไบร์ทไบร์ท ออกมาได้บ้าง ก็นั่งไขว่ห้าง เท้ากระดิก คิดงานไป ทุกๆอย่างเริ่มสงบ สมองเริ่มปลอดโปร่ง หัวเริ่มไบร์ท ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังเกิดขึ้น เป็นเสียงผู้ชาย เสียงดังเลย มาจากนอกบ้าน “ จดหมาย ครับ จดหมาย ” ไอ้เราก็ตกใจสะดุ้ง แล้วก็รีบวิ่งออกไปรับจดหมาย พอรับเสร็จ ในใจก็คิดว่า มันจะตะโกนทำไมเนี่ย เฮ้อ แต่เออ ถ้ามันไม่ตะโกนเราจะได้ยินมั้ยเนี่ยว่ามี จดหมาย มาส่ง จดหมายปึกใหญ่มาก ผมรับมา ผมก็เริ่มดู พลางเดินเข้ามาในบ้าน มีจดหมายอะไรบ้างเอ่ย 55 เยอะขนาดนี้ต้องมีของเราสักซองอยู่แล้วมั้ง อันแรก จ่าหน้าซองไม่ใช่ชื่อผม อืม..ดูต่อไป อันที่ 2 ก็ไม่ใช่ชื่อผม อันที่ 3 อันที่ 4 ก็ไม่ใช่ชื่อผม อะไรกันเนี่ย ในใจคิด อุตสาห์ตกใจ รีบวิ่งมารับจดหมาย แต่ไม่มีจดหมายของตัวผมเองเลยงั้นเหรอ ดีจริงๆเลยนะ งาน อะไรที่คิดอยู่ หัวที่เริ่มไบร์ท ต้องกลับไปนั่งตั้งต้นเริ่มกันใหม่ เซ็ง... พลางดูซองจดหมายไปเรื่อยๆ แต่น!!! แต่น!!! แต้น!!! ซองนี้ชื่อเรา สุดยอด ในที่สุดก็มีจนได้ 555 แต่เอ มันเป็นจดหมายเกี่ยวกับอะไรอ่ะ
โดย
areliang
อังคาร ม.ค. 13, 2015 8:34 pm
0
6
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
หลังจากที่สัมผัส ตลาดหุ้นอยู่นานพอสมควร ลองเทรดซื้อขาย จำนวนแบบนับครั้งได้เยอะมากๆ นั่งดูกระดาน นับร้อย นับ... ชั่วโมง( แบบอยากพูดจำนวนชั่วโมง น้อยหน่อยอ่ะ กลัวหาว่าหมกมุ่น) ได้รับกำไรทีละเล็กทีละน้อย และขาดทุนมากพอควรอีกหลายครั้ง ได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา เกี่ยวกับ หุ้น ตลาดหุ้นมากมาย จากนักวิเคราะห์ทั้งหลาย สัมผัสอารมณ์มากมายในตลาดหุ้น การได้เข้าใจ PE P/BV หลักการทางการเงิน และการค้นหาคำตอบต่างๆอย่างตั้งใจ จนได้พบหนังสือล้ำค่า warren buffett way และ peter lynch และยังได้อ่านหนังสืออีกหลายเล่ม ทุกๆอย่างที่ผมสัมผัส มันค่อยๆซึม เข้าไปในตัวผม อยู่ในความคิดหรือสมองของผมในทุกๆเหตุผลที่เข้ามา ทั้ง ถูก และ ผิด หรือ อาจจะถูกอาจจะผิด ทุกๆความรู้สึก ทุกอารมณ์ที่เคยสัมผัส ก็ไปยึดแน่นอยู่ในส่วนหนึ่งของหัวใจ ทุกๆการกระทำก็ฝังลึกเข้าไปในร่างกาย มันอยู่ในตัวผมอย่างที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยที่ผมไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ มันเป็นส่วนประกอบจาก เรื่องที่ผมเคยเล่าไปแล้วทั้งหมด และก็อีกหลายส่วนที่ผมไม่สามารถเล่าออกไปได้ในขณะนั้น รวมถึง วิธีง่ายๆที่น่าประหลาดใจ เช่น เรื่อง นักแม่นธนู ที่สื่อถึงว่า ถ้าพยายาม ตั้งใจ อดทน ต่อการมองบางสิ่ง และแค่เพียงทำเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เราก็น่ามีโอกาสที่มองเห็นรายละเอียดต่างๆได้ดี และเข้าใจมากขึ้น มันง่าย เพียงแค่ยังคงตั้งใจมอง และ เรื่อง หม้อน้ำที่ไม่เคยเดือด สิ่งที่เตือนเสมอ ว่าอย่าลืมตัวเราเอง อะไรคือตัวเรากันแน่ และ เรื่อง 75 ปีก็ที่ว่า 75 ปีถ้าเราโชคดี แล้วเราได้อยู่สัมผัสมัน เราจะเลือกอะไร และที่ขาดไม่ได้ เรื่อง ป้ากวาดถนน หลังจากที่ผมเห็น ผมมองหาความสุขที่แท้จริงๆเสมอ ดังนั้น ผมจะพยายามไม่หลงทางจากมัน เคยมีบางคนถามว่า อยากเป็นนักลงทุนต้องทำยังไงอย่างไรบ้าง เป็นคำถามที่ผมพยายามหาคำตอบนะ อย่างน้อยก็ตอบตัวผมเอง ผมพยายามคิด แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิด ผมไม่สามารถคิดออกได้ ว่าประโยคที่พูดว่าอะไร ที่ใช้เพียงไม่กี่ประโยค และเวลาไม่นานมากนัก แต่สามารถส่งความคิด ของคนที่เดินทางมาหลายปี ส่งความรู้สึกในจิตใจ ของคนที่โดนความรู้สึกพรั่งพรูเข้าใส่อย่างยาวนาน ส่งการกระทำ ที่เกิดความพากเพียรอดทนนาน เหล่านั้นไปให้ได้ แม้พยายามคิดถึงคำว่าทางลัด หลายครั้งที่อยู่ๆผมก็ลองเดินเข้าทางลัด แต่หลายครั้งผมหลงทางในทางลัดนั้น และสิ่งที่ทำได้ก็คือ เดินกลับออกมาทางเดิมก่อน การใช้ทางลัดให้ได้ดีและไม่เสี่ยงต่อการหลงทาง นั้นก็ไม่พ้น ต้องเข้าใจในสภาพภูมิศาสตร์โดยรวมให้ดีก่อนอยู่ดี หรือแม้แต่หลักการย่นระยะทาง อาจจะรู้สิ่งที่อ่าน เข้าใจสิ่งที่เจอได้เร็วขึ้น แต่ก็คงไม่พ้นการต้องเดินด้วยตัวเองพร้อมกับการ แบกคำถามเหล่านั้นไปด้วย 555 การอธิบายให้ ปลา ฟังว่าการอยู่บนบกเป็นอย่างไร ต่อให้ใช้เวลาสักพันปี ก็คงไม่เท่า การที่ ปลา ได้มายืนอยู่บนบก แค่เพียงนาทีเดียว ( เอามาจากหนังสือ น่าจะเกี่ยวกับคำพูด ของ warren buffett นะครับ 555 ผมอ่ะก็อบหนังสือตลอด) ทั้งหมดที่ผมเคยเล่าถ้าไม่สามารถเป็นประโยชน์ คงเป็นเพราะมีอะไรที่ยากต่อการเข้าใจ และผมก็คงยังไม่สามารถให้อะไรได้เพิ่มในขั้นตอนที่ผ่านมา
โดย
areliang
อังคาร ม.ค. 13, 2015 1:02 pm
0
3
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ไม่นิ่ง คำสั้นๆ ที่มีทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ความฝัน ความหวัง ความสับสน คำถาม คำตอบ ถูกผิด จริงแท้ เท็จลวง อย่างไร ทำยังไง และ ทำทำไม ได้อะไร และเพื่ออะไร และคำถามอีกมากมาย ทั้งหมด รวมอยู่ในใจของเด็กคนนั้นเสมอมา ในตอนนั้นแม้ย้อนกลับไปคิด อยากจะตั้งคำถามเพื่อถามใครสักคน ยังตั้งให้ตรงกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองไม่ค่อยได้เลย อาจจะเป็นเพราะเราไม่เข้าใจจุดหมายที่แท้จริงของตัวเราก็ได้มั้ง หรือแม้แต่บางทีที่ตั้งคำถามออกมาได้ บางทีผู้ที่เป็นคนตอบและตอบปัญหานี้ได้จริงก็มีน้อย หรือ อาจจะตอบได้แต่ไม่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้ หรือในตอนนั้นเป็นผมเองที่ไม่สามารถ หาใครที่เข้าใจทุกอย่างที่ผมอยากรู้เพื่อมาตอบคำถามของผมได้ ความฝัน เช่น ฝันว่าจะรวย ผมยังไม่รู้เลย มันเข้ามาเป็นความฝันของผมได้ยังไง มันเป็นฝันของผมเอง หรืออะไรบางอย่างสร้างมันให้เป็นความฝันของผม อะไรถูก อะไรผิด หลายครั้งเด็กหนุ่มน้อยคนนี้เดินผ่าน ขอทาน และหลายครั้ง ก็เอาเงินค่าขนมที่เหลือซึ่งน้อยอยู่แล้วนะ ใส่ถ้วยของขอทานไป ก็มีผู้ใหญ่ที่เคียงข้างจำนวนมาก ก็บอกเรา เราทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง คือทำบุญ แต่มาวันนึง เราไปเล่าให้ผู้ใหญ่คนนึงฟังว่า เราให้เงินขอทานมาด้วยแหละ เขากลับบอกเราว่า ให้ทำไม ยิ่งให้ก็ยิ่งมีขอทานเยอะขึ้น อ่าววววว... นี่งงแล้วนะ อะไรถูก อะไรผิดกันแน่ แม้เพิ่งเจอเพียงคนเดียวที่พูดกับเราอย่างนี้ จนนานเข้าโตขึ้น กลับต้องคิดว่าผู้ใหญ่ที่ตอบอย่างนั้นเค้าคิดอะไรอยู่ และนานเข้า นานเข้า ถึงจะเข้าใจ ทำไมมมม!! ไม่อธิบายมาตั้งแต่วันแรกที่บอกว่า ให้ทำไม ยิ่งให้ก็ยิ่งมีขอทานเยอะขึ้น แต่ถึงเข้าใจแล้ว และก็ยังคงตอบกับตัวเองว่า การทำบุญ เป็นสิ่งที่ดีเสมอ ถ้าเรารู้ว่าเราควรทำบุญอย่างไร ซึ่งนั่นคงเป็นช่วง ที่มีคำถามมากมาย และผมคงทำอะไรไม่ได้มาก ผมจึงต้องเดินต่อ ไปพร้อมๆกับ คำถามมากมายนั้น (ด้วยรอยยิ้มปนน้ำตา 555)
โดย
areliang
อังคาร ม.ค. 13, 2015 12:58 pm
0
4
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
หลังจาก ที่ผมได้เริ่มโดยก้าวเดินผ่านมาสัมผัสกับตลาดหุ้น ที่แสนจะน่าตื่นเต้น จนเข้าไปแตะได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของมัน สัมผัสได้ถึงการขึ้นของหุ้นที่ตื่นเต้น โลดโผน อย่างกับรถไฟเหาะ ที่บางครั้งมันก็ตีลังกา ผมไม่สามารถแม้แต่จะยอมกระพริบตา เพื่อที่จะได้ดูหุ้นที่มองอยู่ ถูกกระชากขึ้น ไม่อยากพลาด การเห็นรายการซื้อขายแม้แต่อันเดียว สัมผัสได้ถึงการลงของหุ้น ที่แสนจะโหดร้าย ทิ้งทุกราคา อย่างเลือดเย็น แบบ ไม่ floor ไม่หยุด และคำนึงถึง คนเล่นหุ้น ตัวนั้นที่จริงแล้วมีเหตุให้ต้องขายด้วยมูลค่าราคาที่จะได้รับลดลง ตลาดหุ้นมันไม่สนใจจริงๆว่าคุณเป็นใคร เดือดร้อนยังไง แม้การเดินเข้ามาในตลาดหุ้นของผม เริ่มจากความฝันความต้องการที่จะร่ำรวยจากสิ่งนี้อย่างมาก เพราะได้ยินการกล่าวถึงโอกาสอันมากมายที่จะร่ำรวยในตลาดหุ้น แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร พอผมมองย้อนหลังกลับไป ที่ตัวผมเองนั่นแหละ เด็กหนุ่มที่มีอายุประมาณ 16-18 ปีคนนั้น ใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนมหาลัย แต่จริงก็เป็นเด็กหนุ่มที่ดูดี นะ 555 ผมที่อยู่ตรงนี้มองเห็นความไม่นิ่ง ของเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างชัดเจน
โดย
areliang
จันทร์ ม.ค. 12, 2015 6:09 pm
0
7
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
หลังจาก และ หลังจาก ลองนึกภาพว่า มีเด็กหนุ่ม วัยรุ่น อายุสัก 16-18 ปี หน้าตาก็ดูได้พอสมควรใส่ชุดนักศึกษา วาดฝัน แล้ววิ่งไล่ตามหาฝันซึ่งยาวนานหลายปี สะดุดล้มแล้วก็ลุก ล้มแล้วล้มอีก ลุกแล้วลุกอีก คำว่าไม่เหนื่อยคงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่คำว่าเหนื่อย และรวมถึงคำว่าพยายามนี้ จะพาผมไปได้ถึงที่ไหน ถ้าคิดภาพให้เป็นหนัง เป็นละคร คงไม่ใช่หนังแนวเกาหลี รักหวานซึ้งจับใจ เป็นแน่ คงจะไปคล้าย การ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆเรื่องมากกว่า ที่ตัวละครเอก มักจะเริ่มจากอะไรอะไรที่ธรรมดา และก็ชอบอะไรบางอย่าง ฝันอะไรบางอย่าง และอยากทำให้ดีในสิ่งๆนั้น การ์ตูนที่ผมชอบที่สุดคงไม่พ้น Dragon ball ตัวละครเอก โงกุน ซึ่งโดยเนื้อเรื่อง โงกุน จะเป็นตัวเพื่อสื่อถึง ความอยากพัฒนาขึ้นซึ่งความเก่งกาจในการต่อสู้ จากใจที่ใสซื่อ และความที่เก่งกว่าปกติสักเล็กน้อย แล้วถูกขอให้ช่วยก็ทำให้ โงกุน ต้องเข้าไปช่วยในหลายๆเรื่อง เจอคู่ต่อกรที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และการช่วยเหลือที่เข้าไปของโงกุนแต่ละครั้ง ก็กลับซึมเข้าไปในตัวละครโงกุนเองอย่างไม่รู้ตั้งใจรึไม่ คุณธรรม การปกป้องสิ่งที่ถูกต้อง และถึงขั้นปกป้องโลก และยังไปถึงปกป้องจักรวาล และสิ่งสำคัญที่ผมจำอยู่ได้ไม่รู้ทำไม คือ เมื่อโงกุน เจอคู่ต่อกรที่แข็งแกร่งกว่า และตอนแรกก็ต้องเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างยับเยิน เมื่อฟื้นตัวจะหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้น ทั้งจากไปหาอาจารย์ และฝึกฝนด้วยตัวเอง และนั่นคือความจำเป็นในการ์ตูนเรื่องนี้ทีเดียวที่จะต้องเก่งขึ้นให้ได้ เพราะถ้า โงกุน ไม่ชนะ ก็จะไม่มีใครในเรื่องนี้ที่จะหยุด การรุกรานของคู่ต่อกรได้ การที่ต้องพัฒนาขึ้นไปอีก เมื่อไปสะดุดล้มกับปัญหา กลับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะ ถ้าเรามีสิ่งที่จะต้องปกป้อง และก็ยังมีอีกหลายเรื่อง เซนต์เซย่า การ์ตูนที่ตัวเอกต้องล้มลงไปกองไม่รู้กี่ครั้ง แล้วก็ต้องลุกขึ้นมาอีกเพื่อปกป้องอะไรบางอย่าง และก็จะมีพวก เจ้าหนูกังฟู เจ้าหนูนักซิ่ง เจ้าหนูทำขนมปัง ที่เริ่มจาก อะไรอะไรที่ธรรมดา และก็ชอบอะไรบางอย่าง ฝันอะไรบางอย่าง และอยากทำให้ดีในสิ่งๆนั้น แต่ไม่ได้ถึงขึ้นปกป้องโลก แต่โดเรมอน คงไม่ใช่เนอะ 555
โดย
areliang
อาทิตย์ ม.ค. 11, 2015 10:42 pm
0
5
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ตอนจบคงยังมาไม่ถึง เพราะ มันยังคงมีคำถามมากมายที่อยู่ในใจ...ของผม
โดย
areliang
เสาร์ ม.ค. 10, 2015 7:43 pm
0
0
Re: เมืองไทยมีอะไรเป็นอันดับหนึ่งของโลก บ้างครับ?
ตรรกะที่ไม่ถูกต้อง ในการใช้เงินของประชาชน ถ้าเริ่มจากคนมีอำนาจ ใช้เงินตามตรรกะที่ถูกต้อง อะไรควรสนับสนุน อะไรควรยับยั้ง สิ่งที่น่าสนับสนุนก็จะเจริญก้าวหน้า สิ่งที่ควรจะยับยั้งก็จะลดลง สิ่งดีๆที่ไทยจะทำได้เป็นที่หนึ่งคงเกิดขึ้นได้บ้าง เพราะที่หนึ่งไม่ได้หวังจะเกิดได้เพราะอยู่ๆก็เกิดขึ้นเอง แต่มันจะเกิดก็เมื่อความพร้อมมากพอที่จะเป็นเช่นนั้น ผมสงสัยเรื่องภาษีมรดก คือ 50 ล้านบาท นั้นมากเกินไปสำหรับ คน 1 คน ในสมัยนี้แล้วเหรอ ถึงต้องถูกบั่นทอนลง เพราะ ผมดูบ้านดีหน่อย ก็ เกือบ 10 ล้านบาทแล้ว รถยนต์ 2 ล้านบาท ถ้าจะซื้อบ้านให้ลูกหนึ่งคน 10 ล้านบาทถ้าซื้อเร็วก็ยังต้องอาจเป็นชื่อเราเอง นี่ก็ 22 ล้านบาท รถยนต์คงต้องใช้มากกว่า 1 คัน แน่ในช่วงชีวิตที่ดี ซื้อรถให้ลูก อีก ค่าพยาบาลโรงพยาบาลดีๆ ค่าใช้จ่ายยามแก่เฒ่า ผมคิดถึงตัวเลขที่เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างดี และ เพรียบพร้อม และถ้าคนที่ได้รับมรดกเพียง 50 ล้านบาทเพราะมีคนบังเอิญคิดว่า 50 ล้านนั้นเพียงพอแล้ว แล้วคนที่ได้รับมรดก ก็ใช้ชีวิตอย่างดีประหนึ่งที่เคยถูกเลี้ยงดูมา แล้วบังเอิญไม่เก่งเรื่องการหาเงิน แล้วเงินค่อยๆลดจนหมดไปด้วยการใช้ชีวิตอย่างดีและเพรียบพร้อม พอเงินหมด รายได้ทุกอย่าง ก็คือ มาจากการทำงาน เงินเดือนขั้นต่ำ 15000 บาท สวัสดิการทางสังคมต่างๆ ที่ยังคงไม่ทำให้ชีวิตรู้สึกดีพอหรือผมไม่ยอมพอดีเอง แล้วอะไรควรจะมากำหนดว่าตัวเลขที่เกิน 50 ล้านบาทต้องเสียภาษี แล้วถ้าผู้รับมรดกเงินหมด การเป็นคนจนลงจะมาใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีมรดกที่ถูกบังคับจ่ายไปคืนมาช่วยชีวิตเขาที่เดือดร้อนอยู่ได้ไหม แต่ถ้าประเทศไหน ที่มีเงินเดือนประชากรพอเหมาะ มากพอกับค่าครองชีพ มีระบบสวัสดิการที่เพียงพอ กับการมีชีวิตอย่างดี นั้นหมายถึงว่า ใครก็ตามที่เกิดมาในประเทศนั้น มีระบบสนับสนุนการดำรงชีวิตที่ดี มีโอกาสให้ค่าเฉลี่ยเท่าๆกัน อันนี้ย่อมเห็นความแตกต่าง การที่จะแจกเงินกับคนที่มีรายได้น้อย อย่างน้อยผมก็คิดว่ามันก็คือคำว่าโอกาส สำหรับคนที่มีรายได้น้อยนะและถ้าเขาใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ก็เป็นเรื่องดี แต่ตรรกะที่ดีคือยังไงกันแน่ ในเมื่อการแข่งขันบางอย่าง จากนับร้อยนับพัน คนที่ได้ที่ 1 มักได้รางวัลสูงสุด ที่2 และ ที่3 ได้ลดลงมา และเลยอันดับที่เท่าไหร่จะไม่ได้รางวัลอะไรเลย ดังนั้น ตรรกะก็แข่งกันพาไปพัฒนาความสามารถ แต่ถ้าเราตั้งว่าคนรายได้น้อย จะได้รับเงินเท่านี้ คนที่หาเงินได้ถึงเป้าเท่านี้ต่อปีก็จะได้เงินสนับสนุนที่น่าจูงใจขึ้น และเป็นลำดับขั้นจนถึงค่าเฉลี่ยที่มีการวิจัยและวางแผนไว้ที่เป็นขั้นควรสนับสนุน ก็จะเป็นแรงจูงใจพัฒนาคนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นตรรกะ คนจน จะได้รับการแจกเงินเป็นรางวัล (แบบเล็กๆที่ทำให้หลงผิด) แต่ ถ้าคุณขึ้นมาเป็นคนมีอันจะกินมีชีวิตที่เพรียบพร้อมดูแลตัวเองได้ คุณก็ดูแลตัวเองไป แล้วเราจะไปเอาเงินจากผู้รับเงินคุณ และถ้าบังเอิญ ผู้รับเงินจากคุณเงินหมด เราจะแจกเงินเป็นรางวัล (แบบเล็กๆที่ทำให้หลงผิด) และเราคนที่เอาเงินคุณไปก็ไม่สามารถดูแลผู้รับเงินจากคุณได้ดีเท่าคุณอยู่ดี เพราะเราผู้เอาเงินไปเอาเงินไปทำอะไรก็ไม่รู้โดยไม่มีตรรกะที่ดี แล้วลืมไปว่าเราเอาเงินจากใครมา ขออภัยถ้าผมคิดขัดแย้งนะครับ แค่ผมเป็นคนไม่ค่อยอยากขับรถ แล้วเคยไปขึ้นรถ bus หรือ รถเมล์ ของสิงคโปร์ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน แล้วผมรู้สึกดีกับรถเมล์ที่นั่น แต่ประเทศไทยจนถึงวันนี้ แค่คิดจะขึ้นรถเมล์ทุกครั้ง ต้องสงสัยว่ามันจะจอดรับมั้ย มันจะขับอันตรายมั้ย มันจะส่งผมที่ป้ายรึเปล่า กี่คนผู้สูงอายุ ที่ผมเห็นต้องบาดเจ็บเล็กน้อย หรือบาดเจ็บยาวนาน จากการขับที่รุนแรง กระชาก กระแทก หลายสิบชีวิต ในมือคนขับที่ไม่ดีคนเดียว หรือ แม้แต่รถสภาพไม่ดี ก็เกิดจากผู้มีหน้าที่ดูแลรถไม่ดี ชีวิตคนนับสิบและคนขับรถ ก็อยู่ในมือผู้ดูแลรถที่ไม่ดี ตรรกะ ประเทศเรายังยอมกับแบบนี้เลย จาก ความเห็นของคนโลกแคบครับ :)
โดย
areliang
เสาร์ ต.ค. 11, 2014 10:59 am
0
9
Re: โบรกไหนซื้อหุ้นในเวียดนามได้ครับ
ขอบคุณครับ พี่ลูกอีสาน สำหรับคำแนะนำดีๆ
โดย
areliang
พฤหัสฯ. ก.ย. 11, 2014 12:53 pm
0
0
Re: โบรกไหนซื้อหุ้นในเวียดนามได้ครับ
ขอบคุณท่าน ampare :D มากครับ จะลองใช้ดูครับ มีอะไรแนะนำได้นะครับ เป็นประเทศที่ 4 ที่ลอง หลังจากเจ๊งมา 3 ประเทศ :roll: พี่ลูกอีสาน ประโยคที่ว่า เป็นประเทศที่ 4 ที่ลอง หลังจากเจ๊งมา 3 ประเทศ แปลว่าอะไรครับ :ohno: :ohno: ถ้าพี่ลูกอีสาน ไปแล้วไม่ work มา 3 ประเทศ แล้วผมจะรอดมั้ยครับเนี่ย ขอคำแนะนำ และคำเตือนด้วยได้มั้ยครับ ขอบคุณครับ
โดย
areliang
พฤหัสฯ. ก.ย. 11, 2014 9:39 am
0
4
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
:)
โดย
areliang
พุธ ก.ย. 03, 2014 8:07 pm
0
2
Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย
ขอบคุณครับ
[email protected]
โดย
areliang
พฤหัสฯ. เม.ย. 03, 2014 12:42 pm
0
0
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
:)
โดย
areliang
พุธ พ.ค. 22, 2013 12:07 pm
0
3
Re: วิพากษ์ 4 มาตรการ คุมเงินบาทแข็ง จับสัญญาณลดดอกเบี้ย
การที่ ธปท. เป็นฝ่ายถูกบีบให้ลดดอกเบี้ย โดยการอ้างถึงเหตุผลค่าเงินแข็งซึ่งเกิดจาก การไหลของเงินต่างชาติ ถ้าดูตามหน้าที่ก็เชื่อว่า ธปท. มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย และการคงดอกเบี้ยเพื่อเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยย่อมดูเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องและไม่ผิดอะไร แต่การถูกบีบให้ลดดอกเบี้ย และอ้างว่าต้องลดดอกเบี้ยนั้น การกระทำนั้นเป็นไปเพื่อรองรับเงินที่ไหลมาจากทั่วโลก หน้าที่ของธปท. ต้องทำสิ่งนี้เพื่อกระแสโลก และละเลยการทำหน้าที่ต่อ เศรษฐกิจไทยงั้นรึ (ซึ่ง ธปท. ไม่ได้ถูกตั้งและทำให้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับกระแสโลก ไปพร้อมๆกับดูแลเศรษฐกิจประเทศไทย) และถ้าไปดูถึงตัวเลขที่ขาดทุนเพราะการช่วยพยุงค่าเงิน และบอกว่าคนที่ทำตัวเลขขาดทุนนี้ขึ้นมาเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อเป็นหน้าที่ของเขา และได้รับคำพูดกระตุ้นหน้าที่มาตลอดให้ดูแลค่าเงิน ในเมื่อทำไปขนาดนี้ค่าเงินยังแข็งขนาดนี้ ถ้าไม่ทำค่าเงินคงแข็งมากกว่านี้ และถ้ามองเห็นก็รู้ ว่าเมื่อค่าเงินจะแข็งแต่เข้าไปพยุง ก็ไม่พ้นการขาดทุน แต่สิ่งขาดหายไปและไม่ได้เห็นเลย คือการที่ผู้มีอำนาจมากกว่า ธปท. จะออกกฎเกณฑ์ แม้จะแบบอ่อนๆออกมาเพื่อเป็นการช่วยเหลือ ธปท. หรือบรรเทาความเสียหายอย่างรัดกุม และถ้าเหตุการณ์กระแสโลกไม่เปลี่ยนทิศ ผู้แบกคือ ธปท. ซึ่งเป็นผู้น้อยกว่าแต่ผู้เดียว และถ้าเกิดความเสียหายขึ้น เป้าก็ถูกสร้างเสร็จแล้วว่าใครจะถูกให้เป็นผู้รับผิดชอบ แต่เหตุการณ์จะผ่านพ้นโดยจะให้ดีที่สุดต่อประเทศไทย นั้นต้องใช้ความสามัคคี และทำในสิ่งที่ควรทำตามหน้าที่ของแต่ละฝ่ายมาประกอบกัน
โดย
areliang
จันทร์ พ.ค. 13, 2013 2:40 pm
0
2
Re: ขอความเห็นการเพิ่มทุน PL
ผมว่าถ้าจุดหมายตอนนี้ของบริษัท ถ้ามันคือเป็นที่ 1 ของตลาด ผมว่าก็ทำได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งจาก หนี้ และ ลูกค้า แต่ว่าถ้าได้เป้าแล้ว ก็อยากให้สนใจตรงการเพิ่มผลกำไรขึ้นไปด้วย โดยไม่สร้างหนี้เกินจำเป็น จากจุดได้เปรียบหลายๆอย่าง ผมว่าถ้าจัดการได้ดี มีเทคนิคดีๆ บริษัทก็ไม่น่าแพ้ใครนะ แต่มีเรื่องเงินเดือนผู้บริหาร ที่ปีหลังๆ เพิ่มขึ้นมาก และก็กลัวเรื่องความประมาท ที่อยากโตมากๆ เพราะ เวลาปล่อยทรัพย์สินให้เช่าได้ ก็จะต้องมีการประกันภัย ซึ่งรายได้ส่วนนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่เมืองไทยประกันภัยน่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่น่าจะมาก
โดย
areliang
พุธ พ.ย. 14, 2012 3:52 pm
0
1
Re: ขอความเห็นการเพิ่มทุน PL
ผมคิดว่า การปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้น และให้ผู้ถือหุ้นนำเงินกลับเข้าไปเพิ่มทุน มันดูค่อนข้างเป็นตรรกะ ที่ซ้ำซ้อน และไม่ได้ทำเพื่อผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง แถมอาจถูกใช้ข้อมูลไปแบบ insider เช่นเวลาปันผลออกมาเป็นเงินโอน หรือเช็คก็เกิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เงินถึงมือผู้ถือหุ้น เวลาเพิ่มทุน ผมไม่แน่ใจว่าต้องผ่านโบรกรึเปล่า ก็เกิดค่าใช้จ่าย และเมื่อประกาศเพิ่มทุนยังไงราคาหุ้นก็ต้องตกแบบตระหนก เกิดแต่ผลเสียต่อผู้ถือหุ้น และดูไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ในลักษณะของบริษัทที่สามารถทำกำไรเป็นเงินได้จริง ไม่ควรเลือกทางนี้ และการเพิ่มหนี้ไม่ได้สร้างกำไรที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน เพราะหนี้สินเพิ่มมากแต่กำไรไม่โตมาก การเพิ่ม E แบบ หุ้น hmpro เป็นทางที่น่าสนใจที่สุด นั่นคือไม่ต้องปันผลเป็นเงินสด แต่ทำให้เงินสดยังคงอยู่กับบริษัทโดยปันผลเป็นหุ้น วิธีนี้ไม่ซ้ำซ้อน E ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างปกติ ปันผลเป็นหุ้น ก็ยังคงเครดิตภาษีได้ โดยถ้ามีแนวโน้มปรับลดภาษีลง ก็ควรจะ ปันผลส่วนที่ได้เครดิตภาษีสูงออกมาก่อนเพื่อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อย ถ้าบริษัทได้กำไร 250 ล้าน และไม่ปันผล DE ที่ 4 ก็พอ จะเพิ่ม debt ได้ max ที่ 1000 ล้านบาท หรือ ถ้า เก็บเงินไว้ 200 ล้าน ปันผลเงินสด 50 ล้าน de ที่ 5 ก็พอ จะเพิ่ม debt ได้ max ที่ 1000 ล้านบาท และการปันผลลักษณะนี้ ไม่สร้างตระหนก ซึ่งทำให้ราคาตกรุนแรง แต่ยังสร้างความคึกคักให้กับหุ้นด้วยซ้ำ แต่การขยาย ผมอยากขอให้กังวลให้มาก ว่าไม่ใช่สักแต่ว่าขยายเพื่อที่ 1 (แต่ก็อยากให้เป็นที่1) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่สิ่งดี มีวิกฤตขึ้นมาจะแก้ยังไง แผนเพื่อรองรับ roa และ roe จะต้องเป็นเป้าหมายด้วยนะครับ ถ้าดูยังไง Pl ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนเป็นเงินสด แต่มีสิทธิ์ที่จะไม่ปันผลออกมา และถ้าสามารถขยายกิจการ กำไรที่ดี การไม่ปันผลออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอให้ roe ไม่ต่ำลงนะครับ แต่ทั้งหมดของการตัดสินใจมันคงขึ้นอยู่กับผู้มีส่วนได้เสีย ตามที่ผมดู ผลตอบแทนก็ผู้บริหารก็มีตัวเลขสูงขึ้นมาก ในปีหลัง ยังไงก็ช่วยใช้การตัดสินใจที่ยังดีที่สุดต่อผู้ถือหุ้นด้วยนะครับ
โดย
areliang
ศุกร์ พ.ย. 09, 2012 5:09 pm
0
0
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
Passive Income ถ้าสำหรับคนที่มีเงินมากแล้ว หรือ รายได้สูงๆ มันเป็นแค่ก้าวขยับต่อไปเพียงเล็กๆ แต่ถ้าคนโดยทั่วไป มีเงินเก็บไม่มาก รายได้ไม่สูงเหลือเฟือ จะสร้าง passive income ง่ายๆได้ยังไง แล้วจะพ้นต่อความกดดันทางด้านการเงินได้ยังไง
โดย
areliang
จันทร์ พ.ค. 28, 2012 7:23 pm
0
0
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
Zone การแบ่งออก เป็น โซน หรือ เขต หรือ พื้นที่ หนังเรื่อง In Time เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชีวิต ที่ไม่ได้ต้องใช้เงินอีกต่อไป แต่จะใช้เวลาแทนการใช้เงิน ทั้งการซื้อของต่างๆ ค่าเดินทาง เป็นต้น และเวลานี้จะเริ่มเดินเมื่ออายุได้ 25 ปีในแต่ละคน และถ้าเวลาหมดลงนั่นคือ สิ้นชีวิตลง ถ้าหาเวลาเพิ่มได้เรื่อยๆ นั่นหมายถึง อมตะ การหาเวลาเพิ่มได้ก็เกิดจากการทำงาน หรือ ผู้อื่นมอบเวลาให้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของตัวเอก ตัวเอกของเรื่อง เริ่มที่เมืองๆหนึ่ง ดูเหมือนชนบท ซึ่งเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ ตื่นมาก็ไปทำงานประมาณโรงงาน ได้ผลตอบแทนมาเป็นเวลา แต่เวลาที่ได้มานั้นเมื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ละวันนั้นแทบจะไม่เพียงพอ มันก็เดินมาถึงวันที่เวลาของ เขาใกล้หมดเต็มที และวันนั้น ก็มีคนที่มาจากที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งมีเวลาที่ตัวเขา กว่า 100 ปี เป็นเวลาที่มากๆ จนเป็นที่ต้องการแย่งชิงจากผู้อื่น และพระเอกก็ได้ช่วยเขาไว้ และในขณะที่เวลาของพระเอกจะหมดนั้น ชายคนนี้ก็ได้มอบเวลาทั้งหมดให้กับพระเอก และชายคนนั้นก็ได้สิ้นชีวิตลงโดยเจตนา ดังนั้นพระเอกตื่นขึ้นมาพร้อมกับเวลาที่ล้นเหลือ เหมือนอยู่ได้อีกสัก 100 ปีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรแล้วรวยเลย และการที่พระเอกไม่เหลือใครแล้ว และได้ฟื้นจากที่คิดว่าตัวเองกำลังจะสิ้นชีวิตลงเพราะเวลาที่น่าจะหมดลงไปแล้ว ทำให้พระเอกเริ่มออกเดินทาง การเดินทางของหนังเรื่องนี้เป็นการข้ามโซน และโซนที่พระเอกอยู่ขณะนี้คือโซนที่ 12 เขาจึงเรียกรถ และโชว์เวลาให้ดู และเมื่อถึงประตูแต่ละโซน ถ้าจะผ่านต้องใช้เวลา เป็นเดือน เป็นปี ดังนั้นตามปกติพระเอกจะไม่สามารถผ่านโซนพวกนี้ได้ เพราะ แค่ดำรงชีวิตก็แทบจะไม่พอ เขาได้ผ่านโซนไปเรื่อยๆ จนถึงโซน ที่ 4 โซนที่ 4 นี้เป็นโซน ที่คล้ายเมืองหลวง ที่หรูหรา เต็มไปด้วยตึกสูง บ้าน รถ สวยๆ ผู้คนเดินกันช้าๆ ดูหรูๆ เพราะแต่ละคนมีเวลามากมายเหลือเฟือ หรือ เรียกว่า คนรวย นั่นทำให้พระเอก ได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยเห็นซึ่งแตกต่างจาก โซน ที่ 12 อย่างแบบตรงกันข้าม คนหนึ่ง แทบไม่มีเวลาเหลือ คนหนึ่งมีเวลาหลายร้อยปี คนหนึ่งต้องสิ้นชีวิตลงเพราะเวลาหมด อีกคนหนึ่งอยู่ได้อย่างอมตะ และดูเหมือนคนโซนนี้ โซนที่ 4 จะเป็นผู้คุม เงื่อนไขต่างๆทางด้านเวลาเสียด้วย เมื่ออยู่ๆพระเอกมาอยู่โซนที่ 4 ได้ จึงมีผู้คุมด้านเวลามาตามล่า และพระเอกก็จะต้องต่อสู้ต่อไป หามาดูชมได้นะครับ In Time ภาพดีๆถ้ามองดีๆ แต่ในโลกของความเป็นจริง Zone อาจจะไม่ได้ถูกแบ่งชัดเจนให้มองเห็นได้ง่าย และมันมักอยู่รวมกันเลย คนรวย คนระดับกลาง หรือคนจน ก็ยืนอยู่ข้างๆกันเลย แต่โอกาสที่ได้รับระหว่าง คนรวย คนระดับกลาง หรือคนจน หลายๆครั้งก็ต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ร้านอาหารระดับหรู คนรวย นั่งกิน คนระดับกลาง พ่อครัวฝีมือดี ทำอาหารให้คนรวยกิน และมีแม่บ้านมาถูพื้นบังเอิญได้เงินเดือนไม่มากนัก เลยเกือบจน มาถูพื้นให้คนรวยมีพื้นสะอาดๆเดิน แล้วเราล่ะอยู่โซนไหน
โดย
areliang
จันทร์ พ.ค. 28, 2012 5:43 pm
0
0
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
คนข้างบน คำที่ผมมักใช้ เมื่อรู้สึกว่าตัวเอง โง่เขลา เบาปัญญา นั่นคือ เมื่อผมมีเรื่องที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หาคำตอบไม่ได้ มันอาจเริ่มขึ้นจากตอนประถมปลาย เวลาสอบ แล้วผมทำข้อสอบนั้นไม่ได้แต่ถ้าบังเอิญวิชานั้นเป็นวิชาที่ตั้งใจเรียนทำได้เฉพาะวิชาที่ตั้งใจเรียนฟังครูเท่านั้นนะครับ ผมก็นึกถึงเสียงคุณครูวิชานั้น และคิดว่าถ้าเราเป็นครูคนนั้น จะตอบตัวเลือกข้อไหน และผมก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้มันถูกต้องหรือไม่ เพราะคะแนนสอบก็ไม่ได้ดีอะไร แต่สอบไม่ตก แบบนี้ ครูวิชานั้นคือคนข้างบนของผม อาจจะแปลว่า คนที่ผมเคยได้เรียนรู้ มีสามารถเป็นที่น่าเชื่อถือของผม และเมื่อเวลาที่อยู่ในขณะนั้น ความสามารถของเรา ณ ขณะนั้นไม่สามารถหาคำตอบ หรือแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตัวเราเอง ผมจะพยายามคิดว่าถ้าเป็นคนข้างบน เขาจะต้องคิดอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา หรือวางแผน ในสถานการณ์นั้นๆ มันแปลกตรงที่ เวลาเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ จนมุม ตัวเองกลับรู้สึกว่า ยังมีคนข้างบน ที่เคยเจอปัญหาแบบนี้มาแล้วล่ะ แล้วเขาเหล่านั้นแก้ปัญหาอย่างไร ทำให้รู้สึกว่าปัญหาจำนวนมากมันมีทางออก แต่ก็จะพยายามคิดต่อว่าถ้าเป็นคนข้างบน จะเลือกทางออกแบบไหนที่ดีที่สุด นี่คือหนึ่งในวิธีที่ผมใช้เวลาหาคำตอบ หรือ แก้ไขปัญหาไม่ได้ และก็ใช้มันได้ดีขึ้นจนเป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อ คือ มันจะมีสิ่งที่ คนข้างบน รู้ แต่ เรา ไม่รู้ และเมื่อเรา รู้ ในสิ่งที่คนข้างบนรู้ และเราทำ เราจะขึ้นไปเข้าใกล้ คนข้างบน และเมื่อเรา ขยับขึ้นข้างบนทีละขั้น จะได้สัมผัสสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้เพิ่มขึ้นไปอีกแบบอัตโนมัติ รวมถึงโจทย์ที่จะมองเห็นต่อไป โดยถ้าเราไม่ขยับขึ้นไปอาจจะไม่เคยได้สัมผัสเลย เหมือนประโยคที่ว่า จะบอกปลาให้เข้าใจว่าการมีขาอยู่บนบกเป็นเช่นไร ต่อให้ใช้เวลา สัก 100 ปี นั่งอธิบาย ก็เทียบไม่ได้กับ การที่ปลาได้มีขาอยู่บนบก แค่วินาทีเดียว อันนี้เป็นแค่คำเปรียบเปรยนะครับ เคยดูหนังเรื่อง In Time กันรึยังครับ
โดย
areliang
จันทร์ พ.ค. 21, 2012 5:56 pm
0
2
Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ
ขออนุญาต ยกขึ้นมาเผื่อจะมีประโยชน์ครับผม
โดย
areliang
จันทร์ พ.ค. 21, 2012 12:16 am
0
8
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
สิ่งที่ผูกกัน หรือ ยึดติดกัน รายจ่าย นั้น ผูกติดกับตัวเราเอง รวมถึงสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย รายรับ นั้นเกิดจากที่เราทำอะไรบางอย่าง หรือ ทำงาน และ ได้รับเงินเป็นผลตอบแทน ซึ่งน่าจะแปลได้ว่า รายรับ นั้น ผูกติดกับ “งาน” ทั้งแบบที่เราเป็นผู้เลือกหรือผู้ถูกเลือก และปมที่ถูกผูกอยู่นี้คือสิ่งที่คนอยากมีอิสรภาพทางการเงินพยายามแก้อยู่ใช่หรือไม่ งั้นขอถามต่อด้วยคำสัตย์ ถ้ามองดูแล้วเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด จะมีคนจำนวนเท่าไหร่ ที่ไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินใช้ หรือแก้ปมนี้ได้ด้วยตัวเอง คำโฆษณา อิสรภาพทางการเงิน ที่คนจำนวนมากฝันถึง จะมีกี่คนที่ทำให้เป็นความจริงได้ งาน ที่ทำแล้วได้ผลตอบแทนนั้น ก็จะถูกผูกติดกับเจ้านายหรือเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเขาก็ถูกผูกติดกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งก็จะผูกติดกับสภาพโดยรวมของสังคม หรือ ประเทศ ซึ่งสภาพก็เกิดจากโครงสร้างของประเทศ และโครงสร้างก็ต้องถูกวางแผนด้วยผู้นำ งั้นดูประเทศที่ต้องการใช้แรงงานจำนวนมาก ในกิจการที่ใช้เพียงแต่แรงงาน ถ้าค่าแรงได้ที่ 200 บาท ค่าครองชีพ 200 บาท แต่ละวันเงินถูกใช้ไปหมด ดังนั้นพรุ่งนี้จะต้องรีบไปทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ในวันถัดไป ถ้าค่าแรงได้ที่ 400 บาท ค่าครองชีพ 200 บาท และอยู่กับญาติหนึ่งคน นั่นแปลว่าค่าแรงสามารถเลี้ยง ตัวเองได้ รวมถึงญาติอีกหนึ่งคน ทำให้เกิดแรงงานที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่จะถูกนำมาคิดถึงข้อดีและข้อเสียเพื่อวางแผนต่อไป ดังนั้น ถ้าคนในอัตราส่วนที่สูงได้พบอิสรภาพทางการเงินขั้นสูง นั่นแปลว่า คนในอัตราส่วนที่สูงไม่จำเป็นต้องทำงาน แล้วจะหาแรงงานที่ไหนมาทำงาน ดังนั้น จะมีประเทศไหนจะดำรงอยู่ได้ด้วยสถานการณ์นี้ ดังนั้น คนส่วนใหญ่ น่าจะยินดีต่อ อิสรภาพการเงิน แบบง่าย รายรับ มากกว่า รายจ่าย ซึ่งสภาวะนี้ ก็จะช่วยไม่ให้เกิด สภาวะบีบบังคับทางการเงิน ให้เกิดความตรึงเครียด และหาเวลาคิดวางแผนในขั้นต่อไปได้
โดย
areliang
ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 2:12 pm
0
2
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
ดูเหมือนง่าย ไหมครับ นี่จึงเป็นเพียงพื้นฐาน อิสรภาพทางการเงิน ในช่วงเวลา ขณะนั้น และการจะก้าวขึ้นสู่ อิสรภาพทางการเงินที่ยาวนานกว่า ถ้าจะพูดแบบง่ายๆ ก็ เพิ่ม คำว่า “สม่ำเสมอ” เข้าไป นั่นคือ เมื่อเดือนที่หนึ่ง เรามี รายรับ มากว่า รายจ่าย เรามีอิสรภาพทางการเงิน 1 เดือน เมื่อเดือนที่ 2 ถ้าสร้างอิสรภาพทางการเงินได้อีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เป็นปี สิ่งที่ทำนี้มันจะแอบเข้าไปในตัวโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือ ที่จะเรียกว่า “ติดเป็นนิสัย” แน่นอนว่าความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ มันอาจจะเจอกับเดือนที่มีค่าใช้จ่ายสูงและยังเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นมากเสียด้วยซ้ำ จนทำให้เงินออมหมดลง หรือ ติดลบเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้ามันไม่มากมายจนเกินความสามารถของรายรับ นิสัย นี้นั่นแหละก็จะทำให้กลับสู่สภาพอิสรภาพทางการเงินแบบไม่ยากนัก และเมื่อดำเนินชีวิต ในรูปแบบที่ยืนอยู่บน อิสระ ได้มากกว่า ไม่อิสระ ย่อมดีกว่า ยืนอยู่บนอิสระได้น้อยกว่าไม่อิสระ สิ่งที่พูดง่าย แต่ทำได้ยาก นั่นก็คือคำว่า สม่ำเสมอ คำว่า สม่ำเสมอ นั่นคือ สมมุติเมื่อเราต้องเดินข้ามสะพานข้ามลำธารแห่งหนึ่งทุกวันและตั้งใจมั่นว่าเราจะคอยโยนก้อนหินลงลำธารทุกวัน วันละก้อน และเมื่อวันใดเราเกิดลืมโยนก้อนหิน เราจะไม่ได้แก้ไขโดยคิดเสียว่า พรุ่งนี้เราจะโยนก้อนหินลงไปสองก้อนก็ค่าเท่ากัน แต่ละก้าวที่เราหวัง และอยากจะเดินเข้าไปหา บางเรื่องเราก็ไม่สามารถเดินดุ่ยๆเข้าไปแล้วจะถึง การเดินทางที่จะสำเร็จได้จะต้องมีการเตรียมพร้อมถึงองค์ประกอบต่างๆที่เป็นส่วนประกอบของความสำเร็จ
โดย
areliang
พฤหัสฯ. พ.ค. 17, 2012 6:21 pm
0
1
Re: อิสรภาพทางการเงิน และ อิสรภาพทางการงาน
อิสรภาพทางการเงิน จะเกิดกับเราเมื่อไหร่ ขอถามก่อนว่าคุณๆเคยได้ สัมผัส อิสรภาพทางการเงินบ้างหรือยัง จะมองให้ยาก มันก็คงยาก แต่ถ้ามองให้ง่ายมันน่าจะง่ายขึ้นนะ (จุดประสงค์ ที่เขียนนี้ อยากจะแยกภาพ ความเป็นอิสรภาพทางการเงิน และทางการงาน เผื่อจะมีประโยชน์ต่อผู้ไม่รู้ ไม่ได้มีเจตนาไปในทางที่ไม่ดีใดๆ) อิสระ ถ้าหมายถึง เรามีสิทธิ์ จะเลือก หรือ ไม่เลือกก็ได้ ทำ หรือ ไม่ทำ ใช้ หรือ ไม่ใช้ ยอมหรือ ไม่ยอม ก็ได้ขึ้นกับตัวเรา ภาพ หรือ สภาพ หมายถึง ภาพ ที่ปรากฏ หรือ สภาพ ที่ปรากฏ ทางการเงิน ก็ เกี่ยวกับเงิน ถ้า อิสรภาพทางการเงิน ความหมายเป็นตามนี้ ในความคิดของกระผมเท่านั้น มันเป็นการไม่ยากเลย ถ้าจะสัมผัส อิสรภาพทางการเงิน ถ้าเราอยู่ในหลักที่ว่า มี รายรับ มากกว่า รายจ่าย เราจะยืนอยู่บน สภาพ อิสรภาพทางการเงิน ในช่วงเวลา ขณะนั้นๆ ที่เรามี รายรับ มากกว่า รายจ่าย เช่น ได้เงินเดือน 20000 บาท และมีรายจ่ายในเดือนนั้น ทั้งหมด 12000 บาท รายรับ มากกว่า รายจ่าย 8000 บาท ซึ่งจะทำให้ เรามีสิทธิ์ จะเลือก หรือ ไม่เลือกก็ได้ ทำ หรือ ไม่ทำ ใช้ หรือ ไม่ใช้ ยอมหรือ ไม่ยอม ก็ได้ขึ้นกับตัวเรา ต่อเงิน 12000 บาท รวมถึง เงินที่เหลืออีก 8000 บาท ดังนี้ ไม่มีสภาพบีบบังคับ ทางการเงินเกิดขึ้นต่อเรา แต่ถ้าในขณะเวลาที่ เรามี รายรับ น้อยกว่า รายจ่าย ได้เงินเดือน 20000 บาท และมีรายจ่ายในเดือนนั้น ทั้งหมด 22000 บาท รายรับ น้อยกว่า รายจ่าย 2000 บาท ซึ่งจะทำให้ เรามีสิทธิ์ จะเลือก หรือ ไม่เลือกก็ได้ ทำ หรือ ไม่ทำ ใช้ หรือ ไม่ใช้ ยอมหรือ ไม่ยอม ก็ได้ขึ้นกับตัวเรา ต่อเงิน 20000 บาท ยังคงอยู่ แต่ส่วนรายจ่ายที่มากกว่า 2000 บาท นั้น มีสภาพบีบบังคับ ทางการเงินต่อเรา ทำให้เราหมดสิทธิ์ เลือก หรือ ไม่เลือกก็ได้ ทำ หรือ ไม่ทำ ใช้ หรือ ไม่ใช้ ยอมหรือ ไม่ยอม กับรายจ่าย ที่เพิ่มขึ้นมา อีก 2000 บาทซึ่งนั่นจะทำให้เรา ต้อง ยืม กู้ ซึ่งเข้าสู่สภาพบีบบังคับต้องใช้เงินกลับคืน หรือแม้แต่การตัดใจที่จะไม่ใช้รายจ่าย 2000 บาท นี้ ซึ่งเป็นการฝืนต่อการเลือกของเราเอง ดังนั้นจึงเกิด สภาพบีบบังคับ จึงขาดสภาพอิสระจากบางสิ่งบางอย่าง
โดย
areliang
พฤหัสฯ. พ.ค. 17, 2012 5:39 pm
0
5
Re: แจ้งข่าว มารดา ของ ดร.นิเวศน์ เสียชีวิต ครับ
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
โดย
areliang
จันทร์ มี.ค. 26, 2012 1:19 pm
0
0
280 โพสต์
of 6
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
areliang
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.พ. 27, 2008 3:45 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ พ.ย. 01, 2021 7:36 pm
โพสต์ทั้งหมด:
432 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว