หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
yuth-sri
Joined: อังคาร มี.ค. 18, 2008 8:09 pm
35
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - yuth-sri
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
อะช่วยตอบมั้งก็ได้ครับ
เพราะเวบนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าฟันธงหลอกครับ ( เท่าที่ผมจำได้จาก อ.เทพ ในหนังสือหุ้นห่านทองคำนะครับ -ผมไม่ได้ซื้อมาอ่านแต่ได้ดูจาก TV นะครับ) จุดประสงค์ของคุณก็คือคุณต้องการอิสรภาพทางการเงินใช้หรือเปล่าครับ ถ้าใช้ก็อย่างนี้ครับ 1. บริษัทอาจจะมีอัตราการเจริญเติบโตต่อปีไม่มากนัก อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่หวือหวานัก ไปเลื่อยๆ สินค้าจำเป็นต้องใช้ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย ( อุตสาหกรรมประเภท CASH COW ) 2. นโยบายการจ่ายปันผล %ต่อกำไร จะต้องสูง 40-50 % หรือมากกว่า ยิ่งดี และยิ่งจ่ายปีละหลายครั้งยิ่งดี 3. บริษัทมีหนี้ต่อผู้ถือหุ้นต่ำ เพราะกำไรจะได้ปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้มากแทนที่จะไปจ่ายดอกเบี้ย 4. บริษัทประเภทนี้มักจะเป็นบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจแบบอนุรักษ์การเติบโตแบบกู้เงินน้อยใช้กำไรที่มี หรือไม่ค่อยเพิ่มทุนบ่อยๆ( เช่น KH,BH,NTV(ตัวนี้ปันผลน้อยครั้งไปหน่อย),TPC,HANA,SPACK,PSL) ไม่ใช่แบบบุกตะลุยต้องการการเติบโตสูง( เช่น BGH,MINT,CCET,TTA ) 5. ถ้าบริษัทที่เราถืออยู่ราคาแพงเกินไป ก็จะฉฐ๋.ขายไปบางส่วน เพื่อทำให้หุ้นที่ยังถืออยู่ มีต้นทุนที่ถูกลง ***** ผิดถูกอย่างไร เก็บไปพิจารณาอีกที่นะครับ *** สิ่งสำคัญต้องซื้อในราคาถูก(สำหรับผมจะซื้อก็ต่อเมื่อ ราคาที่บริษัทจ่ายปันผล 6 %ขึ้นไป และ กราฟ ยืนยันว่าอยู่ในแนวรับแล้วเท่านั้น เพราะเงินผมเป็นเงินกู่นะครับ ) และ ต้องมองว่าบริษัทนี้จะเป็นอย่างไรในอีก 5- 10 ปีข้างหน้า จะโตขึ้นมั้ย
โดย
yuth-sri
จันทร์ ก.ค. 14, 2008 4:22 pm
0
0
สาเหตุของการลงทุนแบบ VI แล้วขาดทุน
สาเหตุของการลงทุนแบบ VI แล้วขาดทุน มี 3 ประการ 1. ซื้อมาราคาแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง แล้วเวลาขายก็ขายราคาถูกกว่าที่ซื้อมา เป็นเพราะซื้อผิดราคา( คิดมูลค่าที่แท้จริงของ บริษัทผิด) , เกิดจากความกลัวเลยรีบขายหุ้นก่อนที่ราคาจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของมัน ( เกิดจากการไม่เข้าใจคำว่านายตลาดเป็นอย่างไร และทำตัวเหมือนหนูเลมมิ้งวิ่งแห่กันไปตาย) 2. ผลการดำเนินงานของบริษัท ทำได้ไม่ดี หรือ บริษัทที่เลือกมาไม่มีคุณภาพดีพอ, ไม่เก่ง, ไม่มีสิ่งป้องกันตัวเอง, ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน, มีการแข่งขันกันลุนแรง ทำให้ราคาเป็นไปตามผลการดำเนินงาน ( พื้นฐานอุตสาหกรรม และ พื้นฐานบริษัท ไม่ดี ) 3. ปัจจัยพื้นฐานทั้งภายใน หรือ ภายนอกเปลี่ยนไป ในทางที่แย่ลง ( อยู่ในเงื่อนไขที่ จะถือระยะยาวต่อไปไม่ได้ไม่ได้ )
โดย
yuth-sri
พฤหัสฯ. เม.ย. 17, 2008 2:03 pm
0
0
นิดๆหน่อยๆครับ
หลักๆในการลงทุนที่ผมจำเซียนมา ครับ 1. เป็นสิ่งที่เรารู้เป็นอย่างดี 2. บริษัทอยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตดีในปัจจุบันและ อนาคต 3.บริษัทมีการเติบโตดูจากข้อมูลในอดีต 4.ผู้บริหารมีความสามารถ และมีความซื้อสัตย์ 5.ราคา Magin off safety ( สรุปผมว่า จะต้องรู้ทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ )
โดย
yuth-sri
ศุกร์ มี.ค. 28, 2008 3:15 pm
0
0
ผมกำลังหัดมองอะไรให้มันไกลๆนะครับ
Mega Trend โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 8 เมษายน 2550 การลงทุนในหุ้นนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ เรารู้ว่าอนาคตบริษัทจะไปทางไหน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ บริษัทจะเติบโตขึ้นมากหรือบริษัทจะอยู่อย่างเดิมหรือบริษัทจะเล็กลงเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป แน่นอน เราอยากลงทุนในบริษัทที่โตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างยาวนาน เพราะนั่นคือหุ้นที่จะทำเงินให้เรามหาศาล การที่บริษัทจะโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างยาวนานได้นั้น อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่บริษัททำอยู่จะต้องเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างยาวนานด้วย และนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า Mega Trend หรือ แนวโน้มใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยใน 10-20 ปีขึ้นไป การมองหา Mega Trend นั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะดูจากเรื่องของโครงสร้างประชากรซึ่งจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและการใช้จ่ายของคนในสังคมในอนาคต การดูโครงสร้างประชากรเป็นการวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูงมากเพราะอายุของคนนั้นเดินตามเวลาที่แน่นอน นั่นคือ เวลาผ่านไป 10 ปี คนเราก็แก่ขึ้น 10 ปี และเรารู้ว่าคนที่มีอายุมากขึ้นนั้น เขามักจะต้องใช้จ่ายในด้านใดมากขึ้น นอกจากเรื่องของประชากรแล้ว เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่มีผลทำให้แนวโน้มต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนั้นมักจะเกิดขึ้นเป็นยุค ๆ และกินเวลายาวพอสมควร พูดให้ชัดขึ้นก็คือ โลกเราผ่านมาหลายยุคตั้งแต่ยุคของการเฟื่องฟูของเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม ยุคบริการ และสุดท้ายก็คือยุคของข้อมูลข่าวสารและความรู้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านของสังคมอย่างใหญ่หลวง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ Globalization หรือการที่โลกกลายเป็นสังคมที่คนทำอะไรหรือคิดอะไรเหมือนกันไปหมด สำหรับประเทศไทย ผมคิดว่า Mega Trend ที่จะเกิดขึ้นนั้น ก็ไม่แตกต่างจากประเทศหลักอื่น ๆ ในโลกซึ่งผมจะพูดแบบย่อ ๆ เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ดังต่อไปนี้ แนวโน้มแรกที่ค่อนข้างชัดเจนมากก็คือ คนไทยจะมีอายุมากขึ้นในขณะที่คนเกิดใหม่จะน้อยลงซึ่งทำให้อายุเฉลี่ยของคนจะสูงขึ้น นี่จะก่อให้เกิดความต้องการในด้านของสุขภาพและการรักษาพยาบาลที่มากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจโรงพยาบาลและฟิตเนสน่าจะขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ การที่คนไทยมีอายุมากขึ้นก็จะต้องมีรายได้มากขึ้น มีการใช้จ่ายและเก็บเงินมากขึ้นเพื่อเอาไว้ใช้ในยามเกษียณ ดังนั้น ธุรกิจการเงินเช่นการให้บริการการลงทุนก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจการให้กู้เงินและบริการทางการเงินส่วนบุคคลทั้งหลาย การที่คนไทยมีลูกน้อยลงและครอบครัวเล็กลงทำให้ธุรกิจทั้งหลายที่ให้บริการแบบด่วนและสะดวกประเภท สำเร็จรูป เช่นอาหารสำเร็จรูปและภัตตาคารประเภทจานด่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการที่มีสมาชิกน้อยทำให้การทำอาหารกินเองมีความคุ้มค่าน้อยลง นอกจากนั้น บ้านที่อยู่อาศัยก็น่าจะมีแนวโน้มที่มีขนาดเล็กลงด้วย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือราคาที่ถูกลงมากทำให้แนวโน้มในการใช้ไอทีจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย และเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการใช้ชีวิตในสมัยใหม่นั้นจะขาดคอมพิวเตอร์ได้ยากขึ้นทุกที ทำให้การเติบโตของธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รวมถึงอินเตอร์เน็ตจะเติบโตไปอีกนานมาก การที่เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในโลกมีการขยายตัวต่อเนื่องยาวนาน ประกอบกับการลดลงของค่าใช้จ่ายในการเดินทางทำให้เกิดการขยายตัวของการท่องเที่ยวอย่างใหญ่หลวงและเป็น Mega Trend ที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง เมืองไทยในฐานะที่เป็นประเทศเก่าแก่มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจจะได้รับอานิสงส์มาก ดังนั้น ธุรกิจการท่องเที่ยว เฉพาะอย่างยิ่ง โรงแรม จะได้รับผลดีและจะเติบโตต่อไปได้อีกนาน เช่นเดียวกัน คนไทยเองก็มีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเศรษฐกิจก็จะยังคงเติบโตต่อไป ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวกับความบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง ภาพยนตร์ เพลง หนังสือ สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาสูงจะได้รับสัดส่วนในการใช้จ่ายมากขึ้นแม้ว่าการเติบโตจะไม่เร็วนักเพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของคนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ สุดท้ายที่เป็นแนวโน้มที่เห็นได้ชัดมากก็คือ พฤติกรรมของการจับจ่ายสินค้า แนวโน้มก็คือ ผู้บริโภคต้องการช้อบหรือเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่รวมสินค้าจำนวนมากไว้ในที่เดียวกันหรือเรียกว่า One Stop Service นี่คือพฤติกรรมที่คนต้องการความสะดวกและลดเวลาในการเดินทาง ซึ่งธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ก็คือธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของ Mega Trend ที่ผมพอจะนึกและเขียนได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องไม่เข้าใจผิดว่าหุ้นทุกตัวที่อยู่ในธุรกิจที่จะเป็น Mega Trend จะต้องดี บริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่เป็น Mega Trend ที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมจะต้องเป็นบริษัทที่มีความสามารถสูง หรือมีกำแพงที่จะป้องกันคู่แข่งที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของตนอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น ดังนั้น ในการวิเคราะห์หุ้นเพื่อที่จะหา Super Stock หรือหุ้นสุดยอดที่จะทำกำไรได้ต่อเนื่องยาวนาน ผมจึงอยากแนะนำว่า เราควรมองหาอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่จะเป็น Mega Trend เมื่อพบแล้วเรายังต้องหาผู้ชนะโดยเฉพาะที่มีความสามารถเหนือคู่แข่งมาก เมื่อได้แล้ว เรายังต้องดูด้วยว่าราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป ถ้าทุกองค์ประกอบครบ เราก็ซื้อแล้วเก็บไว้นานมากโดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไร ผลตอบแทนที่ได้นั้นจะสูงจนแทบไม่น่าเชื่อ Super Stock ที่โดดเด่นนั้น น่าจะให้ผลตอบแทนทบต้นได้ถึง 15-20% ต่อปี ติดต่อกันเป็นเวลานานนับ 10 ปี
โดย
yuth-sri
พุธ มี.ค. 26, 2008 10:20 am
0
0
เริ่มจากกลุ่มโรงพยาบาลเลยนะครับ
ข้อมูลที่ผมได้มาครับ ภาวะอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชน ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ณ สิ้นปี 2547 ประเทศไทยมีโรงพยาบาลทั้งหมดจำนวน 1,334 แห่ง จำนวนเตียง 143,090 เตียง แบ่งออกเป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลจำนวน 980 แห่ง จำนวนเตียง 106,902 เตียง และโรงพยาบาลเอกชนจำนวน 354 แห่ง จำนวนเตียง 36,188 เตียง โดยมีโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในกรุงเทพ จำนวน 103 แห่ง จำนวนเตียง 15,434 เตียง โรงพยาบาลทั้งหมด โรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาล เตียง โรงพยาบาล เตียง โรงพยาบาล เตียง กรุงเทพ 145 31,973 42 16,539 103 15,434 ภาคกลาง 372 40,044 252 29,914 120 10,130 ภาคเหนือ 261 24,579 209 19,652 52 4,927 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 347 29,179 305 25,980 42 3,199 ภาคใต้ 209 17,315 172 14,817 37 2,498 รวมทั้งหมด 1,334 143,090 980 106,902 354 36,188 ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
โดย
yuth-sri
พุธ มี.ค. 26, 2008 10:10 am
0
0
ข้อมูล WG เล็กๆน้อยๆ
- จ่ายปันผล 1 ครั้งต่อปี - % จ่ายปันผลต่อกำไร จากปี 45-50 = เฉลี่ย ประมาณ 42.49% (ปี50จ่าย 36.73%) - ไม่มีการเพิ่มทุน จากปี 45-50 ไม่มีการเพิ่มทุน - ROE ของปี50=12.14%(เฉลี่ย 6 ปี =8.69%) - หนี้สิน ต่อ ผู้ถือหุ้นต่ำ(D/E) =0.2%(เฉลี่ย6ปี=0.21%) - การเติบโตของกำไรสุทธิจากปี 45-50 = 88.66 %(เฉลี่ย 14.78%) - การเติบโตของยอดขายจากปี 45-50 = 20.82 %(เฉลี่ย 3.47%) ****ผมว่าถ้าจ่ายปันผลสัก 2 ครังต่อปี จะเป็นหุ้นห่างทองคำเลยนะครับ****
โดย
yuth-sri
ศุกร์ มี.ค. 21, 2008 11:15 am
0
0
ธุรกิจประเภทโรงพยาบาลจะมีกำแพงที่แข็งแรงดีมั้ยครับ
อย่างเช่น BH SCC GC อยู่ในข่ายมั้ยครับ
โดย
yuth-sri
ศุกร์ มี.ค. 21, 2008 10:21 am
0
0
กำแพงก็คือสิ่งต่างๆ ทำนองนี้ครับ
- เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อผู้บริโภค - ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และ ต้นทุนต่ำ - เป็นผู้นำตลาดและไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง - สามารถขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้อย่างอิสระ - คู่แข่งหน้าใหม่เกิดได้ยาก - ภาวะการแข่งขันน้อย( ไม่ตัดราคากัน ) - ไม่มีสินค้าทดแทน หรือ ผลิตสินค้าที่มีความแตกต่างจากผู้อื่น - มีอำนาจต่อรองกับลูกค้า และ ผู้ขายวัตถุดิบ ได้มาก
โดย
yuth-sri
ศุกร์ มี.ค. 21, 2008 10:18 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
yuth-sri
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร มี.ค. 18, 2008 8:09 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ส.ค. 18, 2008 8:12 am
โพสต์ทั้งหมด:
35 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว