ช่วยด้วยครับ โดนเอาเปรียบ จากโบรคเกอร์ พูดอ้อมไ่ปอ้อมมา ระบุไปเลยครับหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร แบบนี้จะชัดเจนกว่า โดยที่ไม่้ต้องเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาบอกเพราะเดี๋ยวเข้าข่ายหมิ่น ส่วนถ้ามั่นใจว่าถูกจริงก็ร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเลยครับ แล้วดำเนินการเข้าสู่อนุญาโตตุลาการเลยครับหาคนไกล่เกลี่ย โดย teamb เสาร์ ม.ค. 10, 2009 2:47 pm

อยากทราบความรู้สึกสมัย 200 จุดครับ สมัยก่อนข้อมูลข่าวสารมันยังไม่รวดเร็วเหมือนตอนนี้ครับผมว่า อีกอย่างบ้านเราก็ไม่ได้อ่อนแออะไรเหมือนตอนนั้นและที่สำคัญผมว่า ตอนนี้ คนรวยมีเงินเก็บเยอะขึ้นกว่าสมัยก่อนถ้าหลุดไป 300 กว่าๆก็ คงโดนคนกลุ่มเล็กๆที่รวยไล่เก็บแล้วล่ะครับ ไม่เหมือนตอนนั้นที่ถึงมีเงิน ก็ไม่อยากซื้อเพราะมันมีสิทธิ์เจ๊งบ๊งได้ = =" โดย teamb เสาร์ ต.ค. 11, 2008 1:29 pm

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย จำปี 40 ได้ป่ะครับ จำได้สิครับ แต่น่าจะระบุว่าส่วนไหนหรืออย่างไรด้วยนะครับ ไม่งั้นผมก็ไม่เข้าใจ ที่คุณจะสื่ออยู่ดี เพราะสถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันมากนะครับ ในปี 40 เกิดจากตัวของเราเองแต่ตอนนี้เป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยการเมือง นะครับ และในขณะนั้นแบงก์ชาติก็ถูกอำนาจทางการเมืองเข้าครอบงำแตกต่าง กับตอนนี้ที่แบงก์กับคลังอยู่ในสภาพที่คานอำนาจกันอย่างชัดเจน สรุป รบกวนชี้ประเด็น ปี 40 ให้ทีละกันนะครับผมก็อยากรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องกับ สถานการณ์ตอนนี้อย่างไร ปล. การดูแลตลาดทุนให้มีเสถียรภาพก็อนุมานได้ว่าเป็นการทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพได้นะครับ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าหน้าที่แบงก์ชาติที่ดีต้องมองการณ์ไกล ไม่ใช่ทำให้วูบวาบแล้วก็ส่งผลเสียในระยะยาว โดย teamb เสาร์ ต.ค. 11, 2008 12:19 pm

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย จริงๆผมคิดว่าเค้าคงมีเหตุผลของเค้าแหละครับ แต่ละคนในนั้นก็ระดับต้นๆของประเทศทั้งนั้น ไม่ใช่ความคิดของผู้ว่าคนเดียวหรอกครับ สรุปคือผมคิดว่าเค้าเก่งกว่าตัวผมแน่นอนและเค้ามีความเก่งเฉพาะทางอีก + กับแบงก์ชาติมักจะมองการณ์ไกลและระยะยาวมากกว่าจะกระตุ้นในระยะสั้น ส่วนอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว หวนมาถึงตอนนี้ผมคิดว่าหากไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อตอนนู้น ตอนนี้อาจจะเลือดสาดกันมากกว่านี้เยอะครับ และมาถึงตอนนี้ถึงแบงก์ชาติจะทำตัวสวนทางโลกไปหน่อยแต่ผมก็เห็นว่าอาจจะเป็นการดีต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าการลดดอกเบี้ยแล้วฝรั่งถล่มขายอีกรอบครับ เนื่องด้วยเค้ายังมีเงินที่เข้ามาก่อนปี 50 ที่ยังไม่ได้เอาออกอีก แสนกว่าล้าน หากเอาก้อนนี้อออกไปอีกไม่รู้รายย่อยจะเลือดสาดอีกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นผลดีในระยะยาวมากกว่าสำหรับการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม โดย teamb ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 1:00 am

ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว ผมว่า ดร.นิเวศน์ แกเตรียมกระสุนแล้วล่ะครับ อยู่ที่ว่าจะยิงออกมาตอนไหนเท่านั้น โดย teamb พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 1:12 pm

งง ๆ กับ ตลาดสินค้าส่งออกทะเลตอนนี้ เท่าที่เคยเห็น เค้าประกันความเสี่ยงค่าเงินก็จริง แต่ไม่ได้ทำกันแบบข้ามปีนะคะ แค่ 3 เดือนก็นานไปแล้ว ทำให้ค่าเงินที่ประกันนั้นราคาแทบจะเท่ากับราคาตลาด diff ไม่น่าเกิน 2 บาทด้วยซ้ำ ส่วนนึงเรามองว่า เป็นการค้าทั่วไปที่เกิดขึ้นรายวัน การทำประกันค่าเงินจึงไม่ได้ทำกันเนิ่นนานนัก เต็มที่ก็เท่ากับ credit term เราเคยเห็นซื้อ forward rate แค่เดือนเดียวเองค่ะ ดังนั้น ถ้าค่าเงินอ่อนจริง ยังไงก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้า สินค้าของเราซื้อกันทีละ lot โตๆ ทำสัญญากันเป็นปี อันนี้อาจทำประกันค่าเงินโดย fix rate ไว้ที่นึงนานๆก็ได้ คิดว่า nature ของธุรกิจน่าจะกำหนดการตัดสินใจของผู้บริหารในการทำประกันค่าเงินค่ะ นั่นไงครับ การซื้อขายของ มหาชน ส่งกันไปทีเรือเป็นลำ ยังไงก็ Lot ใหญ่แน่ครับ คิดไม่ออกว่าจะส่งกันทีละน้อยๆได้ในกรณีไหนบ้าง อีกอย่างก็อย่างที่ผมว่า และที่พี่ chatchai ตั้งข้อสงสัยคือเมื่อเทียบกับค่าเงิน $ แล้วเงินบาทอาจจะอ่อนลงจริง แต่เมื่อเทียบกับค่าเงิน Euro หรือ Gbp ล่ะครับ? ดูนี่ครับแล้วจะเคลียร์ในข้อสงสัยของผม http://finance.yahoo.com/currency/convert?amt=1&from=EUR&to=THB&submit=Convert อย่างที่พี่ฉัตรชัยบอก (อ้อมๆมั้งนะ) อย่าไปคิดว่าบาทอ่อนแต่เงิน $ มันแข็งตะหาก ถ้าไม่ใช่ผมก็ขอโทษละกันนะครับเพราะผมตีความของผมเอง 555+ ปล.สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะวิเคราะห์ก่อนเรื่องค่าเงินคือ ตลาดหลัก ของบริษัทที่เราเล็งไว้มากกว่าครับว่าอยู่ที่ไหนหลังจากนั้นค่อยมาวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนกันอีกที โดย teamb เสาร์ ก.ย. 13, 2008 9:04 pm

งง ๆ กับ ตลาดสินค้าส่งออกทะเลตอนนี้ ท่านที่เอาค่าเงินมาร่วมการวิเคราะห์ ผมอยากถามว่าบริษัทได้ประโยชน์จริงหรือ? ตลาดที่บริษัทส่งออกไปนั้นอยู่ โซนไหนแน่ครับ หากส่งไป USA ก็คงจะเป็นอย่างที่พูด แต่หากตลาดหลักเป็นโซนยุโรปล่ะครับ? ประโยชน์จากค่าเงิน อันนี้ผมอยากตั้งข้อสงสัยจริงๆว่าการซื้อขายของบริษัทมหาชนใหญ่ๆจะไม่ทำการประกันค่าเงินไว้เหรอครับ? และหากเค้าไม่ทำประกันค่าเงินไว้จริงๆมันคือ "ความเสี่ยง" มากกว่า "ผลประโยชน์" รึเปล่าครับ? ปล.แค่ข้อสงสัยเฉยๆนะครับ โดย teamb เสาร์ ก.ย. 13, 2008 4:25 am

เข้าไปอ่านpostในห้องสวนลุมที่พันทิพ แล้วแปลกใจ คือ หลายคนแม้กระทั่งตัวผมเอง ยังนิยาม "VI" ไม่เคลียร์เลยครับ อีกอย่างผมว่าคนที่ลงทุนตามวิถี VI จริงๆน่าจะมีไม่ถึง 1% ในตลาด แน่นอน ไม่นับอาซิ้มอาแปะที่มีเงินเย็นแล้วซื้อทิ้งไว้นะครับ โดย teamb อังคาร ก.ย. 09, 2008 5:20 pm