หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
SSL
Joined: ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:21 pm
54
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - SSL
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
++ นักลงทุน VI ควรระวังฟองสบู่แตกอีกรอบหรือไม่ ++
คุณอะไรดีละ มองว่าการลงของเศรษฐกิจรอบนี้จะหนักกว่าเดิม เหมือนยุค great depression มั๊ยครับ
โดย
SSL
เสาร์ ม.ค. 23, 2010 10:52 am
0
0
พบอีกหนึ่งสุดยอดVI กับ IH..คเชนทร์ moneytalkdaily พฤหัส24ธค
นานๆ จะมีคนเก่งมาแชร์ประสบการ์ณให้เราฟังกัน อยากให้ท่านผู้จัดรายการลดมุขลงนิดนึ่งก็จะดีมากๆ จะได้ถามกันเนื้อๆหน่อย แบบว่า สาระ/มุข สัก 85/15 ก็จะดีมาก ยิ่งปีหน้ายิ่งเวลาเหลือน้อยลงเยอะ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
โดย
SSL
พุธ ธ.ค. 23, 2009 1:49 pm
0
0
อย่าขาดทุน!!!
Warren Buffet likes to say that the first rule of investing is "Don't lose money," and the second rule is, "Never forget the first rule." I too believe that avoiding loss should be the primary goal of every investor. This does not mean that investors should never incur the risk of any loss at all. Rather "don't lose money" means that over several years an investment portfolio should not be exposed to appreciable loss of principal. จากหนังสือ Margin of Safety โดย Seth A. Klarman
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ค. 10, 2009 6:27 pm
0
0
หุ้นรัฐวิสาหกิจ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เข้าใจว่าราคาประเมินที่ดินแถวบริเวณรอบๆสุวรรณภูมิปรับตัวลงมา 40-50% จำได้ว่าอ่านเจอในข่าวประมาณปลายปีที่แล้ว ลอง verify ข้อมูลกันดูอีกทีนะครับ
โดย
SSL
พุธ ก.พ. 11, 2009 2:04 pm
0
0
cpall
กลุมค้าปลีกอาจไม่ใช่ที่กำบังของนักลงทุนก็ได้หรือไม่? บางสำนักก็ว่ายอดการว่างงานจะเป็น 2 ล้านคนปีหน้า ราคาสินค้าเกษตรก็อยู่ในช่วงขาลง หรือว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ราคาหุ้นกลุมนี้ปรับตัวลงมา? ส.อ.ท.เตือนส่งออกปีหน้า เจอศึกหนักแน่ ชี้ 5 กลุ่มเสี่ยง สิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มลดการผลิต-ลดโอที เตรียมจ่อคิวปิดกิจการเพียบ คาดตกงานอีก 7 แสนอัตรา และอาจทะลุถึง 1 ล้านคนในปีหน้า เผยราคาสินค้าเกษตรแนวโน้มจะปรับลดลงต่อเนื่องอีก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ยางพารา กระทุ้งก้นรัฐบาลชาย หยุดสร้างภาพการเมือง-เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน วันนี้ ( 27 ต.ค.) นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกสินค้าไทยปีหน้าจะต้องเผชิญการแข่งขันสูงและรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นต้นไป ผลพวงจากกำลังซื้อประเทศใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ลดลงมาก ทำให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าพยายามแข่งขันด้านราคา เนื่องจากคุณภาพสินค้าเป็นที่ทราบอยู่แล้ว ดังนั้น ภาครัฐควรเอาใจใส่อย่างจริงจัง และตั้งเป้าหมายไว้ในใจว่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงอาจเป็น 5-10% เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะหากสินค้าส่งออกได้ก็จะส่งผลดีต่อประเทศ การจะหาตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ง่ายต้องใช้เวลา ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ภาครัฐควรออกมาประกาศการประกันเงินฝากให้กับประชาชน แม้สถาบันการเงินไทยจะมีความแข็งแกร่งเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ผู้ฝากเงินสบายใจ นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในปี 2552 ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงในเรื่องปัญหาแรงงานไทยที่จะมีการตกงานเพิ่มขึ้น จากที่มีการประเมินอย่างคร่าวๆ ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2552 จะมีแรงงานไทยตกงานประมาณ 6-7 แสนคน เบื้องต้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะส่งผลทำให้แรงงานตกงานเพิ่มขึ้นนั้น ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า การ์เม็ก เป็นต้น โดยจากการตรวจสอบข้อมูลทั่วประเทศพบว่าบางอุตสาหกรรรม เช่น เสื้อผ้า ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก ลดกำลังการผลิตลง 20-30% จากปัญหาคำสั่งซื้อที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานในปีหน้าที่คาดว่าจะลดลง 1 ล้านคน รวมทั้งกระทบแรงงานใหม่ที่จะจบการศึกษาเดือนมีนาคมประมาณ 700,000 คน ทำให้หางานทำยากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเงินตึงตัวในต่างจังหวัด เนื่องจากธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจที่ไม่มีคำสั่งซื้อ ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกในปี 2552 จะชะลอตามเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2552 อาจจะอยู่ที่ 3.8-4% ส่วนปีนี้คาดว่าจะอยู่ 4.5% "สาเหตุหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องมีการปิดกิจการ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นนายทุนรายใหญ่ที่จะลงทุนในประเทศไทย หลังจากที่เกิดวิกฤติสถาบันการเงินของประเทศดังกล่าวเกิดไม่มั่นคง รับสถานการณ์ไม่ไหวจำเป็นต้องล้มละลายตัวไป" ดังนั้นภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะส่งผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเห็นภาพที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เชื่อว่าปีหน้าอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปี 2551 มากนัก หรืออาจแย่ลงได้ เพราะนับตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เจอปัญหาหลายอย่าง และมีการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ 4.5% ถือว่าอัตราเติบโตไม่ขยับไปมากกว่านี้แล้ว เมื่อเทียบจากภูมิภาคเอเชีย อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 7% นายธนิต กล่าวต่อว่า ทิศทางปีหน้า จะมี 3 ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาทิ 1.ผลกระทบการเงินของโลกที่ชะลอตัวลง 2.สถานการณ์ปัญหาการเมืองที่มีความแตกแยก และไม่มีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภายในประเทศ 3.ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น ขณะที่ตนเชื่อว่าปัจจัยภายนอกคงไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่เป็นห่วงปัจจัยภายในประเทศมากกว่าที่ลุกลามก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีก 1-2 เรื่องในปีหน้า น่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว มาจากการชะลอตัวการบริโภคของประชาชนเอง และวิกฤติเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง และจะลุกลามไปแถบยุโรปต่อไป ล่าสุดปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกปรับลดลงประมาณ 5-10% แต่เมื่อเทียบของประเทศไทยเองปีนี้ปรับลดลงประมาณ 15-20% ถือได้ว่ายอดต่ำสุดในรอบ 20 ปี และคาดว่าปีหน้าน่าจะปรับลดลงอีกแน่ ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรแนวโน้มจะปรับลดลงต่อเนื่องอีก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ยางพารา เป็นต้น ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับข้อมูลล่าสุดของตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ว่างงาน 4.5 แสนคนหรือคิดเป็น 1.2% ของกำลังแรงงานทั่วประเทศ โดยกรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานสูงสุด 1.9% รองลงมาคือภาคกลาง 1.4% ภาคใต้ 1.2% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1% ภาคเหนือ 0.9% ทั้งนี้ตัวเลขว่างงาน 4.5 แสนคน แบ่งเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.9 แสนคน และเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 2.6 แสนคน ประกอบด้วยว่างงานจากภาคการบริการ 1.3 แสนคน ภาคการผลิต 9 หมื่นคน และภาคเกษตรกร 4 หมื่นคน หากแบ่งเป็นระดับการศึกษาพบว่าระดับอุดมศึกษาว่างงานสูงสุด 1.3 แสนคน รองลงมาเป็นผู้มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1.2 แสนคน มัธยมศึกษาตอนต้น 1.1 แสนคน ประถมศึกษา 6 หมื่นคน และผู้ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 3 หมื่นคน ปัจจุบันผู้มีงานทำมีจำนวน 37.89 ล้านคน แบ่งเป็น ภาคเกษตรกรรม 15.49 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม 22.40 ล้านคน ซึ่งเป็นห่วงภาคการผลิตมีจำนวน 5.54 ล้านคน ลดลง 2.9 แสนคน นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท. สายงานแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้ทาง ส.อ.ท.กำลังรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกว่าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินครั้งนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งล่าสุดบางอุตสาหกรรมต้องปรับตัวด้วยการให้พนักงานหยุดเสาร์-อาทิตย์ และไม่มีค่าล่วงเวลา (โอที) เหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้สอดรับกับการผลิตที่ลดลงไป 50-60% และจะเริ่มเห็นชัดในปีหน้า โดยคาดว่าปีหน้าอาจจะต้องมีการปรับลดจำนวนพนักงานลงไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน จากจำนวนแรงงานที่เป็นสมาชิกทั้งหมด 6-7 ล้านคน และหากตลาดหดตัวหนักและมีผลกระทบต่อการส่งออกที่ลดลงก็น่าเป็นห่วงแรงงานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด "ขณะนี้มีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่แจ้งการส่งออกขยายตัวลดลงในปี 2552 เช่น กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และเซรามิกที่ยอดส่งออกลดลงไปแล้ว 50% กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ลดไปแล้ว 80% เมื่อเทียบกับต้นปี คงต้องรอดูว่ายอดส่งออกที่ลดลงจะไปหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบหนัก เพราะขณะนี้เริ่มมีการชะลอการผลิตไปบ้างแล้ว" นายทวีกิจกล่าว ทั้งนี้ แรงซื้อในช่วงไตรมาส 4 ปกติจะมีมากเพื่อรับเทศกาลปีใหม่ แต่จากการสอบถามห้างสรรพสินค้าต่างๆ พบว่าแรงซื้อช่วงนี้ยังไม่เพิ่มขึ้น โดยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงขณะนี้คาดว่าจะช่วยทำให้แรงซื้อของประชาชนไม่ลดต่ำลงไปมากกว่านี้อีก และยังมีส่วนกดดันให้ราคาสินค้าหลายรายการอาจต้องปรับลดราคาลง รวมถึงมีส่วนทำให้เกิดการแข่งขันกันเพื่อแย่งแรงซื้อที่มีอยู่จำกัด ก่อนหน้านี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) หน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า วิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นจะทำให้มีคนตกงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นภายในสิ้นปี 2552 เป็นจำนวนทั้งสิ้นราว 210 ล้านคน นับเป็นอัตราการว่างงานทั่วโลกสูงที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราการว่างงานทั่วโลกดังกล่าวเป็นการรวมเอาตัวเลขคนตกงานในขณะนี้จนถึงสิ้นปีหน้า ซึ่งจะมีจำนวนอย่างน้อยกว่า 20 ล้านคน เอาไว้ด้วย ทำให้อัตรารวมการว่างงานทั่วโลกมีอัตราพุ่งสูงกว่าระดับ 200 ล้านคน เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
โดย
SSL
พุธ ต.ค. 29, 2008 2:09 pm
0
0
จับตาเอไอเอทิ้งหุ้น
ผู้บริหารให้ข่าวขัดแย้งกันเอง แปลกดีครับ ว่าแต่มีใครทราบมั๊ยครับว่า AIA-APEX กับ AIA-TIGER เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในไทย หรือ ต่างประเทศ EGCO ยืนยัน AIA ยังถือหุ้น 1.5% ไม่ได้ขายออกมา/ยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน IQ ข่าวหุ้น 19/09/2008 11:50:05 นายศักดา ศรีสังคม รองกรรมผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการเงิน บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ บริษัท เอไอเอ ยังถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 1.5% เท่าเดิม ไม่ได้มีการเทขายหุ้นออกมาอย่างที่เป็๋นข่าว โดยบริษัทได้สอบถามไปยังเอไอเอแล้ว ก็ได้รับคำยืนยันว่ายังถือหุ้นเท่าเดิม "โบรกเกอร์มีการนำเสนอบทวิจัยหุ้นที่บริษัท เอไอเอ ถือหุ้นอยู่ และหนึ่งในนั้นก็มี EGCO ทำให้เรายย่อยเกิดการ PaniC และทำให้ราคาหุ้นเราลดลงอย่างรวดเร็ว และรายย่อยก็สอบถามข้อมูลมาที่บริษัทจำนวนมาก และเราก็เช็คไปทางเอไอเอแล้ว ก็ยืนยันว่าไม่ได้ขายหุ้นเราออกมา ยังคงถือเท่าเดิมที่ 1.5%"นายศักดา กล่าวกับ"อินโฟเควสท์" แต่ยอมรับว่าราคาหุ้น EGCO ปรับตัวลงมากกว่าหุ้นโรงไฟฟ้าอื่น เนื่องจากธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทเข้าสู่ช่วงขาลงตามสัญญาค่าไฟอยู่แล้ว และเป็นไปตามแผนงานปกติ ซึ่งบริษัทเองก็พยายมจะหาโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เพื่อมาเสริมกำลังการผลิตที่มีอยู่ โดยปัจจุบันยังคงเน้นการลงทุนในพื้นที่แถบอาเซียนเช่น ลาว กัมพูชา เนื่องจาก ทั้ง 2 ประเทศมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน แม้จะยอมรับว่ามีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ ราคาหุ้น EGCO เช้านี้เคลื่อนไหวที่ 63.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+0.79%) ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดรวม โดยตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงมาก วานนี้ราคาปรับลงไปต่ำสุดที่ 60.00 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 12:31 pm
0
0
จับตาเอไอเอทิ้งหุ้น
จากข่าว AIA มีการทิ้งหุ้นออกมาแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขอตั้งข้อสังเกตุ - ถ้าไม่เป็นความจริง ทาง AIA น่าจะออกมาปฏิเสธข่าว - เอ หรือว่าที่ถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็น AMERICAN INTERNATION ASSURANCE COMPANY,LIMITED-APEX หรือ AMERICAN INTERNATION ASSURANCE COMPANY,LIMITED-TIGER เป็น entity ของ AIA ที่ต่างประเทศ ซึ่งเวลาขายหุ้นแล้วนำเงินออกไม่ต้องผ่าน คปภ ถ้าเป็นกรณีหลังก็ :roll: EGCOตกน่าเกลียดเอไอเอล้างพอร์ต:ตลึงราคาต่ำบุ๊ค21บาท-พื้นฐานปึ๊กการันตีปันผล7% ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ช่วง 3 วันที่ผ่านมา(16-18ก.ย.) ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างแรงจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากความกังวลเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจอเมริกาไม่ดีและสถาบันการเงินประสบปัญหาขาดทุนโดยวันที่ 16 ก.ย.51 หุ้น EGCO ปิดตลาดที่ราคา 66 บาทลดลง 4 บาท หรือคิดเป็น 5.71% วันที่ 17 กันยายน 2551 ปิดตลาดที่ราคา 64 บาทลดลง 2 บาทหรือคิดเป็น 3.03% และวานนี้(18ก.ย.)ปิดตลาด 63 บาท ลดลง 1 บาทหรือคิดเป็น 1.56% นายวิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน)หรือEGCO กล่าวกับ"ข่าวหุ้นธุรกิจ"ว่า ราคาหุ้น EGCO ปรับตัวลดลงมาแรงช่วง 3 วันที่ผ่านมาน่าจะเป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจอเมริกาไม่ดี และสถาบันการเงินมีปัญหาขาดทุนและขาดสภาพคล่องทำให้มีแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่มาจากอเมริกา เพื่อนำเงินกลับไปช่วยฟื้นฟูกิจการบริษัทแม่ที่ประสบปัญหาด้านการเงิน ส่งผลให้หุ้น EGCO รวมถึงหุ้นอีกหลายบริษัทในตลาดหุ้นได้รับผลกระทบมีแรงเทขายออกมาจำนวนมาก จนส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างแรง ทั้งนี้เมื่อวันพุธที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา AIA ซึ่งเป็นถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 1% คือ AMERICAN INTERNATION ASSURANCE COMPANY,LIMITED-APEX ถือหุ้นอยู่ 4,306,300 หุ้น หรือคิดเป็น 0.82% และ AMERICAN INTERNATION ASSURANCE COMPANY,LIMITED-TIGER ถือหุ้นอยู่ 3,960,000 หุ้น หรือ คิดเป็น 0.75% ได้เทขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดออกมา เพื่อนำเงินทุนกลับไปช่วยบริษัทแม่ คือ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป(AIG)ในอเมริกาที่ประสบปัญหาทางด้านเงินอยู่ขณะนี้ ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้น EGCO วันดังกล่าว(17ก.ย.)ปรับลดลง 2 บาทหรือคิดเป็น 3.03% ปิดการซื้อขายที่ราคา 64 บาท และวานนี้(18ก.ย.)มีแรงเทขายตามออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคา EGCO วานนี้ปรับตัวลงต่ออีก 1 บาทหรือคิดเป็น 1.56%ปิดการซื้อขายราคา 63 บาท "ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงช่วงนี้ บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้ามีอะไรรุนแรงก็เตรียมหามาตรการเข้ามาแก้ไขทันทีอย่างแผนการซื้อหุ้นคืน" สำหรับแผนการซื้อหุ้นคืนขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา โดยบริษัทจะพยายามเร่งการศึกษาให้เร็วขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแรงและราคาเห็นว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในกระดาน 63 บาทต่ำกว่าราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี(bookvalue)ที่อยู่ระดับ 84.03 บาท(สิ้นไตรมาส 2/51)หรือต่ำกว่าบุ๊ค 21 บาท และคาดว่าจะสรุปแผนการซื้อหุ้นคืนได้ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้และเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติเดือนพฤศจิกายน 2551 ทั้งนี้บริษัทมีเงินสดหมุนเวียนอยู่ในบริษัทประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท นายวิศิษฎ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทยังยืนยันจ่ายเงินปันผลมากกว่าปีก่อนที่มีการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4.75บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี โดยงวดครึ่งปีแรกปีนี้บริษัทมีการอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 2.50 บาท/หุ้น แม้ว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ และกำไรลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดเข้ามาประมาณ4,000-5,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้และมีความสามารถในการกู้เงินไปลงทุนได้สูง ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ ขณะเดียวกัน บริษัทได้เตรียมจัดทำแผนการลงทุน 5 ปีแล้วเพื่อรองรับการเติบโตต่อเนื่องในอนาคตโดยแผนการลงทุนในอนาคตจะเน้นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และพม่า รวมถึงฟิลิปปินส์ หลังจากแนวโน้มการประมูลงานในประเทศเริ่มจำกัด โดยเริ่มจากปีนี้ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเป็น 30% จากเดิมอยู่ที่ 20% ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ในโรงไฟฟ้าถ่านหิน NGHI SON 2 กำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ที่ประเทศเวียดนาม คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะทราบผล และรอผลการเข้าซื้อหุ้น 50% โรงไฟฟ้าถ่านหินสีหนุวิลล์ กำลังผลิต 220 เมกะวัตต์ ในประเทศกัมพูชา นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศลาว จำนวน 5 แห่ง คือน้ำเทิน 1,น้ำงึม 3, น้ำเงี้ยบ, น้ำอู และหงสา เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นไป 25-30% รวมทั้งทิศทางและแผนการลงทุนในประเทศ บริษัทจะให้ความสำคัญในการศึกษาโครงการพลังงานทดแทนทั้งโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ และโครงการธุรกิจผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)ซึ่งจะเน้นการร่วมทุนกับผู้ที่ได้สัญญางานก่อสร้างแล้ว ก่อนหน้านี้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า 2 แห่ง คือ EGCO และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน)หรือRATCH โดยการจากสำรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.51ไม่ปรากฏชื่อของกบข.ใน EGCO เลยจากก่อนหน้านั้นข้อมูลการถือหุ้นวันที่ 1 เมษายน2551 กบข.ถือหุ้น EGCO อยู่ในพอร์ต 3.08ล้านหุ้น คิดเป็น 0.59% ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น EGCO ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2551 ปรับตัวลดลง 54.76% จากราคาสูงสุด 97.50 บาท ณ วันที่ 3 เมษายน 2551 ลงมาต่ำสุดที่63 บาท ณ วันที่ 18 กันยายน 2551 ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 1 ปี อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 มีมติแต่งตั้งนายวินิจ แตงน้อย ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายวิศิษฎ์ อัครวิเนค ที่หมดอายุสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน 2551 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551เป็นต้นไป บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน วิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น EGCO ปรับตัวลดลงแรงในช่วง 3วันที่ผ่านมา (16-18 ก.ย.) น่าจะมาจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากโครงสร้างการถือหุ้นของ EGCO ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ เมื่อภาวะตลาดหุ้นไม่ได้ ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาในหุ้นหลายบริษัท รวมถึง EGCO ด้วย เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนหันไปลงทุนพันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของ EGCO ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง และถือเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 11:23 am
0
0
Goldman Earnings Fall 70%, Sending Shares Lower
Not Great, But Well Take It GS Reported EPS of $1.81 vs. Our/Street Estimates of $1.75/$1.71 Trends were tough in 3Q with weakness in trading, investment banking, & principal investments, while securities services & asset management held up pretty well. While an 8% ROE isnt great and some may question the earnings quality (12% tax rate added ~$0.40 in EPS), GS increased its liquidity pool, grew its equity base, reduced risk exposures, and closed the qtr with a healthy 11.6% Tier 1 ratio. Independent Broker Model Not Broken Mgmt made it clear that they dont think the independent broker model is broken & that issues at peers were related to breaches of risk mgmt/asset concentration as opposed to any inherent flaws in the business model. Specifically, they pointed out that pairing up with a commercial bank would not necessarily be beneficial given that most capital markets businesses can not be funded through a bank. Risk Exposures Were Reduced in 3Q GS continued to reduce risk exposures in 3Q with residential mortgage positions declining 16% sequentially (GS has $7.4 bn in prime, $3.6 bn in Alt-A, and $1.7 bn in subprime), commercial real estate falling 11% to $14.7 bn (with $12.4 bn in loans), and leveraged loans declining 50% to $9.5 bn through a combination of sales and what we think are mostly tight marks. Valuation: Maintain Neutral Rating; Lower 12-month Price target to $145 While we believe GS is well positioned to weather the difficult times & take advantage of some distressed opportunities, we expect macro issues & higher funding costs to continue to weigh on earnings & the valuation. Our PT is based on 1.4x our fwd book estimate. Notes: Source: The content presented above reflects a front page summary of UBS Research content, UBS estimates based on a share price of US$133.01 on 16 Sep 2008 18:57 EDT
โดย
SSL
พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 7:33 pm
0
0
Morgan Stanley จะไหวไหมเนี่ย
บทวิเคราะห์หุ้น Morgan Stanley ของ UBS ครับ เอามาให้ดูกัน A Little Relief MS Reported EPS of $1.32 vs. Our/Street Estimates of $0.85/$0.78 Despite $1.6 bn in write-downs and a $288 mm auction rate securities charge, total revenues increased a healthy 24% seq (or 19% ex the $745 mm gain on MSCI and $1.45 bn in FAS 159 benefits). MS generated strong trading results (equity trading +27% sequentially, commodities +164%), healthy investment banking (+18%), and solid wealth management ($13.7 billion in net new money), though asset mgmt remains a work in progress. Leverage Ratios, Liquidity, and Tier 1 Are Positives MS improved its liquidity profile ($81 bn at the parent, up from $74 bn in 2Q), reduced leverage (gross 23.5x, adjusted 12.9x), and closed the quarter with a very healthy 12.7% Tier 1 ratio (GS ended 3Q with an 11.6% Tier 1). These metrics should give investors some comfort around Morgans stability. MS Continued to Pare Down Risk Exposures MS continued to reduce bad asset exposure in 3Q, with gross residential mortgage exposure declining 12% to $10.9 bn, gross commercial real estate exposure also declining 12% to $19.5 bn, and leveraged loan exposure declining 27% to $9.3 bn. Morgans risk assets/tangible common equity ratio decreased to 1.4x compared to 1.0x at GS, 3.1x at MER, and 4.0x at LEH. Valuation: Maintain Neutral Rating Although MS executed well in a tough 3Q and we think the underlying franchise is sound, some pretty stiff macro headwinds (especially slowing global GDP growth) will weigh on earnings & the valuation. Our PT is based on 1.0x our fwd book est. Notes: Source: The content presented above reflects a front page summary of UBS Research content, UBS estimates based on a share price of US$28.70 on 16 Sep 2008 18:57 EDT
โดย
SSL
พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 7:30 pm
0
0
จับตาเอไอเอทิ้งหุ้น
ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ :lol:
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:53 pm
0
0
วิกฤติตอนนี้ที่ US คุณบัฟเฟตคิด หรือ ทำอะไรหรือยัง
ได้ยินว่าแกสนใจ AIG ด้วย
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:04 pm
0
0
จับตาเอไอเอทิ้งหุ้น
ตลาดพันธบัตรบ้านเรามี Liquidity สูงนะครับ วันละหลักแสนล้าน ThaiBMA Report > Daily Market Summary Historical >> . Trading & Outstanding value Mln. (THB) Chg.(%) Outstanding Value 4,947,159.60 0.13 Number of issues 1,558 Total Trading Value 167,411.42 -11.56 Outright/Cash Trading 35,471.21 -58.08 Financing 131,727.17 25.86 Others 213.04 562.85 http://www.thaibma.or.th/compositerpt/dailyreport.aspx
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:03 pm
0
0
จับตาเอไอเอทิ้งหุ้น
คิดว่าความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่ AIA จะขายหุ้นออกมาแบบ panic เหตุผล 1. FED ให้กู้ยืมเงินกับ AIG แล้ว USD 85 billion มีระยะเวลา 2 ปี เหตุผลหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ก็เพื่อให้ AIG มีเวลาขาย asset เพื่อมาใช้คืนเงินกู้โดยไม่ต้องขายแบบ distressed sale 2. AIA ในเมืองไทยอยู่ภายใต้ คปภ ซึ่งการจะโอนเงินให้บ.แม่แต่ละครั้งของ AIA จะต้องได้รับการอนุมัติจาก คปภ ก่อน การที่บ. ประกันจะ liquidate asset เพื่อใอนให้แม่ คงจะต้องมีเรื่องกฎเกณฑ์ในการรักษา ratio ต่างๆอยู่พอสมควร 3. Port การลงทุนส่วนใหญ่ของ AIA เป็นตราสารหนี้/พันธบัตรรัฐบาล (เข้าใจว่า 80-90% - ตัวเลขไม่ยืนยัน 100% แต่น่าจะใกล้เคียง) ถ้าเกิด worst case scenario จำเป็นจะต้อง liquidate asset จริงๆ การขายตราสารหนี้ น่าจะ make sense สำหรับ aia มากกว่า AIG ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ 4 ธุรกิจ 1. General Insurance 2. Asset Management 3. Financial Services 4. Life Insurance & Retirement Services AIA ในบ้านเราอยู่ภายใต้กลุ่มที่ 4 คิดว่าถ้าเป็น AIG ที่จะต้องขาย ASSET เพื่อใช้คืนหนี้ USD 85 billion ให้กับ FED ความเป็นไปได้ที่ AIG จะแบ่งขาย Business Unit 4 Units กับการสั่งให้ลูกในประเทศต่างๆ liquidate asset ซึ่งต้องผ่านกฎเกณฑ์มากมายในแต่ละประเทศ เพื่อนำส่งแม่ อย่างไหนจะมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน ที่ผมเกรงว่าอาจมีการเทขายหุ้นที่ถืออยู่มากกว่า น่าจะเป็นพวกกลุ่ม investment bank ต่างๆ ครับ เพราะตอนนี้ Cash is the king By Craig Torres and Hugh SonSept. 16 (Bloomberg) -- The U.S. government agreed to lendas much as $85 billion to American International Group Inc. inexchange for a 79.9 percent stake to save the country's biggestinsurer from collapse.The Federal Reserve ``determined that, in currentcircumstances, a disorderly failure of AIG could add to alreadysignificant levels of financial market fragility and lead tosubstantially higher borrowing costs, reduced household wealthand materially weaker economic performance,'' the Fed said.The agreement, supported by the Treasury Department, willkeep New York-based AIG in business, averting a failure thatcould have threatened more financial companies and added to chaosin world markets. Losses industrywide could have totaled $180billion if AIG collapsed, according to RBC Capital Markets. AIGneeded the loan after its credit ratings were cut and sharesplunged 79 percent since Sept. 11.The two-year loan will ``assist AIG in meeting itsobligations as they come due,'' the Fed said in its statement.The federal lifeline will allow AIG to sell assets in an orderlyfashion rather than at distressed prices, said a person familiarwith the agreement.``The loan is expected to be repaid from the proceeds of thesale of the firm's assets,'' the Fed said. The U.S. governmenthas the right to veto the payment of dividends to common andpreferred shareholders.AIG will replace management as part of the deal, said theperson, who declined to be named because not all parts of theagreement were publicly disclosed.Interest will accrue on the outstanding balance at thethree-month London interbank offered rate plus 8.5 percentagepoints.
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 10:23 pm
0
0
รบกวนสอบถามที่สัมมนาอังคารที่ 26 สิงหา ครับ
แก้ไข วันพุธที่ 27 ครับ :lol:
โดย
SSL
พุธ ส.ค. 20, 2008 4:33 pm
0
0
รบกวนสอบถามที่สัมมนาอังคารที่ 26 สิงหา ครับ
เข้าใจว่าวันพุธที่ 26 สค นะครับ ที่โรงแรมเอเชีย ห้องกิ่งเพชร เวลา 13.00 น. ครับ
โดย
SSL
พุธ ส.ค. 20, 2008 12:22 pm
0
0
ภาวะของแพง สินค้าใดกำลังเป็นที่นิยม
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2551 09:18 น. ภาคเอกชน ชี้ ปัจจัยลบรุมเร้า เศรษฐกิจพ่นพิษ น้ำมันแพง กำลังซื้อหด การเมืองไม่นิ่ง กระทบอุตสาหกรรม ช็อกติดลบครั้งแรกในรอบหลายปี ตลาดนมพร้อมดื่ม เสื้อผ้าเด็ก ชุดชั้นใน เดี้ยง ความถี่ในการซื้อลดลงอัตโนมัติ ด้านธุรกิจขายตรงการเติบโตชะลอตัวลง อุปโภคบริโภคของกินของใช้ยังส่อเค้าแย่ โตได้ 5% ทุกค่ายเฮโล สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เกิดขึ้นได้ในปีนี้ โดยเฉพาะมูลค่าตลาดรวมของหลายตลาดที่ตกลง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในรอบหลายปีที่เคยเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ของแต่ละตลาด นายชนิต สุวรรณพรินทร์ ผู้จัดการทั่วไปสายงานการตลาด บริษัท กรีนสปอต (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมถั่วเหลืองไวตามิ้ลค์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดนมมูลค่า 35,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม หรือระหว่าง 5 เดือนที่ผ่านมา ในแง่ปริมาณติดลบ 1-2% ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นสำหรับตลาดนมโดยรวม เนื่องจากได้รับผลพวงจากเศรษฐกิจ และกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ความถี่ในการดื่มนมของคนไทยลดลง ทั้งนี้ พบว่า ตลาดนมถั่วเหลืองมูลค่า 7,800 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้ ตลาดมีอัตราการเติบโตที่ลดลงเช่นกัน จากปกติตลาดโตเป็นตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่องมาหลายปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว นางกาญจนา ตั้งเสรีสุขสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์เด็ก บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เด็กอองฟองต์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเสื้อผ้าเด็กในช่วงครึ่งปีแรกมูลค่า 1,100 ล้านบาท ติดลบ 5% ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาดเสื้อผ้าเด็ก หรือตั้งแต่บริษัทดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าเด็กอองฟองต์ในรอบเกือบ 20 ปี ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดทรงตัว เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง พฤติกรรมพ่อแม่มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย จึงลดปริมาณการซื้อเสื้อผ้าจาก 5 ชิ้น เหลือ 3 ชิ้น ชุดชั้นในไม่โตในรอบ 10 ปี นายอำนวย บำรุงวงศ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในวาโก้ เปิดเผยว่า ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กระทบต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ตลาดชุดชั้นในมูลค่า 12,000-14,000 ล้านบาท ในปีนี้ไม่เติบโตครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยพบว่าอัตราการซื้อต่อชิ้นต่อครั้งลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพียง 2-3% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเติบโต 10% หรือต่ำกว่าเกือบ 7% ปีนี้ตลาดชุดชั้นในแง่มูลค่าอาจจะลดลง โดยเฉพาะตลาดระดับกลางลงล่าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าจากจีนเข้ามาตีตลาดชุดชั้นในดังกล่าว ส่วนในแง่ของปริมาณก็ไม่มีอัตราการเติบโต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดชุดชั้นในตัวเลขในเชิงปริมาณระดับกลางลงล่างยังมีสัดส่วนมากกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับชุดในระดับพรีเมียม อุตฯขายตรงโตเป็นตัวเลขหลักเดียว แพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงครึ่งปีหลังนี้ ว่า มีปัจจัยลบที่น่ากังวลหลายประการ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น มีโอกาสที่กำลังการซื้อของผู้บริโภคจะซึมถึง 2 เท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งนับว่าเป็นวิกฤตในรอบหลายปีที่ผ่านมา และมองว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ถือว่าแย่ และน่ากลัวกว่าการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สำหรับภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทุกอุตฯ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด โดยในธุรกิจขายตรงก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กสายป่านไม่ยาวจะยิ่งแย่ คาดว่า ทั้งปีธุรกิจขายโดยรวมเติบโต 6-7% จากมูลค่า 45,000 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าตลาดจะเติบโต 10% อุปโภคบริโภคก็พลอยย่ำแย่ได้ด้วย ขณะที่ตลาดอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นของกินและของใช้ในชีวิตประจำวัน ยังพลอยได้รับผลกระทบ เพราะผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดย นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ปีนี้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค คาดว่า จะมีอัตราการเติบโตได้ถึง 5% ก็ถือว่าเก่งแล้ว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดมีอัตราการเติบโต 6-7% โดยพบว่า ตลาดโคโลญจ์หดตัวลง 5% ขณะที่ ตลาดรวมโรลออน มีมูลค่า 1,014 ล้านบาท ก็หดตัวลง 5% เนื่องจากผู้บริโภคลดความถี่ในการใช้ลง ส่วนภาคบันเทิง ที่ว่ากันว่าเติบโตดี ไม่มีผลกระทบ ก็ยังโดนหางเลข โดยเฉพาะตลาดหนังไทย ที่ตกลงกว่า 10% และไม่มีเรื่องใดที่มีรายได้เกิน 100 ล้านบาทเลยในช่วงครึ่งปีแรกนี้
โดย
SSL
จันทร์ ก.ค. 21, 2008 3:01 pm
0
0
Oil price already peaked,This company get the most benefit!!
1. While oil price has recently dropped, the situation in the Gulf (Iran), I believe, is not settled. 2. The way THAI is operated is also so much different from that of the US commercial airlines.
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:27 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
SSL
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:21 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ พ.ค. 07, 2012 10:01 pm
โพสต์ทั้งหมด:
54 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว