หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
tutinglee
Joined: พุธ ม.ค. 07, 2009 11:16 pm
208
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - tutinglee
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
น่าจะเป็นหุ้นสื่อสาร Advanc , Intuch ครับ
โดย
tutinglee
จันทร์ พ.ค. 28, 2012 12:05 am
0
5
Re: แจ้งข่าว มารดา ของ ดร.นิเวศน์ เสียชีวิต ครับ
ขอแสดงความเสียใจกับ ดร.นิเวศน์และครอบครัวด้วยครับ
โดย
tutinglee
เสาร์ มี.ค. 24, 2012 8:49 pm
0
0
Re: ตกรถจนได้ ขายทิ้งตอน 850 จุด เซียนเว็บบอร์ดบอกจะไป 600 จ
"เซียนบอกจะไป600" สรุปได้หรือยังครับว่าเซียนที่ว่า เซียนจริงหรือเซียนปลอม ทีหลังต้องพยายามวิเคราะห์เองแล้วเชื่อตัวเองดีที่สุดครับ เขาอาจเป็นเซียนจริงนะครับ เขาเล่นด้วยข้อมูล เกิดแบบนี้ 10 ครั้ง เขาอาจถูก 8-9 ครั้ง แต่ครั้งผิด 1-2 ครั้งก็ได้ เช่นครั้งนี้ เพียงแต่อยากบอกว่ารู้จริงยากมากครับ เพราะฉะนั้นใครว่าอะไรมาก็รับฟัง ไม่ว่ากัน เขาหวังดีจึงเตือน ส่วนเราก็ต้องเลือกเชื่อ ตัดสินใจด้วยตัวเรา บังเอิญผมก็เจอเซียนเหมือนกันครับ แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นหลังจากวิเคราะห์แล้วเซียนผมบอกว่ามันจะไป 1,000 จุดครับ โอกาสไป 600 จุด น้อยมากครับ เลยเห็นความแตกต่างครับ
โดย
tutinglee
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 3:34 pm
0
0
Re: ตกรถจนได้ ขายทิ้งตอน 850 จุด เซียนเว็บบอร์ดบอกจะไป 600 จ
"เซียนบอกจะไป600" สรุปได้หรือยังครับว่าเซียนที่ว่า เซียนจริงหรือเซียนปลอม ทีหลังต้องพยายามวิเคราะห์เองแล้วเชื่อตัวเองดีที่สุดครับ
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2012 11:51 pm
0
1
Re: เป็นกำลังใจให้ MOD ครับ
เป็นกำลังใจให้ MOD เช่นกันครับ ทุกท่านทำดีที่สุดแล้ว ขอชื่นชมครับ
โดย
tutinglee
ศุกร์ ก.ย. 02, 2011 11:47 pm
0
8
Re: กระทู้ในพันทิพย์ "ไทวิเสื่อม"
มีคนหลังไมค์มาให้ช่วยกันปั่น หุ้น VI ตัวนึง บอกเป้าหมายเท่านั้น เท่านี้ อยากดูไหม ไม่อยากดูครับ และคนนั้นเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ คุณถึงเอาเขามาแฉ แล้วทำไมคุณไปคบกับเค๊าหละครับ อยากดูครับ เพราะผมไม่เชื่อว่าเป็นพวกเรา pmมาก็ได้ครับ ขอบคุณครับ
โดย
tutinglee
ศุกร์ ก.ย. 02, 2011 2:48 pm
0
0
Re: บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ สำหรับนักลงทุน
ยืนยัน คุณหมอบำรุง ศรีงาน อีกหนึ่งคนครับผม
โดย
tutinglee
พุธ พ.ค. 11, 2011 9:59 pm
0
0
Re: JAS มาม่าชามใหญ่ อยากระบายอะไรก็มาทางนี้
มองในอีกแง่หนึ่งนะครับ บางที อาจมีผู้รู้คาดการณ์ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างมากมายและต่อเนื่องไปอีกหลายปี จึงอยากได้หุ้นเพิ่มแต่ราคามันเริ่มสูงไปแล้ว จึงต้องมีการวางแผนในการว่าจะต้องทำอย่างไรให้ราคาหุ้นมันถูกลงกว่านี้ เพื่อจะได้เก็บหุ้นเพิ่มโดยใช้เงินให้น้อยที่สุด จึงเป็นที่มาของ Black Friday ดังกล่าว ผมผ่านประสบการณ์ดังกล่าวช่วงที่โดนทุบจาก 2.02 บาทเหลือ 1.08 บาท มาแล้ว หลังจากกลับไปทบทวนพื้นฐานมาใหม่ พบว่ามีแต่การเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดีขึ้น ผมจึงเห็นเป็นโอกาสในวิกฤติดังกล่าว ทำการปรับ Ports มาเก็บหุ้นตัวนี้แทนในราคาถูกลงมาครึ่งหนึ่ง ผลจากโอกาสในครั้งนั้นทำให้ Ports ผมโตขึ้นในระดับ 300% ในเวลาไม่ถึงปี เหตุการณ์ครั้งนี้ผมก็คิดว่ามาในแนวเดิมอีกแล้ว จึงอยากมาให้กำลังใจเพื่อนๆทุกคนให้เปลี่ยนวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสให้สำเร็จทุกๆคนด้วยเทอญ
โดย
tutinglee
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 12:26 am
0
0
Re: อย่างนี้ อธิบาย คำว่า ตีแตก ได้ชัดเจนเหลือเกิน
ยินดีกับท่านอดีตประธานใหญ่ thaivi.org ด้วยคนครับ สุดยอดครับ ปีเดียวเกิน 10 เด้ง
โดย
tutinglee
อาทิตย์ พ.ค. 01, 2011 3:46 pm
0
0
Re: คนที่มีพอร์ทใหญ่ๆเอาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้นกันครับ
อัศจรรย์ของ capital gain ทบต้นครับ
โดย
tutinglee
อาทิตย์ มี.ค. 27, 2011 8:46 pm
0
0
Re: ขอชื่นชมทีมงาน tvi สำหรับงานเฮฮา
จัดงานได้ดีมากครับ ขอชมเชยและขอบคุณทีมงานทุกๆคนด้วยคนครับ
โดย
tutinglee
จันทร์ มี.ค. 14, 2011 12:25 am
0
0
Re: งานเฮฮาประสาวีไอ Q1/54 ตอน แพ้ศึก อย่าแพ้สงคราม (12มีค)
จอง 1 ที่ครับ ไปแน่นอน ถ้า cancel ให้ยึดอมยิ้มผมได้เลยครับ
โดย
tutinglee
จันทร์ มี.ค. 07, 2011 10:14 pm
0
0
Re: กระทู้ PTL ชั่วคราว
ขอบคุณและเป็นกำลังใจคุณ nanchan มากๆครับ
โดย
tutinglee
พุธ มี.ค. 02, 2011 9:39 pm
0
0
Re: ร่วมวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตลาด^^
รบกวน แบ่งปัน ความรู้และประสบการณ์ เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยก็ดีนะครับ เพราะสองปี โตเกือบ 10-100 เท่า ท่านต้องอบรมน้องๆหน่อยครับ จักเป็นพระคุณอย่างสูง อย่างน้อย บอกหุ้นไม่ได้ บอกวิธีการก็ยังดีครับ อยากฝากตัวเป็นศิษย์แต่เนิ่นๆครับ[/quote] ผมอธิบายไม่ค่อยเก่งนะครับ เ อาเป็นคร่าวๆนะครับ เริ่มแรกมาก็ stpi เลยครับ ตั้งแต่ราคา 7 บาทกว่าๆ ก็พยายามวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆของทั้งตัวบริษัทเอง งบดุลบัญชี (แบบงูงู ปลาปลานะครับ เพราะมือใหม่ ) ดู backlog คาดการณ์ margin ที่ควรจะได้ เสร็จแล้วก็สืบลึกลงไปถึงไซด์งานเลยครับดูว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า ตอนนั้นพบว่านายจ้างพอใจผลงานที่ ได้มาก งานส่วนใหญ่ก็เสร็จตามแผน อัตรา margin ก็สูงมากประมาณ 20% คิดแล้ว eps น่าจะประมาณ 4 บาท เลยมั่นใจหุ้นตัวแรกนี้มากๆ ก็เริ่มซื้อเท่าที่เงินสดจะมีตอนนั้น (เกือบ 7 หลัก ) ต่อมาเนื่องจากวิกฤติ subprime หุ้นราคาลงมาเรื่อยๆ จนถึง 5 บาทกว่าๆ ก็เข้าใจนะครับว่าหุ้นมันลงตามตลาด แต่ก็กลับไปทำการบ้านมาใหม่ พบว่ายัง ok ดีเหมือนเดิม แล้วบริษัทนายจ้างล่ะประสบปัญหาอะไรหรือเปล่ามีเงินจ่ายค่างานหรือเปล่า พบว่าทางนั้นก็ ok ดี ( บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของ ออสเตรเลีย อยู่ในตลาดหุ้นด้วย เลยพอหาข้อมูลมาได้ ) ก็เลยมานั่งคิดๆว่า หุ้นอะไร eps ก็ตั้ง 4 บาท แต่ราคาหุ้นแค่ 5 กว่าๆถึง 6 บาทนิดๆ พื้นฐานก็ดี ปัจจัยต่างๆก็ดี เอาล่ะคนอื่นเค้ากลัวกันแต่เราไม่กลัว โอกาสมาถึงแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะอยากได้แต่เงินไม่มี เลยหันกลับมาดูทรัพย์สินที่พอมีทั้งบ้านทั้งรถยนต์ ก็กำลังผ่อนอยู่แต่ก็ผ่อนไปได้พอสมควรแล้ว แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้มันก็คือหนี้สินดีๆนั่นเอง เลยเกิดความคิดที่ว่าทำไมเราไม่แปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนซะล่ะ จะปล่อยให้มันเป็นแค่หนี้สินคอยแต่จะฉุดเราอย่างนั้นหรือ ไหนๆโอกาสก็มาแล้ว ก็เลยจัดการเอาไปรีไฟแนนซ์ซะ ได้เงินมาอีก 7 หลักปลายๆ เอามาซื้อ stpi ตัวเดียว ได้มาเกือบหนึ่งล้านสามแสนหุ้น ( เงินกู้ล้วนๆครับแต่ไม่แนะนำให้เสี่ยงแบบผมนะครับเพราะผม มี แผนการที่ทำให้มันเป็นเงินเย็นได้ถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ) จากนั้นไม่นาน บริษัทก็ประกาศปันผล 2.4 บาท หุ้นก็ upside ขึ้นเป็น 10 กว่าบาท สรุปรวมปันผลได้เด้งแรกแล้วในเวลาไม่ถึงปี นี่คือ story แรกๆของผ มครับ ขอบคุณหมอสามัญชน ขอบคุณเวป thaivi ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเล่า story ตอนต่อไป ตอนนี้ง่วงแล้วครับขอพักผ่อนก่อนครับ
โดย
tutinglee
พุธ ม.ค. 26, 2011 3:12 am
0
0
Re: ร่วมวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตลาด^^
สวัสดีครับเพื่อนๆ และพี่ๆ ชาวtviทุกๆท่าน เนื่องด้วยจาก1-2วันมานี้ ตลาดร่วงพอสมควร จึงอยากให้เพื่อนๆช่วยกันวิเคราะห์สาเหตุ ความหนัก และสภาพตลาด ว่าเผาจริงหรือเผาหลอก เป็นช่วงปกติ น่ากลัว หรือโอกาสทอง ปล.เนื่องด้วยทราบว่าviส่วนมาก ไม่ค่อยชอบสนใจสภาวะตลาดมากนัก แต่ผมก็มองว่ารู้ไว้ใช่ว่า รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ และก็เชื่อว่าจากบทวิเคราะห์จากเพื่อนๆหลายๆท่าน น่าจะมีผลให้นักลงทุนมือใหม่ๆที่ยังไม่เป็นviเต็มตัวนักหายตื่นตระหนกได้^^ ขอบคุณครับ :bow: ผมเริ่มเข้าตลาดเมื่อ2ปีที่แล้วตอนset 380 กว่าๆตอนนั้นเพื่อนๆผมบอกว่าอย่าเพิ่งรีบซื้อหุ้นรอมันลงอีก แต่ผมไม่เชื่อผมทุ่มหมดตัวเลย แล้วเพื่อนๆผมก็รอจิงๆหลังจากนั้นผ่านไป3เดือน set ขึ้นมา 400กว่าๆ เพื่อนผมบอกอีกว่าเดี๋ยวมันก็ลงมา แล้วพอถึงปัจจุบันนี้ผมก็ยังไม่เห็นมันลงเลย ที่ผมซื้อตอนนั้นไม่ใช่ว่ารู้หรือวิเคราะห์ออก แต่พอดีที่สมัครทางโบรกเกอร์เพิ่งผ่านตอนนั้นพอดีก็เลยซื้อเลย แบบมั่วๆ ปล. ที่จะบอกคือ ณ.เวลานั้นขนาดsetอยู่ที่ 380 กว่าๆก็ยังว่าสูงอยู่แต่เวลานี่ set เกือบพันมันถูกหรือสูงคิดต่อเอาเองแล้วกันครับ (ผมชอบที่ท่าน ดร.เขียน คนเราความจำสั้น แต่ความโลภนั้นยาวนาน) เหมือนผมเลยครับ เข้าตลาดเมื่อ 2 ปีที่แล้วตอนset 380 กว่าๆ ไม่เคยรู้จักไม่เคยสนใจเรื่องหุ้นมาก่อน ทำมาหากินงกๆมา 15 ปี หนักเอาเบาสู้ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เริ่มงานแต่เช้ากว่าจะเสร็จได้เข้านอนก็ตี 2 ตี 3 ไม่เห็นมันรวยสักที ขนาดรายได้ 6 หลักกลางๆ เลี้ยงดูรอบตัว พ่อแม่พี่น้องลูกเมียยาวไปถึงหลานๆ มองไม่เห็นอนาคตที่จะเป็นไทได้เลย โชคดีได้เจอท่านประธานหมอสามัญชน ชักชวน + ชักลาก ให้เข้ามาสู่วงการบู๊ลิ้มแห่งนี้ ไม่อยากจะเชื่อ 2 ปีกว่าๆ เป็นไทได้เลย ตอนนี้ผมเกษียณแล้ว ไม่ต้องทำงานแล้ว ไม่ต้องดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันให้มันปวดหัว กลางวันพาแฟนเดินห้าง กินสตาร์บัค ชมวิถีชีวิตของผู้คนต่างๆ นึกย้อนหลังกลับไป ถ้าวันนั้นไม่มีวิกฤตแล้วผมจะมีวันนี้ได้หรือ หรือถ้าวันนั้นมีวิกฤตแต่ผมดันขี้กลัวคิดเหมือนคนอื่นๆคือไม่กล้าซื้อหุ้นแล้วผมจะมีวันนี้ได้หรือ เรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส อยู่ที่ว่าใครจะคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ได้มากกว่า ( ปล. ผมเกษียณที่ port 9 หลักครับ เริ่มจาก 7 หลัก เมื่อ 2 ปีกว่าๆที่แล้ว )
โดย
tutinglee
อังคาร ม.ค. 25, 2011 5:20 pm
0
0
Re: เสี้ยวหนึ่งของทศกัณฐ์
ผมก็เช่นกันครับ บังเอิญปีนี้โชคดีได้เป็นเหาของทศกัณฐ์
โดย
tutinglee
อังคาร ธ.ค. 28, 2010 9:41 pm
0
0
Re: งานTVI ทำให้ผมเปลี่ยนไป
และนี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านประธานกิตติมศักดิ์ ตีแตก sat กับ jas ด้วยใช่ใหมครับ สุดยอดจริงๆ
โดย
tutinglee
ศุกร์ ธ.ค. 24, 2010 11:46 pm
0
0
Re: กำไรปีละ 20% ก็ดีมากแล้ว (สืบเนื่องจากกระทู้ 5 เด้ง)
ธุรกิจปกติแล้ว ยอดขายเติบโต กำไรเติบโต ปีละ 15-20% แบบ ต่อเนื่องนี่ก็สุดยอดแล้วครับ การลงทุนก้คือการลงทุน และมันเป้นธุรกิจ ไม่ใช่การเสี่ยงโชค มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งชื่อ ( ข้าวหอมมะลิ ) ทำเกี่ยวกับ Internet Broadband น่าจะมี กำไรเติบโต ปีละ 15-20% แบบ ต่อเนื่องได้ครับ ลองวิเคราะห์ดูครับ
โดย
tutinglee
พุธ ธ.ค. 01, 2010 12:27 am
0
0
ตั้งเป้าหมาย retire ที่อายุเท่าไหร่ และ พอร์ตใหญ่แค่ไหน
เราน่าจะมีการนัดกลุ่มชาว thaivi ที่เกษียณแล้ว มานั่งกินเลี้ยงหรือพบปะสังสรรค์ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ของแต่ละคนบ้างนะครับ ว่าทำอย่างไรถึงมาถึงวันนี้ได้ ผมมองว่าการลงทุนมันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ บางครั้งก็ตรงไปตรงมาได้ตีแตก บางครั้งใช้สูตรเดิมกลับถูกตีหัวแตก หุ้นตัวเดียวกันแท้ๆคนนึงกำไรมหาศาลแต่อีกคนขาดทุนเป็นต้น ผมว่าน่าจะมีประโยชน์ในการพัฒนาการลงทุนให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้นะครับ หมายเหตุ ผมก็เกษียณแล้วครับแต่ได้มาแบบมากับดวงครับ
โดย
tutinglee
อาทิตย์ พ.ย. 21, 2010 1:41 am
0
1
ขออำลาครับ
ขอโทษที่มาขอบคุณท่านประธานช้าไปหน่อย พอดีเพิ่งเปิดเจอวันนี้เอง ก็ขอขอบคุณน้องแพะและภรรยาอย่างมากๆถึงมากที่สุด ที่ทำให้พี่มีวันนี้ได้ วันแห่ง financial freedom of life ที่มาถึงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้คาดหมาย พี่เริ่มเล่นหุ้นพร้อมกับรู้จักเวป thaivi มาแค่ 2 ปีกว่าๆ เริ่มเล่นด้วยเงินกู้ล้วนๆ บางก้อนเสียดอกแพงก็ยอม เหนื่อยเหมือนกันต้องบริหารทั้งพอร์ท บริหารทั้งเงินกู้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตการณ์ Hamburger ตอนนี้ port พี่ขึ้นหลักที่ 9 แล้ว ไม่รู้จะสรรหาคำขอบคุณใดใดมาตอบแทนให้สมกับบุญคุณที่น้องแพะทำให้พี่มีวันนี้ได้ ขอขอบคุณมากๆ ขอบคุณจากใจจริงๆ
โดย
tutinglee
ศุกร์ พ.ย. 05, 2010 1:59 am
0
0
ช่วยด้วยครับ โดนเอาเปรียบ จากโบรคเกอร์
ถ้าถามผม คุณควรรวบรวมหลักฐานทั้งหมด รวมทั้งประติดประต่อเรื่องให้ดี และ เช็คสัญญาที่คุณเซ็นไว้กับทางบริษัทเขาให้ละเอียด จากนั้น ระบุชื่อ บริษัทโบรค พร้อมชื่อมาร์ให้ชัด และ เอาไปตาม เว็บบอรด์ดังๆเช่น Pantip และ ส่งเมล์กระทู้ดังกล่าวไปที่บริษัทนั้น รับรองว่า ถ้ากระทู้นั้น hot ขึ้นมาเมื่อไหร่ ทางบริษัทจะเรียกคุณเข้าไปไกล่เกลี่ยเองครับ (ถ้าเป็นความผิดของบริษัทนะ) ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆทุกท่านสำหรับทุกความเห็นครับ ขณะนี้เรืองทุกอย่างจบเรียบร้อยเป็นไปด้วยดีแล้วครับ สรุปทางโบรคเกอร์ไม่ทำ force sell ครับ ทางเราเอาทนายไปคุยครับ
โดย
tutinglee
ศุกร์ ก.ย. 17, 2010 12:24 pm
0
0
ช่วยด้วยครับ โดนเอาเปรียบ จากโบรคเกอร์
พอดีเห็นกระทู้ถูกขุดขึ้นมา เลยมาเรียนความคืบหน้าว่าหุ้นตัวดังกล่าวขณะนี้ขึ้นมาราคา 33 บาทแล้วครับ (ไม่รวมปันผลอีกรวมประมาณ 4.9 บาทครับ)
โดย
tutinglee
ศุกร์ ก.ย. 17, 2010 1:05 am
0
0
เส้นทางสู่ร้อยล้าน..'นพ.บำรุง ศรีงาน'
:bow: บุคคลต้นแบบแห่ง IV แต่เอ๋... ไม่สงสัยกันหรอว่า แต่จริงแล้วหุ้นตัวใหญ่ที่สุดในพอร์ตตอนนี้เป็นหุ้น ในกลุ่มเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่เพิ่งปรับโครงสร้างธุรกิจจากผู้วางเครือข่าย โทรศัพท์บ้านมาเป็นอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ (ขอไม่บอกชื่อเพราะอาจเป็นการชี้นำ) คืออะไร
โดย
tutinglee
อังคาร ส.ค. 10, 2010 11:36 pm
0
0
'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'
ปล่อยให้ผม คิดว่า ศรราม มาเล่นหุ้นเอง ตั้งนาน ก๊ากๆ 555555
โดย
tutinglee
อังคาร ส.ค. 03, 2010 11:46 pm
0
0
สามดอกเตอร์ 'สอนลูก' เรื่อง 'เงิน' ส่งต่อ 'ความรวย'
ขอแก้ข่าวหน่อยครับ คัมรี่เป็นของดร.นิเวศน์ครับ และผมก็ไม่เคยเป็นผอ.รพ.สุรินทร์
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. ก.ค. 22, 2010 1:06 am
0
0
แจก work sheet excel สำหรับ คำนวณเครดิตภาษีปันผล
รบกวนขอด้วย 1 คนครับ
[email protected]
โดย
tutinglee
อาทิตย์ ก.ค. 11, 2010 12:10 am
0
0
Re: มหาเศรษฐี
หากตามนิยามนี้ ในเมืองไทยมหาเศรษฐี(มูลค่าสินทรัพย์32.40ล้านบาทขึ้นไป 32.40/usd) จะมีกี่คนครับ [/quote]เฉพาะในเวป thaivi เท่าที่ทราบก็หลายคนมากครับ เศรษฐีเกิดใหม่ ปี 2552 - 2553 เพียบเลย
โดย
tutinglee
อาทิตย์ ก.ค. 11, 2010 12:07 am
0
0
"เปลี่ยน"วัน visit ไทยรุ่ง เป็น พฤหัส 15 กค. 53 *
จองด้วยคนครับ แต่เป็นจองซื้อหุ้นนะครับ 5555
โดย
tutinglee
เสาร์ ก.ค. 03, 2010 12:58 am
0
0
ใกล้ครึ่งปีแล้ว เพื่อน ๆ เป็นไงกันบ้างครับ
ตั้งเป้าหมายไว้โต 100 % ในปีนี้ ตอนนี้ได้เกิน 65% ของเป้าแล้วครับ ขอบคุณ TCAP ที่อายุเฉลี่ย 19 ขอบคุณ Hemraj ที่อายุเฉลี่ย 0.97 ขอบคุณ Mcs ที่อายุเฉลี่ย 5.0 ตอนนี้ทั้งหมดโตเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดแล้ว ตอนนี้เลยเริ่มรับเลี้ยงเด็กใหม่ 2 คนชื่อ tru กับ samart ไม่รู้จะโตเร็วเหมือนพี่ๆหรือเปล่า ( ต้องเลี้ยงด้วยรถเมล์ 4000 คัน )
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. มิ.ย. 24, 2010 12:39 am
0
0
คิดว่ากับซื้อหุ้น SCIB ของ TCAP มีนัยต่อการเจริญเติบโตของ TC
TCAP + SCIB ปรากฎการณ์ Synergy ที่ลงตัวของสถาบันการเงิน * Synergy ทางธุรกิจที่รอสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ TCAP ได้อย่างมหาศาล การเข้าซื้อกิจการของ SCIB ถือเป็นการดำเนินกลยุทธธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ของกลุ่ม TCAP เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ TCAP ได้ทันที ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ยังมีธุรกิจทางการเงินที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจประกันชีวิต และประกันภัย ที่สามารถคาดหวังการเติบโตอย่างมีนัยฯ ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า รวมไปถึงธุรกิจหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุน ที่สามารถผนึกรวมกันเพื่อลด ความทับซ้อนและเพิ่ม Synergy ทางธุรกิจให้กับกลุ่ม TCAP ได้ในระยะยาว * ฐานกำไรของ TCAP เพิ่มทันที ผลักดัน ROE ปี 2554 ทำระดับสูงสุดที่ 18.5% ฝายวิจัยคาด ROE ของ TCAP ภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.7% ใน ปี 2553 (ปี 2553 มีการรวบงบการเงินของและจะทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% ใน ปี 2554 เนื่องจากได้รับผลบวกเต็มที่ทั้งปีจากการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะ ยังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้กับ TCAP โดยปัจจัยบวกที่มีนัยฯ ที่จะช่วยผลักดันการ เติบโตของกำไรจากธุรกิจ ธ.พ.ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าคือต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายโดยรวมที่จะทยอย ลดลง จากการระดมเงินฝากต้นทุนต่ำผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจ ประกันชีวิตจะเป็นธุรกิจที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตของกำไรเชิงรุกให้กับ TCAP ในระยะยาว * แนะนำซื้อ...สร้างการเติบโตเชิงรุกของกำไรในเวลาอันสั้น...ราคาถูก ปันผลสูง ฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ โดยกำหนด Fair value ของ TCAP อิง PBV 1.1 เท่า ภายใต้ประมาณการ ผลการดำเนินงานปี 2553-54 ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB คือ 30.84 บาท (ภายใต้ คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 14.2%) ซึ่งเป็นมูลค่ากิจการที่ได้สะท้อน Synergy ของธุรกิจที่ เกิดขึ้นภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ทยอย ลดลง แต่ยังไม่รวมผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับธุรกิจการให้บริการทาง การเงินอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้ม การเติบโตของรายได้และกำไรในเชิงรุกเกิน 2 เท่าของ GDP โดยแนวโน้มการเติบโตเชิงรุกของ กิจการและคาดการณ์ ROE เมื่อเทียบกับ PBV ปี 2553-54 แล้วจะเห็นว่ายังเป็นระดับที่ถูกมาก โดยราคาปัจจุบันยังมี upside ถึง 43% เมื่อเทียบกับ Fair value และคาดการณ์ Div yield ปี 2553-54 ที่ระดับ 6.6% และ 10.1% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) TCAP อนุมัติให้ TBANK เข้าซื้อหุ้น SCIB ต่อจาก FIDF ที่ราคา 32.50 บาท ที่ประชุมคณะกรรมการของ TCAP มีมติอนุมัติให้ ธ.ธนชาตฯ (TBANK: บริษัทย่อยซึ่ง TCAP ถือหุ้น 50.92%) ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. เข้าซื้อหุ้น ธ.นครหลวงไทยฯ (SCIB) จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (FIDF) ที่ถืออยู่ในสัดส่วน 47.58% ของทุนเรียกชำระแล้วจำนวน 2,112.810676 ล้านหุ้น และส่วนที่เหลือให้ทำ คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender offer) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ของ SCIB และ บมจ.ราช ธานีลีสซิ่งฯ (THANI) จำนวน 822.593906 ล้านหุ้น จากผู้ถือหุ้นทุกราย (SCIB ถือหุ้นใหญ่ 48.32%) 2. ราคาเสนอซื้อหุ้น SCIB จาก FIDF กำหนดไว้เท่ากับ 32.50 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 6.87 หมื่นล้านบาท แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงถ้าในช่วงก่อนวันซื้อขายหุ้น SCIB ได้มีมติจ่ายเงิน ปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และ FIDF มีสิทธิได้รับเงินปันผลดังกล่าว (หรือกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ภายหลังวันที่กำหนดทำ Tender offer) โดย TBANK จะมีสิทธิหักจำนวนเงินปันผลออก จากราคาซื้อขายต่อหุ้น ทำให้ราคาซื้อขายหุ้นทั้งหมดจะถูกลดลงตามลำดับ ตัวอย่างเช่น หากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้น SCIB เกิดขึ้นก่อนวันที่ทำ Tender offer ราคาเสนอซื้อ หุ้นจะต้องมีการปรับลดลงเหลือเท่ากับ 31.73 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณได้จากราคา เสนอซื้อหุ้นที่ 32.50 บาท หัก ด้วยเงินปันผลต่อหุ้นที่ประกาศจ่าย ซึ่งหากกำหนดให้เท่ากับ 0.77 บาท/หุ้น ตามที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ สำหรับราคาเสนอซื้อหุ้น THANI กำหนดไว้เท่ากับ 1.10 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 904.85 ล้านบาท 3. การรับโอนกิจการทั้งหมดของ SCIB จะดำเนินการภายหลังจากที่ TBANK ได้เข้าซื้อหุ้นของ SCIB แล้ว ด้วยราคายุติธรรม ณ วันที่โอนกิจการ ภายหลังจากนั้นจะทำการเพิกถอนหุ้น SCIB ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ส่วน THANI นั้น TBANK ยังไม่มี นโยบายในการดำเนินการใดๆ ภายหลังจากการทำ Tender offer หุ้น THANI ได้สำเร็จแล้ว4. แหล่งเงินทุนที่ TBANK จะใช้ในการเข้าซื้อกิจการของ SCIB แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) ส่วนของ TCAP มาจากสภาพคล่องคงเหลือภายในกิจการราว 2.5 หมื่นล้านบาท และ 2) ส่วนของ TBANK มาจากการเพิ่มทุนโดยการทำ Right issue ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตาม สัดส่วนการถือหุ้น (TCAP และ Bank of Nova Scotia ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 50.92% และ 49.08% ตามลำดับ) จำนวน 3.579 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการเสนอขายตราสารหนี้ ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Tier1) แบบเฉพาะเจาะจง มูลค่า 7.13 พันล้านบาท และเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิแก่นักลงทุนทั่วไป มูลค่า 6 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจาก สภาพคล่องภายในกิจการ ทั้งนี้ ขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือ หุ้น ซึ่งกำหนดจะจัดประชุมขึ้นภายในวันที่ 7 เม.ย.53 เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาด หลักทรัพย์ฯ และ กลต. ด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดที่มาประชุมและมี สิทธิออกเสียง โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย โดยคาดว่าระยะเวลาสำหรับการทำ Tender offer จะอยู่ในช่วงเดือน ก.ค.53 ฐานกำไรของ TCAP เพิ่มทันที ผลักดัน ROE ปี 2554 ทำระดับสูงสุดที่ 18.5% ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกและเชื่อมั่นต่อแนวโน้มธุรกิจของ TCAP ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ SCIB ว่าจะยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในด้านศักยภาพการทำกำไร ฐานะการเงินและเงินกองทุนที่ แข็งแกร่งขึ้น ตั้งแต่กลางปี 2553 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ TCAP จะมีการรวมผลการดำเนินงานของ SCIB เข้ามาในงบการเงิน ทั้งนี้ ราคาเสนอซื้อหุ้นของ SCIB ที่ระดับ 32.50 บาท เทียบเท่า PBV ณ สิ้นปี 2552 ที่ระดับ 1.55-1.59 เท่า (ขึ้นกับตัวแปรเรื่องเงินปันผล) ถือเป็นระดับราคาที่สมเหตุผล และยังสอดคล้องกับระดับราคาของการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มสถาบันการเงิน ในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งผลบวกที่คาดกว่ากลุ่ม TCAP จะได้รับจากการเข้าซื้อกิจการของ SCIB จะ สามารถเพิ่มมูลค่าของกิจการโดยรวมได้ในระยะยาวจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดย สรุปได้ดังนี้ 1 ฐานะการเงินและคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งขึ้น เห็นได้จากขนาดของสินทรัพย์รวม ของ TCAP จะปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่อันดับ 5 จากเดิมที่อยู่อันดับ 7 ในกลุ่ม ธ.พ. จนทำให้เกิด การประหยัดจากขนาด (ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเทียบกับขนาดสินทรัพย์และสินเชื่อรวมจะ ลดต่ำลง) และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นจากเครือข่ายสาขาที่เพิ่มขึ้น (TCAP ราว 250 แห่ง และ SCIB ราว 450 แห่ง) โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และเป็นสินเชื่อรายย่อยนั้น จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาขาจำนวนมากในการระดมเงินฝาก ต้นทุนต่ำ (ออมทรัพย์) เข้ามามากขึ้นเพื่อให้สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับ ธ.พ.ใหญ่อื่นๆ ได้ 2 บริการทางการเงินที่ครบวงจรและสร้างโอกาสสำหรับการทำ Cross selling ใน กลุ่มมากขึ้น โดยการควบรวมกิจการระหว่าง TBANK และ SCIB จะช่วยเพิ่มบริการ ทางการเงินที่ครบวงจรภายในกลุ่มได้มากขึ้นซึ่งถือเป็นการช่วยเสริมสร้างจุดแข็งและ ปรับปรุงจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายที่ยังขาดไป อาทิ TBANK เป็นผู้นำตลาดสินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ในประเทศ ขณะที่ SCIB มีจุดแข็งในสินเชื่อ Corporate และ SME ซึ่งเป็นกลุ่ม ลูกค้าที่ใช้บริการกับธนาคารฯ มานาน นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสสำหรับการ ทำ Cross selling ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่มฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยฯ อันเป็นผลจากการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินในกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยขยายฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะรายได้ค่า ธรรมเนียมฯ และรายได้จากธุรกรรม Bancassurance ให้กับกลุ่ม TCAP ดังนี้ 2.1.1 ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม TCAP จะมีบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตจำนวน 4 บริษัท ซึ่ง ดำเนินการภายใต้ บ.ธนชาตประกันภัยฯ (TI) บ.ธนชาตประกันชีวิตฯ (TLA) บ.ประกันภัยนครหลวงไทยฯ (SCI) และ บ.ประกันชีวิตนคร หลวงไทยฯ (SCIL) ซึ่งคาดว่าแนวโน้มน่าจะมีการควบรวมบริษัทต่างๆ เหล่านี้ ทั้งในส่วนของธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตให้เหลือเพียง 2 บริษัท เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในกลุ่มฯ จากการประหยัด ต่อขนาดที่จะเกิดขึ้น โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกมากต่อธุรกิจ ประกันชีวิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คาดว่าจะ มีแนวโน้มการเติบโตในเชิงรุกในระดับที่สูง เกิน 2 เท่าของ GDP ได้ อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับปีแรก และ เบี้ยประกันภัยรับรวมของ บ.ธนชาตประกันชีวิตฯ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และคาดว่าการเติบโต จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในเชิงรุกในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ด้วย แรงผลักดันจากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับประเภท Bancassurance จากเครือข่ายของสาขาของ TBANK ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 700 แห่งทั่วประเทศภายหลังการควบรวมกิจการ 2.2 ธุรกิจหลักทรัพย์ ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม TCAP จะมีบริษัท หลักทรัพย์จำนวน 2 บริษัท ซึ่งดำเนินการภายใต้ บล.ธนชาตฯ และ บล.นคร หลวงไทยฯ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (ต้นปี 2553 ถึง ปัจจุบัน) เท่ากับ 4.62% (อันดับ 7) และ 1.61% (อันดับ 23) ตามลำดับ โดยคาด ว่าแนวโน้มจะต้องเกิดการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่งเข้า ด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของ บล.ธนชาตฯ เพิ่มขึ้นมาที่ระดับสูงกว่า 5% ติดอันดับ 5-6 ของบริษัทโบรกเกอร์ทั้งหมดที่มีอยู่ 35 แห่งในปัจจุบัน 2.3 ธุรกิจจัดการกองทุนรวม ภายหลังการควบรวมกิจการ กลุ่ม TCAP จะมีบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมฯ จำนวน 2 บริษัท ซึ่งดำเนินการภายใต้ บลจ.ธน ชาตฯ (สินทรัพย์ภายใต้การจัดการราว 1 แสนล้านบาท) และ บลจ.นครหลวงไทย ฯ (ขนาดสินทรัพย์ภายใต้การจัดการราว 4.5 หมื่นล้านบาท) โดยคาดว่าแนวโน้ม การควบรวมกิจการน่าจะมีความเป็นไปได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มขนาดสินทรัพย์ภายใต้ การจัดการของ บลจ.ธนชาตฯ ขึ้นสู่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท 3 โครงสร้างสินเชื่อและเงินฝากเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวม กิจการ จะทำให้โครงสร้างสินเชื่อของกลุ่ม TCAP เปลี่ยนแปลงไปโดยจะเพิ่มความ หลากหลายและเกิดการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น โดยที่สินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ยังเป็นกลุ่มสินเชื่อที่มีขนาดใหญ่สุดแต่ลดสัดส่วนลงเหลือเพียง 37% ของ สินเชื่อรวม (จากเดิม 73%) ตามด้วยสินเชื่อรายใหญ่ SME และสินเชื่อรายย่อย (ที่อยู่ อาศัย) ดังแสดงในแผนภาพด้านล่าง ขณะที่โครงสร้างของแหล่งเงินทุนภายหลัง ควบรวมกิจการจะมีสัดส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ลดลงเหลือ 16% ของเงินทุนรวม จากเดิมที่มีสัดส่วนสูงถึง 27% โดยจะเน้นการพึ่งพาเงินฝากระยะยาวที่เกิดขึ้นจากเงิน ฝากของ SCIB มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อและ เงินฝาก (Asset and Liabilities management) เกิดความสมดุลมากขึ้น (สัดส่วนของ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวและอัตราดอกเบี้ยคงที่ของทั้งสินเชื่อและเงินฝากจะใกล้เคียงกัน มากขึ้น) ดังแสดงในตาราง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่ม TCAP ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ย ในระบบเข้าสู่ทิศทางขาขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดผลกระทบต่อการลดลงของส่วนต่าง ของอัตราดอกเบี้ย (NIM) จากเดิมที่มีโครงสร้างสินเชื่อที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่สูงถึง 78% ของสินเชื่อรวม กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวถึง 47% ของสินเชื่อรวม ซึ่งจะ ได้รับประโยชน์ทันทีเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่แหล่งเงินทุนที่เป็นเงินฝาก ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัวนั้นมีสัดส่วนที่ลดลงเหลือเพียง 39% จากเดิม 43% นอกจากนี้ ผลบวกจากการที่กลุ่ม TCAP จะเน้นการพึ่งพาเงินฝากจาก SCIB มากขึ้น ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่าของกลุ่ม TCAP เดิม คาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ย จ่ายโดยรวมเฉลี่ยของกลุ่ม TCAP ภายหลังการควบรวมกิจการปรับตัวลดลงถึง 60- 70bp จากนโยบายของ TCAP ที่จะค่อยๆ ทยอยปรับลดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงิน ฝากและเงินกู้ยืมระหว่าง TBANK (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยปี 2552 เท่ากับ 2.30%) กับ SCIB (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยปี 2552 เท่ากับ 1.47%) และทำให้ NIM ปี 2554 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.95% 4 ศักยภาพการทำกำไรสูงขึ้น โดยคาด ROE ภายหลังควบรวมกิจการ จะเพิ่มขึ้นสู่ ระดับ 11.7% ในปี 2553 เห็นได้จากแนวโน้มกำไรสุทธิของ TCAP ที่คาดว่าจะเติบโต มากขึ้นจากเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้นสุทธิอยู่ราว 50.92% ใน TBANK และจะเติบโต ในเชิงรุกอย่างมากในปี 2554 ซึ่งจะทำให้ ROE ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 18.5% เนื่องจากได้รับผลบวกเต็มที่ทั้งปี จากการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะใน ประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องของ Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการลดลงของต้นทุนการดำเนินงานในส่วน ของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย พนักงานในฝ่ายสนับสนุนด้านการปฎิบัติงาน (Back office) ที่ซ้ำซ้อน อีกทั้งสาขาที่ทับ ซ้อนกันในบางพื้นที่ อาจต้องมีการปิดไป ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยลงตามที่ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าสัดส่วน Cost to income ratio ปี 2554 ของ TCAP ภายหลังควบ รวมกิจการ จะลดลงเหลือราว 62.89% จาก 67.31% ในปี 2553 ดังแสดงในตาราง ข้างต้น ฐานะเงินกองทุนยังแข็งแกร่ง และเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจใน 2-3 ปีข้างหน้า ภายหลังการควบรวมกิจการ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ของ TCAP ยังสูงถึง 12% ณ สิ้นปี 2553 แบ่งเป็น Tier I 7.4% (ได้รวมผลกระทบของค่าความนิยมที่ เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการของ SCIB กว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ราคา เสนอซื้อสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี ณ สิ้นปี 2552 ซึ่งตามเกณฑ์ Basel จะต้องนำไปหักออกจาก เงินกองทุนที่มีอยู่) โดยการที่ TCAP ได้จัดหาแหล่งเงินทุนให้ TBANK เพื่อเข้าซื้อกิจการของ SCIB ทั้ง จากการใส่เงินเพิ่มทุนให้กว่า 3.579 หมื่นล้านบาท (จากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TBANK ทั้ง 2 รายได้แก่ TCAP และ Bank of Nova Scotia) และยังให้ TBANK ทำการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะ คล้ายทุน (Hybrid Tier1) แบบเฉพาะเจาะจง มูลค่า 7.13 พันล้านบาท รวมถึงการเสนอขายหุ้นกู้ ด้อยสิทธิแก่นักลงทุนทั่วไปมูลค่าราว 6 พันล้านบาท สำหรับแนวโน้มปี 2554 ภายใต้สมมติฐานการ คาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อสุทธิของ TCAP ที่ระดับ 7% yoy จะทำให้ Tier 1 ของ TCAP เพิ่มขึ้น ใกล้เคียงระดับ 8% โดยที่สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมยังสูงถึง 11.9% ซึ่งยังไม่ใช่ ประเด็นที่จะสร้างความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มทุนของ TCAP ในอนาคตอันใกล้ โดยที่ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า TCAP จะยังไม่เร่งการเติบโตในเชิงรุกเหนือกลุ่มฯ (ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ประเมินไว้ใน ปี 2553-54 ที่ระดับ 7% yoy และ 10% yoy ตามลำดับ) แต่จะใช้เวลาในการปรับปรุงระบบงาน ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงเชื่อมั่นว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า TCAP ยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด (ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อสุทธิโดยเฉลี่ยปีละ 7-8% yoy ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า) แต่ เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อฐานเงินกองทุนของ TCAP ในกรณีที่เลวร้าย หากการเติบโต ของสินเชื่อของ TBANK เป็นไปในเชิงรุกเหนือกว่าคาด จนส่งผลกระทบต่อฐานเงินกองทุนของกลุ่ม TCAP โดยรวม ฝ่ายวิจัยจึงได้จัดทำกรณีศึกษาด้วยการทำ Stress test ต่อฐานเงินกองทุนและ สินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ของ TCAP ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1) Worst case scenario ซึ่งกำหนดให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่า 10% โดย ที่ Tier 1 ใกล้แตะระดับ 6% โดยการเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสู่ระดับ 8.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการ เติบโตถึง 25% จากระดับสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ที่ 6.98 แสนล้านบาท โดยที่ไม่รวมผลการ ดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้าที่ประเมินไว้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือสุทธิจาก เงินปันผล (ภายใต้สมมติฐาน Payout ratio ที่ 45% ของกำไรสุทธิ) ในปี 2554-55 แล้วจะเท่ากับ 8.25 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ TCAP ต้องเพิ่มทุนราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ Tier 1 กลับไปสู่ระดับ 7- 8% เท่าเดิม ซึ่งกรณีจะเป็นไปได้ค่อนข้างยากและไม่สมเหตุผลเนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อใหม่ๆ ในเชิงรุกถึง 25% yoy ในปี 2553 นั้นเป็นไปได้ยากในภาวะเศรษฐกิจที่ยังในช่วงฟื้นตัว กรณีที่ 2) Base case scenario ซึ่งกำหนดให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่า 10% โดย ที่ Tier 1 ใกล้แตะระดับ 6% โดยการเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงขึ้นสู่ระดับ 8.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการ เติบโตถึง 25% จากระดับสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี 2553 ที่ 6.98 แสนล้านบาท แต่ได้รวมผลการ ดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปีข้างหน้าที่ประเมินไว้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือสุทธิจาก เงินปันผล (ภายใต้สมมติฐาน Payout ratio ที่ 45% ของกำไรสุทธิ) ในปี 2554-55 แล้วจะเท่ากับ 8.25 พันล้านบาท โดยแนวทางนี้ถือว่าค่อนข้างสมเหตุผลมากกว่ากรณีที่ 1) เนื่องจากในทางปฎิบัติ จะต้องกมีการรวมฐานกำไรสุทธิในช่วงปี 2554-55 ซึ่งจะทำให้ Tier 1 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7% ได้ใกล้เคียงระดับเดิม แนะนำซื้อ...สร้างการเติบโตเชิงรุกของกำไรในเวลาอันสั้น...ราคาถูก ปันผลสูงฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ TCAP ด้วยศักยภาพการทำธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ธ.พ.อันดับ 5 ของประเทศภายหลังการควบรวมกิจการ โดยกำหนด Fair value ของ TCAP อิง PBV 1.1 เท่า ภายใต้ประมาณการผลการดำเนินงานปี 2553-54 ภายหลังการควบรวมกิจการกับ SCIB คือ 30.84บาท (ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 14.2% ซึ่งเป็นมูลค่ากิจการที่ได้สะท้อน Synergy ของ ธุรกิจที่เกิดขึ้นภายหลังควบรวมกิจการกับ SCIB โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ ทยอยลดลง แต่ยังไม่รวมผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับธุรกิจการให้บริการ ทางการเงินอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้ม การเติบโตของรายได้และกำไรในเชิงรุกเกิน 2 เท่าของ GDP ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาด EPS ปี 2553-54 ของ TCAP จะเติบโตต่อเนื่องถึง 11.1% yoy และ 8.1% yoy ตามลำดับ ทำให้คาดการณ์ ROE ปี 2553- 54 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.7% และ 18.5% ตามลำดับ ซึ่งเมื่อเทียบกับ PBV ปี 2553-54 แล้วจะเห็นว่า ยังเป็นระดับที่ถูกมาก โดยราคาปัจจุบันยังมี upside ถึง 43% และคาดการณ์ Div yield ปี 2553-54 ที่ระดับ 6.6% และ 10.1% p.a. (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)http://www.settrade.com/brokerpage/AnalystConsensus/Research/asp_tcap.pdf
โดย
tutinglee
อาทิตย์ มี.ค. 21, 2010 11:17 am
0
0
งานวิจัย เปรียบเทียบผลตอบแทน VI กับค่าเฉลี่ยตลาดหลักทรัพย์
เรียบร้อยแล้วครับ
โดย
tutinglee
เสาร์ ม.ค. 16, 2010 11:21 pm
0
0
มีหุ้นตัวไหนที่ทุกท่านคิดว่าราคายังไม่สะท้อนคุณค่าบ้างคับ
[quote="humdrum"]มาแจมครับ
โดย
tutinglee
อังคาร ต.ค. 13, 2009 12:30 am
0
0
ขอความคิดเห็นการจัดงานสัมมนาไทยวีไอ ครั้งที่ 2 ครับ
เสนอให้มี โคโยตี้สวยๆ มาช่วยแนะนำหุ้นแต่ละตัวด้วยครับ จะได้ตั้งใจฟังดีๆ ไม่เครียดและไม่เหม่อลอยครับ เพราะถ้าเครียดอาจทำให้เลือกหุ้นผิดตัวได้ครับ
โดย
tutinglee
อาทิตย์ ต.ค. 04, 2009 12:05 am
0
0
UT มูลค่าที่ซ่อนไว้มหาศาล
อย่างนี้ ลองคำนวณของ bland ดูบ้างซิครับ ผมว่ามหาศาลเลยนะครับเมื่อเทียบกับราคาที่ดินปัจจุบัน
โดย
tutinglee
พุธ ก.ย. 23, 2009 6:46 pm
0
0
ขอความเห็นเรื่อง การรวม TOP-PTTCH-PTTAR-IRPC
PTTARเป้าหมาย30บ. ขานรับแผนควบกิจการ หุ้นแนวโน้ม PTTAR สวยสุดหลังควบรวม ลุ้นแตะเป้าหมายใหม่ 30 บาท ขณะที่ PTTCHยังโดดเด่น โครงการลงทุนใหม่หนุนราคาหุ้นวิ่งแตะ 80 บาท ก่อนสรุปดีลกลางเดือนต.ค.นี้ ส่วน TOP-IRPC รายได้ยังนิ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ราคาหุ้นกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าข้อสรุปการศึกษาแผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูก คือบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR ,บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่คาดว่าจะประกาศออกมาภายในกลางเดือน ต.ค.นี้ ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่า แต่ผู้บริหาร ปตท. เชื่อว่าภายหลังจากการควบรวมจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง ขณะเดียวกันจะทำให้การดำเนินงานแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะสามารถควบรวมระหว่าง PTTAR กับ IRPC และ PTTCH กับ TOP นักวิเคราะห์บล.คันทรี กรุ๊ป กล่าวว่า แผนการควบรวมกิจการ 4 บริษัทลูกของ ปตท.ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่เรามองว่าหุ้น PTTAR และ PTTCH จะได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงทุนโครงการใหม่ไปแล้ว ซึ่งยังไม่รับรู้รายได้ โดย PTTAR ลงทุนโครงการ Upgrading Complex ที่แล้วเสร็จตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ PTTCH ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันต่อปี และผลิตเม็ดพลาสติก 4 แสนตัน รวมทั้งโครงการผลิต HDPE เข้ามาในไตรมาส 4/52 ด้วย ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นอย่างมาก ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ปีนี้สำหรับ PTTAR ไว้ที่ 30 บาท และ PTTCH 80 บาท สำหรับหุ้น TOP และ IRPC เรามองว่าไม่น่าจะโดดเด่นมากนัก โดยประเมินราคาเป้าหมายปีนี้สำหรับ TOP ไว้ที่ 40 บาท และ IRPC 4.5 บาท เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไม่มีการลงทุนโครงการใหม่ๆเพิ่ม ทำให้ในแง่ของรายได้และกำไรคงที่ อย่างไรก็ตามผลประกอบการขึ้นอยู่กับราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดด้วย แต่เชื่อว่าหุ้น TOP และ IRPC ยังไม่น่าสนใจเท่ากับ PTTAR และ PTTCH "เราประเมินการเติบโตของมูลค่าหุ้น โดยคิดจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่ PTTAR และ PTTCH ลงทุนไปแล้ว แต่ยังไม่บุ๊คในบัญชีรายรับ อย่างไรก็ตามในแง่ของผลประโยชน์สูงสุดในการดำเนินการหลังการควบรวมนั้น เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า 4 บริษัท จะจับคู่หรือแผนการควบรวมจะออกมาในรูปแบบใด"นักวิเคราะห์ กล่าว ด้านสถาบันวิจัยนครหลวงไทย แนะนำ"เก็งกำไร"สำหรับหุ้น PTT โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/52 ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมีและรายได้จากโรงแยกก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงหนุนที่สำคัญ นอกจากนี้ ประเด็นการควบรวมกิจการ ที่จะคาดจะได้ข้อสรุปประมาณกลางเดือน ต.ค.52 ใน ที่สุดจะส่งผลบวกต่อ PTT ด้วยจาก Synergy ที่เกิดขึ้น ให้ราคาเหมาะสมปี 52 ที่ 296 บาท โดยในส่วนของ TOP เห็นว่าทุกกรณีของการควบรวมกิจการ TOP จะได้ประโยชน์สูงสุด ด้านบล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" PTTCH เนื่องจากคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/52 ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2,500 ล้านบาท สเปรดเอทิลีน-นาฟทา รวมถึง MEG-นาฟทา ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนก.ย.นี้ ราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นจากดีมานด์จีนที่ร้อนแรงต่อเนื่อง ประกอบกับราคาแนฟทาอ่อนตัวลง สเปรดจึงกว้างขึ้น โดยสถานการณ์ดีดังกล่าวอาจยาวไปถึงเดือน ต.ค.52 ส่วนโครงการเอทิลีน 1 ล้านตัน คาดไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีนี้ เพราะกว่าจะรับรู้กำไรคาดเป็นช่วงปลายไตรมาส 4/52 แล้ว แต่การขึ้นโครงการใหม่ในเบื้องต้นจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามา คือแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มรับรู้ระยะแรกต้องมีการผลิตโอเลฟินส์โดยใช้แนฟทาในสัดส่วนมากขึ้น เพราะโรงแยกก๊าซ 6 อาจเสร็จภายหลังโรงงานเอทิลีนของ PTTCH สำหรับประเด็นการการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ 4 แห่งของ PTT เป็น 2 คู่ที่ควบกันคือ คู่ที่ 1 คือ IRPC กับ TOP สัดส่วน 10 ต่อ 1 คู่ที่ 2 คือ PTTAR กับ PTTCH สัดส่วน 3 ต่อ 1 โดยคู่หลังคาดควบกันโดยใช้วิธีอัตราส่วนของราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น(P/BV) ที่ 1.4 เท่า ปรับราคาเป้าหมายของ PTTCH ขึ้นเป็น 94 บาท อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ของ PTTCH ขึ้นจาก 4,701 ล้านบาท เป็น 6,700 ล้านบาท และปรับกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้นจาก 8,621 ล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท แม้ค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ(PER) จะสูงถึง 20 เท่าในปี 52 และ 11 เท่าในปี 53 แต่ P/BV ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าธุรกิจปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการซื้อขายกันที่ P/BV ในปี 53 ประมาณ 1.4-1.5 เท่า ขณะที่กระแสการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ PTT คาดว่าจะช่วยให้เกิด Synergy หลังการควบรวมเพิ่มขึ้น โดยประเมินราคาเหมาะสม PTTCH ที่ 94 บาท ,PTTAR 31.96 บาท ,TOP 52.31 บาท และ IRPC ไว้ที่ 5.91 บาท \\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\ วันที่ 11 ก.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว 6ช.ม. 26นาที http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/first_page_detail.aspx?cid=31162
โดย
tutinglee
เสาร์ ก.ย. 12, 2009 1:28 am
0
0
ขอความเห็นเรื่อง การรวม TOP-PTTCH-PTTAR-IRPC
บล. กสิกรไทยมอง PTTAR และ IRPC เป็นคู่การควบรวมกิจการที่เหมาะสมกันมากที่สุด Posted on Friday, September 04, 2009 กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวในรายการ Trading Hour (Morning) ว่า การควบรวมกิจการของบริษัทในเครือบมจ. ปตท. (PTT) น่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.ย. ต.ค. นี้แน่นอน ซึ่งมีการคาดเดากันว่า อาจมีการควบรวมกันใน 4 บริษัทคือ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) อย่างไรก็ตาม กวีมองว่า คู่ที่น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดคือการควบรวมระหว่าง PTTAR และ IRPC เพราะ PTTAR มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่วน IRPC จะต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งสามารถเกื้อหนุนกันและกันได้ นอกจากนี้ หากมีการควบรวมกิจการกัน IRPC ก็จะไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้เทียบเท่ามาตรฐาน EURO 4 ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กวีแนะนำว่า นักลงทุนอาจเข้าไปเก็งกำไรก่อนล่วงหน้าทั้งใน PTTAR และ IRPC ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นหุ้นตัวใหม่ ทั้งนี้ PTTAR ยังมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 ดีที่สุดใน 4 บริษัทที่มีข่าวการควบรวมกิจการ เพราะ Spread ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (ส่วนต่างระหว่างต้นทุนและราคาขาย) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการอะโรเมติกส์ของจีนยังอยู่ในระดับสูง โดยรายได้ของ PTTAR ในส่วนของอะโรเมติกส์ยังสามารถไปทดแทนค่าการกลั่นที่ลดลงได้อีกด้วย ติดตาม Trading Hour (Morning) ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. ทาง Money Channel http://www.moneychannel.co.th/Menu6/MoneylineNews/tabid/89/newsid491/97310/Default.aspx
โดย
tutinglee
อังคาร ก.ย. 08, 2009 11:35 pm
0
0
วุฒิศักดิ์ คลีนิค จะเข้าตลาด จะสร้าง รพ ใหญ่ ขนาดไหนหว่า
ฮาๆ ผมนึกว่าจะไม่มีคนรู้ซะอีก ผมถึงไม่ซื้อแน่นอน ยกเว้นเป็นพรเกษม ตามพรบ.คุ้มครองผู้บริโภคตัวใหม่ต้องติดชื่อยาให้ชัดเจน แต่ยังไม่เห็นClinic Skinไหนทำเลย เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป ดูบัญชีงบดุลก็แปลกๆ ไม่น่าเชื่อว่า 55 สาขา จะทำกำไรได้แค่ 2ล้าน8แสนกว่าบาท แค่เริ่มต้นก็ดูเหมือนไม่จริงใจยังไงไม่รู้ แล้วต่อไปจะเป็นขนาดไหนเนี่ย
โดย
tutinglee
เสาร์ ส.ค. 22, 2009 11:19 pm
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ณ.จันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4 (กระทู้สอง)
เสียดายจัง ต้องไปเป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดงานพอดี ขอสละสิทธิ์งวดนี้ก่อนแล้วงวดหน้าค่อยเจอกันนะครับ ขอขอบคุณ sgp , svi , และต่อไปก็ bcp มากๆมานะที่นี้ด้วยครับ
โดย
tutinglee
เสาร์ ส.ค. 22, 2009 11:06 pm
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4
[quote="สามัญชน"]อ้อ......งวดนี้มีพิเศษนิดหนึ่ง ผมคาดว่าจะมีหุ้นหนึ่งตัวไปฝากเพือนๆด้วย เป็นตัวใหม่สดๆร้อนๆ ส่วนจะเด็ดหรือไม่เด็ดก็ให้เพื่อนๆพิจารณากันเอง ที่ว่าพิเศษคือ ผมจะเปิดให้เพื่อนๆเดาก่อนล่วงหน้า แล้วไปเฉลยวันงาน ผู้ที่เดาถูกเป็นคนแรก ผมจะควักกระเป๋าจ่ายหนึ่งพันบาทเป็นค่าเข้างานให้ครับ ส่งคำตอบได้คนละตัวเท่านั้นนะครับ
โดย
tutinglee
อังคาร ส.ค. 04, 2009 1:03 am
0
0
พบดร.นิเวศน์ หมอสามัญชนและพี่วิบูลย์ เสาร์1สค ตลาดหลักทรัพย์
อีกตัวรู้สึกว่าจะเป็น BCP แอบกระซิบคุณหมอสามัญชนมา
โดย
tutinglee
เสาร์ ส.ค. 01, 2009 10:28 pm
0
0
เซียนพี่ VI ท่านใดใจดี ช่วย....ให้หวย หุ้นงบQ2 ที่กำไรเพิ่ม
อันนี้แน่นอน แต่ราคายังไม่ตอบสนองเลย
โดย
tutinglee
เสาร์ ก.ค. 18, 2009 8:08 pm
0
0
เซียนพี่ VI ท่านใดใจดี ช่วย....ให้หวย หุ้นงบQ2 ที่กำไรเพิ่ม
BCP : บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
โดย
tutinglee
เสาร์ ก.ค. 18, 2009 10:41 am
0
0
หุ้น 10 เด้งวันนี้ยังมีอยู่ไหม?
[quote="tutinglee"] ผมขอเสนอ sgp ครับ แต่ไม่มักมาก แค่ขอ 2 ถึง 3 เด้ง ในเวลาปีสองปีอันใกล้นี้ (10ปีมันนานเกินรอครับ )
โดย
tutinglee
อังคาร มิ.ย. 30, 2009 5:16 pm
0
0
กระทู้รวบรวม คำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับเครดิตภาษี
การโอนหุ้นของพอร์ทเราไปให้พอร์ทภรรยา (จดทะเบียนสมรส ) อย่างนี้ถือว่าเป็นเงินได้ที่ภรรยาต้องเสียภาษีหรือเปล่าครับ
โดย
tutinglee
อาทิตย์ มิ.ย. 28, 2009 10:12 pm
0
0
หุ้น 10 เด้งวันนี้ยังมีอยู่ไหม?
ผมขอเสนอ sgp ครับ แต่ไม่มักมาก แค่ขอ 2 ถึง 3 เด้ง ในเวลาปีสองปีอันใกล้นี้ (10ปีมันนานเกินรอครับ ) เหตุผล คือ ราคาgas lpg ในปัจจุบันยังไม่ใช่ราคาที่แท้จริง มีการชะลอการปรับราคามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้ รัฐบาลกำลังยกเลิกมาตรการชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือน เนื่องจากเห็นว่า จะทำให้บิดเบือนกลไกตลาด ควรปล่อยให้เป็นไปโดยเสรี (ที่มา http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070015 ) Figure 1: LPG SGP Cookingas g1Q082Q083Q084Q081Q09 PTT43.5%44.4%44.8%44.5%44.7% Picnic Gas8.4%8.0%7.6%7.4%8.5% World Gas13.7%13.9%14.0%14.6%14.1% Others2.9%2.9%2.8%2.8%2.6% SGP31.6%30.8%30.7%30.7%30.2% Automobile PTT7.1%7.5%8.8%7.8%7.3% Picnic Gas16.2%14.5%15.2%12.3%11.3% World Gas20.6%22.9%22.4%25.0%26.8% Others5.6%5.8%3.8%3.8%5.7% SGP50.5%49.4%49.7%51.1%48.8% Industry PTT39.2%42.1%43.6%43.5%45.2% Picnic Gas2.3%1.9%1.7%2.4%2.8% Esso6.6%6.9%6.8%7.6%10.3% World Gas16.9%13.9%15.3%15.5%14.1% Others17.8%18.7%17.1%13.7%11.5% SGP17.2%16.5%15.6%17.2%16.2% Total PTT35.7%36.1%35.9%36.1%37.1% Picnic Gas8.6%8.2%8.4%7.7%8.2% Esso1.4%1.3%1.2%1.3%1.5% World Gas15.7%15.8%16.3%17.1%16.7% Others6.5%6.5%5.6%4.8%4.5% SGP32.2%32.0%32.6%33.1%31.9% Source: Energy Policy and Planning Office (EPPO) Figure 2: LPG 20052006200720081Q09 Cooking68.1%64.0%61.6%59.7%64.8% Automobile12.8%17.0%18.7%21.8%20.5% Industry19.1%19.0%19.7%18.5%14.6% Total100.0%100.0%100.0%100.0%100.0% จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในส่วนของธุรกิจขายก๊าซ LPG เป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงบริษัท ปตท.เท่านั้น สยามแก๊สมีลูกค้า 3 ประเภท คือ ลูกค้าที่นำก๊าซ LPG ไปใช้เป็นก๊าซหุงต้ม (สัดส่วนราว 51.7%) เช่น โรงบรรจุก๊าซ LPG ร้านค้าก๊าซ LPG และผู้ใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน โรงแรม และภัตตาคาร กลุ่มที่สองคือลูกค้าที่นำก๊าซ LPG ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ (25.5%) เช่น สถานีบริการก๊าซ LPG และรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง และกลุ่มสุดท้ายคือลูกค้าที่นำก๊าซ LPG ไปใช้ในด้านอุตสาหกรรม (9.5%) ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทในเครือ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ของตลาดราว 31% โครงสร้างรายได้ปัจจุบันยังคงจะมาจากธุรกิจก๊าซหุงต้ม จำนวน 60% รายได้มาจากก๊าซรถยนต์จำนวน 30% และก๊าซอุตสาหกรรมจำนวน 10% ขณะที่บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นจากก๊าซหุงต้มที่ 10% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากก๊าชรถยนต์และ ก๊าซอุตสาหกรรมมีมาร์จิ้นยู่ที่ 26% สรุป กาซหุงต้มขึ้นก็น่าจะทำกำไรได้มากขึ้น กาซรถยนต์ก็ขายได้มากขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้น ยังไม่รวมรายได้จากภาคอื่นๆ เช่น โรงงาน ethanal ที่กำลังกลับสู่สายพานการผลิตเนื่องจากราคา ethanal เพิ่มสูงขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย
โดย
tutinglee
อาทิตย์ มิ.ย. 21, 2009 10:16 pm
0
0
ควันหลง....จิบเบียร์คิวหนึ่ง 29พค2552 ที่"กุ้งเต้นราชพฤ
เห็นน้องๆที่เขามุงฟังกันอยู่ตกลงกันว่า ใีครไม่มาจะไม่บอกอ่ะครับ ให้ตกรถซะให้เข็ด แต่อีกคนบอกว่า หรือเราเก็บให้ครบก่อน ค่อยโพสบอก พี่ต้า อยากให้เป็นอย่างไหนครับ เห็นอาจารย์บอกว่าให้ไปบอกเพื่อนๆด้วย ถ้าไม่บอก งวดหน้าจารย์ไม่มา
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. มิ.ย. 04, 2009 12:40 am
0
0
fundflow in q2 และ downside risk ในระยะถัดไป
สำหรับผมจะสังเกตุ fundflow จากค่าเงินบาทครับ ถ้ายังมี fundflow ไหลเข้ามาอยู่ ค่าเงินบาทจะยังคงแข็งต่อเนื่อง แต่ถ้าเมื่อใดค่าเงินบาทเริ่มอ่อนให้พึงระวังว่า fundflow อาจเริ่มไหลออกครับ
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. พ.ค. 28, 2009 1:46 am
0
0
ก๊าซธรรมชาติ - commodity ที่ถูกที่สุด ณ เวลานี้
พูดถึง SGP รึเปล่าครับ
โดย
tutinglee
เสาร์ พ.ค. 23, 2009 7:57 pm
0
0
Re: เพื่อนๆคิดว่าปีนี้จะมีบริษัทไหนโตสวนตลาดได้บ้างครับ
[quote="ลูกอิสาน"][quote="tutinglee"]เนื่องจากปีนี้ เศรษฐกิจยังคงแย่ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
โดย
tutinglee
อาทิตย์ มี.ค. 29, 2009 9:07 pm
0
0
STPI ประวัติเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ??
เท่าที่กลับไปดูอดีต ผมมีความเห็นว่าการกระทำต่างๆของบริษัทล้วนมีเหตุผลรองรับครับ ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความเจริญของบริษัทตามแผนที่ผู้บริหารบริษัทวางไว้ อีกอย่างเวลาผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นตัวใด ผมจะมองที่อนาคตมากกว่าครับ ผมซื้ออนาคตครับไม่ได้ซื้ออดีต ดังนั้น ผมจึงยังมีความสบายใจอยู่ตลอดเวลาตราบใดที่หุ้นนั้นยังมีอนาคตที่ดีอยู่ วันที่ซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นที่ซื้อคืน ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด มูลค่ารวม 25 มี. ค. 52 1,042,000 8.00 7.80 8,329,310.00 หมายเหตุ บริษัทยังมีการซื้อหุ้นคืนอยู่นะครับ ถ้าอนาคตดูไม่ดี บริษัทคงไม่กล้าซื้อหุ้นคืนหรอกครับ
โดย
tutinglee
พฤหัสฯ. มี.ค. 26, 2009 12:58 pm
0
0
62 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
tutinglee
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ม.ค. 07, 2009 11:16 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ ต.ค. 27, 2018 2:53 pm
โพสต์ทั้งหมด:
208 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.04 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว