หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
golfkinmon
Money is neutral
Joined: จันทร์ ก.พ. 16, 2009 10:49 am
281
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - golfkinmon
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
เปิดตัว เฮียคลายเครียด
ขอคารวะ ...
โดย
golfkinmon
พฤหัสฯ. พ.ย. 04, 2010 6:50 pm
0
0
สรุปความ งานสัมนา มันนี่ทอล์ค 17 กค.53 ครับ
ขอบคุณครับหมอนุ่น อ่านของคุณ Champ_st แล้วอ่านของหมอ noooon010 แล้วผมว่ามันเติมเต็มดีนะครับ มีสไตล์การสรุปยอดเยี่ยมทั้งคู่เลย ขอบคุณมากครับ
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 6:26 pm
0
0
สรุปสัมมนาเรื่อง วางแผนการเงินและเส้นทางรวยคับ
ขอคารวะคุณแชมป์มือจด เทพเลคเชอร์ครับ :bow: :bow: :bow:
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 12:35 pm
0
0
อยากรู้เรื่องวิกฤติการเงิน "กรีซ" ครับ เป็นมาอย่าง
EU finance ministers support tougher scrutiny rules Page last updated at 08:28 GMT, Tuesday, 8 June 2010 09:28 UK European Economic and Monetary Affairs Commissioner Olli Rehn Mr Rehn said the EU had proven its determination to act EU finance ministers have moved closer to agreeing to allow other governments to study their annual budgets before they're seen by national parliaments. The move had been strongly opposed by the UK, but officials said a compromise had been worked out. It comes as the finance ministers are meeting to establish further ways to tackle excessive government debt. A rescue scheme for debt-ridden eurozone states has been agreed and will be in place by the end of June. This 440bn-euro ($536bn; £363bn) fund - officially called the Special Purpose Vehicle - will enable the 16 nations that use the single currency to access cheap emergency loans and loan guarantees should they find themselves unable to raise money on the open market to pay their debts. Member states hope it will never need to be used, but that its existence will convince markets that default fears are unfounded. It has been set up in response to the financial crisis in Greece, with fears that the Greek government would default on its loan payments, and that the debt crisis could spread to other countries such as Spain, Portugal, and the Republic of Ireland. The two meeting of EU finance ministers in Luxembourg is also expected to agree to support sanctions for countries whose debt levels and budget deficits are growing too quickly. http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/10262444.stm
โดย
golfkinmon
อังคาร มิ.ย. 08, 2010 3:57 pm
0
0
สรุปงานจิบเบียร์ ที่ดิเอ็ม 4/6/10มาแร้วครับ
ขอบคุณคุณ Champ_st ที่สรุปมาแบ่งบัน ...จดได้ยอดเยี่ยมมาก ขอให้รวย ๆๆ นะครับ :8)
โดย
golfkinmon
เสาร์ มิ.ย. 05, 2010 4:06 pm
0
0
งบออกแล้ว เจอหุ้นตีแตกไหมครับ
พี่หมอสามัญชน เป็นเซียนหุ้นวัฎจักร :bow: ผมได้อ่าน Investing in cyclical stock ในคลังกระทู้คุณค่า เลยมาสนใจหุ้นกลุ่มวัฎจักรอย่างมาก ผมขอถามความเห็นว่า RCL น่าสนใจไหมครับ มีจุดไหนที่ต้องระมัดระวังกับหุ้นวัฎจักรบ้างครับ
โดย
golfkinmon
อังคาร พ.ค. 18, 2010 9:26 pm
0
0
บริษัทที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่ยังไม่ได้เข้าตลาด
ZUELLIG pharma DKSH บริษัท ดีเคเอสเอช(ประเทศไทย) จำกัด
โดย
golfkinmon
อังคาร พ.ค. 18, 2010 1:34 pm
0
0
+++ ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วครับ +++ แถลงการณ์ฉบับที่ 1
ส่งแล้วครับ
โดย
golfkinmon
อังคาร พ.ค. 11, 2010 8:57 am
0
0
วิกฤติโอลิมปิก....กรีซจะอยู่หรือจะไป!!!
EU creates $1 trillion package to save euro BRUSSELS European foreign ministers and EU leaders are voicing optimism that the $1 trillion plan to prevent its debt crisis from undermining the euro and derailing the global economy was working as hoped. EU foreign affairs chief Catherine Ashton says the plan is good both for Europe and the world economy. Stock and bond markets in Asia and Europe are rising on the news of the EU move. Under the three-year plan adopted early Monday, countries from the 16-nation eurozone would promise backing worth euro440 billion for troubled governments. The IMF would contribute about additional euro250 billion and the EU euro60 billion. THIS IS A BREAKING NEWS UPDATE. Check back soon for further information. AP's earlier story is below. BERLIN (AP) The German government will move swiftly to approve its share of the new rescue package for the eurozone, Chancellor Angela Merkel said Monday, calling the plan a necessary measure to protect her compatriots' money. Merkel said her Cabinet will pass the package of loan guarantees in a special meeting Tuesday and it will then go to parliament for "quick but thorough" consideration. Under the three-year plan, the European Commission the EU's governing body will make euro60 billion ($75 billion) available while countries from the 16-nation eurozone would promise backing for euro440 billion ($570 billion). The IMF would contribute an additional sum; and the European Central Bank said it is ready to buy debt from the eurozone. "We are convinced that everything was done to be able to secure the stability of our currency," Merkel said at a brief early morning news conference. "I can say this to our citizens: we are protecting the money of people in Germany," she said. "This package is necessary and serves to guarantee and secure the future of the euro." Germany's share of the loan guarantees is expected to be some euro123 billion. Merkel stressed that budget consolidation in the 16 eurozone countries will have "extraordinary importance." "Access to the guarantees we are setting up will be linked to consolidation programs being provided to the IMF and the European Union, which will then be regularly reviewed," Merkel stressed. Rescuing Greece from its own financial irresponsibility was unpopular in Germany. The government on Friday pushed through parliament Germany's share of a separate rescue package for Greece. Merkel said that "we don't need to approve this bill within two or three days but can complete deliberations with a little more time" because the European Commission's initial euro60 billion contribution doesn't require national approval. "The eurozone's member states showed yesterday that we have a common political will to do everything for the stability of our common currency," she said. "This is a determined and united message to those who think that they can weaken Europe." http://news.yahoo.com/s/ap/20100510/ap_on_bi_ge/eu_europe_financial_crisis
โดย
golfkinmon
จันทร์ พ.ค. 10, 2010 4:57 pm
0
0
อยากรู้เรื่องวิกฤติการเงิน "กรีซ" ครับ เป็นมาอย่าง
Friday, 7 May 2010 แผนการแก้วิกฤตของ Greece แผนการแก้วิกฤตของ Greece ประเด็นร้อนช่วงนี้ ก็คงไม่พ้นจากเรื่องของความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของประเทศกรีซ ซึ่งวันนี้เราจะมาสรุปให้ฟังกันถึงรายละเอียดของแผนช่วยเหลือ นัยต่อยุโรป และสิ่งที่ต้องทำต่อไป อยากให้สรุปว่าแผนช่วยเหลือที่ประกาศออกมาเป็นอย่างไร หลังจากที่ได้ยื้อกันมานาน ในที่สุดแผนการช่วยเหลือกรีซก็ได้คลอดออกมาเป็นรูปร่าง เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ พันธบัตรรัฐบาลกรีซถูกปรับลดอันดับลงไปเป็น Junk bond เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า โดยแผนดังกล่าวมีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายด้าน หนึ่ง แผนนี้เป็นความตกลงร่วมกัน 4 ฝ่าย คือ EU IMF ECB กับกรีซ การต้องมีหลายคนเข้ามาร่วมกันเพราะว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่า IMF จะยืนมือเข้าไปช่วยเหลือคนเดียวได้ และต้องการความช่วยเหลือจากหลายคน ยุโรปและจาก IMF เป็นคนให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินจำนวนวงเงิน 110 พันล้านยูโร โดยทาง IMF จะช่วยจ่ายให้เป็นจำนวน 30 พันล้านยูโร ส่วนที่เหลือจะมาจากประเทศสมาชิกในยูโร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากเยอรมันและฝรั่งเศส เงินจำนวนดังกล่าวจะถูกแบ่งจ่ายออกในช่วง 3 ปี ที่จะถึงนี้ โดยในปีแรกกรีซจะได้เงินช่วยเหลือจำนวน 30 พันล้านดอลลาร์ยูโร และอีกสองปีถัดไปปีละ 35 พันล้านยูโร พร้อมกับเงินอีก 10 พันล้านยูโรเอาไว้ช่วยแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน IMF มีหน้าที่เพิ่มเติมในการให้คำปรึกษา สร้างความเชื่อมั่นในแผนการช่วยเหลือ และกำกับดูให้เป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ ส่วนของ ECB นั้นจะช่วยในส่วนของการให้สภาพคล่องแก่สถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยอมผ่อนกฏเกณฑ์ให้สถาบันการเงินสามารถเอาพันธบัตรกรีซเป็นตราสารค้ำประกันเวลาที่ต้องการกู้ยืมเงินระยะสั้นจากทาง ECB แม้ว่าในปัจจุบันพันธบัตรกรีซจะเป็น Junk Bond แล้วก็ตาม ส่วนกรีซ มีหน้าที่รัดเข็มขัด ปฏิรูปตนเองให้ได้ สอง ในส่วนของรายละเอียดของแผนนั้น ก็มีความน่าสนใจมาก โดยแผนนี้มีเป้าหมาย 2 ด้าน ก็คือ (1) แก้ไขปัญหาด้านการคลัง และหนี้ภาครัฐ ซึ่งกรีซมีหนี้อยู่สูงมากที่สุดในกลุ่มยูโรที่ 125% ของ GDP ในปีนี้ และ (2) การแก้ไขปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของกรีซ เพื่อให้กรีซสามารถที่จะกลับมาเจริญเติบโตได้อีกครั้งหนึ่ง งานด้านแรกที่กรีซต้องทำ ก็คือ จัดการปัญหาด้านการคลังให้จบลงไป จากเคยขาดดุลสูงถึง 13.6% ในปี 2009 ต้องลดให้เหลือ 2.6 % ใน 3 ปีข้างหน้า หรือลดลง 11% ของ GDP ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนที่ใหญ่มาก แต่ว่าต้องทำ 5.25% จะมาจากการลดการใช้จ่ายภาครัฐลงไป โดยจะไม่เพิ่มเงินเดือนข้าราชการและเงินบำนาญ เป็นเวลา 3 ปี และยกเลิกเงินที่จ่าย bonuses ให้ในช่วงคริสตมาส อีสเตอร์ วันปิดภาคฤดูร้อน ออกไป อีก 4% มาจากการเพิ่มรายได้ จากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ยาสูบ เหล้า เป็นต้น 1.8% ที่เหลือจะมาจาก การปฏิรูประบบภาษีเพื่อกำจัดช่องโหว่ทางภาษีและเพิ่มฐานภาษี นอกจากนี้ ในข้อตกลงกับ IMF กรีซจะมีการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม ประกันสังคม ประกันการว่างงาน รวมไปถึงการขยายเวลาการทำงานออกไปจนถึง 65 ปี และลดรายจ่ายด้านทหารลง ตลาดขานรับดีหรือไม่ และนักวิเคราะห์นักเศรษฐศาสตร์คิดว่าอย่างไร การขานรับไม่ดีเท่าที่คิดไว้ โดยในช่วงวันจันทร์อาจจะปรับตัวดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรกรีซที่ปรับตัวลดลงจากที่เพิ่มขึ้นไปมากเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของ CDS ของกรีซ โปรตุเกส และสเปน ทำให้ในวันอังคารกับวันพุธคนเริ่มมีความกังวลใจว่า ปัญหาของประเทศกรีซจะกระจายตัวไปที่โปรตุเกส และสเปน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงมาอย่างแรง โดยเฉพาะในยุโรป และในกลุ่มแบงก์ของยุโรป ตรงนี้ ที่หลายคนกลัวและกังวลใจมีอยู่หลายประเด็น หนึ่ง ตกลงว่าเงินช่วยเหลือดังกล่าวจะเพียงพอต่อความต้องการในการใช้เงินของกรีซในช่วง 3 ปีข้างหน้าหรือไม่ เพราะว่าหนี้ภาครัฐกรีซมีทั้งหมดประมาณ 3 แสนล้านยูโร ที่คนกลัวก็คือ จะต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรของกรีซหรือไม่ เพราะว่าคนที่ถือพันธบัตรเหล่านี้ส่วนหนึ่งคือแบงก์ในยุโรป ตรงนี้ไม่น่าแปลกใจว่าหุ้นแบงก์ตกลงมากในช่วง 2-3 วันที้ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของ package ที่ออกมานั้น ใหญ่กว่าที่ได้พูดไว้ และตอนนี้คนกำลังกังวลว่าถ้าโปรตุเกสเกิดปัญหา และสเปนเกิดปัญหา ยูโรจะมีเงินพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้หรือไม่ สอง กรีซจะสามารถจัดการปัญหาการประท้วงและเดินขบวนในประเทศได้หรือไม่ เพราะสหภาพแรงงานของกรีซมีความเข้มแข็งมาก และการประทัวงเริ่มรุนแรง มีคนเสียชีวิต 3 คน เมื่อวาน ถ้าทำไม่ได้ แผนการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้อาจจะไม่เข้าเป้า สาม ต่อให้ทำได้ การที่กรีซจะต้องลดการใช้จ่าย และเก็บภาษีเพิ่ม กรีซจะขยายตัวได้อย่างไร เพราะปกติแล้วในประเทศที่ IMF เข้าไปช่วยเหลือ จะสามารถที่จะลดค่าเงินประกอบด้วย ซึ่งจะช่วยให้ภาคส่งออกสามารถขยายตัวได้ และช่วยให้ต้นทุนการผลิตและค่าจ้างแรงงานของกรีซซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ปรับลดลงมาและแข่งขันได้ แต่ในกรณีนี้ไม่มี แล้วถ้าเศรษฐกิจไม่โต จะเอาสัดส่วนหนี้ภาครัฐต่อ GDP ลงมาได้อย่างไร สี่ จะทำอย่างไรกับปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน และปัญหาการแห่ถอนเงินจากแบงก์ในกรีซ เพื่อป้องกันว่าหากเกิดปัญหาก็จะไม่ถูกกระทบ ตรงนี้ ในส่วนของหนี้เสียในแผนได้เตรียมเงินไว้เพิ่มทุนแบงก์แล้ว 10 พันล้านยูโร แต่ว่าปัญหาที่น่ากังวลใจไปกว่านั้นก็คือปัญหาการถอนเงินจากแบงก์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่สำคัญอยู่ ตรงนี้เป็นจุดอ่อนที่ต้องกังวลใจ หลังจากนี้ จะเกิดอะไร ชัดเจนว่ายุโรปไม่สามารถที่จะปล่อยให้กรีซเป็นอะไรไปได้ เพราะว่าจะมีนัยต่อประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาที่เหลือ และต่อกลุ่มยูโรเองโดยรวมด้วย โดยทั้งหมดนี้ เป็นการซื้อเวลาให้กรีซ และยุโรปโดยรวม ประมาณ 2 ปี ซื้อเวลาให้กรีซในการที่จะสร้างวินัยทางการคลังให้เกิดขึ้น ก่อนที่จะกลับไประดมเงินจากตลาดทุนระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง และซื้อเวลาให้กับประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่ควรจะได้รับบทเรียนว่า กรุณาสร้างวินัยการคลังให้เกิดขึ้น ไม่งั้นอาจจะเป็นเป้าหมายของการโจมตี และเนื่องจากเงินที่ให้ไปมากพอ เทียบกับพันธบัตรที่จะต้องจ่ายคืนเงินต้น กรีซคงไม่ default อย่างไรก็ตาม เงินที่ช่วยให้ไป แค่เป็นการแก้ไขปัญหาขั้นต้นเท่านั้น แต่ในอนาคตสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ที่ห้ามไม่ได้ก็คือ การปรับลดอันดับ Credit rating ของประเทศต่างๆในยุโรป ที่จะเกิดเป็นระลอก ตรงนี้ตะส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร ก็จะมีคนหนีตายกลับไปที่สหรัฐหรือเยอรมันเป็นช่วงๆ ซึ่งเมื่อบางคนเอาเงินกลับไปที่สหรัฐ ค่าเงินยูโรเองก็จะผันผวน และจะอ่อนค่าลงอีกระยะหนึ่งจากที่ทำ New low ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของยุโรปโดยรวม การฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในยุโรป ก็จะช้าลงอีก เพราะว่า spotlight กำลังอยู่ที่เรื่องวินัยการคลัง ประเทศต่างๆ ก็จะมีความกังวลใจในการที่จะใช้จ่ายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และปัญหาสถาบันการเงินก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตรงนี้ก็จะมีนัยกับทุกคนเพราะประเทศในยุโรปค้าขายกันเองมาก เงินฝืด ที่จะเกิดขึ้นในบางประเทศ โดยเฉพาะที่มีเงินเฟ้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยของยูโร โดยเฉพาะกรีซ สเปน โปรตุเกส ตรงนี้ก็จะเป็นกระบวนการที่จะเกิดขึ้น เพราะว่าพอค่าเงินปรับไม่ได้ ก็ต้องให้ต้นทุนปรับลดลง จากปัญหาการว่างงานที่อยู่ในระดับที่สูง จากเศรษฐกิจที่ถดถอย ตรงนี้ก็จะเป็นทางออกให้กับปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันของกรีซที่สูญหายไปในช่วงที่ผ่านมา ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่นิ่งและส่งผลกระทบกับตลาดทุนทั่วโลกอยู่อย่างต่อเนื่อง ที่มา: Blog ดร. กอบ www.kobsak.com http://portal.settrade.com/blog/kobsak/2010/05/07/844
โดย
golfkinmon
เสาร์ พ.ค. 08, 2010 5:08 pm
0
0
ทำไมตอนนั้นผมซื้อยานยนต์
เข้ามารอฟังต่อครับ :man:
โดย
golfkinmon
พุธ พ.ค. 05, 2010 11:37 am
0
0
เล่นที่ดินผ่านหุ้น(ล่าสุดของดร.) บริษัทไหนน๊า???
อสังหาริมทรัพย์ เวอร์!ราคาที่ดินเพลินจิต ตร.วาละ1.5ล้าน ได้ลุ้นแตะ2ล้าน นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2551 ผู้ประกอบการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมลดลง ส่วนหนึ่งมาจากในปี 2549-50 ได้รับความนิยมอย่างมากจนเกรงว่าจะล้นตลาด ทำให้ในปี 51 ผู้ประกอบการพัฒนาคอนโดฯออกสู่ตลาดลดลง อยู่ที่ 45% ของโครงการทั้งหมดที่เปิดตัว และอยู่ที่ 39% ในต้นปี 52 แต่ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯเริ่มกลับมาอีกครั้ง โดยเชื่อว่า 6 ปัจจัยที่ผลักดันให้ความต้องการคอนโด ฯในเมืองเติบโตต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1. ความไม่ชัดเจนของโครงการรถไฟฟ้า และอัตราค่าบริการจากชาน เมืองสู่เมืองที่ยังสูง 2. ราคาน้ำมันที่ผันผวน และปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาระค่าเดินทางสูงขึ้น 3. สิ่ง อำนวยความสะดวกในเมือง 4. ความต้องการคอนโดฯในไทยของต่างชาติ เนื่องจากปัจจัยด้านราคาที่ถูกกว่า ประเทศใกล้เคียงอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ 5. ความต้องการซื้อคอนโดฯเพื่อลงทุน และ 6. มาตรการยกเลิกคุ้มครองเงินฝากในปี 2555 จะไม่จูงใจให้กลุ่มที่มีเงินเย็นฝากไว้กับธนาคาร แต่จะหัน มาซื้ออสังหาริมทรัพย์เก็บไว้หรือซื้อเพื่อลงทุน เพราะเป็นสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุน ประเภทอื่น สำหรับทำเลเด่นๆ ในการเลือกซื้ออสังหาฯนั้น ยังคงเป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะระบบ ขนส่งขนาดใหญ่อย่างเช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน หรือการก่อสร้างขนาดใหญ่ แหล่งงานต่างๆ โดยทำเลที่น่าลงทุน ได้แก่ เขตกทม.ชั้นใน ได้แก่ ศูนย์กลางธุรกิจ(ซีบีดี) โซนแนวรถไฟฟ้า 2 เส้นทางในปัจจุบัน ทั้งบีทีเอส และ รถไฟฟ้าใต้ดินในย่าน สุขุมวิท เพลินจิต สีลม สาทร พหลโยธิน รัชดาภิเษก อ่อนนุช โดยเฉพาะที่ดินในเขตเมือง ชั้นใน ซึ่งเป็นทำเลที่มีที่ดินจำกัด ทำให้ราคาสูงขึ้น นายวสันต์ กล่าวอีกว่า จากการสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในย่านกลางเมือง และชุมชนรอบเมืองใน รอบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2541-2552 พบว่า ทำเลที่น่าสนใจและมีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างชัดเจน ได้แก่ แจ้งวัฒนะ ราคาเพิ่มขึ้น 60% รังสิต เพิ่มขึ้น 45% มีนบุรี เพิ่มขึ้น 35% บางกะปิ เพิ่ม 61% บางนา เพิ่ม 50% สมุทรปราการ เพิ่ม 42% บางแคเพิ่ม 43% ปิ่นเกล้า เพิ่ม 41% บางใหญ่ เพิ่ม 141% ย่าน พหลโยธิน เพิ่ม 122% รัชดาภิเษก เพิ่ม100% สุขุมวิท-เพลินจิต เพิ่ม 142-163% สีลม-สาทร เพิ่ม 102-128% พระราม 3 ราคาเพิ่มขึ้น 50% ส่วนราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสในปี 2552 เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12.3% ขณะที่ในรอบปี 2548- 2552 ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 47% โดยเฉพาะที่ดินย่านสยามสแควร์ เพลินจิต ชิดลม ตารางวา(ตร.วา)ละ 1 ล้านบาท ราคาเพิ่มขึ้นในปีนี้ 23-25% ส่วนที่ดินในแนวรถไฟฟ้าใต้ดินในปี 2552 ราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 11.7% ขณะที่ราคาตั้งแต่ปี 2548-2552 เพิ่มขึ้น 46% ที่ดินที่มีราคาเพิ่มสูงสุด ในแนวรถไฟฟ้าเส้นนี้ คือ ย่านสีลม ราคา 7.5 แสนบาท/ตร.วา โดยมีราคาเพิ่มขึ้น 25% ในปีนี้ นายวสันต์ กล่าวต่อ จากการประมาณการการซื้อขายที่ดินในเขตกรุงเทพฯชั้นใน เชื่อว่า ราคาซื้อขายที่ดินจะ เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาทต่อตร.วา ได้ในอนาคตอันใกล้ หลังจากที่ผลสำรวจการซื้อขายที่ดินในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในล่าสุดในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ที่ดินที่มีการซื้อขายสูงสุดคือ ลานจอดรถเซ็นทรัลชิดลม จำนวน 2 ไร่ ซื้อขายตร.วาละ 1.5ล้านบาท ตามด้วยที่ดินข้างโครงการเวฟเพลส เพลินจิต 7 ไร่ ซื้อขาย 1.2 ล้านบาทต่อตร. วา ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาที่ดินสูงดังกล่าว เป็นผลมาจากจะมีโครงการคอนโดฯเกิดขึ้นอีกหลาย โครงการตามแนวรถไฟฟ้า เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของคนทำงานในเมือง รวมทั้งทางการจะยกเลิกการค้ำ ประกันเงินฝาก ใน ปี 2555 ซึ่งเชื่อว่าปริมาณเงินฝากส่วนหนึ่งจากเงินฝากทั้งระบบ 6.8 ล้านล้านบาท ไหล เข้ามาเก็งกำไรในภาคอสังหาฯ ซึ่งหากมีปริมาณสภาพคล่องไหลเข้ามาประมาณ 5 % จะมีเม็ดเงินจากฐานเงิน ฝากเข้าสู่ภาคอสังหาฯถึง 3.3 แสนล้านบาท ราคาซื้อขายที่ดินในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาทต่อตร.วา ทิศทางเดียวกับประเทศเวียดนาม เพราะ ที่ดินที่ใช้ทำโครงการขนาดใหญ่ มีถนน 10 เมตรได้ เหลือน้อย เมื่อปริมาณกับความต้องการไม่สอดคล้องกันจะ เป็นตัวผลักดันให้ราคาปรับเพิ่มได้ อย่างไรก็ตาม ราคาของคอนโดฯกับที่ดินมีความสัมพันธ์กัน โดยหากราคาซื้อขายที่ดินปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาทต่อตร.วา ราคาขายคอนโดฯจะอยู่ที่ 3 แสนบาทต่อตร.ม. และขณะนี้คอนโดฯที่กำหนดราคาขาย 3 แสน บาทต่อตร.ม. มีให้เห็นแล้ว เป็นห้องเพนท์เฮ้าส์ ของโครงการย่านช่องนนทรี ที่มา : หนังสือพิมพ์ : ผู้จัดการรายวัน [ 12-11-2009 ]
โดย
golfkinmon
จันทร์ เม.ย. 26, 2010 7:45 pm
0
0
เล่นที่ดินผ่านหุ้น(ล่าสุดของดร.) บริษัทไหนน๊า???
JCT ----Quote จากห้องร้อยคนร้อยหุ้น JCT คุณ nam เจาะได้เก่งมากครับ ตรงกับ ที่ผมคิดเลยครับ ผู้ซื้อไปในราคา 45 บาท คือ นางเสริมวงษ์ กาญจนนาคินทร์ ราคา 45 บาทนี่ไม่แพงเลยนะครับ เหมาะกับการลงทุนทีเดียว งวดนี้ท่านคงไม่ขายออกง่าย ๆ แน่ เพราะรู้อยู่ว่า JCT มีสมบัติที่มิได้ประเมินค่ากัน ถือยาว ๆ น่าจะเหมาะ แต่ฝ่ายบริหารไม่คิดอยากจะขายที่ดินแถวสีลมนั่น ถึงแม้นว่า มีผู้จะซื้อถึงราคา 195 ล้านบาทแล้ว คิดต่อหุ้นก็ราคาหุ้นละ 14 บาทกว่า เขาว่าถ้าขายไปจะเอาเงินไปทำอะไร ถืออยู่กับบริษัทฯ ก็ ได้ผลตอบแทน 1-2% ถ้าเห็นอนาคตมีกิจการด้านไหนดี ก็น่าขายและไปลงทุนเพิ่มในกิจการนั้น เท่าที่ได้ฟัง เห็นกิจการ พลาสเตอร์มีการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกิจการเกี่ยวกับพลาสเตอร์ในด้านกีฬ่า แบบไม่มีกาว ใช้พันข้อมือ ข้อเท้า ในการแข่งและการฝึกซ้อม ก็รอดูฝีมือผู้บริหารท่านใหม่ซึ่งเป็นลูกชายของคุณวีระ ประธานกรรมการ นั่นแหละครับ
โดย
golfkinmon
จันทร์ เม.ย. 26, 2010 4:54 pm
0
0
Investing in Cylical Stocks
จากข่าว: Zinc demand estimated to grow by about 7% in 2010///estimate of supply growth of 3.4% this year http://www.commodityonline.com/news/Zinc-supply-outstrips-demand-27193-3-1.html http://img40.imagefra.me/img/img40/6/4/21/golfkinmon/f_1gb51x94mb2m_a3c0cf0.jpg http://www.ilzsg.org/static/statistics.aspx ดูแนวโน้มของ PDI ปี 2010 เทียบกับอดีต
โดย
golfkinmon
จันทร์ เม.ย. 26, 2010 9:00 am
0
0
สรุปสัมมนาเรื่องลงทุนแบบวอร์เรนและ วิถีVIไทย 17/4/10
ขอคารวะคุณ Champ_st ละเอียดดีครับ + ได้บรรยากาศเหมือนไปฟังเองเลย :cool:
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ เม.ย. 18, 2010 10:31 am
0
0
Investing in Cylical Stocks
ที่มา: http://books.google.co.th/books?id=tfsC6RUDn2QC&pg=PA104&lpg=PA104&dq=shipping+cycles+index&source=bl&ots=OhTYpbMYW6&sig=BFmapw6tInFS8wKziLLN1rY2inY&hl=en&ei=qWClS6-oIISCsgPq18DHAw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=3&ved=0CBEQ6AEwAg#v=onepage&q=shipping%20cycles%20index&f=false http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=5403&start=120 http://img40.imagefra.me/img/img40/2/4/5/golfkinmon/f_2262owv346em_a6da439.jpg http://img40.imagefra.me/img/img40/2/4/5/golfkinmon/f_u0s860kwa82m_aa096e9.jpg http://img38.imagefra.me/img/img38/2/4/5/golfkinmon/f_1oiqk7ohq38m_25cf489.jpg มารอดูรอบนี้ของ RCL ว่าจะอยู่ตรงไหนของ 6.7 ปี ถ้านับจาก 2008 :?:
โดย
golfkinmon
พุธ เม.ย. 07, 2010 1:23 pm
0
0
วิธีการรวมเอกสาร 56-1 เป็นไฟล์เดียว
ขอบคุณครับ...ทำได้แล้ว :D เราจะมาช่วยหมีขั้วโลก :shock: :shock: :lol:
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ มี.ค. 28, 2010 9:51 am
0
0
ขออนุญาติสรุปความรู้ที่ได้จากงาน จิบเบียร์เมื่อวันที่ 12 คับ
ขอบคุณมากครับ ที่นำความรู้มาแบ่งปัน :)
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ มี.ค. 14, 2010 8:35 pm
0
0
Moneytalk Weekly พวกเราอยากได้บริษัทไหนมาออกรายการบ้างครับ
งั้นขอ LH ครับ ผู้สนับสนุนรายการ :)
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 6:24 pm
0
0
ดร. นิเวศน์กำลังกลุ้มใจเรื่องอนาคตรายการ Money Talk Daily
Vote +1 แล้วครับ
โดย
golfkinmon
พฤหัสฯ. ต.ค. 08, 2009 11:45 am
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4
ขอทายครับ PDI
โดย
golfkinmon
อังคาร ส.ค. 04, 2009 3:36 pm
0
0
บริษัทจำกัดแห่งไหนที่ท่านอยากให้เข้าตลาดบ้างครับ
บ.ซิลลิค ฟาร์ม่า บ.ดีทแฮลม์ บ.สยามเภสัช บ.ไทยนครพัฒนา
โดย
golfkinmon
พุธ ก.ค. 22, 2009 5:01 pm
0
0
สอบถามเกี่ยวกับการปรับอัตราการใช้สิทธิของ warrant ครับ
การปรับอัตราใช้สิทธิของวอร์แรนต์ จะมีการปรับอัตราส่วนเมื่อบริษัทมีการ จ่ายเงินปันผลออกมามากกว่านโยบายที่บริษัท กำหนดไว้ เช่นถ้าบริษัทมีนโยบายปันผลไม่เกิน 35% แต่ประกาศจ่ายปันผลเฉพาะใน ครั้งนั้นมากเกินกว่านโยบายปันผลก็จะมีการปรับสัดส่วนครับ ตามสูตรในลิงค์ ของแหล่งความรู้สำหรับนักลงทุน ของ asiaplus หัวข้อที่ 5 บทที่ 4 ครับ 5. TOPICS: หุ้นกู้ วอร์แรนท์ และหุ้นกู้ควบวอร์แรนท์ Download FILE: BNDWARNT.PDF SIZE: 521k บทที่ 1: โหมโรง บทที่ 2: หุ้นกู้ บทที่ 3: วอร์แรนท์ บทที่ 4: การปรับอัตราการใช้สิทธิและราคาใช้สิทธิ์ เมื่อมีการออกหุ้นใหม่ หรือ จ่ายเงินปันผล บทที่ 5: หุ้นกู้ควบวอร์แรนท์ และสิทธิในการจองวอร์แรนท์ หรือหุ้นกู้ควบวอร์แรนท์ http://inv1.asiaplus.co.th/4.html
โดย
golfkinmon
พุธ มิ.ย. 03, 2009 7:24 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
ไครสเลอร์ยื่นล้มละลายแล้ว วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 09:02 ไครสเลอร์ยื่นล้มละลายแลกเงินช่วยจากรัฐบาลสหรัฐ 8,000 ล้านดอลล่าร์ หวังฟื้นกิจการอีกครั้ง ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า เขาสนับสนุนแผนการของไครสเลอร์ ในการยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะล้มละลายในครั้งนี้ รวมถึงข้อตกลงการลงนามเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรกับเฟียต บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี เพราะเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ไครสเลอร์สามารถกลับมาฟื้นกิจการทำธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง แม้จะต้องใช้เวลานานหลายเดือน การยื่นขอล้มละลายครั้งนี้ จะทำให้ไครสเลอร์ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 280,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะยังเข้าไปทำหน้าที่ผู้ลงทุนให้กับบริษัท และจะช่วยเลือกผู้บริหารคนใหม่ด้วย แต่จะไม่เข้าไปควบคุมกิจการหรือการบริหารงาน ขณะที่ศาลจะเข้ามาตัดสินว่า บรรดาเจ้าหนี้จะได้รับเงินคืนจากไครสเลอร์จำนวนเท่าใด สำหรับการยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จะไม่ทำให้ไครสเลอร์ต้องปิดกิจการ เพียงแต่จะต้องยุติการผลิตรถยนต์ลงชั่วคราว เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างบริษัทและเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรกับเฟียต ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างกระทรวงคลังสหรัฐและเจ้าหนี้ของไครส์เลอร์ล้มเหลวเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยกระทรวงคลังเสนอให้เจ้าหนี้ลดยอดหนี้ของไครส์เลอร์จาก 6,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 241,500 ล้านบาท เหลือ 2,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 78,750 ล้านบาท ขยับขึ้นจากเดิมที่เสนอให้ลดเหลือ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 70,000 ล้านบาท แต่เจ้าหนี้ไม่ยินยอม ทำให้ไครสเลอร์ต้องยื่นขอล้มละลายในที่สุด. http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=45188
โดย
golfkinmon
ศุกร์ พ.ค. 01, 2009 10:03 am
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
http://img19.picoodle.com/img/img19/3/4/1/golfkinmon/f_m_0acb773.png ที่มา:จาก Opp day SAT 1/4/09 http://bbts01.servebbs.net/setweb/ondemand.php?onid=11#
โดย
golfkinmon
พุธ เม.ย. 01, 2009 7:59 pm
0
0
ธปท..คาดว่านักท่องเที่ยวในปี 52 จะเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี
วันที่ 31 มีนาคม 2552 00:00 โรงแรมหวั่น 2 เดือนตายหมู่เลิกจ้าง 7.5 หมื่นคน โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย สมาคมโรงแรม สะท้อนผลกระทบการเมือง-เศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมโรงแรมส่อเค้าวิกฤติ อีก 2 เดือน คาดรร.เริ่มปิดตัว - คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตกงาน 15% สมาคมโรงแรม สะท้อนผลกระทบการเมือง-เศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมโรงแรมส่อเค้าวิกฤติ อีก 2 เดือน คาดรร.เริ่มปิดตัว - คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตกงาน 15% ขณะที่รร.ขนาดเล็กสายป่านสั้นในกทม.เริ่มตาย ผุดไอเดีย แคมเปญขายระดับโลก แนะรัฐอัดฉีดเยนต์ทั่วโลกหากดึงนักท่องเที่ยวพัก 4 คืน ได้หัวละ1,500 บาท คาดกระตุ้นเงินสะพัดกว่า 3หมื่นล้าน สมาคมโรงแรมไทย จัดเสวนา ผ่าทางตัน แก้วิกฤติก่อนธุรกิจโรงแรมตายหมู่ โดยมีตัวแทนสมาชิกผู้ประกอบการโรงแรม และผู้ประกอบการโรงแรมภาคต่างๆ ร่วมเสวนา โดยนายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมปัจจัยลบทั้งการเมืองในประเทศและโดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมของประเทศไทยมากขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งนี้จากการประเมินผลกระทบดังกล่าวพบว่า อีก 1-2 เดือนข้างหน้า หากภาครัฐไม่มีมาตรการอะไรออกมาช่วยเหลือภาคท่องเที่ยวอย่างตรงจุด จะส่งผลให้แรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งมีทั้งหมด 1 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มแรงงานในอุตสาหกรรมโรงแรมกว่า 50% หรือ 500,000 คนต้องถูกเลิกจ้างไม่น้อยกว่า 10-15% ที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้เสนอมาตรการให้รัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการไปหลายข้อ แต่ปรากฎว่าได้รับการตอบรับมาเพียงบางเรื่องเท่านั้น ทำให้การแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควรนายประกิจกล่าวและว่า ที่ผ่านมามาตรการที่รัฐบาลตอบรับเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นมาตราการที่ออกมาแก้ไขอย่างไม่ตรงจุด เช่น ค่าธรรมเนียมวีซ่า จากที่ขอ 6 เดือนได้3 เดือน, การลดธรรมเนียมค่าจอดเครื่องบินได้แค่ 20% บางสนามบิน จากที่ขอ 50%ทุกสนามบิน รวมถึงการสนับสนุนเงินกู้ท่องเที่ยวสำหรับท่องเที่ยวที่ยื่นขอ 6 แสนล้าน ในที่สุดเหลือเพียง 5 พันล้าน โดยเป็นของโรงแรม 2 พันล้านเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอ ขณะที่หลายข้อเสนอยังไม่ได้รับการตอบรับจากภาครัฐ เช่น การยกเลิกการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมห้อง 60 บาท และการช่วยเหลือเงินประกันสังคม 6 เดือน เป็นต้น 3เดือนแรก อัตราเข้าพักลด 25% สำหรับอัตราเข้าพักโรงแรม 3 เดือนแรก ภาพรวมลดลง 20-25% เทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะสงกรานต์ จังหวัดเชียงใหม่ได้ 50-60% เฉพาะวันที่ 12-13 เมษายนเท่านั้นที่จะมีอัตราเข้าพัก 80% จากปรกติที่จะสูงถึง 90-95% ภูเก็ต อัตราเข้าพัก 65-70% จากปกติ 90-95% พัทยา 50-60% จากปกติ 70-80% ขณะที่กรุงเทพมีอัตราเข้าพัก 40-50% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราปกติ ซึ่งในช่วงสงกรานต์อัตราเข้าพักโรงแรมในกรุงเทพจะไม่เต็มอยู่แล้ว ส่วนตลาดจีนช่วงสงกรานต์มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์ท) เข้ามา 80 ลำ จากปกติเข้ามา 200-300 ลำ คาดว่าจะมีคนจีนเข้ามารวม 20,000 คน จากปกติ 50,000 คน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาช่วงสงกรานต์ เป็นคนไทยเป็นหลัก ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยว ไม่เกิน 2 เดือนรร.ภาคใต้จ่อคิวปิดตัว นายเมธี ตันมานะตระกูล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า ขณะนี้โรงแรมในภาคใต้ มีอัตราการเข้าพัก 60% ซึ่งอาจดีกว่าภาคอื่นเนื่องจากมีชาร์แตอร์ไฟลท์เข้ามาโดยตรง แต่ทั้งนี้ในส่วนของรายได้กลับเหลือเพียง 40% เท่านั้น เพราะผู้ประกอบการทำโปรโมชั่นราคา และใช้ราคาขายสำหรับช่วงโลว์ซีซันมาขายตั้งแต่ต้นปี ธุรกิจโรงแรมขณะนี้ถึงทางตัน ผู้ประกอบการต้องปลุกระดมเพื่อเสนอต่อรัฐว่าที่ผ่านมาคันตรงไหน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเกาไม่ถูกที่คัน ก่อนที่โรงแรมจะตายแน่นอนในไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้นายเมธีกล่าว รร.เล็กในกรุงเทพเริ่มตาย นายเจริญ นัดพบสุข อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า สำหรับโรงแรมขนาดเล็ก ที่มีห้องพักไม่เกิน 250 ห้อง ในกรุงเทพ ได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากมีสายป่านในการบริหารสั้นกว่าโรงแรมขนาดใหญ่ ทำให้เริ่มมีการปิดตัวไปแล้วหลายราย แม้จะมีการพยายามลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบินในปีที่แล้ว รร.ขนาดเล็กหลายแห่งได้พยายามใช้แนวทางของบัดเจ็ทโฮเต็ลมาใช้เป็นแนวปฎิบัติเพื่อแก้ไข ทำให้หลังจากนี้จำนวนแรงงานของโรงแรมอาจต้องลดลงถึง 2 ใน 3 ส่วน หรือคิดเป็นแรงงาน 1 คนดูแลห้องพัก 3 ห้องจากเดิมใช้แรงงาน 1.7 คนต่อ 1 ห้อง นายเจริญกล่าวและว่า แต่อย่างไรแล้ว แม้รร.ขนาดเล็กจะปรับตัวในรูปแบบดังกล่าว ก็อาจได้รับผลกระทบในอนาคตจากกลุ่มบัดเจ็ทโรงแรมตัวจริงที่คาดว่าจะเข้ามา 250-300 แห่ง จาก 4-5 กลุ่มโรงแรม ภายในใน 2-3ปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการอาจต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรองรับกระแสดังกล่าวอีกด้าน รร.ภาคตะวันออกยอดพักลดลง 20-30% นางสาวบุณฑริก กุศลวิทย์ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า กลุ่มโรงแรมในภาคตะวันออก ขณะนี้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลง 20-30% โดยโรงแรมระดับ 3 ดาวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่าโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ซึ่งมีการหั่นราคาต่ำลงมาแข่งขันกับโรงแรมระดับ 3 ดาว โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลุ่มมาเที่ยวซ้ำเป็นหลัก กลุ่มตลาดใหม่และกลุ่มเอเชียไม่มีการท่องเที่ยวเข้ามาเลย โรงแรมอิสระขนาดเล็ก ต้องลดต้นทุนเร่งด่วน โดยตัดสินใจทันทีว่าจะลดค่าใช้จ่ายอย่างไร โดยอาจปิดบริการบางแผนก หรือลดการทำงานในแต่ละแผนกเพื่อรักษากระแสเงินหมุนเวียน และหันมาโฟกัสตลาดโอกาสใหม่ๆ ส่วนตลาดที่ชะลอเอาไว้ทีหลังนางสาวบุณฑริกกล่าว ส.โรงแรมชงแคมเปญระดับโลกกู้วิกฤต ในงานเสวนาดังกล่าว นายเมธีได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขวิกฤตการท่องเที่ยวแก่รัฐบาล โดยแนะให้รัฐบาลซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)ร่วมมือกับ ภาคเอกชน ออกแคมเปญระดับชาติขายท่องเที่ยวไทยในทั่วโลก ในช่วงเดือน พ.ค.-พ.ย.นี้ รวม 7 เดือน โดยใช้งบประมาณ 3.5พันล้านบาท ให้ค่าส่วนต่างรายได้(คอมมิชชั่น) กับตัวแทนจำหน่ายต่างชาติทั่วโลกที่สามารถนำคณะนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย จะได้รับเงิน 1,500 บาทต่อคน โดยมีเงื่อนไขจะต้องเข้าพักในไทยอย่างต่ำ 4 วัน ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยร่วมกับบริษัทประกันชีวิต ทำประกันความเสี่ยงจากการเข้ามาท่องเที่ยวในไทยรวมถึงกรณีการปิดสนามบิน ภายใต้วงเงินชดเชยคนละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้ารัฐบาลทำได้ คาดว่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วง 7 เดือนที่จัดแคมเปญได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน สร้างรายได้จากาการใช้จ่ายได้ 3.6 ล้านบาท คิดจากากรใช้จ่าย 4.58พันบาทต่อคนต่อวัน โดยเป็นค่าใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังช่วยชะลอการเลิกจ้างแรงงานไปได้ 4-5หมื่นคน แนะรัฐต้องเรียกความเชื่อมั่น นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังเสนอต่อรัฐบาลว่า ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวในโลก ทั้งในแง่การเมืองและโครงการอีลิทการ์ด รวมทั้งเจรจากับธนาคารเพื่อช่วยเหลือการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นเชื่อว่าในสถานการณ์เช่นนนี้อาจเกิดหนี้เสียจากธุรกิจโรงแรมจำนวนไม่น้อยในอนาคต อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กหลังจากนี้นั้น ควรรวมตัวกันออกมาขอความร่วมกับท้องถิ่น เช่น กทม.ในการสนับสนุนงบและการทำการตลาดร่วมกัน โดยเฉพาะในรูปแบบการออกโรดโชว์ เทรดโชว์ในต่างประเทศ เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กมีงบในการทำตลาดน้อย ดุสิตแนะคุมคุณภาพในภาวะลดต้นทุน นายชนินทธ์ โทณวณิก ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมต้องเน้นเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยที่คุณภาพการให้บริการของโรงแรมยังคงเดิม เช่น ถ้ามีโรงแรมหลายแห่งอยู่ในเครือ ให้ใช้วิธีการรวมทีมงานของโรงแรมหลายๆ แห่งเข้ามาทำงาน เช่นเดียวกับดุสิต ซึ่งมีแนวคิดในการตั้งทีมบัญชีกลางเพื่อบริหารโรงแรมทั้งหมดเป็นต้น
โดย
golfkinmon
อังคาร มี.ค. 31, 2009 11:43 am
0
0
ธปท..คาดว่านักท่องเที่ยวในปี 52 จะเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี
นักการเงินมั่นใจท่องเที่ยวภูเก็ต ฟื้นตัวก่อนจังหวัดอื่น นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบรรษัทธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ที่ จ.ภูเก็ต ภายหลัง การมอบร่มและเต็นท์ชายหาดให้กับกลุ่มสมาชิกกลุ่มร่ม-เก้าอี้ผ้าใบ กลุ่มหมอนวด ชายหาดในตำบลกะรน อ.เมืองภูเก็ต พร้อมด้วยเงินสด 200,000 บาท โดยมีนายทวี ทองแช่ม นายเทศมนตรีตำบลกะรน นายสมบัติ อติเศรษฐ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมหาดกะตะ-กะรน ตัวแทนสมาชิกกลุ่มร่ม-เก้าอี้ผ้าใบและหมอนวดชายหาดเป็นผู้รับมอบ ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลกะรน เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา นายวศินกล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมช่วยเหลือสังคมของทางธนาคาร เพื่อร่วมกับคนในพื้นที่ในการพัฒนาเศรษฐกิจและธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการสัมมนาให้ความรู้ทางวิชาการด้านการเงินการลงทุน หรือมหกรรมการเงิน ส่วนแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจนั้น นายวศิน กล่าวว่า คงต้องมองต้องแต่ภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวตามไปด้วย นอกจากนี้เรายังมีปัญหาการเมืองในประเทศด้วย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาลดลง สำหรับภูเก็ตถือแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ประกอบกับอัธยาศรัยน้ำใจไมตรีที่ดี และยากที่หาแหล่งท่องเที่ยวใดมาทดแทนได้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าแม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว แต่ไม่น่าจะนานมากนักและสามารถที่จะฟื้นตัวได้ก่อนจังหวัดอื่นๆ นายวศิน กล่าวถึงระยะเวลาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่า หากพิจารณาในภาพใหญ่ของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและหนักกว่าที่คาดคิด ดังนั้นในช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปีก็ยังคงมีการชะลอตัวอยู่ โดยยังมีการฟื้นตัวไม่มากนัก แต่จะให้เห็นผลชัดเจนก็น่าจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2553 โดยธุรกิจที่มีการฟื้นตัวในลำดับต้นๆ ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวและการเกษตร ส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ก็มีการชะลอตัวเช่นกัน ทั้งในแง่การลงทุนใหม่และกำลังซื้อ รวมถึงทำเลที่ตั้ง ส่วนของการปล่อยสินเชื่อสามารถที่จะมองได้ 2 แง่ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน เนื่องจากเคยประสบวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 จึงมีการเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนหรือการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังมีการให้ความรู้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับรับมือกับเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นหรือการเข้าไปเป็นผู้ให้คำแนะนำกับนักลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายวศิน กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่กภาวะเศรษฐกิจนั้นยังคงเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลก และการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหากไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นก็จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวให้กลับมาได้โดยเร็ว
โดย
golfkinmon
จันทร์ มี.ค. 30, 2009 4:57 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
สองเดือนแรกครับพี่ jung_oh ขอบคุณพี่หมอนุ่นนะครับ :D คุณ hansome มีข้อมูลก่อนปี1997 ช่วงก่อนวิกฤติย้อนไปอีกสัก 10 ปีไหมครับ จะได้เห็นภาพก่อนวิกฤติ เทียบหลังวิกฤติช่วงนั้นครับขอบคุณครับ
โดย
golfkinmon
จันทร์ มี.ค. 30, 2009 11:24 am
0
0
วันจันทร์ที่ 30 นี้ เราจะเห็น bid และ offer 5 ช่อง
โปรแกรม Streaming Plus ตัวอักษรเล็กครับ ต้องกด F11 ขยายให้เต็มหน้าจอก็จะดูสบายตาหน่อยครับ
โดย
golfkinmon
จันทร์ มี.ค. 30, 2009 10:50 am
0
0
ธปท..คาดว่านักท่องเที่ยวในปี 52 จะเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี
ททท.ชงแผน ดันเที่ยวปี53 ใช้ของเก่าต่อ วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ททท.เปิดแผนตลาดปีหน้าใช้ อะเมซิง ไทยแลนด์ อะเมซิง แวลู ต่ออีกปี หวังดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่ม นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การตลาดปี 2553 ททท.ด้านตลาดต่างประเทศจะเสนอให้ใช้สโลแกน อะเมซิง ไทยแลนด์ อะเมซิง แวลู ต่อเนื่องอีก 1-2 ปี เพื่อตอกย้ำว่าประเทศไทยเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงิน ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมา ต้องสร้างความรู้สึกถึงความคุ้มค่า นายสันติชัย กล่าว สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ ททท.จะรุกตลาดตะวันออกกลาง โดยเดือนพ.ค.นี้ จะนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวออกโรดโชว์สินค้าทางการท่องเที่ยวที่ ดูไบ ซึ่งกลุ่มตะวันออกกลางจะเข้ามาทดแทนตลาดเอเชีย เกาหลี ญี่ปุ่น ที่เข้าไทยลดลง ด้านนายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ กล่าวว่า แผนการตลาดในประเทศปี 2553 ททท.มีแนวคิดจัดทำโครงการ ไอเดีย ไอดู กระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวตามจินตนาการ ตามความฝัน เพื่อสร้างความประทับใจให้ในการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งนี้ เบื้องต้นจะเชิญชวนให้บริษัททัวร์ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ร่วมออกแบบรายละเอียดการเดินทางให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างจุดขายให้การท่องเที่ยวในประเทศ
โดย
golfkinmon
จันทร์ มี.ค. 30, 2009 9:54 am
0
0
ธปท..คาดว่านักท่องเที่ยวในปี 52 จะเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี
พอดีกลับไปอ่านบทความอีกรอบ...ที่เค้าว่าจะฟื้นปลายปี 52 นะครับเค้ามุ่งที่จะวิเคราะห์ผลกระทบจากเหตุการความไม่สงบจนถึงขั้นปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองในช่วงที่ผ่านมา ต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ดั้งนั้นถ้าบวกกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกด้วย...ก็อาจจะฟื้นช้ากว่านั้นแน่ จากข้อมูลหน้าที่ 11 ....อนึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจการโรงแรมของไทยได้เผชิญกับสถานการณ์ที่อัตราการเข้าพักอยู่ในระดับที่ต่ำมาตั้งแต่ต้นปี 2551 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยายตัวสูงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้มีสาเหตุสำคัญจากปัญหาจำนวนห้องพักล้นตลาด (Oversupply) จากการขยายจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพักอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขอบคุณคุณ TIARA สำหรับข้อมูลนะครับแสดงว่าตอนนี้ Supply ก็เริ่มลดลงที่เดียว เพื่อเข้าปรับสู่จุดสมดุลอีกครั้งจากการกระทำของมือที่มองไม่เห็นและผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็จะอยู่รอดได้และเมื่อฟื้นก็อาจจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเก่านะครับ แม้จะดูโหดร้ายไปหน่อยกับคนที่ต้องว่างงาน :cry: ไม่แน่ว่าถ้าการตกต่ำของการท่องเที่ยวหนักกว่าและรุนแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อถึงวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็น่าสนว่าจะ....กี่เด้ง :lol: ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความเห็นครับ
โดย
golfkinmon
พฤหัสฯ. มี.ค. 26, 2009 10:40 pm
0
0
ธปท..คาดว่านักท่องเที่ยวในปี 52 จะเข้าสู่ภาวะปกติช่วงปลายปี
ชายทะเลไทยติดอันดับโลก วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552 12:45 ททท.เผยกทม.ติดอัันดับ1ใน6เมื่องน่าท่องเที่ยวจากทั่วโลก นายมานิตย์ บุญฉิม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสตอกโฮล์ม เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับการโหวตความนิยมแหล่งท่องเที่ยวประเภทหาดทรายชายทะเลติดอันดับ1 ในกลุ่ม Sun and Beach Outside Europe ประจำปี 2552 ที่จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ Aftonbladet ชื่อดังของของประเทศสวีเดน โดยสำรวจความคิดเห็นสมาชิกของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว จำนวน 30,093 คนเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว ประเภทเมืองน่าเที่ยว และหาดทรายชายทะเล ซึ่งตั้งอยู่ในและนอกทวีปยุโรปที่นักท่องเที่ยวมีความประทับใจ และต้องการจะเดินทางเพื่อท่องเที่ยว และพักผ่อนในปี 2552 นอกจากนี้ นายมานิตย์ กล่าวต่อว่า กรุงเทพมหานครของไทยยังติด 1 ใน 6 ของการจัดอันดับประเภทเมืองน่าเที่ยวจากทั่วโลก(Big City Worldwide) โดยผลการโหวตได้เผยแพร่ผ่านเอกสารชื่อ Aftonbladet Resa ซึ่งเป็นเอกสารแนบของหนังสือพิมพ์ Aftonbladet ซึ่งผลคะแนนจากการโหวตดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากททท. ได้ทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุกไปยังประเทศต่างๆ ผ่านสื่อในหลายช่องทาง โดยเน้นไปที่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ให้นักท่องเที่ยว เกิดการรับรู้ว่าประเทศไทยปลอดภัย สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ และมีความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ.
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 3:58 pm
0
0
Common Stock and Uncommon Profit
เป็นเหมือนกัน บางทีต้องอ่านผ่านๆ ไปก่อนตรงที่ไม่ค่อยเข้าใจ สงสัยเดียวต้องกลับไปอ่านซ้ำรอบสอง
โดย
golfkinmon
พฤหัสฯ. มี.ค. 19, 2009 7:19 pm
0
0
หุ้นจ่ายปันผล VS หุ้นเติบโต
หุ้น 6 ประเภท ...ของปิเตอร์ ลินซ์ เมื่อผมรู้ขนาดของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งแล้ว ต่อไปผมก็จะจัดมันให้เข้าเป็นหนึ่งในหกกลุ่มคือ กลุ่มโตช้า กลุ่มแข็งแกร่ง กลุ่มโตเร็ว กลุ่มวัฏจักร กลุ่มฟื้นตัว และกลุ่มทรัพย์สินมาก มีวิธีการในการจัดกลุ่มหุ้นมากมายเท่าๆ กับจำนวนโบรกเกอร์ แต่ผมพบว่า 6 กลุ่มนี้ครอบคลุมความแตกต่างของหุ้นทั้งหมดอย่างเพียงพอและมีประโยชน์ต่อนักลงทุนในการวิเคราะห์หุ้น ประเทศมีอัตราการเจริญเติบโต(GNP) อุตสาหกรรมมีอัตราการเจิรญเติบโต และเช่นเดียวกับบริษัท ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานอะไร "การเจริญเติบโต" หมายความว่ามันทำในสิ่งที่ทำอยู่ในปีนี้ (ผลิตรถ ขัดรองเท้า ขายแฮมเบอร์เกอร์) มากกว่าปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งประธานาธิบดีไอเซนฮาวพูดว่า "ของในปัจจุบัน มีมากกว่าอย่างที่มันเคยเป็น" นั่นเป็นคำจำกัดความของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี การติดตามอัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมก็เป็นอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง มีแผนภูมิตารางและการเปรียบเทียบต่างๆ นับไม่ถ้วน ถ้าพูดถึงการเจริญเติบโตของยอดขาย การเติบโตของกำไร การเติบโตของกำไรต่อหุ้น ฯลฯ แต่เมื่อคุณได้ยินเกี่ยวกับ "เจริญเติบโตของบริษัท" คุณสามารถสรุปได้ว่ามันกำลังขยายตัว มียอดขายมากขึ้น การผลิตมากขึ้น และกำไรมากขึ้นในแต่ละปีต่อเนี่องกันมา การเจริญเติบโตของบริษัทถูกวัดโดยการเปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโดยทั่วไป บริษัทที่โตช้าก็อย่างที่คุณเดาได้โตช้ามาก คือโตไปตามรายได้ประชาชาติหรือ GNP ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละประมาณ 3% บริษัทที่โตเร็ว โตเร็วมากบางทีโต 20-30% ต่อปี หรือมากกว่านั้น นั่นคือที่ซึ่งคุณจะเจอหุ้นที่วิ่งระเบิด สามในหกกลุ่มของผมเกี่ยวข้องกับหุ้นโต ผมแยกหุ้นโตออกเป็นหุ้นโตช้า(เงื่องหงอย) หุ้นโตปานกลาง(แข็งแกร่ง) และหุ้นโตเร็วหรือซุปเปอร์สต๊อก ซึ่งสมควรที่จะได้รับความสนใจมากที่สุด หุ้นโตช้า ( Slow Growers ) โดยปกติบริษัทขนาดใหญ่และเก่าแก่เหล่านี้มักจะโตเร็วกว่ารายได้ประชาชาติเล็กน้อย หุ้นโตช้าไม่ได้เริ่มเป็นแบบนี้เลย มันเริ่มจากการเป็นบริษัทที่โตเร็วและในที่สุดก็หมดแรง อาจจะเป็นเพราะมันมาไกลสุดแล้วหรือเหนื่อยเกินไปที่จะไปต่อ เมื่ออุตสาหกรรมโดยส่วนรวมชะลอตัวลง (อย่างที่มักจะเป็นเสมอ) บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมก็มักจะหมดแรงส่งเหมือนกัน บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าคือหุ้นโตช้ายอดนิยมในวันนี้ แต่ในช่วงตลอดทศวรรษที่ 1950-1960 บริษัทเหล่านี้คือหุ้นโตเร็วและเติบโตเป็น 2 เท่าของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กิจการเหล่านี้เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยม เมื่อประชาชนติดแอร์คอนดิชั่น ซื้อตู้เย็นขนาดใหญ่และใช้ไฟมากขึ้นไฟฟ้าก็กลายเป็นอุตสาหกรรมโตเร็ว และบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะในตอนกลางของประเทศก็ขยายตัวในอัตรา 2 หลัก ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ในขณะที่ต้นทุนของไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนก็เรียนรู้ที่จะประหยัดไฟ การเจริญเติบโตของบริษัทก็ชะลอตัวลง ไม่ช้าก็เร็วอุนสาหกรรมโตเร็วยอดนิยมทุกประเภทก็จะต้องกลายเป็นอุตสาหกรรมโตช้า นักวิเคราะห์และโหรจำนวนมากก็จะถูกหลอก มีแนวโน้มที่คนจะคิดว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเสมอแต่ในที่สุดมันก็ต้องเปลี่ยน ครั้งหนึ่ง Alcoa ก็มีลักษณะและชื่อเสียงแบบอะโกโก้อย่างเช่นบริษัท Apple Computer ในปัจจุบัน เพราะอะลูมิเนียมเป็นอุตสาหกรรมที่โตเร็วในตอนนั้น ในช่วงทศวรรษที่ 1920 รถไฟเป้นบริษัทโตเร็วที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อ วอลเตอรื ไคร์สเลอร์ ลาออกจากบริษัทรถไฟเพื่อมาทำโรงงานรถยนต์เขาต้องลดเงินเดือนลง เขาถูกบอกว่า "นี่ไม่ใช่รถไฟนะครับคุณ ไคร์สเลอร์" และแล้วรถยนต์ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมโตเร็ว และอีกระยะหนึ่งมันก็เป็นเหล็กกล้า แล้วก็เคมี แล้วก็ไฟฟ้า แล้วก็คอมพิวเตอร์ IBM และ Digital อาจจะเป็นบริษัทโตช้าของวันพรุ่งนี้ มันง่ายพอที่จะบอกว่าเป็นหุ้นโตช้าในหนังสือแผนภูมิหุ้นที่โบรกเกอร์สามารถหาให้ได้หรือคุณอาจจะหาได้จากห้องสมุด แผนภูมิของหุ้นโตช้าเช่น Houston Industries จะดูคล้ายกับแผนที่ภูมิประเทศของรัฐเดลาแวร์ ซึ่งอย่างที่คุณน่าจะรู้ก้คือไม่มีภูเขา เปรียบเทียบกับ Wall-Mart ซึ่งดูเหมือนการปล่อยจรวดและคุณจะเห็นว่า Wall-Mart นั้นไม่ใช่หุ้นโตช้าแน่นอน เครื่องหมายแน่นอนอีกอย่างหนึ่งของหุ้นโตช้าก็คือ มันจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ ซึ่งผมจะพูดอย่างละเอียดในบทที่ 13 บริษัทจ่ายปันผลดีเมื่อมันไม่สามารถฝันถึงวิธีใหม่ๆ ที่จะใช้เงินในการขยายธุรกิจ ผู้จัดการมักชอบที่จะขยายธุรกิจมากกว่า เพราะจะทำให้พวกเขาดูมีศักดิ์ศรีดีขึ้น มากกว่าที่จะจ่ายปันผลซึ่งไม่ต้องคิดฝันอะไรเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าการจ่ายปันผลเป็นสิ่งที่ผิด ในกรณีจำนวนมากแล้วมันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการใช้เงินกำไรของบริษัท คุณจะไม่พบหุ้นที่โตปีละ 2-4% มากนักในพอร์ตของผม เพราะถ้าบริษัทไม่ไปไหนเร็วราคาหุ้นก็เหมือนกัน ถ้าการเติบโตของกำไรต่อหุ้นคือสิ่งที่สร้างความมั่งคั่งให้กับบริษัทแล้วจะมีเหตุอะไรที่จะต้องเสียเวลากับหุ้นเงื่องหงอย หุ้นแข็งแกร่ง (The Stalwarts) หุ้นแข็งแกร่งคือบริษัทเช่น Coca-Cola, Bristol-Myers, Procter and Gamble, Colgate-Palmolive และ บริษัทระดับล้านๆ เหรียญ เหล่านี้ไม่ใช่นักปีนเขาที่ว่องไวนักแต่มันก็เร็วกว่าพวกโตช้า ก็อย่างที่คุณสามารถเห็นได้ในแผนภูมิราคาหุ้นของ Procter and Gamble มันไม่ราบเรียบเหมือนแผนี่ของรัฐเดลาแวร์แต่ก็ไม่ใช่ยอดเขาเอฟเวอเรสต์เหมือนกัน เมื่อคุณเดินทางในหมู่หุ้นแข็งแกร่งคุณกำลังเดินทางในเนินเขาเตี้ยๆ กำไรต่อหุ้นเติบโตปีละ 10-20% ขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อเมื่อไรและในราคาเท่าไร คุณสามารถทำกำไรได้ดีพอสมควรในหุ้นแข็งแกร่ง อย่างเช่นที่คุณสามารถเห็นจากแผนภูมิของ Procter and Gamble หุ้นมีผลงานดีตลอดทศวรรษที่ 1980 อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณซื้อหุ้นย้อนหลังไปในปี 1963 คุณก็ทำเงินเพิ่มขึ้นเพียง 4 เท่า การถือหุ้นตัวหนึ่งเป็นเวลา 25 ปี สำหรับผลตอบแทนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องน่าตี่นเต้นอะไร เพราะคุณไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อพันธบัตร หรือเก็บเงินไว้ในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่จริงเมื่อมีคนคุยโม้เกี่ยวกับบการทำเงินเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือ 3 เท่า จากหุ้นแข็งแกร่ง (หรือจากหุ้นบริษัทอะไรก็ตาม) ถ้าถามต่อไปควรจะเป็นว่า "แล้วคุณถือไว้กี่ปี" ในหลายๆ กรณีความเสี่ยงในการถือหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเท่ากับว่าเขาเสี่ยงโดยไม่ได้อะไรตอบแทนเลย ตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 1980 นั้น หุ้นแข็งแกร่งทำผลงานได้ดีแต่ก็ไม่ใช่ดารา ส่วนใหญ่หุ้นเหล่านี้จะเป็นบริษัทขนาดยักษ์และมันเป็นเรื่องผิดปกติที่จะได้หุ้น 10 เด้ง จากหุ้น Bristol-Myers หรือ Coca-Cola ดังนั้นถ้าคุณถือหุ้นแข็งแกร่งอย่าง Bristol-Myers และราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 50% ใน 1 หรือ 2 ปีคุณจะต้องคิดว่าเพียงพอหรือยังที่จะเริ่มคิดเกี่ยวกับการขายมัน คุณสามารถรีดเงินได้เท่าไรจาก Colgate-Palmolive คุณไม่สามารถที่จะเป็นเศรษฐีเงินล้านจากมันแบบเดียวกับที่คุณสามารถทำได้จาก Subaru ยกเว้นจะมีพัฒนาการใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นบางอย่างซึ่งคุณคงจะต้องได้ยินมาแล้วในขณะนี้ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ใน 2 ปี เป็นส่งที่รุณจะรู้สึกดีใจที่จะได้จาก Colgate-Palmolive ในกรณีปกติส่วนใหญ่ ด้วยหุ้นแข็งแกร่งคุณจะต้องพิจารณาที่จะทำกำไรอยู่เสมอเมื่อเทียบกับหุ้น Shoney's หรือ Service Corporation International หุ้นแข็งแกร่งคือหุ้นที่ผมมักซื้อเพื่อหวังผลตอบแทน 30-50% และจะขายและเริ่มกระบวนการกับหุ้นตัวใหม่ที่คล้ายกันแต่ราคายังไม่ขึ้น ผมมักจะเก็บ หุ้นแข็งแกร่งในพอร์ตเสมอเพราะมันช่วยเป้นตัวป้องกันในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยและเวลาที่ยากลำบาก คุณสามารถเห็นได้ในช่วงปี 1981-82 เมื่อประเทศดูเหมือนว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และตลาดหุ้นล่มสลายไปพร้อมกับมัน หุ้น Bristol-Myers ขึ้นๆ ลงๆ(ดูแผนภูมิ) มันไม่ค่อยดีในช่วงเลวร้ายของปี 1973-74 อย่างที่เราได้เห็นแล้ว แต่ไม่มีหุ้นตัวไหนพ้นจากความเจ็บปวดไปได้ และอย่างไรก็ตามหุ้นในช่วงนั้นราคาสูงเกินพื้นฐานไปมาก โดยทั่วไป Bristol-Myers และ Kellegg, Coca-Cola และ 3M, Ralston Purina และ Procter and Gamble เป็นเพื่อนที่ดีในช่วงวิกฤติ คุณรู้ว่ามันจะไม่ล้มละลายและในไม่ช้ามันจะถูกทบทวนใหม่จากนักลงทุน และมูลค่าของมันก็จะกลับมา Bristol-Myers เคยขาดทุนเพียงไตรมาสเดียวในช่วง 20 ปี และ Kellogg ไม่เคยขาดทุนเลยในช่วง 30 ปี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Kellogg สามารถเอาตัวรอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่ว่าจะเลวร้ายอย่างไรคนก็ยังต้องกินคอร์นเฟลก พวกเขาอาจจะท่องเที่ยวน้อยลง เลื่อนการซื้อรถใหม่ออกไป ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับแพงๆ น้อยลง และสั่งกุ้งล็อบสเตอร์น้อยลงเวลารับประทานอาหารในภัตตาคารแต่เขาจะกินคอรืนเฟลกมากเท่าๆ กับที่เคยกิน บางที่เขาอาจจะกินมากขึ้นเพื่อชดเชยกับการที่ไม่ได้กินกุ้งล็อบสเตอร์ คนไม่ซื้ออาหารสุนัขน้อยลงเหมือนกันนั่นเป็นเหตุว่าทำไม Ralston Purina จึงเป็นหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัย ที่จริงขณะที่ผมกำลังเขียนนี้เพื่อนร่วมงานของผมกำลังแย่งซื้อหุ้น Kellogg และ Ralston Purina เพราะพวกเขากำลังกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยกันในขณะนี้
โดย
golfkinmon
อาทิตย์ มี.ค. 15, 2009 9:05 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
ยอดขายรถส่อวูบต่ำสุดรอบ7ปี บริษัทลุยจัดทีม-อีเว้นต์พิเศษสู้ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2552 09:06 น. ความหวังดิบสนิท! เมื่อรัฐบาลไม่ยอมลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามคำขอผู้ประกอบการ ทำให้บรรดาค่ายรถต้องดิ้นหนีตาย เริ่มเล็งปรับลดตลาดรถยนต์ปีวัวบ้าลงอีก เหลือเพียง 4.8 แสนคัน ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ยักษ์ใหญ่ นิสสัน-โตโยต้า ตั้งทีมพิเศษรุกเจาะลูกค้าปั้นยอดขาย ขณะที่ อีซูซุ ไม่ง้อรัฐ จัดงานมหกรรมสู้วิกฤต ตลาดนัดสินค้า ลดราคากระหน่ำ ทั้งปิกอัพใหม่ รถมือสอง และสินค้าอุปโภคบริโภคร่วมกับพันธมิตรชื่อดัง ขณะที่รายอื่นๆ ทิ้งไพ่ตาย อัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% บางค่ายนานถึง 48 เดือน หลังจากเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ในการประชุมของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ตัดสินใจตีกลับข้อเสนอให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ ตามที่ 4 องค์กรหลักเสนอไป โดยเฉพาะการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ลง 3% ทำให้ความหวังของบรรดาผู้ประกอบการรถยนต์ ที่หวังว่าจะผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 50,000 คัน เป็นอันต้องจอดสนิท ดังนั้นจึงน่าจับตาว่าค่ายรถจะหันกลับมาช่วยตัวเองอย่างไร เพื่อดิ้นหนีตายจากสภาวะตลาดรถยนต์ ซึ่งนอกจากจะไม่มีสัญญาณดีขึ้นแล้ว นับวันดูเหมือนว่าจะสาหัสกว่าที่คาดไว้เสียอีก **เล็งปรับยอดขายต่ำสุดรอบ 7 ปี นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ (TAIA) และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก เอนจิเนียริง แอนด์ แมนูแฟคเจอริง จำกัด เปิดเผย ASTV ผู้จัดการรายวัน ว่า เมื่อรัฐบาลเห็นว่ายังไม่จำเป็น ที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ ตามข้อเสนอของ 4 องค์กรหลัก ถือว่าผู้ประกอบการได้ทำดีที่สุดแล้ว และต่อไปจะพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตามหากดูสถานการณ์ปัจจุบัน จากเดิมที่เราประเมินตลาดรถยนต์ตลอดทั้งปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 5.2-5.3 แสนคัน ตอนนี้ได้มีการพูดกันบ้างแล้วว่า อาจจะลดลงมาเหลือ 4.88 แสนคัน จากปีที่ผ่านมาทำได้ 6.2 แสนคัน ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2545 ที่ทำได้ 4.09 แสนคัน ทั้งนี้จะเห็นยอดขายรถยนต์ในเดือนมกราคมลดลงเกือบ 30% และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แม้จะยังรวบรวมตัวเลขไม่เสร็จ แต่ที่แน่ๆ ยอดขายปิกอัพตกลงไม่ต่ำกว่า 40% เพราะตลาดนี้จะมีปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อเป็นอย่างมาก ส่วนตลาดรถยนต์นั่งหรือเก๋งยังไม่ชัดเจน ซึ่งคงจะตกลงต่อเนื่องเช่นกัน จากเดือนมกราคมลดลงเกือบ 10% นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทราบตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการลดลงสูงถึง 40% ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายเดือนมกราคมที่ลดลงเฉลี่ย 30% สาเหตุมาเดือนกุมภาพันธ์มีข่าวว่า จะมีการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และจะมีผลต่อราคาขายให้ลดลง ทำให้ผู้ซื้อมีการชะลอซื้อรถออกไป ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไม่รับข้อเสนอของผู้ประกอบการ ทำให้คาดว่าเดือนมีนาคมนี้ยอดขายรถยนต์น่าจะกระเตื้องขึ้น **นิสสัน-โตโยต้าตั้งทีมพิเศษลุย แหล่งข่าวจาก บริษัท สยามนิสสันโอโตโมบิล จำกัด เปิดเผย ASTV ผู้จัดการายวัน ว่า ในการรับมือยอดขายที่ตกต่ำลง จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว นิสสันได้มีการปรับกลยุทธ์การทำงานไว้รองรับตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยนอกจากหน่วยงานปกติที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังได้จัดทีมพิเศษขึ้นมาใหม่ เรียกว่า รีเทล มาร์เก็ตติ้ง (Retail Marketing) เพื่อทำงานในเชิงรุกมากขึ้น ทีมดังกล่าวจะเป็นหน่วยสนับสนุนดีลเลอร์ทั่วประเทศ ที่ต้องการจะจัดกิจกรรมในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องรออีเวนต์ใหญ่ๆ จากบริษัทแม่ โดยดีลเลอร์ไหนที่ต้องการจะดำเนินการเองแบบเล็กๆ เพียงเสนอแผนงานเข้ามาให้พิจารณา และเมื่อได้รับอนุมัติแล้ว นอกจากเงินสนับสนุน อุปกรณ์ และหากมีการร้องขอทีมงานเข้าไปช่วยเหลือในการจัดกิจกรรม บริษัทแม่ก็จะส่งทีมรีเทลมาร์เก็ตติ้งเข้าไปช่วยดูการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดงาน ลักษณะของบูธ และภายในงานจะต้องมีอะไรบ้าง ดังนั้นการจัดทีมพิเศษรีเทลมาร์เก็ตติ้งขึ้นมา จึงทำให้การจัดกิจกรรมการตลาด หรืออีเว้นต์โชว์รถของนิสสัน สามารถทำได้ถี่ขึ้นแทบจะทุกสัปดาห์ และครอบคลุมทั่วประเทศ ที่สำคัญยังเป็นการใช้งบประมาณที่จำกัด ให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผลจากการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา ทำให้ดีลเลอร์มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าไม่จัดกิจกรรมพอสมควร แหล่งข่าวจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย ASTV ผู้จัดการรายวัน จากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว จนส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไทยได้ผลกระทบ โดยยอดขายรถยนต์เดือนมกราคมที่ผ่านมา ตกลงมากถึง 30% และในส่วนของโตโยต้าลดลงกว่า 27% จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเมื่อไหร่ และสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในไทยที่ลดลงชัดเจน ทำให้โตโยต้าต้องเตรียมรับมือเป็นพิเศษ ทั้งในส่วนของการลดต้นทุน ปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับตลาด รวมถึงลดค่าใช้จ่ายประมาณ 30-35% แต่นั่นเป็นเพียงการตั้งรับเท่านั้น ในสภาวการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีกลยุทธ์เชิงรุกด้วย เหตุนี้โตโยต้าจึงได้มีการจัดตั้งทีมงานพิเศษ เพื่อผลักดันให้บรรลุภารกิจ 9 ข้อ ที่สำคัญคือการรักษาและผลักดันยอดขายโตโยต้าให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับทีมงานพิเศษนี้ เป็นการรวบรวมบุคลากรของโตโยต้า จากแผนกต่างๆ มาทำงานร่วมกันเฉพาะกิจ โดยเบื้องต้นทีมงานนี้จะมีภารกิจในการดำเนินการประมาณ 2 ปี เพื่อดำเนินงานเชิงรุกไม่ว่าจะเป็นแคมเปญส่งเสริมการขาย หรือกิจกรรมการตลาด ซึ่งเป็นการเสริมกับหน่วยงานปกติที่มีอยู่ เพื่อที่จะทำอย่างไรให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย หรือรักษาสถานะธุรกิจให้อยู่รอดได้ จนกว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะเริ่มคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี **อีซูซุไม่ง้อรัฐจัดตลาดนัดรถสู้วิกฤต นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อร่วมส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และบรรเทาพิษเศรษฐกิจให้คนไทย จึงได้จัดงาน มหกรรมอีซูซุ...สู้วิกฤติ ตลาดนัดสินค้า ราคาลดกระหน่ำ ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 ณ สนามกีฬาธูปะเตมีย์ ระหว่างเวลา 12.00-21.00 น. ในรูปแบบของตลาดนัดสินค้า คุณภาพดีในราคาลดพิเศษ ผู้บริโภคจะพบกับตลาดนัดรถยนต์ ผู้ซื้อ...พบผู้ขาย การประมูลรถอีซูซุมือสองคุณภาพเยี่ยม ในราคาสุดคุ้ม จากเต็นท์รถชั้นนำกว่า 100 เต็นท์ ด้วยการเปิดโอกาสให้รถมือสองทุกรุ่น ทุกยี่ห้อเข้าร่วมเจรจาซื้อ-ขาย ต่อรองราคาตามความพอใจ และพบกับแคมเปญสุดพิเศษ รับเงื่อนไขดีๆ เมื่อซื้อปิกอัพ อีซูซุ แพลททินั่ม ใหม่ ทุกรุ่นภายในงาน พร้อมกับอำนวยความสะดวกให้กับท่านที่ต้องการเช่าซื้อรถ โดยมีบริษัทเช่า-ซื้อรถยนต์ชั้นนำหลายแห่ง ร่วมออกบูธกันอย่างคับคั่ง และยังมีกิจกรรมสาระเกี่ยวกับการดูแลรักษารถนต์ และความบันเทิงหลากหลายด้วย นอกจากนี้อีซูซุยังได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ เครือสหพัฒน์ฯ, ยูนิลีเวอร์, สยามเซ็นทราโกฟาร์ม, ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และบริษัทชั้นนำที่ร่วมออกบูธอีกกว่า 100 ร้าน โดยได้รวบรวมกองทัพสินค้านานาชนิด ทั้งอาหารและของใช้ราคาถูกมาให้เลือกสรรกันอย่างจุใจ และช่วงนาทีทอง! กับสินค้าราคาถูกพิเศษทุกๆ 1 ชั่วโมง อาทิ ไข่ไก่โหลละ 10 บาท มาม่า 6 ซอง 20 บาท เงาะกระป๋องตรามาลี 3 กระป๋อง 15 บาท น้ำส้มเขียวหวาน 100% ตรามาลี 3 กล่อง 15 บาท ไวไวรสทรงเครื่อง 5 ซอง 15 บาท น้ำมันพืชหยก 1 ลิตร แพ็คคู่ 50 บาท เป็นต้น **ค่ายรถอัดแคมเปญดอกเบี้ย0% นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธาน บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม 6 เมษายนที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา เปิดเผยว่า ปีนี้แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บริษัทรถยนต์ยังเข้าร่วมจัดงานแสดงอย่างคับคั่ง 34 ยี่ห้อ โดยนอกจากจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเปิดตัวในงานแล้ว ยังได้มีการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายกันอย่างคึกคัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแคมเปญดอกเบี้ย 0% ซึ่งถือว่าจูงใจลูกค้าในเวลานี้มากที่สุด นายอันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ เชฟโรเลตจึงได้จัดเปิดแคมเปญ เก่ามา-ใหม่ไป รับแลกรถใช้แล้วทุกรุ่นทุกยี่ห้อ โดยประเมินราคาตามเวบไซต์ประเมินราคารถมือสอง Red Book (www.redbookasiapacific.com/th) พร้อมให้ราคาเพิ่มถึงถึง 20,000 บาท เพื่อซื้อรถยนต์นั่งเชฟโรเลต ออพตร้า ทั้งรุ่นซีดาน และรุ่นเอสเตท CNG ใหม่เอี่ยมป้ายแดง ซึ่งเป็นรถพลังงานทางเลือกสุดประหยัด จึงเหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยผู้ที่นำรถใช้แล้วมาร่วมจับจองรถออพตร้า CNG ในแคมเปญนี้ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษดาวน์เริ่มต้นที่ 15% ดอกเบี้ย 0% นาน 36 เดือน หรือดาวน์ 25% ผ่อนสบายด้วยดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีอีกด้วยนายซาร่ากล่าว
โดย
golfkinmon
จันทร์ มี.ค. 09, 2009 7:36 pm
0
0
บริษัทผลิตยา
ในต่างประเทศมีเยอะเลย บริษัทยา Company Sales Summary Rank Company Sales Market Share Sales Growth 2006 $ (m) % 05-06 $ (%) 1 Pfizer 45,083 8.6 1.8 2 GlaxoSmithKline 36,947 7.1 8.9 3 sanofi-aventis 35,605 6.8 4.9 4 Novartis 28,868 5.5 17.9 5 Roche 26,560 5.1 21.4 6 AstraZeneca 25,741 4.9 10.5 7 Johnson & Johnson 23,267 4.4 4.2 8 Merck & Co 22,636 4.3 2.8 9 Wyeth 1 5,683 3.0 9.8 10 Eli Lilly 14,816 2.8 7.5 11 Bristol-Myers Squibb 13,861 2.6 (9.1) 12 Amgen 13,858 2.6 15.3 13 Abbott 12,395 2.4 (6.8) 14 Boehringer Ingelheim 10,401 2.0 15.2 15 Takeda 9,429 1.8 4.8 16 Bayer Schering Pharma 8,681 1.7 85.3 17 Schering-Plough 8,561 1.6 13.2 18 Astellas Pharma 7,723 1.5 3.1 19 Daiichi-Sankyo 6,859 1.3 2.6 20 Novo Nordisk 6,518 1.2 15.8 21 Eisai 5,345 1.0 5.9 22 Merck KGaA 4,669 0.9 6.8 23 Solvay 3,264 0.6 15.7 24 Forest 3,101 0.6 11.0 25 Akzo Nobel 2,957 0.6 8.3 Wood Mackenzie's Productview™ March 2007 Source: บริษัทเน้นทางไบโอเทคโนโลยี Rank 2004 Company Country Revenue 2004 (USD millions) R&D 2004 (USD millions) Net Income/ (Loss) 2004 (USD millions) Employees 2004 1 Amgen USA 10,550.0 2,028.0 2,363.0 14,400 2 Genentech USA 4,621.2 947.5 784.8 7,646 3 Merck Serono Switzerland 2,458.1 594.3 496.2 4,902 4 Biogen Idec USA 2,211.6 687.7 25.1 4,266 5 Genzyme USA 2,201.1 391.8 86.5 7,000 6 Chiron Corp. USA 1,723.4 431.1 78.9 5,400 7 Gilead Sciences USA 1,324.6 223.6 449.4 1,654 8 CSL Australia 1,273.4 70.2 152.4 8,000 9 MedImmune USA 1,141.1 327.3 -3.8 1,823 10 Cephalon USA 1,015.4 274.0 -73.8 2,173 และ50บริษัทด้านงานวิจัย Top 50 companies by R&D projects league table February 2009 ตรวจสอบยาใหม่ที่ได้รับอนุมัติจาก FDA New Drug Approvals In 2006 New Drug Approvals In 2007 หาข้อมูลยาที่ทำรายได้สำคัญของบริษัทว่าสิทธิบัตรยา(Patent) จะหมดอายุลงในปีใด เช่น ยาที่ทำรายได้หลักให้บริษัท Pfizer คือ ยาลดไขมันชื่อการค้า Lipitor (atorvastatin) สิทธิบัตรกำลังจะหมดอายุใน เดือน มีนาคม 2553 ซึ่งบริษัทยาในอินเดีย บริษัท Ranbaxy เตรียมผลิตออกขายยาในสูตรเดียวกัน(generic drug) ซึ่งทาง Pfizer คาดว่าจะทำให้รายได้จากยา Lipitor ลดลงถึง 80% เทรนด์ของยาในอนาคตจะมาจากพวกบริษัทที่เน้นทางด้าน ไบโอเทคโนโลยี มากขึ้น พวกบริษัทยายักษ์ใหญ่จึงมักชอบซื้อบริษัทยาทางด้านไบโอเทคมากขึ้น
โดย
golfkinmon
เสาร์ ก.พ. 21, 2009 7:03 pm
0
0
Investing in Cylical Stocks
จังหวะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มยานยนต์ อ้างอิงจากหนังสือ ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินซ์ Beating the Street ปี 2548 บทที่ 15 หุ้นวัฏจักร:อะไรที่แย่เดี่ยวมันก็ดี เมื่อไรก็ตามที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดูซบเซา ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจะเริ่มคิดถึงการลงทุนในหุ้นวัฏจักร การขึ้นๆ ลงๆ ของบริษัทอลูมิเนียม, บริษัทเหล็ก, บริษัทผู้ผลิตกระดาษ, บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ , บริษัทสารเคมี และสายการบินเป็นรูปแบบ ซึ่งมีการรับรู้กันเป็นอย่างดีและมีความเชื่อถือได้พอๆ กับการเปลี่ยนฤดูกาล ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การที่ผู้จัดการกองทุนมักจะกระตือรือร้นอยากที่จะ เข้าไปลงทุนในหุ้นวัฏจักร ก่อนคนอื่นๆ มันดูเหมือนว่า วอลล์ สตรีทจะคาดการณ์วงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร เร็วเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก ซึ่งเหตุนี้มันไปทำให้การลงทุนในหุ้นวัฏจักรเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยกลเม็ดเด็ดพรายมากยิ่งขึ้น ตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ตัวหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้บอกว่า เราควรจะซื้อหุ้นบริษัทรถยนต์เมื่อไรก็คือ ราคารถมือสอง เมื่อไรก็ตามที่เต๊นท์รถมือสองลดราคารถยนต์ของพวกเขาลง มันหมายถึงว่า พวกเขามีปัญหาในการขายรถ ซึ่งตลาดรถมือสองที่ว่าแย่แล้ว ตลาดรถใหม่จะย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อไรที่ราคารถมือสองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มันจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอนาคตที่สดใสขี้นสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ตัวเลข "การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถ" ในช่วงระยะเวลา สีปี นับจากปี 1980 ถึงปี 1983 ซึ่งเศรษฐกิจมีภาวะซบเซาและผู้คนต่างก็พยายามที่จะประหยัดเงิน ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนน้อยกว่ายอดขายรถที่ควรจะเป็น (แนวโน้ม) ถึงเจ็ดล้านคัน (คนจำนวนเจ็ดล้านคนที่ควรจะซื้อรถยนต์และรถบรรทุกไปแล้วได้เลื่อนการซื้อของพวกเขาออกไป) ตัวเลขนี้บอกเราว่า การบูมของยอดขายรถมันน่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ได้เห็นการบูมเกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงปี 1984 ถึงปี 1989 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นถึง 7.8 ล้านคัน หลังจากช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงมั่นต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นผ่านไปได้สีหรือห้าปี ช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นจะกินเวลาอีกสีหรือห้าปี กว่าที่ตลาดรถมันจะกลับมามีความสมดุล หากคุณไม่รู้ข้อมูลนี้ คุณอาจจะขายหมู ตัวอย่างเช่น หลังจากการบูมในปี 1983 ซึ่งยอดขายรถได้เพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านคันไปเห้น 12.3 ล้านคัน คุณอาจจะตัดสินใจขายหุ้น Ford หรือ Chrysler ออกไป เนื่องจากคุณคิดว่าการบูมของตลาดรถยนต์มันจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ถ้าหากคุณได้เกาะติดแนวโน้ม คุณจะเห็นว่า มันยังมีการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่หลงเหลืออยู่มากกว่า 7 ล้านคัน ซึ่งกว่ามันจะถูกดูดซับหมดก็ปาเข้าไปปี 1988 ปีที่คุณควรจะขายหุ้นบริษัทรถยนต์ออกไปก็คือปี 1988 (ประมาณปีที่ 7-8 หลังวิกฤติ) ซึ่งเป็นปีที่การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่สะสมมาตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ได้ถูกดูดซับไปหมดแล้ว ผู้คนได้ซื้อรถใหม่ไปกว่า 74 ล้านคันในช่วงระยะเวลาห้าปีและแนวโน้มของยอดขายก้น่าจะเป็นไปในทิศทางขาลง มากกว่าที่จะเป็นขาขึ้น กระทั่งในปี 1989 ซึ่งเป้นปีที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดี ยอดขายรถก็ยังลดลงไป 1 ล้านคัน ซึ่งมันไปทำให้ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ลดลงตามไปด้วย นับจากปี 1990 เราก็เริ่มต้นสะสมตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถกันอีกครั้ง เรามียอดขายที่ต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นติดต่อกันสองปี หากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะมีตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถจำนวน 5.6 ล้านคันภายในสิ้นปี 1993 และมันน่าจะก่อให้เกิดการบูมของยอดขายรถในช่วงปี 1994-1996 (สี่ปีอีกแล้วครับพี่น้อง :idea: ) การรู้วัฏจักรของธุรกิจรถยนต์เป็นเพียงครึ่งเดียว ของเรื่องราวทั้งหมดอีก ครึ่งหนึ่งที่เหลือก้คือการคัดเลือกบริษัทที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุด หากคุณคิดถูกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแต่เลือกลงทุนผิดบริษัท คุณก็สามารถที่จะขาดทุนได้พอๆ กับกรณีที่คุณคิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผิด ในช่วงขาขึ้นที่เริ่มต้นในปี 1982 ( สองปีหลังวิกฤติ :idea: ) ผมมีข้อสรุปว่า 1. มันเป็นช่วงเวลาที่ดีของการลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 2.Chrysler, Ford และ Volvo น่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า General Motors คุณอาจจะคิดว่า GM น่าจะเป็นหุ้นที่ดีที่สุด เนื่องจาก GM เป็นบริษัทผูผลิตรถยนต์อันดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศของ GM มันยิ่งใหญ่เกินกว่าความปราถนาของบริษัทในการที่จะรักษามันเอาไว้ บริษัททั้งหยิ่งยโส ทั้งมองระยะสั้นๆ และยึดติดกับความสำเร็จของมัน อย่างไรก็ตาม หากเราไม่มองถึงประเด็นเหล่านี้แล้วบริษัทก็ถือได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดี ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Roger & Me ไม่ใช่คนที่ประสบกับความยุ่งยากในการเข้าไปในอาคารของ GM เพียงคนเดียว ครั้งหนึ่ง ผมได้รับการนัดหมายให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ที่หาศูนย์วิจัยและการพัฒนาของ GM ที่มีขนาดพอๆ กับวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ไม่พบ พวกเราสองคนต้องใช้เวลาสองสามชั่วโมงในการเสาะหาที่ตั้งของมัน หากกระทั่งคนในแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ยังไม่รู้ว่า ส่วนต่างๆ ของบริษัทตั้งอยู่ที่ไหน คุณสามารถที่จะตั้งสมมติฐานไว้ได้เลยว่า คนอื่นๆ ในบริษัทก็คงจะไม่รู้เช่นกัน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 GM ได้สร้างความประทับใจอันเลวร้ายไว้กับผู้ซื้อหุ้นของบริษัท ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ราคาหุ้นของ GM ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามคนที่ซื้อหุ้น Chrysler ในช่วงใกล้จุดต่ำสุดในปี 1982 จะได้กำไรเกือบ 50 เท่าภายในระยะเวลาห้าปี และคนที่ซื้อหุ้น Ford จะได้กำไรถึง 17 เท่า พอมาถึงในช่วงสิ้นทศวรรษ ความอ่อนแอของ GM ก็เป็นสิ่งที่มีการรับรู้กันโดยทั่วไป คนที่เดินตามท้องถนนจะสามารถบอกกับคุณว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของอเมริกาได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ..................................................................... สรุปว่า 1.วัฏจักรของอุตสาหกรรมยานยนต์ 1 รอบประมาณ 7-8 ปี 2.สองปีหลังวิกฤตจะเป็นช่วงเริ่มต้นขาขึ้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นเวลาเหมาะสมในการเริ่มลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 3.อุตสาหกรรมยานยนต์จะพีคตอนปีที่ 4 หรือ 5 หลังวิกฤต แต่ยังไม่ต้องรีบขายเพราะคุณอาจขายหมู :lol: 4.เตรียมขายในปีที่ 7 หรือ 8 ซึ่งเป็นปีที่การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่สะสมมาในช่วงวิกฤติหมดไป
โดย
golfkinmon
พุธ ก.พ. 18, 2009 7:57 pm
0
2
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
จังหวะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มยานยนต์ อ้างอิงจากหนังสือ ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ลินซ์ Beating the Street บทที่ 15 หุ้นวัฏจักร:อะไรที่แย่เดี่ยวมันก็ดี เมื่อไรก็ตามที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดูซบเซา ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจะเริ่มคิดถึงการลงทุนในหุ้นวัฏจักร การขึ้นๆ ลงๆ ของบริษัทอลูมิเนียม, บริษัทเหล็ก, บริษัทผู้ผลิตกระดาษ, บริษัทผู้ผลิตรถยนต์, บริษัทสารเคมี และสายการบินเป็นรูปแบบ ซึ่งมีการรับรู้กันเป็นอย่างดีและมีความเชื่อถือได้พอๆ กับการเปลี่ยนฤดูกาล ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การที่ผู้จัดการกองทุนมักจะกระตือรือร้นอยากที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้นวัฏจักก่อนคนอื่นๆ มันดูเหมือนว่า วอลล์ สตรี ทจะคาดการณ์วงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรเร็วเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก ซึ่งเหตุนี้มันไปทำให้การลงทุนในหุ้นวัฏจักรเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยกลเม็ดเด็ดพรายมากยิ่งขึ้น ตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ตัวหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้บอกว่า เราควรจะซื้อหุ้นบริษัทรถยนต์เมื่อไรก็คือ ราคารถมือสอง เมื่อไรก็ตามที่เต๊นท์รถมือสองลดราคารถยนต์ของพวกเขาลง มันหมายถึงว่า พวกเขามีปัญหาในการขายรถ ซึ่งตลาดรถมือสองที่ว่าแย่แล้ว ตลาดรถใหม่จะย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อไรที่ราคารถมือสองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มันจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอนาคตที่สดใสขี้นสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ตัวเลข "การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถ" ในช่วง ระยะเวลา สีปี นับจากปี 1980 ถึงปี 1983 ซึ่งเศรษฐกิจมีภาวะซบเซาและผู้คนต่างก็พยายามที่จะประหยัดเงิน ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนน้อยกว่ายอดขายรถที่ควรจะเป็น (แนวโน้ม) ถึงเจ็ดล้านคัน (คนจำนวนเจ็ดล้านคนที่ควรจะซื้อรถยนต์และรถบรรทุกไปแล้วได้เลื่อนการซื้อของพวกเขาออกไป) ตัวเลขนี้บอกเราว่า การบูมของยอดขายรถมันน่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ได้เห็นการบูมเกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงปี 1984 ถึงปี 1989 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นถึง 7.8 ล้านคัน หลังจากช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงมั่นต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นผ่านไปได้สีหรือห้าปี ช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นจะกินเวลาอีกสีหรือห้าปีกว่าที่ตลาดรถมันจะกลับมามีความสมดุล หากคุณไม่รู้ข้อมูลนี้ คุณอาจจะขายหมู ตัวอย่างเช่น หลังจากการบูมในปี 1983 ซึ่งยอดขายรถได้เพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านคันไปเห้น 12.3 ล้านคัน คุณอาจจะตัดสินใจขายหุ้น Ford หรือ Chrysler ออกไป เนื่องจากคุณคิดว่าการบูมของตลาดรถยนต์มันจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ถ้าหากคุณได้เกาะติดแนวโน้ม คุณจะเห็นว่า มันยังมีการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่หลงเหลืออยู่มากกว่า 7 ล้านคัน ซึ่งกว่ามันจะถูกดูดซับหมดก็ปาเข้าไปปี 1988 ปีที่คุณควรจะขายหุ้นบริษัทรถยนต์ออกไปก็คือปี 1988 ซึ่งเป็นปีที่การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่สะสมมาตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ได้ถูกดูดซับไปหมดแล้ว ผู้คนได้ซื้อรถใหม่ไปกว่า 74 ล้านคันในช่วงระยะเวลาห้าปีและแนวโน้มของยอดขายก้น่าจะเป็นไปในทิศทางขาลง มากกว่าที่จะเป็นขาขึ้น กระทั่งในปี 1989 ซึ่งเป้นปีที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดี ยอดขายรถก็ยังลดลงไป 1 ล้านคัน ซึ่งมันไปทำให้ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ลดลงตามไปด้วย นับจากปี 1990 เราก็เริ่มต้นสะสมตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถกันอีกครั้ง เรามียอดขายที่ต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นติดต่อกันสองปี หากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะมีตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถจำนวน 5.6 ล้านคันภายในสิ้นปี 1993 และมันน่าจะก่อให้เกิดการบูมของยอดขายรถในช่วงปี 1994-1996 (สี่ปีอีกแล้วครับพี่น้อง :idea: ) การรู้วัฏจักรของธุรกิจรถยนต์เปนเพียงครึ่งเดียวของเรื่องราวทั้งหมดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก้คือการคัดเลือกบริษัทที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุด หากคุณคิดถูกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแต่เลือกลงทุนผิดบริษัท คุณก็สามารถที่จะขาดทุนได้พอๆ กับกรณีที่คุณคิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผิด ในช่วงขาขึ้นที่เริ่มต้นในปี 1982 ( สองปีหลังวิกฤติ :idea: ) ผมมีข้อสรุปว่า 1. มันเป็นช่วงเวลาที่ดีของการลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 2.Chrysler, Ford และ Volvo น่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า General Motors คุณอาจจะคิดว่า GM น่าจะเป็นหุ้นที่ดีที่สุด เนื่องจาก GM เป็นบริษัทผูผลิตรถยนต์อันดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศของ GM มันยิ่งใหญ่เกินกว่าความปราถนาของบริษัทในการที่จะรักษามันเอาไว้ บริษัททั้งหยิ่งยโส ทั้งมองระยะสั้นๆ และยึดติดกับความสำเร็จของมัน อย่างไรก็ตาม หากเราไม่มองถึงประเด็นเหล่านี้แล้วบริษัทก็ถือได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดี ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Roger & Me ไม่ใช่คนที่ประสบกับความยุ่งยากในการเข้าไปในอาคารของ GM เพียงคนเดียว ครั้งหนึ่ง ผมได้รับการนัดหมายให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ที่หาศูนย์วิจัยและการพัฒนาของ GM ที่มีขนาดพอๆ กับวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ไม่พบ พวกเราสองคนต้องใช้เวลาสองสามชั่วโมงในการเสาะหาที่ตั้งของมัน หากกระทั่งคนในแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ยังไม่รู้ว่า ส่วนต่างๆ ของบริษัทตั้งอยู่ที่ไหน คุณสามารถที่จะตั้งสมมติฐานไว้ได้เลยว่า คนอื่นๆ ในบริษัทก็คงจะไม่รู้เช่นกัน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 GM ได้สร้างความประทับใจอันเลวร้ายไว้กับผู้ซื้อหุ้นของบริษัท ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ราคาหุ้นของ GM ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามคนที่ซื้อหุ้น Chrysler ในช่วงใกล้จุดต่ำสุดในปี 1982 จะได้กำไรเกือบ 50 เท่าภายในระยะเวลาห้าปี และคนที่ซื้อหุ้น Ford จะได้กำไรถึง 17 เท่า พอมาถึงในช่วงสิ้นทศวรรษ ความอ่อนแอของ GM ก็เป็นสิ่งที่มีการรับรู้กันโดยทั่วไป คนที่เดินตามท้องถนนจะสามารถบอกกับคุณว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของอเมริกาได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น
โดย
golfkinmon
พุธ ก.พ. 18, 2009 4:32 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
โตโยต้า เผยตลาดรวมรถยนต์ในประเทศ ม.ค.ลดลง 29.8% มาที่ 32,085 คัน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- 1 ชั่วโมง 42 นาทีที่แล้ว นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม 52 ว่า มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 32,085 คัน ลดลง 29.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดย รถยนต์นั่ง 13,527 คัน ลดลง 10.0% รถเพื่อการพาณิชย์ 18,558 คัน ลดลง 39.5% รวมทั้ง รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ จำนวน 16,061 คัน ลดลง 38.8% แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆจากทางภาครัฐ และสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดรถยนต์โดยรวม แต่วิกฤตการณ์ทางการเงินโลกที่ยังไม่คลี่คลายยังคงเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับยอดขายเดือนมกราคมในปีทีผ่านมาที่สูงมากเนื่องจากการประกาศใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงาน อี20 อย่างไรก็ดี ตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าปริมาณการขายมีแนวโน้มดีขึ้น แม้ว่าสถาบันการเงินต่างๆ จะเพิ่มระดับความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดรถยนต์ แต่มาตรการต่างๆทางด้านเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม จะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ดีต่อตลาดรถยนต์ --อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์:
[email protected]
โดย
golfkinmon
พุธ ก.พ. 18, 2009 3:00 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
อ้างอิงจาก หนังสือรวยด้วยหุ้นแบบฉบับ ดร.นิเวศน์ ปี 2547 บทความ มอเตอร์โชว์ หน้า 109 กรุงเทพธุรกิจ 16 มิ.ย. 2546 มอเตอร์โชว์ ตัวเลขยอดขายรถยนต์ทุกประเภท ในเดือนพฤษภาคม 2546 ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 เดือนของช่วงปีนั้น โดยมียอดขาย 42,751 คัน และเป็นการเติบโตถึง 42.1% เมื่อเทียบกับปี 2545 และเมื่อรวมยอดขาย 5 เดือนในปี 2546 มีจำนวนถึง 203024 คับ คิดเป็น การเติบโตถึง 38.4% ผมไม่ได้ติดตามว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศเติบโตขึ้นมากี่เดือนแล้ว รู้แต่ว่ายอดขายเติบโตต่อเนื่องมายาวนาน ข่าวดีของอุตสาหกรรมรถยนต์เกิดขึ้นเดือนแล้วเดือนเล่า ที่จริงน่าจะเรียกว่าปีแล้วปีเล่า หลังจากที่ตกต่ำอย่างรุนแรงหลังจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 นอกจากรถยนต์แล้ว รถจักรยานยนต์ก็เติบโตไม่แพ้กันถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มอเตอร์ไซค์นั้นเติบโตมากกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำ แต่การเติบโตของภาคยานยนต์นั้น ดูเหมือนจะมีการพูดกันมากเฉพาะในหน้าการตลาด หรือหน้าเกี่ยวกับรถยนต์ในหนังสือพิมพ์ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นในหมวดยานยนต์นั้น กลับมีการกล่าวถึงน้อยมาก เหตุผลสำคัญอาจจะมาจากการที่หุ้นในกลุ่มนี้มีน้อยขนาดก็เล็ก และที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่หุ้นกลุ่มยอดนิยมที่นักเก็นกำไรสนใจ หุ้นในหมวดยานยนต์อาจจะไม่ใคร่มีใครให้ความสนใจมากนัก แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เลวนัก นับตั้งแต่ต้นปี 2546 จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2546 ผลตอบแทนรวมของหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับยานยนต์เฉลี่ยประมาณ 29% ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนประมาณ 20% แต่เหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นกลุ่มยานยนต์เป็นที่สนใจมากนั้นน่าจะมาจากการปรับตัวของราคาหุ้นในกลุ่มเมื่อมีหุ้นหลายตัววิ่งขึ้นเหมือนติดจรวด เพียงสัปดาห์เดียว หุ้นอาปิโก ไฮเทค (AH) ซึ้งทำอุปกรณ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์และขายรถยนต์บางส่วน ปรับตัวไปจากราคา 49.25 บาท ในวันที่ 6 มิถุนายน 2546 เป็น 67.5 บาท ในวันที่ 13 มิถุนายน 2546 หรือปรับตัวขึ้นถึง 37% ภายในเวลาเพียง 5 วันซื้อขาย การดีดตัวของราคาหุ้นอาปิโกนั้น นอกจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่แล้ว ก็ยังน่าจะมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุน ที่มองว่าการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของบริษัททำชิ้นส่วนรถยนต์อีกบริษัทหนึ่งน่าจะช่วยให้กำไรของบริษัทในอนาคตเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วย หุ้นตัวต่อมาก็คือหุ้นไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ (BAT-3K) ซึ่งชื่อก็บอกว่าทำแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ ปรับตัวขึ้นจาก 42.75 บาท เป็น 47 บาท ในช่วงเวลาเดียวกัน หรือปรับขึ้น 9.9% ในชณะที่หุ้นยัวซ่าแบตเตอรี่ (YUASA) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดใหม่เติบโตขึ้นจาก 26.75 บาท เป็น 27.75 บาท หรือปรับตัวขึ้น 3.7% หุ้นที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ตัวต่อมา ก็คือ หุ้นกู๊ดเยียร์ (GYT) ซึ่งผลิตยางรถยนต์ ปรับขึ้นจาก 286 บาท เป็น 322 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 12.6% เช่นเดียวกับหุ้นไทยคาร์บอนแบล็ค (TCB) ซึ่งไม่ได้อยู่ในหมวดยานยนต์ แต่ผลิตผงถ่านดำที่ใช้ผสมทำยางรถยนต์ ก็เติบโตขึ้นจากราคา 12.3 บาท เป็น 13.3 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 8.1% หุ้นอีโนเว รับเบอร์ (IRC) ซึ่งทำยางเหมือนกัน แต่เป็นยางรถมอเตอร์ไซค์ และชิ้นส่วนยางที่ใช้ในรถยนต์เองก็ปรับตัวขึ้นไม่แพ้กัน เพราะราคาปรับขึ้นจาก 72 บาท เป็น 84.5 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้นถึง 17.4% ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ถัดจากยางมอเตอร์ไซค์ ก็ถึงรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งก็คือหุ้นของ เอส.พี.ซูซูกิ (SPSU) ซึ่งขายมอเตอร์ไซค์เป็นหลัก ก็เติบโตขึ้นจาก 10.5 บาท เป็น 11.10 บาท หรือให้ผลตอบแทน 5.7% หุ้นดารา อีกตัวหนึ่งของกลุ่มยานยนต์ ก็คือ หุ้นบริษัทไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) ซึ่งผลิตหลอดไฟและโคมไฟให้กับรถยนต์แทบทุกยี้ห้อในประเทศไทย ซึ้งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวาจาก 150 บาทต่อหุ้น เป็น 190 บาท หรือปรับตัวขึ้นถึง 26.7% และหุ้นที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ก็คือ หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้ประโยชน์ชัดเจน หรือยังมีข้อเสียเปรียบบางอย่าง เริ่มต้นจากหุ้นของสวีเดนมอเตอร์ส (SMC) ซึ้งขายรถวอลโว่ แต่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มเพียง 1% หรือปรับจากราคา 2 บาท เป็น 2.02 บาท ต่อหุ้น นอกจากนี้ ยังมีหุ้นอีกบริษัทหนึ่งที่ได้รับเช่นเดียวหับรถวอลโว หรืออาจจะไม่ได้เติบโตดีเหมือนรถยี้ห้ออื่นก็คือ หุ้นของไทยรุ่งยูเนียนคาร์ (TRU) ซึ้งทำรถดัดแปลง ที่ราคาหุ้นปรับลดลงจาก 7.15 บาท เป็น 7.05 บาท หรือปรับลดลง 1.4% หุ้นตัวสุดท้ายซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์มากนักก็คือ หุ้นของสยามภัณฑ์กรุ๊ป (SPG) ซึ่งราคาไม่ขยับไปไหนที่ 59 บาทต่อหุ้น อาจจะเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมันเครื่องที่บริษัทขายนั้น อาจจะมีคู่แข่งมาก และการเจริญเติบโตอาจจะไม่ชัดเจนนัก โดยสรุปแล้ว หุ้นในกลุ่มยานยนต์และที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ที่ดูเหมือนว่าจะได้ประโยชน์ชัดเจนจากการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ้งประกอบด้วยหุ้น AH, BAT-3K, YUASA, GYT, TCB, IRC, SPSU และ STANLY เพราะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ถึง 15.1% ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นเพียง 2.4% คำถามที่น่าสนใจต่อไปก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์จะเติบโตต่อไปหรือไม่? และราคาหุ้นเหล่านั้น สูงเกินไปหรือยัง? คำตอบของผมก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นคงจะเติบโตต่อไปอย่างแน่นอน โดยเฉพาะรถปิกอัพ ซึ่งค่ายรถณี่ปุ่นใหญ่ๆ เกือบทุกค่ายมีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทยดังนั้นแม้ว่าการเจริญเติบโตของยอดขายในประเทศอาจจะไม่สูงเหมือนที่ผ่านมา แต่การส่งออกรถยนต์คงจะเพิ่มขึ้นมาก ส่วนเรื่องของราคาหุ้นนั้น ถ้ามองตัวเลขโดยเฉลี่ยของค่า PE ที่ประมาณ 10 เท่า และค่า PB ที่ 1.7 เท่า โดยมีปันผลจ่ายหรือค่า DP ที่ประมาณ 4-5% ต่อปีแล้ว ผมเห็นว่าราคาหุ้นโดยส่วนรวมแล้ว ยังไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ในแง่ของ Value Investor เราต้องมองหุ้นเป็นตัวๆ เสมอในการพิจารณาที่จะลงทุน แม้งาน "มอเตอร์โชว์" อาจจะดูตื่นตาตื่นใจ แต่เวลาลงทุนต้องไม่ให้ความตี่นเต้นมาครอบงำอารมณ์ครับ --จบ--
โดย
golfkinmon
จันทร์ ก.พ. 16, 2009 1:10 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
golfkinmon
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ ก.พ. 16, 2009 10:49 am
ใช้งานล่าสุด:
พุธ ก.ค. 20, 2011 8:35 pm
โพสต์ทั้งหมด:
281 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.05 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Money is neutral
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว