หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
prichar s.
Joined: อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 5:36 pm
1426
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - prichar s.
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ปลดล็อคผลตอบแทนให้สูงขึ้นด้วยการก้าวข้ามกับดักบนเส้นทาง
หลักการลงทุนทั้ง 3 ข้อ ตั้งบนพื้นฐาน ผลตอบแทนลงทุนสมเหตุสมผลและความเสี่ยงระดับยอมรับได้ เป็นหลักการลงทุนแบบทั่วไปที่ใคร ๆ สามารถทำตามได้ โดยเป็นการลงทุนต่อเนื่องเพื่อหวังผลระยะยาว ยาว ส่วนการลงทุนเพื่อสร้างพอร์ต เพิ่มขนาดพอร์ต หรือเร่งขนาดพอร์ตให้โตเร็วหรือโตตามเป้า(อิสสระภาพทางการเงิน) ของแต่ละคน นั้น น่าจะต้องมีการเพิ่มเติมกลยุทธ ยุทธวิธีอื่น ๆ เป็นรายกรณีและเป็นรายบุคคล (ความสามารถส่วนบุคคล) ................................................................................................................................... ออกจากบ้าน เราล็อกบ้านไม่ให้คนอื่นเข้า เมื่ออยู่ในบ้าน เราก็ยังล็อกประตูบ้านไม่ให้คนนอกเข้าอีก แปลกเนอะ
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2017 5:16 pm
0
2
Re: คุยกันเล่นๆ - ทำอย่างไร เมื่อหมดยุคทอง วีไอ
ไม่มียุคทองหรือปีทองหรอก มีแต่ปีที่ง่ายกับปีที่ง่ายน้อยกว่า ขยันทำการบ้าน - กิจการดีมีมากมาย หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีมีถมไป ................................................................................................ ความผิดพลาด บ่อยครั้งไม่ได้เกิดจากการมีข้อมูลผิด แต่เกิดจากการวิเคราะห์พลาด -Roger Bootle
โดย
prichar s.
อังคาร ธ.ค. 27, 2016 5:39 pm
0
3
Re: ล้างพอร์ตกันรึยังครับ
มุมมองบวกต่อภาวะเศรษฐกิจปีหน้ายังเหมือนเดิม มุมมองต่อพื้นฐานกิจการของหุ้นในพอร์ตยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อยู่กับหุ้นต่อไป............... มั่นใจไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ในเวลาอันใกล้ xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx พอร์ตหุ้นดี ๆ ย่อมมีมารผจญ รวยกันง่าย ๆ มีแต่ในหนังสือ
โดย
prichar s.
จันทร์ ส.ค. 24, 2015 7:30 pm
0
16
Re: การปรับตัวของหุ้น bank
พิจารณาในมุมมองทะยอยสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวรับเงินปันผล เชื่อว่าอีก 5 ปีนับจากนี้ yield ดีกว่าดอกเบี้ยแบงก์ แต่หากจะซื้อเพื่อวัตถุประสงค์อื่น(เช่นเล่นรอบสั้น ๆ) ต้องใช้เหตุผลอื่นในการพิจารณา xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx ถกกันเรื่องราคา มักจบไม่ลง สุดท้ายมักโยนให้ตลาดเฉลย ถกกันเรื่องพื้นฐาน หลายครั้งก็จบไม่ลง ต้องรอคำตอบจากเวลาและผลประกอบการ เคยบอกแล้ว หุ้นยิ่งขึ้น กราฟจะบอกให้ซื้อ เป้าขยับขึ้นตลอด หุ้นยิ่งตก กราฟจะบอกให้ขาย - เด็งขาย - เป้าขยับลงตลอด
โดย
prichar s.
อังคาร มิ.ย. 02, 2015 9:13 pm
0
6
Re: Nanofinance :โอกาสในการลงทุนหรือความเสี่ยง/ดร.ธนภูมิ ดำร
มองเป็น csr ของธุรกิจใหญ่ ๆ คืนกำไรให้สังคมน่าจะสบายใจขึ้นนะ ความเสี่ยงน่ะ มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะปล่อยให้กลุ่มไหน หากมองบวก ทุกบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการ ผลน่าจะออกมาดี(พอสมควร) และหากมองลบก็คงไม่เลวร้ายสุด ๆ เพราะบริษัทน่าจะหาวิธีลดความเสี่ยงลงสู่ระดับที่ยอมรับได้อยู่แล้ว คนใช้บริการล้วนคนยากจนที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อมาก่อนทั้งนั้น จะหวังตัวเลขกำไรสูง ๆ คงไม่ใช่(มั้ง)
โดย
prichar s.
อังคาร พ.ค. 12, 2015 6:23 pm
0
1
Re: การส่งออกไทยปี 58
"อีไอซี"ยก4ปัจจัยเสี่ยงฉุดส่งออกปีนี้ขยายตัวต่ำ วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2015 เวลา 18:11 น. บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ ข่าวรายวัน - ฐานออนไลน์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรืออีไอซีออกบทวิเคราะห์ เรื่อง ส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์หดตัวต่อเนื่องที่ 6.1%YOY Event กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 อยู่ที่ 17,229.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวลงอีก 6.1%YOY ด้านการนำเข้ากลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ 1.5%YOY อยู่ที่ 16,839.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Analysis มูลค่าการส่งออกสินค้าหลักของไทยยังคงไม่มีสัญญาณฟื้นตัว โดยใน 2 เดือนแรกของปี การส่งออกหดตัวลงถึง 4.8%YOY การส่งออกในกลุ่มสินค้าเกษตรยังคงหดตัวต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์จากราคาสินค้าที่ตกต่ำ โดยมูลค่าการส่งออกยางพาราและน้ำตาลหดตัวลงอีกกว่า 38.8%YOY และ 9.8%YOY ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกอาหารทะเลแปรรูปลดลงกว่า 16%YOY ในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP) จากสหภาพยุโรป ด้านสินค้าที่เชื่อมโยงกับน้ำมันดิบอย่างน้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ต่อการส่งออกทั้งหมดของไทยนั้น ต่างปรับตัวลดลงอีก 26.8%YOY, 20.3%YOY และ 9.4%YOY ตามลำดับ นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์มูลค่าการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบกลับมาหดตัวอีกครั้งที่ 1.3% จากการส่งออกไปยังตลาดอินโดนีเซียและญี่ปุ่นที่หดตัวลงกว่า 27.8%YOY และ 13.6%YOY ตามลำดับ การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบปรับตัวลดลงเช่นกันที่ 3.0%YOY จากการส่งออกไปตลาดฮ่องกงซึ่งลดลง 28.6%YOY ถึงแม้ว่าการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ จะยังสามารถขยายตัวได้ดีที่ราว 17%YOY ก็ตาม การส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า โดยมูลค่าการส่งออกไปยังจีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปยังคงหดตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์นั้นลดลงอีก 15.1%YOY, 11.7%YOY และ 5.5%YOY ตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกไปยังตลาดอาเซียนยังหดตัวกว่า 8.3%YOY เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน 5 ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ตกต่ำ ถึงแม้ว่าตลาด CLMV จะสามารถขยายตัวได้ราว 7%YOY ในเดือนกุมภาพันธ์ก็ตาม อย่างไรก็ดีมีเพียงการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯที่สามารถขยายตัวต่อเนื่องโดยมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.1%YOY ในเดือนกุมภาพันธ์ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัว ซึ่งในปี 2015 นี้อาจมีเพียงตลาดสหรัฐฯ และตลาด CLMV ที่ช่วยพยุงการส่งออกของไทย มูลค่าการนำเข้ากลับมาขยายตัวเล็กน้อย จากการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบลดลง 36.3%YOY ในเดือนกุมภาพันธ์ หดตัวน้อยลงจากเมื่อเดือนที่แล้ว ตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อย ด้านการนำเข้าสินค้าทุนปรับขึ้น 3.9%YOY โดยเป็นการขยายตัวติดต่อกัน 2 เดือน จากการนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบที่ในเดือนกุมภาพันธ์ขยายตัวราว 21%YOY อีกทั้งการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 12.7%YOY ส่งผลให้การนำเข้าโดยรวมของไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5%YOY Implication อีไอซีคาดมูลค่าการส่งออกไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำต่อไป จากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ 4 ประการ 1) ราคาน้ำมันโลกที่ในปีนี้จะคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เชื่อมโยงกับน้ำมัน 2) ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ โดยเฉพาะราคายางพาราและราคาน้ำตาล 3) การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างจีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป และ4) การถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรปในทุกหมวดสินค้า ทิศทางของค่าเงินบาทที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อต้นทุนการบริหารความเสี่ยงเงินของผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า โดยค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนและยูโร จึงส่งผลให้ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปต้องนำเข้าสินค้าจากไทยในราคาที่แพงขึ้น ในขณะเดียวกันหาก Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็จะทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทิศทางของค่าเงินบาทที่แตกต่างกันในแต่ละสกุลเงินต่างประเทศนี้ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าของไทยต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. มี.ค. 26, 2015 7:32 pm
0
1
Re: งบสิ้นปี 57 มีประทับใจกันมั้ยครับ?
ส่วนตัวชอบหุ้นแบบที่กำไร Q4 โตเมื่อเทียบกับQ3หรือครึ่งปีแรก ได้ทั้งโตจากเคยกำไรแล้วกำไรมากขึ้น และเคยขาดทุนพลิกกลับมาทำกำไรชัด ๆ กับชอบอีกแบบที่Q4 กำไรลดฮวบ แต่เป็นฮวบครั้งสุดท้ายก่อนทะยานในQ1ปีนี้ (เอาเฉพาะที่ฮวบแต่ยังกำไร จากกำไรกลายเป็นขาดทุนไม่เอา)
โดย
prichar s.
ศุกร์ ก.พ. 27, 2015 9:16 pm
0
1
Re: PE ตลาดที่20 เท่า ในปัจจุบัน เหมือนกันกับปี 40 จริงหรอ?
ประวัติการขึ้นลงของดัชนีราคาหลักทรัพย์ ยุคตกต่ำครั้งที่ 2 (2537-2544) ปี 2537 ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์เปิดที่ 1753.73 เป็นจุดสูงสุดของปีในวันที่ 4 มกราคม แต่ต่ำสุดที่ ระดับ 1196.59 จุดในวันที่ 4 เมษายน โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 2,113,860.65 ล้านบาทมีค่า PE 31.49 เท่าทำ ให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ปี 2538 ดัชนีราคาตลาดเปิดทำการวันที่ 3 มกราคม ดัชนีราคา 1354.04 แต่หลังจากนั้นปรับตัวลดลง มาตลอดเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในประเทศเม็กซิโก ที่เกิดในวันที่ 12 มกราคม ทำให้นักลงทุนต่าง ประเทศ ไม่มั่นใจลงทุนในตลาดหลักทรัพยเกิดใหม่ พร้อมทั้งมีข่าวลือเรื่องการการลดค่าเงินบาทของไทยนอก จากนี้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงในเมื่องโกเบของปประเทศญี่ปุ่นทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง http://www.thaistockinfo.com/forum2010/f0031c.html
โดย
prichar s.
ศุกร์ ก.พ. 27, 2015 8:18 pm
0
5
Re: OEM ธุรกิจที่จะเป็นดาวร่วงของไทย และอะไรคือธุรกิจดาวรุ่ง
ทำตัวเป็นคนกลาง ซื้อ - ขายสินค้า ให้บริการ - จัดการ ท่องเที่ยว - การเงิน- การลงทุน ของภูมิภาคเออีซีต่อเนื่องจีนและอินเดีย เชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นของโลก แค่ระดับเออีซึ พี่ไทยก็น่าจะยังสดใสได้อีก 10-20 ปี (มองเศรษฐกิจเพียว ๆ นะครับ)
โดย
prichar s.
ศุกร์ ม.ค. 23, 2015 7:22 pm
0
1
Re: สัญญาณ "ดอย" หรือ "ไม่ดอย" ผมไม่รู้!!!!!!
คงถือหุ้นคนละตัวกัน ของผมกำไรลดอ่ะ สัญญ่ณเศรษฐกิจชะลอ???? คลังเผยศก.ไทยเดือน พ.ย.57ยังมีสัญญาณชะลอตัว วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม 2014 ฐานเศรษฐกิจ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.57 มีสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกและการลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่การบริโภคเอกชนยังนิ่ง และการท่องเที่ยวอ่อนแรงขยายตัวได้น้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา ส่วนของการบริโภค การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเดือน พ.ย.57 ขยายตัวได้เล็กน้อย 0.6% แม้ว่าการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศจะขยายตัวได้ 4.5% แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าติดลบ 4.3% และเมื่อพิจารณาจากยอดการขายรถยนต์ พบว่าติดลบ 27.7% รถจักรยานยนต์ติดลบ 12% เนื่องจากรายได้ของเกษตรกรลดลง จากราคาพืชผลทางเกษตรที่ตกต่ำ สำหรับการลงทุนภาคเอกชน การจัดเก็บภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดลบ 12.6% จากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบเพียง 2.9% ยอดขายปูนซิเมนต์ติดลบ 8.5% จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 8% และยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ติดลบ 17.4% จากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ 13.6% ด้านการส่งออกเดือน พ.ย.57 ติดลบ 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ดี 4% ส่วนการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้เป็นเดือนที่ติดต่อกันที่ 2.5% แต่ขยายตัวได้น้อยกว่าเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวได้ 6.1% น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค.เปิดเผยว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานในด้านภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมยังมีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง โดยในเดือน พ.ย.พบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบ 3.5% ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ 3% ต่อปี โดยเป็นการลดลงจากภาคอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ยานยนต์ ปิโตรเลียมและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมที่ยังคงติดลบ 13.9% ต่อปี เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งในช่วงต้นปี รวมถึงผลผลิตยางพาราปรับตัวลดลงจากปัญหาฝนชุกในเขตพื้นที่ภาคใต้ ภาคบริการ พบว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในเดือน พ.ย.ขยายตัว 2.5% ต่อปี เป็นการขยายตัวติดต่อกันเดือนที่ 2 โดยนักท่องเที่ยวระยะใกล้ที่กลับมาขยายตัวเป็นกลุ่มแรก เช่น จีน ขยายตัวสูงถึง 58.9% ขณะที่นักท่องเที่ยวจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ด้านเสถียรภาพในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนพ.ย.อยู่ที่ 1.3% ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 1.5% ต่อปี จากต้นทุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง และการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำที่ 0.5% ของกำลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงานที่ 2.1 แสนคน
โดย
prichar s.
จันทร์ ธ.ค. 29, 2014 7:41 pm
0
7
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
ไม่คิดอะไรเลย เพราะถ้าคิดสักนิด คงเผ่นไปไกลพันลี้แล้ว
โดย
prichar s.
อังคาร ธ.ค. 02, 2014 12:28 pm
0
1
Re: 3 สตอรี่ แนวโน้ม หรือ แค่กระแส
ขณะช่วงเวลานี้มี 3 สตอรี่เด่นที่บริษัท(ผู้บริหาร)ใช้เป็นประเด็นเพิ่มมูลค่าให้แก่กิจการ(หรือเพิ่มราคาหุ้นในตลาด) คือ 1. การขยายธุรกิจหรือเปลี่ยนประเภทธุรกิจที่ทำอยู่เป็นโซล่าร์ฟาร์ม - ซึ่งน่าจะหมายรวมถึงพลังงานทางเลือกอื่นด้วย 2. การนำบริษัทลูก-ร่วมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(split) และ 3. การเทกโอเวอร์บริษัทอื่นหรือถูกบริษัทอื่นเทกโอเวอร์ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจ คำถามคือ ทั้งสามประเด็นเป็นแนวโน้มของการทำธุรกิจสมัยใหม่ที่อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย หรือ ทั้งสามประเด็นเป็นเพียงเรื่องชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อหวังสร้างราคาหากำไรใส่กระเป๋าคนบางกลุ่ม หมดกระแส(นักเล่นหุ้นเบื่อ)ก็จะเลิกกันไปเอง และที่สำคัญ ควรมีหลักการ - ใช้หลักการใดมาพิจารณาเพื่อให้รายย่อย(อย่างผม)ไม่เสียท่าหลงกลลวง -หากเป็นแค่กระแส หรือ ไม่ตกรถขบวนใหญ่ - หากเป็นแนวโน้มของธุรกิจ ข้อสรุปของผมเอง ดังนี้ เห็นสภาพ-คน ในตลาดหุ้นแล้ว ก็นะ... หากราคาขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน ก็ถูกต้องทุกอย่าง ชื่นชมกันเข้าไป (เจ้าใจดี หุ้น XX GOODDDDDD) หากราคาตก ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน ก็ผิดหมดทุกอย่าง ก่นด่ากันไป (หุ้นเน่า เจ้าใจป๊อด) ถูก-ผิดตัดสินที่ราคาขึ้นหรือลง!! xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx การที่โลกนี้วุ่นวาย มิใช่เหตุเพราะโลกขาดความยุติธรรม แต่เป็นตัวมนุษย์ต่างหากที่พรากความยุติธรรมไปจากโลก
โดย
prichar s.
จันทร์ ส.ค. 04, 2014 7:20 pm
0
1
Re: ช่วงเวลาอันตราย
เมื่อราคาหุ้นขนาดใหญ่ทะยอยทำสูงสุดใหม่ตลอดกาล หลายคนเห็นเป็นเรื่องดี ตีความว่าแนวโน้มตลาดขาขึ้นรอบใหญ่เพิ่งเริ่ม และอาจขึ้นต่อเนื่องอีกยาวนาน อีกหลายคนมองตรงข้ามเห็นเป็นสัญญาณร้าย ตีความว่าตลาดอาจกำลังอยู่ในจุดสูงสุดและอาจร่วงลงในไม่ช้า ความจริงคือ ไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าได้เลย การพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความเป็นไปของตลาดจะกลายเป็นการหาเหตุผลให้แก่การกระทำตนเองเสียมากกว่า นักลงทุนที่ชาญฉลาดจึงเลือกที่จะคาดหวังแต่เฉพาะผลประกอบการของแต่ละหุ้นมากกว่าทิศทางตลาดรวม และตัดสินในที่จะกระทำหรือไม่กระทำตามนั้น https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
จันทร์ ก.ค. 07, 2014 8:37 pm
0
23
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
ถ้าเทียบ "ราคา" เกินครึ่งของหุ้นในตลาด ราคาขึ้นไปโดยที่ไม่ได้ซื้อทั้งนั้นแหละ มองตัวกิจการ-ผลประกอบการ ยังไม่น่าจะมีตกรถสักกี่ตัว ส่วนตัวมองว่า ส่วนใหญ่ "ราคาเว่อร์" ทั้งนั้น แนวคิด มุมมอง https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
จันทร์ มิ.ย. 23, 2014 1:30 pm
0
0
Re: Cap gain tax ถ้าหาก
เรื่องหลายเรื่อง รอไม่ได้ ก็เร่งทำเสียก่อน เรื่องหลายเรื่อง รอได้ ก็ใส่ไว้ในแผนระยะ 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรือ 100 ปี แค่แยกแยะประเด็นนี้ได้ ประเทศชาติ(รวมประชาชน)ก็ได้ประโยชน์มหาศาลแล้ว
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. มิ.ย. 19, 2014 9:42 pm
0
3
Re: หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
ปัญหาใหญ่ของนักลงทุนทุกวันนี้คือ ความเข้าใจตัวธุรกิจ น้อยคนที่จะมองธุรกิจออกได้แบบทะลุปรุโปร่ง การศึึกษาและสภาพสังคมไทยไม่ค่อยเอื้อให้คนมีมุมมองวิเคราะห์เจาะลึกสักเท่าไหร่ ขนาดเจ้าของธุรกิจที่ทำมานับสิบปีหลายคนยังมองอนาคตกิจการตัวเองไม่ชัดเลย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ นักลงทุนตัวจริง ที่อยู่กับกิจการแบบเจ้าของกิจการจริง ๆ จึงมีน้อยมากและน้อยลงทุกวัน ........................................................................... การใช้เหตุใช้ผลเป็นสิ่งที่ช่วยผมมากที่สุดในการคัดเลือกหุ้น เพราะมันสอนให้ผมมองหาความไม่สมเหตุสมผลในตลาด – Peter Lynch
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2014 9:58 am
0
3
Re: .....ถ้าเกิดว่า.....
เพราะที่นี่ คือ ประเทศไทย มักไม่จำเป็นที่นับหนึ่งสองสามสี่แล้วต้องต่อด้วยห้า อย่าซีเรียสเกินไปครับ คิดว่าเป็นแค่วาทะกรรมคำพูด นักธุรกิจกับนักการเมืองล้วนคนคุ้นเคย โดยเฉพาะระดับเจ้าสัวระดับเสี่ย - เค้าคุยกันได้ ........................................................................ ตอนผมอายุ 21 ต่อให้ผมพูดสิ่งที่ฉลาดที่สุดในโลก ก็ยังไม่มีใครสนใจฟัง แต่พอมาตอนนี้ ต่อให้ผมพูดสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลก คนจำนวนมาก ก็ยังมานั่งวิเคราะห์ว่าผมซ่อนความหมายนัยๆอะไร ไว้หรือเปล่า -Warren Buffett https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
อังคาร ก.พ. 11, 2014 1:49 pm
0
8
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
p ลดลงเห็นง่าย e เพิ่มขึ้นค้นหายาก แถมมีโอกาสมองพลาด ใคร ๆ ก็ชอบง่าย ๆ
โดย
prichar s.
พุธ ม.ค. 15, 2014 6:33 pm
0
11
Re: ผมสงสัยมาก ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
เดาว่าช่วง 3 ปีแรก นั้น พาร์ 10 บาท มีการทอนราคาหุ้นลงเป็นพาร์ 1 บาทตามพาร์ปัจจุบัน แต่เงินปันผลเป็นตัวเลขจำนวนเดิม ผลเลยเพี้ยนอย่างที่เห็น วันที่ก่อตั้งบริษัท 1987 วันที่จดทะเบียนกับตลท. 03 ม.ค. 2535 ราคา IPO (บาท) 160.00 @พาร์10.00 บาท ที่ปรึกษาทางการเงิน IPO บริษัท เอ็มอีซี ฟาร์อีสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) การเปลี่ยนแปลงพาร์ล่าสุด เก่า10.00 : ใหม่1.00 @ 07 พ.ค. 2547 http://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=AMARIN&language=th&country=TH
โดย
prichar s.
ศุกร์ ม.ค. 10, 2014 6:11 pm
0
2
Re: มองตลาดในปี 57 กันอย่างไร
ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นแบบผิดปกติต่อเนื่องมาหลายปี เพราะได้รับ สาระพัดยากระตุ้นทั้งใน-นอก ซึ่งขณะนี้ไม่มีแล้ว เศรษฐกิจไทย ก็ได้ยากระตุ้นเหมือนกัน (ยาผิดยาถูกไม่ใช่ประเด็น) ซึ่ง ขณะนี้ไม่มีแล้วเช่นกัน ดังนั้น...ต่อจากนี้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจะเหลือเพียงพื้นฐานแท้จริง จะโตหรือไม่โต โตมาก โตน้อย หรือฟุบ ไม่มีตัวช่วยอีกต่อไป นักธุรกิจต้องพึ่งตัวเอง นักลงทุนก็เช่นกัน การเมืองวุ่นวาย เศรษฐกิจซบชั่วคราว มีผลต่อบรรยากาศตลาดหุ้นและตัวผลประกอบการอยู่บ้าง แต่ ปัจจัยภายในตัวหุ้น(กิจการ)น่าจะยังมีน้ำหนักมากกว่า โดยส่วนตัวเมื่อมองให้กว้างอีกหน่อย ยังมั่นใจว่า เอเซีย(จีน-อินเดีย)ยังเติบโต aec ยังอยู่ clmv กำลังขาขึ้น ถึงไทยแลนด์ไม่อยากเดินก็จะถูกลากให้เดิน ถึงไม่อยากโต ก็จะถูกบังคับให้โต อยู่ในกระแสทุนนิยม ใครหน้าไหนก็ต้านไม่ได้หรอก (ทุนนิยมจงเจริญ) กิจการที่อยู่ในกระแสนี้น่าจะยังสามารถเติบโตได้อยู่ (ยกเว้นบริษัทมีปัญหาคุณภาพผู้บริหาร) ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ในยามที่ตลาดหุ้นไปในทิศทางเดียวต่อเนื่องกันนานเกินไป การรักษามุมมองแบบนักลงทุนเอาไว้ จะเริ่มกลายเป็นเรื่องยาก ความสนใจของเราจะเคลื่อนย้ายจากการลงทุนไปเป็นการเก็งกำไร แทนที่เราจะตั้งคำถามว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่าเมื่อเทียบราคากับมูลค่า เราจะหันไปตั้งคำถามว่า ตลาดหุ้นมันใกล้จุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดแล้วหรือยัง – Benjamin Graham
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. ม.ค. 02, 2014 5:36 pm
0
6
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
กับหุ้น เจ้ามือเป็นเรื่องชั่วคราว ระยะยาวอยู่ที่ผลประกอบการ กับหุ้นไทยแลนด์ การเมืองเป็นเรื่องชั่วคราว? ระยะยาวอยู่ที่การเติบโตของเศรษฐกิจ? ว่าแต่ ไทยแลนด์มีเจ้ามือหรือเปล่า??
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. ธ.ค. 26, 2013 6:33 pm
0
0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
เชื่อมั่นทุนนิยมเสรี (โลกเลือกแล้ว) เชื่อมั่นเอเซียผงาดเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก (จีน อินเดีย อาเซียน เป็นดาวเด่น) เชื่อมั่น aec (อย่างน้อยตลาดก็ใหญ่ขึ้น) เชื่อมั่นประเทศไทย (ไม่อยากโตก็จะถูกบังคับให้เติบโต-เศรษฐกิจนะ -ส่วนเรื่องอื่น no comment) เชื่อมั่นกิจการของบริษัทที่เลือก (เติบโต+สร้างมูลค่าเพิ่ม) เชื่อมั่นผู้บริหาร (ฝีมือ+ธรรมาภิบาล) ขาดเชื่อมั่นหนึ่งใด คงไม่สามารถถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้เกิน 1 ปี แนวคิด มุมมอง https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
ศุกร์ ธ.ค. 13, 2013 1:58 pm
0
2
Re: ที่ลงหนักๆๆต้องตรวจสอบ VAYU1 หมดอายุหรือเปล่า (กองใหญ่)
คลังปิดวายุภักดิ์จ่อคืนเงิน7หมื่นล. คลังเตรียมคืนหน่วยลงทุนมูลค่า 7 หมื่นล้าน ให้ผู้ถือหน่วยกองทุนวายุภักษ์แบบปิด เพื่อเตรียมเปิดกองทุนวายุภักษ์แบบเปิด คาดเปิดขาย 1 ปีข้างหน้า นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ ในรูปแบบกองทุนเปิดว่า อยู่ในขั้นเตรียมการเพื่อแจ้งต่อผู้ถือหน่วยลงทุน เกี่ยวกับการคืนหน่วยลงทุน หลังกองทุนวายุภักษ์กองเดิม จะหมดอายุช่วงเดือนพ.ย.นี้ "ขั้นตอนการดำเนินการ สคร.จะต้องคืนเงินส่วนของผู้ถือหน่วย 7 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนนี้ มีทั้งรายย่อยและสถาบันการเงิน เมื่อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วย ที่ไม่ใช่กระทรวงการคลังแล้ว เท่ากับว่ากองทุนวายุภักษ์ จะปิดกองทุน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 30 พ.ย.นี้ โดยมีครบอายุ 10 ปี" สถาบันการเงินที่ถือหน่วยลงทุนนี้มากสุด ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย 3 หมื่นล้านบาท รองลงมา คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนกระทรวงการคลังถือหุ้น 3 หมื่นล้านบาท กองทุนวายุภักษ์กองใหม่นี้ เปิดโอกาสให้นักลงทุนซื้ออย่างเท่าเทียมกัน หลังจากที่กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ที่ลงทุนในหุ้นที่กระทรวงการคลังถือครองอยู่หมดอายุลง และกระทรวงการคลังได้มีนโยบาย จะเปิดกองทุนวายุภักษ์ใหม่อีกครั้ง แต่จะทำเป็นในรูปกองทุนเปิด จากเดิมทำในรูปกองทุนปิด "เราจะให้สิทธิ์แก่ประชาชนทั่วไปให้สามารถเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนนี้ได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่ให้ผู้ที่เคยถือหน่วยลงทุนวายุภักษ์เดิม ได้สิทธิ์ในการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดวายุภักษ์เป็นกรณีพิเศษก่อนนักลงทุนรายอื่น" นายประสงค์กล่าว สำหรับกำหนดระยะเวลาการเป็นกองทุนปิดวายุภักษ์ เขากล่าวว่า กระทรวงการคลังจะจัดทำเงื่อนไขในการลงทุนต่างๆ คาดจะใช้เวลา 1 ปี กว่าที่จะเปิดขายหน่วยลงทุนในกองใหม่นี้ได้ ส่วนผู้บริหารกองทุนจะให้บริษัทเดิม คือ บลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอ็ฟซีบริหารไประยะหนึ่ง 2 -3 เดือน หลังจากนั้น จะพิจารณาผลงานว่า จะคัดเลือกผู้บริหารรายใหม่หรือใช้รายเดิม ปัจจุบันกองทุนวายุภักษ์นี้ มีมูลค่ากองทุน 3 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท สาเหตุมูลค่ากองทุนที่ลดลง เป็นไปตามดัชนีหุ้นที่ปรับลดลง สำหรับค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนวายุภักษ์ดังกล่าวอยู่ที่ 4-5% วันที่ 15 ตุลาคม 2556 : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. พ.ย. 21, 2013 10:18 pm
0
0
Re: สอบถามเกี่ยวกับหุ้นช่วงนี้ครับ
ทุกท่าน ในนี้คิดว่า ณ ตอนนี้ ตลาดหุ้นเป็นอย่างไรครับ ยังมีตัวถูกๆอยู่บ้างมั๊ยครับ ณ ตอนนี้ตลาดหุ้น "ผันผวนตามข่าวอย่างรุนแรง" เป็นการเคลื่อนไหวตามกระแส ตามอารมณ์ ทางไหนแรงก็เทไปทางนั้น เอาทิศทาง เหตุผล แน่นอนอะไรไม่ได้หรอก ส่วนราคาหุ้นรายตัว ส่วนใหญ่ลดลงต่ำกว่าราคาสูงสุดของปีนี้มากพอสมควร แล้ว "ถูก ๆ" มีไหม? ต้องลองหาดูครับ ผมก็กำลังหา หาอย่างไร หาโดยต้องประเมินมูลค่า ณ ปัจจุบันให้ได้ก่อน จากนั้นยังต้องประเมินอนาคตอันใกล้(ปีหน้า) และอนาคตอันไกลขึ้นอีกหน่อย(2-3ปี) เอามาประกอบกัน ซึ่งติดปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ เพราะปัจจัยและตัวแปรหลายตัวยังไม่นิ่ง(ผลจากการเมือง) ยังมองภาพใหญ่ทิศทางเศรษฐกิจระดับประเทศไม่ชัด (ฝุ่นยังฟุ้งอยู่) ทำให้มองภาพเล็ก(หุ้นรายตัว)ไม่ชัดตามไปด้วย สิ่งที่ทำช่วงนี้คือ ไม่ทำอะไรครับ เพียงแค่ติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ต่อไป (ไม่รู้ว่าตอบตรงคำถามหรือเปล่า)
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. พ.ย. 21, 2013 9:41 pm
0
2
Re: ในภาวะการณ์แบบนี้ ยังมีใครรอลุ้นผลประกอบการ Q3 ไม๊
ตั้งแต่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 เมื่อเดือนพฤษภาคม ไตรมาส 2 เมื่อเดือนสิงหาคม ตลาดแทบไม่สะท้อนผลประกอบการเลย ผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งกำลังประกาศในช่วงนี้ ก็อาจมีสภาพเดียวกัน เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับพอร์ตลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นของกิจการที่มีการเติบโตของรายได้และผลกำไร มาอย่างต่อเนื่องทั้งปีนี้และยังคาดหวังการเติบโตที่น่าตื่นตาตื่นใจได้อีกในปีหน้า(ที่ใกล้จะมาถึง) อย่างไรเสีย ตลาดก็จะต้องสะท้อนผลประกอบการที่เติบโตนั้นจนได้(สักวัน) ปีนี้ไม่สะท้อนเลยก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมทบต้นทบดอกปีหน้านะคร้าบ...เจ้ามือตัวจริง แนวคิด มุมมอง http://www.facebook.com/pages/Prichar/277050152437577
โดย
prichar s.
อาทิตย์ พ.ย. 10, 2013 11:45 pm
0
5
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
อยู่นิ่ง ๆ ไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอกครับ ก็แค่ไม่ทำอะไร ไม่มีอะไรที่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ เมื่อไม่ทำ ก็อยู่นิ่ง ๆ ได้แล้ว ส่วนการถือหุ้น กอดหุ้นแน่น ๆ ถ้าใครรู้สึกว่าถึงจะเป็นบริษัทดี ๆ มีอนาคต ก็ยังกอดลำบากมาก ลองคิดแบบนี้ดูสิ สำหรับคนมีแฟน ให้คิดว่ากำลังกอดแฟนอยู่ สำหรับคนแต่งงานแล้ว ให้คิดว่ากำลังกอดกิ๊กอยู่ (ฮา) อย่าให้ความสำคัญกับข่าวมากเกินไป โดยเฉพาะข่าวการเมือง แนวคิด มุมมอง https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
ศุกร์ พ.ย. 08, 2013 10:35 am
0
2
Re: มาเลยครับ มาเป็นทางเลือกให้กับชาวบ้าน !!!
ยินดีต้อนรับ โลว์คอสต์ ฮอสปิตอล :P :P
โดย
prichar s.
อังคาร ต.ค. 29, 2013 2:02 pm
0
3
Re: ธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง / Construction Services
หุ้นรับเหมาก็มีช่วงเวลาเฟื่องฟูเช่นเดียวกับหุ้นอื่น ๆ ครับ เพียงแต่ต้องเลือกเป็นรายบริษัท ปัจจัยเฉพาะมีมาก อาจจะวิเคราะห์ยากหน่อย แต่คงไม่เกินความพยายาม ........................................................................... มุมมอง แนวคิด https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
อังคาร ต.ค. 15, 2013 1:10 pm
0
0
Re: ถามจริงๆ ท่านทั้งหลายคิดว่า เงิน คืออะไร?
ตอบจริง ๆ เช่นกัน ว่า โดยส่วนตัวไม่คิดไม่เห็นไม่สงสัยไม่จำกัดความ...ครับ ไม่มีภาคทฤษฎี มีแต่ภาคปฏิบัติครับ (มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ไม่มีก็หามาให้มีครับ) เงิน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สำหรับความหมายอื่น ดูที่ เงิน (แก้ความกำกวม) เงิน หมายถึง วัตถุหรือเอกสารใด ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการ และใช้ชำระหนี้ในประเทศหนึ่ง ๆ หรือในบริบทสังคมเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ ได้ตามกฎหมาย[1][2][3] หน้าที่หลักของเงินจำแนกได้ว่า (1) เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน (2) เป็นหน่วยวัดมูลค่า (3) เป็นเครื่องเก็บรักษามูลค่า และ (4) บางครั้งในอดีต เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ภายหน้า[4][5] วัตถุหรือเอกสารที่ตรวจสอบได้และปลอดภัยใด ๆ ซึ่งสามารถทำหน้าที่เหล่านี้ล้วนเป็นเงินทั้งสิ้น เงินถือกำเนิดขึ้นเป็นเงินที่เป็นสิ่งของ (commodity money) แต่ระบบเงินร่วมสมัยแทบทั้งหมดเป็นแบบเงินกระดาษ (fiat money)[4] เงินกระดาษนั้นปราศจากมูลค่าใช้สอยแท้จริงเฉกเช่นสินค้าทางกายภาพ และค่าของเงินกระดาษมาจากการประกาศของรัฐบาลให้เป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย นั่นคือ เงินนั้นจะต้องได้รับการยอมรับให้เป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนภายในอาณาเขตของประเทศ กับ "หนี้สินทั้งหมด ทั้งหนี้สาธารณะและเอกชน" ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศประกอบด้วยเงินตรา (ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์) และเงินฝาก (ดุลที่ถือไว้ในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์) เงินฝากกระแสรายวันโดยปกติมักเป็นปริมาณเงินหมุนเวียนสัดส่วนใหญ่ที่สุด[6][7][8] อ้างอิง[แก้] Jump up ↑ Mishkin, Frederic S. (2007). The Economics of Money, Banking, and Financial Markets (Alternate Edition). Boston: Addison Wesley. p. 8. ISBN 0-321-42177-9. Jump up ↑ What Is Money? By John N. Smithin [1]. Retrieved July-17-09. Jump up ↑ "money : The New Palgrave Dictionary of Economics". The New Palgrave Dictionary of Economics. สืบค้นเมื่อ 18 December 2010. ↑ Jump up to: 4.0 4.1 Mankiw, N. Gregory (2007). "2". Macroeconomics (6th ed.). New York: Worth Publishers. pp. 22–32. ISBN 0-7167-6213-7. Jump up ↑ T.H. Greco. Money: Understanding and Creating Alternatives to Legal Tender, White River Junction, Vt: Chelsea Green Publishing (2001). ISBN 1-890132-37-3 Jump up ↑ Boyle, David (2006). The Little Money Book. The Disinformation Company. p. 37. ISBN 978-1932857269. Jump up ↑ "On2 Money / A History of Money". pbs.org. สืบค้นเมื่อ 2009-04-20. Jump up ↑ Bernstein, Peter, A Primer on Money and Banking, and Gold, Wiley, 2008 edition, pp29-39 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
โดย
prichar s.
ศุกร์ ต.ค. 11, 2013 1:10 pm
0
1
Re: เดินหน้าสู่ปักกิ่งในมุมมองของผม สู่ความเจริญรุ่งเรืองใน
ผมเองก็อยาก (นั่งรถไฟ) ไปปักกิ่งเหมือนกันครับ แต่ไม่แน่ใจว่าชีวิตที่เหลือนี้จะมีโอกาสเป็นจริงหรือเปล่า เรื่องยุทธศาสตร์เชื่อมต่อกับจีน ทางผ่านสู่อินเดืีย และเป็นศูนย์กลางอาเซียนนั้น ผมได้ยินมานาน(น่าจะเกิน 10 ปีแล้ว) ประเด็นคือ (สมมติว่าเกิดได้จริง) เหล่านี้เป็นเรื่องเศรษฐกิจพื้นฐานเชิงมหภาค การเล็งให้เห็นมองให้ทะลุ กลุ่มธุรกิจใดจะได้ประโยชน์มากน้อย ต้องเพิ่มเข้าใจในระดับจุลภาคเข้าไปอีก แค่นี้ก็กระเจิงกันหมดแล้ว ตลาดหุ้นนั้น ใคร ๆ ก็ว่าสะท้อนเศรษฐกิจล่วงหน้า(6 เดือนเป็นอย่างน้อย) แต่ส่วนตัวเห็นว่า ตลาดหุ้นมองสั้น ถึงสั้นมาก เช่น เคลื่อนไหวตามข่าวบวกข่าวลบ เสียเป็นส่วนมาก ยิ่งประชากรตลาดหุ้นด้วยแล้ว ไม่เพียงมองสั้น ยังมองแบบเบลอ ๆ อีกด้วย คือ ไม่ศึกษา ไม่ทำความเข้าใจ ไม่สนใจจริงจังว่าอะไรเป็นอะไร ถ้า "เค้า" ว่าดี ก็ดีตาม "เค้า" ว่าไม่ดีก็ไม่ดีตาม แอคชั่น ที่ตามมาจึงสับสนอลม่าน เดี๋ยวไล่ซื้อ เดี๋ยวเทขาย กระแสของคนส่วนใหญ่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดหุ้น (เล็ก ๆ) อย่างตลาดหุ้นไทย อย่างมีนัยยะนะครับ (ตามความเห็นของผม) แน่นอนครับว่าในระยะยาว ตลาดต้องเติบโตตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง (วันนี้ เทียบกับเมื่อ 10-15 ปีก่อน เมืองไทยเปลี่ยนไปมาก-คนไทยมีเงินมากขึ้น ฯลฯ) แต่จะมีสักกี่คนที่ตั้งใจรอ (บังเอิญรอ เผลอรอ รอไปงั้น ๆ) เห็นมีต่อคนใจร้อน อยากมั่งคั่งเร็ว ๆ ด้วยเหตุนี้ จำนวนคนที่ประสบความสำเร็จมั่งคั่งจากตลาดจึงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย และนับวันแนวโน้มจะน้อยลงเรื่อย ๆ +++++++++++++++++++++++++++++++++++ https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
จันทร์ ก.ย. 30, 2013 6:01 pm
0
10
Re: 9 คำสารภาพและ 13 บทเรียนที่ผมได้รับ
ลองกลับทิศมุมมองต่อการลงทุนดูนะครับ โดยทั่วไปคนจะเอากำไรเอาพอร์ตโตมากบ้างน้อยบ้างเป็นตัวตั้ง แล้วหาหุ้นซื้อ ถือ ขายทำกำไร น้ำหนักของมุมมองจะไปตกที่ กำไร เพื่อเร่งการโตของพอร์ต ยิ่งเร่งยิ่งกล้าเสี่ยง ยิ่งกล้าเสี่ยงโอกาสพลาดยิ่งสูง ยิ่งพลาด ยิ่งพยายามเอาคืน ยิ่งพยายามเอาคืนก็จะขาดสติผลคือพลาดมากขึ้นอีก เปลี่ยนเป็นตั้งต้นที่ตัวหุ้น หุ้นเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ดังนั้น ความสนใจ-น้ำหนัก จะไปลงที่ตัวบริษัท ผลคือ จะมีการศึกษา วิเคราะห์ ติดตามตัวกิจการของบริษัท เน้นที่ตัวบริษัท ได้ตัวบริษัทแล้วจึงพิจารณาราคา-ตีมูลค่า หากพบบริษัทที่ใช่ พอร์ตจะเติบโตไปพร้อมกับมูลค่าที่บริษัทสร้างเพิ่ม อย่างมั่นคงและยั่งยืน ถือหุ้นเป็นพอร์ต จัดกลุ่มหุ้นที่ถือให้สมดุลระหว่างโตกับลดความผันผวนของพอร์ต ช่วยลดความเสียหายเวลาตลาดลงแรง ๆ ได้บางส่วน แลกกับผลตอบแทนที่น้อยลงนิดหน่อยเวลาตลาดขึ้นแรง ๆ (การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดทุกครั้ง) อีกอย่าง ต้องมีเวลาให้กับการลงทุนด้วย ไม่ใช่เวลาเฝ้าหน้าจอนะ แต่เป็นระยะเวลา ที่ให้กับการลงทุนนั้น บริษัทจะสร้างผลตอบแทน สร้างกำไรให้เราได้นั้นจำเป็นต้องใช้ เวลา จะ 6 เดือน 1 ปี 2 ปี ก็แล้วแต่กรณี(เงื่อนไขเหตุผลที่ลงทุนในแต่ละบริษัทต่างกัน) เวิร์ก-ถือต่อ ไม่เวิร์ก-เคลียร์ออก ให้เวลาบริษัททำงานเพื่อพิจารณาตัดสินการลงทุนแต่ละครั้ง พยายาม อย่าใช้เงื่อนราคาตัดสินการลงทุน เช่นตั้งไว้กำไร 100% จะขาย (พอใจกำไรที่ได้แล้ว?) การขายหมูเป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่ถ้าการขายนั้นเป็นการขายบริษัทที่ยอดเยี่ยมล่ะ? (10 เด้ง 100 เด้ง) จะน่าเสียดายมาก แนวคิด มุมมอง https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
อังคาร ก.ย. 17, 2013 12:02 am
0
12
Re: อะไรคือคุณสมบัติหลักของหุ้นเติบโต?
หุ้นเติบโตอย่างในตำราฝรั่งมันเป็นเรื่องของยุคสมัย ยุคคิดค้นวัสดุแบบใหม่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรมใหม่ (r&d) จำหน่ายสินค้าใหม่ เปิดตลาดใหม่ แย่งกันครอบครองส่วนแบ่งตลาด บริษัทใดประสบความสำเร็จรอบด้าน ก็กลายเป็นบริษัทเติบโตต่อเนื่องยาวนาน ในไทย บริษัทที่เรียก ๆ กันว่าหุ้นเติบโต เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่เพิ่งเข้าตลาด หรืออยู่ในตลาดนานแล้วแต่เพิ่งเปิดยุทธการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากรายเก่า ๆ บุกแบบดุดัน ทำให้โตแบบดุเดือด สักพักมักชนกำแพง ต้องหยุดหรือถอย กลายเป็นเติบโตชั่วคราว โต ๆ อยู่ดี ๆ จู่ ๆ หยุดโตซะงั้น เงิบกันมานักต่อนักแล้ว ................................................................................... แนวคิด มุมมอง https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
พุธ ก.ย. 11, 2013 1:10 pm
0
4
Re: ในวันที่ SET - 70 จุด
ตลาดหุ้นเปรียบเหมือนสังคมหนึ่งที่มีรูปแบบและวัฒนธรรมของตนเอง คนที่เข้าตลาดสักระยะ แต่ละคนจะถูกหล่อหลอมให้เป็บคนแบบตลาด ๆ ซึ่งมีคุณลักษณะหลัก ๆ คือ เป็นคนความจำสั้น เจ็บไม่จำ ช้ำไม่เรียนรู้ มีพฤติกรรมทำผิดซ้ำ ๆ และทำตามอย่าง ตามแห่ ตามกระแส ฯลฯ ............................ อิทธิพลของตลาด รุนแรง และลงลึกถึงระดับยีนส์ อาจก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ เป็นคนอยู่ดี ๆ กลายเป็นแมลงเม่าซะงั้น ฮา!! !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! https://www.facebook.com/pages/Prichar-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/277050152437577
โดย
prichar s.
อังคาร ก.ย. 03, 2013 2:28 pm
0
2
Re: เชิญข่าว
สศค.คาดเศรษฐกิจไทย Q3/56 กลับมาขยายตัวเป็นบวก หลังสัญญาณการส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2556 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2556 เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แม้ว่าในภาพรวมยังคงขยายตัวชะลอลง โดยการส่งออกสินค้าในเดือนกรกฎาคม 2556 ถึงแม้จะยังหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ -1.5 ต่อปี แต่เมื่อพิจารณาเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่ากลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 0.8 ต่อเดือน (m-o-m SA) โดยได้รับอานิสงส์จากสินค้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเชื้อเพลิง ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับเครื่องชี้ด้านการบริโภคภาคเอกชน พบว่า แม้ในภาพรวมยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนกรกฎาคม 2556 จะหดตัวที่ร้อยละ -1.9 ต่อปี แต่หากพิจารณาในรายละเอียดของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บบนฐานการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ที่ร้อยละ 5.5 ต่อปี นอกจากนี้ ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนกรกฎาคม 2556 ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้างที่วัดจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ในเดือนกรกฎาคม 2556 กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 29.9 ต่อปี อย่างไรก็ดี แม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่วัดจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนกรกฎาคม 2556 จะยังคงหดตัวร้อยละ -3.6 ต่อปี แต่เมื่อพิจารณาเทียบกับเดือนก่อนหน้าพบว่า สามารถขยายตัวที่ร้อยละ 8.7 ต่อเดือน (m-o-m SA) “เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2556 บ่งชี้ เศรษฐกิจไทยในเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 จะสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวก เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าได้ (q-o-q SA) นอกจากนี้ ข้อมูลเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศล่าสุด ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง จากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.0 และ 0.5 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 172.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดี ประกอบกับนโยบายการคลังจะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพในช่วงที่เหลือของปี” รายงาน โดย สันติภาพ เกตุสร้อย เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร อีเมล์แสดงความคิดเห็น
[email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/08/13 เวลา 14:18:25 จบข่าว...
โดย
prichar s.
พฤหัสฯ. ส.ค. 29, 2013 2:29 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
MPA นิด้า ชี้อานิสงส์บาทอ่อนพยุงเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เชื่อส่งออก-ท่องเที่ยวเป็นพระเอก หลังเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัว สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย (28 ส.ค.56) - - ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชี้บาทอ่อนหนุนส่งออกพยุงเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเติบโตได้ดี หลังเศรษฐกิจคู่ค้าไทย ทั้งสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวดีกว่าที่คาด แถมได้ปัจจัยบวกจากงบประมาณปี 57 และงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต (MPA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า จากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ที่เติบโตในระดับ 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่เติบโต 5.4% ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์เชื่อว่า ยังไม่น่าเป็นกังวลมากนัก เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนี้ ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวด้านการส่งออกในครึ่งปีหลังให้กลับมาดีขึ้น โดยมีปัจจัยจากประเทศคู่ค้าของไทยทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้มีความต้องการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้โอกาสในการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าเหล่านี้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินบาทอ่อนยังจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น หลังจากครึ่งปีแรกตัวเลขนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นมากกว่า 12 ล้านคน และทั้งปีคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 25 ล้านคน “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวที่ดี และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีที่ภาคการส่งออกของไทยจะเร่งผลิตสินค้าและส่งออกเพิ่มขึ้นเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อการจ้างงานภายในประเทศและประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนลดลงได้อีกทางหนึ่งด้วย” รศ.ดร.มนตรี กล่าว ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA นิด้า กล่าวว่า ขณะเดียวกัน งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ที่รัฐบาลใช้นโยบายขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มมีเงินเข้าสู่ระบบในช่วงต้นเดือนตุลาคมและการเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งส่งผลดีต่อจิตวิทยาด้านบรรยากาศการลงทุนให้ภาคเอกชนกล้าลงทุนขยายกิจการและผลักดันตัวเลขเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร อีเมล์แสดงความคิดเห็น
[email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 28/08/13 เวลา 13:56:47
โดย
prichar s.
พุธ ส.ค. 28, 2013 2:12 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
“ประสาร” มองสถานการณ์เงินทุนม้วนตัวกลับ หลังผ่าน 5 ปีเม็ดเงินทะลักเข้าตลาดเกิดใหม่ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 สิงหาคม 2556 12:44 น. ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับเม็ดเงินทุนยังไหลออก แต่มีโอกาสไหลกลับได้หากนักลงทุนคลายความตื่นตกใจ พร้อมยอมรับสถานการณ์เงินทุนม้วนตัวกลับ หลังจากเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ามามากในตลาดเกิดใหม่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เงินทุนไหลออกยังคงมีต่อเนื่องในระยะสั้น แต่เมื่อนักลงทุนหายตื่นตกใจแล้วก็เชื่อว่าจะดีขึ้น ขณะนี้เหมือนสถานการณ์เงินทุนม้วนตัวกลับหลังจากเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ามามากในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ของสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นเริ่มฟื้นขึ้นบ้าง เงินจึงไหลจากตลาดเกิดใหม่ออกไปบ้าง แต่เชื่อว่าเงินทุนที่ไหลออกคงไม่มาก ไม่เป็นปัญหาต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ ธปท.ยังดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่น และติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หากเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หรือเคลื่อนไหวแตกต่างจากพื้นฐานของเศรษฐกิจ ธปท.ก็มีเครื่องมือเพียงพอที่จะดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ที่สำคัญขณะนี้ระดับเงินทุนสำรองยังอยู่ในระดับค่อนข้างมั่นคง สามารถดูแลได้แน่นอน แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าสุดในรอบ 3 ปี แต่ในเชิงเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาคทั้งประเทศคู่ค้า และคู่แข่ง ถือว่าการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มากไม่น้อย ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ติดตามตลาดการเงินว่ามีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแค่ไหน ตามปกติของโครงสร้างเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะขยายตัวต่ำสุด และไตรมาส 3 จะขยายตัวดีขึ้น ส่วนไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่ขยายตัวสูงสุด เพราะเป็นฤดูกาลส่งออกพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญค่อนข้างมาก ดังนั้น หากโครงสร้างนี้ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติการขยายตัวของไตรมาส 3/56 ก็จะออกดีกว่าไตรมาส 2/56 ซึ่งจากคาดการณ์นี้มองว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง ส่วนภาคการส่งออก คาดว่าทั้งปีคงขยายตัวไม่สูงนัก แต่ล่าสุด ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาค่อนไปในทางต่ำ ขณะเดียวกัน นำเข้าก็ต่ำด้วย นำเข้าทองก็ติดลบ แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีคาดว่าค่อนไปทางสมดุล หรือหากขาดดุลก็จะขาดดุลเพียงเล็กน้อย ไม่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนมากนัก นายประสาร กล่าวถึงสถานการณ์ในซีเรีย ว่า เหตุการณ์ในตะวันออกกลางไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันกระตุกขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะกระทบต่อการนำไปคำนวณตัวเลขเศรษฐกิจที่ ธปท.คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 105-107 เหรียญ/บาร์เรล แต่ในระยะยาวมีการค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ขนาดใหญ่ ขณะที่การสะสมพลังงานยังไม่เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น ถ้ามีอะไรเข้ามากระตุกน่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นๆ เท่านั้น
โดย
prichar s.
พุธ ส.ค. 28, 2013 1:33 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
จรัมพรมองปัจจัยหลักตลาดหุ้นไทยยังเป็นเรื่อง fund flow ส่วนซีเรียกระทบไม่มาก ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 28 สิงหาคม 2556 10:23:21 น. นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)มองว่าปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยในขณะนี้คือกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดภูมิภาค ส่วนสถานการณ์ในซีเรียยังไม่ได้กระทบมากนัก แต่ก็จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด "ตลาดหุ้นไทยตอบนี้ยังรับกระทบจาก fund flow ที่ไหลออก เพราะถ้าตัดเรื่องซีเรยออก นับจากพ.ค.ที่เริ่มกังวลว่าจะลด QE เม็ดเงินก็ยังไหลไม่หยุด และยังไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน ยังบอกไม่ได้ เพราะเม็ดเงินเข้ามาจากทั่วโลก"นายจรัมพร กล่าว นายจรัมพร กล่าวว่า จากต้นปีจนถึงขณะนี้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 1.1 แสนล้านบาท ถือว่าสูงมากแล้ว จากนี้ก็คงจะไม่ได้ไหลออกไปมากแล้ว เพราะเมื่อนักลงทุนขายถึงระดับหนึ่งก็คงจะต้องหยุดขาย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับที่ดี อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับเฉลี่ยกว่า 3% ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตร อีกทั้งการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังได้รับประโยชน์ด้านภาษีด้วย ส่วนปัญหาซีเรีย อาจจะกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอดูสถานการณ์ "ซีเรียไกลจากเรา เป็นปัญหานอกประเทศ และเชื่อว่าจะมีแนวทางแก้ไขได้"นายจรัมพร กล่าว สำหรับการจัดงาน Thailand Focus 2013 ในครั้งนี้ นายจรัมพร กล่าวว่า สิ่งที่จะนำมาดึงดูดนักลงทนต่างชาติคือการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประทศ และทำให้บริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งขึ้น สามารถขยายธุรกิจไปครอบคลุมภูมิภาคได้ การเติบโตจะเร็วขึ้น ดังนั้น เชื่อว่าเมื่อนักลงทุนเลิกตกใจกับ QE แล้ว ก็จะหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะบริษัทจดทะเบียนของไทยผ่านวิกฤติมามาก และสามารถปรับตัวรองรับความผันผวนได้ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์มาแล้ว อย่างไรก็ตาม มองว่าช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเลือกซื้อหุ้นเพื่อการลทุนในระยะยาว อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์:
[email protected]
โดย
prichar s.
พุธ ส.ค. 28, 2013 10:41 am
0
0
Re: ข้อดีข้อเสียของไม้ใหญ่
เลือดสาดจากตลาด มาอ่านกระทู้นี้เลือดท่วมเลย (โดนคมคำบาด) ฮา ฮา .. ..................................................... ย้ำกับตัวเองทุกบ่อย เจอมากี่ครั้งก็ผ่านได้ทุกครั้ง ทบทวนหุ้นของเราทุกวัน มั่นใจ พื้นฐานไม่เปลี่ยน-ไม่ขาย ราคาเป็นเรื่องของตลาด qe เป็นเรื่องชั่วคราว ซีเรียก็ไกลบ้าน .............................. เป็นแค่รายย่อยธรรมดา กระดิกเท้าดูรายใหญ่เค้าทำ ............................. เป็นนักลงทุนต้องอดทน ฯลฯ
โดย
prichar s.
พุธ ส.ค. 28, 2013 10:38 am
0
17
Re: เชิญข่าว
ทุกข่าวที่แปะ อ่านเองแล้ว ไม่เห็นสัญญาณอะไรร้ายแรง ไม่มีวิกฤตใด ๆ แค่ภาวะเติบโตเศรษฐกิจไทยชะลอตัว (โตในอัตราลดลง-ตัวเลขเป็นบวก) ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลกค่อน ไปทางสดใส จีน ยุโรป สหรัฐ อยู่ในแนวโน้มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อไทย ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องเงินไหลออก(ถอน qe) เท่านั้นที่เป็นปัญหา ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวและไม่กระทบพื้นฐาน เอดีบีเล็งปรับลดจีดีพีไทย-จี้รัฐเร่งเบิกจ่าย-ลุ้นศก.โลกฟื้น โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2556 16:58 น. เอดีบีเผยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณเศรษฐกิจไทย ระบุมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดให้อยู่กรอบ 4-4.3% จากเดิม 4.9% แต่เชื่อปีหน้าดีขึ้นหลังเศรษฐกิจประเทศหลักกระเตื้อง แนะเร่งพัฒนาการศึกษายกระดับประเทศ ด้านอาร์บีเอสมั่นใจเศรษฐกิจไทยยังแกร่ง การถดถอยใกล้ต่ำสุด นางสาวลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกร สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี)เปิดเผยว่า เอดีบีอยู่ระหว่างทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งจะแล้วเสร็จและประกาศออกมาในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยลงเหลือกรอบ 4.0-4.3% จากเดิมที่ประมาณการไว้ 4.9% และการส่งออกเติบโตที่ 8% อย่างไรก็ตาม คงต้องรอตัวเลขที่ชัดเจนในช่วงเดือนตุลาคมอีกครั้ง สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ก็ให้ความสำคัญที่การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐว่าจะสามารถทำได้ตามที่ตั้งไว้หรือไม่ รวมถึงภาคส่งออกไทยที่อาจกระเตื้องขึ้น หากเศรษฐกิจในประเทศหลักดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสูง ก็ยังเป็นตัวกดดันให้การใช้จ่ายภาคเอกชนถดถอยลง "ตามภาพกว้างแล้ว เอดีบีก็มองภาพของเศรษฐกิจของประเทศที่เจริญแล้วในทิศทางที่ดีขึ้น และมองว่าอัตราการเจริญเติบโตของกลุ่มประเทศดังกล่าวจะสูงกว่าในปีนี้ ซึ่งก็คงจะช่วยให้ภาคส่งออกของไทยดีขึ้นบ้าง และหากโครงการลงทุนขนาดภาครัฐที่มีวงเงินมากถึง 2.2 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายออกมาตามกำหนดก็จะช่วยดึงการลงทุนภาคเอกชนให้ดีขึ้นด้วย" ส่วนกรณีการลดวงเงิน QE ของสหรัฐฯนั้น ทางเอดีบีก็ติดตามผลกระทบจากเงินทุนที่ไหลออกอยู่ แต่เท่าที่ดูก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก และไม่ได้ไหลออกครั้งละจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความแข่งแกร่งอยู่ อัตราการเติบโตที่ลดลงก็เป็นเพียงการปรับฐาน ขณะที่ กรณีของอินโดนีเซียนั้น มีเงินไหลออกค่อนข้างมากและเร็ว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและภาคสถาบันการเงินยังมีความอ่อนไหวอยู่ แนะไทยพัฒนาระบบการศึกษายกระดับประเทศ นอกจากนี้ เอดีบียังได้เสนอรายงานเรื่อง "Asia's Economic Transformation : Where to,How,and How Fast" โดยระบุว่า จากการศึกษาโครงสร้างของประเทศที่เจริญแล้ว จะพบว่ากลุ่มประเทศดังกล่าวมีการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ สูงกว่าภาคเกษตรกรรม และมีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากมีรายได้ที่สูงกว่า ซึ่งหากพิจารณาถึงโครงสร้างของประเทศในกลุ่มเอเชียแล้ว พบว่ามีเพียง 50%ที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานในลักษณะดังกล่าว สำหรับประเทศไทยพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ 40%ยังอยู่ในภาคเกษตรกร แต่สัดส่วนผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับ 18%ของจีดีพี ซึ่งถือว่าหลุดจากระดับล่างมาแล้ว แต่โจทย์สำคัญต่อไปคือจะทำอย่างไรให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรที่มีเป็นจำนวนมาก และบางส่วนแรงงานตามฤดูกาล มาสู่ภาคอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงในชีวิตและมีรายได้ที่มากกว่า คำตอบหลักก็คือพัฒนาระบบการศึกษาของไทย ซึ่งไม่ควรจะให้ความสำคัญแค่ระดับอุดมศึกษาเท่านั้น ในระดับประถมและมัธยมก็มีเป็นพื้นฐานสำคัญที่ก้าวต่อไปในระดับอุดมศึกษา ขณะเดียวกันในภาคอุตสาหกรรมก็ต้องมีการยกระดับขึ้นพื่อขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อาร์บีเอสคาดศก.ไทยใกล้ต่ำสุด ด้านมร. เมดาน เมนอน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ร่วมด้านการตลาดและอินเตอร์เนชั่นแนลแบงกิ้ง ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธนาคารเดอะรอยัลแบงก์อ๊อฟสกอตแลนด์(RBS)กล่าวว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในสองไตรมาสที่ผ่านมานั้น มีอัตราลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าการหดตัวทางเศรษฐกิจอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุด โดยมีการใช้สินค้าคงคลังอย่างเต็มที่ สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2556 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและตลาดต่างๆ ในโลก รวมทั้งการหารือเพื่อปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ มีความเป็นไปได้มากกว่า นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการจ้างงานและสร้างการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ การบริโภคภายในประเทศมีการปรับตัว และมีเสถียรภาพ เช่นเดียวกับหนี้สินในครัวเรือน ทางด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างชาตินั้นมีการเติบโตอย่างเต็มที่ ดังนั้น ในครึ่งหลังของปี 2013 นี้ การส่งออกจะมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง "เนื่องจากอุปสงค์ทางด้านการส่งออกของไทยกว่าครึ่งนั้นมาจากประเทศในกลุ่ม G3 และ จีน ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากความมีเสถียรภาพของเศรฐกิจจีน ซึ่งมีการเติบโตของ GDP ประมาณ 7.5% นอกจากนี้เศรษฐกิจในอเมริกาและยุโรปเริ่มส่งสัญญานที่ดีของการฟื้นตัว ดังนั้น เราจึงยังคงมั่นใจในทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังนี้"มร. เมนอน กล่าว
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 27, 2013 5:30 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
ธปท.ไม่กังวลเงินไหลออก มั่นใจมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอรองรับได้ ระบุจะเข้าแทรกแซงในกรณีที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย (27 ส.ค. 56) - - ธปท.ไม่กังวลเงินไหลออก มั่นใจมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอรองรับได้ ระบุจะเข้าแทรกแซงในกรณีที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป พร้อมชี้ค่าบาทอ่อนค่าไม่ได้เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ ระบุยังอยู่ในภาวะปกติ เผยอยู่ระหว่างศึกษาการนำทุนสำรองส่วนเกินไปลงทุนในหุ้น หรือตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน (New Opportunity Fund ) นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ไม่กังวลในสถานการณ์เงินทุนไหลออก กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณว่าชะลอมาตรการการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE ตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา จนส่งผลให้เงินทุนไหลออกเป็นระยะ ทั้งนี้ล่าสุดพบว่ามีเงินทุนไหลออกแล้ว 15% ของสัดส่วนที่ต่างชาติถือครองสินทรัพย์ เช่น พันธบัตร และหุ้น อย่างไรก็ดีเชื่อว่า ธปท. มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่อยู่ในบัญชีกิจการ ธปท. และบัญชีฐานะล่วงหน้าของธปท. มากเพียงพอต่อการรองรับการไหลออกของเงินทุน ซึ่งธปท.มีเงินทุนในบัญชีดังกล่าวอยู่ที่ 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และเชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจากไทยจะมีความรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ "เราทำการประเมินไว้ว่าขณะนี้เงินทุนสำรองที่เรามีอยู่ยังเพียงพอจะ Cover Out Flow และดูจากสถานการณ์ที่ผ่านมาก็ไม่มากนัก เรายังคงรองรับได้ ซึ่งเราเห็นคลื่นของเงินไหลออกเป็นระยะ ซึ่งต้องติดตามว่าจะกระทบ Fundamental อย่างไร ซึ่งตอนนี้เรามองว่า Fundamental ยังค่อนข้างดี และในส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยก็ยังเป็นบวก ถ้าไม่นับรวมกับการนำเข้าทองคำ"นางผ่องเพ็ญ กล่าว นางผ่องเพ็ญ กล่าวด้วยว่า ธปท.ไม่รู้สึกกังวลใจกับการอ่อนค่าของเงินบาทในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยอ่อนค่าจากต้นปีราว 4% และเชื่อว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการดูแลเงินทุนไหลออก เพราะถือเป็นเรื่องปกติของนักลงทุนในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อทำกำไร ทั้งนี้ยังคงยืนยันว่าจะบริหารให้อัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นตามอุปสงค์ อุปทานในตลาดมากขึ้น และ ธปท. ก็พร้อมที่จะเข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่เกิดความผันผวนและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อการกำหนดราคาสินค้าในการส่งออก "เราค่อยๆ ผ่อนนโยบายการบริหารค่าเงินให้เป็นไปตามกลไกมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เราไม่ได้ปล่อยทีเดียว ช่วงที่ยังอ่อนเร็วหรือแข็งค่าเร็ว เราก็ชะลออยู่ แต่ความถี่ที่จะเข้าไปดูแลแบบใกล้ๆ ก็จะลดลง เพราะเรารู้อยู่ว่าในด้านการค้า และการกำหนดราคาปรับตัวได้ยาก"นางผ่องเพ็ญ กล่าว นอกจากนี้ มองว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะนี้ยังไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำประมาณ 0.8% โดยการอ่อนค่าของเงินบาทยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เนื่องจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนสูง " แม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อกลับมาเป็นประเด็นในเรื่องนี้"นางผ่องเพ็ญ กล่าว นางผ่องเพ็ญ เปิดเผยด้วยว่า ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาแผนเพิ่มผลตอบแทนในการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศ ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่คณะกรรมการ ธปท.กำหนด โดยคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง และผลตอบแทนความเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญ และล่าสุดกำลังศึกษาการนำเงินทุนสำรองส่วนเกินไปลงทุนในหุ้น (Equity) เป็นต้น ซึ่งแม้เป็นสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้รับการอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ธปท. ในปัจจุบัน แต่หากผลการศึกษาทั้งข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยงและผลตอบแทนออกมาอย่างไร ก็จะส่งผลต่อการประเมินแนวทางที่จำเป็นหากต้องแก้กฎหมายเพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้ ธปท.ยังอยู่ระหว่างการประเมินการจัดตั้งเป็นกองทุน New Opportunity Fund เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน ซึ่งต้องออกเป็นกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น โดยจะนำสินทรัพย์ต่างประเทศในส่วนที่สูงกว่าระดับที่จำเป็นมาลงทุนในกองทุนดังกล่าว โดยหลังจากนี้หากมีการศึกษาเสร็จแล้วจะเสนอไปยังคณะกรรมการธปท. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง "เราแค่ให้แนวคิดว่ามีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากที่เราเคยทำ ทั้งการไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนา พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น และหุ้นกู้เอกชน ซึ่งอยู่ภายใต้พ.ร.บ. ธปท. ปัจจุบัน แต่แนวทางเพิ่มเติมคือการใช้เงินทุนสำรองส่วนเกินไปทำอย่างอื่น อยู่ที่ผลการศึกษาข้อดี ข้อเสีย เป็นยังไง แล้วค่อยกลับมาตอบว่าเหมาะสมหรือไม่ จึงจะตอบได้ว่าต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อรองรับเป็นกรณีหรือเปล่า ซึ่งก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ากรอบเวลาจะเป็นอย่างไร" นางผ่องเพ็ญ กล่าว รายงาน โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน อีเมล์แสดงความคิดเห็น
[email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 27/08/13 เวลา 13:31:49
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 27, 2013 1:49 pm
0
0
Re: สูงสุดคืนสู่สามัญ
ส่วนตัว ไม่เชื่อทฤษฎี "ทุกปัจจัยสะท้อนอยู่ในราคาแล้ว"" โดยเฉพาะในภาวะตลาดไม่ปกติ หลายเดือนที่ผ่านมา มีหุ้นอีกจำนวนมากที่ราคาลดลงกว่า 50% ซึ่งส่วนหนึ่ง น่า จะเป็นเพราะความผันผวนของตลาด หรือเป็นเรื่องของตลาดคือแล้วแต่ตลาดจะให้ราคา ไม่ใช่ทุกตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานอย่างมีนัยยะ (อาจจะมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังอีกก็เป็นได้ ใครจะรู้??) และเรา(นักลงทุน) ควรคิด ทบทวน ศึกษา ค้นคว้า ความบกพร่องของตลาดแบบนี้ เพื่อให้ก่อประโยชน์ต่อการลงทุนของเราให้มากที่สุด มากกว่า..............บลา บลา ........... ....................................................................... อยู่ในตลาด แล้วแต่ตลาด แค่นักลงทุนธรรมดา ไม่ใช่เจ้ามือ
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 27, 2013 11:51 am
0
4
Re: เชิญข่าว
สภาพัฒน์ ระบุ Q2/56 จ้างงานลด ศก.ชะลอ วันเผยแพร่ | พิมพ์ | อีเมล/ money channel สภาพัฒน์ เผยยอดจ้างงาน Q2/56 เพิ่มขึ้นแค่ 0.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.5% ชี้เป็นไปตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) กล่าวถึงภาวะสังคมไทยในไตรมาส 2 ปี 2556 ว่า ไตรมาสที่สองปี 2556 มีผู้มีงานทำ 38.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เทียบกับร้อยละ 1.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการชะลอตัวลงตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และเมื่อปรับฤดูกาลออกแล้วการจ้างงานลดลงร้อยละ 1.1 การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ขณะที่ภาคเกษตรลดลงร้อยละ 0.2 สาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ การก่อสร้างร้อยละ 5.6 การค้าส่งค้าปลีกร้อยละ 1.9 การขนส่งร้อยละ 7.0 และโรงแรมและร้านอาหารร้อยละ 6.9 ส่วนการจ้างงานในสาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.7 ตามการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่วนอัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ 0.73 หรือมีผู้ว่างงาน 289,491 คน ต่ำกว่าร้อยละ 0.86 ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีจำนวน 144,838 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ชั่วโมงการทำงานของแรงงานภาคเอกชนเฉลี่ยเท่ากับ 48.2 ชั่วโมงต่อคนต่อสัปดาห์ลดลงจาก 48.6 ชั่วโมงต่อคนต่อสัปดาห์ หรือลดลงร้อยละ 0.9 เป็นการลดลงในสาขาการผลิตอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และบริการอื่นๆ ร้อยละ 2.3 0.4 และ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่การทำงานในสาขาเกษตรกรรมมีชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ทั้งนี้ จากการปรับค่าจ้างแรงงาน 300 บาท และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้สถานประกอบการพยายามปรับการทำงานให้อยู่ในช่วงเวลาปกติมากขึ้น โดยแรงงานภาคเอกชนที่ทำงาน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวนลดลงร้อยละ 6.8 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 0.4 ในช่วงเดียวกันปี 2555 สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี ยังคงต้องติดตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าและทำให้การผลิตชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเนื่องถึงการจ้างงานโดยเฉพาะสาขาการผลิตที่มีผลิตภาพแรงงานต่ำ สาขาการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น และอุตสาหกรรมขนาดเล็กซึ่งมีแรงกดดันจากต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
โดย
prichar s.
จันทร์ ส.ค. 26, 2013 11:15 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
พาณิชย์เผยก.ค.ส่งออกวูบ 1.48% นำเข้าโต 1.08% ขาดดุล 2.28 พันล้านดอลล์ วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556 เวลา 12:00:24 น. ผู้เข้าชม : 7 คน ข่าวหุ้น นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน ก.ค.56 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 19,064 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 21,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.08% ส่งผลให้ขาดดุลการค้าราว 2,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.56) การส่งออกมีมูลค่า 132,368 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.60% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 150,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.85% ส่งผลให้ขาดดุลการค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 18,052 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสาเหตุที่ส่งออกลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญชะลอตัวลง เช่น เศรษฐกิจยูโรโซนที่อยู่ในภาวะถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ชะลอตัวจากภาคธุรกิจที่ชะงักงัน และเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ความต้องการนำเข้าชะลอตัวลงจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงของภาคธุรกิจ
โดย
prichar s.
จันทร์ ส.ค. 26, 2013 12:16 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
วันที่ 23 สิงหาคม 2556 13:40 เวิลด์แบงก์เชื่อเงินบาทไม่โดนถล่มเหมือนรูปี โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เวิลด์แบงก์เชื่อเงินบาทของไทยไม่โดนถล่มเหมือน "รูปี-รูเปียะห์" เหตุมีการบริหารจัดการค่าเงิน-พื้นฐานแกร่ง นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกสำนักงานประจำประเทศไทย(เวิลด์แบงก์) กล่าวว่า เวิลด์แบงก์ อาจจะมีการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวตามที่คาดการณ์ไว้ แต่จะปรับเป็นเท่าไหร่นั้นต้องดูปัจจัยในครึ่งปีนี้เป็นส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนตัว มองว่า เศรษฐกิจปีนี้เป็นไปได้ที่อาจจะขยายตัวประมาณ 4-4.5% ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐจะมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว "เศรษฐกิจไทยปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวมากกว่าปีนี้เพราะฐานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ 2554-2555 สูงมาก ตั้งแต่น้ำท่วมและการกระตุ้นเศรษฐกิจการบริโภคจากนโยบายรัฐบาลทำให้ปีนี้การขยายตัวลดลงแต่ในปีหน้าฐานจากปีนี้กลับสู่ภาวะปกติประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ และเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว" สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ นั้น เกิดจากนักลงทุนกังวลเรื่องที่สหรัฐจะชะลอมาตรการQE และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย จึงทำให้ค่าเงินบาทในช่วงนี้มีความผันผวนตามกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออกของต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น คาดว่าการส่งออกไทยในครึ่งปีหลังจะขยายตัวดีขึ้น จากครึ่งปีแรกการส่งออกชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก และสหรัฐไม่ชะลอ QE ลงมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ก็จะทำให้นักลงทุนนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนดี ซึ่งรวมถึงเอเชียและไทย เพราะมั่นใจว่าเอเซียจะเป็นศูนย์กลางการเติบโตของเศรษฐกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า "ในระยะยาวถือว่าภูมิภาคอาเซียนยังเป็นจุดสนใจของนักลงทุนแน่นอนดังนั้นการที่ในระยะนี้เงินทุนไหลออกจากตลาดทุนในภูมิภาคนี้หรือมีความผันผวนอยู่บ้างจึงถือเป็เรื่องปกติที่จะทำให้ค่าเงินอ่อนลงไปบ้างแต่จะเป็นปริมาณมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจไทยและความชัดเจนในมาตรการ คิวอี ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นประเทศไทยจะต้องปรับตัวรองรับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะมีมากขึ้นในอนาคต" ส่วนข้อวิตกกังวลว่าอาจมีการโจมตีค่าเงินบาทในอ่อนค่าลงไปอีกเหมือนกับเงินรูเปียะห์ ของอินโดนีเซีย และรูปี ของอินเดียนั้น นางสาวกิริฎา มองว่า เป็นไปได้ยากเพราะปัจจุบันเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวลอยตัวแบบมีการจัดการ ไม่ได้เป็นอัตราคงที่เหมือนในอดีต ดังนั้นการจะเข้ามาโจมตีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย รวมทั้งโอกาสในการทำกำไรยังมีไม่มาก และพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งจึงไม่น่าเป็นห่วง แต่อย่างไรก็ตามมองว่าค่าเงินบาทควรเคลื่อนไหวไปตามภูมิภาคและประเทศคู่แข็ง เพื่อไม่ให้เสียเปรียบโอกาสด้านการส่งออก ดังนั้น ความผันผวนในระยะนี้ก็จะอาจจะมีผลต่อการนำเข้าอยู่บ้างโดยเฉพาะการนำเข้าพลังงานน้ำมันที่มีผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นแต่ก็จะเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าค่าเงินในประเทศคู่แข่งของไทยก็อ่อนค่าลงด้วยเช่นกันสำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะไม่ลดลงไปจาก 2.5% เพราะมีเรื่องของความกังวลเรื่องหนี้ภาคครัวเรือน
โดย
prichar s.
ศุกร์ ส.ค. 23, 2013 2:01 pm
0
0
Re: เชิญข่าว
Goldman downgrades emerging Asia currencies Published: Friday, 23 Aug 2013 | 1:15 AM ET By: Rajeshni Naidu-Ghelani | Assistant Producer, CNBC U.S. investment bank Goldman Sachs says it expects the rout in Asian emerging market currencies to continue, downgrading its forecasts for battered currencies in the region. Goldman revised down its three, six and 12-month targets for the Malaysian ringgit, Thai Baht and Indonesian rupiah on Friday. The currencies, together with their emerging-market peers, have taken a beating recently amid expectations for an unwinding of U.S. monetary stimulus. (Read more: Emerging markets: dissecting the good from bad) The rupiah should take the biggest hit as investors flee the volatile group of currencies for the safety of developed markets, according to Goldman. It expects the rupiah to weaken to 11,800 per dollar in the next year, compared with a previous target of 10,500. That implies a fall of 9 percent from current levels of 10,830. The rupiah hit its lowest level in more than four years on Friday, racking up losses of 12 percent in the year-to-date. (Read more: Strategist who correctly called rupee, rupiah collapse) "In particular, downside pressure on the rupiah could persist in the near term if we see elevated inflation prints over the next few months, and given the prospect of Fed tapering," Goldman said in a note. Play Video Why emerging market volatility could last Hans Stoter, CIO of ING Investment Management, discusses the big moves in emerging markets' currencies and expects further weakness until Treasury yields stabilize. Annual inflation in Indonesia, southeast Asia' biggest economy, surged to 8.61 percent in July -- its fastest pace in four-and-a-half years. Indonesia's central bank has responded by lifting interest rates by 75 basis points this year to 6.5 percent, becoming the first Asian central bank to do so since June 2011. (Read more: Rate hike a pre-emptive strike: Indonesian official) But the monetary tightening appears to have done little to stem the rupiah's fall. Goldman expects Bank Indonesia to hike interest rates in September in an attempt to prevent further declines in the currency, but says that may not be enough. "A bigger rate hike would go further towards stabilizing the currency, but we think policymakers will continue to be restrained by the desire to prevent growth from slowing too sharply, especially since the country is approaching an election cycle," Goldman said. Parliamentary elections are set to take place in April next year with presidential elections due in June. Going down Goldman expects the Malaysian ringgit to weaken to 3.4 per dollar in the next three months, implying a fall of about 3 percent from current levels and compared with a previous forecast of 3.2. Its new 12-month forecast for the Thai baht is 32 per dollar, a 4 percent downward revision from the previous forecast. The ringgit fell to 3.31 per dollar on Thursday, its weakest level in more than three years. The Thai baht, trading at about 31.89 to the dollar, is down about 4 percent so far this year. (Read more: Wonder why ringgit's getting crushed? Check out this chart) Emerging Asian countries' weak current account balances will continue to weigh on their currencies as fears of the Federal Reserve unwinding its monetary stimulus highlights liquidity concerns in these markets, Goldman said. "The market sell-off has its roots in deteriorating underlying fundamental flows, and in particular the weakening broad balance of payments led by current account deterioration in recent quarters," Goldman said. — By CNBC.com's Rajeshni Naidu-Ghelani. Follow her on Twitter @RajeshniNaidu http://www.cnbc.com/id/100982823
โดย
prichar s.
ศุกร์ ส.ค. 23, 2013 12:48 pm
0
0
Re: Thailand Cuts Growth Outlook as Economy Enters Recession
ผู้ว่าธปท.มองจีดีพี Q3/56 ไม่น่าจะติดลบเมื่อเทียบกับ Q2/56 วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2556 เวลา 13:58:52 น. ผู้เข้าชม : 11 คน ข่าวหุ้น นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3/56 คาดไม่น่าจะติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/56 และแม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มการชะลอตัวตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังไปได้ตามที่ประมาณการไว้ แม้จะไม่ได้ขยายตัวสูงมากนัก ส่วนการเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ธปท.ของนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี แม้จะนั่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยนั้น นายประสาร กล่าวว่า ตามกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้ และในการประชุม กนง.วันพรุ่งนี้นายอำพนก็สามารถเข้าร่วมประชุมตามปกติ
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 20, 2013 2:06 pm
0
2
Re: Thailand Cuts Growth Outlook as Economy Enters Recession
กรณ์” เผยต้นเหตุ ศก.ไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยโดยที่ยังไม่มีวิกฤตอะไรมาเป็นตัวฉุด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2556 13:15 น. “กรณ์” ยอมรับ ศก.ไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตปี 51-52 ซัดอัดรัฐบาลบริหารล้มเหลว นโยบายประชานิยมเงินไม่ถึงมือชาวบ้าน แถมเพิ่มภาระหนี้ และสร้างภาระงบประมาณมหาศาล ยันไม่ได้มองในแง่ลบเกินไปพร้อมตั้งข้อสังเกต ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีวิกฤตอะไรมาเป็นตัวฉุด ประกอบกับยังไม่ได้เห็นผลจากการถอนเงินทุนโดยต่างประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ ส่งสัญญาณยกเลิกการกระตุ้นด้วยนโยบายการเงิน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij แสดงความเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดอย (Recession) ครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี 2551-2552 โดยได้ชี้ให้เห็นว่า วันนี้ถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สร้างความตกใจให้แก่นักลงทุนพอสมควร คือไตรมาส 2/2556 เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2556 และไตรมาส 1/2556 ติดลบ 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/55 ถือว่าเป็นการเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกตั้งแต่ช่วงวิกฤตปี 2551-2552 “ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ วิธีวัดทางเทคนิคคือ การเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาสเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น และถือว่าเข้าสู่ภาวะถดถอย ถ้าการเปรียบเทียบเช่นนี้ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน” ทั้งนี้ นายกรณ์ ชี้แจงว่า หากมองว่าเทียบกับปีที่แล้ว ภาพโดยรวมเศรษฐกิจยังเติบโตอยู่ เพียงแต่อัตราการขยายตัวชะลอลงอย่างมาก และที่เป็นเช่นนั้นเพราะตัวขับเคลื่อนทุกตัวชะลอตัวหมด ไม่ว่าจะเป็นการอุปโภคบริโภค การลงทุน การส่งออก หรือการลงทุนโดยรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดผลกระทบมาก โดยอันดับแรก ธุรกิจต่างๆซบเซาทำให้เงินฝืดขาดความคล่องตัว รายได้ทุกคนลดลง มนุษย์เงินเดือนขาดโอที ขาดโบนัส และเลวร้ายกว่านั้นก็คืออาจถูกลดเงินเดือน หรือถูกปลดออกจากตำแหน่ง นักศึกษาจบมาใหม่ก็จะหางานยากขึ้น ประชาชนจำนวนมากวันนี้รับภาระหนี้อยู่หนักอึ้งอยู่แล้วก็จะลำบากมากขึ้น เพราะภาระหนี้ยังคงอยู่แต่รายได้ลดลง ส่วนในแง่ของภาครัฐ รายได้ภาษีก็จะลดลง นอกจากจะรีดภาษีหนักมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ไปลดภาษีกำไรให้ผู้ประกอบการไปแล้วปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท นอกจากนั้น จะขาดดุลมากขึ้นก็คือ ต้องกู้มากขึ้น และเมื่อ GDP โตช้า ฐานคำนวณหนี้สาธารณะก็จะเล็กลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้น มีผลต่อเครดิตของประเทศ และระดับความเชื่อมั่น ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศจะสูงขึ้น และขีดความสามารถในการแข่งขันก็จะลดลง นายกรณ์ ยืนยันว่า ทั้งหมดฝ่ายค้านไม่ได้มองในแง่ลบเกินไป แต่เป็นข้อเท็จจริงตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแน่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ที่น่าแปลกใจคือ ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีวิกฤตอะไรมาเป็นตัวฉุด ประกอบกับยังไม่ได้เห็นผลจากการถอนเงินทุนโดยต่างประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ ส่งสัญญาณยกเลิกการกระตุ้นด้วยนโยบายการเงิน(QE) “ที่ปฏิเสธไม่ได้อีกก็คือ นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ประชานิยมที่เงินไม่ถึงมือชาวบ้าน ซ้ำร้ายกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ และเป็นภาระมหาศาลต่องบประมาณแผ่นดิน” นายกรณ์ ยังได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาว่า ต้องหาวิธีเพิ่มรายได้ และต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการกินหัวคิว เพิ่มราคาพืชผลการเกษตร พัฒนาทักษะแรงงานไทยทุกระดับ ลดภาระหนี้ของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณโดยภาครัฐ และลดเงื่อนไขขัดแย้งทางการเมืองที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 20, 2013 1:44 pm
0
1
Re: Thailand Cuts Growth Outlook as Economy Enters Recession
ผู้ว่าธปท. ยัน ไม่กังวลเงินบาทอ่อนค่าช่วงนี้ ขณะที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครึ่งปีแรกไม่มาก ไม่รุนแรงเหมือนอินโดฯ คาดทั้งปีใกล้สมดุล สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย (20 ส.ค.56) - - นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงมากในวันนี้ถือว่าสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง อาจจะมาจากการรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แต่โดยรวมแล้วมองว่าค่าเงินบาทยังไม่มีประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากยังเคลื่อนไหวสอดคล้องพื้นฐาน สำหรับภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ที่สภาพัฒน์ระบุว่าติดลบต่อเนื่องเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จากไตรมาส 1/56 นั้น นายประสาร กล่าวว่า ถือว่าเป็นภาวะถดถอยทางเทคนิค เป็นนิยามทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งปกติการปรับตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องมีการคำนวณใหม่ว่าเทียบกับฐานปกติหรือไม่ แต่ถ้าเทียบกับฐานที่ไม่เป็นปกติ ก็จะพบว่าไม่ใช่ตัวเลขติดลบ ดังนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจก็จะต้องปรับกลับมา "ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้ติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 55 และติดลบต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 ของปีนี้ เพราะไตรมาส 4 ปี 55 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 54 ถือว่าขยายตัวสูงมาก เนื่องจากปี 54 ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงทำให้ไตรมาส 4 ปี 55 ขยายตัวสูงผิดปกติ ดังนั้น จึงเป็นปกติที่ไตรมาส 1 ปีนี้เทียบกับไตรมาส 4 ปี 55 จึงติดลบและกระทบถึงไตรมาส 2"นายประสาร กล่าว อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เกิดปัญหาเหมือนกรณีของอินโดนีเซีย เพราะไทยยังมี นโยบายมหภาคที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งยังไม่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงเหมือนอินโดนีเซีย ซึ่งตามคาดการณ์ของสำนักต่างๆ ประเมินว่าปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุล จากครึ่งปีแรกอาจขาดดุลบ้าง แต่ถือว่าไม่มากและไม่ได้เป็นปัญหา คิดเป็นประมาณไม่ถึง 1% ของจีดีพี และที่สำคัญไทยไม่ต้องใช้เงินเข้าไปอุดหนุนเรื่องพลังงานมากเหมือนอินโดนีเซีย เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์ อีเมล์แสดงความคิดเห็น
[email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 20/08/13 เวลา 12:41:21
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 20, 2013 1:02 pm
0
1
Re: Thailand Cuts Growth Outlook as Economy Enters Recession
เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว วันเผยแพร่ | พิมพ์ | อีเมล / money channel ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อ เศรษฐกิจไทยปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แม้ไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 2.8% มอง ทิศทางครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น ทั้งปียังคงเป้าโต 4% นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า การที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หลังจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 หดตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3% ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่หดตัว 1.7% เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล และยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤต หรือ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงของการปรับโมเมนตัมมาสู่การเติบโตตามปัจจัยพื้นฐาน หลังจากที่การขยายตัวสูงในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากแรงผลักดันพิเศษจากหลากหลายมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อาทิ มาตรการรถยนต์คันแรก และการผลิตเร่งตัวหลังปัญหาน้ำท่วม โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำ และสภาพเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี สำหรับภาพรวมของปีนี้(56) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์กรณีพื้นฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณ 4% ตามเดิมภายใต้กรอบ 3.8-4.3% และการส่งออกขยายตัว 2-7% ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปีหน้า(57) จะขยายตัวได้ที่ประมาณ 4.5% โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศที่จะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีขึ้น โดยสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ทยอยเริ่มมีภาพด้านบวกตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้(56) น่าจะช่วยหนุนให้ภาคการส่งออกของไทยเติบโตได้ในระดับ 7%
โดย
prichar s.
อังคาร ส.ค. 20, 2013 12:56 pm
0
2
Re: ในวันที่ SET - 70 จุด
เมื่อตลาดไม่เป็นไปตามกลไกตลาด เหนื่อย...... วรวรรณ ธาราภูมิ · ผู้ติดตาม 9,700 คน 15 สิงหาคม เวลา 6:42 น. · จอมอิทธิพลกลุ่มใหม่ ---------------------- วิษณุ โชลิตกุล ข้าวหุ้น 15 สิงหาคม 2556 เมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นอีกครั้งหลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 8 วันรวดในตลาดหุ้นไทย แต่ตลาดหุ้นก็บวกเล็กน้อย เพราะอิทธิพลการเทขายของพอร์ตโบรกเกอร์ (บัญชีบริษัทหลักทรัพย์) หากมองอย่างพินิจ จะเห็นได้ว่า ในสามเดือนมานี้ การเทขายของนักลงทุนต่างชาติหลายหมื่นล้านบาทต่อเนื่อง ซื้อกลับมาเพียงเล็กน้อย ได้ส่งผลสะเทือนในช่วงแรกกับตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เพราะคนอื่นๆ พากันขายตามด้วย เพราะมองเห็นว่า หากตลาดหุ้นไทยปราศจากแรงขับเคลื่อนโดยนักลงทุนต่างชาติ จะไปต่อได้ไม่ไกล หรือไม่ไปต่อ เนื่องจากเห็นว่า หากเล่นกันเองแล้ว สภาพตลาดจะมีอาการวาย หรือโลหิตจางได้ง่าย การถอนตัวของนักลงทุนต่างชาติ เปิดช่องให้กลุ่มพอร์ตโบรกเกอร์ เคลื่อนตัวเข้ามาสร้างอิทธิพลในการซื้อขายตลาดหุ้นค่อนข้างโดดเด่นเป็นพิเศษ มีคนตั้งข้อสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า วันไหนที่พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ วันนั้น จะมีโอกาสที่หุ้นติดลบสูงมาก หรือไม่ก็บวกเฉียดฉิวดังเช่นเมื่อวานนี้ ที่เด้งบวกหลังจากตลาดปิดลบไปแล้ว เมื่อใช้สืบค้นย้อนหลังไปกว่า 2 เดือน จะเห็นอิทธิพลของพอร์ตโบรกเกอร์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจนไม่สามารถปฏิเสธได้ อิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นนี้ หากตั้งสมมติฐานว่า นักลงทุนต่างชาติจะไม่หวนกลับคืนมารุนแรงเหมือนเมื่อต้นปีในช่วงไตรมาสแรก ตลาดหุ้นก็คงตกอยู่ใต้อิทธิพลของพอร์ตโบรกเกอร์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น คำถามก็คือว่า แล้วนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน (กองทุนรวม) จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ที่มาของพอร์ตโบรกเกอร์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ พร็อพเทรด หรือ proprietary trading นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยก่อน แต่เกิดขึ้นในธุรกิจการเงินของสหรัฐแล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก ประวัติศาสตร์ของพร็อพเทรด เริ่มต้นจากธุรกิจธนาคารในสหรัฐฯที่เข้าไปแก้ปัญหาการเงินของลูกค้า แล้วเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันของลูกค้าที่ยึดมาบริหาร ซึ่งทำให้ธนาคารมีรายได้จากการซื้อขายทรัพย์สินเพิ่มขึ้น แยกออกจากส่วนรายได้จากดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจบริหารหรือซื้อขายทรัพย์สินทั้งหลาย ไม่ควรเป็นธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ดังนั้น รัฐจึงกำกับดูแลให้มีข้อกำหนดแยกกิจการบริหารดังกล่าวไปตั้งเป็นบริษัทลูกหรือบริษัทย่อย เกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่คือ การบริหารสินเชื่อและสินทรัพย์ข้ามสายกัน จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ได้มีการดัดแปลงไปใช้กับตลาดเก็งกำไร ที่อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากค่าธรรมเนียม (ซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการเงิน หรืออันเดอร์ไรเตอร์) ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง ไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารการเงินโดยตรง เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่ถ่วงดุลกับรายได้ตามจารีตของธุรกิจ ในกรณีของไทย การลดค่าธรรมเนียมของธุรกิจหลักทรัพย์แบบขั้นบันได ทำให้รายได้ของบรรดาบริษัท และ “มนุษย์ทองคำ” ทั้งหลายลดฮวบฮาบ ก.ล.ต. และตลาดฯ จึงร่วมออกแบบให้ทำพร็อพเทรดได้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ซึ่งบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลายก็เริงร่า เนื่องจากสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้โดยตรงโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (คอมมิสชั่น)ที่ปรับมาเป็นแบบขั้นบันไดให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นความได้เปรียบนักลงทุนทั่วไปในระดับหนึ่ง (เข้าออกได้สะดวก เพียงแค่กำไรช่วงเดียวก็ขายทิ้งได้แล้ว เพราะต้นทุนต่ำกว่า) เงินหน้าตักที่มากกว่า กติกาที่ได้เปรียบ และประสบการณ์ที่เชี่ยวกรำในตลาดหุ้นมากเป็นพิเศษเหนือกลุ่มอื่น ทำให้พร็อพเทรดสามารถซื้อขายได้ทั้งหุ้นและตราสารอนุพันธ์อย่างยืดหยุ่น ความคึกคักของพร็อพเทรดเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น จนสามารถแย่งส่วนแบ่งการซื้อขายประจำวันได้มากกว่า 10%ขึ้นไปเลย และสามารถทำรายได้เป็นทา เลือกสำคัญอยู่รอดกันมาด้วยดี เป็นพัฒนาการของตลาดทุนไทยที่สำคัญไม่น้อย ข้อเด่นของตลาดหุ้นไทยเกี่ยวกับพอร์ตโบรกเกอร์ ก็คือ กำหนดเงื่อนไขเปิดเผยมูลค่าซื้อขายประจำวันของพอร์ต ซึ่งตลาดต่างประเทศที่อื่นก็ไม่ทำ ช่วยให้นักลงทุนสามารถที่จะศึกษาพฤติกรรมและบทบาทของพอร์ตโบรกเกอร์ได้อย่าง”รู้ทัน”มากขึ้น แม้จะมีคำถามแบบไร้เดียงสาที่เป็นอมตะเสมอมาว่า “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์จะไม่เอาเปรียบลูกค้าของตนเอง (โยกกระเป๋าซ้าย ย้ายกระเป๋าขวา) เพื่อหาประโยชน์เข้าตัว” คำอธิบายจากผู้บริหารตลาด และ ก.ล.ต.เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ กระบวนการทำงานของแผนกพร็อพเทรด ถูกแยกออกอย่างเด็ดขาดจากแผนกอื่นๆ (นักวิเคราะห์ มาร์เกตติ้ง อันเดอร์ไรเตอร์ หรือที่ปรึกษาการเงิน) โดยการสร้าง “กำแพงเมืองจีน” (China Wall) ซึ่งถูกตรวจสอบเข้มงวด ตามกฎสากลที่เรียกกันว่า กฎของโวล์กเกอร์ (Volker’s Rules- ตามชื่อนายพอล โวล์กเกอร์ อดีตผู้ว่าเฟดฯยุคโรนัลด์ เรแกน) เป้าหมายสำคัญอยู่ที่การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนนั่นเอง กติกาเช่นว่านั้น ว่าไปแล้ว มีคนทั้งที่เป็นนักลงทุนและไม่ใช่เชื่อน้อยมาก เพราะรู้ดีถึงก้นบึ้งของวัฒนธรรมองค์กรแบบ”ไทยๆ”ที่แสนจะคุ้นเคยกันดีสำหรับการทลายกำแพงเมืองจีนให้เปื่อยยุ่ย ที่สำคัญ พนักงานของโบรกเกอร์ไทยที่ทำพร็อพเทรด ก็มีนิสัยหรือสันดอนจนสังเกตชัดว่า ถนัดซื้อขายระยะสั้น เข้า-ออกเร็ว รวมทั้งเล่นเก็งกำไรสองขาทั้งตลาดหุ้นและอนุพันธ์ สามารถโยนพอร์ตไปมาได้ทั้งซื้อและขาย ทำให้ภาพการลงทุน หรือทิศทางตลาดผันผวน ยังผลให้รายย่อยที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์ประเมินการลงทุนได้ยากขึ้น อิทธิพลที่กำลังเพิ่มมากขึ้นของพร็อพเทรด ในยามที่ต่างชิตถอยออกจากตลาดหุ้นไทยนั้น น่าจะทำให้ข้อถกเถียงและคำถามถึงบทบาทที่พอเหมาะพอควรของพอร์ตโบรกเกอร์ หรือพร็อพเทรดกันมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลาดไม่ควรถูกครอบงำโดยคนกลุ่มน้อยที่ช่ำชองการปล้นคนส่วนใหญ่อย่างชอบธรรม https://th-th.facebook.com/permalink.php?story_fbid=10201498648775344&id=1450051196
โดย
prichar s.
จันทร์ ส.ค. 19, 2013 2:58 pm
0
6
178 โพสต์
of 4
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
prichar s.
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
การเมือง,การเงิน
ความถนัด:
ค้าขาย
ที่อยู่:
กรุงเทพฯตอนบน
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ มี.ค. 22, 2009 5:36 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.ค. 28, 2020 7:38 am
โพสต์ทั้งหมด:
1426 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.07% จากโพสทั้งหมด / 0.25 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว