หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
doo_meau
Joined: พฤหัสฯ. มิ.ย. 25, 2009 10:41 am
108
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - doo_meau
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
จำได้สิท่าน เรามาตั้งแกงค์ขุดหุ้นกันเถอะ พี่โชเบนำทีม!!!!
โดย
doo_meau
อังคาร ก.ย. 24, 2013 11:58 am
0
3
Re: เมื่อ นตท. เริ่ม คิดจะลงทุน และก่อนอายุ 30 จะมีเงิน1ล้าน
แอบซุ่มอ่านอยู่นาน เรารุ่นเดียวกันนะเตรียมทหาร47 ผมร.ต.ท.เอกราช ห่อหุ้ม น่าจะลงทุนมานานพอๆกัน อย่าลืมเข้าไปห้องทหารปวดหล่ะ
โดย
doo_meau
จันทร์ ก.ย. 23, 2013 6:58 pm
0
2
Re: 100 ล้านบาทแรกในชีวิต
เป็นกระทู้ที่เติมไฟได้มากเลยครับ ขอบคุณทุกๆคนที่มาแบ่งปันนะครับ
โดย
doo_meau
ศุกร์ ส.ค. 30, 2013 11:41 am
0
3
Re: สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
เผื่อนักลงทุนท่านใดต้องการไฟล์ excel ที่มีสูตรสำเร็จการจัดลำดับด้วยหลักการ magic formula เอง แต่ต้อง key ค่าPE ROA ROE เองนะครับ(ใช้ความเพียรเป็นหลักครับ) ฝาก e-mail ไว้ เดียวส่งไฟล์ให้ครับ :shock: ขอไฟล์ด้วยครับ
[email protected]
ขอบคุณมากครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ส.ค. 22, 2013 9:45 pm
0
0
Re: จอง “10ปี Thai Vi 60ปี ปูชนียาจารย์ วงการตลาดทุนไทย” 400
Doo_meau/ สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง / 1,500.95 บาท / kbank / 23-07-2556 / 13.34
โดย
doo_meau
อังคาร ก.ค. 23, 2013 1:36 pm
0
0
Re: ฟรี! ระบบข้อมูลงบการเงินย้อนหลัง อัตราส่วนงบการเงิน และข
รบกวนครับ
[email protected]
โดย
doo_meau
เสาร์ มี.ค. 23, 2013 3:31 pm
0
0
Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย
รบกวนขอด้วยครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
ศุกร์ ธ.ค. 28, 2012 11:50 am
0
0
Re: หลักสูตรอบรม การลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 เดือนตุลาคม
สนใจมากครับ
โดย
doo_meau
อังคาร ก.ย. 04, 2012 9:55 pm
0
0
Re: เปิดเรียนวิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงิน(Advanced) 25-26 ก
สนใจคอสหน้าครับ
[email protected]
(085-3218835)อยากไดภายในปี55นี้นะครับ ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
จันทร์ ก.พ. 06, 2012 11:50 am
0
0
Re: VI ไม่จำเป็นต้องดูกราฟเทคนิคใช่ไหมครับ
ส่วนตัวผมศึกษาทั้ง 2 แนวทางครับ แค่อยากแชร์กันเพื่อเกิดองค์ความรู้ที่เพิ่มขึ้นครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 3:42 pm
0
0
Re: VI ไม่จำเป็นต้องดูกราฟเทคนิคใช่ไหมครับ
http://inv4.asiaplus.co.th/cms/uploads/pdf_investor/thai/chap06.pdf จากการที่ผมแกะสมการดู กราฟเกิดจาก 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นสมการเชิงเส้น กับส่วนที่ผันผวน หรือก็คือ linear กับ non-linear เส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเกิดจากราคาปิดในอดีตโดยคำนวนมาตามสูตรแล้วมาคาดการณ์มาแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความน่าจะเป็น โดยได้มีการดัดแปลงมาใช้เส้นค่าเฉลี่ยสองเส้น โดยเส้นหนึ่งกำหนดจำนวนนวันให้ยาวกว่าและอีกเส้นสั้นกว่า เมื่อเกิดการตัดกันจึงเกิดสัญญานซื้อ-ขาย เพราะเส้นที่จำนวนวันสั้นกว่าตัดเส้นที่ยาวกว่า หมายความว่า ในวันใกล้ๆราคามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ต่างจากหลายวันก่อนหน้า โดยเป็นเพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น เพราะเป็นข้อมูลในอดีต อินดี้หลายตัวมากเกิดจาก ema นั่นเอง เช่น macd>>> macd ที่ตัดขึ้นมาเหนือ 0 ก็คือการที่ ema ที่สั้นกว่าตัด ema ที่ยาวกว่า เช่น ema5 ตัด ema10 แค่นั้นเอง ส่วนไอตัวภูเขาจะสูงหรือจะเตี้ย เกิดจาก ความถ่งกันหรือแคบออกของ ema ทั้งสองเส้น เท่านั้นเอง>>>ส่วน price oscillator ก็แค่ปรับเส้น ema ที่มากกว่า ให้เรียบแล้วเซตค่าให้เป็นแนว 0 แล้วเอา ema เส้นที่สั้นกว่ามารันเป็นเส้นที่ตัดขึ้นลง เหมือนการตัดกัน ของ ema สองเส้นแค่นั้นเอง>>>macd แม้บางครั้งราคาจะสูงขึ้นแต่ระยะระหว่างema ทั้งสองกลับแคบลงส่งผลให้macdมีแนวโน้มลดลงแบบนี้เราเรียกว่า divergence หรือ ราคากับเครื่องชี้วัดสวนทางกัน macd จึงสามารถให้สัญญานเตือนของการเปลี่ยนทิศทางได้>>> โอ้ว...sto อีกตัวสูตรมันไม่มีอะไรเลย เลขมัธยมต้นเลย %K = [ ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)] / [ ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)]หรือสรุปคือ ผลต่างของราคาปิดวันนี้ว่าเป็นกี่%ของผลต่างของเปิดสูงสุดกับปิดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง ฉนั้นถ้าปิดที่ highเดิมก็คือ 100% ถ้าราคาใกล้กับ low เดิมก็%ก็จะน้อย เค้าจึงบอกว่าถ้าโซน 80-100คือโซนขาย โซน0-20คือโซนซื้อ.......แค่นี้จริงๆ.....ส่วน%dก็คือค่าเฉลี่ยของ %k ถ้า %k จะตัด %d ก็คือเปลี่ยนแปลงจากค่าเฉลี่ยจึงเป็นจุดซื้อกับขาย....แค่นั้นเอง...ปกติแล้ว ราคา จะแปรผันตรงกับ sto ในกรณีที่ไม่สอดคล้อง(สัญญาณเตือน)หรือ divergence แบ่งเป็นแบบ ซื้อ ขาย กลับตัว ผมจึงบอกว่าเทคนิคยืนอยู่บนพื้นฐานของความน่าจะเป็น จึงต้องมีระบบ mm มาช่วย ถ้ามีข้อมูลของฟ้าที่เหนือฟ้ายังไง ผมรับฟังและพร้อมขอศึกษาครับ เทคนิค-ลูกอิสาน
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 3:37 pm
0
0
Re: VI ไม่จำเป็นต้องดูกราฟเทคนิคใช่ไหมครับ
เอาเป็นว่าผมไม่ได้เป็นคนที่น้ำเต็มแก้วต้องการศึกษาเพิ่มอยู่เหมือนกัน ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่าเหนือฟ้าที่ว่าเค้าใช้กราฟโดยไม่มีความน่าจะเป็นมาเกี่ยวข้องยังไงผมก็จะเอาข้อมูลมาลงเพื่อศึกษาด้วยเช่นกันนะครับ http://www.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.youtube.com%2Fwatch%3Fv%3Dp682PQhIcZE%26feature%3Dplayer_embedded&h=qAQA4kBZR
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 2:42 pm
0
0
Re: VI ไม่จำเป็นต้องดูกราฟเทคนิคใช่ไหมครับ
ไม่มีหรอกครับเทพการฟที่คุณว่าจะต้องถูก 100% เสมอ เพราะเทคนิคการดูกราฟและอินดี้ต่างๆใช้สมการของความน่าจะเป็นมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ถ้าคุณบอกว่ามันถูกต้อง 100% แสดงว่าคุณยังดูกราฟไม่เป็น เค้าถึงใช้ระบบ mm มาทำให้เมื่อ"โอกาสที่กราฟถูกต้องเกิดขึ้น"เราจะได้กำไร แม้อาจผิดบ่อยกว่าก็ตาม เพราะกราฟมันคือความน่าจะเป็น แล้วถามว่า vi ต้องดูกราฟไหม ถ้าเป็น vi แท้ๆและมีความรู้จริงๆไม่จำเป็นเลยที่จะต้องดู เพราะตัวแปล time มันเป็นสิ่งที่เรากำหนดเองไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ตลาดถึงจะให้ราคานั้นแก่เรา แต่ถามว่าถ้าดูกราฟเป็นดีไหม ดี จะได้ดูว่าเค้ากำลังทำอะไรกัน "รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย".......แต่ต้องรู้ให้จริงทั้งสองฝั่งนะ
โดย
doo_meau
พุธ ก.ค. 20, 2011 2:27 pm
0
0
Re: ROE ต่างจาก ROA อย่างไรครับ
ชัดเจนมากครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2011 1:56 pm
0
0
Re: ธุรกิจที่แข่งขันกันผลิต/ขายสูง สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่าๆ...
ชอบกระทู้นี้มากครับ ผมเป็นคนนึงที่เป็นเจ้าของกิจการค้าส่งเสื้อผ้าตั้งแต่การผลิต-ยันขาย โดยตัวผมเองนั้นยังเปิดกิจการมาได้ไม่ถึงปีก้พบปัญหาการแข่งขันกันที่สูงมาก โดยบางพวกก็ทำเหมือนที่กล่าวกันไว้คือ แข่งกันลดราคา แข่งกันผลิต แข่งกันขาย สุดท้ายก็จะมีสินค้าส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่จนเป็น stock ก็กลายเป็นเหนื่อยเปล่า แต่บางพวกก็เน้นการ add value ลงไปในตัวสินค้าทุกชิ้นเพื่อส่งมอบไปให้ลูกค้า พวกนี้จะผลิตน้อยกว่า แต่ไม่ค่อยมีคนมาแข่งนั้น ทำให้ทำมาเท่าไหร่ก็หมด แต่บางพวกก็แข่งกันผลิตและลดราคา แต่ที่เค้าได้ตามมาคือความภักดีของลูกค้า และกำลังการผลิตที่ขยายใหญ่ขึ้นมาก จนสามารถเป็นผู้นำในสินค้าประเภทนั้นๆไปเลย ที่พูดมาทั้งหมดก็เป็นการคิดของผมเองเพราะในตระกูลผมทำธุรกิจประเภทนี้เกือบทั้งนั้น โดยตัวผมเองเพิ่งจะมีโอกาสเปิดกิจการเพียงไม่ถึงปี ผมจึงอยากขอแชร์ไอเดียหน่อยครับว่า ถ้าเราเป็นผู้เล่นที่เข้ามาใหม่ มีทางใดบ้างที่เราจะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ค้ารายเก่ามาได้ หรือทำยังไงที่ผมจะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าของตัวเองได้บ้างครับ ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.พ. 24, 2011 10:35 am
0
0
Re: เคล็ดลับความกล้า
ได้ข้อคิดดีมากเลยครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ ก.พ. 06, 2011 10:29 am
0
1
Re: ถึงเวลาพิสูจน์ mos แล้วครับว่ามีกันมากแค่ไหน
เห็นด้วยครับ......แต่ตอนนี้ผมมีเงินสดอีกครึ่งปอด...ช็อบครับช็อบ
โดย
doo_meau
จันทร์ ม.ค. 24, 2011 4:37 pm
0
0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
ROE (ต่อ) เมื่อบริษัทใดๆ ก็ตามทำธุรกิจมีกำไร บริษัทมีทางเลือกหลักอยู่ 4 ทางในการจัดสรรเงินดังกล่าว ได้แก่ 1. เก็บเงินไว้ลงทุนต่อ - ถ้าบริษัทมีแผนในการลงทุนและคิดว่าการเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อจะทำให้บริษัทมีกำไรในอนาคตที่ดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี 2. เก็บเงินไว้จ่ายคืนหนี้ - ถ้าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไป หรือภาระดอกเบี้ยสูงซึ่งทำให้บริษัทความเสี่ยงมาก บริษัทก็ควรเก็บเงินบางส่วนไว้จ่ายคืนหนี้สินเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและลดความเสี่ยง 3. จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล - ถ้าบริษัทไม่มีแผนในการใช้เงินลงทุน การจ่ายเงินสดคืนออกมาให้กับผู้ถือหุ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการที่บริษัทเก็บเงินสดไว้กับบริษัทมากๆ โดยเอาเงินไปฝากธนาคารจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ สู้จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล แล้วให้ผู้ถือหุ้นเอาเงินไปลงทุนต่อเองจะดีกว่า 4. ซื้อหุ้นคืน - กรณีที่บริษัทมีเงินสดเหลือและไม่มีแผนในการลงทุน พร้อมกับการที่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บริษัทนั้นอาจจะกำไรที่เหลือมาซื้อหุ้นของบริษัทคืน เพื่อทำให้จำนวนหุ้นน้อยลง กำไรต่อหุ้นก็จะดีขึ้น รวมถึงปันผลในอนาคตก็จะสูงขึ้นเพราะตัวหารน้อยลง ทางเลือกทั้ง 4 วิธีนั้นสามารถแสดงถึงวิธีการบริหารจัดการกับเงินของบริษัทได้เป็นอย่างดี และทางเลือกทั้ง 4 นั้นก็มีผลกระทบกับค่า ROE โดยแสดงเป็นตัวอย่างได้ดังนี้ บริษัท A - อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทเห็นว่าการเก็บผลกำไรไว้ลงทุนต่อจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทจึงไม่จ่ายเงินปันผลออกมาและเก็บเงินไปลงทุนทั้งหมด ถ้าเราดูจาก ROE จะเห็นว่าค่า E จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบริษัทกำไรจะไปทำให้ E เพิ่มขึ้น (เพราะบริษัทไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลออกมา) แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทลงทุนเพิ่มขึ้นรายได้ก็เพิ่มขึ้น กำไร (Return) ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ROE ของบริษัท A จะยังคงสูงต่อไป ตราบใดก็ตามที่บริษัท A สามารถนำไปลงทุนได้อย่างเหมาะสม (สูงกว่าค่า ROE เดิมของบริษัท) หุ้น A จะถือว่าเป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าลงทุนตัวหนึ่ง บริษัท B - อยู่ในธุรกิจที่ผ่านช่วงลงทุนครั้งใหญ่มาไม่นาน ในอดีตบริษัทต้องลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินค้าของบริษัทจนทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทต้องกู้หนี้ยืมสิ้นเป็นจำนวนมากทำให้อัตราส่วน D/E ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า บริษัทเห็นว่าการมีหนี้สินมากจะทำให้ความเสียงของบริษัทนั้นสูงเกินไป บริษัทจึงเก็บผลกำไรไว้คืนหนี้สิ้นเพื่อลด D/E ลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ จะเห็นว่าทางเลือกนี้ทำให้ค่า E เพิ่มขึ้น (เพราะกำไรแล้วไม่จ่ายออกมาเป็นปันผล) แต่อย่างไรก็ ทั่วไปเมื่อบริษัทมีการลงทุนครั้งใหญ่แนวโน้มรายได้ของบริษัทมักจะอยู่ในช่วงขาขึ้น (ถ้าบริษัทคาดการณ์ถูก) ทำให้กำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นค่า ROE ก็จะคงอยู่ในระดับสูง การคืนหนี้ก็จะทำให้บริษัทนั้นมีผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ลดลงได้ บริษัท B นั้นจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจากหุ้น cycle ในช่วงต้อนๆของวงจรขาขึ้นบริษัทจะลงทุนเป็นจำนวนมาก แล้วค่อยมาคืนหนี้ทีหลัง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหุ้น B ก็น่าลงทุนไม่น้อยเหมือนกัน บริษัท C - อยู่ในธุรกิจที่อิ่มตัวแล้ว แทบไม่มีการเติบโต รายได้และกำไรคงที่มาหลายปี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทไม่เห็นการเติบโตบริษัทจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมทำให้สามารถจ่ายปันผลได้ 100% ถึงแม้ว่ากำไรจะไม่เพิ่ม (R คงที่) แต่ค่า E ก็ไม่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน (ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็จ่ายปันผลหมด จึงไม่มีสะสมเป็นกำไร) ค่า ROE ก็จะคงที่ต่อไป ถ้า ROE ของบริษัทอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเช่น 15% ติดต่อกันนานๆ หุ้น C จะจัดได้ว่าเป็นหุ้นปันผลที่น่าลงทุนอีกตัวหนึ่ง บริษัท D - เหมือนกับบริษัท C ทุกประการ แต่เนื่องจากผู้บริหารเห็นว่าหุ้น D ในกระดานนั้นมีราคาถูกมาก แทนที่บริษัทจะจ่ายออกมาเป็นเงินปันผล บริษัทจึงซื้อหุ้นคืนจากตลาดแทน การซื้อหุ้นคืนนั้นทำให้ส่วนทุนนั้นลดลง (ค่า E ลดลง) ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืนทุกปีโดยใช้เงินเท่ากับกำไรที่ทำได้ในแต่ละปีค่า E จะคงที่ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ค่า R จะไม่เพิ่มขึ้น แต่ ROE ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเดิมได้ต่อไป ถ้าหุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นมีค่า ROE ที่สูงอยู่แล้ว และบริษัทสามารถใช้ทางเลือกทั้ง 4 ในการบริษัทเงินเพื่อทำให้ค่า ROE ไม่ลดต่ำลงจากเดิมได้ หุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นจะจัดได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนได้ทั้งหมด วันนี้ดูเรื่องจะค่อนข้างซับซ้อนหน่อยนะครับ ผมพยายามหาทางอธิบายให้ง่ายแล้วก็ยังทำได้เต็มที่แค่นี้ ถ้าให้พูดให้ฟังอาจจะเข้าใจง่ายกว่า พิมพ์เองมันช้า เอาว่าถ้าใครสงสัยส่วนไหนลองถามๆกันมาดูนะครับ ROE กับ D/E มีแถมให้อีกหน่อย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ROE กับ D/E ซึ่งคงหาอ่านจากหนังสือทั่วไปไม่ได้นะครับ เพราะผมคิดของผมเอง ... ปกติผมจะชอบลงทุนในหุ้นที่มีค่า ROE อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าค่า ROE ที่สูงสม่ำเสมอนั้นแสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้เงินได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีบางบริษัทที่สามารถทำให้ค่า ROE นั้นสูงได้โดยการกู้เงินมาลงทุนเยอะๆ การกู้เงินเยอะขึ้นจะทำให้ค่า D/E (dept/equity) สูงซึ่งค่า D/E นี้แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท เมื่อเข้ามาลงทุนหลายๆคนคงจะได้ยินที่เค้าบอกกันว่า "High Risk High Return" กันใช่ไหมครับ ในการวิเคราะห์บริษัทเองผมก็ให้ความสำคัญกับประโยคนี้เช่นกัน คือถ้าบริษัทมีค่า D/E ที่สูง บริษัทก็ควรจะมีค่า ROE ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าผมไปเจอบริษัทไหนที่มีแนวโน้มค่า D/E สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ROE นั้นไม่เพิ่มขึ้น (อาจจะคงที่หรือลดลง) ผมจะถือว่าเป็นหุ้นที่ควรระวัง เพราะค่า D/E ที่สูงแสดงว่า High Risk ถ้า ROE ไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่า Low Return หุ้นแบบนี้หลีกเลี่ยงไว้ดีกว่า แต่ในทางกลับกันถ้าเจอหุ้นที่ D/E ลดลงแต่ ROE เพิ่มขึ้น แบบนี้ต้องรีบตระครุบเอาไว้เพราะเราจะได้หุ้น Low Risk High Return มาประดับ Port ปล. ค่า ROE ในแต่ละปีอาจจะผันผวนได้พอสมควร เพราะฉะนั้นเราไม่ควรให้ค่า ROE รายปีมาหลอกเราได้ ควรจะตรวจสอบย้อนหลังไปหลายๆปีเพื่อให้เห็นแนวโน้มของมัน จะได้นำมาใช้ได้ถูกต้อง :lol: เอาของพี่yoyo มาแบ่งกันอ่านครับ ลองเสริชดูในนี้ก็ได้ครับ อ่านดูครับ :lol:
โดย
doo_meau
จันทร์ ต.ค. 04, 2010 4:31 pm
0
0
ทำไมบางบริษัทถึงได้กำไรแต่ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยลงทั้งที่ตัวเ
อย่างนี้ดีหรือไม่ดีหรอครับคุณพี่เจ้าของบริษัท
โดย
doo_meau
จันทร์ ก.ย. 20, 2010 7:41 pm
0
0
อยากรู้จัก พี่ๆเพื่อนๆvi ครับ^^
ชื่อ ต้นนะครับ อายุ 23 ปี 3เดือน 11 วัน เรียกผม น้องต้น ก็ได้ครับ ตอนนี้กำลังพึ่งเริ่มศึกษา vi ได้สักพัก (แต่ยังไม่มีตังลง 555 ) แต่ยังไงก็ ขอฝากเนื้อฝากตัว กับพี่ๆเพื่อนๆด้วยครับ อันตัวกระผมยัง ประสบการณ์น้อยอยู่บ้าง ยังไงก็ขอคำชี้แนะด้วยนะครับ mail
[email protected]
แอดได้ไม่กัดครับ^^ ปล. ถ้า ชวนไปกินกันที่ไหน ขอติดไปขอ ความรู้ด้วยนะครับ เผื่อมันจะซึดซับได้บ้าง^^ถ้าไม่รังเกียจผู้เยาว์ ผมก็มือใหม่เหมือนกันครับ(อิอิ) ประสบการณ์ยังน้อยมีอะไรสอบถามกันได้นะครับ
[email protected]
(เอกครับ)ไปกินไหนกัน ถ้าว่างไปได้ก็ไปครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ ก.ย. 19, 2010 9:54 pm
0
0
ใช้อะไรเป็นตัวตั้งสำหรับการคำนวน upside และ margin of saftey
ผมว่าน่าจะถูกแล้วนะครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 10:36 pm
0
0
เงินสดมากกว่าหนี้สินระยะยาว หรือมากกว่าหนี้สินหมุนเวียนก็พอ
อยู่ตรงไหนอ่ะพี่ หาไม่เจอ เอามาแปะไว้หน่อยสิ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 10:24 pm
0
0
สงสัยเรื่องมูลค่าหุ้นที่แท้จริง
อีกวิธีหนึ่งครับ ดีมากเลย ก็คือคิดว่าเราถือหุ้น 1% ของบริษัท ยอดขายเท่าไหร่ คิด1% กำไรขั้นต้นเท่าไหร่ คิด1% ปันผลเท่าไหร่ คิด1% ทุนเท่าไหร่ ก็เอาราคา คูณ กับจำนวนหุ้น(maket cap)แล้วคิด1% เราก็ลองปรับราคาเอาจนเราพอใจที่จะลงทุน สำหรับผมนั้นคือ fair value เพราะการลงทุนแบบ vi คือเราพอใจผลตอบแทนที่ราคานี้ตั้งแต่เราซื้อ ส่วนต่างราคาที่ตามมาทีหลังเป็น โบนัสครับ อีกอย่างนึง fair value ของแต่ละคนมันไม่เท่ากันนะครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 5:56 pm
0
0
สงสัยเรื่องมูลค่าหุ้นที่แท้จริง
3 โลกในมุมมองของ Value Investor 11 กันยายน 53 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลักการหรือหัวใจของ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็คือ การหามูลค่าที่ควรจะเป็นหรือมูลค่า พื้นฐาน ของหุ้น จากนั้นก็ดูว่าราคาหุ้นในตลาดเป็นเท่าไร ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่คำนวณได้ก็ให้ซื้อ ถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานก็ให้ขาย เพราะนักลงทุนแบบ VI เชื่อว่าในที่สุดราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าพื้นฐานเสมอ คำถามสำคัญมีอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ หนึ่ง มูลค่าพื้นฐานคืออะไร? มาจากไหน? อะไรเป็นตัวกำหนดมูลค่าพื้นฐานของหุ้น พูดง่าย ๆ คำนวณมูลค่าพื้นฐานอย่างไร? ข้อสอง เมื่อไรเล่าที่ราคาจะวิ่งเข้าหาพื้นฐาน? เป็นไปได้ไหมที่ราคาหุ้นอาจจะไม่สะท้อนพื้นฐานเป็นระยะเวลานานมาก เผลอ ๆ ตลอดไป กลายเป็นหุ้นที่อาจจะ ถูกตลอดกาล และถ้าเป็นอย่างนั้น VI จะได้อะไร? คำตอบทั้งสองข้อนั้นเกี่ยวเนื่องกันนั่นคือ คำตอบของข้อแรกก็จะตอบคำถามของข้อสองได้ คำถามที่ว่ามูลค่าพื้นฐานคืออะไรนั้น ถ้าจะตอบก็คือ เป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากบริษัทตลอดไป และผลตอบแทนที่ว่านั้นก็คือ ปันผล ในอนาคตทั้งหมดของบริษัท ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายไม่เป็นวิชาการก็คือ เป็นราคาหุ้นที่เรายินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเพื่อเก็บกินปันผลไปตลอดชีวิต โดยที่เราจะไม่ขายหรือเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถขายได้ ดังนั้น เวลาที่ผมจะซื้อหุ้น ผมจะต้องคิดว่าราคาที่ผมจ่ายนั้น ผมยินดีหรือไม่ที่จะเก็บมันไว้ตลอดชีวิตเพื่อรับปันผล ถ้าคำตอบคือ ไม่เอา นั่นก็แปลว่าราคานั้นสูงเกินไป อาจจะเป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าปันผลจะลดลง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าอนาคตบริษัทอาจจะเจ๊งหรือธุรกิจตกต่ำลงมากและจ่ายปันผลน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งผมจะ ไม่มีทางออก แต่ถ้าคำตอบของผมก็คือ เอา นั่นก็แปลว่าผมมั่นใจในตัวบริษัทว่าจะยังดีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ปันผลในอนาคตนั้นมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ความเสี่ยงที่ธุรกิจจะตกต่ำลงมีน้อยมาก ดังนั้น ผมยินดีซื้อและถือหุ้นตัวนั้นตลอดชีวิต แน่นอน ในชีวิตจริง เราไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้นตลอดชีวิตเพื่อเก็บกินปันผล แต่เวลาพิจารณาซื้อหุ้นโดยอิงกับ มูลค่าพื้นฐาน ของหุ้น เราจะต้องคิดว่าเราจะต้องเก็บหุ้นไว้ตลอดชีวิตจริง ๆ ถ้าเราคิดว่าเราสามารถขายได้ทุกนาที หรือเราสามารถขายได้ถ้า สถานการณ์เปลี่ยน หรือแม้แต่เราจะขายเมื่อ บริษัทโตเต็มที่แล้ว ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า แบบนี้แสดงว่าเรายังไม่ได้ซื้อหุ้นโดยอิงกับมูลค่าพื้นฐานจริง ๆ เราอาจจะ เก็งกำไร โดยอาจจะอิงกับปัจจัยพื้นฐานบางส่วนเท่านั้น นอกจากเรื่องของปันผลในอนาคตแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการคำนวณหามูลค่าพื้นฐานของหุ้นก็คือ อัตราคิดลด ซึ่งก็คืออัตราผลตอบแทนที่เราต้องการในการลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้น อัตราผลตอบแทนนี้จะคล้าย ๆ กับอัตราดอกเบี้ยที่เราได้ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารหรือลงทุนซื้อพันธบัตรซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนเช่นปีละ 1% หรือ 3-4% ตามลำดับ แต่การลงทุนในหุ้นนั้นเราจะได้ปันผลที่มีอัตราไม่แน่นอนขึ้นกับผลกำไรของบริษัท ดังนั้นเราจึงต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าโดยเฉลี่ยเช่นอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 10% ปัจจัยสำคัญตัวสุดท้ายที่สำคัญมากก็คือ อัตราการเติบโตหรือการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลในอนาคต นี่คือสิ่งที่จะทำให้มูลค่าหุ้นสูงหรือต่ำอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถ้าปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นทุกปีหรือเกือบทุกปี ยิ่งนานปันผลก็ยิ่งเพิ่มขึ้น บางทีผ่านไป 15-20 ปี เงินปันผลแต่ละปีอาจจะเพิ่มขึ้นเท่ากับเงินค่าหุ้นที่เราจ่าย ถ้าเป็นแบบนี้มูลค่าของหุ้นก็จะมาก แต่ถ้าปันผลไม่โตเลย เคยได้เท่าไร ผ่านไป 5-10 ปีก็ยังได้ปันผลเท่าเดิม แบบนี้หุ้นก็จะมีมูลค่าน้อย ผมคงไม่อธิบายวิธีคำนวณหามูลค่าพื้นฐานตามวิชาการซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเกินไป แต่จะลองให้แนวคิดในการพิจารณาลงทุนซื้อหุ้นโดยใช้หลักการของ มูลค่าพื้นฐาน ดังที่ได้กล่าวมา โดยสมมุติว่าเราพบหุ้นตัวหนึ่งที่ทำธุรกิจโมเดิร์นเทรดหรือค้าปลีกสมัยใหม่ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีผลประกอบการที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ผลประกอบการไม่ยากนัก บริษัท ก. มีกำไรปีละ 0.40 บาทต่อหุ้น จ่ายปันผลปีละ 0.30 บาท ราคาหุ้นเท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น เราคาดว่ากิจการของบริษัทนี้จะเติบโตขึ้นประมาณปีละ 10% ไปได้เรื่อย ๆ โดยที่บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนเพราะฐานะทางการเงินดีมากไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงินเลย ถามว่ามองโดยพื้นฐานเราควรซื้อหุ้นบริษัทนี้หรือไม่ ก่อนอื่นลองคำนวณดูว่าในปีแรกที่เราลงทุนนั้น เราจ่ายเงินค่าหุ้น 10 บาทและได้ปันผล 0.30 บาทเท่ากับว่าเราได้ปันผลปีแรก 3% ดูแล้วก็อาจจะไม่น่าจูงใจอะไร เพราะเราลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งไม่มีความเสี่ยงเลยเรายังได้ดอกเบี้ยประมาณ 4% แต่เนื่องจากกำไรของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นได้ปีละ 10% ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้นปีละ 10% เช่นกัน ดังนั้น ปีที่สองปันผลน่าจะเป็น 3.3% และปีที่สามน่าจะเป็น 3.63% ปีที่สี่เท่ากับประมาณ 3.99 หรือ 4% ซึ่งเท่ากับพันธบัตรแล้ว หลังจากนั้นอัตราก็จะสูงกว่าไปเรื่อย ๆ พอถึงปีที่ 10 ปันผลก็เท่ากับ 8.56% และเมื่อถึงปีที่ 37 ซึ่งอาจจะเป็นปีที่เราเกษียณ ปันผลที่ได้ในแต่ละปีอาจจะเป็น 10 บาทเท่ากับราคาหุ้นในวันนี้และทำให้เราเกษียณอย่างมีความสุข เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตั้งแต่ปีที่ 4 ของการถือหุ้น เราก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารการเงินอื่น ๆ แล้ว ดังนั้น เราจึงคิดว่า ราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาท เป็นราคาหุ้นที่เหมาะสมกับพื้นฐานในแง่ของเราและเรายินดีที่จะซื้อมัน คำถามต่อมาก็คือ ถ้าราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาทซึ่งเราคิดว่าถูก แต่ถ้าถือแล้วมันไม่ขึ้นทั้งที่กำไรและปันผลของบริษัทก็ดีขึ้นตามที่คาดแต่ราคาหุ้นกลับไม่ขึ้นซักทีเป็นเวลาหลายปี แบบนี้เราควรจะขายทิ้งไหม? คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น จำไว้ว่าถ้าเรา ลงทุนตามพื้นฐาน และมั่นใจว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ถูกต้อง เราก็ถือมันไป ผลตอบแทนของเรานั้น เราต้องคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยนักลงทุนคนอื่นในการมาซื้อหุ้นต่อจากเราในราคาที่สูงขึ้น แต่มันมาจากปันผลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของบริษัท แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ในที่สุดแล้ว คนจะต้องเห็นว่าบริษัทดีและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ผมเองเคยถือหุ้นมา 3-4 ปีโดยที่ราคาไม่ไปไหน แต่พอมันวิ่ง มันก็ขึ้น ชดเชย ช่วงเวลาที่มันนิ่งในเวลาอันรวดเร็ว ประเด็นสำคัญก็คือ VI ต้อง รอเป็น ว่าที่จริง การที่หุ้นไม่ขึ้นเลยทั้ง ๆ ที่บริษัทดีขึ้นหรือจ่ายปันผลมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น กลับเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นเพิ่มและทำกำไรมากขึ้น
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 5:46 pm
0
0
เงินสดมากกว่าหนี้สินระยะยาว หรือมากกว่าหนี้สินหมุนเวียนก็พอ
มีเงินสดเยอะมากเกินไปก็ไม่ดีครับจะดึง roe มาให้ต่ำ แก้ไขโดยปันผลไปซะก็ได้ครับ แต่มีหนี้มากเกินไปก็ไม่ดีครับ ควรจะมีพอดี และเหมาะกับโมเดลธุรกิจ ผมแนะนำว่าดูงบอย่าไปดูตามสูตรมันไม่มีอะไรคงตัวครับควรดูโมเดลธุรกิจประกอบ อย่างธุรกิจบางประเภท หนี้ระยะยาวของเค้าสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการที่เค้าจะจ่ายเงินสดไป ก็มีนะครับ อีกอย่างดอกเบี้ยจ่ายเนี่ยหักภาษีได้ด้วยนะครับ ถ้าเราดูงบย้อนหลังแล้วเค้าบริหารหนี้ได้ดีก็จะสะท้อนใน roeครับ Roe = op.roa + [Spread* (d/e)] ประมาณนี้ครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 5:42 pm
0
0
ส่งแล้ว
ส่งเมลล์ไปแล้วนะครับ ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
พฤหัสฯ. ส.ค. 05, 2010 2:15 pm
0
0
มาลงชื่อครับ
[email protected]
085-321-8835 เอก pm ไปแล้วนะครับ 2 ที่ครับ ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
อังคาร ส.ค. 03, 2010 3:56 pm
0
0
ใครมีหุ้นที่มี mos ในดวงใจบ้างครับ แบบปลอดภัยไว้ก่อนนะ
สำหรับผมคิด mos เหมือนเวลาหุ้นแดง คือราคาตอนที่เราซื้อ ลดลงไปได้เท่าไหร่จากราคาเหมาะสมแล้วปลอดภัย ส่วนอัฟไซด์คิดเหมือนหุ้นเขียว คือขึ้นไปได้อีกเท่าไหร่จากราคาที่ซื้อ เป็นเหตุให้ถ้าหุ้นของคุณวันนี้ขึ้น 2% แล้วพรุ่งนี้ลง2%ราคาจะไม่เท่าเดิม
โดย
doo_meau
ศุกร์ ก.ค. 30, 2010 11:03 am
0
0
ขอความเห็นครับ
ลงทุนครับ ความคิดผมอาจไม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าเรามีวินัย บริหารความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นที่ยังมั่นคงในระยะ3-5ปีข้างหน้า โดยมีปันผลที่5-6%ก็น่าจะดีนะครับ ส่วนตัวผมเคยทำแบบนี้ และมีวินัยอยู่ตลอด ได้ผลตอบแทนมาเล็กน้อยและสบายใจ เงินที่ได้ก็มาเพิ่มขนาดของพอตให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องมีความรู้พอสมควรด้วยนะครับ ถ้าไม่มั่นใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อย่าทำครับ เพราะกฏข้อแรกคืออย่าขาดทุน แต่ใจความสำคัญคือต้องสบายใจครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ ก.ค. 11, 2010 8:54 pm
0
0
สรุปงานจิบเบียร์ ที่ดิเอ็ม 4/6/10มาแร้วครับ
ขอบคุณที่แบ่งปันนะครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2010 6:28 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
ได้รับแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
โดย
doo_meau
พุธ พ.ค. 26, 2010 9:17 pm
0
0
ff
ผมเรียนคอร์สที่ 1 จบไปแล้ว อาจารย์บอกว่าจะให้ไฟล์ที่สอน ซึ่งคุณgreen-orangeก็ส่งมาให้ผมแล้วแต่เป็นความผิดของผมเองที่เผลอลบไปโดยไม่ได้เซฟ โดยผมได้pmไปขอแล้ว และเมลล์ไปขอนานแล้วด้วยก็ไม่ได้การตอบรับใดๆ จึงขออนุญาติใช้บอดนี้ขอความกรุณาจากผู้ที่มีไฟล์ จะกรุณาส่งไฟล์มาให้ผมด้วยที่
[email protected]
ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับผู้กรุณา
โดย
doo_meau
พุธ พ.ค. 26, 2010 10:50 am
0
0
มือใหม่ จะหาหุ้น 10 เด้ง ได้จริง หรือ
ปล. ผมไม่มี cpf นะครับ
โดย
doo_meau
ศุกร์ พ.ค. 07, 2010 4:41 pm
0
0
มือใหม่ จะหาหุ้น 10 เด้ง ได้จริง หรือ
cpfเนี่ยลองดูราคาย้อนหลังสิครับ ประมาณ400%กว่าแล้วครับใน 1 ปี คำว่า 10 เด้งเนี่ยต้องดูราคาที่เราซื้อครับ ยกตัวอย่าง cpfเนี่ยแหล่ะครับ 1ปีที่แล้วราคาประมาณ 3 บาท จาก 3เป็น 18 (สมมุตินะครับ)เนี่ย ขึ้นมา 5 เด้ง ถ้าราคาขึ้นมาเป็น 21 บาท ก้เพิ่มมา 16.66%จาก 18 บาท แต่ถ้าเราคิดจาก 3 บาท คือ 100%หรือ 1เด้งนะครับ เพราะฉะนั้น หุ้น 10 เด้งมีแน่ครับ อย่างที่ บัฟเฟตบอก รอโอกาสมา แล้วตัดสินใจให้ถูกแค่ครั้งเด๋วก็พอ ไม่ต้องหาหุ้นตลอดเวลา เมื่อmr. maket อารมดีเค้าจะมาเสนอหุ้นถูกๆให้เราเอง แล้วมันจะใช้เวลาทบต้นด้วยตัวมันเอง
โดย
doo_meau
ศุกร์ พ.ค. 07, 2010 4:40 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
โอนเวลา14.20นะครับ
โดย
doo_meau
จันทร์ มี.ค. 01, 2010 3:34 pm
0
0
doo_meau
doo_meau โอนเงินไปแล้วนะครับ3000.00บ 2ที่นะครับ กานต์ชนก วงศ์ประเสริฐกุล
โดย
doo_meau
จันทร์ มี.ค. 01, 2010 3:31 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
ขอโทดนะครับผมพิมวันผิด3-4เมษานะครับ ยังสมัครใจตามเดิมนะครับ
โดย
doo_meau
เสาร์ ก.พ. 27, 2010 3:45 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
085-3218835 086-8971588 เบอผมเองครับยังไม่มีข้อมูลว่าให้โอนเงินไปที่ไหน ถ้ายังมีสิทธิ์สมัครเรียนขอให้เมลมาบอกผมด้วยครับ จะโอนเงินไปทันที จะเป็นแบบราคาเท่าไหร่ก็เรียนถ้าเป็นวันนี้ครับ ว่างพอดี ขอบคุณครับ
โดย
doo_meau
เสาร์ ก.พ. 27, 2010 3:38 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
4-5เมษายนใช่ไหมครับ ผมไปเรียนชัว100%ผมเคยมาโพสไว้ว่าถ้าย้ายมาเดือนเมษาจะไปเรียนครับ ผม doo_meau
[email protected]
กานต์ชนก วงศ์ประเสริฐ จะโอนเงินค่ามัดจำไปชื่อนี้นะครับ โอนแล้วจะมาโพสใหม่นะครับ
โดย
doo_meau
เสาร์ ก.พ. 27, 2010 3:26 pm
0
0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์นะครับ
โดย
doo_meau
อังคาร ก.พ. 02, 2010 8:03 pm
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
อยากเรียนด้วยครับแต่เป้นเดือนกุมภากับเมษาไม่ได้หรอครับ ไม่ว่างเดือนมีนาหน่ะครับ ขอคุณครับ
โดย
doo_meau
จันทร์ ก.พ. 01, 2010 1:27 pm
0
0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
มารอฟังด้วยครับบบบบบบบบบบบบบ
โดย
doo_meau
จันทร์ ม.ค. 18, 2010 8:52 pm
0
0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
ดันโดมีเล่มเดียวครับ แต่ครบเครื่อง
โดย
doo_meau
อาทิตย์ ม.ค. 17, 2010 9:15 pm
0
0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
ผมอ่านแล้วครับ ดันโด เป็นหนังสือที่ดีมากเลยครับ คือการลงทุนที่มีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุน หรืออาจจะไม่ขาดทุนแต่ได้น้อยหน่อย "ออกหัวผมได้เงินออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย" เป็นการลงทุนแบบvalueดีๆนี่เอง โดยเน้นที่timingและมูลค่าของสิ่งที่เราจะลงทุนให้มีmosมากที่สุดและมีupsideมากที่สุดเช่นกัน โดยใช้หลักความน่าจะเป็นของเคลลี่มาออกแบบการบริหารเงินลงทุนให้ได้ผลประดยชนืสูงสุด ประมาณนี้แหละครับแนะนำให้อ่านเองนะครับดีมากๆเลย
โดย
doo_meau
ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 9:56 pm
0
0
เงินเดือนน้อยๆ ก็มีเงินเป็นล้านกับเขาได้
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยครับเวลาตลาดตกต่ำผมจะกู้มาซื้อครับแฟนผมทำธนาคารกู้ได้80เท่าเงินเดือนดอกประมาน2% ส่วนผมเป็นตำรวจกู้ได้อีกหลายแสน และผมยังมีธุรกิจส่วนตัวที่เดือนสเตจเม้นไว้ตลอดอีกสามารถกู้ไปซื้อที่ดินของแม่ยายผมแฟนผมบอกว่าถ้าเราเดินสเตจเม้นไว้ที่เท่านี้สามารถกู้ได้3-4ล้านบาท พอตท์ผมมีแค่ประมาน1ล้านแต่เตรียมไว้หลายไม้ครับถ้าตลาดยังไม่ตกหนักจริงๆผมก็ไม่ใช่ไม้ตายครับ ผมว่าเราสรางทางเลือกให้กับตัวเองได้ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมได้ ทุกวันนี้ขับรถเก่าที่พ่อซื้อให้ ไม่กู้ ไม่ต้องผ่อน ปล.ไม่ได้จะมาอวดนะครับอยากแชร์วิธีสร้างทางรอดเวลาหุ้นตกหนักพอดีผมลงทุน100%เกือบตลอดเวลา
โดย
doo_meau
ศุกร์ ม.ค. 15, 2010 3:54 pm
0
0
เปิดสอนบัญชี
อยากเรียนด้วยครับ เปิดช่วยแจ้งด้วยนะครับ
โดย
doo_meau
อาทิตย์ พ.ย. 22, 2009 6:45 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
doo_meau
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. มิ.ย. 25, 2009 10:41 am
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. พ.ค. 06, 2021 5:30 pm
โพสต์ทั้งหมด:
108 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว