หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
จานอส คิส
นักลงทุนนอกคอก
Joined: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 2:40 pm
12
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - จานอส คิส
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส
สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี ขอบคุณสำหรับนาฬิกาครับ คืนนี้ผมต้องบินไปจีนแล้วครับ ผมคงไม่ตอบอักหลายวันครับ วันนีขอตอบยาวมากหน่อยครับ มาทักทายพี่กูรูครับ สวัสดีครับพี่ พี่กูรูเคยแนะนำเรื่อง "Six Characters" เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง Reflexivity โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า เราคือใคร แล้วแต่งหนังสื่อชื่อ Burden of Consciousness ไปให้ใครอ่าน ก้อ่านไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ กลายเป็น Alchemy of Finance ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องอยู่ดี จะว่าไป ตอน Keynes ออก The general theory ใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ ตอนไอสไตน์ออก Relativity ก็มีแค่ 2-3 คนที่เท่านั้นอ่านรู้เรื่อง ส่วนเรื่อง Alice in Wonderland "ผมเซ่อมากครับ!" กระผมจะรีบตอบแบบไม่ลังเลเลย ผมดีใจที่ไม่เคยอ่านครับ ผมเสียใจที่ไม่เรื่องคุยกับท่ารริว ผมอ่านงานวิจัยของท่านริวเรื่อง consensus แล้วเขียนบทความขึ้นมา กระผมขอติดมาฝากครับที่นี้ ให้นักลงทุนทุกท่านได้อ่านกันครับ กระผมขออนุญาตเรียก คนที่มี circle of competence หรือ คนที่เก่งและมีความถ่อมตัวว่าเป้น ท่านเซอร์ อันย่อมาจาก เซอร์เคิน ออฟ คอมปี้แต้น ในคำสอนยิวนั้น... เรื่อง ความถ่อมตัว เป้นเรื่องที่ขาดไมได้ แต่งอได้ครับ หมายถึงว่า คนยิวถูกสอนให้รู้จักงอเอวให้เป็น คือ เป้นใคร อาชีพไหน ยิ่งพ่อค้า ต้องเป็นคนถ่อมคัวให้เป้น เช่น ไม่ให้ใช้คำพูดเด็ดขาดเกินไป ไม่จำเป็นต้องพุดเก่ง แต่ให้เป้นคนพูดจารอบครอบ และไม่ว่าเก่งเพียงใด ทุกคนล้วนมีขอบเขตความสามารถของตน หากชอบพูดเหยียบหยามคนอื่น จะอยู่ในสังคมยาก คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่รู้จักโค้งคำนับคนอื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ และถุกเนรเทศในที่สุด ( ....นี่คนยิวพุดไว้หลายร้อยปีแล้ว) ไม่ว่าพ่อค้า ทหาร โหราจารย์ หมอ นักปราญช์ หรือ ศิลปิน ต้องรู้จักถ่อมตน จึงนับว่าเป็นคนเหนือคน เพราะ เหนือคนก็มีฟ้า เหนือฟ้ายังมีไม้โท 555555 มีนิทานยิวเรื่องหนึ่งบรรทุกไว้ การสนทนาระหว่าง ศิษย์กับอาจารย์ ศิษย์ --- ความรู้ดั่งก้อนหินจริงแท้ประการใดครับ? อาจารย์--- ความรู้อยู่ทุกหน ก้อนหินอยู่ทุกแห่ง เหมือนกันด้วยเหตุนี้ ศิษย์ -- ดั่งนี้แล้ว ....สวนที่ยืน ไฉนศิษย์จึงมิแลเห็นความรู้? อาจารย์ --- ท่านยืนเหยียบมัน มิเห็นดอก ศิษย์ --- มีแต่หินใต้เท้า มีความรู้ที่ใดเล่า อาจารย์ อาจารย์ -- ก้มลงไปเก็บก้อนหิน ความรู้จะปรากฏ ศิษย์ ---- ข้างงไปหมดแล้ว ? อาจารย์ --- อันว่า คนนั้น สามารถก้มหยิบเก็บความรู้ได้ทุกหนแห่ง แต่การหยิบต้องงอเอว และ ตรงนี้ที่ทำได้ยาก เจ้าเข้าใจหรือยังเล่า กระผมชอบเรื่องนี้จริงๆ ^ ^ ท่านแรบไบยังสอนไว้.. อัน ท่านเซอร์ ตัวจริงหลักๆ จัดแยกได้ 3 แบบ ท่านเซอร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด มาจากห้องทดลอง เป้นเซอร์นักวิจัย รองลงมา เป้นท่านเซอร์นักวิเคราะห์แยกแยะสิ่งต่างๆ สุดท้ายเป้นท่านเซอร์นักประกอบ เอาข้อมูลต่างๆ มาต่อเป็นจิกซอล ที่น่ากลัวมาก คือท่านเซอร์ปลอม คนกลุ่มนี้มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือทุกอย่าง แต่เวลาทำจริง ทำไมได้ เก่งที่ปากอย่างเดียว คนพวกนี้จะทำความเสียหายอย่างมาก ที่น่ากลัวที่สุด คือ ท่านเซอร์จริง แต่ไร้คุณธรรม ดูภายนอก เป็นคนดี มีน้ำใจ แต่แท้จริง คนพวกนี้เล่เหลี่ยมจัด คำนึ่งแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนคนอื่น เจอสองกลุ่มหลัง ท่านแรบไบสอนไว้ว่า.. อย่าเชื่อทุกอย่าง!! เป้นท่านเซอร์ก็คนสองมือสองขาเหมือนกัน เวลาเริ่มต้นคุย อย่านึกว่าเป็นท่านเซอร์ อย่าไปดูฐานะการเงิน หน้าที่การงาน หรือ ชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวกำหนดท่านเซอร์ได้เสมอไป ถึงเป้นท่านเซอร์จริง ก็เก่งบางอย่าง ไมได้เก่งทุกอย่าง ให้ทดสอบ ขอบเขตความเซอร์ ของเขา ด้วยการทำตัวเป็น ท่านเซ่อ คือ ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย นี่เป้นไม้ตาย ใช้คำถามหลากหลาย ไม้เข้าใจอะไรทั้งนั้น แสดงท่าทีว่าไม่มี่ทางจะเข้าใจอะไรได้ด้วย ไม้ตาย แบบนี้ หากเป้นท่านเซอร์ปลอม พวกเขาจะรู้สึกปวดหัวและรำคาญ เมื่อทนไมได้ พวกเขาจะด่าว่า ไปไกลๆ เลย 5555555 ในที่สุด เซอร์จริง หรือเซอร์ปลอม จะเผยตัวที่แท้จรีง และ ก็จะแพ้ ท่านเซ่อ ไปเอง ในโลกการค้า ท่านแรบไบสอนว่า...... การค้าขายกับคนที่ไม่พยายามเข้าใจอะไรเลย เป้นการค้าที่ยากที่สุด คนที่ฉลาดจึงแกล้งโง่ คนที่เป้นท่านเซอร์จึงแกล้งเป้นท่านเซ่อ กลยุทธ์นี้....เพื่อเป้นฝ่ายได้เปรียบ จะได้มีเวลาคิดรอบครอบมากขึ้นและเก็บข้อมูลมากขึ้น ถึงรู้แสร้งเป้นไม่รู้ แข่ง ความรู้ แข่งได้ แต่แข่ง ความไม่รู้ จัดว่าเป็นบุญวาสนา เพราะมันทำยาก มันต้องงอเอว ให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป้น ลา ตัวหนึ่ง มันทำได้ยาก 55555555555555 เรื่องนี้กระผมเคยไปเจรจาซื้อของที่ซั่งไห่... ไปซื้อของ เจ้าของบริษัทมาเอง พาไปตีกอล์ฟ กินข้าว เที่ยวกลางคืน แด๊กเหล้า เวลา 90 % นี่ชวนคุยแต่เรื่องอิเหนาะเคาะเคะ ไม่เกี่ยวกับการค้า เลย อีก 10% ถึงจะมาคุยเรื่องงาน แล้วมาคุยวันสุดท้าย มันตีวงเขตเซอร์ รอบตัวมันเสร็จสรรพ จำกัดอำนาจตัวเองเต็มที่ คุยเรื่องราคาทีไร บอกว่า.... ราคา X -10 นี้ ต้องถามหุ้นส่วนอีกคนก่อน แต่ถ้าเป้นราคา X อยู๋ในขอบเขตที่ผมมีอำนาจตัดสินใจได้ ผมตัดสินใจได้เลยทันที เล่นบทเป้น ท่านเซอร์ อย่างนี้ เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของกระผมนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา กระผมต้องเป้นฝ่ายแก้ไข้ การส่งคนไปต่อรองการค้าอย่างนี้ เถ้าแก่เขาไม่มาเอง ถึงมาเองก็คงบอกว่า ราคานี้ ต้องไปถามเมียก่อน ถ้าส่งคนมา เขาก็ให้อำนาจมาในวงจำกัด อย่างนี้ก็ได้เปรียบตั้งแต่ยังไม่ได้คุย เวลาไปซื้อของ เอามั่ง........ ไม่รู้ว่าปัญหาเฮียคืออะไร แต่กระผมซื้อได้ในราคาเท่านี้ แพงกว่านี้อยู่เหนือขอบเขคความสามารถกระผม ในโลกการลงทุน... Circle of competence เป้นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด การมีเขตเซอร์ หมายถึง การทีท่านมีการกำหนด เป้าหมาย ที่ชัดเจน และยัง มีการกำหนดแผนว่าจะทำให้เป็นรุปธรรมเมื่อใดและอย่างไรอีกด้วย จะว่าไป ใครเคยได้ยิน ที่แรบไบบัฟแฟตพูดไว้เกียวกับเรื่อง circle ในหนังสือหลายเล่ม ที่ว่า ขอบเล็กขอบใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าขอบเราอยู่ตรงไหน นึกถึงพิซซ่า 555555 ประโยคนี้ กระผมได้ยินจากปากแรบไบบัฟเฟตเลย จากแผ่น DVD ที่พี่ WEB ส่งมาให้ ตอนไปพูดที่ U oF Tennesse อีกนัยหนึ่ง แรบไบบัฟเฟตสอนให้เราตะหนักว่า ขอบเขตเซอร์ ของเราอยู่ตรงไหน และรู้ว่า เป้าหมาย ที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร ถ้าใครนั่งเทรดหุ้นทุกวัน อย่างนี้ เทรดกับหุ้นไม่พอ ยังต้องเก่งเป็น ท่านเซอร์ ที่เทรดกับอารมณ์ ดีใจ เสียใจ หัวเราะ ร้องไห้ ผัดเปลี่ยนแถบทุกวัน ใครเทรดหุ้นทุกวันแล้วประสบความสำเร็จ จะต้องเป็นท่านเซอร์ที่ควบคลุมอารมณ์เก่ง มีความนิ่ง สงบ มั่นคง สุขุม และ มีสุข อีกด้วย ที่แน่ๆ เขาต้องรู้ว่า เขตเซอร์ของเขาอยู่ตรงไหน รู้ตลอดเวลาว่าเป้าหมายของตนเองคืออะไร และที่สำคัญที่สุด เขาจะต้องจารึก ขอบเขตเซอร์ ไว้ในใจตลอดเวลาเสมออีกด้วย...... ---------------------------- เมื่อไปงานเหล่าจอมยุทธ์ไทวิ ประโยคที่กล่าวถึงมากที่สุดในงาน คือ ประโยคเด็ดว่า ตัวนี้ไม่ได้ตามเลย!!! แปลได้อีกนัยหนึ่ง เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของคนถามนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา อย่างนี้ ก็ให้รู้ว่า ท่านเจอ ท่านเซอร์ เข้าให้แล้ว ---------------------------------- สำหรับท่านที่สนใจในเชิงทฤษฎีในเรื่อง reflexivity ผมติดบทความมาฝากครับ บทความนี้สุดยอดครับ ผมเขียนเอง ยังอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านมันรอบที่ 40 แล้ว ผมยังไม่เข้าใจดีเลย ตอนที่เขียนเรื่องนี้ นอนอยู๋ครับ คิอ ฝันเป็นเรื่องอย่างนี้ พอลุกขึ้น ขึ้นมาเขียน ตอนนั้น ตี 3 ผมมาเขียนรวดเดียวจบตอน 8 โมงเช้า ลองอ่านดูรับ อ่านแล้ว เข้าใจก็มาสอนผมด้วยครับ 5555555 http://www.brantleysmithiii.com/images/George%20Soros2.jpg ตอน....RV Equilibrium " Stock market bubbles don't grow out of thin air. They have a solid basis in reality, but reality as distorted by a misconception." George Soros สวัสดีครับ... http://i147.photobucket.com/albums/r287/soi100236/funny-sms-brain-1.jpg ผมนั่งอ่านงานเขียนที่ผ่านมา ๆ อ่านแล้วหัวเราะไป ผมเขียนให้กระรอกอ่านหรือนี่ คือ ผมไม่มีทักษะในการอธิบายทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ แต่คนไม่รู้เรื่องดันไปอ่านหนังสือที่ไม่รู้เรื่องอย่าง Alchemy และ General Theory รู้เรื่อง แปลกดีครับ นึกแล้วยังขำตัวเอง เรื่องนี้ผมไปถามแฟน แฟนบอกว่า ถ้าเธอพูดรู้เรื่อง ก็ผิดปกติแล้ว อย่างนี้ละปกติดี อ้าว..เป็นอย่างนั้นไปครับ ผมต้องขอโทษท่านผู้อ่านด้วย ถ้าผมทำให้ Reflexivity (RV) กลายเป้นไสยศาสตร์ที่นักลงทุนไม่มีวันเข้าใจ คือไม่สามารถสัมผัสกับชีวิตการลงทุนได้ หรือแปลได้ว่า เรื่องนี้ไร้สาระ แต่เพราะความไร้สาระ เลยมีสาระอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึง ความว่างเปล่าที่เกี่ยวโยงถึง Zen โดยเฉพาะ "เพลงทะเลใจ" ที่เปิดระหว่างขับรถลงใต้ จน CD พัง ทำให้ผมเข้าใจ Zen เกี่ยวโยงกับ Reflexivity อยู่มากทีเดียว หรือ เรื่องความไร้สาระของเทพซิซิฟัสที่พี่รุ้งพลบพูดไว้ ยิ่งใหญ่มากครับเรื่องนี้ ไม่อ่านไม่ได้เลย ระหว่างที่ผมขับรถไปเอื่อยๆ รอบๆ เกาะภูเก็ตนั้น ผมคิดถึงเรื่องหนึ่งครับ คิดว่าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของนักเขียน ไม่ใช่เขียนในเรื่องที่คนอื่นเขียนได้ดีกว่าเราเล้กน้อย หรือ ไปเขียนเรื่องที่เราเขียนได้ดีกว่าคนอื่นมากๆ ผมคิดว่าเรามีหน้าที่เขียนเรื่องที่คนอื่นไม่คิดจะทำต่างหาก เอาละครับ ผมจะลุกมาเขียนใหม่ ตั้งใจว่าเรื่องนี้เขียนเพื่อให้เพื่อนที่สนใจ Reflexivity ได้อ่านกันโดยเฉพาะ นอกเหนือจากนักลงทุนกลุ่มนี้ ผมไม่หวังว่าท่านจะเข้าใจ และผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย แต่เจตนาคือไม่ใช่ไขปริศนาทฤษฎีที่ยากนี้ให้เป็นรูปธรรม นั่นเป้นเรื่องรองไปเลยครับ ประเด็นคือ ตั้งใจให้เป็นบทความที่เป็นนามธรรมล้วนๆ ที่ทำให้เกิดการคิดต่อยอด ไม่ใช่เสนอทางออกทางความคิดแต่อย่างใดครับ เริ่มเลยครับ... ประโยคที่ 1 : หุ้นตัวใด เมื่อปริมาณ การคาดการณ์ เท่ากับ ความจริง ราคา ณ เวลานั้น จะได้สมดุลยภาพ สมการที่ 1 1. ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป + ความจริงที่ถูกอมไว้ 60 40 60 40 สมุมติว่า...บางสิ่งๆ ดี ๆ เกิดขึ้น.. สมการที่ 2.. 2. ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป + ความจริงที่ถูกอมไว้ -- 20 --- 40 สมการที่ 3 .... ทันใดนั้น....ตราชั่ง Reflexivity ก็ปรับตัว กลายเป็น.... สมการที่ 3... ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป + ความจริงที่ถูกออมไว้ 80 20 60 40 แปลว่า.. :rabbit29: แปลว่า... สถานการณ์ใหม่นี้ ความจริงที่ถูกออมไว้ > ต้นทุนการคาดการณ์ ทำให้เข้าสู่การปรับตัวใหม่ ต้นทุนการบริโภคหุ้น > รายได้ส่วนที่จ่ายไป ขยายความไปได้ว่า ต้นทุนการบริโภคหุ้นล้นตลาด คือ คนซื้อมากกว่าคนคนขาย นักลงทุนพากันแย่งซื้อหรือหุ้นขายได้ราคาสูงขึ้น ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเป้นอย่างนี้ทั่วทั้งตลาดของคนที่สนใจบริโภคหุ้นตัวนั้น เกิดภาวะ boom สถานการณ์ Bust จะเกิดในกรณีที่ ต้นทุนการคาดการณ์ > ความจริงที่ถูกออมไว้ แปลว่า สถานการณ์ใหม่นี้ทำให้เข้าสู่การปรับตัวใหม่ ต้นทุนการบริโภคหุ้น < รายได้ส่วนที่จ่ายไป ขยายความไปได้ว่า ต้นทุนการบริโภคหุ้นจะขาดตลาด คือ คนขายกลับมากกว่าคนซื้อ นักลงทุนจะพากันแย่งขายหุ้น ราคาจะต่ำลง ทั่วทั้งตลาดของคนที่สนใจบริโภคหุ้นตัวนั้น จะเกิดภาวะ bust --------------------------------- เกร้ดความรู้: http://questgarden.com/51/63/4/070520155443/images/karl-marx-MED.jpg Karl marx คิดเรื่อง GDP ก่อน Keynes อันที่จริง Keynes เอาเรื่องความคิดเรื่อง GDP มาจาก Marx Marx ว่าไว้ GDP ประกอบด้วย สิ่งที่คนกินได้ กับ สิ่งที่คนกินไม่ได้ (ปัจจุบัน) (อนาคต) ต้นทุนการบริโภคหุ้น + สิ่งที่คนกินได้ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป + สิ่งที่คนกินไม่ได้ ------------------------------------------------- Reflexive Demand ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์ = Reflexive Demand หมายถึง ความพร้อมสองอย่าง คือ มีเงินเป้นต้นทุนที่จะบริโภค และ สองมีความเต็มใจเพราะมีคาดการณ์อย่างเชื่อมั่น ผลที่ตามมา การซื้อหุ้น ถ้าคาดการณ์อย่างเชื่อมั่นเฉยๆ แต่ไม่มีเงิน จะถือว่าไม่เป้น ต้นทุนการคาดการณ์ เรียกว่า มีแต่ ตัณหาครับ อย่างนี้เราใส่เป้นตัวเลขไม่ได้ มันต้องประกอบเป้นทั้งรุปธรรมที่เป็นตัวเงิน และเป็นนามธรรมที่เป็นความเชื่อด้วย รูปธรรมที่เป้นตัวเงินต้นทุนนั้น ขึ้นอยู่กับ รายได้ การคาดการณ์รายได้ตัวเอง อนาคตรายได้ เป้นอย่างไร วันนี้มีเงินแค่ไหน การคาดการณ์ซ้อนในต้นทุนการบริโภคด้วยเช่นกัน ความเชื่อ การคาดการณ์ นั้นเป็นนามธรรมเป้นนิสัย ประหยัด กล้าได้กล้าเสีย เหย่อยิ่ง อวดดี ขีโม้ เหล่านี้ล้วนเป้นปัจจัยสำคัญ ----------------- กรอบความคิด http://assets.nydailynews.com/img/2008/05/29/amd_soros.jpg นิสัยโซรอส.... ชอบมองหาจุดอ่อน ข้อบกพร่องของตนเอง มีนิสัยชอบ invert ชอบค้นหาปฎิกริยาตลาดว่าต่างจากที่เขาคิดหรือไม่ ถ้าจะซื้อ เขาจะขายก่อน เพื่อดูว่ามีคนรับไหม ถ้าผิด เขาจะขายหมด แล้วถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาตั้งสมมุติฐานผิดเพราะอะไร มีปัจจัยอะไรที่ทำให้คิดอย่างนั้น Invert , always Invert --------------------------- Reflexive Gap (reality/expectation ratio) การลงทุนทั้งปวง เมือถึงที่สุดของการวิเคราะห์ ต่างล้วนซื้อเพื่อรอขายในราคาที่สูงกว่า คนซื้อได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีผู้บริโภคหุ้นมารับช่วงต่อได้แน่ แต่เมื่อนับเวลาที่คนซื้อคาดการณ์ จนถึง เวลาที่ความจริงที่ถูกอมเปิดเผยออกมา จะมีช่วงเวลาที่คั่นอยู่ ช่วงนี้ การคาดการณ์ใหม่จะออกมาซ้อนทับการคาดการณ์เก่าๆ กลไกการซื้อหุ้นจึงเป้นภาพเชิงซ้อนที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ ของการคาดการต่างๆ ที่ผ่านมา การคาดการณ์ที่ทับซ้อนนี้ทำให้เกิด fluctuations หรือการผันผวนของราคาหุ้น ทำให้ตลาดเกิด inefficient ทำให้ราคาของหุ้นไมได้เกิดดุลยภาพทุกนาที เหมือนนักมวยที่ไม่ได้ชกรักษารูปมวยตลอดทุกยก มีรุกบ้าง รับบ้าง สลับกันไปเป็นครั้งคราว ช่วงเวลาที่คั่นอยู่ไม่เคยนิ่ง ต้นทุนการคาดการณ์ = ความจริงที่ถูกออมไว้ 20 40 ช่วงที่เวลาที่คั่นระหว่างการคาดการณ์กับความจริงจะไม่ห่างกัน เท่ากับ 40-20 = 20 ในตอนแรก ช่วงเวลาที่คั่นอยู่คือความแตกต่างของการคาดการณ์กับความจริง ช่องนี้เป้นที่ที่ inefficient เกิดขึ้น และช่องนี้ไม่เคยนิ่ง มันขมิบตลอด มันจะเพิ่มขึ้นลดลงอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าจังหวะไหน ช่วงเวลาที่คั่นยิ่งถ่างออกมาก ๆ นั้นเป็นเวลาที่โซรอสเข้ามาทำเงิน ถ่างน้อยๆ เขาว่าไม่คุ้มครับ ถ้า ต้นทุนการคาดการณ์ > ความจริงที่ถูกออมไว้ ถ้าตัวเลขมันถ่างจำนวนมากเกินไป การคาดการณ์ของตลาดมันผิดเพี้ยน มันบิดเบือน โซรอสจะ short แต่ถ้า ต้นทุนการคาดการณ์ < ความจริงที่ถูกออมไว้ เขาจะ long เพราะเขารู้ว่า การคาดการณ์ของคนไม่สมบูรณ์ เค๊กที่บิดเบือน http://i147.photobucket.com/albums/r287/soi100236/cake-111111.jpg มานะ กับธิดา สองคน จะตัดฉลองเค๊กวันเกิดของมานะ ทั้งสองเข้ามาบ้าน มาเจอเค๊ก มานะบอกว่า " เอ้ย...ใครแอบกินกินไปชิ้นหนึ่ง" แต่ธิดาอยู่ตรงข้าม มองอีกมุม กลับพูดอีกอย่าง http://i147.photobucket.com/albums/r287/soi100236/cake2.jpg เห้นชัด ๆ ว่า "เหลือแค่ชินเดียวต่างหาก" ดูแปลก ๆนะครับ พี่น้องคู้นี้ ใครผิด ใครถูกครับ :rabbit29: คนแรกมองด้านหนึ่ง อีกคนมองกลับหัวอีกด้าน ถูกทั้งคู่ครับ สาเหตุเพราะภาพนี้ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เพราะการวาดทับซ้อนของภาพ เหมือนการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ทับซ้อนกันขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หุ้น ทำให้ตลาด ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเองนี่คือภาพที่เรียกว่า ภาพตรงข้าม หรือ คือ หลักในการคิดแบบ RV นั่นเอง ความไม่แน่นอน ความบิดเบื่อน คือ RV เพราะคนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ ไม่เชื่อลองถามว่า เราคือใคร แล้วลองไม่ผูกกับสิ่งรอบตัวดู มันทำไม่ได้ ถ้าไม่มีการคาดการณ์ จะใช้ RV ไม่ได้ ------------ กรอบความคิด http://www1.aucegypt.edu/academic/pva/theatre/archives/images/sixcharacters1103_1.jpg พี่รุ้งแนะนำเรื่อง Six Characters เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มากเช่นกันครับ โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง RV โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า เราคือใคร แล้วแต่งหนังสื่อชื่อ Burden of Consciousness ไปให้ใครอ่าน ก้อ่านไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ กลายเป็น Alchemy of Finance ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องอยู่ดี จะว่าไป ตอน Keynes ออก The general theory ใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ ตอนไอสไตน์ออก Relativity ก็มีแค่ 2-3 คนที่เท่านั้นอ่านรู้เรื่อง ---------------------- Visual Illusion http://i147.photobucket.com/albums/r287/soi100236/untitled6565656.jpg เส้นไหนยาวกว่ากัน? รุปนี้ตั้งใจให้เกิดการคาดการณ์ ถ้าไม่มีแล้ว มันบิดเบื่อนไม่ได้ ถ้ามีคนดู แล้วไม่ออกความคิด อย่างนี้ RV ก็เป็นอันว่า ใช้ไมได้ครับ แต่พอเอาไม่บรรทัดวัดดู มันเท่ากัน แต่ตาดูบอกว่าไม่เท่า เพราะสมองใหญ่ของเรารับรู้ได้ไม่ถูกต้องไปหมด ไมได้รับรู้ถุกต้องทุกนาที สมองใหญ่นี้มีทั้งซ้ายและขวา แต่สมองมีส่วนอื่นที่เป็นห้อง ๆแยกไปอีกมากมาย แต่ที่สำคัญอยู่ที่สมองใหญ่ ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็น สมองด้านขวาทำหน้าที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้ดี หุ้นที่บิดเบือน ตลาดที่บิดเบือน โลกที่บิดเบื่อน สมองที่บิดเบือน -----> reflexivity Propensity to reflex หุ้นซึ่งก็คือสินค้าอุปโภคจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าอัตราการคาดการณ์ที่เพิ่ม โดยเฉลี่ย เมื่อคนเชื่อมันในการคาดการณ์ตัวเองมากขึ้น มีแนวโน้มจะซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อมากเท่ากับการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เพราะเก็บไว้ส่วนหนึ่งไว้เป็นทางหนีทีไล่ เช่น ถ้าคาดการณ์เป็น 10 เวลาซื้อก็น้อยกว่า 10 คือซื้อแค่ 8 แค่ 7 เป็นต้น แต่เมื่อใด คนซื้อมีการคาดการณ์เท่ากับ 8 แต่ซื้อเท่ากับ 10 ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าการคาดการณ์ลดน้อยลง แต่ตัวเงินที่บริโภคหุ้นตัวนั้นดันลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของอัตราการคาดการณ์ ราคาจะตกอย่างรวดเร็ว กรอบความคิด : Sell on facts เป็นเรื่องของการคาดการณ์ Reflex ratio เมื่อมีการลงทุน จะผ่านมือคนซื้อไปเรื่อยๆ มือแล้วมื่อเล่า เมื่อการคาดการณ์ของคนหัวแถวกลายเป็นความจริงและผ่านความจริงไปให้คนที่สอง ความจริงของคนแรกกลายเป็นการคาดการณ์ของคนที่สอง ความจริงของคนที่สองกลายเป็นการคาดหวังของคนที่สาม เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ กำไรก็จะเกิดก่อขึ้นมาในตลาดเป้นระลอกกันไปต่อเนื่อง แต่ลุกคลื่นของการคาดการณ์ที่ไหลไปเรื่อยๆ นี้ มีที่สิ้นสุดเสมอ และหมดแรงไปที่สุด เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่า... การคาดการณ์ที่เท่ากับ 10 ไม่ได้แปลต้นทุนของการบริโภคเท่ากับ 10 ทั้งหมด มันถูกกันไว้เป้นเงินส่วนหนึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้ว ราคาของหุ้นจึงขึ้นอยู่กับแรงส่งของ propensity to reflex หรือแรงส่งของการรับรู้นั่นเอง ถ้ามันไม่แผ่วหายใจพะงาบ ๆ อย่าง คนแรกมี 10 คาดการณ์ 7 อัตราเป็น 70% แต่พอผ่านไปคนทีสองอัตรา reflex ratio ขยับเป้น 85% เท่ากับ 8.5 ต่อไปคนที่สามขยับขึ้นเป็น 9 คนที่สี่เพิ่มเป้น 9.5 เป็นต้น Reflex multiplier การคาดการณ์ทั้งหมด เริ่มแรกที่ 7 แล้วต่อเป้น 7 + 8.5 + 9 + 9.5 + ผลรวมมันมากว่า 7 ตั้งมาก ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร ขอเรียกว่าสิ่งนีว่า reflex multiplier เหมือนการซื้อทีละจำนวนมากในครั้งเดียว แล้วคนแห่ตาม แต่ แรงส่งมันต้องมาพร้อมการคาดการณ์ใหม่ ๆ ด้วย แต่บางทีการคาดการณ์ไม่มา เพราะว่าอัตราผลตอบแทนหรือ discount rate of Future เหลือน้อยลงไปทุกที Beauty Contest Beauty Contest คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ไม่ใช่หุ้นที่ตนเองคิดอย่างไร คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ช่องว่างทีคั่นอยู่ Beauty Contest การคาดการณ์ ( ช่องว่าง) ความจริง O /U\ || ช่องว่าง ให้คิดว่าคนหมู่มากจะคิดไปทางไหน ไม่มีใครมองหาหุ้นที่ดีที่สุด แต่มองหาหุ้นที่คาดการณ์ว่าคนหมู่มากจะเห็นว่าดีที่สุด กรอบความคิด : ทฤษฎีกระดานหก critical mess เฮ้....สุดท้ายแล้วครับ ผมขอเรียก RV ว่า Conspiracy Theory หรือ ทฤษฎีลับลมคนใน เพราะว่าสามารถอธิบายได้ทุกเรื่องจริงๆ กราบขอบคุณ อ.ทั้งสองท่าน อ. Keynes ไอสไตน์ของวิชาเศรษศาสตร์ และ อ. Soros ไอสไตน์ของวิชาการลงทุน ขอบพระคุณมากครับ ------------------------ สุดท้าย ไม่ท้ายสุด ติด reflexivity ในเชิงปฎิบัติ ติดตัวอย่างมาฝากครับ ย้อนไปต้นๆ ปี 52 เก็บเก่าเหล่าเย่มาอ่านดู มันเยอะครับ มีเป็นร้อยเคสเลย ติดมาฝากครับ Visual Illusion Case 1 --- CI group FACTS: CIG 001/2552 วันที่ 5 มกราคม 2552 เรื่อง รายงานผลการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดงสิทธิ (CIG-W1) ครั้ง ที่ 6 ของ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ได้กำหนดให้วันที่ 26 ธันวาคม 2551 เป็นวันใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 6 (CIG- W1) นั้น บริษัทฯ ขอรายงานผลการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 6 ดังนี้ 1. ผลการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ 1.1 จำนวนรายที่ใช้สิทธิ - ไม่มี- 1.2 จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ใช้สิทธิครั้งที่ 6 -ไม่มี- 1.3 จำนวนหุ้นสามัญที่จัดสรรเพื่อการใช้สิทธิครั้งนี้ -ไม่มี- 1.4 จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิคงเหลือ 81,450,553 หน่วย 1.5 จำนวนคงเหลือของหุ้นสามัญที่จัดสรรเพื่อรองรับ 98,407,574 หุ้น การใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ 2. จำนวนเงินที่ได้รับจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดง สิทธิ CIG-W1 ครั้งที่ 6 เป็นจำนวนเงินที่ได้รับสุทธิ -ไม่มี- จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ บริษัท ซี. ไอ. กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (นายอารีย์ พุ่มเสนาะ) ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ http://i147.photobucket.com/albums/r287/soi100236/funny-sms-brain-1.jpg สร้างสมมุติฐาน false expectation ? .ลงข่าว ..... 7.1.2552---กรุงเทพธุรกิจลงข่าว.. CIG group กำลังเจอปัญหา Hostile takeover ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก เคยมาขอซื้อ แต่ตกลงราไม่ได้ กระจาย 3 โบรกเก็บหุ้น มีงบ 200- 500 บาท ผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมตัวกันถือว่า 70% เป็นพันธมิตร ตกลงไม่ขาย ถ้าต่างชาติซื้อแล้ว จะทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้ 30% สร้าง false reality สมมุติฐาน ซื้อตั้งแต่ เปิด เพราะรู้แล้วว่า เจ้าของจะออกของ ข่าว ใน นสพ. ข่าวใน Set จึงมีไว้ให้จับสัญญาณ FLAW คลาดขาลง ตลาด underreact ข่าวนี้ overreact ถือว่าผิดปกติ Expectation : --- ปิดวันที่ 6 ราคา 1.56 เปิดมา 1.94 ช่วงเช้าปิดเซลลิ่ง ราคา 2.02 Invert expect ------- ทำให้ 1.94 flaw ต้องเปิด ต่ำ ไม่ใช่เปิดสูง ใช้ปรัชญา model อะไรอธิบาย? หลักการค้า.... เวลาซื้อของ ต้องซื้อราคาถุก อยากได้ของถุกต้องทุบราคาให้ต่ำลง การเปิดมา 1.94 ถือเป็น flaw -------------- http://www.optical-illusions.info/Illusions_images/Zollner_illusion.gif ปัญหาเดียวกับ หน้า 15 ---ท้าทายสองซีกขวา เส้นถูกทำให้ บิดเบือน ทำให้ดูไม่ ขนาน โดยการใช้ เส้นสั้น ๆตัด เส้นขนาน เส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่ง หัรไปทิศทางตรงกันข้าม รุปดูไม่ขนาน สมองถูกทำให้บิดเบือน สมองคนเราทำงานผิดพลาด! Invert expect +++++++ทำให้ขนาน ใช้ อะไรอธิบาย? ---- ไม่บรรทัด REFLEX FLAW REALITY ----------------- > FALSE EXPECTATION --------------- 12.38 CIG 002/2552 7 มกราคม 2552 เรื่อง ขอชี้แจงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่ปรากฏข่าวในหนังสือพิมพ์บางฉบับในวันที่ 7 มกราคม 2552 เกี่ยวกับ การที่มีผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่รายหนึ่งของโลกมีความประสงค์ที่จะ เข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรโดยการซื้อหุ้นบริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายละเอียดปรากฏในข่าว ตามหนังสือพิมพ์แล้ว นั้น บริษัทฯ ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับข่าวที่ปรากฏดังกล่าว จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายอารีย์ พุ่มเสนาะ) ประธานกรรมการบริหาร/ กรรมการ Reality ----------- expectation Divergence FLAW ข้อมูลที่ให้ข่าว มีข้อมูลละเอียดมาก เป้นไปได้น้อยมากที่ทางผู้บริหารจะไม่รู้ ข่าวมีลักษณะ เหมือนเขียนมาส่ง ไม่ได้มีการสัมภาษณ์ ไม่มีการใช้ ผู้บริหารบอกว่า ไม่มีที่มาของแห่งข่าว ไม่มีชื่อ แม้กระทั่ง คนให้ข่าว เย็นปิดราคา 2.02 วอลุ่ม 36 ล้านหุ้น หรือ 71.85 ล้าน บาท Volumn / free float 36 / 113 = 31% ปิด เซลลิ่ง สร้าง false expectation เขาทำไปทำไม? สร้าง false reality False expectation False facts เพื่อขายของให้ได้ราคาสูง วันที่ 8---เปิด 2.10 วิ่งไป 2.28 ปิด 2.10 วอลุ่ม 33 ล้านหุ้น หรือ 71.99 ล้านบาท วันที่ 9 เปิด 2.10 ปิด 1.89 วอลุ่ม 13 ล้าน มูลค่า 26 ล้าน วันที่ 10 ออกข่าว ว่า ต่างชาติ ถอยไปแล้ว ข่าวไม่เป็นจริง จบข่าว................ ----------------------- จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่บิดเบือนในตลาดหุ้นว่ามีผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง งานนี้ผมกำไรไปเยอะครับ ผมไม่สนใจว่า เขาจะตั้งใจทำให้บิดเบือน มันบิดเบือนตั้งแต่ออกข่าวแล้ว เราหาทางทำเงินกับสิ่งที่บิดเบือนนั้นก็พอครับ อย่าลืมหาทางหนีที่ไล่เผื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดครับ -------------- สุดยอดแห่งความคิดเรื่อง reflexivity ผมไปหาคัมภีร์วัชรสูตรมาอ่าน ผมไม่ชอบอ่านงานของหลวงพ่อท่านไหน ไม่ว่าท่านใดล้วนเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ทำไมเราม่อ่านงานคำสอนของพระพุทธเจ้าไปโดยตรงเลยดีกว่า ผมไม่อยากถูกบิดเบือน หาทางของตัวเองดีกว่าครับ ในคัมภีร์วัชรสูตร เป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติ มีน้อยคนจะรู้ว่า ยอดคนนั้นคือคนทีทำอะไรซ้ำซากได้โดยไม่รู้จักเบื่อและจะเห็น "สิ่งใหม่" ผุดขึ้นมาจากสิ่งซ้ำซากเสมอ เพราะเรื่องการลงทุนเป้นเรื่องที่จำเป็นที่เราต้องย้ำตัวเองไปจนตลอดชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าคนที่มีความคิดฝังหัวว่าเหตุการณ์ A คือ A จะอ่านไม่ได้เลย A ไม่ใช่ A เป้นไปได้จริงหรือครับ การเกิดของ A ประกอบไปด้วย B C D E F..... A ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังของมันเอง ถ้าเราตั้งคำถามไป "วิปัสสนา" ไปที่ A อย่างจริงจัง เราจะเห็นว่า B C D E F และสิ่งอื่นๆ ที่อยู๋ในนั้นด้วยครับ เมือเราเห็นว่า A ไม่ใช่เป้นแค่ A ก็เท่ากับว่าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเหตุการณ์ A เมื่อเราถึงระดับนี้ เราถึงบอกได้ว่า A เป้น A หรือ A ไม่ใช่ A แต่ก่อนถึงขั้นนี้ A ที่เราเห็นเป็นเพียงภาพหลวงตาของ A เท่านั้น ถ้านักลงทุนมองเห้น A ได้ลึกซึ้งจนเห้นว่า A ไม่ใช่ A จนยอมรับว่าทุกอย่างที่เห็นอาจไม่ใช่ A เสมอไป เมือนั้นการเห็น A ของท่านอาจมาถึงฝั่งของ reflexivity แล้ว ยินดีด้วยครับ ท่านมาถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเปลี่ยนทางโครงสร้างภายในจิตวิยญาณแล้ว สวัสดีครับ โชคดีครับ ^ ^
โดย
จานอส คิส
พฤหัสฯ. ส.ค. 27, 2009 9:20 am
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ณ.จันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4 (กระทู้สอง)
ขอ cancel ครับ ขอประทานโทษด้วยครับ
โดย
จานอส คิส
พุธ ส.ค. 26, 2009 3:05 pm
0
0
บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส
ขอบคุณทุกท่านเลยนะครับ ผมอ่านแล้วอธิบายไม่ถูก หรือ ว่าไม่อยากอธิบาย คนเขียน เขียนซะยาว คนตอบ ตอบยาวกว่าอีก กระทู้ส่วนใหญ่ที่ผมเขียน ไม่มีใครมาสนใจในเรื่องที่ผมเขียน อ่านไม่รู้เรื่อง เสียเวลา จริงๆ ผมกล่าวขอบคุณท่านไป ผมอ่านด่าท่านในใจก็ได้ ขอบคุณท่านริวก้าสำหรับคำวิจารย์อย่างมาก หรือว่าผมพุดโกหก ผมไม่จริงใจเลย สังคมเว็บบอร์ดเป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของตะวันตก ไม่เหมาะกับสังคมไทย หรือว่ามันเหมาะในยุคอย่างนี้ ยุคที่เราไม่ต้องเห็นหน้ากัน ไม่ต้องรู้จักชื่อกัน สามารถแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ผมไม่เชื่อครับ มันบิดเบือนกันตั้งแต่มีเว็บบอร์ด ยัดกันไปหมดแล้ว น้ำแตกเลยบางที ผมหมายถึงน้ำลาย สังคมไทยไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้ สังคมไทยเป้นสังคมที่ reflexivity หากินได้ง่าย คนไทยไม่ชอบมายากลเท่าใดนัก หรือว่าผมเข้าใจผิด ที่จีนชอบมากครับ ชอบเป็นชีวิตกันเลย ใครมีอาชีพนี้ไม่มีตกงาน หลายได้ดีอีกด้วย ผมไปศึกษาเรื่องนี้มาตลอด เพราะไปค้าขากับคนจีน มันฝึกคิดเรื่อง reflexivity ถ้าเขาหยิบของให้เรามีตำหนิ เราตวรจสอบแล้วเห้นว่ามีตำหนิ เราบอกให้เขาเปลี่ยน เขาจะไม่ขอโทษ เขาจะบอกว่า "ตาดีนิ" เรืองของสาหร่ายที่มาจากเมืองจีน เป็นเรื่องธรรมดามาก คนไทยตกใจ ไม่เคยเจอ คนจีนเขาเห็นทุกวัน เขายอมรับกับเรื่องพวกนี้ ว่าทุกอย่างในโลกมันบิดเบือน เราต้องระวังให้ดี อย่าปล่อยเขาเอาเปรียบเราได้ สังคมไหนมายากลได้รับความนิยมอย่างมาก สังคมนั้น Soros ไม่ไปหากินหรอกครับ คนในประเทศนั้นเป็นตา reflexivity อยู่แล้ว สังคมไทย สังคมอังกฤษ นี่คล้ายกัน Soros ไปหากินได้ เพราะสังคมมันบิดเบือน แล้วมันสะท้อนมาที่ตลาดเงิน ตลาดทุน เพราะมันมีคนเป็นองค์ประกอบของตลาด ถ้าไปลงทุนเมืองนอก แล้วไม่เข้าใจเรื่องคนในสังคมนั้น อยู๋บ้านขายน้ำเต้าหวยดีกว่าครับ ไทวิโชคดีอย่างมากที่มีคนอย่างท่านริวก้า หรือว่าโชคร้ายก็ไม่รู้ 55555 ผมใช้เวลาช่วงกลางคืนอ่านสิ่งที่ต่างๆ เป็นคำวิจารย์ที่ออกนอกกรอบในไทวิคำวิจารย์แบบเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ผมไม่เห็นสิ่งนี้นานมากแล้วทีเดียว "อย่าเชื่อโดยไม่รู้จักคิด" ท่านริวก้าตั้งคำถามกลับเกือบทุกข้อ แต่แค่หัวข้อเดียว มีเรื่องให้คิดกันได้เป็นหลาย ชม. เวลาโพสขอความต่างๆ จะโชคดีมากถ้ามีคนโพสกลับมาลักษณะนี้ คือ ให้คนเขียนได้คิดทบทวนกลับไปในสิ่งที่เขาเขียนว่าเข้าใจถุกต้องอย่างไรและจะแก้ไขอย่างไร ผมโชคดีอย่างมากในครั้งนี้ครับ สำหรับคำถามพี่ sat ขออนุญาติใช้นาฬิกาอธิบายแทน และลองใช้ระบบ Socrates ถาม/ตอบ ระบบนี้ชาวยิวชอบใช้นักแลครับ เป้นระบบที่ดีกว่าบทความมากครับ ท่านใดยังไม่อ่าน reflex ผมแนะนำลองไปอ่านงานของ อ. มัด ในหน้าแรกของเว็บ Temple ในหัวข้อ theory of Reflexivity ท่านเก่งเรื่องนี้ที่สุดแล้ว ผมไม่แปลกใจถ้าหัวข้อนี้ ท่านสามดอท ตอบได้อีกเช่นเคย ผมจะแปลกใจมากถ้าท่านแม่ทัพเข้ามาแจมบ้างให้เพื่อนๆ ได้กระจ่าง ขอบคุณล่วงหน้าครับ.... ---------------- เรื่องเริ่มขึ้นอย่างนี้ครับ.... อ. บัฟเฟตกับ อ. โซรอส นั้น ตกลงปลงใจกันว่า จะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองท่านนัดพบกันที่สถานีวัวลำพองเวลา 7.55 น. นัดกันก่อน 5 นาที ก่อนเที่ยวเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งนั้นเป้นเวลาที่รถไฟจะออกไปอยุธยา แต่เนื่องจากนาฬิกาของทั้ง อ. บัฟเฟตและ อ. โซรอสเดินไม่ตรงเวลาครับ นาฬิกา อ .บัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่ท่านคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที นาฬิกา อ. โซรอสเร็วไป 5 นาที แต่ท่านคิดวามันช้าไป 5 นาที ถามว่า.... 1. อ .บัฟเฟตและ อ. โซรอสถึงวัวลำพองเวลาเท่าใด และ ใครเป้นตกรถ 2. โจทย์ข้อนี้เกี่ยวพันกับ reality / expecattion อย่างไรบ้าง 3. นาฬิกาบัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่เขาคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที นาฬิกาโซรอสเร็วไป 5 นาที แต่เขาคิดวามันช้าไป 5 นาที นาฬิกา กับ SET INDEX เหมือนกันอย่างไร 4. หลังจากศึกษาเรื่อง reality/ expectation โดยใช้นาฬิกาอธิบายแล้ว เราสามารถประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่แสดงหน้าจอเป็น SET IDEX ได้อย่างไรบ้าง 5. จากกรณีข้างบน ท่านคิดว่า ความเชื่อควรนำความจริงเมื่อใด และ ความจริงควรนำความเชื่อเมื่อใด 7. เปรียบเปรยว่า นักลงทุนที่มีนิสัยเหมือนนาฬิกาที่เร็วไป 5 นาที แต่ตัวเขาเองกลับคิดว่ามันช้าไป 5 นาที เปรียบได้กับลักษณะของคนเช่นไร เช้านี้ก่อนออกเดินทาง กระผมติด "การทำธุรกิจแบบยิว" ที่ติดค้างท่านเอาไว้มาฝากระหว่างหยุดหลายวันครับ หนังสือเกี่ยวกับพ่อค้ายิวเล่มนี้แปลจากหนังสือภาษาจีน สำนวนจึงคล้ายละหม้ายสำนวนจีนหลายส่วน บางข้อกระผมยังไม่เข้าใจดี รบกวนท่านผู้รู้ช่วยสอนสั่งด้วยครับ ขอบพระคุณล่วงหน้า --------------- ผมติดมาบทบัยญัติมาฝากเพิ่มเติมครับ 53. ต้องเตรียมร่มก่อนที่ฝนจะตก หากเจอปัญหาจึงคิดแก้ไขถือว่าสายไปแล้ว เทรดเดอร์ประเภทนี้จะพบความยากลำบากอย่างยิ่ง และอาจพ่ายแพ้ยับเยินในที่สุด เทรดเดอร์ที่มีฝีที่มือต้องใส่ใจเรื่องราวต่างๆที่เปลี่ยนแปลงรอบตัว ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน การค้าหุ้นเต็มไปด้วยอันตราย แต่ทุกสิ่งล้วนที่อาการบ่งบอก ฉะนั้น ต้องขยันสังเกตสิ่งเล็กๆ โดยเฉพาะที่ไม่มีตัวตน จักหยั่งรู้อนาคต ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน จักต้องปรับวิธีให้เหมาะสม จึงสามารถป้องกันตัวก่อนฝนตก กล่าวอีกอย่างคือ ต้องเตรียมร่มก่อนที่ฝนจะตก เทรดเดอร์ที่ดีต้องเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่เหตุการที่คาดไว้จะเกิดขึ้น 54. วิธีเข้าใจสิ่งต่างๆ หรือ การสร้าง " circle of competence " ดูก่อนเทรดเดอร์ทั้งหลาย การเข้าใจเรื่องการค้าหาได้เป็นเรื่องง่าย หากมีแต่เรื่องที่ซับซ้อน ไฉนเลยจะมองแต่มุมเดียว ทางข้างหน้าปะจนด้วยความผิดพลาด จำต้องมองหลายหลายมุม รู้ประวัติศาสตร์ แล้วค่อยศึกษาภูมิประเทศ รุ้วัฒนธรรมแล้วค่อยเรียนรู้ประเพณี รู้ภาษาพูดและค่อยศึกษาท่าทีการบริโภคของคนในท้องถิ่น รู้ความความเคยชินแล้วจึงค่อยศึกษากฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ จึงก้าวไปศึกษาสินค้าของตน หมั่นเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นอยู่เสมอ จักสังเกตทำเลที่ตั้งตนเอง เรียนรู้หาสาเหตุและแก้ไข จากนั้น...ศึกษาการเคลือนไหวของสิ่งต่างๆ เช่น ข่าวสาร ประชากร สินค้า และเงินทุน นำข้อมูลมาแยกแยะ สิ่งสุดท้าย ต้องศึกษาการบริหารจากพ่อค้าหุ้นคนอื่นที่ใช้ในประเทศนั้น ๆ อยู่ก่อนแล้ว นำมาเปรียบเทียบ คัดเลือกแต่ข้อดีมาสร้างเป็นรูปแบบการบริหารที่ดีที่สุด 55. วิธีเลือกสินค้าที่กำไรดีโดยใช้หลักการ margin of safety ถ้าโชคดี คงไม่มีใครว่ากระไร ถ้าโชคไม่ดี คงมีคนพูดถึง จงตั้งกำแพงของท่านตั้งแต่แรก เลือกสินค้าแต่ที่ขายในราคาสูงได้ แต่มิไยยังมีคนต้องการซื้อ เป้นสินค้าที่มีจำนวนน้อยแต่คนซื้อจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ต้องเลือกแต่สินค้าที่อยู่ในช่วงเติบโต หลีกเหลี่ยงสินค้าในช่วงสุกงอม ควรเลือกสินค้าที่ผลิตได้ง่ายโดยคนท้องถื่นนั้นๆ เลือกสินค้าแล้ว ศึกษาต้นทุน ต้องมั่นใจว่าคุ้มค่า และ ต้องมั่นใจว่าการผลิตสินค้าสามารถคาดการได้อย่างง่าย พ่อค้าหุ้นจำต้องเผื่อไว้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ เพิ่มต้นทุนให้สูงกว่าตนทุนจริงเพื่อกันความผิดพลาด ดั่งเสือและกวางย่อมไม่เดินทางร่วมกันฉันนั้น 56. สาเหตุที่หุ้นตก ตามกฎหมายฝรั่งเศส..... เมื่อตัวมหาเศรษฐีที่เป็นพ่อตาย ลูกหลานยิวที่รับมรดกต่อต้องเสียภาษี ถ้าคนตายมีหุ้นมาก จักต้องเทขายหุ้นออกมาให้ราคาตกก่อนเสมอ นี่คือวิธีเสียภาษีน้อยที่สุด หลักจากนั้นจึงเข้าไปซื้อคืน ราคาหุ้นก็จะขึ้น นี่เป้นช่องโหว่ของกฎหมาย รัฐบาลฝรั่งเศสทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าคบพ่อค้ายิว ไม่ช้าจะร่ำรวย เหมือนอยู่ในห้องที่อบอวนด้วยบุปผา แต่ไม่นาน เราจะไม่ได้กลิ่นนั้น เพราะจะเคยชิน เหมือนเดินในตลาดที่อับไปด้วยกลิ่นปลา ไม่นานจะไม่ได้กลินปลา เพราะเราเคยชินกับมัน นี่คือเหตุผลของสิ่งต่างๆ ต้องระวังให้จงดี 57. เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างคนขาติดดิน เทรดเอดร์ต้องเป้นคนขาติดดิน ไม่ใช้จ่ายสินเปลือง หาเงินโดยถูกกฎหมายเป้นขุมทรัพย์ อย่าคิดสร้างทะเลใหญ่ในชั่วพริบตา จงเริ่มสร้างลำธารเล็กๆ ผู้ที่สร้างทะเลได้ มีแต่พระเจ้า มนุษย์ต้องสร้างลำธารก่อน ชำระตนในลำธารที่ตน้เองสร้างขึ้นด้วยความอดทน อดกลั้น และอดออม สะสมเงินทุนทีละน้อยกระทั่งเป้นเงินมากมหาศาล เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างคนขาติดดิน ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้มักจำนรรจ์ถ้อยคำที่รืนหู และมักเสวนาได้ ม้าจะไม่วิ่งคู่กับสัตว์อื่นนอกจากม้าด้วยกัน 58. เงินทองไม่ใช่ทุกสิ่ง สุภาษิตโบราณยิวกล่าวไว้ว่า "ใช้เงินเคาะประตู ไม่มีบานไหนไม่เปิดออก" เทรดเดอร์หุ้นให้ความสำคัญกับเงินทองอย่างมาก เพราะเงินสร้างโอกาส แต่สติปัญญาสร้างอนาคต เงินทองถูกยึดได้ แต่ปัญญาความคิดใครก็ยึดไม่ได้ ความจืดชืดในตอนต้น ย่อมกลับกลายเป็นกล่อมได้ด้วยปัญญา ภูผาไม่อาจดำรงอยู่หากไม่มีดินที่ทับถม กระแสธารไม่ไหลแรง หากไม่มีน้ำหยดแรก ปัญญาเช่นกัน 59. ปล่อยสายเบ็ด สัมพันธภาพของเทรดเดอร์หุ้นกับลูกค้าเหมือนเรื่อในแม่น้ำ ลำที่แล่นข้างหน้าย่อมจูงลากลำที่อยู่ข้างหลัง ลำที่อยู่ข้างหลัง ย่อมพลักดันลำที่อยู่ข้างหน้า จะทำการค้าต้องให้ปล่อยสายเบ็ดไปยาวๆ เพื่อตกปลาใหญ่ สละกำไรแต่น้อย เพื่อหวังกำไรก้อนโต ให้ลูกค้าได้ลิ้มรสที่หอมหวานในระยะแรกก่อนเสมอ 60. จับปลากลางทะเลทราย คนยิวมีสุภาษิตว่า...คนที่มุ่งหาความร่ำรวยอย่างเดียว โดยไม่ปลุกฝังคุณธรรม ในที่สุดทะเลทราบที่เคยจับปลาได้จะกลายเป้นทะเลทราย อันว่าปลา หากหนีน้ำจักถึงที่ตาย อันว่าคน หากหนีคุณธรรมจักไม่มีแผ่นดินอยู่ ทะเลทราบที่ลึกพันฟุต ก็ยังตื้นเขิน ถ้าไม่ยินดีในคุณธรรมของผู้อื่น แล้วจะมีคุณธรรมในตนได้อย่างไร 61. เกลียดชังแบบสุดกู่ ถ้ามีเรืองที่ไม่เข้าใจ เทรดเดอร์เกลียดที่จะเชื่อแบบหลับหูหลับตา ไม่ว่าความรู้ใด ๆ ในโลก จักมีความสมดูลในสิ่งนั้น ถ้าเดินชิดขวาเกินไปก็มีแต่หิมะ พบกับความหนาวเย็น ถ้าเดินชิดซ้ายเกินไปอาจถูกไฟลวก พบแต่ควมร้อนรุ่ม เทรดเอดร์จักเดินสายกลางที่อุ่นพอดี นี่คือเรื่องที่ต้องสังวรเอาไว้ ------------------- ไปละครับ โชคร้ายคงได้เจอกันอีกครับ :wink:
โดย
จานอส คิส
พุธ ส.ค. 26, 2009 9:12 am
0
0
ทุกคนต้องช่วยกัน....
เข้ามาแจมครับ... ผมชอบอ่านข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่วันแรกที่มีการโพสของเว็บนี้ ทำอย่างนี้ทุกวันจนเป็นความเคยชิน แรก ๆ ใช้เวลาวันละ 3 ชม. เดี๋ยวนี้เหลือเพียงแค่ 1 ชม เท่านั้น อ่านไปจิบสุรากลางดงบุปผา เดียวดายไร้คนรู้ใจ 2 ปีที่แล้วสมาชิกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกไป การเปลี่ยปแลงเริ่มเกิดตอนนั้น ถ้าถามว่า "อะไรเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง?" ผมจะตอบว่า "เวลา" วิทยาศาสตร์แบ่งเป็นสิ่งที่รู้กับไม่รู้ ถ้ามองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่รู้วันนี้คือสิ่งที่ไม่รู้เมื่อวาน สิ่งที่ไม่รู้จะกลายเปนสิ่งที่รู้ในวันพรุ่งนี้ ช่องว่างเกิดได้เพราะความคิด ตรรกะทำให้เกิดความฉลาด ความฉลาดลบช่องว่าง แต่ความฉลาดกลายเป็นอดีตไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เมื่อเรารู้เราจะกลายเป็นคนฉลาด แต่เมื่อเรารู้เราจะสูญเสียความไร้เดียงสาของเด็ก เหมือนโสกราติสกล่าวไว้ว่า.. "ตอนเปนหนุ่ม ข้ารู้ทุกอย่าง ช่วงกลางคน ข้ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ตอนชรา ข้าไม่รู้อะไรเลย" ผมคิดว่านี่คือเรื่องที่ต้องเข้าใจ เมื่อใดที่ท่านค้นพบความลี้ลับนี้ ท่านจะพบว่าไม่มีช่องว่างใดที่เหมือนกันเลย ไม่มีแสงใดๆ ที่เหมือนกันทุกครั้งเช่นกัน ไม่มีอะไรคงที่ในทุกเวลา ไม่ว่าสถานการณ์ใด สิ่งเดียวกันอาจเป็นสิ่งดีในเวลาหนึ่ง เลวร้ายในอีกเวลาหนึ่ง ท่านไม่อาจข้ามลำธารเดิมซ้ำสองครั้งได้ เพราะครั้งที่สองนั้น ลำธารได้เคลื่อนไปแล้ว แม้กระทั่งคนคนเดียวกัน พบคนเดิมซ้ำสอง ท่านคือคนเดิมในวันนี้เหมือนกับเมื่อวานหรือ เป็นไปไมได้ ท่านเป็นคนเดิมเฉพาะผิวนอก ไม่เพียงลำธารเปลี่ยน แต่ใจคนก็เปลี่ยนไปด้วย นั่นคือชีวิต สรรพสิ่งปลี่ยนไป ท่านอาจสงสัยและไม่ยอมรับ มันอาจทำให้อีโก้ของท่านเจ้บปวด แต่ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้..... การยึดมั่นทำให้เจ็บปวดเสมอ ถ้าถามผมว่าจะแก้อย่างไร? ผมจะลบทุกอย่างทิ้ง แล้ว reset ใหม่ ปีต่อปีเท่านั้น ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ดูเหมือนว่า Thaivi จะใกล้กลายเป็นพิพิธพันธ์มากขึ้นทุกปีครับ หรือว่านี่ ฤดูใบไม้ผลิ Thaivi กำลังจะผลิบาน :drink:
โดย
จานอส คิส
ศุกร์ ส.ค. 14, 2009 3:05 pm
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ณ.จันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4 (กระทู้สอง)
ksl :wink:
โดย
จานอส คิส
ศุกร์ ส.ค. 14, 2009 9:49 am
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
รออ่านด้วยครับ :wink:
โดย
จานอส คิส
อังคาร ส.ค. 11, 2009 11:27 am
0
0
จิบเบียร์คิวสอง 28สค.09 ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ถ.พระราม4
รบกวน 1 ที่ครับป๋า ขอบคุณมากครับ
โดย
จานอส คิส
อังคาร ส.ค. 11, 2009 8:11 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
จานอส คิส
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 2:40 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ ส.ค. 26, 2009 3:04 pm
โพสต์ทั้งหมด:
12 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.00 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
นักลงทุนนอกคอก
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว