หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
guhungry
Joined: จันทร์ ส.ค. 10, 2009 12:12 pm
567
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - guhungry
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: สอบถามเรื่องเครดิตภาษีครับ
ได้ครับ กรอกทั้งจำนวนตามใบที่ TSD ส่งมาได้เลยครับ
โดย
guhungry
อาทิตย์ พ.ค. 10, 2015 11:07 pm
0
1
Re: DollarCost Averaging Calculator
มีใครพอทราบวิธีคำนวณ annual return ไหมครับว่าได้กี่ % ต่อปี 25.38% ต่อปีครับ สูตรใน excel =RATE(120,1000,0,-535402.03)*12 ที่ต้องคูณ 12 เพราะสูตรเป็นผลตอบแทนรายเดือน
โดย
guhungry
ศุกร์ พ.ค. 08, 2015 7:26 am
0
1
Re: รายการ Super trade เยี่ยมมากน่าติดนาม
ในการแข่งขันถึงปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าเป็นยังไงนะครับ ... https://www.facebook.com/supertraderthailand
โดย
guhungry
พุธ พ.ค. 06, 2015 3:54 pm
0
1
Re: DollarCost Averaging Calculator
หุ้นไทยไม่ได้ใช่ไหมครับ เขาใช้ข้อมูลจาก yahoo finance ครับ ไม่แน่ใจมีหุ้นไทยไหม ชื่อหุ้น.BK ครับ เช่น BTS.BK
โดย
guhungry
พุธ พ.ค. 06, 2015 12:00 pm
0
0
Re: อยากถามเรื่องเกี่ยวกับงบการเงินของหุ้น ipo ครับ
1.เงินจาก ipo ใช่ 80 ล้านบาทจะไปอยู่ตรงไหนของส่วนของผู้ถือหุ้นในงบดุล 80 ล้านมันแค่ราคา par ครับ ถ้าราคา ipo 10 บาท ก็ 450 ล้านบาท เข้าบริษัทครับ 45 จะไปอยู่ในส่วน ทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้ว (หุ้นสามัญ) และส่วนที่เหลือ 405 จะไปอยู่ใน ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น (หุ้นสามัญ) ส่วนของ 350 ล้านบาทจะเข้ากระเป๋าผถหเดิมที่ขายครับ ไม่เกี่ยวกับบริษัทเลย ที่จริงมันจะมีค่าธรรมเนียม IPO ด้วย (หักไปจากมูลค่า IPO เลย) ซึ่งถ้าผบห แฟร์กับผถห ใหม่ควรจะจ่ายในสัดส่วนที่ตนเองขายเองด้วยครับไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัททั้งหมดครับ 2."เสนอขาย 45 ล้านหุ้น และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมเสนอขาย 35 ล้านหุ้น " คือ หุ้นขายให้ประชาชน 80ล้านนี่บริษัทออกใหม่อีก 45 ล้านใช่ไหมครับ ใช่ครับ 3.เมื่อขาย ipo เสร็จแล้วมีหุ้นใน บ.ทั้งหมด 255+45=300 ล้านหุ้นใช่ปะครับ ใช่ครับ
โดย
guhungry
เสาร์ พ.ค. 02, 2015 8:08 am
0
2
Re: สอบถามนักลงทุนเกี่ยวกับมุมมองของธุรกิจหุ้น TTW และ EASTW
เข้าใจว่าหลังจากนั้น TTW น่าจะต้องใช้เป็นรูปแบบเสียค่าเช่าแทนครับ ถ้าจำไม่ผิดฟังมาจาก Opp Day ครับ
โดย
guhungry
อาทิตย์ เม.ย. 12, 2015 8:06 pm
0
1
Re: ผมยื่นขอเครดิตภาษีจากปันผลหุ้นแต่มีปัญหาครับ
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ สรุปคือ ผมต้องส่งใบสีส้มๆของ TSD ไปให้สรรพากรแทนการสแกนไช่มั้ยครับ ที่จริงถ้าสมัคร TSD investor portal ไว้ไม่ต้อง scan เองครับ มันรวมเป็นไฟล์เดียวของทั้งปีได้เลย ถ้าทำถูกวิธี http://portal.tsd.co.th/th/index.html https://www.tsd.co.th/InvestorPortal/Register.aspx
โดย
guhungry
อาทิตย์ เม.ย. 12, 2015 4:56 pm
0
1
Re: สอบถามวิธีใช้ DDM คิดมูลค่ากองทุนอสังหาครับ
DCF น่าจะเหมาะกว่าครับ ประเมิน cash flow ที่จะได้ของแต่ละโครงการตามอายุของอสังหาแต่ละตัวเลย แล้ว discount กลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ไม่มีอะไรสมบูณร์แบบ ปัญหาคือ 1) มันคือการคาดการณ์อนาคต cash flow หรือปันผล ที่ project ไว้ไม่เหมือนกับของจริง 2) Discount rate หรือ required of return ที่เหมาะสมของแต่ละคน
โดย
guhungry
จันทร์ ม.ค. 05, 2015 11:07 am
0
0
Re: สอบถามวิธีใช้ DDM คิดมูลค่ากองทุนอสังหาครับ
พี่ๆผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับขอบคุณครับ ผมคิดว่าใช้ DDM กับกองทุนอสังหาน่าจะไม่เหมาะนะครับ เพราะบางกองไม่ได้เป็น Freehold ทั้งหมด และถึงเป็น Freehold ทั้งหมดแต่พ่อใช้ไปถึงจุดนึงก็ต้องเพิ่มทุนเพื่อมา Renovate หรือ Maintain ให้ทันสมัยอยู่ดี
โดย
guhungry
อาทิตย์ ม.ค. 04, 2015 10:25 pm
0
0
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
มีการปรับปรุงให้ดาวน์โหลดเอกสารจาก investor portal มาอัพโหลดในม.40(4)ข ได้เลย อันนี้ดีมากจริงๆ เพิ่งลองกรอกเล่นสะดวกมากครับ
โดย
guhungry
อาทิตย์ ม.ค. 04, 2015 7:38 am
0
0
Re: หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันลดลง
วันนี้หุ้นพลังงานทางเลือก SPCG GUNKUL DEMCO ลงกันเละ ยังไม่เข้าใจว่าจะกระทบจากราคาน้ำมันลงยังไง นึกออกแต่ว่าถ้าอนาคต ค่าไฟฟ้า Ft ลด รายได้จากการขายไฟฟ้าจะลดตามไปด้วย แต่คิดยังไงก็กระทบไม่เกิน 5-10% ต้องดูเป็นรายตัว ลงแค่นี้ยังอาจจะน้อยไปก็ได้ครับ ผมไม่คิดว่า solar โคงการหน้าจะได้ค่า premium เยอะขนาดนี้แล้วแหละ Gunkul มี PSR 8 เท่า เหมาะสมหรือไม่?
โดย
guhungry
จันทร์ ธ.ค. 01, 2014 10:26 pm
0
0
Re: ใครมีหุ้น bata บ้างครับ
ถ้าไปสิงคโปร์จะเห็น bata เยอะเหมือนกันครับ ไม่ได้มีแต่รองเท้า มีกระเป๋าด้วย
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2014 10:31 pm
0
0
Re: งงกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ CPN กับ Robins
https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Group
โดย
guhungry
พุธ ต.ค. 22, 2014 5:08 pm
0
2
Re: งงกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ CPN กับ Robins
Central Group เป็น Holding Company เหมือน CP Group แหละครับ ไม่ได้เข้าตลาดเองแต่มีบริษัทลูกเข้าตลาด บางตัวก็ไม่เข้าตลาด บางทีก็เป็น Holding Company อีกชั้นหรือหลายๆชั้น http://www.centralgroup.com/index2014.html
โดย
guhungry
พุธ ต.ค. 22, 2014 5:04 pm
0
2
Re: เห็น บริษัทจดทะเบียนแห่กันออกกอง REIT กันมาก
ในตัวกองทุน 1) กู้ได้มากขึ้นจากเดิม 10% แต่จริงๆแล้วมีไม่กี่กองที่กู้ได้จริง (CPNRF, CPNCG) 2) สามารถลงทุนได้หลากหลายขึ้นมากๆๆๆ (หุ้น, Greenfield, Brownfield, ฯลฯ) ผู้ลงทุนรายบุคคล ไม่ต่าง ผู้ลงทุนสถาบัน สิทธิประโยชน์ทางภาษีลดลง ผู้ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน 1) เนื่องจากกองทุนกู้ได้มากขึ้น จะทำให้ขายสินทรัพย์ได้แพงขึ้น (ต้นทุนทางการเงินถูกลง ทำให้ discount rate ลดลง, บางส่วนอาจต้องชดเชยสิทธิทางภาษีที่ลดลงของนักลงทุนสถาบัน เพราะนักลงทุนสถาบันเป็นคนกำหนดราคาซื้อ (Bookbuilding)) http://www.set.or.th/th/products/listing/files/REIT_by_MBKET_KBANK.pdf
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2014 4:24 pm
0
2
Re: หุ้นvalueในระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นgrowthจริงหรือคร
ถ้าตามงานวิจัยฝั่ง finance จะใช้ book to market ก็คือส่วนกลับของ pbv นั่นแหละครับ เรียกว่า value premium ใน fama-french 3 factor model ซึ่งเป็น model ที่เพิ่มอีก 2 factor เข้าไปใน capm หุ้น value คือหุ้นที่มี ค่า book to market สูง หุ้น growth คือหุ้นที่มีค่า ratio นี้ต่ำ เค้าบอกว่าหุ้น value จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า หุ้น growth ดังนั้นตัว value premium คือความต่างระหว่างผลตอบแทนของ value portfolio กับ growth portfolio
โดย
guhungry
พุธ ก.ย. 17, 2014 11:04 am
0
4
Re: ทำไมต้องจ่ายปันผลเป็นหุ้น
ขอถามเพิ่มเติมครับ และในกรณีแจก warrant หละครับ ต้องเดือดร้อน ผถห. มาใช้สิทธิเพิ่มทุนอีก มองในกรณีนี้อย่างไรครับ มันก็คือสิทธิ์ครับ ไม่อยากเพิ่มทุนก็ขายทิ้งไปในตลาดครับ ถ้าเห็นว่าบริษัทเอาเงินไปทำให้เกิดประโยชน์ได้จริงอยากเพิ่มทุนก็แปลงสภาพซะ ซึ่งจริงๆแล้วก็มีเวลาจนถึง warrant หมดอายุครับ แต่จริงๆรายละเอียดเยอะกว่านี้
โดย
guhungry
อาทิตย์ ก.ย. 14, 2014 9:53 pm
0
1
Re: ทำไม Modern ถึงกำไรเยอะมากเลยครับ
ในปีนี้ ก้าวกระโดดเลย กำไรพิเศษจากการขาย MFEC ให้บริษัทญี่ปุ่นครับ
โดย
guhungry
ศุกร์ ส.ค. 15, 2014 11:14 pm
0
1
Re: ถามเรื่อง credit ภาษีค่ะ
บุคคลธรรมดาเป็น cash basis ครับ ได้เงินสดปีไหนเป็นรายได้ปีนั้นครับ
โดย
guhungry
ศุกร์ มี.ค. 21, 2014 9:43 pm
0
0
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ข้อมูลการเปลี่น Ticker การซื้อขายของบริษัท เสียดายไม่มีชื่อบริษัทเดิมด้วย ดึงมาจากใน Set Smart ครับ
โดย
guhungry
ศุกร์ มี.ค. 21, 2014 9:47 am
0
0
Re: ใครพอทราบเกี่ยวกับเทคโนฯใหม่ด้านพลังงานแสงอาทิตย์บ้าง?
Solar Cell ยังพัฒนาได้อีกเยอะครับ ประสิทธิภาพยังแค่ 50-60% เอง ยิ่งต่อไปเทคโนโลยีดีขึ้นการผลิตก็จะมีประสิทธิภาพขึ้น Defect น้อยลง ต้นทุนต่ำลงแถมผลิตไฟได้มากขึ้นอีก สองเด้ง ตอนนี้มีข่าวว่า iphone 6 จะมี solarcell ฝังไว้กับหน้าจอด้วย ทำให้ใช้งานได้นานขึ้นอีก
โดย
guhungry
อังคาร ม.ค. 28, 2014 10:25 am
0
5
Re: The honeymoon period is over.
ขอบคุณมากครับ คุณ dr.sp เอาเข้าจริงผมชอบนะ เอาผลประจำปีมาบลัฟกันเหมือนปั่นหุ้นปั่นกิเลสยังไงไม่รู้ เชียร์คุณNCBตั้งกระทู้โชว์ผลตอบแทนปีนี้เลย ผมก็อยากเห็นผลงานเซียนวีไอทั้งหลาย อยากรู้ว่าปีที่ไม่ค่อยดีแบบนี้ได้กันเท่าไหร่ เชื่อว่าส่วนใหญ่ยังชนะตลาดได้ ใครได้เยอะๆช่วยบอกด้วยว่าทําได้ยังไง ส่วนของผมเองคงไม่กล้าโชว์ ผมอาย :oops: งั้นเรามาตั้งเป็นสถิติดีมั๊ย ให้เป็นแนววิชาการ มากกว่าแนวโชว์ ปีนี้ SET ต้นปี 1391 ตอนนี้ 1367 ติดลบ 1.67% ใครบวกนิดหน่อยก็ถือว่าเก่งกว่าคนส่วนใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวผมคิดวิธีก่อน จะได้ได้ความรู้กันไว้เป็นมาตรฐาน เสริมสร้างภูมิที่ถูกต้อง ส่วนตัวผมใช้ function XIRR ของ excel โดย XIRR จะทำเป็น annualized return ให้ครับ มูลค่าพอร์ท ปลายปีที่แล้วตั้งเป็น ลบ cash flow ที่เข้า เป็นบวก เช่นปันผล, ขายหุ้น cash flow ที่ออก เป็นลบ เช่นซื้อหุ้นเพิ่ม มูลค่าพอร์ทปลายปีเป็น บวก
โดย
guhungry
พุธ ธ.ค. 11, 2013 12:40 pm
0
3
Re: มีธุระกิจไหนบ้าง ที่จะโตไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องลงทุนใหม่
เห็นบอกว่า บัฟเฟต ชอบยิลเล็ท เพราะไม่ค่อยลงทุนเยอะ แต่ผมว่า ถ้าคนซื้อเยอะก็น่าจะลงทุนเครื่องจักร เหมือนโรงงานทั่วไป ตอนนี้ Buffett ก็ไม่ได้เกลียด Capital Intensive Business ครับ ถ้ามันให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี และสมเหตสมผล ซึ่งเราเห็นได้จากที่ Buffett ลงทุนในบริษัทรถไฟ (BNSF) กับบริษัทไฟฟ้า (MidAmerican)
โดย
guhungry
เสาร์ พ.ย. 16, 2013 3:22 pm
0
2
Re: การใช้เครื่องคิดเลขทางการเงิน
input -130000 fv 20000 pmt 6 n 0 pv cpt i/y ถ้าเป็น unequal amount ต้องใช้ sheet cash flow ครับ ใช้ tvm ไม่ได้
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. ก.ย. 19, 2013 2:05 am
0
1
Re: รบกวนแปลข่าวของปู่บัฟเฟต ตรงประโยคนี้ทีครับ
จากที่เคยอ่านใน letter to shareholder เคยบอกว่ามีขาย put option ครับ (เหมือน ซื้อ call option) http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=55307
โดย
guhungry
เสาร์ ส.ค. 03, 2013 4:21 pm
0
0
Re: ใครมีความคืบหน้าเรื่องขึ้น VAT --> 8% --> 10% บ้างไหมครั
ผมว่าขึ้นได้ยากครับมันมีผลกว้างมาก รัฐบาลไหนก็ไม่กล้าขึ้นครับ (ความเห็นส่วนตัว) ขึ้นภาษีตอนเศรษฐกิจดีก็เร่งเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้น ขึ้นตอนเศรษฐกิจแย่ ทำให้กำลังซื้อหดเศรษฐกิจก็ยิ่งแย่หนัก
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. มิ.ย. 27, 2013 9:16 am
0
0
Re: หุ้นตัวไหนมี MOS 30 - 50% Up มั่งครับ และเก็บได้รึยัง
การแบ่งปันกัน ไม่ได้ทำให้กำไร ลดลงหรอกครับ แบ่งปันความรู้ครับ ไม่ได้แจกเงิน http://www.phrases.org.uk/meanings/give-a-man-a-fish.html
โดย
guhungry
เสาร์ มิ.ย. 22, 2013 9:13 pm
0
10
Re: ถ้า MAKRO ออก กองทุนอสังหา 4 หมื่นล้าน
ผมว่า 5%. ถ้าไม่สามารถปรับค่าเช่าได้แบบ ตลาดหรือห้าง ผมว่างั้นๆนะ. ไม่น่าสนใจเท่าไร. :| ถ้าจะเปรียบเทียบกันคงต่องดู TLGF ถึงจะใกล้เคียงกันหน่อย
โดย
guhungry
พุธ พ.ค. 01, 2013 9:10 pm
0
0
Re: สอบถามแฟนๆBuffet
Derivatives Derivatives are dangerous. They have dramatically increased the leverage and risks in our financial system. They have made it almost impossible for investors to understand and analyze our largest commercial banks and investment banks. They allowed Fannie Mae and Freddie Mac to engage in massive misstatements of earnings for years. So indecipherable were Freddie and Fannie that their federal regulator, OFHEO, whose more than 100 employees had no job except the oversight of these two institutions, totally missed their cooking of the books. Indeed, recent events demonstrate that certain big-name CEOs (or former CEOs) at major financial institutions were simply incapable of managing a business with a huge, complex book of derivatives. Include Charlie and me in this hapless group: When Berkshire purchased General Re in 1998, we knew we could not get our minds around its book of 23,218 derivatives contracts, made with 884 counterparties (many of which we had never heard of). So we decided to close up shop. Though we were under no pressure and were operating in benign markets as we exited, it took us five years and more than $400 million in losses to largely complete the task. Upon leaving, our feelings about the business mirrored a line in a country song: “I liked you better before I got to know you so well.” Improved “transparency” – a favorite remedy of politicians, commentators and financial regulators for averting future train wrecks – won’t cure the problems that derivatives pose. I know of no reporting mechanism that would come close to describing and measuring the risks in a huge and complex portfolio of derivatives. Auditors can’t audit these contracts, and regulators can’t regulate them. When I read the pages of “disclosure” in 10-Ks of companies that are entangled with these instruments, all I end up knowing is that I don’t know what is going on in their portfolios (and then I reach for some aspirin). For a case study on regulatory effectiveness, let’s look harder at the Freddie and Fannie example. These giant institutions were created by Congress, which retained control over them, dictating what they could and could not do. To aid its oversight, Congress created OFHEO in 1992, admonishing it to make sure the two behemoths were behaving themselves. With that move, Fannie and Freddie became the most intensely-regulated companies of which I am aware, as measured by manpower assigned to the task. On June 15, 2003, OFHEO (whose annual reports are available on the Internet) sent its 2002 report to Congress – specifically to its four bosses in the Senate and House, among them none other than Messrs. Sarbanes and Oxley. The report’s 127 pages included a self-congratulatory cover-line: “Celebrating 10 Years of Excellence.” The transmittal letter and report were delivered nine days after the CEO and CFO of Freddie had resigned in disgrace and the COO had been fired. No mention of their departures was made in the letter, even while the report concluded, as it always did, that “Both Enterprises were financially sound and well managed.” In truth, both enterprises had engaged in massive accounting shenanigans for some time. Finally, in 2006, OFHEO issued a 340-page scathing chronicle of the sins of Fannie that, more or less, blamed the fiasco on every party but – you guessed it – Congress and OFHEO. The Bear Stearns collapse highlights the counterparty problem embedded in derivatives transactions, a time bomb I first discussed in Berkshire’s 2002 report. On April 3, 2008, Tim Geithner, then the able president of the New York Fed, explained the need for a rescue: “The sudden discovery by Bear’s derivative counterparties that important financial positions they had put in place to protect themselves from financial risk were no longer operative would have triggered substantial further dislocation in markets. This would have precipitated a rush by Bear’s counterparties to liquidate the collateral they held against those positions and to attempt to replicate those positions in already very fragile markets.” This is Fedspeak for “We stepped in to avoid a financial chain reaction of unpredictable magnitude.” In my opinion, the Fed was right to do so. A normal stock or bond trade is completed in a few days with one party getting its cash, the other its securities. Counterparty risk therefore quickly disappears, which means credit problems can’t accumulate. This rapid settlement process is key to maintaining the integrity of markets. That, in fact, is a reason for NYSE and NASDAQ shortening the settlement period from five days to three days in 1995. Derivatives contracts, in contrast, often go unsettled for years, or even decades, with counterparties building up huge claims against each other. “Paper” assets and liabilities – often hard to quantify – become important parts of financial statements though these items will not be validated for many years. Additionally, a frightening web of mutual dependence develops among huge financial institutions. Receivables and payables by the billions become concentrated in the hands of a few large dealers who are apt to be highly-leveraged in other ways as well. Participants seeking to dodge troubles face the same problem as someone seeking to avoid venereal disease: It’s not just whom you sleep with, but also whom they are sleeping with. Sleeping around, to continue our metaphor, can actually be useful for large derivatives dealers because it assures them government aid if trouble hits. In other words, only companies having problems that can infect the entire neighborhood – I won’t mention names – are certain to become a concern of the state (an outcome, I’m sad to say, that is proper). From this irritating reality comes The First Law of Corporate Survival for ambitious CEOs who pile on leverage and run large and unfathomable derivatives books: Modest incompetence simply won’t do; it’s mindboggling screw-ups that are required. Considering the ruin I’ve pictured, you may wonder why Berkshire is a party to 251 derivatives contracts (other than those used for operational purposes at MidAmerican and the few left over at Gen Re). The answer is simple: I believe each contract we own was mispriced at inception, sometimes dramatically so. I both initiated these positions and monitor them, a set of responsibilities consistent with my belief that the CEO of any large financial organization must be the Chief Risk Officer as well. If we lose money on our derivatives, it will be my fault. Our derivatives dealings require our counterparties to make payments to us when contracts are initiated. Berkshire therefore always holds the money, which leaves us assuming no meaningful counterparty risk. As of yearend, the payments made to us less losses we have paid – our derivatives “float,” so to speak – totaled $8.1 billion. This float is similar to insurance float: If we break even on an underlying transaction, we will have enjoyed the use of free money for a long time. Our expectation, though it is far from a sure thing, is that we will do better than break even and that the substantial investment income we earn on the funds will be frosting on the cake. Only a small percentage of our contracts call for any posting of collateral when the market moves against us. Even under the chaotic conditions existing in last year’s fourth quarter, we had to post less than 1% of our securities portfolio. (When we post collateral, we deposit it with third parties, meanwhile retaining the investment earnings on the deposited securities.) In our 2002 annual report, we warned of the lethal threat that posting requirements create, real-life illustrations of which we witnessed last year at a variety of financial institutions (and, for that matter, at Constellation Energy, which was within hours of bankruptcy when MidAmerican arrived to effect a rescue). Our contracts fall into four major categories. With apologies to those who are not fascinated by financial instruments, I will explain them in excruciating detail. • We have added modestly to the “equity put” portfolio I described in last year’s report. Some of our contracts come due in 15 years, others in 20. We must make a payment to our counterparty at maturity if the reference index to which the put is tied is then below what it was at the inception of the contract. Neither party can elect to settle early; it’s only the price on the final day that counts. To illustrate, we might sell a $1 billion 15-year put contract on the S&P 500 when that index is at, say, 1300. If the index is at 1170 – down 10% – on the day of maturity, we would pay $100 million. If it is above 1300, we owe nothing. For us to lose $1 billion, the index would have to go to zero. In the meantime, the sale of the put would have delivered us a premium – perhaps $100 million to $150 million – that we would be free to invest as we wish. Our put contracts total $37.1 billion (at current exchange rates) and are spread among four major indices: the S&P 500 in the U.S., the FTSE 100 in the U.K., the Euro Stoxx 50 in Europe, and the Nikkei 225 in Japan. Our first contract comes due on September 9, 2019 and our last on January 24, 2028. We have received premiums of $4.9 billion, money we have invested. We, meanwhile, have paid nothing, since all expiration dates are far in the future. Nonetheless, we have used Black- Scholes valuation methods to record a yearend liability of $10 billion, an amount that will change on every reporting date. The two financial items – this estimated loss of $10 billion minus the $4.9 billion in premiums we have received – means that we have so far reported a mark-to-market loss of $5.1 billion from these contracts. We endorse mark-to-market accounting. I will explain later, however, why I believe the Black-Scholes formula, even though it is the standard for establishing the dollar liability for options, produces strange results when the long-term variety are being valued. One point about our contracts that is sometimes not understood: For us to lose the full $37.1 billion we have at risk, all stocks in all four indices would have to go to zero on their various termination dates. If, however – as an example – all indices fell 25% from their value at the inception of each contract, and foreign-exchange rates remained as they are today, we would owe about $9 billion, payable between 2019 and 2028. Between the inception of the contract and those dates, we would have held the $4.9 billion premium and earned investment income on it. • The second category we described in last year’s report concerns derivatives requiring us to pay when credit losses occur at companies that are included in various high-yield indices. Our standard contract covers a five-year period and involves 100 companies. We modestly expanded our position last year in this category. But, of course, the contracts on the books at the end of 2007 moved one year closer to their maturity. Overall, our contracts now have an average life of 2 1⁄3 years, with the first expiration due to occur on September 20, 2009 and the last on December 20, 2013. By yearend we had received premiums of $3.4 billion on these contracts and paid losses of $542 million. Using mark-to-market principles, we also set up a liability for future losses that at yearend totaled $3.0 billion. Thus we had to that point recorded a loss of about $100 million, derived from our $3.5 billion total in paid and estimated future losses minus the $3.4 billion of premiums we received. In our quarterly reports, however, the amount of gain or loss has swung wildly from a profit of $327 million in the second quarter of 2008 to a loss of $693 million in the fourth quarter of 2008. Surprisingly, we made payments on these contracts of only $97 million last year, far below the estimate I used when I decided to enter into them. This year, however, losses have accelerated sharply with the mushrooming of large bankruptcies. In last year’s letter, I told you I expected these contracts to show a profit at expiration. Now, with the recession deepening at a rapid rate, the possibility of an eventual loss has increased. Whatever the result, I will keep you posted. • In 2008 we began to write “credit default swaps” on individual companies. This is simply credit insurance, similar to what we write in BHAC, except that here we bear the credit risk of corporations rather than of tax-exempt issuers. If, say, the XYZ company goes bankrupt, and we have written a $100 million contract, we are obligated to pay an amount that reflects the shrinkage in value of a comparable amount of XYZ’s debt. (If, for example, the company’s bonds are selling for 30 after default, we would owe $70 million.) For the typical contract, we receive quarterly payments for five years, after which our insurance expires. At yearend we had written $4 billion of contracts covering 42 corporations, for which we receive annual premiums of $93 million. This is the only derivatives business we write that has any counterparty risk; the party that buys the contract from us must be good for the quarterly premiums it will owe us over the five years. We are unlikely to expand this business to any extent because most buyers of this protection now insist that the seller post collateral, and we will not enter into such an arrangement. • At the request of our customers, we write a few tax-exempt bond insurance contracts that are similar to those written at BHAC, but that are structured as derivatives. The only meaningful difference between the two contracts is that mark-to-market accounting is required for derivatives whereas standard accrual accounting is required at BHAC. But this difference can produce some strange results. The bonds covered – in effect, insured – by these derivatives are largely general obligations of states, and we feel good about them. At yearend, however, mark-to-market accounting required us to record a loss of $631 million on these derivatives contracts. Had we instead insured the same bonds at the same price in BHAC, and used the accrual accounting required at insurance companies, we would have recorded a small profit for the year. The two methods by which we insure the bonds will eventually produce the same accounting result. In the short term, however, the variance in reported profits can be substantial. We have told you before that our derivative contracts, subject as they are to mark-to-market accounting, will produce wild swings in the earnings we report. The ups and downs neither cheer nor bother Charlie and me. Indeed, the “downs” can be helpful in that they give us an opportunity to expand a position on favorable terms. I hope this explanation of our dealings will lead you to think similarly. ************ The Black-Scholes formula has approached the status of holy writ in finance, and we use it when valuing our equity put options for financial statement purposes. Key inputs to the calculation include a contract’s maturity and strike price, as well as the analyst’s expectations for volatility, interest rates and dividends. If the formula is applied to extended time periods, however, it can produce absurd results. In fairness, Black and Scholes almost certainly understood this point well. But their devoted followers may be ignoring whatever caveats the two men attached when they first unveiled the formula. It’s often useful in testing a theory to push it to extremes. So let’s postulate that we sell a 100- year $1 billion put option on the S&P 500 at a strike price of 903 (the index’s level on 12/31/08). Using the implied volatility assumption for long-dated contracts that we do, and combining that with appropriate interest and dividend assumptions, we would find the “proper” Black-Scholes premium for this contract to be $2.5 million. To judge the rationality of that premium, we need to assess whether the S&P will be valued a century from now at less than today. Certainly the dollar will then be worth a small fraction of its present value (at only 2% inflation it will be worth roughly 14¢). So that will be a factor pushing the stated value of the index higher. Far more important, however, is that one hundred years of retained earnings will hugely increase the value of most of the companies in the index. In the 20th Century, the Dow-Jones Industrial Average increased by about 175-fold, mainly because of this retained-earnings factor. Considering everything, I believe the probability of a decline in the index over a one-hundred-year period to be far less than 1%. But let’s use that figure and also assume that the most likely decline – should one occur – is 50%. Under these assumptions, the mathematical expectation of loss on our contract would be $5 million ($1 billion X 1% X 50%). But if we had received our theoretical premium of $2.5 million up front, we would have only had to invest it at 0.7% compounded annually to cover this loss expectancy. Everything earned above that would have been profit. Would you like to borrow money for 100 years at a 0.7% rate? Let’s look at my example from a worst-case standpoint. Remember that 99% of the time we would pay nothing if my assumptions are correct. But even in the worst case among the remaining 1% of possibilities – that is, one assuming a total loss of $1 billion – our borrowing cost would come to only 6.2%. Clearly, either my assumptions are crazy or the formula is inappropriate. The ridiculous premium that Black-Scholes dictates in my extreme example is caused by the inclusion of volatility in the formula and by the fact that volatility is determined by how much stocks have moved around in some past period of days, months or years. This metric is simply irrelevant in estimating the probability-weighted range of values of American business 100 years from now. (Imagine, if you will, getting a quote every day on a farm from a manic-depressive neighbor and then using the volatility calculated from these changing quotes as an important ingredient in an equation that predicts a probability-weighted range of values for the farm a century from now.) Though historical volatility is a useful – but far from foolproof – concept in valuing short-term options, its utility diminishes rapidly as the duration of the option lengthens. In my opinion, the valuations that the Black-Scholes formula now place on our long-term put options overstate our liability, though the overstatement will diminish as the contracts approach maturity. Even so, we will continue to use Black-Scholes when we are estimating our financial-statement liability for long-term equity puts. The formula represents conventional wisdom and any substitute that I might offer would engender extreme skepticism. That would be perfectly understandable: CEOs who have concocted their own valuations for esoteric financial instruments have seldom erred on the side of conservatism. That club of optimists is one that Charlie and I have no desire to join.
โดย
guhungry
พุธ มี.ค. 13, 2013 9:40 am
0
3
Re: สอบถามแฟนๆBuffet
http://www.youtube.com/watch?v=eRflufmkwbw ผมนั่งดูสารคดีชุดนี้ ช่วงนาทีที่39-42 ได้พบประโยคนึงระบุว่า He's also making some big bet using derivertives ผมเองก็เคยอ่านหนังสือBuffetมาหลายเล่มไม่พบว่าเล่มใดเอ่ยถึงการใช้Derivertive ของBuffet เลยสงสัยว่าBuffetใช้Derivertive หรือว่านี่เป็นความผิดพลาดทางภาษาของผมเอง หลังๆ Buffett มีใช้ Derivative จริงๆครับ แต่เป็นสัญญาระยะยาวมากๆ ซึ่งเค้าเชื่อว่าการประเมินมูลค่าในปัจจุบันผิดพลาด เนื่องจากสูตร Black Scholes ใช้ไม่ได้จริงถ้าประเมินค่าในระยะยาว เวลาเค้าลงเค้าได้ Premium มาบริหารก่อน เค้าคิดว่าในระยะยาวแล้ว Premium ที่เค้าได้ต้นทุนเงินจะถูกมาก แม้จะเกิด Wrost Case ครับ ลองอ่านได้จากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นปีหลังๆครับ
โดย
guhungry
พุธ มี.ค. 13, 2013 9:21 am
0
4
Re: ดร. รักษาGrowth ช่วงขาลง...
ฟังจากปาก ดร.นิเวศร์ เองเลยครับ สัมมนาหัวข้อ"วางแผนรวยด้วยการลงทุน" จากมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the City 2012 บนเวที Hall 1 วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2555 เวลา 14.00-15.30 น. วิทยากรคุณภาพ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ อุปนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย IS9c_l-TiIc
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. มี.ค. 07, 2013 1:09 pm
0
6
Re: บาเซิ่ล 3 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2556
เท่าที่ศึกษาดู จะทำให้ Cost of Capital เพิ่มขึ้น และ ROE ของธนาคารลดลง (เนื่องจากปล่อยกู้ได้น้อยลง) แต่ธนาคารคงผลักภาระให้ผู้บริโภคโดยเพิ่ม spread ของดอกเบี้ย ธนาคารที่กระทบคงต้องดูว่า D/E และทรัพย์สินหนี้สินดีแย่แค่ไหน ต้องเพิ่มทุนมั้ยอันนี้ผมว่าคงจะต้องเจาะงบลึกๆ
โดย
guhungry
อาทิตย์ ธ.ค. 23, 2012 6:13 pm
0
1
Re: ปัญหา (ที่แท้จริง) ของหนี้สาธารณะสหรัฐ/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื
ดูเป็น Video น่าจะเข้าใจเรื่อง Fiscal Cliff มากขึ้นครับ The Fiscal Cliff Sal compares the possible outcomes of the federal budget negotiations around the "fiscal cliff." http://www.khanacademy.org/humanities/american-civics/v/the-fiscal-cliff More Fiscal Cliff Analysis A bit more in-depth analysis when thinking about the fiscal cliff. http://www.khanacademy.org/humanities/american-civics/v/more-fiscal-cliff-analysis
โดย
guhungry
อังคาร ธ.ค. 11, 2012 12:00 pm
0
1
Re: ช็อก!! ทิ้งผ่อนรถคันแรก
คม ชัด ลึก - รถแรก...แจกหนี้ ? F74jLS1LUnY
โดย
guhungry
พุธ ธ.ค. 05, 2012 11:25 am
0
1
Re: ย้อนรอย circuit breaker
ถ้าผมจำไม่ผิดจะเป็น error ในโปรแกรมครับ ตลาดที่โดนคือ mai ครับที่ลบ 10% แต่ bug มันทำให้หยุดซื้อขายทั้งตลาด ทั้งที่ควรจะเป็นแค่ตลาด mai
โดย
guhungry
พุธ ต.ค. 10, 2012 9:28 am
0
1
Re: สรุปสัมนา กลยุทธ์เลือกหุ้นแบบวีไป 9/9/55
ขอบคุณมากครับ
โดย
guhungry
อังคาร ก.ย. 11, 2012 3:07 pm
0
0
Re: BTS ปรับพาร์จาก 0.64บาท/หุ้น เป็นพาร์4บาท/หุ้น
ข้อดีอีกอย่างน่าจะทำให้ กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยครับ ถึง EPS เพิ่มแต่ PE ไม่ได้ลดลงครับ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีผลกับการประเมินมูลค่าบริษัท
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 1:54 pm
0
0
Re: ราคาเฉลี่ย
(20*1000+15*500+10*250)/(1000+500+250) เพิ่มเติมครับ http://it.thanyarat.ac.th/stat/ch7.aspx ถ้าจากตัวอย่างด้านล่าง ก็จะได้ 179.5019347
โดย
guhungry
อังคาร มิ.ย. 05, 2012 2:56 pm
0
0
Re: อัตราเงินปันผลตอบแทน (%)
คือค่า E/P หรือ ส่วนกลับ P/E ครับ ในที่นี้ คือ 1/21.45 = 4.6620046620046620046620046620047
โดย
guhungry
อังคาร มิ.ย. 05, 2012 1:56 pm
0
0
Re: ราคาเฉลี่ย
ก็ราคาซื้อขายเฉลี่ยภายในวันครับ สมมุติว่าในวันเกิดการซื้อขายอย่างนี้ 20 บาท 1000 หุ้น 15 บาท 500 หุ้น 10 บาท 250 หุ้น ก็ได้ราคาเฉลี่ย = 17.14285714 บาท ใช้ถ่วงน้ำหนักตามจำนวนหุ้น ในแต่ละราคา
โดย
guhungry
อังคาร มิ.ย. 05, 2012 1:53 pm
0
0
Re: ตลท ควรยกเลิกช๊อตเซลได้แล้วล่ะมั้งครับ
Basic Shorting Shorting Stock Shorting Stock 2 Is short selling bad? ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสียนะ ผมว่าอยู่ที่จะมองด้านไหนกัน ในเมื่อมันมีแล้ว ทำไมเราไม่หาประโยชน์จากมันล่ะ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
โดย
guhungry
ศุกร์ พ.ค. 25, 2012 3:27 pm
0
1
Re: อยากถามแนวทางในการเติมเงินลงใน Port ลงทุน
ผมเติมเป็นก้อนครับ ก้อนใหญ่ๆเลย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ซื้อทันที ก็ซื้อเมื่อหุ้นลงจนเป็นราคาที่เราดูแล้วว่าถูกเมื่อเทียบกับอนาคต เช่นโอกาสเมื่อปลายปีที่แล้วก็ซื้อจนเงินหมดเลย ส่วนในปีนี้ก็มีเติมเงินไป และก็มีเงินจากปันผลอีก เงินก็กองอยู่ใน port อย่างนั้น ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
โดย
guhungry
อังคาร พ.ค. 22, 2012 4:32 pm
0
0
Re: เมื่อบมจ.ออกหุ้นกู้มา จะมีผลต่อราคาหุ้นหรือเปล่าครับ
อยากทราบว่าเมื่อเวลา บมจ. ออกหุ้นกู้ มาใหม่ มันจะส่งผลอย่างไรต่อราคาหุ้นในช่วงนั้น บ้างครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ถ้าเป็นหุ้นกู้ก็ไม่มีครับ
โดย
guhungry
จันทร์ พ.ค. 21, 2012 9:19 am
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
ถ้า อัตราส่วนหุ้นปันผล เปลี่ยนเป็น 5:1 คำตอบข้อ 1 และข้อ 2 จะเปลี่ยนไหมครับ ถ้าเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นเท่าไหร่ครับ ตามตัวอย่างนี้ครับ 1 : 1 คำนวนโดย 1 /( 1 + 1 ) 5 : 1 คำนวนโดย 5 /( 5 + 1 ) 6 : 1 คำนวนโดย 6 /( 6 + 1 ) 10 : 1 คำนวนโดย 10 /( 10 + 1 )
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. พ.ค. 17, 2012 10:45 am
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
ขอโทษนะครับคุณ guhungry เวปไซด์ที่ให้ผมมาข้างล่างเป็นภาษาอังกฤษครับ ขอเป็นภาษาไทยมีไหมครับ http://www.khanacademy.org/finance-economics/venture-capital-and-capital-markets/v/raising-money-for-a-startup ไม่มีครับ เป็นเว็บ online learning ที่ใหญ่มากครับ ต้องรอคนแปล แต่ถ้าพออ่านอังกฤษได้มันจะมี subtitle เป็นภาษาอังกฤษให้ครับ
โดย
guhungry
ศุกร์ พ.ค. 04, 2012 5:47 pm
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
2.1 จากข้อมูลข้างบน ราคาจอง 35 บาทนี่ใช่ราคาพาร์ไหมครับ ถ้าไม่ใช่คือราคาอะไรครับแล้วราคานี้มาจากไหน ไม่ใช่ครับ คนละตัว 35 บาทคือราคาขายหุ้น เวลาเราซื้อขายหุ้นก็ซื้อราคาตลาด ส่วนราคามาได้อย่างไรก็อยู่ที่บริษัท underwriter เค้าประเมินครับ ว่าบริษัทน่าจะมีมูลค่าเท่าใด 2.2 ราคาเปิดวันแรก 35.75 บาทคืออะไรครับ ก็คือราคาที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรกซึ่งเป็น Secondary Market ลองดูนี่ตั้งแต่ต้นจนจบ series นะครับ จะเห็นภาพตั้งแต่ก่อตั้งจนเข้าตลาดเลย http://www.khanacademy.org/finance-economics/venture-capital-and-capital-markets/v/raising-money-for-a-startup
โดย
guhungry
ศุกร์ พ.ค. 04, 2012 1:57 pm
0
0
Re:
คนหนุ่มสาว หรือคู่รักที่เพิ่งแต่งงาน ยังไม่มีลูกน้อย เหมาะสำหรับซื้อคอนโดเป็นบ้านหลังแรก เท่าที่เห็นโฆษณาบางโครงการบอกว่าผ่อนเดือนไม่กี่พันบาท อย่างนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาด Apartment ให้เช่าไหมครับ ผ่อนคอนเดือนละไม่กี่พัน จริงๆแล้้วถ้าดูเงื่ิอนไขดีๆ จะต้องดาวน์เป็นเงินที่เยอะมากครับ และในการอยู่คอนโดยังมีค่าส่วนกลางอีกซึ่งแปรผันไปตามความหรู ดังนั้นคงเงื่อนไขผ่อนถูกคงมีน้อยมากที่จะทำได้เพราะยังไงซื้อคอนโดก็ต้องมีเงินก้อนที่ใหญ่พอสมควร ส่วนการเช่าใช้เงินไม่ถึงหมื่นเองครับ สรุปคือคงไม่กระทบครับ ผมไม่มีหุ้นอสังหาเลยโดยส่วนตัวไม่ชอบอสังหามากๆ
โดย
guhungry
พุธ พ.ค. 02, 2012 11:31 am
0
0
Re: ทุนจดทะเบียน
ขอถามผู้รู้ครับ 1. ทุนจดทะเบียน คืออะไร 2. ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว คืออะไร 3. ทุนจดทะเบียนชำระแล้วใครชำระ 4. ทุนจดทะเบียนยังไม่ได้ชำระใครยังไม่ได้ชำระและจะชำระเมื่อไหร่ 5. ทำไมทุนจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ชำระ ไม่ได้ชำระได้ด้วยหรือครับ 6. และพอทุนจดทะเบียนชำระครบหมดแล้วมีผลกับอะไรอย่างไรบ้าง http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=46&t=51657 ่อ่านในนี้เอาก่อนนะครับ ขาดตรงไหนไปก็ถามในกระทู้เพิ่มครับ
โดย
guhungry
พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2012 1:24 pm
0
0
Re: ถ้าหุ้นที่ถืออยู่มีกำไร 20% ถือว่ามี MOS 20% ไหมครับ
มูลค่า(คุณค่า)กับราคา (Value VS Price) ความหมายใกล้เคียงกัน แต่จริงๆต่างกันลิบลับ เอาต้นทุนเทียบกับมูลค่าเรียก Margin Of Safety เอาต้นทุนเทียบราคา คือ กำไร/ขาดทุน
โดย
guhungry
อังคาร เม.ย. 03, 2012 4:09 pm
0
0
Re: Annual report กับ 56-1 ต่างกันอย่างไรครับ
โดยรวมๆแล้ว 56-1 จะพูดถึงวิธีขั้นตอนวิธีการดำเนินธุรกิจ ส่วน Annual Report จะเป็นรายงานผลประกอบการ + โครงการซะมากกว่า
โดย
guhungry
อังคาร เม.ย. 03, 2012 2:53 pm
0
0
131 โพสต์
of 3
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
guhungry
ระดับ:
Verified User
อายุ:
40
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ ส.ค. 10, 2009 12:12 pm
ใช้งานล่าสุด:
ศุกร์ ก.ย. 02, 2016 2:33 pm
โพสต์ทั้งหมด:
567 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.03% จากโพสทั้งหมด / 0.10 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว