หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Joraka
Joined: อังคาร ก.ค. 15, 2003 7:27 am
61
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Joraka
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
ไฟล์เสียง ไขความลับสู่การเป็น Intelligent Investor
ตัวโกงเรื่อง "อิเหนา" ครับ
โดย
Joraka
พุธ ต.ค. 03, 2007 10:56 am
0
0
ไฟล์เสียง ไขความลับสู่การเป็น Intelligent Investor
file 1 http://www.upchill.com/download.php?id=d2574fa60a923c50d9bc5d99f32815c2 or http://www.uploadtoday.com/download/?97f8bea82e0f5a7efc8233d8d774be0d file 2 http://www.upchill.com/download.php?id=16cc51c0ea6cc83d25bcee25f4e2d014 or http://www.uploadtoday.com/download/?97fd6dff1d46e1ec37f3db5520fb926f
โดย
Joraka
ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 8:32 am
0
0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
Warren Buffet บอกว่าให้เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ นั่นคือให้ฝึกฝนความรู้และประสบการณ์ให้มากๆ แต่ปู่ไม่เคยบอกเลยว่าให้เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนมากๆ ผมว่าเงินมากเงินน้อยอย่าไปสนใจเลยครับ สนใจความรู้และประสบการณ์ที่จะได้รับดีกว่าครับ
โดย
Joraka
ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:03 pm
0
2
บจ.ไหนบ้างในตลาดที่เป็นเจ้าของสินค้าบริการเน้น high end บ้าง
PG เป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าของ Lacoste ครับ
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. พ.ค. 03, 2007 11:35 am
0
0
ถามเรื่องเว็บหุ้นครับ
ข้อ 2 กับ 5 ครับ แต่เดือนละ 1000 บาท มันแพงไปนิดนึงครับ เก็บเป็นรายปีทีเดียวน่าจะดีครับป้องกันการเบี้ยวหนี้ (1000 บาทขอต่อราคาหน่อยครับ)
โดย
Joraka
พุธ เม.ย. 18, 2007 1:26 pm
0
0
ถามกูรูเรื่องการวัดราคาหุ้น
ไปตามนี้เลยครับ มีทุกอย่าง http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/cgi-bin/cfis_docall.php?lang=t&ref_id=74&content_id=1
โดย
Joraka
อังคาร เม.ย. 17, 2007 2:46 pm
0
0
ท่านๆคิดอย่างไร กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแว่นตา
ร้านดังๆ ที่ขยายสาขาอย่างรวดเร็วนั้น ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่าพนักงานส่วนใหญ่เป็นสาวๆ อายุไม่มาก ผมคิดว่าประสบการณ์น้อย ไปอบรมมาสองสามอาทิตย์ก็มาเป็นพนักงานประจำร้านเลย เธอมันจะเชียร์ซื้อเลนส์แพงๆ บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยมั่นใจฝีมือครับ อย่าลืมนะครับว่าแว่นตามันใช้กับตา ถ้าผิดพลาดนิดเดียวสายตาเสียเลยนะครับ ผมชอบร้านเก่าๆ น่ะครับ ประมาณว่าทำมายี่สิบปีแล้ว ดูมันน่าจะไว้ใจได้ เด็กสาวเดี๋ยวเธอได้งานใหม่เธอก็ไปแล้ว คนใหม่เข้ามาฝีมือมีป่าวก็ไม่รู้
โดย
Joraka
เสาร์ เม.ย. 14, 2007 9:05 pm
0
0
ชาว VI จะทำอย่างไรในสภาพตลาดกระทิงดุ
รักพี่เสียดายน้องครับ ผมจะแบ่งเงินมาซัก 10% แล้วลองเสี่ยงดูซื้อแล้วทิ้งเอาไว้ ถ้าราคามันขึ้นก็ให้มันวิ่งไปเรื่อยๆ แค่ถ้ามันลงมาซัก 30-40% ก็ขาย การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่เสียโอกาสที่จะได้รับบทเรียน(ถ้าหุ้นลง) แต่ถ้าหุ้นมันขึ้นเราจะได้เอาไว้โม้ข่มชาวบ้านและเป็นความมันส์ในชีวิต แต่ 90% ของพอร์ตยังเป็น VI อยู่นะครับ
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2007 5:07 pm
0
0
กระทู้ย่อยคำสารภาพ
คิดว่าหลายๆ คนในห้องนี้คงจะเคยรู้จัก DSM ผมเป็นคนนึงครับที่เคยใช้วิธีการนี้ ด้วยความอยากรวยเร็ว (ก็เห็นเค้าบอกว่าอย่างน้อยๆ ก็ได้เดือนละ 2%) เมื่อความโลภบังตาปัญญาก็ไม่เกิด เห็นเค้าบอกว่ามันขึ้นอยู่กับใจ ผมก็ลุยเลย เจ็บหนักกับ TMB ครับ ลาทีกระแสเงินสดแฝง ช่องว่าง กองหลัง กองกลาง กองหน้า เข็ดจนตาย (อย่างว่าแหละครับ น่าจะเอะใจซักนิด เค้าเอาชื่อหมามาตั้งเป็นชื่อวิธีการมันก็อัปมงคลตั้งแต่แรกแล้ว) ถ้าคุณสงสัยอะไร โพสถามไป เค้าจะตอบกลับมาว่า "ให้กลับไปอ่านหลักการใหม่ให้เข้าใจ" แหม ช่างเป็นคำตอบที่มีประโยชน์เหลือเกิน ถ้าเทียบกับที่นี่คนละเรื่องเลย คำตอบจะเคลียร์ ไม่ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
โดย
Joraka
อังคาร เม.ย. 10, 2007 11:47 am
0
0
VI กับ หุ้น IPO
แวะมาขำครับ [quote] Ryuga IPO => Imaginary Profits Only IPO => It's Probably Overpriced [/quote]
โดย
Joraka
อังคาร เม.ย. 10, 2007 11:15 am
0
0
ยุคของดีหายาก
ผมว่าช่วงนี้มันซบเซาสุดๆ แล้วนะครับ ทั้งตลาดหุ้น เศรษฐกิจ การเมือง ผมว่าราคา (รวมๆ) ตอนนี้น่าถูกมากแล้วนะครับ ถ้าไม่เกิดเหตุรุนแรงผมว่าน่าจะเป็นขาขึ้นได้แล้วนะครับ เราอั้นมานานหลายปี ตั้งแต่ปี 2004 มั้ง
โดย
Joraka
จันทร์ เม.ย. 09, 2007 4:53 pm
0
0
ขอเปิดประเด็นเรื่อง Biz Modelต่อ
กระทู้นี้ดีมากๆ ครับ ให้สิบเต็มสิบเลยครับ
โดย
Joraka
อังคาร มี.ค. 20, 2007 5:03 pm
0
0
ปรากฏการณ์ ข่าวร้าย-ข่าวดี
ผมขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับ GRAMMY นิดนึงนะครับ (ไม่มีใน port นะครับ) ผมว่า GRAMMY เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีนะครับ เทคโนโลยีที่ว่าคือการแชร์เพลงผ่าน internet ซึ่งทำได้ง่ายมากแม้จะผิดกฎหมาย เมื่อก่อนแค่แผ่น mp3 ที่ขายกันที่ 1000tip ก็แย่แล้ว เดี๋ยวนี้มี web ฝากไฟล์ขึ้นมาอีกยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก เพลง 1 อัลบัมใช้เวลาโหลดไม่เกิน 1 ชม. ถ้า GRAMMY ยังแก้ปัญหานี้ไม่ตกคงจะแย่แน่ๆ ลองคิดดูนะครับถ้า internet มันเร็วขึ้นอีกตัวต่อไปที่รอคิวขึ้นเมรุก็คือ major เพราะการโหลดหนัง (ขนาดประมาน 1.5 GB) มาดูต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง (อาจจะ 2-3 วัน) แต่ถ้าสามารถโหลดหนังมาดูได้ภายใน 4 ชม.ล่ะก็โรงหนังเน่าแหงๆ ผมกลัวธุรกิจที่เป็นศัตรูกับเทคโนโลยีครับ
โดย
Joraka
อังคาร มี.ค. 06, 2007 11:32 am
0
0
หุ้นของบริษัทยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่
เสื้อ POLO ของ LACOSTE ====> PG เป็นคำตอบสุดท้ายครับ
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2007 11:52 am
0
0
แจก work sheet excel สำหรับ คำนวณเครดิตภาษีปันผล
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
[email protected]
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2007 11:43 am
0
0
เวปดูกราฟราคา
http://www.thaiset.com/stock/
โดย
Joraka
อังคาร ก.ค. 25, 2006 1:33 pm
0
0
อยากทราบว่าบริษัทที่เขาให้ปันผลเป็นหุ้นนี่เขาทำไปทำไมครับ
BAFS เมื่อ 2 ปีก่อนก็ปันผลเป็นหุ้นครับ อันนี้เข้าใจได้ว่าบริษัทต้องการที่จะเก็บเงินสดเอาไว้เพื่อขยายกิจการ (สร้างคลังน้ำมัน ระบบท่อใต้ลานจอด ท่อส่งน้ำมันเส้นทางมักกะสัน-สุวรรณภูมิ) แต่บริษัทเองเคยจ่ายปันผลมาตลอดครั้นจะงดก็กลัวนักลงทุนจะไม่พอใจ ก็เลยจ่ายปันผลเป็นหุ้นออกมา (เก็บเงินสดเอาไว้) ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนหุ้นมันก็ต้องเพิ่มขึ้น แล้วมันก็ไป dilute ผลกำไร ดังจะเห็นได้ว่าปี 48 กำไรสุทธิมากกว่าปี 47 ตั้งเยอะ แต่กำไรต่อหุ้นเท่ากันเลย แต่ BAFS คงจะคิดว่าเมื่อการขยายงานเสร็จสิ้นแล้วคงจะทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นเพื่อไปชดเชยจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมา
โดย
Joraka
ศุกร์ พ.ค. 26, 2006 5:57 pm
0
0
แจกอีกที:The Real Warren Buffett : Managing Capital, Leading
ขอด้วยคนครับ
[email protected]
ขอบคุณมากครับ
โดย
Joraka
อังคาร พ.ค. 16, 2006 10:48 am
0
0
"ไม่ช้าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ" คำพยากรณ์ของพอล โวลก์
กำแพงแห่งความกังวล นักวิเคราะห์และนักลงทุนบางคนมองว่าภาวะแวดล้อมของประเทศไทย ณ. วันนี้ดูไม่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเลย ดังนั้นหลาย ๆ คนขายหุ้นล้างพอร์ต นั่งรอให้ตลาดหุ้นตกลงมาต่ำกว่าปัจจุบันก่อนที่จะเข้าลงทุนอีกครั้ง เหตุผลก็เพราะว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นภาพลบและเป็นปัจจัยที่อาจทำให้หุ้นตกได้มหาศาล เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากในขณะนี้ก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ซึ่งรุนแรงขึ้นมาต่อเนื่องและยังไม่เห็นทางแก้ไขที่ได้ผลจริง ๆ เท่าที่ผ่านมานั้น ปัญหานี้ขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งเกือบทุกวัน แต่ถ้าถามว่ากระทบอะไรกับเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือ น้อยมาก เพราะสัดส่วนของผลผลิตใน 3 จังหวัดนั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับผลผลิตรวมของประเทศ เพราะฉะนั้น ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ปัญหาภาคใต้ยังไม่ได้ส่งผลถึงเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นเลย แต่ความกังวลก็คือ โอกาสที่ปัญหาการก่อการร้ายจะลุกลามไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ โดยเฉพาะที่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอกเขต 3 จังหวัดนั้นน่าจะมีอยู่ และถ้าเกิดขึ้นก็จะกระทบต่อภาพของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง การท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลของไทยจะเสียหายหนัก การลงทุนต่าง ๆ จะชะลอตัวลง ตลาดหุ้นอาจจะช็อค ดัชนีตลาดไหลลง เพราะนักลงทุนทั้งไทยและเทศอาจเทขายหุ้นด้วยความตกใจ ภาพแบบนี้สำหรับบางคนแค่คิดก็นอนไม่หลับแล้ว ถัดจากเรื่องภาคใต้ก็มาถึงเรื่องที่น่ากลัวไม่แพ้กันเพราะเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็คือ ราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการขนส่งซึ่งก็เป็นต้นทุนของสินค้าเกือบทุกอย่างในประเทศ กำลังจะต้องถูกปรับราคาขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์หลังจากที่ถูก อั้น ไว้นาน การปรับราคาน้ำมันดีเซลน่าจะมีผลให้สินค้าอีกหลายชนิดปรับตัวขึ้นและจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การบริโภคของประชาชนถดถอยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ขายสินค้าได้น้อยลงและกำไรหดลง ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างรุนแรงและยาวนาน อัตราดอกเบี้ยที่เคยต่ำเตี้ยติดดินก็กำลังทยอยปรับขึ้นทีละ 0.25% ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของอเมริกาและดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดเพราะสภาพคล่องทางการเงินดูเหมือนว่าจะลดลงในขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้น นี่ก็คือความกังวลที่รุนแรงอีกข้อหนึ่งโดยเฉพาะในสังคมไทยที่นับวันจะพึ่งพิงกับการซื้อสินค้าเงินผ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องของไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นมาเกือบปีและยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างเด็ดขาดนั้น ขณะนี้ก็เริ่มมีความกังวลว่าจะหวนกลับมาพร้อมกับฤดูที่อากาศเย็นลง และแม้ว่าคนจะเริ่มชินชากับปัญหานี้ ปัญหาไข้หวัดนกก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่เลวร้ายได้เสมอโดยเฉพาะถ้ามีการกลายพันธุ์และติดต่อถึงคนได้ง่ายขึ้น ข่าวร้ายนั้นดูเหมือนว่าเวลาเกิดขึ้นมักจะมาเป็นชุด ๆ เพราะเรื่องที่น่าห่วงกว่าหวัดนกในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ จังหวัด ข่าวที่ออกมาฟังดูอาจจะไม่ตื่นเต้นเพราะไม่มีคนเสียชีวิตจากภัยแล้ง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นน่าจะรุนแรงกว่า เพราะผลผลิตทางการเกษตรเกือบทุกอย่างจะถูกกระทบ รายได้ของคนในชนบทซึ่งเป็นกำลังซื้อที่สำคัญจะถดถอยลงและนี่อาจทำให้เศรษฐกิจในปีหน้าซบเซากว่าที่ใครต่อใครคาดไว้ได้ ปัจจัยจากต่างประเทศเองก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย ที่มองดูก็มีเรื่องเศรษฐกิจของจีนซึ่งอาจชะลอตัวลงซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบลดลง สิ่งที่น่ากังวลสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะอยู่ที่ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งหลายที่ได้ปรับตัวขึ้นมหาศาลเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของจีนในช่วงที่ผ่านมา อะไรจะเกิดขึ้นถ้าความต้องการปิโตรเคมีชะลอตัวลงและราคาร่วงลงมา? คำตอบนั้นชัดเจนก็คือ บริษัทจดทะเบียนที่ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะมีกำไรถดถอยลงและราคาหุ้นน่าจะต้องปรับตัวลง เรื่องนี้คงไม่หนักหนามากถ้ามีบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งที่หากินกับปิโตรเคมีอย่างในอดีต แต่ความเป็นจริงก็คือ ตลาดหุ้นไทยเวลานี้มีบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมีคิดตามมูลค่าหุ้นแล้วสูงมาก บางคนบอกว่าสูงถึงเกือบ 30% ของตลาดหุ้นทั้งหมด ผมเองไม่ยืนยันตัวเลขนี้ แต่ลองนั่งนึกว่าหุ้น ปตท. ซึ่งมีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดประมาณ 470,000 ล้านบาทนี่คงเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีแม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพลังงาน เช่นเดียวกับหุ้นปูนซิเมนต์ไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 280,000 ล้านบาท รวมกับหุ้น TPI ประมาณ 56,000 ล้านบาท บวกกับหุ้นในกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติคซึ่งส่วนใหญ่ก็คือปิโตรเคมีอีกประมาณ 190,000 ล้านบาท รวมแล้วมีมูลค่าตลาดประมาณ 1 ล้านล้านบาท เทียบกับมูลค่าหุ้นทั้งตลาดที่ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาทคิดเป็นประมาณ 23% แต่ถ้ารวมเอาธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมันและเหล็กซึ่งมีคุณสมบัติและพฤติกรรมของราคาสินค้าคล้าย ๆ กันเข้าไปด้วยแล้ว ผมคิดว่าตัวเลข 30% นั้นไม่เกินความจริง ฟังแล้วรู้สึกหนาวไหมครับว่า ตลาดหุ้นไทย ณ. วันนี้มีเรื่องต่าง ๆ ที่น่าวิตกกังวลเต็มไปหมด แล้วตลาดหุ้นจะไปได้อย่างไรสำหรับปีหน้า? คำตอบของผมก็คือ อย่ากลัวจนทิ้งตลาดหุ้นครับ เพราะสุภาษิตที่โด่งดังในวงการหุ้นก็คือ หุ้นนั้น ปีนกำแพงแห่งความกังวล ความหมายก็คือ ถ้าคนยังวิตกกังวลอยู่หุ้นจะขึ้นไปได้ เมื่อใดที่คนลงทุนในหุ้นอย่าง ไร้กังวล อย่างที่เกิดขึ้นปลายปีที่แล้ว เมื่อนั้นหุ้นจะน่ากลัวที่สุดจริง ๆ
โดย
Joraka
จันทร์ พ.ค. 16, 2005 3:19 pm
0
0
ทำไมนักเล่นคอมถึง ชอบโอเวอร์คล๊อกกันจนเป็นศาสตร์
ลองเข้าไปอ่านดูในนี้นะครับ http://www.overclockzone.com/list.php?method=subzone&value=CPU จริงๆ แล้ว CPU รุ่นเดียวกันมันมีลักษณะภายในเหมือนกัน เช่น Pentium 4 ความเร็ว 2.0, 2.2, 2.4, 2.6 GHz ภายในเหมือนกันทุกอย่าง (ต้องเป็นสถาปัตยกรรมเดียวกันด้วยนะ เช่น Northwood เหมือนกัน จะเปรียบเทียบข้ามสถาปัตยกรรมไม่ได้นะ เช่น Northwood กับ Willamate จะเทียบกันไม่ได้) แต่สิ่งที่ทำให้แต่ละตัวมีความเร็วแตกต่างกันก็คือตัวคูณ ซึ่งจะถูกล็อคมาจากโรงงาน (ด้วยเลเซอร์) ดังนั้นพวกนัก Overclock ทั้งหลายจึงคิดว่าถ้ามันเหมือนกันแล้วจะซื้อตัวความเร็วสูงให้มันเปลืองเงินทำไม ซื้อตัวความเร็วต่ำแล้วมา OC ดีกว่า ประหยัดเงินกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วการ OC จะมีต้นทุนสูงกว่าเครื่องธรรมดาเนื่องจาก (อธิบายคร่าวๆ นะครับเดี๋ยวจะงง) ระบบต่างๆ จะทำงานที่ความเร็วสูงขึ้นตาม CPU ไปด้วย (ทำงานหนักขึ้น) ดังนั้นการ OC จึงต้องการอุปกรณ์คุณภาพสูง เช่น RAM, การ์ดจอ, เมนบอร์ด, อุปกรณ์ระบายความร้อน เป็นต้น ซึ่งมีราคาแพงกว่าอุปกรณ์ทั่วๆ ไปมาก (ถ้าใช้อุปกรณ์ทั่วๆ ไปเครื่องจะแฮงค์ครับ)
โดย
Joraka
พุธ ก.พ. 16, 2005 4:13 pm
0
0
SE-ED ครับ
ณ 15 ธ.ค. 47 หุ้นสามัญ 314,152,170 หุ้น Warrant 8,037,990 หน่วย อัตราใช้สิทธิ 1:1 ราคา 1.65 บาท ESOP 25,938,400 หน่วย อัตราใช้สิทธิ 1:1 ราคา 1.00 บาท ESOP ทำไมมันเยอะจัง + ราคาใช้สิทธิก็ต่ำมากกกกก แผลงฤทธิ์เมื่อไหร่คงจะส่งผลกับราคาของ SE-ED พอสมควร
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. ม.ค. 27, 2005 1:18 pm
0
0
อ่านบทความ ดร.นิเวศน์ยังครับ
ทำ Link ให้ http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/1105354243785/index_expert_nivate53.htm http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/1105354350844/index_expert_nivate54.htm
โดย
Joraka
พุธ ม.ค. 12, 2005 3:42 pm
0
0
จริงป่าวครับที่ ราคาน้ำมันไทยอิงสิงคโปร์แต่จริงๆแล้ว.......
ราคาที่อิงกับสิงคโปร์เป็นแค่ราคาค่าการกลั่นเท่านั้น ส่วนราคาน้ำมันดิบไม่ได้อิงกับสิงคโปร์ (ถ้าจำไม่ผิดจะอิงกับดูไบ) เหตุที่ค่าการกลั่นต้องอิงกับสิงคโปร์เป็นเพราะว่าค่าการกลั่นของเขาต่ำที่สุดในอาเซียน (เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ออกกฎหมาย) เพราะประเทศเขากลั่นน้ำมันขาย ถ้าต้นทุนในการกลั่นสูงจะทำให้เขาขายในตลาดโลกไม่ได้ เหตุที่เราไม่ตั้งค่าการกลั่นของเรากันเองเป็นเพราะประเทศเรามีโรงกลั่นไม่กี่เจ้า (ในสมัยนั้น) อาจทำให้เกิดการฮั้วราคากันแล้วทำให้ราคาน้ำมันแพง แต่ได้ยินมาว่ารัฐจะเลิกอิงกับสิงคโปร์แล้วนะเพื่อสนองนโยบายการเป็น hub พลังงาน
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2004 8:39 am
0
0
เก็บตก ชวนไปดู VDO Clip5
หรือคลิกขวาที่ link แล้วเลือก Save Target As ก็ได้นะครับถ้าหากในเครื่องไม่มี FlashGet
โดย
Joraka
อังคาร ธ.ค. 14, 2004 1:09 pm
0
0
เก็บตก ชวนไปดู VDO Clip5
download เก็บเอาไว้ดูเลยครับ ที่ http://www.kapook.com/promote/motorexpo2004/vdo/Motor1.wmv http://www.kapook.com/promote/motorexpo2004/vdo/Motor2.wmv http://www.kapook.com/promote/motorexpo2004/vdo/Motor3.wmv http://www.kapook.com/promote/motorexpo2004/vdo/Motor4.wmv http://www.kapook.com/promote/motorexpo2004/vdo/Motor05.wmv ใช้ FlashGet download ตาม link ข้างบนได้เลย
โดย
Joraka
อังคาร ธ.ค. 14, 2004 1:08 pm
0
0
**
ว้า...โดนคุณ ba_2l ตัดหน้าไปแล้ว กำลังจะโพสอยู่พอดีเลย
โดย
Joraka
อังคาร ธ.ค. 14, 2004 1:02 pm
0
0
คำว่า"อัตราดอกเบี้ย R/P 14 วัน 0.25%" หมายความว่าอ
อัตราดอกเบี้ยอีกที คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย วีรพงษ์ รามางกูร ประชาชาติธุรกิจ หน้า 2 วันที่ 09 สิงหาคม 2547 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3608 (2808) เมื่อฉบับที่แล้วได้เขียนเรื่องการส่งสัญญาณที่ผิดของการตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตราดอกเบี้ยของตลาดซื้อคืน 14 วันของธนาคารแห่งประเทศไทย หลังจากที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปีทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเรากับของอเมริกาเท่ากัน หลังจากที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วก็มีเพื่อนฝูงโทรศัพท์มาซักถามอยากให้อธิบาย-ขยายความที่ได้เขียนไปแล้ว เลยต้องจับปากกาขึ้นมาเขียนขยายความอีกครั้งหนึ่ง ดอกเบี้ยของตลาดซื้อคืนพันธบัตรที่พูดกันนี้ก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดจากการที่ธนาคารพาณิชย์ มากู้จากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยต้องทำตามกฎหมายคือ ต้องมีหลักประกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เมื่อมากู้เงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ต้องนำเอาพันธบัตรรัฐบาลมาวางเป็นประกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกตลาดนี้ว่าตลาดซื้อคืนหรือขายคืนพันธบัตร ทั้งที่ไม่ได้มีการซื้อขายพันธบัตรเลย อัตราดอกเบี้ยของตลาดซื้อคืนพันธบัตรหรือตลาด RP หรือตลาด Repurchase ที่ว่านี้มีความสำคัญที่จะเป็นตัวนำของตลาดระยะสั้น หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารที่เป็นเงินบาทเหมือนๆ กับ LIBOR หรืออัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารที่ลอนดอนหรือ SIBOR อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารที่สิงคโปร์ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยของตลาดซื้อคืนนั้น กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปกติก็จะกำหนดให้สอดคล้องกับตลาด หรือถ้ากำหนดสูงเกินไปธนาคารพาณิย์ ก็จะนำเงินมาไถ่ถอนพันธบัตรกลับไป มากกว่าที่ธนาคารจะนำพันธบัตรมาวางเพื่อกู้เงินออกไป ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยออกไปมากกว่ารับเข้ามา มองดูก็อาจจะเห็นว่าขาดทุน ซึ่ง ธปท.มักจะคำนึงถึงเรื่องนี้เสมอ ความจริงแล้ว ธปท.ไม่ควรคำนึงถึงกำไรขาดทุนมากนัก เพราะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอันนี้ มีผลต่อการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และเสถียรภาพของระดับการเงินอย่างมาก สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็ก ตลาดเงินบาทก็เล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดเงินอื่นๆ เช่น เงินเยน เงินยูโร ไม่ต้องเทียบกับเงินดอลลาร์ ดังนั้นการปั่นตลาดเงินบาทเพื่อแสวงหากำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนจึงทำได้ง่าย และทำกำไรให้กับนักปั่นตลาดและนักเก็งกำไรได้เสมอถ้าไม่ป้องกันไว้บ้าง ด้วยเหตุที่กล่าวข้างบน วิธีหนึ่งที่จะป้องกันไว้บ้างก็คือ สร้างต้นทุนให้กับผู้ที่นำเงินบาทออกมาขายเพื่อถือเงินดอลลาร์เพื่อเก็งกำไร ปกติการเก็งกำไร หรือการปั่นตลาดก็คือการซื้อขาย เงินดอลลาร์กับเงินบาทล่วงหน้าไว้บ้าง ค่าธรรมเนียมหรือพรีเมี่ยมของการซื้อเงินดอลลาร์ล่วงหน้าจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยระยะสั้นของเงินบาทกับเงินดอลลาร์ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์ขณะนี้อยู่ที่ 40 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 0.25 เปอร์เซ็นต์ อัตราแลกเปลี่ยนในการซื้อขายล่วงหน้าก็จะเท่ากับบาทต่อดอลลาร์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยระยะสั้นของเงินตราทั้งสองสกุลคือ 2.50 สตางค์ ราคาซื้อล่วงหน้าก็จะเท่ากับ 40.025 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ แต่ผู้ขายเงินดอลลาร์ล่วงหน้าก็จะได้ส่วนต่างนี้ไป ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เมื่อธนาคารขายดอลลาร์ล่วงหน้า 3 เดือนไปแล้ว ก็ต้องเตรียมหาเงินดอลลาร์ไว้ส่งมอบ ต้นทุนของการเตรียมดอลลาร์ไว้ส่งมอบก็คือ ค่าเสียโอกาส ที่จะได้รับดอกเบี้ยจากเงินบาท คืออัตราดอกเบี้ยเงินบาท หักด้วยดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ที่จะได้รับ วิธีการจึงเหมือนกับธนาคารทำการแลกกันระหว่างทรัพย์สินของตนจากเงินบาทไปเป็นเงินดอลลาร์ในอนาคต ภาษาฝรั่งเขาจึงเรียกว่า "แลกกัน" หรือ "swap" ถ้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเงินบาทสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ คนที่ซื้อดอลลาร์ล่วงหน้าก็มีต้นทุนในการเตรียมดอลลาร์ไว้ส่งมอบ เพราะต้องสละดอกเบี้ยเงินบาทในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์เท่ากัน คนซื้อดอลลาร์ล่วงหน้าก็ไม่มีต้นทุนก็จะเป็นแรงจูงใจให้ซื้อดอลลาร์ล่วงหน้ามากขึ้น ส่วนผู้ขายล่วงหน้าก็ไม่ได้ส่วนเพิ่มให้ก็เก็บดอลลาร์ไว้ไม่มาแลกเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง ถ้าทางการไม่พยุงไว้ เมื่อปัจจัยภายนอกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ค่าเงินเยนหรือเงินยูโรอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ นักเก็งกำไรก็จะเข้ามาโยกตลาดโดยมีความเสี่ยงน้อยลง เพราะไม่มีต้นทุน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์ก็จะขึ้นลง ผันผวนมากขึ้น ทำให้ต้องใช้ทุนสำรองมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าค่าเงินไม่นิ่ง มีความผันผวนมากขึ้นและบ่อยครั้งมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างราคารับซื้อดอลลาร์ และราคาขายเงินดอลลาร์ของธนาคารพาณิชย์ในตลาดปัจจุบัน ก็จะห่างกันมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ก็คือสิ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงในความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงนั้น เพื่อให้คุ้มกับความเสี่ยงของธนาคารที่จะเก็บเงินดอลลาร์ไว้ซื้อขายระหว่างวัน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการซื้อคืนพันธบัตรก็ไม่ได้หมายความว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จะต้องขึ้นตามไปด้วย เพราะสภาพคล่องในตลาดยังสูงอยู่ เห็นว่าสภาพคล่องในตลาดยังเหลืออยู่ตั้ง 6-7 แสนล้านบาท เป็นแค่เพียงสัญญาณว่าดอกเบี้ยจะไม่ลงไปกว่านี้แล้วมีแต่โอกาสจะขึ้น ที่กลัวว่าดอกเบี้ยในตลาดจะขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว หรือเป็นเครื่องมือในการป้องกันเงินเฟ้อก็จะยังไม่เกิดจนกว่าสภาพคล่องจะลดลง แต่ธนาคารพาณิชย์อาจจะได้ดอกเบี้ยมากขึ้น เมื่อนำเงินมาปล่อยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร กำไรของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะน้อยลง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มิได้ตั้งขึ้นมาเพื่อกำไรขาดทุนของตนเอง แต่เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อให้ภาคธุรกิจเขาทำมาค้าขายได้ เศรษฐกิจจะได้ขยายตัว ด้วยเหตุนี้เมื่อทางการประกาศไม่ขึ้นดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืน ค่าเงินบาทจึงตกเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักทุกสกุล คือดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโร และเงินเยน การซื้อเงินดอลลาร์ล่วงหน้าไม่มีพรีเมี่ยม บางขณะมีส่วนลดหรือมีรางวัลเสียด้วยซ้ำ การขายล่วงหน้ากลายเป็นมีส่วนลดแทนที่จะได้รางวัล คนจึงซื้อดอลลาร์ล่วงหน้ามากขึ้น และขายดอลลาร์ล่วงหน้าน้อยลง ค่าเงินบาทจึงค่อยๆ อ่อนลง แล้วก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาพยุงค่าเงินบาทผ่านทางสำนักข่าวต่างประเทศ การไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐคราวนี้ นอกจากจะสร้างปัญหาในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทระยะสั้นดังที่อธิบายมาแล้ว ยังสร้างปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนในตลาดเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยไปอีกในอนาคต ทางการไทยจะทำอย่างไร จะคงไว้ตามเดิมคงจะยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้นไปอีก ค่าเงินบาทก็จะถูกนักเก็งกำไรโยกได้ง่ายเข้า ถ้าขึ้นจะขึ้นเท่าไหร่ ถ้าขึ้นตามไป 0.25 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาเดิมก็จะยังคงอยู่ แต่ถ้าขึ้น 0.50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้มีความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาทกับเงินดอลลาร์ ตลาดทุนหรือตลาดตราสารหนี้ระยะยาว กับตลาดหุ้น ก็จะได้รับผลกระทบหนักกว่าควรจะเป็น เพราะปรับตัวไม่ทัน ถ้าสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง การตัดสินใจในเรื่องนโยบายการเงินก็จะยากขึ้นไปอีก โอกาสที่ทางการจะคงปัญหาไว้ตามเดิมคือขึ้นเพียง 0.25 คงจะมากกว่าการปรับเสียให้ถูกต้อง ทั้งหมดที่ว่ามาจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ไม่เกี่ยวกับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในขณะนี้ เพราะยังมีสภาพคล่องในระบบอยู่มากมาย ระบบการเงินยังไม่ได้ออกจาก "กับดักสภาพคล่อง" เต็มที่ เหตุผลของการคงดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นเหตุผลที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะไม่ตรงประเด็นว่าไม่ขึ้นเพราะอะไร อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ในขณะที่สภาพคล่องในตลาดมีสูงอยู่อย่างนี้ จะยังไม่ทำให้อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเปลี่ยนแปลง ดังนั้นต้นทุนของธุรกิจที่เกิดจากการขึ้นดอกเบี้ยยังไม่มี ธนาคารพาณิชย์เขาก็ออกมาให้สัญญาณกับผู้กำหนดนโยบายแล้วว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนจึงยังไม่เกี่ยวกับผู้กู้ผู้ฝากเงินในธนาคารโดยตรง แต่เกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์ และตลาดเงินตราต่างประเทศทั้งตลาดปัจจุบันและตลาดอนาคต (spot and future markets) มากกว่า เมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งยังอีกนาน ซึ่งอาจจะเป็นปีก็ได้ถึงตอนนั้นจึงค่อยมาดูกัน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งจะเกิดขึ้นง่ายขึ้น เมื่อไม่มีทำนบกั้นคลื่นไว้บ้างนั้น เป็นต้นทุนของสังคมหรือภาคธุรกิจที่สูงกว่าการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกำไรของธนาคารพาณิชย์ ที่ต้องเขียนดักคอธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ก็เพราะกลัวว่าจะทำแบบเดิมเมื่อ 3-4 ปีก่อนที่ดึงดอกเบี้ยเงินบาทให้ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์จึงขึ้นลงระหว่าง 45 บาท กับ 37 บาทต่อดอลลาร์ทุกปี บางปีปีละ 2 ครั้ง คนที่ถือดอลลาร์ไว้เล่นกับเงินบาทกำไรกันทุกปีไป ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยทำมาแล้ว จนได้มีผู้ว่าการใหม่ จึงได้ปรับใหม่ให้ถูกต้อง แต่ขณะนี้กำลังจะกลับไปอย่างเก่าอีก จะคอยดูว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ประชาชาติธุรกิจ หน้า 2
โดย
Joraka
ศุกร์ ก.ย. 03, 2004 8:56 am
0
0
Peter Lynch - One Up On Wall Street
บทที่ 03 หุ้นตัวแรกของชีวิตเซียน นายลินช์ได้เล่าให้ฟังว่าหุ้นตัวแรกที่แกซื้อในชีวิตนั้นแกซื้อตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยบอสตันปีที่ 2 หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นของบริษัทสายการบินมีชื่อว่า ฟลายอิง-ไทเกอร์ ราคาที่ซื้อก็แค่ 7 เหรียญต่อหุ้นเท่านั้น อ๋อ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าผมเอาเงินจากไหนมาซื้อหุ้น เซียนหุ้นบรรลือโลกขยับปากสาธยายข้อสงสัยทันทีว่า รายได้จากการเป็นแคดดีสนามกอล์ฟยังไงล่ะครับ เพราะผมเรียนก็เรียนฟรีอยู่แล้ว แถมกินฟรีอยู่ฟรีอีกด้วยเพราะผมอยู่กับคุณแม่ ผมเรียนอยู่ปี 1 ก็มีรถเก่าๆ ใช้อยู่คันหนึ่ง เป็นมรดกตกทอดจากคุณพ่อ แต่พอหุ้นเริ่มดีขึ้น ผมเป็นวัยรุ่นนี่ครับ ตอนนั้นผมก็อยากมีรถใหม่ๆ ดีๆ ขับอวดสาวๆ บ้าง เพราะ ไอ้แก่ คันเก่าเวลาออกเดทกับสาวๆ แต่ละทีมันทำผมขายหน้าแทบทุกครั้ง มีอย่างที่ไหนให้สาวๆ มาดันตูดเพราะดันทรยศเครื่องดับเอาดื้อๆ พอมีกะตังค์หน่อยผมก็ไปเทิร์นคันใหม่ราคา 150 เหรียญออกมาให้เพื่อนร่วมสถาบันอิจฉาเล่น ทำเอาหนุ่มๆ ร่วมสถาบันน้ำลายหกไปตามๆ กัน หลายคนสงสัยไม่น้อยว่าผมหาเงินจากไหนมาซื้อรถใหม่ ผมก็บอกว่า เล่นหุ้น แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะฉะนั้นผมก็เลยไม่ต้องอธิบายอะไรต่อไป นายลินช์เล่าว่า การตัดสินใจซื้อหุ้นฟลายอิง-ไทเกอร์ตอนนั้นไม่ใช่ซื้อเล่นสนุกๆ หรือใครจะมากระซิบให้ซื้อ แกต้องตอบคำถามตัวเองอย่างถี่ถ้วนทั้ง 5 ข้อก่อน (คำถามในบทที่แล้ว) จึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่า เล่นเป็นเล่นวะ ก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวนี้แกก็ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้พอสมควร โดยตอนแรกอ่านจากบทความที่เขียนวิเคราะห์ในหน้าหนังสือพิมพ์ เขาเขียนว่าขณะนี่กิจการด้านการขนส่งทางอากาศกำลังจก้าวไปไกล อนาคตกำลังแจ่มใสเพราะขณะนั้นมีผู้ใช้บริการกันมาก และ ฟลายอิง-ไทเกอร์ ก็มีกิจการประเภทนี้อยู่พอดี นี่เป็นข้อมูลเริ่มแรกที่นายลินช์ได้รับจาหุ้นตัวนี้ ถ้าเป็นเราๆ ท่านๆ ก็กระโดดจับพลั๊วเข้าให้ทันที แต่ระดับเซียนนั้นส่อให้เห็นตั้งแต่เป็นไก่อ่อนเพิ่งสอนขัน นายลินช์ไปสอบถามถามอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองจากบริษัทอย่างถี่ถ้วน โดยอ้างว่าจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์ แค่นี้คนในบริษัทก็ให้รายละเอียดจนนายลินช์หอบกลับพร้อมความปิติยินดีอยู่ในใจแทบไม่ไหว แกนอนตัดสินใจอยู่ร่วมคืนก็ได้บทสรุปว่า บริษัทแห่งนี้มีความมั่นคงถาวรแน่นอน 100% เบี้ยน้อยหอยน้อยที่เพียรสะสมคงไม่จบลงเพราะเจ้าหุ้นตัวนี้แน่ แกจึงตัดสินใจซื้อทันที ทุกอย่างถ้าเริ่มต้นดี อะไรๆ มันก็ดูดีไปหมด ฟลายอิง-ไทเกอร์ราคาหุ้นพุ่งปรู๊ดปร๊าดเพราะบริษัทรับขนส่งภาระทางทหารไปเวียดนาม เพราะตอนนั้นสหรัฐเข้าไปร่วมรบในสงครามเวียดนามด้วย ฉะนั้นอาวุธยุทโธปกรณ์และสัมภาระต่างๆ ที่ลำเลียงจากอเมริกาไปแปซิฟิกก็ต้องใช้ทางเครื่องบินเท่านั้น ช่วงเวลาเพียง 2 ปีหุ้นจากราคา 7 เหรียญก็กระโดดไปที่ 32 เหรียญ ผมไม่โลภหรอกครับ มันทำกำไรเกือบ 5 เท่าผมก็เริ่มทยอยขายไปจนหมด และกำไรก้อนนี้แหละที่เป็นทุนให้ผมเรียนปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่ วาร์ตัน และผมเรียกทุนการศึกษาก้อนนี้ว่า ทุนกาศึกษาฟลายอิง-ไทเกอร์ ผมต้องให้เกียรติแก่หุ้นตัวแรกในชีวิตของผมหน่อย ในช่วงระหว่างที่เรียนปีสุดท้ายที่บอสตัน นายลินช์ไปสมัครงานตอนปิดเทอมหน้าร้อนที่บริษัทฟิเดลลิตี จำกัด ซึ่งผู้จัดการใหญ่คือคนที่แกแบกถุงกอล์ฟให้เป็นประจำนั่นเอง มิสเตอร์ จอร์จ ดี ซัลลิแวน กรรมการผู้จัดการเป็นคนแนะนำ เพราะแกเห็นว่าผมหน่วยก้านดี แกบอกว่าที่บริษัทมีตำแหน่งว่างอยู่ 3 ตำแหน่ง ลองไปสมัครทดสอบฝีมือเอา เพราะบริษัทแห่งนี้โด่งดังมากในสมัยนั้น ใครๆ ก็อยากทำงานด้วยทั้งนั้น เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจการเงินและหุ้น และด้วยความสามารถของผม ผมก็ผ่านการทดสอบไปได้ เพราะมีคนสมัครแข่งประมาณ 100 กว่าคน นายลินช์หลับตานึกถึงความหลังในสมัยนั้นแล้วเล่าให้ฟังต่อไปว่า ผมทำงานบริษัทนี้ด้วยความตั้งใจเป็นที่สุด เพราะคนที่สอนงานผม 2 คน คือ นายเน็ด จอห์นสัน เป็นผู้บริหารกองทุน ฟิเดลลิตีเทรนด์ กับนายเจอร์ซีไซ ผู้ดูแลกองทุน ฟิเดลลิตีแคปปิตอล ซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 มีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการหุ้น ฝีไม้ลายมือเป็นที่ประจักษ์เป็นอย่างดีสำหรับนักเล่นหุ้นในนิวยอร์ค เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทำให้อาจารย์ทั้ง 2 คนนี้ผิดหวังในตัวผมอย่างแน่นอน ผมมีความรู้สึกเหมือนกับที่เซอร์ไอแซค นิวตัน พูดไว้ว่า ที่ผมสามารถมองไกลไปข้างหน้ากว่าคนอื่นมากมายนั้นก็เพราะได้มีโอกาสยืนอยู่บนไหล่ของมหาบุรุษผู้ยิ่งยงนั่นเอง ทฤษฎีข้อหนึ่งที่นายเน็ด จอห์นสันสอนให้แก่นายลินช์จำแบบไม่มีวันลืมนั่นคือ หุ้นเมื่อขึ้นมาแล้วต้องขายไป ที่ควรจะเก็บรักษาไว้อย่างดีคือ เมีย เท่านั้น นายเน็ด จอห์นสัน เป็นลูกชายนักบริหารกองทุนชื่อก้องอีกท่านหนึ่ง และแกคนนี้แหละที่ทำให้คนอเมริกันจำนวนมากเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการซื้อ-ขายหุ้น เพราะทฤษฎีที่สอนนายลินช์ไว้นั้นแกก็มาสอนคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน แต่ใครจะจำหรือไม่สนใจนั่นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะแกมักจะเน้นเสมอว่า การลงทุนในหุ้นนั้นมิใช่เป็นการเก็บตุนเงินทุนเอาไว้ แต่จะต้องทำกำไรและกำไรอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อกำไรจากหุ้นตัวนี้ก็ให้ลงทุนซื้อหุ้นตัวใหม่หรือซื้อเพิ่มไปอีก แล้วกำไรก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัวไปเอง นายลินช์ได้บันทึกไว้ว่า วันที่แกได้งานซัมเมอร์ที่บริษัทฟิเดลลิตีในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 1966 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ระดับ 925 แต่พอหยุดงานและเข้าเรียนต่อปริญญาโทในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ดัชนีร่วงไปที่ 800 ทันที อาถรรพ์ปีเตอร์ ลินช์ เกิดขึ้นอีกแล้ว พอผมเริ่มจะมีอะไรดีในชีวิตดัชนีหุ้นเป็นต้องลดลงทุกที รู้สึกว่ามันไม่ต้อนรับความก้าวหน้าในชีวิตผมเลยนะ
โดย
Joraka
พุธ ส.ค. 11, 2004 8:27 am
0
0
Peter Lynch - One Up On Wall Street
บทที่ 02 ก่อนจะเป็นนักเล่นหุ้น นายปีเตอร์ ลินช์ แกบอกว่าสัจธรรมที่พบในวงการหุ้นก็คือ นักเล่นหุ้นไม่มีใครเป็นเซียน และไม่มีใครมีพรสวรรค์ในการเล่นหุ้น เพราะการเสี่ยงแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์อะไรเลย แม้กระทั่งตำแหน่ง เซียนหุ้นบรรลือโลก ที่ยกย่องแก แกก็บอกว่า ผมรับไม่ได้ นายลินช์บอกว่า วันที่ผมโผล่ออกมาลืมตาดูโลก ขอโทษครับ ตลาดหุ้นตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมทันที เพราะหุ้นวันนั้นตกรูด ดัชนีดาวโจนส์ร่วงไป 10 กว่าจุด เพราะตำแหน่ง เซียน ที่เขายกย่องผมนี้แหละ ทำให้ผมสงสัยว่า ตลาดหุ้น ดวงคงจะสมพงศ์กับผมกระมัง ผงเลยไปค้นดัชนีดาวโจนส์วันที่ผมเกิดดูก็พบว่ามันร่วงตามที่ผมบอกนั่นแหละ รู้สึกว่าตลาดหุ้นช่างไม่แยแสเลยนะที่ เซียนหุ้นจุติมาในวันนั้น ลินช์มักจะเหน็บแนมแบบนี้เป็นประจำถ้าหากว่าใครมายกย่องแกว่าเป็นเซียน อีกอย่างหนึ่งที่แสดงว่า ตลาดหุ้น จะไม่สมพงศ์กับชีวิตแกก็คือ คราวใดที่แกจะรับตำแหน่งเด่นๆ หรือจะมีอนาคตอะไรดีๆ พับผ่าซิ ตลาดหุ้นเป็นต้องร่วงทุกทีซิน่า ยกตัวอย่างหนึ่งที่นายลินช์บอกว่าไม่มีวันลืมได้เลยก็คือ ผมเซ็นสัญญาจะเขียนหนังสือให้กับหนังสือพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ใช้ชื่อเรื่องว่า ONE UP ON WALL STREET ซึ่งผมถือว่าจะเป็นก้าวสำคัญในชีวิตเลยละ พับผ่าซิ ตลาดหุ้นเริ่มร่วงถดถอยไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันเซ็นสัญญา จนให้หลังสองเดือนราคาหุ้นนิวยอร์คตกลงไปพันกว่าจุด นี่ถ้าผมขายลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้ไปทำเป็นหนัง รับรองเชื่อได้เลยว่าราคาหุ้นจะต้องร่วงไปเหมือนกับจะมีสงครามโลกครั้งที่ 3 แน่ นายลินช์กล่าวประชดตัวเอง คนอเมริกันทั่วไปมีความหวาดหวั่นมากเรื่องหุ้นตกในช่วงปี 1950 1960 และ 1970 แต่ที่นายลินช์เปิดสถิติดูปรากฏว่าดัชนีราคาเฉลี่ยของหุ้นทั้งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่าตัวทุกครั้ง และดูจะบูมมากกว่าปี 1980 ด้วยซ้ำไป และนายลินช์เล่าว่า ไม่ว่าหุ้นในตลาดราคาจะดีสักเพียงใดลุงๆ น้าๆ มักจะเตือนว่าถอยไปให้ห่าง อย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด เพราะมันอาจหมดเนื้อหมดตัวได้ในพริบตา แต่ชีวิตคนเราถ้าจะดังในทางนี้แล้วก็หนีไม่พ้น นายลินช์ได้เล่าประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องหุ้น เข้าไปข้องแวะกับชีวิตแกได้อย่างไรว่า ผมไปสมัครเป็นแคดดีที่แบรเบิร์น สปอร์ตคลับในบอสตัน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1955 พอเข้าทำงานแรกเท่านั้น ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ก็ร่วงจาก 467 ไปที่ 460 จุดพอดี เห็นไหมล่ะอะไรพอเริ่มจะดีหน่อย หุ้นก็ร่วงเสียแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่แคร์เพราะผมยังไม่ได้เล่นหุ้น ผมเป็นแคดดีที่นี่รายได้ดีทีเดียว แค่บ่ายวันเดียวผมมีเงินเท่ากับเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องทำงานตลอดสัปดาห์ และนักเล่นกอ์ฟที่ผมบริการนั้นเป็นระดับผู้จัดการใหญ่ของบริษัทฟิเดลิตี และเขานี่แหละที่จ้างให้ผมทำงานจนมีเชื่อเสียงโด่งดังมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นายลินช์เล่าต่อไปว่า ทุกครั้งที่ผมออกรอบกับแก ไม่ใช่ผมออกรอบเล่นกอล์ฟกับแกนะครับ คือแกออกรอบกับเพื่อนแล้วผมแบกถุงกอล์ฟให้แก เวลาแกตีชอตสวยๆ ปากแกก็มักจะพร่ำว่า แหมลูกนี้สวยเหมือนกับหุ้นตัวที่แกเล่นเลยพับผ่าซี แกพูดกรอกหูอยู่ทุกวี่ทุกวัน ในขณะที่ญาติก็เตือนว่าไปแตะต้องนะ ซึ่งมันตรงกันข้ามกันเลย ตอนนั้นยอมรับว่ามึนไปหมดไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี เพราะคนเล่นกอล์ฟร่วมก๊วนที่พูดคุยเรื่องหุ้นให้ฟังนั้นมักจะเล่าให้ฟังว่าเล่นหุ้นได้ทุกวัน แถมทิปหนักด้วย แต่ผมก็ต้องฟังหูไว้หูล่ะครับ นายลินช์เล่าต่อไปว่า ผมต้องหาเงินเรียนเองมาตั้งแต่เด็กจนจบไฮสคูล แล้วเข้าเรียนต่อที่บอสตันยูนิซิตี้ และที่นี่ผมก็เรียนฟรีเพราะเขามีทุนให้สำหรับแคดดีที่เรียนดีด้วย แต่คุณเชื่อไหมครับว่าผมไม่ได้เรียนเกี่ยวกับตัวเลขหรือวิทยาศาสตร์เลย ในขณะที่ผู้ที่หวังจะเอาดีทางด้านการลงทุนต่างกระวีกระวาดตั้งหน้าตั้งตาเรียน ส่วนผมโน่นแน่ะ ไปเรียนด้านศิลป์เป็นส่วนใหญ่ พยายามหลีกเลี่ยงทางด้านธุรกิจให้มากที่สุด ผมชอบปรัชญาและจิตวิทยา รวมทั้งประวัติศาสตร์มากที่สุด แต่คนเราคู่แล้วมักไม่แคล้วกัน ฉันใดก็ฉันนั้นวิถีชีวิตที่นายลินช์ซึ่งเป็นคนไม่ชอบตัวเลข ไม่ชอบหุ้น แต่พรหมลิขิตให้แกต้องกลายเป็นนักเล่นหุ้นตัวฉกาจไปในที่สุด ซึ่งนายลินช์บอกว่า มันก็ดีไปอย่างที่ผมไม่เรียนเกี่ยวกับตัวเลขตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเรียนจิตวิทยาและปรัชญานั้นเป็นการเตรียมสมองให้เป็นผู้เล่นหุ้นที่ดีนั่นเอง ทฤษฎีข้อหนึ่งที่นายลินช์พบจากประสบการณ์การเล่นหุ้นก็คือ การเล่นหุ้นนั้นเป็นศิลป์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ใครก็ตามที่ถูกจับมาเรียนบวก ลบ คูณ หารนั้นอาจะมองหุ้นเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่อาจมองเจาะทะลุปรุโปร่งเข้าไปด้านอื่นๆ ได้ ซึ่งการเล่นหุ้นนั้นจะต้องอาศัยหลายๆ อย่างมาประกอบกันทั้งจิตวิทยา ปรัชญา และตรรกวิทยามาประกอบการตัดสินใจ ตัวเลขเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น ตอนนี้มาถึงคุณหละ คุณคิดอย่างไรก่อนที่จะเป็นนักเล่นหุ้น อ๋อ คำถามหญ้าปากคอกแบบนี้ใครๆ ก็ตอบได้ เล่นหุ้นก็ต้องการเงินซิยะ จะถามหาพระแสงของ้าวอะไรกัน โอเคครับ ใครๆ ก็คงจะตอบแบบนี้แน่ร้อยทั้งร้อย แต่อยากจะถามต่อไปว่าคุณคิดดีแล้วหรือที่จะกระโดดลงไปในยุทธจักรแห่งความตื่นเต้น มีได้มีเสีย สุขและทุกข์เคล้าน้ำตา และคุณพร้อมแล้วหรือที่จะเป็นเศรษฐีใหม่ หรือไม่ก็หมดตัวเอาง่ายๆ เหมือนกัน คำถามที่คุณต้องถามตัวเองให้แน่ใจ และต้องตอบให้ได้ด้วยความมั่นใจ คือ 1. คุณมีความจำเป็นในการลงทุนซื้อหุ้นหรือเปล่า 2. คุณมีทางอื่นที่มีผลตอบแทนพอๆ กับการเล่นหุ้นหรือไม่ 3. คุณคิดว่าหุ้นเสี่ยงกว่าพันธบัตรหรือไม่ 4. คุณควรจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว 5. คุณมีความรู้สึกอย่างไรถ้าเกิดหุ้นตกแบบฮวบฮาบ หากคุณตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ คุณก็ไม่น่าจะเป็นนักเล่นหุ้น เพราะหากเกิดสถานการณ์ผันแปรในตลาดคุณก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นหวังเอาง่ายๆ กลายคนไร้เหตุผลในยามที่สถานการณ์ย่ำแย่ เป็นคนสิ้นหวัง ยอมขายขาดทุนหมดเนื้อหมดตัว เป็นที่รังเกียจของสังคมและญาติโกโหติกา การเป็นนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นที่ดีจะต้องมีความพร้อม คือต้องตอบปัญหาทั้ง 5 ข้อข้างต้นด้วยความมั่นใจ จากนั้นคุณก็จะต้องเป็นคนที่ขยันหาข้อมูล หาความรู้ สืบเสาะข่าวจากแหล่งต่างๆ ไม่หูเบาเกินไป และต้องไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม เป็นคนมีเหตุมีผล แต่ถ้าคุณตอบปัญหาทั้ง 5 ข้อไม่ได้ก็อย่าหวังเลยที่จะเป็นนักเล่นหุ้นที่ดีได้ รังแต่จะเป็นเหยื่อของตลาดเปล่าๆ และคุณจะโทษใครไม่ได้ถ้าคุณตอบตัวเองไม่ได้ เพราะเราเตือนคุณแล้ว
โดย
Joraka
อังคาร ส.ค. 10, 2004 3:43 pm
0
0
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย(5) โดย พายัพ วนาสุวรรณ 6 สิงหาคม 2545 23:19 น. เจริญ สิริวัฒนภักดี คนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น ท่านเจ้าคุณของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง พายัพ วนาสุวรรณ คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี มาตีแผ่จนถึงราก ใน คารวะแผ่นดินทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา จากผลงาน ชนช้างครั้งนี้ของพายัพ วนาสุวรรณก่อให้เกิดผลสะเทือนเลื่อนลั่นวงการราชการ ผู้ที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมเหล้าเป็นอย่างมาก พร้อมกันกับคำสั่งเซ็นเซอร์ของกองบัญชาการทหารสูงสุดเจ้าของสถานีวิทยุคลื่น99.5 เมกะเฮีิรต์ซ และ เหตุการณ์ชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งบุกทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายพนักงานของสำนักงานหนัง สือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เหตุการณ์หลังสุดนี้ทำให้กองบรรณาธิการผู้จัดการได้รับความแสดงห่วงใยจากผู้อ่านและผู้ฟังรายการคารวะแผ่นดินเข้ามาเป็นจำนวนมาก และ มีเสียงเรียกร้องอยากจะอ่านพายัพชนช้างอีกครั้งหนึ่ง กองบรรณาธิการผู้จัดการจึงขอนำมาเสนอเพื่อตอบสนองด้วยคารวะท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ในสี่ตอนที่ผ่านมา พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ฉายแววความเป็นอัจริยะในการโกงรัฐ และ เลห์ทางการค้าที่ใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันที่เข้มแข็งอย่างกลุ่มสุรามหาราฏร์ ด้วยการติดปีกให้หงส์ทองสามารถผยองเดชบินข้ามเขตไล่ตีแม่โขง กวางทอง จนกระเจิง ต่อมาในตอนที่ 4 พายัพ ได้พูดถึงคนที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจริญและคนที่คอนรับใช้และสร้างความมั่งคั่งให้เขา และ จากนี้ต่อไปจะเป็นตอนที่5 ของพายัพชนช้าง ท่านผู้ฟังครับ ถึงตอนนี้แล้วก็ปรากฏว่า นายเจริญนั้น เขาก็เป็นผู้ที่ผูกขาดการค้าสุราทุกประเภท ในประเทศ ไทย เรียกได้ง่ายๆว่า 99% ของการทำสุรานั้นอยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญ ผูกขาดทั้งสิทธิในการทำสัมป ทานที่ได้ ตลอดจนผูกขาดทั้งกระบวนการจัดส่งสุรา ไม่ว่าจะเป็นเอเยนต์ หรือขบวนการจัด จำหน่ายทั่วประเทศไทย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มมีกระบวนการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการเปิดเสรีขึ้นมา เพื่อการผูกขาดโดยเฉพาะภายใต้หน้ากากของการเปิดเสรี ท่านผู้ฟังครับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ซึ่งนายเจริญเคยมีบุญคุณอยู่ในเรื่องของการให้บริษัท ตลาดน้อยคอมเพลกซ์ นั้นมาซื้อที่ดินของตระกูลโสณกุล แล้วก็ให้บริษัทตลาดน้อยคอมเพลกซ์นั้น ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วอาวัลโดยธนาคารมหานคร เอาไปขายลดที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ได้พูดว่าวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดของสุรา คือการเปิดเสรี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดน่ะครับ ใครใคร่ผลิตผลิต ใครใคร่ค้าค้า เสียภาษีไปเท่านั้นเท่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐ พูดแบบนี้พูดอีกก็ถูกอีกท่านผู้ฟัง ใครฟังแบบนี้ก็ต้องชอบเพราะดู เหมือนเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าทุกคนมีโอกาสที่สามารถจะแข่งขันได้ แต่ท่านผู้ฟังครับ สิ่งที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล พูดนั้นไม่ทราบว่าพูดโดยมีเจตนาแอบแฝง พูดโดยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพูดโดยที่โง่ ไม่รู้ หรือว่า พูดเพื่อที่จะทำเป็นบันไดขั้นตอนเพื่อให้มีการผูกขาด ว่าสิ่งที่นายเจริญได้ทำขึ้นมานั้น เขาได้ทำให้สนามการแข่งขันสุราให้มันไม่เสรีครับ ให้มันมีขวากหนามต่างๆให้มีขีดขั้นข้อจำกัด จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เมื่อมีการเปิดเสรี แท้ที่จริงคือการปิดตลาดนั่นเอง ซึ่งเป็น การกระทำที่รัฐจะไม่มีรายได้ไม่มีการผลิตสุราที่เหมาะ สม หรือในคุณภาพที่ดี หรือจะสามารถเก็บภาษีจากสุรานี้ได้น่ะครับ ท่านผู้ฟังครับ หลักใหญ่ที่สุดในนโยบาย การเก็บภาษีของธุรกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือในทั่วโลกนั้น มันมีอยู่ง่ายๆ ครับ ก็คือว่า ข้อที่ (1) รัฐต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถที่จะ เข้ามาทำธุรกรรมในธุรกิจอันนั้นได้ เปิดโอกาสเลยครับทุกคนเลยครับ เข้ามาทำได้ (2) มีการ แข่งขันโดยเสรีจริงๆ (3) ที่สำคัญน่ะครับก็คือไม่มีการ ผูกขาดตัดตอน (4) ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต รายหนึ่งรายใดให้มีสิทธิเหนือคนอื่น (5) สำคัญมากครับท่านผู้ฟังต้องดูแลผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่เป็นธรรม ให้ทุกคนมีต้นทุนทางการตลาดที่ยุติธรรม และ ทุกคนแข่งขันกันได้อย่างเสรี และให้ผู้บริโภคได้ของที่มีคุณภาพในราคาถูก ท่านผู้ฟังครับ นี่คือหลักการที่ควรจะเป็น และนี่ก็เป็นหลักการที่ผมเชื่อ และผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังทุกท่านที่ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังที่มีจิตใจเป็นธรรม ข้าราชการที่มีจิตที่ไม่สกปรก และมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้าทุกท่านก็ต้องเห็นด้วยกับ 5 ข้อนี้ครับท่านผู้ฟัง ที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปรส. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่ออะไร ก็เป็นเรื่องราวที่ยืนอยู่บนหลักการต่างๆเหล่านี้ทั้งสิ้นครับท่านผู้ฟัง กระผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ได้อิจฉาริษยาความร่ำรวยของเขา และไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายธนินท์ เจียรวรานนท์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวี หรือ UBC และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ ผมจะต้องมีเรื่องมีราวกับคนต่างๆเหล่านี้ ตราบใดที่คนต่างๆเหล่านี้รังแกผู้บริโภค โกงภาษีรัฐ เอารัดเอาเปรียบสังคม และก็สร้างภาพให้คนเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน ทั้งๆที่เงินที่ตัวเองเอามาทำบุญหรือสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น เป็นเงินซึ่งโกงจากชาติโกงจากบ้านเมืองครับท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังครับ ขบวนการเปิดสุรา ที่แท้จริงน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังฟังให้ดีๆน่ะครับ ขบวนการเปิดสุราเสรีที่แท้จริงนั้นคือ การยกเว้นภาษีให้กับคนๆเดียวทั้งสิ้นครับ ท่านผู้ฟัง ยกเว้นภาษีให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญครับท่านผู้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีการวางแผนที่แยบยล วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ดร. ผู้รู้ ใช้ปลัดกระทรวง ใช้อดีตปลัดกระ ทรวง ใช้นักวิชาการ ใช้นักการเมือง ใช้หนังสือพิมพ์ ใช้สื่อมวลชนทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นว่าขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตร มีการเปิดเสรีสุราเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ฟังครับ เสรีได้ยังไงครับในเมื่อกลุ่มๆ หนึ่งคือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยึดฐานการผลิตคือ โรงงานสุรา 12 โรงของทางราชการทั้งหมดมาเป็นของส่วนตัวแล้ว ยึดโรงงานปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสุรา แม่โขง กวางทองภายใต้สัมปทานในกลุ่มซึ่งบริษัท นายเจริญ ยึดไปแทนบริษัทสุรามหาราษฎร์ แล้ว ในกรณีโครงสร้างการตลาดของสุราเองก็ผูกขาด เพราะการผลิตทั้งหมด ในที่สุดแล้วต้องขายให้กับนายเจริญแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรับประกันรายได้ คำถามก็มีต่อไปว่าเมื่อฐานการผลิตทั้งหมดอยู่ในมือคนคนเดียวแล้ว จะมาเปิดเสรีทำไม จะมีใครเข้ามาผลิตแข่งกับเขา อีกประการหนึ่งท่านผู้ฟังครับ ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือรับเงินเจ้าของอุตสาหกรรมสุราที่ผูกขาดให้ปราบปรามเหล้าเถื่อนทั้งหมด เหล้าเถื่อนนี่คือประชาชนผลิตไม่ได้เลยครับท่านผู้ฟัง คือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่มีทางที่จะกระโดดขึ้นมาทำอะไรได้เลย ท่านผู้ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหล้าที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น ซึ่งการปราบปรามเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษด์ ที่ให้การผูกขาดสุราให้กับบริษัทที่ผลิตสุราแม่โขงตอนนั้น ก็คือบริษัทสุรามหาราษฎร์ ตอนนั้น ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่าเงื่อนไขที่รัฐและบรรดาข้าราชการทั้งหลายที่รับสินบาทคาดสินบนของกลุ่มนายเจริญ ทำขึ้นมานั้น ทำเพื่อที่จะให้กลุ่มนายเจริญนั้นสามารถผูกขาดธุรกิจสุราได้ต่อไป ภายใต้ภาพที่สร้างขึ้นมาว่าเป็นการเปิดเสรี เขาทำยังไงรู้ไหมครับท่านผู้ฟัง เขาตั้งเงื่อนไขว่าสุราในขณะนี้ ถ้าจะออกใหม่ ทำใหม่ เปิดใหม่ ต้องเสียภาษีร้อยละร้อย คือ 1 ลิตร ให้เสียภาษี 100 บาท ในขณะซึ่งของเดิมนั้นให้เสียภาษี 30 บาท 40 บาท 50 บาท 60 บาท เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสุรา เรามาพิจารณาในเรื่องอัตราภาษีก่อน ด้านนี้เป็นด้านเรื่องภาษีครับ ในขณะเดียวกันข้าราชการต่างๆเหล่านี้ และ นักการเมืองพากันร่างระเบียบงานบริหารงานสุรา ซึ่ง ขณะนี้ยังไม่ได้ออก แต่ท่านผู้ฟังทราบไหมครับว่าเขาเขียนระเบียบไว้ว่ายังไง เขาเขียนในระเบียบว่า ถ้าใครก็ตามที่จะผลิต สุราจะต้องมีโรงงานผลิตสุราที่ห่างจากที่ดินที่ห่างจาก แม่น้ำ 20 กิโลเมตร มีที่ดิน 350 ไร่ ผลิตได้หมื่นลิตร ต่อปี นี่เป็นเงื่อนไขนั้นต่ำครับท่านผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาผลิตสุราจะต้องเสียภาษีที่สูงกว่าเดิม มีฐานการลงทุนที่มหาศาลกว่าที่กลุ่มนายเจริญทำเอาไว้ เพราะ 12 โรงที่กลุ่มนายเจริญยึดเอาไปนั้น ซื้อไปแค่ 9 พันล้านบาทครับท่านผู้ฟัง โรงละ 7 ร้อยกว่า ล้านบาท 8 ร้อยกว่าล้านบาทเอง ท่านผู้ฟัง ถ้าคนเข้ามาใหม่แค่โรงเดียว ลงทุน ตามเงื่อนไขที่กำลังร่างขึ้นเพื่อกีดกันคนเข้าใหม่ ก็จะเห็นว่าลงทุนแค่โรงเดียวก็จะเห็นว่ามากกว่าที่นายเจริญ จ่ายไป 9 พันกว่าล้านบาทที่ซื้อโรงงานสุราไป 12 โรงเรียบร้อยแล้ว แล้วใครจะเข้ามาแข่งล่ะครับท่านผู้ฟัง ใครจะเข้ามาแข่งครับ นี่แหละครับคือการผูกขาดภายใต้เงื่อนไขเสรีที่เห็นได้ชัดที่สุดครับท่านผู้ฟัง แล้วใครมันช่างคิดเหลือ เกินครับท่านผู้ฟังว่าไอ้ระเบียบนี้มันออกมาจากใคร ระเบียบนี้มันออกมาจากข้าราชการกรมสรรพสามิต เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง และระเบียบ นี้วางอยู่บนโต๊ะนายพิสิฐ ลี้อาธรรม แล้วแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติจากนายพิสิฐก็สูงมากครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังครับว้าเหว่ไหมครับ หดหู่ไหมครับกับสังคมไทยทุกวันนี้ ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ติดตามข่าว ท่านผู้ฟังต้องจำได้ครับ ต้องจำได้ว่าเมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี้ พวกเราพูดกันตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล พูดกัน ตลอดเวลาว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดเสรี ต้องเปิดสุราเสรี ท่านผู้ฟังจำได้ไหมครับ พอพวกเราฟังเช่นนี้ พวกเราก็นึกด้วยจิตบริสุทธิของพวกเราก็บอกว่า เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่แข่งแข่ง แต่ว่ากระบวนการที่จะเดินทางไปสู่การเปิดเสรีนั้น อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ได้ถูกบรรดาข้าราชการที่กินสินบาทคาดสินบน ทั้งหมดสร้างเงื่อนไขต่างๆ ให้การเปิดเสรีนั้นกลายเป็นการผูกขาดไป โดยที่สังคมไทยนั้น ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้วก็จะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ขบวนการสร้างการผูกขาด ภายใต้เงื่อนไขการเปิดเสรีนั้นทำได้ 3 วิธีครับท่านผู้ฟัง ประการแรก คือยึดเครื่องมือการผลิตเสีย ยึดยังไงล่ะครับท่านผู้ฟัง ก็ไอ้โรงเหล้า 12 โรงที่เขาประมูลไปโดย้เงิน 9 พันกว่า ล้านบาท โรงเหล้าทั้งหมดที่ประมูลไปนั้นจะมีชื่อใครนั้นไม่สำคัญหรอกครับท่านผู้ฟัง เป็นชื่อตัวแทนทั้งนั้น แต่รวมเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นกลุ่มของนายเจริญทั้งสิ้น นี่คือยึดเครื่องมือการผลิตครับ ข้อแรก ข้อที่สอง คือออกระเบียบควบคุมการผลิต ออกมาตราการป้องกันการผลิตซะ ข้อที่สามขึ้นภาษีเพื่อคุ้มครองให้เรียบร้อย ท่านผู้ฟังเห็นหรือยังล่ะครับ และที่ร้ายกว่านั้นก็คือว่ากลุ่มนายเจริญ เมื่อ ทำไปเสร็จ 3 วิธี ก็เลยสร้างสต๊อกเหล้าที่ตัวเองสามารถที่จะเอาสต๊อกเหล้าที่มีอยู่มาหมุนไปหมุนมาได้ในระยะเวลา 3-5 ปี อย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดยไม่ต้องเสียภาษีเลยใน 3-5 ปีต่อไปนี้จากนี้ไปกลุ่มนายเจริญ ไม่ต้องเสียภาษีเหล้าอีกต่อไปแล้ว เป็นเวลา 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับมีมูลค่าภาษีเหล้าเท่าไหร่ เท่าที่ผมได้คำนวณมาคร่าวๆ ภาษีเหล้าที่ไม่ต้องเสียต่อปีตกประมาณราว 18,000 ล้านบาท 3 ปีก็ 54,000 ล้านบาท 5 ปีก็ 70,000 ล้านบาท ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังเห็นเด็กยากจน เห็นงบประมาณทางการสาธารณสุข เห็นงบประมาณทางการศึกษา ต้องถูกตัดออกไป งบประมาณทางการศึกษา เด็กซึ่งควรจะมีโอกาสได้เรียนมากขึ้น กลับไม่มีเพราะว่าประเทศจน งบประมาณสาธารณสุขซึ่งส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องเอามาบำบัดผู้ซึ่งมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นจากพิษสุรา ถูกตัดออกไป แล้วภาษี ท่านผู้ฟังเห็นไหมครับที่รัฐควรจะได้ปีละ 18,000 ล้านบาทเอามาใช้ในเรื่องพวกนี้กลับถูกเบียดบังไปซะ ท่านผู้ฟังครับ เราพูดอะไรออกครับในยุคนี้ พูดไม่ออกครับ ท่านผู้ฟังคอยดูซิครับ ไม่เชื่อก็คอยดูว่า สต๊อกเหล้าที่กลุ่มนายเจริญสร้างขึ้นมาเพื่อ RECYCLE ต่อไปอีก 3-5 ปี ในขณะนี้มีเหล้ายี่ห้อหนึ่งชื่อเหล้ามังกรทอง ผลิตออกมาถูกต้องตามกฏหมาย แต่ท่านผู้ฟังรู้ไหมครับเขาใช้โควต้าของสุรามหาราษฎร์ และสุราทิพย์ ตอนนี้เหล้านี้เก็บอยู่ประมาณ 150 ล้านขวด กำลังจะออกมาจำหน่าย ไม่เคยมีใครรู้จักว่าเหล้ามังกรทองคือเหล้าอะไร ท่านผู้ฟัง แต่เป็นเหล้าที่ไม่ได้เสียภาษีแม้แต่บาทเดียวครับ เพราะใช้โควต้าของสุรามหาราฎร์ และสุราทิพย์ นั่นคือโควต้าภาษีเก่าที่เสียไปแล้ว เอามา RECYCLE เหล้านี้ใช้บริษัทสุรา-กระทิงแดงของนายเฉลียว อยู่วิทยา มาบังอยู่ข้างหน้า ท่านผู้ฟังครับ เหล้าหงส์ทองหายไปแล้วครับท่านผู้ฟัง หงส์ทุกชนิด หายออกไปหมดแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องผลิตหงส์ข้ามเขต เหล้าสุราแม่โขงก็ขายตกเอาตกเอา เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องขายให้ดี ไม่มี ความจำ เป็นครับ เพราะสุราแแม่โขงไม่ใช่กลุ่มของนายเจริญ สุราแม่โขงเป็นของรัฐบาล แม่โขง กวางทอง หงส์ทอง ซึ่งเป็นลิขสิทธิของรัฐบาลทั้งหมดกำลังจะพังพินาศลงไปครับ ขายไม่ออก เพราะเขากำลังผลิตเหล้าอื่นออก มาแทน เพราะว่าเปิดเสรีแล้วนี่ครับท่าน เพราะฉะนั้น แล้วอะไรที่เป็นสมบัติของรัฐต้องฆ่าให้ตายไปหมด คำถามที่ผมอยากจะถามครับท่านผู้ฟัง อันนี้เขาเรียกว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนแบบไหนครับ อันนี้เป็นมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคแบบไหนครับ และอันนี้ที่สำคัญที่สุด เป็นการเปิดเสรีภายใต้คำจำกัดความแบบไหนครับ ท่านผู้ฟังครับ แม้กระทั่งคณะกรรมการป้องกันการผูกขาดกระทรวงพาณิชย์ก็ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มสุราครับ ท่านผู้ฟังจำได้ไหมครับ ผมพายัพ วนาสุวรรณ เคยพูดเรื่องนี้กรณีที่คณะกรรมการป้องกันการ ผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีนายศุภชัย พาณิชยภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีคนที่จะไปเป็นผู้อำ นวยการองค์ารค้าโลกที่เอาประโยชน์ของชาติไปแลกกับตำแหน่งที่ตัวเองต้องการ เป็นประธานอยู่ คณะกรรมการนี้ท่านผู้ฟังยั งจำได้ไหมที่ชี้ออกมาบอกว่าการขายเหล้าพ่วงเบียร์ของกลุ่มนายเจริญนั้นไม่ได้เป็นการผูกขาด ท่านผู้ฟังครับเขาช่วยกันจนไม่รู้ว่าจะช่วยกันยังไงแล้วครับ ประเทศชาติช้ำยังไม่พออีกหรือครับ พณฯท่าน ท่านผู้ฟังครับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของชาติ เป็นเรื่องใหญ่มากมากของชาติครับท่านผู้ฟัง เพราะเป็นการกระทำที่ร่วมมือกันของข้า ราชการของรัฐ บวกนักการเมือง ผสมผสานกับผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ถูกสินบาทคาดสินบนและผลประโยชน์ ฟาดเสียเอาไปเพื่อดำเนินการรังแกผู้บริโภคในฐานะที่ผลิตของที่ราคาแพงเกินควร สองเบียดบังผลประโยชน์ที่ชาติควรจะได้รับ และสามสร้างความร่ำรวยและเอาความร่ำรวยนั้นไปบริจาคทำบุญทำกุศลให้ตัวเองได้หน้าได้ตา บนหยาดเหงื่อแล้วก็หยดเลือดและน้ำตาของสังคมไทย
โดย
Joraka
ศุกร์ มิ.ย. 18, 2004 4:12 pm
0
0
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย(4) โดย พายัพ วนาสุวรรณ เจริญ สิริวัฒนภักดคนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น ท่านเจ้าคุณของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง พายัพ วนาสุวรรณ คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี มาตีแผ่จนถึงราก ใน คารวะแผ่นดินทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา ในสามตอนที่ผ่านมา (ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันอังคารที่ 17 และอังคารที่24 ) พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยล่าสุดในตอนที่สามที่ผ่านมานั้น พายัพ ได้เล่าให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ฉายแววความเป็นอัจริยะในการโกงรัฐ และ เลห์ทางการค้าที่ใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันที่เข้มแข็งอย่างกลุ่มสุรามหาราฏร์ ด้วยการติดปีกให้หงส์ทองสามารถผยองเดชบินข้ามเขตไล่ตีแม่โขง กวางทอง จนกระเจิง และ จากนี้ต่อไปจะเป็นตอนที่ 4 ท่านผู้ฟังครับ เคยสงสัยไหมครับว่าใครเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ในการประมูล 32 เขตครั้งแรกที่มีการฟ้องร้องกัน แล้วในที่สุด มีการประนีประนอมกันยอมความกัน โดยที่ให้คิดภาษีแบบเดิมไปก่อนน่ะครับ หรือว่าคิดภาษีแบบเหมาจ่ายน่ะครับ ใน 32 เขตนั้นคนที่ประมูลได้ 2 เขตในตอนนั้น คือกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับ ซึ่งสมัยนั้นยังใช้นามสกุล ว่า ศรีสมบูรณานนท์น่ะครับ นายเจริญได้ 2 เขตใน 32 เขต ซึ่ง 2 เขตนี้ก็ครอบคลุมทั้งหมด 13 จังหวัด ซึ่ง 2 เขต เขตหนึ่งนั้น ก็เป็นเขตทางภาคตะวันออกจังหวัดชลบุรี อีกเขตเป็น ขององค์การสุราด้วย ใน 2 เขตที่ อยู่ใน 32 เขตที่นายเจริญ ประมูล ได้นั้น ก็เลยผลิตเหล้าหงส์ทองขึ้นมา เพื่อมารุกตลาด เหล้าแม่โขงที่ผมได้เรียนให้ทราบแล้วตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า ก็เลยตั้งบริษัท TCC ขึ้นมา ชื่อบริษัท เถลิงจุลและเจริญ T คือ เถลิง C คือจุล และ C อีกตัว คือเจริญ เถลิง ก็คือเถลิง เหล่าจินดา เจ้านายเก่าของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับที่วันนี้ก็ถูกนายเจริญกลืนไปหมดเรียบร้อยแล้ว ส่วน C ตัวแรกก็คือนายจุล กาญจนลักษณ์ นั้นก็คือ คนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล้า เป็นผู้ที่ผสมสูตรเหล้า แม่โขง และกวางทอง ของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็น ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมครับแต่ว่านายเจริญ เอามาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท TCC น่ะครับ และบริษัท TCC อันนี้ ก็มาผลิตเหล้าหงส์ทอง โดยที่เหล้าหงส์ทองนั้น สูตรเหมือนแม่โขงทุกประการเพราะปรุงจากคนคนเดียวกัน หงส์ทองน้องฝาแฝดแม่โขงครับ สูตรเหมือนแม่โขงเป๊ะเลย เพียงแต่ฐานภาษีนั้นต่ำกว่าแม่โขงมากก็เลยเกิดการที่เขาเรียกว่า หงส์บินข้ามเขตครับท่านผู้ฟังที่ผมได้เล่าให้ฟัง ก็คือหงส์ทองนั้นจะต้องถูกขายเฉพาะในเขตชลบุรีเท่านั้นเอง แต่ว่าแอบส่งไปขายได้ ทั่วประเทศ ก็เลยเกิดการทำมาหากินอย่างชนิดที่เรียกว่ากำไรมหาศาลคือ หลีกเลี่ยงภาษี ทำผิดกฏหมายมาตลอด พอกำไรแล้ว พอมีการประมูลใหม่โดยที่รวม 32 เขต ยุบออกมาให้เหลือ 12 เขตอย่างที่ผมเรียนให้ทราบน่ะครับ ก็คือที่รัฐบาลยุบเหลือ 12 เขต นายเจริญ ก็เอาเงินที่กำไรอย่างมากมายในการทำหงษ์บินข้ามเขตมาประมูล 12 เขตนี้ ประมูลได้หมด เพราะว่านายเจริญ ไปดึงเอาหุ้นส่วนหลายหุ้นส่วนมารวมกัน เพื่อที่จะรบกับบริษัทสุรามหาราษฎร์ เพราะตอนนั้น ยังแยกกันอยู่ พูดโดยสรุปง่ายๆว่า ใน การประมูล 32 เขตครั้งแรกนั้นนายเจริญได้ไป 2 เขต ใน 32 เขต แล้วก็ผลิตเหล้าหงส์ทองที่ฐานภาษีต่ำ ที่ กฏหมายกำหนดให้ขายได้เฉพาะในเขตนั้น แล้วก็ใช้ ความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ทำหงส์ทองเป็นหงส์บิน ก็คือบินข้ามเขต ไปขายข้ามเขต อย่างผิดกฏหมาย กรมสรรพสามิตก็ไม่ทำอะไร ร่ำรวยมาจากตรงนี้แล้วมารวบรวมเรียกเพื่อน ฝูงมาเข้าหุ้นเพื่อประมูล 12 เขตที่ถูกยุบมาจาก 32 เขต แล้วในที่สุดความฝันก็เป็นจริง นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งในขณะนั้นยังใช้นามสกุลว่า ศรีสมบูรณานนท์ ก็ประมูลได้ 12 เขต และตรงนี้ก็เป็นฐานของบริษัทที่ตัวเองตั้งขึ้นมา ชื่อ บริษัท สุราทิพย์ ท่านผู้ฟังครับ บริษัท สุราทิพย์นั้น ต่างกว่าบริษัท TCCเพราะ บริษัท TCC นั้น คือบริษัทของการเริ่มต้นที่ประมูลได้ 2 เขต จาก 32 เขต เพื่อผลิตเหล้าหงส์ทอง โดยบริษัท TCC นั้นเป็นการร่วมทุนระหว่าง คุณเถลิง คือ T C คือคุณจุล กาญจนลักษณ์ ผู้ผสมเหล้าแม่โขง เข้าของสูตรเหล้าแม่โขง แล้ว C อีกตัวคือ นายเจริญ เมื่อร่ำรวยจาก TCC แล้วก็เอาเงินนี้มาประมูล 12 เขต แล้วก็มาตั้งบริษัทใหม่ที่เป็นเจ้า ของ 12 เขตนี้ ชื่อบริษัท สุราทิพย์ เพื่อ ขึ้นมาชนกับบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งในขณะนั้นนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ ได้รับมอบหมายจากตระกูลให้เป็นผู้ที่ดูแลบริษัทนี้ ในขณะนั้น มีความพยายามที่จะรวมบริษัทสุรามหาราษฎร์ กับบริษัท สุราทิพย์ เข้าด้วยกัน เพราะว่าเมื่อบริษัท สุราทิพย์ ประมูลได้ 12 เขตแล้วก็เท่ากับบริษัทสุราทิพย์ สามารถที่จะผลิตเหล้าตระกูลหงษ์ออกมาขายได้ 12 เขตเช่นกัน ก็คือขายได้ทั่วประเทศ เขตใครเขตมัน อย่างเช่น เขต ชลบุรี อาจจะเป็นหงส์ทอง ทางภาคเหนืออาจจะเป็น หงส์แดง หงส์ฟ้า หงส์เหลือง หงส์ม่วง ก็คือเหล้าตระกูล หงส์นั่นเองครับท่านผู้ฟัง ซึ่งก็คือแม่โขงในรูปแบบของยี่ห้อหงส์นั่นเอง แต่ต้นทุนถูกมากกว่าแม่โขงและกวางทอง เพราะฐานภาษีต่ำกว่า คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบินข้ามเขตแล้ว ก็คือให้เขตโน้นเขตนั้น ผลิตเหล้าของตัวเองขึ้นมา แต่ว่าเป็นเหล้าแบบเดียว กัน ผสมแบบเดียวกัน เพื่อเอามาชนกับแม่โขง และกวางทองโดยเฉพาะ ตรงนี้ก็เลยได้มีการพยายามในครั้งแรกในขณะนั้น ที่จะรวมหุ้นกันระหว่างบริษัทสุรา มหาราษฎร์ และบริษัท สุราทิพย์ ให้เข้ามาอยู่ร่วมกัน คล้ายๆว่าอย่าทะเลาะกันเลย แต่ในการรวมนั้น รวมกันลำบาก เพราะว่า คุณ สุเมธ เตชะไพบูลย์ ซึ่งเป็นน้องชายคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ เป็นคนประเภทยอม หัก ไม่ยอมงอ ก็เลยไม่ยอมที่จะทำเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลย มีความขัดแย้ง ความพยายามนี้ก็เลยล้มเหลวไป ท่าน ผู้ฟังครับ สถานการณ์ ในตอนนั้น มันมีความเหมือน และความต่าง ในความเหมือนนั้น ก็คือว่าหุ้นส่วนใน บริษัทสุรามหาราษฎร์นั้น ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นหุ้นส่วน ในบริษัทสุราทิพย์ กับนายเจริญ ในความต่างก็คือว่า ความต่างระหว่างนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ซึ่งไม่ถูกและ ไม่ชอบนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ ในขณะนั้น นั่นคือความต่างน่ะครับ ท่านผู้ฟังครับหลังจากนั้นนายเจริญ ก็ได้ไปซื้อบริษัท ธารา คือเหล้าธารา ซึ่งเป็นเหล้าของนายประสิทธิ์ ณรงค์เดช ซึ่งบริษัทนี้ ได้ล่มสลายไปในตอนนั้น เหตุผลที่ไปซื้อเหล้าธารา คือซื้อใบอนุญาตเหล้าธารา แล้วก็มาผลิต เหล้าขึ้นมายี่ห้อหนึ่งท่านผู้ฟังคงจำได้ คือเหล้า แสงโสมน่ะครับ ก็ตั้งชื่อ บริษัท แสงโสม โดยใช้บริษัท TCC มา TAKE OVER พอทีนี้ทำเสร็จก็เอาแสงโสมมาตีแข่งกับแม่โขง และ เผอิญแข่งลำบากเพราะต้นทุนของ แสงโสมแพงกว่าเพราะว่าค่าภาษีแพงกว่า แต่ว่าเขาไม่ห่วงหรอกครับ เพราะเขายึด 12 โรงได้แล้ว ยึดการ ผลิตเหล้า 12 โรงได้แล้วก็ออกเหล้าตระกูลหงส์ อย่าง ที่บอกไว้ตอนต้น ก็เป็นหงษ์ 12 ตระกูล หงส์สีต่างๆ แสดงว่าตอนนั้น การที่เข้าไปยึดทั้ง 12 เขต นั ้นก็คือการคุมรากฐานและระบบเอเยนต์การจัดจำ หน่ายทั้งหมดทั่วประเทศไทย ที่จะทำให้สามารถแข่ง กับแม่โขงได้ เพราะถ้าไม่มีระบบจัดจำหน่ายทั่วประ เทศไทยจะไปแข่งกับแม่โขงไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว นายเจริญ ก็เลยใช้ฐาน 12 โรงมาวางรากฐานการวางเอเยนต์ เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งตลอดทั่วประเทศไทย และอันนี้ก็เป็นจุดต่อมาซึ่งสร้างความขัดแย้งกันระหว่างเบียร์สิงห์ บริษัท บุญรอดบริวเวอร์รี่ และกลุ่มของนายเจริญน่ะครับ นี่คือที่มาอีกส่วนหนึ่งของการขายเหล้าพ่วงเบียร์น่ะครับ เพราะว่านายเจริญได้ คุมระบบการจัดจำหน่ายทั่วประเทศได้เบ็ดเสร็จ ยุทธการต่อไป ท่านผู้ฟังครับ คือการเข้าไปยึดบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทาน การผลิตเหล้าแม่โขงและกวางทอง เพราะตอนนี้รากฐานของระบบเอเยนต์จัดจำหน่ายทั่วประเทศของตัวเองก็มีีแล้วระบบการผลิตของเหล้าใน 12 เขต ซึ่งเป็น ทั้งเหล้าขาวและเหล้าสีตัวเองก็มีอยู่แล้ว แสงโสมซึ่งผลิตออกมาเพื่อชนกับแม่โขงตัวเองก็มีอยู่แล้ว ก็เลยเกิดการที่เขาเรียกว่าสงครามการประมูลเหล้าแม่โขงขึ้นมาครับ ถ้าท่านผู้ฟังที่เคยติดตามเรื่องนี้มาคงจะพอจำได้ ถ้าจำได้แล้วไม่เข้าใจ หรือว่าจำไม่ได้ ตามผมมาซิครับแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ท่านผู้ฟังครับในปีประมาณ พ.ศ. 2528 ในช่วงรัฐบาลชุด พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการประมูลสัมปทานเหล้าแม่โขงและกวางทองที่กลุ่มเตชะไพบูลย์ถืออยู่ และจะหมดอายุสัมปทานขึ้นมา โดยที่ผู้ที่ได้รับสัมปทานเก่านั้น คือกลุ่มบริษัทสุรามหาราษฎร์ คือกลุ่มพวกเตชะไพบูลย์ และผู้ที่เข้ามาชิงแชมป์มในครั้งนั้น คือกลุ่มของ บริษัทสุราทิพย์ ก็คือกลุ่มนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ ในขณะนั้น ในการประมูลครั้งนั้นเป็นการ ประมูลซึ่งสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ทางกลุ่มเตชะไพ บูลย์ ก็ไม่คิดว่าทางกลุ่มนายเจริญจะให้ผลตอบแทนอย่างบ้าเลือดขนาดนั้น ทางกลุ่มเตชะไพบูลย์ก็คิดว่าการให้ผลตอบแทนแก่รัฐ 30% นั้นก็ค่อนข้างจะสูงอยู่แล้ว แต่พอมาเจอผลตอบแทนที่ทางกลุ่มนายเจริญให้ คือ 45.67% น่ะครับ หรือในที่การประมูลนั้นเขารู้กันว่านายเจริญนั้นให้เลข 4 ก็คือ 4567 นั่นคือ 45.67% ก็เลยทำให้กลุ่มของนายเจริญนั้นได้ไปน่ะครับ ในการทำงานที่จะประมูลเพื่อสัมปทานนั้น ท่านผู้ฟังครับลองไปตรวจสอบ ลักษณะการประมูลแบบให้สิทธิ์และแข่งกันว่า ใครให้ สิทธิ์สูงกว่าท่านผู้ฟังจะเห็นว่าร้อยละ 90 คนที่ประมูล ได้จะให้สิทธิสูงสุดโต่งเลย ทำไมถึงกล้าให้ล่ะครับ เพราะถ้าเขารู้ว่าถ้าได้สิทธิอันนั้นมาแล้ว เขาก็หาทางที่จะไปเกี้ยเซี้ยะ เจ้าเก่าที่สอบตก อาจจะให้เข้ามาร่วมทุนด้วย แต่เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย แล้วเขาก็จะ มาคุยกับรัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานน่ะครับว่า สัมปทานสิทธิอันนี้ต้องขอเจรจาใหม่เพราะให้สูงเกินไปทำไม่ได้ มันเป็นอย่าง นี้จริงๆครับ ท่านผู้ฟัง ประเทศเรานี่ ไม่ว่ากิจการอะไรก็ตาม ก่อนที่จะประ มูล เพื่อให้ได้สัมปทานมาจะยอมหมดทุกอย่าง ผมจะยกตัวอย่างที่คลาสสิคอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบพูดประจำก็คือกรณีของ UBC ตอนที่ได้สัมปทานเพื่อทำเคเบิ้ลทีวีนั้น เงื่อนไขรัฐมีอะไรยอมหมดทุกอย่าง ยอม แม้กระทั่งทุกอย่าง รัฐบาลบอกห้ามไม่ให้มีโฆษณา ตอนนี้กลับมาต่อสู้บอกว่าประชาชนต้องการให้มีโฆษณา นี่คือความหน้าด้านของพ่อค้าครับท่านผู้ฟัง แล้วรัฐบาลที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ยอมรักษากติกา เพราะถ้ารักษากติกา ก็บอกว่าเอาละยอมลดสิทธิ์ ผมไม่ว่าถ้าอย่างนั้น คุณลดราคาขาย หรือว่าถ้า UBC ต้องการที่จะมีโฆษณา คุณห้ามคิดค่าเคเบิ้ล TV เกินกว่าเดือนละ 200 บาท รัฐบาลจะไม่ค่อยปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ผลประโยชน์ของประชาชน คือตัวท่าน ตัวผม แต่รัฐบาลจะมัวไปปกป้องผลประโยชน์ ของพ่อค้า เหตุผลก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ได้รับผล ประโยชน์ และกินเงินเดือนพ่อค้าอยู่ตลอดเวลาครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังครับ เมื่อบริษัทสุราทิพย์ได้ประมูล สัมปทานเหล้าแม่โขงไปในราคา 4567 คือ 45.67% สูงกว่ากลุ่มเตชะไพบูลย์ซึ่งให้แค่ 30% ก็เลยได้ไป แต่ ปรากฏว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดท่านผู้ฟังทราบไหมครับ คือใคร ก็คือบรรดานายธนาคาร ซึ่งเป็นนายทุนของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับ โดยกลุ่มนายทุนมีใครบ้างล่ะครับท่านผู้ฟัง ธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นผู็จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทยในยุคนั้นมี ม.ร.ว. ปรีดียาธร เทวกุลเป็นตัวแทน และอีกหลายธนาคาร เมื่อตอนที่เคาะ ตัวเลขก็บอกว่า อุ๊ยตายแล้ว 4567 ก็เจ๊งน่ะซิ ทำยังไงก็เจ๊ง เจ๊งแน่ๆเลยสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วจะต้องหาวิธีแก้ไข แล้วมันก็เป็นธรรมเนียม ครับท่านผู้ฟังครับ ของพวกประมูลเหล้าจะต้องประมูลสูงไว้ก่อน แล้วค่อยมาแก้สัญญาทีหลัง โดยที่มีวิธีการมาเจรจากับรัฐบาล วิธีการที่เขาทำกัน เขาขอเหมาภาษีครั้ง ขอเหมาภาษี โดยที่เขาอ้างว่า 4567 เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอเหมาภาษีก็แล้วกันว่า เหมากันเท่าไหร่ แล้วก็ปล่อยให้ราคานั้นเสรี โดย 45.67% ของราคาครับท่านผู้ฟัง ของราคาขายครับ ก็คือว่า ถ้าสมมุติว่า คุณตั้งราคาขาย 100 บาท คุณก็ต้องจ่าย 45.67 บาท เขาบอกว่าเขาสู้ไม่ได้ครับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเขา บอกว่าถ้ารัฐบาลต้องการราคาเหมาเท่าไหร่ก็เหมาไปเลยรวมตัวเลขตัวหนึ่งส่วนราคานั้นขอให้เขาเป็นคนตั้งโดยเสรีก็แล้วกัน สรุปแล้วท่านผู้ฟังเข้าใจหรือยังครับ คือเขามากระทืบตัวท่านผู้ฟังในฐานะผู้บริโภค เมื่อเขาผูกขาดสินค้าชิ้นหนึ่งได้แล้ว เขาก็มาตั้งราคาตามความพอใจ ท่านผู้ฟังถ้าท่านเป็นคนขี้เมาย๋ำเป ไม่รักษาตัวเอง ชอบกินเหล้าเมายา แล้วชอบมอมเมาตัวเองท่านผู้ฟังก็เป็นเหยื่อของคนพวกนี้ครับ เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือที่มาครับท่านผู้ฟังของเหล้าขาวว่าทำไมต้นทุนแค่ 16 บาท แต่ขาย 60 บาท ท่่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังเริ่มเข้าใจหรือยังล่ะครับ ว่าความร้ายกาจของเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าเมื่อเสนอ ความคิดอันนี้ขึ้นมาแล้ว คนที่ประมูลแพ้ก็คือกลุ่มเตชะไพบูลย์ ก็ร้องซิครับท่านผู้ฟัง ก็แหกปากร้องลั่นเลยว่ารัฐบาลไม่แฟร์ ทำไมถึงทำอย่างนั้นเมื่อเกิดการ ร้องขึ้นมามันก็วุ่นวายซิครับท่านผู้ฟัง ทำไมมันไม่วุ่นวายล่ะครับ ก็เพราะว่ากรมสรรพสามิต และกระทรวงการคลังเวลารับเงินพ่อค้าเหล้าจะกล้ารับ หน้าด้านรับ แต่ถ้ามีคนร้องขึ้นมาแล้วจะอับอายขายหน้า จะเอียงอายจะเขินไปหมดจะออกปากคอสั่นไปหมด แก้ตัวเป็นพัลวันว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เรากำลังพิจารณาอยู่ ในที่สุดแล้ว คนที่เดือดร้อนที่สุดจะต้องเป็นคน ที่เข้ามาช่วย ก็คือใครครับท่านผู้ฟัง คือเจ้าของเงินก็คือพวกที่เป็นนายธนาคารทั้งหลาย ก็ร้อนขึ้นมา ธนาคารต้องจับ 2 ฝ่าย คือกลุ่มสุรามหาราษฎร์ และกลุ่มสุราทิพย์ มาเจรจาความกันว่า เฮ้ย เรื่องนี้ยุติกันได้ไหม ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันเจ๊งด้วยกันทั้งคู่ แล้วจะกลายเป็นตอนนั้นน่ะครับท่านผู้ฟัง บริษัทสุรา มหาราษฎร์ เนื่องจากว่าพอรู้ว่าตัวเองนั้นถูกสุราทิพย์ ประมูลเหล้าแม่โขงได้ตัวเองก็เริ่มผลิตเหล้าแม่โขงที่ฐานภาษีต่ำ ต่ำกว่า 30% ที่ตัวเองเสนอเสีย ด้วยซ้ำ น่ะครับ ผลิตออกมาทำให้สต๊อกมีพอขายไป 1 ปี สบายๆ ก็หมายความว่า ถ้ากลุ่มนายเจริญ ยังใช้ฐานภาษี 4567 45.67% แล้ว ก็จะต้องมาเผชิญเหล้าแม่โขงราคาถูก ที่กลุ่มบริษัทสุารามหาราษฎร์ แอบผลิตเอาไว้ในสต๊อก 1 ปี ก็หมายความว่า กลุ่มนายเจริญนั้นต้องเจ๊งแน่ๆ ไม่มีทางเลือก นี่คือที่มาของการเจรจากัน โดยที่นายธนาคารเจ้าของเงินเป็นผู้ที่เข้ามาเพื่อให้ทุกคนหยุดทะเลาะกัน ในที่สุด ก็เลย มีการรวมทุนบริษัท สุรามหาราษฎร์ ยุคใหม่ กลุ่มเป็นหุ้นส่วนระหว่างกลุ่มนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ แล้วก็กลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยที่นายสุเมธ เตชะไพบูลย์ เป็นผู้ที่ถอนตัวออกไป แต่โดยสรุปแล้วฝ่ายของนายเจริญนั้นมีหุ้นมากกว่า แล้วนายเจริญก็เป็นคนบริหาร บริษัทสุรามหาราษฎร์ ก็เลยมาเจรจารัฐบาลในเรื่องภาษี ก็คือขอให้มีการเหมากันไปเลย โดยราคาให้เสรี น่ะครับ คือพูดง่ายๆว่า เอาบริษัทสุราทิพย์ ซึ่งได้สัมปทานเหล้า 12 โรง ของกระทรวงการคลัง มารวม กับสุรามหาราษฎร์เป็นแพ๊กเก็จเดียวกัน แล้วไปเจรจากับรัฐบาลว่า ที่เป็นแพ๊กเก็จเดียวกันได้เพราะตัวเองนั้นผูกขาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวเองนั้น ผูกขาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ฟังครับที่เป็นแพ๊กเก็จเดียวกันนั้น ก็เพราะว่านายเจริญ กลุ่มนายเจริญนั้น เป็นผู้ได้สิทธิในการดำเนินการสุรา 12 เขต ของ กระ ทรวงการคลังทั่วประเทศไทย ที่ผลิตเหล้าขาวและเหล้าสี ในขณะเดียวกันการที่เข้ามารวมกับกลุ่มเตชะไพบูลย์ในบริษัท สุรามหาราษฎร์ โดยที่ตัวเองถือหุ้นมากกว่า ก็เท่ากับตัวเองนั้นเป็นผู้ที่ได้สิทธิสุราปรุงพิเศษ คือ แม่โขงและกวางทอง ที่ขายได้ทั่วประเทศ สรุปง่ายๆครับท่านผู้ฟังครับ อุตสาหกรรม ตั้งแต่สุราปรุงพิเศษ แม่โขง กวางทอง ที่มีสิทธิขายได้ทั่วประเทศไทย ลงไปจนถึงสุราเชียงชุน เหล้าขาวที่ขายพ่อแม่พี่น้องประชาชน ชาวไร่ชาวนาที่ยากจนนั้น อยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญเพียงคนเดียว เพราะ ฉะนั้นนายเจริญก็สามารถที่จะเอาสองสิ่งนี้ มารวมกันแล้วสก็มาเจรจาต่อรองกับรัฐบาลว่าให้เหมาจ่ายไปเลย ว่าคิดเป็นกี่ % แต่รับประกันขั้นต่ำว่ารัฐบาลต้องการเท่าไหร่เขาจะจ่าย และจ่ายล่วงหน้าด้วย ส่วน เขาจะขายเท่าไหร่ เขาไม่แคร์ ก็ปล่อยเขาไปเลย คุมที่เดียวคือเฉพาะอัตราภาษี คิดอัตราภาษีคือให้คิดจากอัตราขายส่งช่วงสุดท้าย คุมเฉพาะอัตราภาษี ไม่ได้ได้คุมราคาขายปลีกน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกยังไงครับ ท่านผู้ฟังครับ นี่คือคน ที่เลวที่สุดในประเทศไทย คนที่ใจบุญสุนทาน คนที่เที่ยวแจกเงินทำบุญทำกุศล คนที่มีบริษัทที่มีองคมนตรี ประธานองคมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเป็นกรรมการบริษัท คนที่เดินไปไหนมาไหนทุกคนโค้ง ทุกคนเคารพ ทุกคนคำนับ ท่านผู้ฟังครับ การ ที่กลุ่มนายเจริญทำเช่นนี้ได้ ท่านผู้ฟังทราบไหมครับ เขาทำได้อย่างไร ที่เขาทำได้เช่นนี้เพราะว่ามีขบวนการข้าราชการประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่มาสายกรมสรรพสามิต และอดีตข้าราชการ กระ ทรวงการคลังบางคน ดำเนินการวางแผนให้อย่าง แยบยล เป็นขบวนการเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อแลกเปลี่ยนกับเศษเนื้อเศษกระดูกที่ถูกโยนเอามาให้ โกงชาติโกงแผ่นดิน ช่วยพ่อค้าโกงชาติโกงแผ่นดิน โกงภาษีอากรของประชาชน โกงภาษีอากรของรัฐ ของประเทศชาติ รังแกประชาชนในการตั้งราคาขายให้แพง เป็นสินค้าที่มอมเมา และทำลายสุขภาพของประชาชน ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังครับ ถึงตอนนี้แล้วก็ปรากฏว่า นายเจริญนั้น เขาก็เป็นผู้ที่ผูกขาดการค้าสุราทุกประเภท ในประเทศ ไทย เรียกได้ง่ายๆว่า 99% ของการทำสุรานั้นอยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญ ผูกขาดทั้งสิทธิในการทำสัมป ทานที่ได้ ตลอดจนผูกขาดทั้งกระบวนการจัดส่งสุรา ไม่ว่าจะเป็นเอเยนต์ หรือขบวนการจัด จำหน่ายทั่วประเทศไทย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มมีกระบวนการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการเปิดเสรีขึ้นมา เพื่อการผูกขาดโดยเฉพาะภายใต้หน้ากากของการเปิดเสรี ท่านผู้ฟังครับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ซึ่งนายเจริญเคยมีบุญคุณอยู่ในเรื่องของการให้บริษัท ตลาดน้อยคอมเพลกซ์ นั้นมาซื้อที่ดินของตระกูลโสณกุล แล้วก็ให้บริษัทตลาดน้อยคอมเพลกซ์นั้น ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วอาวัลโดยธนาคารมหานคร เอาไปขายลดที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ได้พูดว่าวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดของสุรา คือการเปิดเสรี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดน่ะครับ ใครใคร่ผลิตผลิต ใครใคร่ค้าค้า เสียภาษีไปเท่านั้นเท่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐ พูดแบบนี้พูดอีกก็ถูกอีกท่านผู้ฟัง ใครฟังแบบนี้ก็ต้องชอบเพราะดู เหมือนเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าทุกคนมีโอกาสที่สามารถจะแข่งขันได้ แต่ท่านผู้ฟังครับ สิ่งที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล พูดนั้นไม่ทราบว่าพูดโดยมีเจตนาแอบแฝง พูดโดยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพูดโดยที่โง่ ไม่รู้ หรือว่า พูดเพื่อที่จะทำเป็นบันไดขั้นตอนเพื่อให้มีการผูกขาด ว่าสิ่งที่นายเจริญได้ทำขึ้นมานั้น เขาได้ทำให้สนามการแข่งขันสุราให้มันไม่เสรีครับ ให้มันมีขวากหนามต่างๆให้มีขีดขั้นข้อจำกัด จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เมื่อมีการเปิดเสรี แท้ที่จริงคือการปิดตลาดนั่นเอง ซึ่งเป็น การกระทำที่รัฐจะไม่มีรายได้ไม่มีการผลิตสุราที่เหมาะ สม หรือในคุณภาพที่ดี หรือจะสามารถเก็บภาษีจากสุรานี้ได้น่ะครับ ท่านผู้ฟังครับ หลักใหญ่ที่สุดในนโยบาย การเก็บภาษีของธุรกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือในทั่วโลกนั้น มันมีอยู่ง่ายๆ ครับ ก็คือว่า ข้อที่ (1) รัฐต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถที่จะเข้ามาทำธุรกรรมในธุรกิจอันนั้นได้ เปิดโอกาสเลยครับทุกคนเลยครับ เข้ามาทำได้ (2) มีการ แข่งขันโดยเสรีจริงๆ (3) ที่สำคัญน่ะครับก็คือไม่มีการ ผูกขาดตัดตอน (4) ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต รายหนึ่งรายใดให้มีสิทธิเหนือคนอื่น (5) สำคัญมากครับท่านผู้ฟังต้องดูแลผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่เป็นธรรม ให้ทุกคนมีต้นทุนทางการตลาดที่ยุติธรรม และ ทุกคนแข่งขันกันได้อย่างเสรี และให้ผู้บริโภคได้ของที่มีคุณภาพในราคาถูก ท่านผู้ฟังครับ นี่คือหลักการที่ควรจะเป็น และนี่ก็เป็นหลักการที่ผมเชื่อ และผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังทุกท่านที่ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังที่มีจิตใจเป็นธรรม ข้าราชการที่มีจิตที่ไม่สกปรก และมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้าทุกท่านก็ต้องเห็นด้วยกับ 5 ข้อนี้ครับท่านผู้ฟัง ที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปรส. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่ออะไร ก็เป็นเรื่องราวที่ยืนอยู่บนหลักการต่างๆเหล่านี้ทั้งสิ้นครับท่านผู้ฟัง กระผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ได้อิจฉาริษยาความร่ำรวยของเขา และไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายธนินท์ เจียรวรานนท์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวี หรือ UBC และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ ผมจะต้องมีเรื่องมีราวกับคนต่างๆเหล่านี้ ตราบใดที่คนต่างๆเหล่านี้รังแกผู้บริโภค โกงภาษีรัฐ เอารัดเอาเปรียบสังคม และก็สร้างภาพให้คนเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน ทั้งๆที่เงินที่ตัวเองเอามาทำบุญหรือสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น เป็นเงินซึ่งโกงจากชาติโกงจากบ้านเมืองครับท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังครับ ขบวนการเปิดสุรา ที่แท้จริงน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังฟังให้ดีๆน่ะครับ ขบวนการเปิดสุราเสรีที่แท้จริงนั้นคือ การยกเว้นภาษีให้กับคนๆเดียวทั้งสิ้นครับ ท่านผู้ฟัง ยกเว้นภาษีให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญครับท่านผู้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีการวางแผนที่แยบยล วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ดร. ผู้รู้ ใช้ปลัดกระทรวง ใช้อดีตปลัดกระ ทรวง ใช้นักวิชาการ ใช้นักการเมือง ใช้หนังสือพิมพ์ ใช้สื่อมวลชนทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นว่าขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตร มีการเปิดเสรีสุราเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ฟังครับ เสรีได้ยังไงครับในเมื่อกลุ่มๆ หนึ่งคือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยึดฐานการผลิตคือ โรงงานสุรา 12 โรงของทางราชการทั้งหมดมาเป็นของส่วนตัวแล้ว ยึดโรงงานปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสุรา แม่โขง กวางทองภายใต้สัมปทานในกลุ่มซึ่งบริษัท นายเจริญ ยึดไปแทนบริษัทสุรามหาราษฎร์ แล้ว ในกรณีโครงสร้างการตลาดของสุราเองก็ผูกขาด เพราะการผลิตทั้งหมด ในที่สุดแล้วต้องขายให้กับนายเจริญแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรับประกันรายได้ คำถามก็มีต่อไปว่าเมื่อฐานการผลิตทั้งหมดอยู่ในมือคนคนเดียวแล้ว จะมาเปิดเสรีทำไม จะมีใครเข้ามาผลิตแข่งกับเขา อีกประการหนึ่งท่านผู้ฟังครับ ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือรับเงินเจ้าของอุตสาหกรรมสุราที่ผูกขาดให้ปราบปรามเหล้าเถื่อนทั้งหมด เหล้าเถื่อนนี่คือประชาชนผลิตไม่ได้เลยครับท่านผู้ฟัง คือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่มีทางที่จะกระโดดขึ้นมาทำอะไรได้เลย ท่านผู้ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหล้าที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น ซึ่งการปราบปรามเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษด์ ที่ให้การผูกขาดสุราให้กับบริษัทที่ผลิตสุราแม่โขงตอนนั้น ก็คือบริษัทสุรามหาราษฎร์ ตอนนั้น โปรดติดตาม พายัพชนช้างในตอนต่อไปได้ในฉบับวันพรุ่งนี้ ท่านผู้ฟังครับ ถึงตอนนี้แล้วก็ปรากฏว่า นายเจริญนั้น เขาก็เป็นผู้ที่ผูกขาดการค้าสุราทุกประเภท ในประเทศ ไทย เรียกได้ง่ายๆว่า 99% ของการทำสุรานั้นอยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญ ผูกขาดทั้งสิทธิในการทำสัมป ทานที่ได้ ตลอดจนผูกขาดทั้งกระบวนการจัดส่งสุรา ไม่ว่าจะเป็นเอเยนต์ หรือขบวนการจัด จำหน่ายทั่วประเทศไทย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มมีกระบวนการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการเปิดเสรีขึ้นมา เพื่อการผูกขาดโดยเฉพาะภายใต้หน้ากากของการเปิดเสรี ท่านผู้ฟังครับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ซึ่งนายเจริญเคยมีบุญคุณอยู่ในเรื่องของการให้บริษัท ตลาดน้อยคอมเพลกซ์ นั้นมาซื้อที่ดินของตระกูลโสณกุล แล้วก็ให้บริษัทตลาดน้อยคอมเพลกซ์นั้น ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วอาวัลโดยธนาคารมหานคร เอาไปขายลดที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ได้พูดว่าวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดของสุรา คือการเปิดเสรี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดน่ะครับ ใครใคร่ผลิตผลิต ใครใคร่ค้าค้า เสียภาษีไปเท่านั้นเท่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐ พูดแบบนี้พูดอีกก็ถูกอีกท่านผู้ฟัง ใครฟังแบบนี้ก็ต้องชอบเพราะดู เหมือนเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าทุกคนมีโอกาสที่สามารถจะแข่งขันได้ แต่ท่านผู้ฟังครับ สิ่งที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล พูดนั้นไม่ทราบว่าพูดโดยมีเจตนาแอบแฝง พูดโดยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพูดโดยที่โง่ ไม่รู้ หรือว่า พูดเพื่อที่จะทำเป็นบันไดขั้นตอนเพื่อให้มีการผูกขาด ว่าสิ่งที่นายเจริญได้ทำขึ้นมานั้น เขาได้ทำให้สนามการแข่งขันสุราให้มันไม่เสรีครับ ให้มันมีขวากหนามต่างๆให้มีขีดขั้นข้อจำกัด จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เมื่อมีการเปิดเสรี แท้ที่จริงคือการปิดตลาดนั่นเอง ซึ่งเป็น การกระทำที่รัฐจะไม่มีรายได้ไม่มีการผลิตสุราที่เหมาะ สม หรือในคุณภาพที่ดี หรือจะสามารถเก็บภาษีจากสุรานี้ได้น่ะครับ ท่านผู้ฟังครับ หลักใหญ่ที่สุดในนโยบาย การเก็บภาษีของธุรกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือในทั่วโลกนั้น มันมีอยู่ง่ายๆ ครับ ก็คือว่า ข้อที่ (1) รัฐต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถที่จะเข้ามาทำธุรกรรมในธุรกิจอันนั้นได้ เปิดโอกาสเลยครับทุกคนเลยครับ เข้ามาทำได้ (2) มีการ แข่งขันโดยเสรีจริงๆ (3) ที่สำคัญน่ะครับก็คือไม่มีการ ผูกขาดตัดตอน (4) ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต รายหนึ่งรายใดให้มีสิทธิเหนือคนอื่น (5) สำคัญมากครับท่านผู้ฟังต้องดูแลผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่เป็นธรรม ให้ทุกคนมีต้นทุนทางการตลาดที่ยุติธรรม และ ทุกคนแข่งขันกันได้อย่างเสรี และให้ผู้บริโภคได้ของที่มีคุณภาพในราคาถูก ท่านผู้ฟังครับ นี่คือหลักการที่ควรจะเป็น และนี่ก็เป็นหลักการที่ผมเชื่อ และผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังทุกท่านที่ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังที่มีจิตใจเป็นธรรม ข้าราชการที่มีจิตที่ไม่สกปรก และมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้าทุกท่านก็ต้องเห็นด้วยกับ 5 ข้อนี้ครับท่านผู้ฟัง ที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปรส. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่ออะไร ก็เป็นเรื่องราวที่ยืนอยู่บนหลักการต่างๆเหล่านี้ทั้งสิ้นครับท่านผู้ฟัง กระผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ได้อิจฉาริษยาความร่ำรวยของเขา และไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายธนินท์ เจียรวรานนท์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวี หรือ UBC และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ ผมจะต้องมีเรื่องมีราวกับคนต่างๆเหล่านี้ ตราบใดที่คนต่างๆเหล่านี้รังแกผู้บริโภค โกงภาษีรัฐ เอารัดเอาเปรียบสังคม และก็สร้างภาพให้คนเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน ทั้งๆที่เงินที่ตัวเองเอามาทำบุญหรือสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น เป็นเงินซึ่งโกงจากชาติโกงจากบ้านเมืองครับท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังครับ ขบวนการเปิดสุรา ที่แท้จริงน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังฟังให้ดีๆน่ะครับ ขบวนการเปิดสุราเสรีที่แท้จริงนั้นคือ การยกเว้นภาษีให้กับคนๆเดียวทั้งสิ้นครับ ท่านผู้ฟัง ยกเว้นภาษีให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญครับท่านผู้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีการวางแผนที่แยบยล วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ดร. ผู้รู้ ใช้ปลัดกระทรวง ใช้อดีตปลัดกระ ทรวง ใช้นักวิชาการ ใช้นักการเมือง ใช้หนังสือพิมพ์ ใช้สื่อมวลชนทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นว่าขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตร มีการเปิดเสรีสุราเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ฟังครับ เสรีได้ยังไงครับในเมื่อกลุ่มๆ หนึ่งคือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยึดฐานการผลิตคือ โรงงานสุรา 12 โรงของทางราชการทั้งหมดมาเป็นของส่วนตัวแล้ว ยึดโรงงานปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสุรา แม่โขง กวางทองภายใต้สัมปทานในกลุ่มซึ่งบริษัท นายเจริญ ยึดไปแทนบริษัทสุรามหาราษฎร์ แล้ว ในกรณีโครงสร้างการตลาดของสุราเองก็ผูกขาด เพราะการผลิตทั้งหมด ในที่สุดแล้วต้องขายให้กับนายเจริญแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรับประกันรายได้ คำถามก็มีต่อไปว่าเมื่อฐานการผลิตทั้งหมดอยู่ในมือคนคนเดียวแล้ว จะมาเปิดเสรีทำไม จะมีใครเข้ามาผลิตแข่งกับเขา อีกประการหนึ่งท่านผู้ฟังครับ ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือรับเงินเจ้าของอุตสาหกรรมสุราที่ผูกขาดให้ปราบปรามเหล้าเถื่อนทั้งหมด เหล้าเถื่อนนี่คือประชาชนผลิตไม่ได้เลยครับท่านผู้ฟัง คือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่มีทางที่จะกระโดดขึ้นมาทำอะไรได้เลย ท่านผู้ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหล้าที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น ซึ่งการปราบปรามเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษด์ ที่ให้การผูกขาดสุราให้กับบริษัทที่ผลิตสุราแม่โขงตอนนั้น ก็คือบริษัทสุรามหาราษฎร์ ตอนนั้น
โดย
Joraka
ศุกร์ มิ.ย. 18, 2004 4:11 pm
0
0
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย(3) โดย พายัพ วนาสุวรรณ เจริญ สิริวัฒนภักดี คนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น ท่านเจ้าคุณของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง พายัพ วนาสุวรรณ คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี มาตีแผ่จนถึงราก ใน คารวะแผ่นดินทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา ในสองตอนที่ผ่านมา (ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันอังคารที่ 17 และอังคารที่24 ) พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นตอนที่สาม ท่านผู้ฟังครับ เมื่อช่วงที่แล้ว ผมได้พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ผมได้พูดถึงความร่ำรวยของท่านเจ้าคุณเจริญว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเจริญนั้นได้ร่ำรวยขึ้นมาจากอุตสาหกรรมการผลิตสุรา แล้วอุตสาหกรรมนี้ก็ได้มีการโกงภาษีรัฐอย่างมหาศาล จนกระทั่งโดยเฉลี่ยแล้วใน 3 ปีจากนี้ได้หลบเลี่ยงภาษีไปคิดเป็นเงินประมาณ ปีละ 18,000 ล้านบาท หลังจากที่รายการนี้ได้ออกไป ท่านผู้ฟังครับทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ คนที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็ได้รับการติดต่อเข้ามามากมายเหลือเกินน่ะครับ ส่วนผมเองนั้น ก็ได้รับจดหมายสนเท่ห์ครับ จากชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ซึ่งชายผู้ไม่ประสงค์จะออกนามนี้ ก็ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ว่าก็คงจะเดาไม่ยากหรอกครับ เข้าใจว่าคงเป็นหนึ่งในสมุนรับใช้อุตสาหกรรมเหล้าที่ก็ต้องทำงานให้คุ้มค่าเงินทอง หรือว่าเศษเนื้อเศษกระดูกที่เขาโยนมาให้ทานกัน ก่อนที่ผมจะเดินเรื่องต่อไป ในการอธิบายความที่มาที่ไปของอุตสาหกรรมเหล้านั้น ผมขออนุญาติท่านผู้ฟังได้อ่านจดหมายของชายนิรนามที่ได้ส่งมาให้ทางผม ผ่านมาทางกองบรรณา ธิการ โดยกองบรรณาธิการนั้นก็เอามาให้ผม จดหมายก็ขึ้นอย่างนี้ครับท่านผู้ฟัง เขาขึ้นว่า พายัพเพื่อนรัก กรุณาอย่าได้เสียเวลาโจมตีเจ้าคุณเจริญที่คุณตั้งสมญานามให้นั้นอีกต่อไปเลย เพราะเรื่องนี้ในอดีตคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้เคยโจมตีรุนแรงยิ่งกว่านี้ ในสมัยที่ สุเมธ เตชะไพบูลย์ ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งได้ตายไปแล้วก็ยังไม่ระคายเคือง ซ้ำยังถูกเปลี่ยนกิจการไปจนหมด เรื่องยุทธการหงส์บินข้ามเขต ยุทธการขายเหล้าขาวพ่วงเบียร์ช้าง การเอาที่ดินทุ่งนาป่าเขามาหลอกเอาเงินธนาคารมหานครไปใช้ทำเหล้า จนกระทั่งธนาคารเจ๊ง รวมทั้งเรื่อง การโกงภาษีสรรพสามิตที่คุณตั้งตัวเลขเอง เป็นหมื่นเป็นพันล้าน ด้วยการยักย้ายถ่ายเทผลกำไรระหว่างบริษัทเหล้าที่มีกำไรเอาไปผ่องถ่ายให้บริษัทอื่นในเครือที่ขาดทุน เพื่อโกงภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร เรื่องการเก็บเงินใต้โต๊ะยี่ปั้วหรือลูกค้าสุราของเขา หลีกเลี่ยงการออกใบเสร็จก็ดี รวมทั้งเรื่องการจ่ายเงินให้นักการเมือง ข้าราชการที่คุณสนธิ เคยขุดขุ้ยและกำลังโจมตีอยู่ในขณะนี้ ทำให้คุณเจริญเพียงแต่รำคาญเบื้องล่างเท่านั้น เชื่อเถอะในที่สุดทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเขามีนักกฏหมายที่เก่งที่สุดในเมืองไทย คือนายวรรณ ชันซื่อ และอื่นๆ รวมทั้ง ดร. ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ มากมาย และข้าราชการ ประจำและเกษียณแล้ว เป็น เสือ สิงห์กระทิง แรด คอยให้คำปรึกษาแนะนำหลีกเลี่ยงได้ทุกวิถีทาง จนเหยียบหิมะไร้ร่องรอยตามที่คุณพูดนั่นแหละ บารมีและอำนาจการเงินเขาล้นฟ้า หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างคุณจะสู้อะไรเขาได้ ฉะนั้นจงเลิกเป็นสมุนรับใช้กลุ่มสิงห์นั้นเสีย เฮียสนธิเขาหลอกใช้คุณชั่วครั้งคราว เท่านั้น ไม่จริงจังกับคุณหรอก เพียงคุณยุติการโจมตีกลุ่มเจ้าคุณเจริญเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณปรารถนาใฝ่ฝันจะเป็นของคุณจนคุณพอใจและผมจะติดต่อมายังคุณเอง หวังว่าคงจะนึกถึงอนาคตของครอบครัวคุณบ้างไม่มากก็น้อยน่ะเพื่อนรัก จากเพื่อนผู้หวังดี ฟังแล้วเป็นยังไงครับท่านผู้ฟัง ผมไม่มีความเห็นอะไรครับท่านผู้ฟังครับ เรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาถ้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรนั้นมันก็คงจะผิดไปน่ะครับท่านผู้ฟัง เพราะคนเราพอรับเงินรับทองมาก็ต้องทำงานให้เขาเห็น ให้คุ้มค่ากับเศษกระดูกที่เขายื่นให้ ช่างมันเถอะครับท่านผู้ฟัง อย่าไปสนใจเรื่อง ไร้สาระนั้นเลยจะดีกว่า เรากลับมาสู่เรื่องที่มีสาระ เรื่องที่คนไทยทุกคน เรื่องที่ข้าราชการทุกคน เรื่องที่คนที่ยังมีความรักชาติ รักบ้านเมืองรักแผ่นดิน แล้วก็เรื่องที่คน ยังอยากจะให้ชาตินี้ยังมีอยู่โดยไม่สิ้นชาติ จะต้องให้ความสนใจ ท่านผู้ฟังครับ เรามักจะชอบไหว้คนที่มีเงิน เหตุผลเพราะว่าคนที่มีเงินนั้น ท่านผู้ฟังครับทำอะไรก็น่ารักไปหมด คนที่มีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติไปบ้านไหนก็ต้องมีคนยกย่อง สรรเสริญ ที่ยกย่องสรรเสริญนั้นจะยกย่องสรรเสริญเพราะสมบัติ เพราะรูป และก็เงินทอง แต่ว่าคนไทยในยุคนี้สมัยนี้ ไม่ค่อยจะถามหรอกว่า ไอ้ที่มีเงินมีทองมหาศาลนั้นมีมาได้ยังไง ไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะตั้งปุจฉา และหาทางวิสัชชนาออกมา ว่าคนอะไร ทำไมค้าขายอะไรถึงร่ำรวยออกมาเช่นนี้ ไม่เคยครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังครับ เชื่อผมเถอะครับ คนที่มีเงินในเมืองไทย ร้อยละ 90 อาจจะถึง 99% ถ้าตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินจริงๆแล้วจะเป็นเงินที่ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของการทำมาค้าขายอย่างซื่อสัตย์สุจริตหรอกครับ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทำเรื่องทำราวคดโกงชาวบ้านเขาก็ต้องคดโกงแผ่นดินครับท่านผู้ฟัง คดโกงแผ่นดินนั้นก็คดโกงได้หลายวิธี ก็อาจจะคดโกงในรูปแบบของการโกงภาษี ถ้าโกงภาษีเพื่อตัวเองด้วยตัวเองได้โดยที่ไม่มีใครช่วย ก็เลวน้อยหน่อย แต่ถ้าโกงภาษีอย่างชนิดกรณีอุตสาหกรรมเหล้า โดยมีข้าราชการกระทรวงการคลัง นักการเมือง และกรมสรรพสามิตทั้งกรมคอยช่วยอยู่ก็สามารถจะโกงได้เป็นหมื่นล้าน ก็เหมือนทรยศต่อชาติบ้านเมือง ที่ให้คุณตัวเอง ท่านผู้ฟังครับ เชื่อผมเถอะครับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ มันเกิดขึ้น เพราะว่า ข้าราชการเป็นตัวการ ท่านผู้ฟังครับวันนี้ผมจะพูดเรื่องระบบเหล้า ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เริ่มแรกครับ มันคือการใช้ระบบ ประมูลผูกขาด เพราะฉะนั้นแล้วคนที่มีอำนาจที่จะชี้เป็นชี้ตาย ที่จะทำให้บริษัทนั้นมีกำไรมาก และมากขึ้น นั้น คือข้าราชการเพราะข้าราชการเท่านั้นเองที่เป็นคนคุมกติกาของทางการ เป็นคนคุมกติกา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ แต่ข้าราชการไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้มีจิตใต้สำนึก หรือจิตวิญ ญานของความเป็นข้าราชการ ไม่ได้มีจิตสำนึกและจิตวิญญานของคน ซึ่งเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การคดโกงก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว การจะคุมระบบให้อยู่นั้น ท่านผู้ฟังครับเราต้องคุมข้าราชการที่ดูแลกำกับเรื่องธุรกิจเหล้าให้จงได้ ท่านผู้ฟังจำได้ใช่ไหมครับ เมื่อคราวที่แล้วที่ผมพูดให้ฟัง ว่าเมื่อจอมพลสฤษด์ ถามนายสหัส มหาคุณ พ่อค้าซึ่งคอยเอื้ออุปถัมภ์จอมพลสฤษด์มาตั้งแต่สมัยเป็นนายพันว่าลื้ออยากได้อะไร นายสหัสก็บอกว่า อยากจะทำสุราแม่โขงครับ เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อความกระจ่าง ผมจะอธิบายภูมิศาสตร์และความเป็นมาของอุตสาหกรรมเหล้าน่ะครับ ในอดีตนั้น เหล้าขาวเป็นเหล้าของชาวบ้าน สมัยก่อนเขาให้ทำกันเป็นเขตๆ ให้เป็นเรื่องการลงทุน ของนายทุนท้องถิ่นน่ะครับ เถ้าแก่คนนี้มีโรงสีข้าวอยู่ตรงนั้น จังหวัดนั้น ก็สามารถที่จะทำเหล้าขาวขายได้ เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือเหตุผลที่มาของเหล้าขาวสมัยก่อนที่มีถึง 32 เขต ในขณะเดียวกันนั้น ในการทำเหล้าในสมัยก่อนนั้น เขตแต่ละเขตก็เป็นเขตของคนๆนั้นไปเมื่อทำ เหล้าออกไปแล้วก็สามารถจะทำเหล้าสีออกมาได้น่ะครับ ก็แสดงว่าเป็นเรื่องของเขต และเป็นเรื่องของนายทุนส่วนท้องถิ่น ส่วนเหล้าวิสกี้ อย่างแม่โขงและกวางทองนั้น เป็นเหล้าซึ่งขายได้ทั่วประเทศ ก็คือว่ากรมโรงงานอุต สาหกรรมนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าของเหล้า เมื่อเป็นเจ้าของเหล้าแล้วก็มีสิทธิขายเหล้าวิสกี้นี้ได้ทั่วประเทศเพราะฉะนั้นแล้วอัตราภาษีที่ตั้งขึ้น มาก็มีอัตราภาษีที่ไม่เหมือนกันน่ะครับ ก็คือเหล้าขาว อัตราภาษีจะต่ำที่สุด รองลงมาเหล้าสีที่ผสมและก็ขาย เฉพาะในเขตนั้น แล้วก็ทำในเขตนั้นก็ถูกขึ้นมาหน่อย ส่วนเหล้าแม่โขงและกวางทองที่เขาเรียกว่าเหล้าสุรากลุ่มพิเศษนี้ก็เป็นเหล้าซึ่งสามารถจะผลิตขายได้ทั่วประเทศไทยเลย ท่านผู้ฟังจะเห็นว่าระบบเหล้านั้น เป็นระบบที่ทำทั้งใหญ่และเล็ก เล็กก็คือทำเฉพาะในเขตนั้น ส่วนใหญ่นี่ก็ทำทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก สมัยก่อนนั้นเหล้าไม่ใช่ธุรกิจอะไรใหญ่โตนักหรอกครับท่านผู้ฟัง ยกเว้นในเรื่องของการขายทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นการผูกขาดที่เกิดขึ้นนั้น ลักษณะของโครงสร้างก็คือว่าผูกขาดมาตั้งแต่สมัยเปิดบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งบริษัทสุรามหาราษฎร์นั้น มีตระกูลเตชะไพบูลย์ ตระกูลล่ำซำ ตระกูลโสภณพนิช หรือพวกเหล่าแบงก์ทั้งหลาย คนพวกนี้ทุกคนร่ำรวยมาจากเหล้า ร่ำรวยมาจากโรงรับจำนำ พอรวยมาจาก 2 อย่างนี้แล้ว ก็เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นนายธนาคาร จากนายธนาคารก็พัฒนามาเป็นนักอุตสาหกรรม กลายมาเป็นนักธุรกิจ ระดับชาติและข้ามชาติที่เจริญเติบโตขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ฟังครับ สายใยโยงใยเรื่องนี้ ในเรื่องเหล้า โรงรับจำนำ จริงๆ แล้วดูให้ดีๆ ที่มาก่อนเหล้าคือฝิ่น พอเลิกฝิ่นก็มาเรื่องเหล้า พอเหล้าเสร็จก็มาเรื่องยาสูบ สมัยนั้นท่านผู้ฟังครับ สมัยก่อนนั้นตำแหน่งที่บทบาทสำคัญที่สุดมักจะเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ผู้อำนวยการสลากกินแบ่ง ผู้จัดการธนาคารออมสิน ส่วนผู้บริหารเรื่องเหล้า คืออธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ในการที่จะสร้างความสมดุลกันให้ทั่วไป ในการทำเหล้าทำยาสูบขายพวกนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในสมัยนั้นทำหน้าที่เป็นนายทวาร ก็ คือว่าควบคุมเหล้าต้องควบคุมโรงงาน ขวดอย่างนี้ เสียเท่าไร ต้องติดแสตมป์เสียภาษีเท่านั้น เมื่อเสียภาษีกันเรียบร้อยแล้วก็ค่อยมาจัดจำหน่าย ระบบตรงนี้เมื่อได้มีการปฏิวัติ มีรัฐบาลเผด็จการโดยทหารมีอำนาจเข้ามาควบคุมแล้ว ทหาร ก็สามารถจะควบคุมข้าราชการพลเรือนทุกอย่างให้อยู่ในแถวที่ตัวเองต้องการจะตั้ง แต่ต่อมาท่านผู้ฟังครับเมื่อระบบมันเปลี่ยน แปลงไปนายทุนท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นธุรกิจตัวเองก็กระ จายออกไปมาก ทุกคนก็เริ่มหันไปมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเหล้า แล้วจำเป็นต้องผูกขาดกันต่อไป เช่น การทำกล่องกระดาษก็มี การทำแก้วขวด ก็มีองค์การแก้วน่ะครับ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า มาผูกขาดองค์การแก้ว ซื้อแก้วมาเพื่อผลิตสุราแม่โขง อย่างเดียวน่ะครับ แต่ไม่มีโครงสร้างอะไรที่เป็นกิจ กรรมซึ่งแข่งขันกันเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพ และ ให้มีราคาที่ถูก เพราะฉะนั้นสายใยและโยงใยและความคิดในการทำธุรกิจนั้นก็คือการผูกขาดนั่นเอง เมื่อตัวเองนั้นเคยผูกขาดอย่างไรมาในอดีต ท่านผู้ฟังครับในวันนี้เวลานี้ วันนี้วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ก็ไม่ได้ต่างไปกว่าเมื่อ 43 ปีที่แล้วที่จอมพลสฤษด์ ปฏิวัติแล้วให้นายสหัส มหาคุณ ทำสุราแม่โขง ก็คือพยายามผูกขาดต่อไป แล้วก็เป็นสิ่งที่เขาเคยชินกัน โดยเหตุผลที่เป็นความเคยชินก็เพราะว่า เขา ดูถูกทุกคนที่กินเหล้าว่าเป็นไอ้ขี้เมา จะแพงยังไงจะถูก ขูดรีดยังไงก็ต้องกิน เพราะเขาไม่แคร์หรอกครับท่านผู้ฟังเนื่องจากเขาผูกขาด สมัยก่อนการตั้งโรงงานสุราตามเขตนั้นก็เป็นอย่างที่ผมเรียนให้ท่านผู้ฟังทราบแล้วว่า เขตใครเขตมันน่ะครับ พอผ่านมาในช่วงยุคหนึ่งถ้าจำไม่ผิดก็คือในสมัยที่ท่านรัฐมนตรีเสริม วินิจฉัยกุล และนายสมหมาย ฮุนตระกูลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้มีการประมูลเขตสุรา 32 เขต ท่านผู้ฟังต้องทำความเข้าใจอีกนิดน่ะครับ สัมปทานการผูกขาดการขายสุรานั้น แบ่งออกเป็น 2 กระทรวง ทบทวนความจำน่ะครับท่านผู้ฟังเพื่อความเข้าใจ กระทรวงการคลังนั้นจะเป็นผู้อนุญาต ให้มีการทำสัมปทานขายสุรา ก็คือสุราขาวหรือเหล้าขาว เหล้าเชี่ยงชุน เหล้าสี หรือว่าอาจจะเป็นเหล้าสีที่ผลิตมาจะใช้ยี่ห้อไหนก็ได้แต่ว่าให้ขายเฉพาะ ในเขตนั้นท่านผู้ฟังครับ สมัยก่อนประเทศไทย แบ่งออกเป็น 32 เขตน่ะครับ เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลังจะคุมตรงนี้ แต่ว่าเงื่อนไขมีอยู่ข้อเดียวคือว่า ให้ขายเฉพาะในเขตนั้น ไม่ให้ข้ามเขตแล้วก็เหล้าที่ผลิตนั้น เนื่องจากว่าเป็นเหล้าที่ขายในเขตนั้น ฐานภาษีก็เลยต้องต่ำ ต่ำมาก นั่นคือโรงงานผลิตสุรา 32 เขตซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิตส่วนเหล้าสีนั้นก็สูงขึ้นไปนิดหนึ่ง ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมนั้นก็เป็นผู้อนุญาตให้ทำเหล้าขายได้ทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อว่า สุราปรุงพิเศษ โดยมีเหล้าชื่อแม่โขง และ กวางทอง เป็นเหล้าของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้โรงงานที่กระทรวง อุตสาหกรรมเป็นเจ้าของผลิต ชื่อที่เรารู้จักกันดีคือโรงงานสุราบางยี่ขันนั่นเอง แต่ฐานภาษีของเหล้าของ กระทรวงอุตสาหกรรมก็จะแพงกว่าของกระทรวงการ คลัง ท่านผู้ฟังเข้าใจโครงสร้างแล้วน่ะครับ ต่อมาก็มีการประมูล กระทรวงการคลังให้มีการประมูล 32 เขต โดยที่การประมูล 32 โรงครั้งแรกนี่ก็เลยมีการ ทะเลาะกัน ระหว่างกระทรวงการคลังและกระ ทรวงอุตสาหกรรม ถามว่าทำไมก่อนหน้านั้นถึงได้ไม่ มีการประมูล สมัยนั้น 32 เขต เพราะ ว่ามีการผูกขาดและต่อสัญญากันมาตลอด คือ ที่มีการต่อสัญญาก็คือ จริงๆแล้วคนซึ่งลงทุนในสุราที่อยู่ตามเขตของกระทรวงการคลัง กับคนซึ่งลงทุนในสุรากลุ่มพิเศษของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งขายได้ทั่วประเทศนั้นจริงๆแล้ว เป็นคนพวกเดียวกันครับ ก็คือระหว่างสุรามหาราษฎร์กับพวกที่อยู่ตามเขต ต่างๆ หุ้นกันไปหุ้นกันมาอย่างเช่น กลุ่มแม่โขง ซึ่งเป็นกลุ่มสุรามหาราษฎร์ ซึ่งผลิตเหล้าแม่โขงของกระทรวงอุตสาหกรรม อีกด้านหนึ่งก็ไปทำสุราท้องถิ่นแบ่งเป็นภาค อย่างเช่น นายวานิช ไชยวรรณ ไปทำเขตภาคใต้ ชื่อสุราตะลุง นายโกเมน ไปคุมที่นครปฐม ด้านกาญจนบุรีและทางอีสาน เป็นของตระกูลเตชะไพบูลย์ ส่วนทางเหนือของพวกภัทรประสิทธิ์ ซึ่งเป็นตระกุลของท่านรัฐมนตรีช่วยประดิิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ทางเหนือนครสวรรค์ คือถ้าดูไปแล้ว ทุกคนมีกลุ่มของตัวเอง มีเอเยนต์รวมกัน แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็แข่งกันคือทำทั้งโรงเล็ก และโรงใหญ่ร่วมกัน โรงเล็กก็คือสุราในเขต โรงใหญ่ก็คือมารวมกลุ่มกันทำสุราแม่โขงซึ่งขายทั่วประเทศ ท่านผู้ฟังครับ เมื่อกี้นี้ผมจบลงในตอนแรกด้วยการพูดถึงเรื่องการประมูลโรงเหล้า 32 เขต ซึ่งเป็นการประมูลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ กระทรวงการคลัง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าในอดีตนั้นโรงเหล้าทั้ง 32 เขต มีการต่อสัญญากันมาทุกปีๆ ในการประมูลครั้งนั้น มีการประมูลกันอย่างคลาสสิคที่สุด คือมีคนแกล้งเสนอให้ราคาค่าประมูล 9,999 บาทต่อ 1 เท ก็ คือพูดง่ายๆว่าตั้งราคาไปอย่างนี้รับรองทำไม่ได้ เสร็จ แล้วทุกคนก็เบี้ยวก็คือฟ้องศาล ก็คือว่าทำไม่ได้ ทำตามสัญญาไม่ได้ ก็เลยเกิดสงครามเหล้าเป็นครั้งแรกระหว่างพ่อค้าเหล้ากับรัฐบาล ซึ่งในการฟ้องศาลนั้น ก็มีการฟ้องว่าทำไม่ได้รัฐบาลก็ฟ้อง ฝ่ายนี้ก็ฟ้อง สรุปง่ายๆว่ากระทรวงการคลังเก็บภาษีไม่ได้เลย เป็นเวลา 2 ปี เพราะทุกโรงงานไม่ยอมเสียภาษีให้กระทรวงการ คลังเพราะว่าผู้ประมูลอ้างว่าทำไม่ได้ทั้งๆที่เป็นผู้ประ มูล ขึ้นศาล ขึ้นกันตลอดเวลา จนกระทั่งมีการประนี ประนอมกันขึ้นมาโดยที่มีทนายความซึ่งเป็นผู้พิพาก ษา เก่าคนหนึ่งชื่อ นายวินัย ทองลงยา เข้ามาเป็นคน ไกล่เกลี่ย โดยการทำตัวเหมือนอนุญาโตตุลาการในเรื่องนี้ ผลที่สุดสงครามเหล้าระหว่างพ่อค้าสุรากับรัฐบาลก็เลิกกัน แล้วก็ทุกคนไปเริ่มภาษีกันใหม่ เสียภาษีกันใหม่ ก็คือว่าประนีประนอมเสร็จ ก็คือว่าเอาล่ะทุกคนเสียภาษีเหมือนเดิมน่ะ ก็คือว่าเคยเสียยังไงในช่วงก่อนการประมูลก็เสียไปแบบนั้น แต่ในเงื่อนไข นั้นต้องมีการประมูลใหม่ ประมูลใหม่ครั้งนี้เขายก 32 เขตลงมาให้เหลือ แค่ 12 เขตก็คือพูดง่ายๆว่าไอ้ 32 เขตที่ประมูลพ่อค้า มันแกล้งตั้งราคาประมูลไว้สูง แล้วก็เลยไม่จ่าย จึงยื่นฟ้องต่อศาลว่าราชการ เอาเปรียบศาลก็รับ ฟ้อง ราชการเก็บภาษีไม่ได้เป็นเวลา 2 ปี ก็เลยต้องกลับไปประนีประนอมก่อนสู่ระบบเดิม ลดภาษีลง แก้ ปัญหาว่าจะแก้กันยังไง เสร็จแล้วค่อยเริ่มประมูลใหม่ โดยที่ในการประมูลใหม่นั้นก็มีการตกลง พูดง่ายๆว่า ยอมให้มีการใช้ระบบเหมาภาษีจ่ายแทนคิดเป็นขวด จากการที่ประนีประนอมกันตรงนั้นก็เลยเกิดระบบภาษีเหมาขึ้นมา ท่านผู้ฟังเห็นหรือยังครับฤทธิพ่อค้าเหล้า ซึ่งจริงๆแล้วก็คือคนที่ทำมาค้าขาย เอาสิ่งที่มอมเมาให้กับประชาชนแล้วตัวเองกำไรน้อยเกินไปก็เลยแกล้งเบี้ยวรัฐบาลซะ โปรดติดตาม พายัพชนช้างในตอนต่อไปได้ในฉบับวันพรุ่งนี้
โดย
Joraka
ศุกร์ มิ.ย. 18, 2004 4:10 pm
0
0
เจริญจอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย
เจริญ จอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย(2) โดย พายัพ วนาสุวรรณ 6 สิงหาคม 2545 23:18 น. จากคนที่ไม่มีอะไร วันนี้ เจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้คนหลายคนแทบจะเรียกเขาเป็นท่านเจ้าคุณ เพราะความที่เป็นผู้อุดมไปด้วยทรัพย์สิน บริวาร ครอบครองธุรกิจเกือบครบวงจร ผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรี แต่เบื้องหลังความร่ำรวยของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง พายัพ วนาสุวรรณ คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี ตีแผ่จนถึงราก ใน คารวะแผ่นดินทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา ในตอนแรก นั้น พายัพ วนาสุวรรณ ได้พูดถึงเจริญว่า เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดในการดำเนินธุรกิจ ใช้ทุกรูปแบบเพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าวิธีการบางอย่างนั้นเป็นการเอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขัน และบางอย่างนั้นจะทำให้รัฐเสียหาย แต่ไม่ว่า เจริญจะใช้วิชามารอย่งไรก็ตาม บรรดา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ดูจะไม่เดือดร้อน ยอมลดเกียรติ ลดศักดิ์ศรีของตนเองเป็นเพียงให้เกี่ยวหญ้าเลี้ยงพญาช้างอย่างเจริญ ด้วยความเต็มใจ ไม่ต่างไปจากตะพุ่นหญ้าช้างคนหลวงที่ต้องโทษอาญาในสมัยโบราณ พุ่นหญ้าช้างอย่างครบวงจรนั้นทำให้เข้าสามารถประหยัดภาษีสุราที่จะต้องจ่ายให้รัฐไม่น้อยกว่า 54,000 ล้านบาท โดยลงทุนเลี้ยงตะพุ่นหญ้าช้างปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เอาเปรียบคู่แข่งด้วยการขายเหล้าพ่วงเบียร์ได้อย่างไร้ความผิดตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายในหนี้เสียกองโตของธนาคารมหานคร เหมือนกับผู้บริหารธนาคารอื่นๆที่ถูกทางการปิดไป จากพฤติกรรมต่างๆของเจริญ ที่ทำอะไรไว้โดยไม่ทิ้งร่อยรอย พายัพ วนาสุวรรณ ได้เรียกเขาว่า เป็น จอมยุทธที่เหยียบหิมะไร้รอย ตอนต่อจากนี้จะเป็นอีกตำนานของเจ้าพ่อน้ำเมาที่พายัพ วนาสุวรรณ หยิบมาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อตอนที่แล้วผมได้พูดถึง ท่านเจ้าคุณเจริญ ว่าท่านเป็นบุคคลที่ร่ำรวย อาจจะถือได้เป็นคนที่ร่ำรวยมากที่สุดในประเทศก็ได้ ผมไม่ได้อิจฉาในความร่ำรวยของท่าน แต่บังเอิญว่าการทำธุรกิจเหล้านั้น เป็นธุรกิจที่ต้องค้าภาษีอากร พูดง่ายๆต้องโกงภาษีรัฐถึงจะมีโอกาสรวยมหาศาล และ ภาษีอากรต่างๆที่ถูกโกงไปแล้วนั้น ภาษีที่รัฐควรจะได้จากเจ้าคุณเจริญจริงๆแล้ว ควรจะเป็นปีละ18,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 2,000 ล้านบาทเท่าที่ท่านเจ้าคุณเจริญเสียอยู่ในทุกวันนี้ 18,000 ล้านบาทที่ท่านไม่เสียก็คิดเป็นเงิน 54,000 ล้านบาท ผมจะชี้ให้เห็นว่า แล้วท่านเข้าคุณเจริญก็ใช้เศษเงิน หรือที่ผมเรียกว่าเศษกะดูกบางส่วน ซัก 500? หรือ พันล้าน เอามาโปรยมาหว่านจ่ายเป็นสินบาท คาดสินบนให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการกรมสรรพสามิต ตลอดจนนักการเมืองที่ดูแลกระทรวงการคลัง ตลอดจนผู้ที่กุมอำนาจรัฐทั้งหลาย แล้วให้ช่วยปกป้องกิจการสุราให้สามารถค้าภาษีรัฐได้ต่อไป ท่านผู้ฟังครับ ถ้าผมพูดไปแล้วท่านอาจจะไม่เชื่อ ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าราชการในกรมสรรพสามิตนั้น อุตสาหกรรมสุรานั้นเขาดูแลตั้งแต่ล่างจนถึงบนสุดอาจจะมีคนเพียงไม่กี่คนมั้งในกรมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ปกครองของกลุ่มสุรา ทั้งหลาย ท่านทราบหรือไม่ว่า บรรดาข้าราชการระดับสูง อธิบดี รองอธิบดีบางคนเมื่อเกษียณอายุไปแล้ว ท่านก็ไปนั่งไปเป็นที่ปรึกษา ล่าสุดมีรองอธิบดีคนหนึ่งที่เพิ่งเกษียณก็ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาของบริษัทสุราของท่านเจ้าคุณ เจริญ ท่านผู้ฟังครับก็ในเมื่อไอ้คนที่จะต้องมากำกับกิจการสุราให้เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐ จะต้องดูแลให้เขาเสียภาษีเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยที่เป็นประโยชน์สาธารณะ กลับไปตัดสินเข้าข้างคนที่ต้องเสียภาษีจะมาเป็นข้าราชการทำไมละครับ จะมาเป็นคนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำไม ท่านผู้ฟังเงินทองที่หว่านออกมานั้น หว่านเป็นกระบวนการ หว่านถึงขนาดที่เรียกว่า จากกระทรวงการคลังไปจนถึงกรมสรรพสามิต จากกรมสรรพสามิตมาถึงกระทรวงการคลัง ตำนานเรื่องเหล้านั้น เป็นตำนานที่น่าสนใจครับท่านผู้ฟัง เมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ปฎิบัติสำเร็จ ท่านก็มีพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งคอยดูแลอุปภัมถ์ค้ำชูท่านมาตลอดตั้งแต่ท่านเป็นนายพันอยู่ภาคอิสาน คนๆนั้นชื่อ สหัส มหาคุณ พอท่านปฎิบัติเสร็จ คำแรกที่ท่านถามนายสหัสก็คือว่า ลื้ออยากได้อะไรวะ เมื่อมีอำนาจก็จะอยากจะแบ่งสรรบันส่วน นายสหัสก็พูดอมตะวาจา ซึ่งเรื่องนี้เคยเขียนไว้แล้วในผู้จัดการรายเดือนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นายสหัส มหาคุณ พูดอย่างน่ารักว่า ผมขอทำเหล้าแมโขงครับ การทำอุตสาหกรรมสุราในอดีตนั้นถูกแบ่งสรรบันส่วนเป็นสองกระทรวงดูแล ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ คือ กระทรวงการคลัง และอุตสาหกรรม กระทรวงการคลังนั้นมีลักษณะการทำเหล้าแบ่งเป็นเขต สัมปทานโดยมีการประมูลผูกขาด การให้สิทธิประโยชน์ในการทำสุราและการออกจำหน่ายเป็นเขต สมัยเดิม 32 เขต ต่อมายุบเป็น 12 เขต คือแต่ละเขตนั้นให้ จำหน่ายสุราขาว สุรา เซี่ยงชุน และมีระบบสุราสีในเขตต่างๆคือสมมุตว่า ท่านผู้ฟังอยุ่ในเขตใดเขตหนึ่งเช่น ชลบุรี เหล้าขาวจะถูกผลิตให้ขายได้ในชลบุรี ส่วนสุราปรุงพิเศษ เป็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สามารถผลิตแล้วขายได้ทั่วประเทศ โดยได้รับสัมปทานจากกรมโรงงานอุตาหกรรม เหล้าผสมพิเศษที่ว่านี้ ่ท่านผูฟังคงรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี แม่โขง กวางทอง จำได้มั้ยครับ เมื่อเหล้านี้เกิดขึ้นแต่ละเขตก็มีคหบดีที่เป็นพ่อค้าเหล้าเจ้าประจำแต่บะเขตของใครของมัน และก็ถือกันว่า เหล้าแม้โขง กวางทอง เป็นเหล้าระดับชาติ ส่วนเหล้าที่ขายในเขตก็คือ เหล้าท้องถิ่น เมื่อนายสหัส มหาคุณ ได้สัมปทานเหล้าแม่โขงมา หลังจากนั้นก็ได้ว่าจ้าง นายเถลิง เหล่าจินดาเป็นมือขวาของตนเองในการเดินเรื่องค้าเรื่อง ติดต่อผู้ใหญ่ในแผ่นดิน เอาเงินเอาทองไปให้ ซื้อของขวัญไปให้ ลูกท่านหลานเธอจะไปเมืองนอก นายเถลิง เหล่าจินดาก็จัดสรรเงินทอง ดูแล อำนวยความสะดวกให้ผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านี้ หลังจากนั้นแล้วก็มีการประมูลกันครั้งที่สอง นายสหัส และนายเถลิงก็ไปเอาหุ้นส่วนคนของตระกูลล่ำซำ โสภณพนิช เตชะไพบูลย์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ที่ผูกขาดในธุรกิจเหล้า แม่โขง และกวางทองนั้น ขายดิบขายดี ครับ จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่งเมื่อกรมสรรพาสามิตที่ดูแลกิจการสุราอยู่ประกาศยุบเขตสุราจาก 32 เขตให้เหลือ 12 เขต แล้วให้ประมูลกัน แม้ว่า แม่โขง และ กวางทองจะขายดีขายได้ทั่วประเทศ แต่ต้องเสียภาษีแพง แพงกว่าเหล้าขาวที่ผลิตและขายในเขตนั้น และก็แพงกว่าเหล้าปรุงพิเศษ หรือ วิสกี้ จำได้ไหมครับสมัยก่อนที่เรามีโฆษณา โปสเตอร์เหล้าวิสกี้ ไก่แดง ที่ฮือฮา ที่เอานางแบบที่ลือลั่นในยุคนั้น ศิริขวัญ นันทศิริ มาเป็นแบบ ทีนี้เหล้าเมื่อผลิตออกมาในเขตๆหนึ่งภาษีจะเสียน้อยกว่าเหล้าที่อนุญาตให้ขายได้ทั่วประเทศ เมื่อมีการประมูลเหล้า12 เขตดังกล่าว การประมูลก็ดุเดือดเสร็จเรียบร้อยปรากว่า เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ เป็นผู้ประมูลได้เขตหนึ่ง เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ เป็นใคร มาจากไหน ก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่เอาของพวกโชห่วยมาขายในโรงงานสุรา เช่น ในโรงงานบางยี่ขัน ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งผลิตเหล้าแม่โขงมาก่อน ของพวกนั้นก็คือ แปรงขวดมั้ง อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในโรงงานสุราเกือบทุกอย่าง เถลิง เหล่าจินดา เห็นหน่วยก้านของเด็กหนุ่มคนนี้ ที่เป็นคนคล่องแคล่ว ว่องไว ก็เลยให้มาอยู่ด้วย และเริ่มให้เป็นผู้ที่คอยติดต่อ ทำนู้นทำนี่ ติดต่อผู้ใหญ่ พูดง่ายๆว่าเป็นคนเปิดประตู ในวงการผู้ใหญ่ให้เด็กหนุ่มที่ชื่อ เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ จนกระทั่งท่านผู้ฟังก็รู้ว่า ในการทำธุรกิจเหล้านั้นมีการรวมหุ้นกัน ในช่วงนั้นก็มีการร่วมหุ้นกันระหว่างกลุ่มนายเถลิง และ กลุ่มนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ก็เป็นที่รู้กัน ว่านายสุเมธ เป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ อะไรก็ตามที่ไม่โปร่งใสยุติธรรมก็จะไม่ยอม นายสุเมธนี้ก็คือ บิดาของนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในปัจจุบัน นายสุเมธได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นความขัดแย้งนายสุเมธ และเถลิง ซึ่งแน่นอนมีนายเจริญรวมอยู่ด้วยนับวันก็รุนแรงขึ้น พอมีการประมูล 12 เขตที่ให้สิทธิในการผลิตเหล้าขาว และสุราสี ก็มีการแข่งขันสูง กลุ่มนายเจริญก็ประมูลได้เขตชลบุรี เมื่อประมูลได้ในตอนนั้น ก็มีเหตุที่เกิดขึ้นพอดีก็คือว่า ขณะนั้นคนที่ทำเหล้า หรือคนปรุง ซึ่งเหล้าจะดีหรือไม่อยู่ที่รสชาต แม่โขงที่โด่งดังมาได้ก็เพราะรสชาต คนปรุงเหล้าตอนนั้นเป็นข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ชื่อว่า จุล กาญจนลักษณ์ เพราะฉนั้นสมัยก่อนสูตรของนายจุล ถือเป็นสูตรลับสุดยอด นายเจริญซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นพญาช้างนี่ละครับ ก็วางแผนร่วมกับนายเถลิงที่เป็นลูกพี่เก่าซื้อตัวนายจุล โดยวิธีการซื้อก็โดยให้หุ้น ซึ่งขณะนั้นนายจุลเองก็ยังเป็นผู้ปรุงแม่โขง และ กวางทองของกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยที่ทั้งสองยี่ห้อเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาล เพียงแต่กลุ่ม เตชะไพบูลย์ กลุ่มล่ำซำเป็นผู้ประมูลได้จำนวนระยะเวลา 10-15 ปี เพราะฉนั้นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลอยู่ ดังนั้นนายจุลไม่ว่าจะออกไปทำงานที่ไหนก็ตามก็ต้องทำหน้าที่ปรุงแม่โขง กวางทอง นายเจริญ นายเถลิง ที่ให้หุ้นนายจุล ซึ่งก็รู้กันว่าเป็นหุ้นลม ก็มาตั้งบริษัททีซีซี ทีย่อมาจากเถลิง ซี ก็จุล และอีก ซี ก็เจริญ ทั้งสามก็เลยเข้าประมูลโรงเหล้าได้ที่เขตชลบุรีดังกล่าว และคิดจะผลิตเหล้าขาวเหมือนเดิม ส่วนเหล้าสีก็ไม่ต่างไปจาสุราปรุงพิเศษ ก็เลยคิดกันว่า ก็น่าจะผลิตเหล้าสีออกมาขาย ท่านผู้ฟังถ้าผมเอ่ยซื่อมา ท่านก็คงจะถึงบางอ้อครับ เหล้านั้นมีชื่อว่า หงส์ทอง ครับ หงส์ทอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำความร่ำรวยให้นายเจริญ เมื่อผลิตออกมาแล้วถูกจำกัดเขตให้ขาย ตามที่ได้รับสัมปทาน ท่านเจ้าคุณเจริญ ท่านก็ส่อแววอัจฉริยะในตอนนั้น โดยทำให้ หงส์ทอง บินได้ ท่านผู้ฟังที่อายุซัก 40-50 ปีก็คงจำกันได้สมัยนั้นมีการร้องเรียนกันมากระหว่างสุรามหาราษฎร์ที่เป็นเจ้าของแม่โขง กวางทอง ก็โวยวายออกมา ทำไมมีหงส์ทองไปขายในเขตเชียงใหม่ ทำไมมีหงส์ทองขายในสระบุรี ทำให้สุราแม่โขง กวางทอง ยอดขายตก รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง เพราะโดนเหล้าหงส์ทองตีภาษี ตีอย่างไร ก็หงส์ทองเสียภาษีแบบเหมาจ่ายคือ ผลิตเท่าไหร่ก็ได้แต่เสียภาษีเท่าที่ตกลง อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ถ้าเป็นสัมปทานของกระทรวงการคลังซึ่งท่านผู้ฟังได้สัมปทานเขตๆหนึ่ง อัตราภาษีจะต่ำกว่าเหล้าที่ขายได้ทั่วประเทศ เพราะฉนั้นต้นทุนระหว่างหงส์ทอง กับแม่โขงต่างกันมาก กลุ่มนายเจริญสามารถที่จะเอาหงส์ทองที่บินข้ามเขตไปขายได้ในราคาต่ำมาก และขายได้ทั่วประเทศ มิหนำซ้ำรสชาตก็เหมือนกับแม่โขง ก็เพราคนที่ปรุงเป็นคนเดียวกันคือ คุณ จุล ท่านผู้ฟังครับ แล้วเหล้ามันข้ามเขตได้อย่างไร ข้ามได้ก้เพราะเจ้าหน้่าที่กรมสรรพสามิตร่วมมือ วิธีการที่หงส์บิน ท่านเจ้าคุณเจริญส่งเหล้าขายให้สโมสรทหาร โดยอ้างว่า ทหารต้องการจะเอาเหล้าหงส์ทองไปขายเฉพาะในสโมสรทหาร แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ รถทหารที่ขนเหล้ากลับกลายเป็นรถขนส่งจำหน่ายให้เหล้าหงส์ทอง โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ทหาร นี่คือจุดเริ่มต้นของการค้าภาษี ด้วยวามร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐในการปิดหูปิดตาให้มีการกระทำเช่นี้ได้ ทำให้สัมปทานตัวหนึ่งซึ่งจ่ายผลประโยชน์ให้รัฐต่ำมากสามารถที่จะลอบเอาสินค้าของตัวเองที่มีต้นทุนต่ำกว่าคนอื่น เอาไปขายแข่งกับแม่โขง และกวางทองที่เสียภาษีสูงกว่า นี่ละครับท่านผู้ฟัง จะเห็นได้ชัดว่า จุดเริ่มต้นของความร่ำรวยก็มาเป็นของธรรมดา วิชามารในช่วงแรกอย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบแล้วว่า กลุ่มของท่านเจ้าคุณเจริญ ที่ให้หงส์ทองเข้ามาตีแม่โขง กวางทอง เมื่อร่ำรวยแล้วก็เขาเงินมาประมูลโรงเหล้าในนามบริษัทสุราทิพย์ ขณะเดียวกันก็จ่ายค่าจ้างอดีต อธิบดีกรมสรรพสามิต คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้วางแผนให้กลุ่มเจริญ และ เป็นผู้วางทายาทในสรรพสามิตให้เจริญเติบโตในกรมเพื่อมาช่วยกลุ่มนายเจริญ เมื่อประมูลโรงเหล้าทั้ง 12 เขตได้แล้วส่วนนี้ก็ได้กลายเป็นฐานที่มั่นให้นายเจริญ เจริญมั่งคั่ง ยึดข้าราชการกระทรวงการคลัง และอาศัยนายธนาคารอย่างไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ไปร่วมกับข้าราชการประจำ และนักการเมือง เข้ายึดบริษัทสุรามหาราษฎร์ โดยใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อตำแหน่งที่สำคัญของสองกระทรวงเพื่อให้เอื้อต่อการผูกขาดในการผลิตเหล้าขาวและเหล้าสี อาศัยการค้าเสรีซึ่ีงเป็นเรื่องจอมปลอมบังหน้า ท่านผู้ฟังครับ การทำสงครามเหล้าของท่านเจ้าคุณเจริญได้ใช้ฐานของโรงงานสรรพสามิตมาเป็นฐาน อย่างที่เป็นตำนานหงส์ทอง และเมื่อรวยแล้วก็รุกคืบยึดแม่โขง โดยประมูลโรงงานบางยี่ขันของกรมโรงงานอุตสหกรรมโดยเสนอให้ผลประโยชน์กับรัฐสูง 45.67 ของการขายส่งของการผลิตทั้งหมด สูงกว่ากลุ่มสุรามหาราษฎร์เดิม เพราะ เมื่อรวมกับที่ตนเองมีฐานเหล้าขาว และสุราปรุงพิเศษอยู่แล้วก็มีโอกาสสูงที่จะเสนอให้รัฐสูง แต่ท่านผู้ฟังครับก็เป็นการเสนอให้รัฐสูงในตอนแรกเท่านั้น เพราะต่อมาก็ใช้กลวิธีวิชามารในการยักย้ายถ่ายเท ลดภาษีจนมีกำไรมากมายมหาศาล ในขั้นสุดท้ายเมื่อเขายึดทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้วและมาถึงการเปิดเหล้าเสรี การไม่ยอมภาษีเหล้าด้วยการทำสต็อกเหล้า และเอาเปรียบทุกวิธีทางให้รัฐเสียประโยชน์ประมาณ 18,000 ล้านบาท อย่างน้อย 3 ปีหรือประมาณ 54,000 ล้านบาท นั่นคือภาษีจากการสต็อกหรือการตุนเหล้า ขอย้อนกลับมาที่ประมูลเหล้าแม่โขงได้ ท่านเจ้าคุณเจริญก็มาเจรจาตกลงกับกลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยให้เจ้าหน้าที่เป็นธนาคารต่างๆในยุดนั้น โดยที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้เจรจาหย่าศึก เพื่อแบ่งประโยชน์เพื่อทำให้ธนาคารได้หนี้คืน เบื้องหลังการเจรจาหย่าศึกจริงๆแล้ว ท่านผู้ฟังทราบไหมครับว่า วันที่กลุ่มเจริญประมูลได้ กลุ่มเดิมทำแม่โขงสต็อกเหล้าไว้ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหล้าที่ต้องขาย กลุ่มใหม่จะผลิตก็ต้องมีปัญหากับสต็อกเดิม ดังนั้นต้องซื้อสต็อกเหล้านี้ออกไปซึ่งท่านผู้ฟังครับ การทำสต็อกนั้นแท้ที่จริงแล้วผิดสัญญา ความจริงต้องเสียค่าปรับ และเมื่อผลิตไม่ได้ก็ต้องเสียค่าปรับอีก ยึดสแตมป์ที่เสียไปแล้วคือเพราะไม่ได้ผลิตตามที่ขอไว้ สรุปง่ายๆก็คือ การสต็อกจะทำให้คู่แข่งที่คิดจะผลิตเหล้ามาแข่งทำได้ยาก สมมุติว่าผมได้สัมปทานแม่โขง กวางทอง ท่านผู้ฟังเป็นท่านเจ้าคุณเจริญ ประมูลได้ต่อจากผม ผมแพ้ แต่การประมูลนั้นส่วนใหญ่จะทำล่วงหน้า 2-3 ปี เมื่อประมูลแพ้ผมก็ไม่ต้องทำอะไรผลิตแต่เหล้าแล้วเก็บเอาไว้บนฐานภาษีเดิม ฐานภาษีใหม่จะเริ่มคิดก็ต่อเมื่อมีการผลิตใหม่ของกลุ่มใหม่ เพราะฉะนั้นผมจะได้เปรียบตรงนี้ ต้นทุนผมจะถูกกว่า เมื่อผมสามารถตุนได้อย่างน้อย 2-3 ปี ถ้าท่านจะมาแข่งก็จะลำบาก ท่านก็ต้องมาเจรจาของซื้่อสต็อกจากผมไป ก็คือว่า ไม่ต้องให้ผมเอาเหล้าออกมาแข่งในตลาด การตุนเหล้าถือว่าผิดกฎหมาย ถ้าไม่ขายรัฐก็จะยึดสแตมป์ แต่แปลกเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตไม่ยึด เพราะเจ้าหน้าที่่ร่วมมือ และที่น่าสนใจมีการนำสแตมป์มารีไซเคิลอีก ท่านผู้ฟังเห็นหรือครับว่า ปัญหาใหญ่มันเริ่มมาจากไหน เพราะข้าราชการไม่ได้รับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ ในตอนหน้าผมจะกลับมาว่า ภาษีที่ข้าราชการ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง บางคนได้ร่วมมือกับสุรามหาราษฎร์ สุราทิพย์ไม่ต้องเสียภาษีปีละ 18,000 ล้านบาท ท่านผู้ฟังครับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรากำลังมีปัญหาเรื่องการเก็บภาษี แต่ท่านไม่ได้หันมามองในเรื่องนี้เลย ผมไม่รู้ว่าท่านแกล้ง หรือ จงใจมองไม่เห็น เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในมือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พิสิฐ ลี้อาธรรม ครับ นักวิชาการ ที่เราคิดว่าใจซื่อมือสะอาด ขอให้เราจับตาให้ดีครับ เรื่องนี้ยังไม่จบครับ มีต่อ อย่าพลาดเป็นอันขาดครับ เพราะท่านจะหาฟังจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วครับเพราะแผ่นดินนี้มีไม่กี่คนที่ไม่ได้รับสินบนจากนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผม พายัพ วนาสุวรรณ เป็นอีกคนที่บังเอิญไม่ได้รับสินบนจากนายเจริญ สวัสดีครับ โปรดติดตาม พายัพชนช้างในภาคต่อได้ในฉบับวันพรุ่งนี้
โดย
Joraka
ศุกร์ มิ.ย. 18, 2004 4:10 pm
0
0
บทสัมภาษณ์ Warren Buffett และ Munger
ขอด้วยคนครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
Joraka
พฤหัสฯ. เม.ย. 22, 2004 10:14 am
0
0
ปีเตอร์ เดนนิส
ขอด้วยครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
Joraka
อังคาร ก.ค. 15, 2003 7:35 am
0
0
บทสัมภาษณ์ Warren Buffett และ Munger
ขอบคุณครับ
[email protected]
โดย
Joraka
อังคาร ก.ค. 15, 2003 7:31 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
Joraka
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.ค. 15, 2003 7:27 am
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ต.ค. 31, 2011 3:57 pm
โพสต์ทั้งหมด:
61 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว