หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
^^
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
Joined: พุธ ก.ค. 14, 2010 12:20 pm
519
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - ^^
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: Paul Tudor Jones
ขอบคุณครับ
โดย
^^
เสาร์ มิ.ย. 23, 2012 1:50 am
0
0
Re: Margin of Safety
ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมากๆ
โดย
^^
อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2012 12:44 am
0
0
Re: ผมมีคำแนะนำทีมีค่าอย่างยิ่ง
ขอบคุณครับได้ความรู้เรื่องธรรมะอย่างดียิ่งสำหรับคำแนะนำของทุกท่าน
โดย
^^
เสาร์ ม.ค. 07, 2012 3:53 pm
0
0
Re: Psychology of ตัวกรู's Risks
Sonteen Strategy -3 นักพูดเรื่องReflexivity ถ้าจำไม่ผิด จำผิดขออภัย อยากฟังครับถ้าได้คุณHumdrumหรือคุณPicatosพูด จะเยี่ยมมาก
โดย
^^
ศุกร์ ธ.ค. 30, 2011 10:10 pm
0
0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
ขอบคุณครับคุณHumdrumสำหรับบทความดีๆและประเทืองปัญญาผม :D
โดย
^^
พุธ ธ.ค. 14, 2011 2:03 am
0
0
Re: อยากแชร์สิ่งที่ได้พูดคุยมาในช่วงวันสองวันนี้
ถ้าด้านความได้เปรียบทางภูมิประเทศเรายังมีลูกเล่นให้เล่นมากกว่า หลายประเทศที่เป็นเกาะ หรือติดทะเลอย่างเลือกเกิดไม่ได้ ยกเว้นต่างชาติจะไปหาที่สร้างโรงงานที่ต่างประเทศ ประเทศที่ไม่เคยโดนวิกฤต แล้วรอเปิดเสรีแรงงาน จึงขนย้ายแรงงานมีฝีมือไทย ไปทำที่ฐานต่างประเทศแทน ดีเหมือนกันที่น้ำท่วมก่อน หากงบโครงการประชานิยมดำเนินก่อนแล้วน้ำมาท่วมหลังจากลงทุนไปแล้วคงเสียหายมากกว่านี้ หวังว่านักธุรกิจและรัฐจะเรียนรู้ว่าzoneไหนเหมาะจะทำโรงงาน หรือบ้าน หรือเกษตรกรรม มากขึ้น
โดย
^^
อังคาร ต.ค. 25, 2011 3:33 pm
0
0
Re: ผมยังมี "หัวใจ" อยู๋ครับ
ชอบมาก เพราะ"ยังมีหัวใจ"
โดย
^^
ศุกร์ ต.ค. 21, 2011 11:26 pm
0
1
Re: ธนาคารโลกขยับอันดับไทยประเทศน่าลงทุนลำดับที่ 17
ทำดีจากข้างใน แล้วอันดับจะตามมาเอง และอย่าไปปรับปรุงเพื่อคนต่างชาติจนเกินไป เพราะนั่นจะขาดเอกลักษณ์ของตัวเรา
โดย
^^
พฤหัสฯ. ต.ค. 20, 2011 10:23 pm
0
0
Re: กระทิงมาแล้ว
ขอบคุณครับ ผมจะลองไปดูบ้าง ไม่เคยไปเลย
โดย
^^
พฤหัสฯ. ต.ค. 20, 2011 4:22 pm
0
0
Re: กระทิงมาแล้ว
เยี่ยมครับ ปกติขับรถจะรอให้เขียวสักพักเพราะกลัวรถที่ฝ่าไฟแดงหรือไฟเหลือง ภาวะไม่ปกติคงต้องระวังมากกว่าเดิม ปล.นอกเรื่องนะครับ คุณHumdrumไปเรียนฝึกกรรมฐานที่ไหนหรอครับ
โดย
^^
พฤหัสฯ. ต.ค. 20, 2011 2:57 pm
0
0
Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน
ขอบคุณครับ
โดย
^^
ศุกร์ ต.ค. 07, 2011 1:20 pm
0
0
Re: นักลงทุนสี่ประเภท
ขอบคุณครับ :D
โดย
^^
ศุกร์ ต.ค. 07, 2011 1:07 pm
0
0
Re: บางครั้งก็คิดว่าอยากซื้อหุ้นด้วย margin of safety แต่...
หลักการผิด หรือใจเราที่ผิด
โดย
^^
พฤหัสฯ. ต.ค. 06, 2011 11:17 pm
0
3
Re: ภาวะทางจิตใจของตนเองกับสภาพสภาวะของตลาดหุ้น
ขอบคุณคำถามดีๆและคำตอบดีๆครับ
โดย
^^
พฤหัสฯ. ต.ค. 06, 2011 11:11 am
0
0
Re: มาสารภาพครับ ว่ายกธงยอมแพ้ตลาดหุ้นแล้ว
beaeaebeได้อธิบายแล้วครับ^^
โดย
^^
พุธ ต.ค. 05, 2011 7:54 pm
0
0
Re: มาสารภาพครับ ว่ายกธงยอมแพ้ตลาดหุ้นแล้ว
อัตตาได้ถูกทำลายไปบ้างแล้ว ยินดีด้วยครับ คุณZiannoom
โดย
^^
พุธ ต.ค. 05, 2011 1:42 pm
0
4
Re: ตลท.เล็งงัดมาตรการอุ้มหุ้น
ทำของเดิม กฏเดิมให้ดีก่อน เบื่อจริงๆชอบมีProductใหม่ กฏใหม่ วอลุ่มและความรู้นักลงทุนไม่ได้พัฒนาตาม จับที่เขาปั่นหุ้น ระบบการเทรดให้ปกติที่สุด แค่นี้ยังทำไม่ได้เลย ไม่ต้องทำอะไร ไม่งั้นจะเป็นการแทรกแซงตลาด ต่างชาติเขาชอบที่ไหนล่ะ
โดย
^^
อังคาร ต.ค. 04, 2011 9:01 pm
0
1
Re: อารมณ์ขันเป็นอาวุธสำหรับการต่อสู้กับความผันผวน
มุกคุณIi'8N ตลกร้ายมาก 555+
โดย
^^
อังคาร ต.ค. 04, 2011 7:02 pm
0
0
Re: ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ชี้ SET มีโอกาสลงไปอยู่ที่ 600 จุดไ
ช่วงก่อนเลือกตั้ง ดร.สุวรรณ บอกหุ้นถูกมาก เจียดเงินมาซื้อหุ้นตอนแถวๆ1000จุด ทำไมตอนนี้บอกจะไป600ล่ะ
โดย
^^
อังคาร ต.ค. 04, 2011 12:44 am
0
4
Re: Michael Burry
จุดยืนต้องแน่มากๆนะครับเนี่ย เพราะคนอื่นคงไม่เชื่อคุณแน่ เขาคงไปเชื่อนักวิเคราะห์หรือนายแบงค์ มากกว่าบุคคลโนเนม พูดแล้วนึกขึ้นได้ มีเวลาได้ไปฟังเขาพูดเรื่องGold นักวิเคราะห์คนหนึ่งจากโบรคเกอร์มาให้ความรู้ แล้วอยู่ๆมีคนโนเนมคนหนึ่งพูดว่า ทองคำจะไป1200เหรียญ ตอนนั้นทองอยู่ที่ 600-700เหรียญ นักวิเคราะห์บอกว่า จริงเหรอ แต่ทางเราคิดว่ามากที่สุดแค่ 900เองนะ มีแต่คนสมน้ำหน้า หัวเราะใส่ชายคนนั้นดังทั้งห้องประชุมและมีเสียงกระซิบพูดกันว่า "มันก็แค่คนโนเนม จะมาแม่นกว่านักวิเคราะห์ได้ไง" แต่ผมจำได้ เพราะมีสาวมือใหม่คนหนึ่งพูดกับแฟนบอกว่า จดไว้ดีกว่า จะดูว่าแม่นไหม ตอนนี้ทองขึ้นมามาก แน่นอนว่าเครดิตนักวิเคราะห์คนนั้นก็ยังดีอยู่ เพราะคนมันจำไม่ได้และยังคงมาฟันธงได้ตลอดเวลา แม้จะผิดไม่รู้กี่ครั้ง แต่ชายคนนั้นได้ถูกหัวเราะเยาะไปเรียบร้อยแล้ว
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 30, 2011 8:11 pm
0
4
Re: Monday Puzzle
ชอบจังครับ ขอบคุณมากครับ
โดย
^^
อังคาร ก.ย. 27, 2011 9:35 pm
0
0
Re: Poll ว่าด้วยเรื่องการให้ + หรือ - สมาชิกส่วนใหญ่ ชอบหรือ
ควรมีไว้ และไม่ต้องซ่อนด้วยครับ ดูกันไปเลยครับ +เท่าไหร่-เท่าไหร่ ข้อความก็ยังอยู่ แล้วให้คนอ่านตัดสินเองครับ โชว์ชื่อก็ได้ครับ ผมจะได้รู้ว่าใครเชียร์ ใครแช่ง เหมือนดูกันเลยไม่ต้องมีคูหาเลือกตั้ง กาให้เพื่อนๆเห็นเลยว่าเลือกใคร หัวคะแนนก็ตามเก็บกันเอง ใครไม่โหวตให้ อิอิ ไม่แรงเกินไปเหรอครับ กลัวว่าเดียวจะกลายเป็น "กูเกลียดมึง มึงพูดอะไร กูก็ไม่เชื่อ" ไปครับ ผมประชดนะครับพี่ - -! มีคนตามผมด้วย 555+ ประชาธิปไตย เขาก็มีสิทธิของเขา ที่จะไม่บอกว่าเลือกใคร มีคูหาให้เข้าไปกา ก็สิทธิของเขานี่ ไม่ใช่ใครจะมารู้ก็ได้ว่าเขาเลือกใคร ผมเห็นด้วยกับพี่นะ เรื่องโชว์ชื่อ คือการจองล้างจองผลาญLog inกันเลย คนยิ่งไม่กล้า + - กันไปใหญ่ ใครจะยอมเปลืองตัว แต่ผมคนตรง ใครไม่กดลบ ผมกดให้ PMมาหาผมได้ จะให้กดให้ใคร แต่ผมดูก่อนนะว่าคุณพูดถูกไหม ส่วนเรื่องอยากรู้ชื่อ ผมว่ามันไร้สาระ จะไปอยากรู้ทำไม ใครวะกดลบตู ใครวะกดเชียร์ให้ การยอมรับแม่งเป็นปัจจัยที่5ของคนแล้วหรือไงเนี่ย งง คนอ่านมันรู้อยู่แล้วข้อความกับเครื่องหมาย+- อันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน พูดเรื่องพื้นฐานหุ้น แต่โดนลบ รู้อยู่แล้ว เครื่องหมายลบเป็นBias พูดเรื่องราคาหุ้น ข่าวมั่วๆ กลับได้+ อันนี้มันเชียร์ คนในนี้ต้องช่วยกันเองครับ ถึงจะดี ให้MOD ก็เหนื่อย มีหลายหุ้นเกิน ถ้าคนไม่สนใจ สนใจแต่หุ้นตัวเอง ดูแต่หุ้นตัวเอง โอกาสจะไปดูหุ้นที่แย่ๆ ป้องกันโดนหลอกก็คงไม่มี ผมไม่อยากให้ที่นี่เสื่อม ที่ไม่รู้ว่าต่อไป ถ้าN-Parkได้เข้ามาอยู่ในร้อยคนร้อยหุ้น คงมีคำถามว่า "คนที่นี่เล่นหุ้นตัวนี้ด้วยหรอเนี่ย" คนที่นี่ก็จะเป็นแพะอีก Vi ก็เป็นแพะอีก
โดย
^^
เสาร์ ก.ย. 24, 2011 9:28 pm
0
0
Re: Poll ว่าด้วยเรื่องการให้ + หรือ - สมาชิกส่วนใหญ่ ชอบหรือ
เพราะ ถ้า +20 แต่-25 สิ่งที่เห็นจะเป็นแค่ -5 จะไม่เห็น-20 แก้ไข สิ่งที่เห็นจะเป็น -5 แต่ไม่เห็น +20
โดย
^^
เสาร์ ก.ย. 24, 2011 8:41 pm
0
0
Re: Poll ว่าด้วยเรื่องการให้ + หรือ - สมาชิกส่วนใหญ่ ชอบหรือ
ควรมีไว้ และไม่ต้องซ่อนด้วยครับ ดูกันไปเลยครับ +เท่าไหร่-เท่าไหร่ ข้อความก็ยังอยู่ แล้วให้คนอ่านตัดสินเองครับ เพราะ ถ้า +20 แต่-25 สิ่งที่เห็นจะเป็นแค่ -5 จะไม่เห็น-20 หรือถ้าไล่เลี่ยกัน อย่าง +5 -3 ก็กลายเป็น +2อยู่ดี โชว์ชื่อก็ได้ครับ ผมจะได้รู้ว่าใครเชียร์ ใครแช่ง เหมือนดูกันเลยไม่ต้องมีคูหาเลือกตั้ง กาให้เพื่อนๆเห็นเลยว่าเลือกใคร หัวคะแนนก็ตามเก็บกันเอง ใครไม่โหวตให้ อิอิ แต่ถ้าใครไม่ประสงค์ออกนามก็จะไม่กล้ากด ลบหรือบวกเลย
โดย
^^
เสาร์ ก.ย. 24, 2011 8:39 pm
0
11
Re: ความสามารถในการจัดการกับความไม่รู้นั้นสำคัญกว่าความรู้
คุณhumdrum สนใจรับผมเป็นศิษย์ไหมครับ พูดจริงๆนะครับ อยากศึกษาขั้นลึกเรื่องพวกนี้จริงๆเลย รู้สึกอิ่มเมื่อได้อ่านบทความจริงๆ ชอบอย่างบอกไม่ถูก และบทความนี้มันหมัดตรงเข้ากลางใจผมเลย "อ่านมากแต่ไม่เคยอ่านตัวเอง"ประโยคที่แทบจะไม่อยากอ่านออกเสียงหรือแม้แต่ดูให้จบประโยค
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 23, 2011 6:27 pm
0
1
Re: ก.ล.ต.เตรียมแก้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ รื้อเกณฑ์อินไซเดอร์ขวา
กฏหมายเอาไว้จัดการกับคนไม่มีBack upหรือเส้นสายครับ มาร์เกตติ้ง Front run เยอะแยะ MDโบรคจิ้มดูORDERรายใหญ่ แต่คนที่โดนคือพนักงานที่โกงโดยไม่มีBack up หรือขบวนการ นึกถึงดาบตำรวจที่โดนจำคุกเป็นพันปี จากการยักยอกเงินค่าปรับ 5แสนบาท 555+
โดย
^^
พฤหัสฯ. ก.ย. 22, 2011 12:30 am
0
0
Re: เห็นโบรกเชียร์แต่....
ผมเห็นด้วยเลยครับ กับพี่ปรัชญา ถ้าเป็นการท่วมแบบครั้งคราวและไม่โดนพื้นที่หาเงินของเขา ก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่โดนแล้วโดนอีก โดนแล้วโดนอีก ผมคิดว่าเงินควรจะไปลงที่ดินทำกินมากกว่า ณ ตอนนี้
โดย
^^
เสาร์ ก.ย. 17, 2011 9:25 pm
0
0
Re: China Unlikely to Rescue Italy !!!!
โอ้ มีผู้สนิทข้างในมาเล่า ดีจัง ที่ผมอ่านมา เขาก็บอกนะครับ ว่ารัฐจีนตระหนักเรื่องนี้มาก คอรัปชั่น และพยายามสร้างรากฐานทางจิตใจให้โตทัน เพราะการเอาพ่อค้ามาเป็นสมาชิกพรรค แน่นอนว่าเก่งเรื่องการหาเงิน แต่คนที่เชิญคนเหล่านี้มาช่วย ก็พยายามพัฒนาเรื่องจิตใจทำเพื่อส่วนรวมด้วย ไม่ใช่หาเงินอย่างเดียว คนเก่งเยอะจริงครับ ผมยอมรับ แต่ยังมีข้อกังขาว่าเจตนารมณ์ผู้นำจีนก่อนจะมาปฏิรูปเปิดเสรีต้องการว่า ความคิดที่จะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมของพวกคนเก่งๆจะตามทัน การหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไหม
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 10:45 pm
0
0
Re: China Unlikely to Rescue Italy !!!!
"อาณานิคมทางวัฒนธรรม" คำนี้ยกเครดิตให้ คุณยุค ศรีอาริยะ. เขียนหนังสือ เต๋าแห่งสังคมศาสตร์ ลองหาอ่านดูนะครับ หนังสือดีมาก แล้วคุณจะไม่เชื่อใครง่ายๆ คิดแบบthesis+nonthesis=synthesis ประเทศที่พยายามเป็น 1 ด้านกีฬา ก็เพราะว่า ถ้าตัวเองเป็นแชมป์ ประเทศนั้นก็จะผลิตสินค้าแชมป์ออกมาขายนี่แหละครับ เหตุผลนี้เลยเหมือนกดดันนักกีฬาจีนพอควร เพราะเป็นการหวังผลที่มากกว่าเหรียญทอง แบรนด์ไทยจากวอลเลย์บอลหญิงไทยก็ได้ จุดขายนอกจากนักวอลเลย์ไทยมีบรรยากาศในทีมดี ก็มีโค้ชอ๊อดผู้ชายร่างใหญ่ใจดี ไม่เหมือนชาติอื่นอีก แบรนด์กีฬาไทยFBTจริงๆถ้าไปSynergyกับบริษัทปรับภาพลักษณ์ธุรกิจหน่อย + วิทยาศาสตร์การกีฬาknow howจากต่างประเทศ และมีช่องทางจำหน่ายต่างประเทศ นักกีฬาไทย+Teaserโฆษณา แค่นี้ก็แหล่มแล้ว กระทรวงกีฬากลายเป็นคนหาเงินเข้าประเทศเลยนะเนี่ย เกาหลีเอากระทรวงวัฒนธรรมดัน
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 10:37 pm
0
0
Re: จุดจบ VI
บัฟเฟตต์กับโซรอสก็ชอบเล่น แรกๆผมไม่รู้จักหรอก ต้องขอบคุณพี่มัดเลย์ “If you've been playing poker for half an hour and you still don't know who the patsy is, you're the patsy.” ― Warren Buffett มีคนทุกประเภท เชื่อคนง่าย เคี่ยวไม่ยอมเสียสักบาท ลักไก่ หรือแม้แต่พวกบ้าพนัน ไม่รวมข่าวลือหรือจิตวิทยาที่หลอกถามไพ่ หรือให้เราหมอบ
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 10:19 pm
0
0
Re: สิ่งที่ผม สงสัยมาตลอดกับ tfex
ผมคิดว่ามันใช้ป้องกันการตกรถของกองทุนใหญ่ๆ โดยการLong Tfexแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน แทนที่จะซื้อหุ้นที่ต้องมีสภาพคล่องและขายออกยาก ซื้อเข้ายากในภาวะไม่แน่นอน ส่วนถ้ามีหุ้นอยู่ ผมเชื่อว่าหุ้นที่มีคือราคาต่ำมากนะ MOSเยอะด้วย แต่Shortเพื่อประกันความเสี่ยงทีละไตรมาสไปเรื่อยๆ ได้ก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้ว ไม่ได้ก็ไม่ขาดทุนมาก เพราะประกันความเสี่ยงแค่นิดหน่อยเมื่อเทียบกับเงินลงทุน ถ้าเมื่อเวลาหุ้นจะลง เขาก็จะขายหุ้นออกไปหมด หรือบางส่วน แล้วLong Tfexไว้บางส่วนโดยเอา"กำไร"ไปประกันความเสี่ยงกันตกรถ เพราะขายออก ดังนั้นจะเห็นว่าเฉพาะคนมีเงินเยอะถึงจะเหมาะสม แต่ถ้าเงินไม่เยอะ ต้นทุนประกันความเสี่ยงมันเยอะไปนะสำหรับการใช้Tfex เผลอๆมันจะขาดทุนมากกว่าแทนที่จะประกันความเสี่ยงซะอีก พอร์ตหุ้น 1 หมื่น กับ Short Set index future 1 สัญญา หุ้นขึ้น10จุด พอร์ตหุ้นกำไร10% คือ 1000บาท แต่ขาดทุนSet index future 10000บาท(10*1000)
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 10:10 pm
0
1
Re: มันไม่ง่ายจริงๆครับ
มือใหม่ ผมแนะนำว่าให้ซื้อหุ้นที่มีกำไรในแต่ละปีสม่ำเสมอ ไม่โตเว่อร์ หรือผันผวนจนเกินไป พอเริ่มดูจนชินตา ค่อยไปลองคาดการณ์ หุ้นที่จะโตและกำไรไม่นิ่งอีกที เพราะอย่างน้อยคุณได้เงินปันผล ที่เหลือถ้ามันวิ่งต่อหรือโตเกินคาดการณ์มันก็คือโบนัสของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณจะไปเจอกับดักอนาคตที่คาดหวังกับความจริงที่เกิดขึ้นในหุ้นนั้น
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 9:37 pm
0
0
Re: จุดจบ VI
ต้องขอบคุณPokerเหมือนกัน ผมได้อะไรเยอะมากจากมัน
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 9:19 pm
0
0
Re: จุดจบ VI
ผมล่ะกลัวที่สุด เวลาเจออะไรดูดีเกินไป หรือธุรกิจไร้เทียมทาน กลัวไปเจอJackpot อย่างEnron
โดย
^^
ศุกร์ ก.ย. 16, 2011 11:00 am
0
0
Re: กลโกงผู้บริหาร..สีเทาดำ
ผมไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับ ความเชื่อว่าให้เงินผู้บริหารเป็นค่ากำลังใจเพราะเหนื่อยมามาก และให้ในรูปแบบที่เราไม่รับรู้หรือผิดปกติเนี่ย ไม่ไหว ถ้าเป็นค่าบริหารก็ยังพอได้ แต่ถ้าค่าบริหารเยอะไปนี่ คุณก็กินคนเดียวเลยนะ ทั้งค่าบริหาร และเงินปันผลจากหุ้นที่ตัวเองถืออีก เพราะถ้าหากผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ผมไปฝากเขาทำธุรกิจ ไม่น่าสนใจ หรือการตอบแทนเขาเกินlimit ผมก็ชิ่งซิ เพราะเงินทั้งหมดของบริษัทเขา ไม่ได้เป็นของเขาหมด มีเป็นของผมด้วย แทนที่จะให้ตัวเขามั่งคั่งด้วยราคาหุ้นที่สะท้อนผลประกอบการ ไปพร้อมกับผู้ถือหุ้นที่มั่งคั่งตามไปด้วย ความเชื่อใจมันมี วันนี้คุณขอ100 แล้วคุณไม่ตอบแทนอะไรเลย และเอาเข้าตัวเอง เขาก็ไม่ให้เงินคุณอีก แต่ถ้าวันนี้คุณขอ100 แล้วผู้บริหารก็จริงใจ ให้ผลตอบแทนกลับมาให้ผู้ถือหุ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่1000เลย คุณขอ1แสน เขาก็ยอมให้ เหมือนความเชื่อใจที่มีต่อเบิร์กไชส์ ซื้อแล้วมูลค่ามันเพิ่มขึ้นจริงๆ ไม่เข้ากระเป๋าตัวเอง แม้แพงแสนแพง แต่ถ้าตอนเดือดร้อนเงิน ก็หาคนปล่อยเงินให้ทำธุรกิจ นะครับ นะค่ะ จ๊ะจ๋า พอธุรกิจโตแล้วถีบหัวส่งนักลงทุนที่ให้เงินลงทุนเลยหรอ หรือบริษัทกำลังย่อยยับก็ทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุดแต่ให้คนที่เชื่อใจคุณให้เงินคุณไปลงทุนรับเคราะห์แทน แล้วคุณทำธุรกิจต่อไปใครจะเชื่อใจคุณให้เงินไปลงทุนอีก เจ้าของกับผู้ถือหุ้นไม่ต่างกันกับผู้ให้สินเชื่อ กับผู้ขอสินเชื่อ ถ้าคุณขอสินเชื่อและให้ตรงเวลา ผู้ปล่อยสินเชื่อให้เงินไปช่วยธุรกิจและก็พร้อมจะให้โปรโมชั่นคุณเต็มที่ขอเท่าไหร่ ได้เลย ยิ่งคุณมั่งคั่ง ผู้ปล่อยสินเชื่อก็มั่งคั่งตาม แต่ถ้าคุณชำระไม่ตรงเวลา เขาก็เริ่มไม่ไว้ใจจะให้เงินเพิ่ม ขอ100 อาจไม่ได้เลยก็ได้ หรือถ้าคุณหนีหนี้ เขาก็จะจำขึ้นใจว่าคุณไว้ใจไม่ได้ ฉะนั้นถ้าผู้บริหารดี ควรจะให้ผู้ถือหุ้นมั่งคั่งไปด้วย เพราะคุณก็จะมีคนคอยช่วยเหลือคุณยามคุณต้องการเงิน
โดย
^^
พฤหัสฯ. ก.ย. 15, 2011 5:36 pm
0
2
Re: คำถาม การตีราคาบริษัทที่มีหนี้ กับไม่มีหนี้
ขอมั่วแบบโง่ๆ บวกลบคูณหารนี่แหละ
โดย
^^
พฤหัสฯ. ก.ย. 15, 2011 5:10 pm
0
0
Re: คำถาม การตีราคาบริษัทที่มีหนี้ กับไม่มีหนี้
1400 ไม่มีหนี้ คิดจาก เงินลงทุนน่าจะหวังผล10%จากเงินลงทุน ฉะนั้นต้องมีเงินคือ 1000 1000+100ที่เป็นกำไรปีที่แล้วไปรวมในส่วนทุน เป็น1100 ปีหน้าคาดว่าจะโต30% 1100*30% = 330 รวมทั้งหมดเป็น1430ไม่มีหนี้ให้ลบแล้ว ----------------------------------------- แบบมีหนี้ คิดจาก เงินลงทุนน่าจะหวังผล10%จากเงินลงทุน ฉะนั้นต้องมีเงินลงทุน 1000 เอากำไรปีที่แล้วเข้าส่วนทุน คิดเป็น 100+500ทุนตัวเอง(เดาว่ากู้500 เงินตัวเอง500) บวกกับฐานที่จะโตปีนี้ 30% ให้คงDEเท่าเดิม 600ทุนเรา 600เงินกู้ กำไรโต 30% คือ 1200*30%=360 กลับไปรวมส่วนทุนเป็น 600ทุนเรา+360กำไรสุทธิ รวมเป็น 960 สรุปมูลค่าคือ บริษัทไม่มีหนี้1430 บริษัทที่มีหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ย 960 (แบบเอาเงินตัวเองReinvest อีก) แต่ถ้าแบบFixเงินลงทุน1000 บริษัทไม่มีหนี้ ก็คือ 1000+130(โตจากกำไรสุทธิเดิมคือ100+100*30%) =1130 ถ้าบริษัทมีหนี้จะเป็น 600+130(กำไรจากเงินลงทุนเท่าเดิมไม่เพิ่มการกู้และโต30%) =730 ฉะนั้นแบบFixจะได้คือ ไม่มีหนี้ 1130 มีหนี้730 แบบReinvestจะได้คือ ไม่มีหนี้1430 มีหนี้960
โดย
^^
พฤหัสฯ. ก.ย. 15, 2011 5:08 pm
0
0
Re: คำถาม การตีราคาบริษัทที่มีหนี้ กับไม่มีหนี้
ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว ต้องไปอ่านเรื่องTaxเพิ่ม - - อยากสอบถามเพิ่มเติมครับ DEของBigcแบบนี้ ตอนนี้BigC สามารถไปTake overหรือทำการขยายสาขาได้อีกไหม หรือว่าต้องรอให้กระแสเงินสดดีก่อนจากการเพิ่งไปTake over กลยุทธคือ โดยไม่ขยายสาขาเพิ่ม โดยเอาสาขาBigc+คารฟูร์ที่มีอยู่ก็พอ ไม่เช่นนั้นภาระจะมากกว่านี้ ปล.ไม่มีหุ้นนะ แต่อยากรู้ว่า ธุรกิจความเสี่ยงน้อย DEสุดๆจะควรเท่าไหร่ ถามเพื่อนบอกว่า บางธนาคารปล่อยDE 4 เท่าก็มี
โดย
^^
พฤหัสฯ. ก.ย. 15, 2011 11:04 am
0
0
Re: China Unlikely to Rescue Italy !!!!
พี่Rocker จีนกำลังขายอยู่ครับ ล่าสุดคือแบรนด์กีฬาหลี่หนิง ไปอยู่ติดกับที่ผลิตไนกี้เลย ที่อเมริกา มีหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวไว้ดีมาก อย่าขายสินค้า เพราะคนจะไม่ซื้ออย่างเต็มใจ จงขายวัฒนธรรม เมื่อคนรู้จัก ซึมซับวัฒนธรรมเราแล้ว เราพูดอะไรเขาจะเชื่อ เมื่อนั้น เขาจะซื้อสินค้าเราอย่างเต็มใจโดยไม่สนใจราคาเลย ขนาดมวยไทย ที่เรามีวัฒนธรรมมานาน ไม่ว่าจะหนัง หรือเสื้อผ้าประจำชาตินางงาม ฝรั่งก็คิดได้เลย มวยไทย ต้องที่ไทย แม้เกาหลีจะมีครั้งหนึ่งบอกว่าตัวเองแหละเหนือกว่ามวยไทย โดยจัดนัดปาหี่ ให้คนเกาหลีเล่นเทควันโด ชนะ คนเกาหลี(ที่แทบจะต่อยไม่เป็น)ที่เล่นมวยไทย เป็นการClaimว่า ข้านี่เก่งกว่ามวยไทย เพื่อวัฒนธรรมเทควันโด และขายสินค้าตัวเองได้ แต่ฝรั่งไม่เชื่อครับ ดูออกว่าเฟค ตอนหลังเกาหลีเลยเปลี่ยนแผน บอกว่าตัวเองนี่แหละคิดมวยไทย แล้วคนอพยพไปประเทศไทยก็เลยเอาวิชาตัวเองไปด้วย - -! ถึงขนาดเกาหลีบอกว่ากษัตริย์ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช โดยทวีปยุโรปเคยป็นเมืองขึ้นของเกาหลี- -! การล่าอาณานิคมวัฒนธรรมสำคัญมาก จริงๆตอนนี้ละครไทยก็ดังในจีน ฉะนั้นดาราไทยที่ดัง หากเป็นแบรนให้สินค้าไทย แล้วเอาสินค้าไทยไปขาย ให้คนมาซื้อ ก็ไม่ต่างจากนักร้องเกาหลีแน่ๆที่มาโฆษณามือถือที่ไม่ได้ดีอะไรเลย แต่Idolตูใช้ ก็เลยอยากใช้
โดย
^^
พุธ ก.ย. 14, 2011 10:03 pm
0
0
Re: China Unlikely to Rescue Italy !!!!
ต่อไปจีนจะหนักกว่าอเมริกา เพราะรากฐานระบบเศรษฐกิจยังไม่แน่นดี ก็นำมาปฏิบัติซะแล้วกับคำพูดที่ว่า "แมวสีอะไรจับหนูได้เป็นพอ" มีความหมายมากกว่าที่เห็นมาก ลึกมาก ลึกขนาดเป็นเรื่องการเมืองเลยทีเดียว ตอนนี้มันเป็นฝุ่นใต้พรมที่Multipleไปเรื่อยๆ รอวันเปิดเผย นักการเมืองไทยที่โกงกินกันว่าแน่ ที่จีน 66ล้านคนเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสรวมในท้องถิ่นต่างๆ ณ ปี45 แล้วปี2554นี้ล่ะ หึหึ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสกระจายไปทั่ว โกงกินไปทั่ว ขนาดผู้นำคนหนึ่งโกงกินไป 3000ล้านเหรียญ ขอย้ำว่าเหรียญUS รัฐบาลจีน ชิลๆ เพราะไม่กระทบตัวเองเท่าไหร่ และคนนี้สายสัมพันธ์กับระดับใหญ่เยอะ เลยรอด แล้วคิดดู 66 ล้านคน(ปี45) ฉะนั้นมันอาจอยู่ในProcessกำลังบ่มรอแตกเหมือนตอนที่อเมริกา ต้องตั้งกฏและตั้งกลตขึ้นอย่างจริงจังหลังจากตัวเองล้มกันดัง และระบบกวานซี ยังคงมีอยู่ในสังคมจีน ถึงขั้น นักธุรกิจชาวต่างชาติฟ้องบริษัทจีนว่าไปโกงเขา ศาลดันพูดว่า "คุณเป็นใคร เราไม่รู้จักคุณ แต่บริษัทที่คุณฟ้องเรารู้จัก แล้วทำไมเราต้องมาเดือดร้อนเพื่อคุณด้วย" โดยทั้งนี้ไม่รวมเงินใต้โต๊ะ ค่าวิ่งเต้น ค่าต้องจ่ายซื้อวัตถุดิบจีน ถ้าธุรกิจของคนต่างชาติกำไรนิดเดียว ขาดทุนทันทีเพราะต้นทุนค่ายัดเงินสูงกว่าสินค้ามาก โดยขั้นต่ำด้วยนะ ถ้าจะทำธุรกิจในจีน ต้องมีเป็นธุรกิจขั้นต่ำ 200ล้านเหรียญ ไม่งั้นไม่ให้ทำ เพราะไปเปลืองทรัพยากรพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเขา ใครอยากทราบรายละเอียดลองหาสารานุกรมจีนอ่าน
โดย
^^
พุธ ก.ย. 14, 2011 9:53 pm
0
0
Re: IVL13CC
อืม สำหรับผม มันคือราคาใช้สิทธิซื้อขายอ้างอิงหุ้นนั้นๆในอนาคนที่มีPremiumมาก เสมือน Warrantราคาใช้สิทธิที่สูงกว่าตัวแม่ เมื่อหุ้นอ้างอิงขึ้น มันก็จะพยายามขยับไปในทิศทางเดียวกันโดยมีความผันผวนสูงกว่า และถือระยะยาวไม่ได้เพราะมีอายุการถือ ใช้สิทธิซื้อตัวแม่ไม่ได้ ได้แต่Net settlement เมื่อวันหมดอายุ ราคาเหลือเท่าไหร่ คุณก็เหลือเงินเท่านั้น เป็นการผสมผสานระหว่าง Derivative ที่ใช้การNet settlementและมีความผันผวนสูงและหมดอายุ Warrant อ้างอิงราคาหุ้นแม่ มีPremiumเหมือนราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นที่สูง IVL คืออ้างอิงกับ หุ้นIVL 13 ตัวเลขสมาชิกโบรคเกอร์ที่ออกตราสารนี้ C ตัวแรกคือ Callเสมือน Call option หุ้นขึ้น เกินSpot ก็ได้กำไรไป ถ้าPก็Put ต้องให้หุ้นลง) Cตัวสุดท้ายคือ Series รุ่นที่ออก ------------------------------------------------------------------------- KKBB19CA KKBB หมายถึง ชื่อหุ้นอ้างอิง - กรณีที่หุ้นอ้างอิงมีชื่อสั้นกว่า 4 ตัวอักษร ใช้ชื่อนั้นได้เลย เช่น PTT - กรณีที่หุ้นอ้างอิงมีชื่อยาวกว่า 4 ตัวอักษร ให้คงไว้เฉพาะอักษร 4 ตัวแรก เช่น หุ้น BANPU จะใช้เพียง BANP 19 หมายถึงผู้ออก DW โดยใช้เลขรหัสสมาชิกของโบรกเกอร์ เช่น บล.เกียรตินาคิน= 19 C หมายถึงประเภทของ DW โดย C หมายถึง Call DW สิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิง P หมายถึง Put DW สิทธในการขายหุ้นอ้างอิง A หมายถึงรุ่นที่ออก (Series) โดยใช้สัญลักษณ์ A-Z สุดท้ายตลาดนี้มีMarket maker+ราคาที่ตั้งมานั้น มีPremiumที่สูง ไม่เช่นนั้นคนออกDWจะรับการขาดทุน โดยสรุปคือ ใครเข้าไปเล่นก็เสร็จโจร ไม่มีมูลค่าใดๆ เพราะไม่มีการส่งมอบ เสมือนซื้อเก็งกำไรในหุ้นPEหุ้นเน่าๆทั้งตลาดรวมกันหรือประเมินค่าไม่ได้ ที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ราคาจะลงแรง และเราถือครองไม่ได้เพราะไม่งั้นคือ 0
โดย
^^
พุธ ก.ย. 14, 2011 2:09 am
0
2
Re: IVL13CC
รู้จัก Derivative Warrants ปัจจุบันธุรกิจการเงินทั่วโลกมีสินค้าทางการเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ ใบสำคัญแสดงสิทธิ ฯลฯ ที่มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นทางเลือกต่างๆ สำหรับการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงของผู้ลงทุน หนึ่งในสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นก็คือ Derivative Warrants (DW) หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เนื่องจากคุณสมบัติของ DW นั้น สามารถทำกำไร หรือใช้สำหรับบริหารความเสี่ยงก็ได้ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังจะเปิดให้มีการซื้อขาย DW ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงเป็นครั้งแรก Derivative Warrants คือสิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นอ้างอิง ในราคา จำนวน และเวลาที่ผู้ออกกำหนด โดยในระยะเริ่มแรก DW ที่กำลังจะออกซื้อขายนั้น เป็นประเภท Call Warrant เป็นสิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิงที่สามารถนำมาซื้อขายในตลาดรองได้ ดังนั้น DW ในประเภทนี้จะมีลักษณะคล้ายกับ Warrant แต่สิ่งที่มีความแตกต่างคือ ผู้ออก DW คือบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหุ้นอ้างอิงที่ผู้ออก DW จะสามารถออกได้จะจำกัดอยู่ในกลุ่มดัชนี SET 50 เท่านั้น อายุการใช้สิทธิของ DW กำหนดให้มีอายุตั้งแต่ 2 เดือน ถึง 2 ปี ซึ่งการใช้สิทธิจะสามารถใช้สิทธิได้ครั้งเดียว ณ วันที่ครบกำหนดการใช้สิทธิ์ เมื่อถึงวันที่ครบกำหนดการใช้สิทธิ หาก DW อยู่ในสถานนะ In the Money หรือมีกำไรจากเงินสดส่วนต่างที่ราคาตลาดของหุ้นอ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ถือ DW จะได้รับการชำระราคาหรือส่งมอบเป็นเงินสดจากผู้ออก DW ซึ่งจะไม่มีการส่งมอบหุ้นอ้างอิงแต่อย่างใด หรือเรียกได้อีกอย่างว่าใช้วิธี Cash Settlement ณ ที่นี้ผู้เขียนจะขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบดังนี้ สมมติว่านายสดใส ซื้อ DW ที่มีหุ้นอ้างอิงคือหุ้นปูแดง จากบริษัทหลักทรัพย์ ABC จำนวน 1,000 หน่วย มูลค่า 1,000 บาท โดยราคาใช้สิทธิเท่ากับ 100 บาท ผู้ออก DW กำหนดให้มีอายุ 6 เดือน เมื่อถึงกำหนดเวลาใช้สิทธิปรากฏว่านายสดใสอยู่ในสถานะ In The Money โดยที่ราคาตลาดของหุ้นปูแดงราคา 120 บาท แต่นายสดใสถือ DW ที่เป็นสิทธิในการซื้อหุ้นปูแดงในราคาเพียง 100 บาท นายสดใสจะได้รับการใช้สิทธิอัตโนมัติ ซึ่งจะได้กำไรจากการใช้สิทธิจากบริษัทหลักทรัพย์ ABC ที่เป็นผู้ออก DW เท่ากับ 2 หมื่นบาท [ (120-100) * 1,000 หน่วย ] ทั้งนี้นายสดใสจะได้รับมอบเป็นเงินสด แทนการส่งมอบหุ้นจริง สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะทราบก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่ดูแลในเรื่องการใช้สิทธิหรือการผิดชำระเงินสดของผู้ออก DW รวมทั้งการประกันว่าผู้ออกจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ DW หรือไม่ ดังนั้นผู้ลงทุนใน DW จะต้องศึกษาเลือกลงทุนกับ DW ที่ผู้ออกมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับที่สูง
โดย
^^
พุธ ก.ย. 14, 2011 1:53 am
0
0
Re: ในนี่สุด ศก โลกและอารมณ์มนุษย์ก็อยุ่เหนือเกือบหมดทุกอย่า
ในที่สุดความหมายว่ามีMOSที่เพียงพอหรือไม่ก็ได้รับการพิสูจน์
โดย
^^
อังคาร ก.ย. 13, 2011 10:14 pm
0
0
Re: คำถาม การตีราคาบริษัทที่มีหนี้ กับไม่มีหนี้
แอบงงอ่ะ ส่วนทุนต่างกัน อันนึงใช้ทุนน้อยกว่า ที่เหลือกู้ เท่ากับ กู้ 100 เงินตัวเอง 100 ถ้าทำได้ 200 ผลตอบแทน ก็คือ 200ต่อ100(เงินตัวเอง) มีโรงงานอยู่แล้ว อีกอัน เงินตัวเองทั้งหมด 200 แต่ถ้าทำได้ 200 ผลตอบแทนก็คือ 200ต่อ200(เงินตัวเอง) มีโรงงานอยู่แล้ว ตีAssetเท่ากับ 200เท่ากันทั้งคู่ ทำไมROE คนกู้ได้น้อยกว่าคนไม่กู้อ่ะ ผมลองแทนค่าในDupont ROE=R/A *A/E ROEของทุนตัวเอง100และใช้กู้100 กำไร 200 Asset 200 200/200*200/100=2 ส่วนROEของคนที่ใช้ทุนตัวเองทั้งหมดไม่ได้กู้เลย 200 กำไร200 Asset200 200/200*200/200 = 1 จะเห็นว่าROEแบบกู้ได้มากกว่าROEคนใช้ทุนตัวเองทั้งหมด แล้วROA กรณีมีสินทรัพย์เท่ากันผมลองเอาค่าที่ได้จากข้างบนมาใส่ -แบบกู้มา ROE=R/A *A/E =ROA*2 -แบบเงินตัวเองทั้งหมด ROE=R/A *A/E=ROA =ROA*1 ฉะนั้น แบบกู้มาROA ก็ได้มากกว่าแบบไม่กู้ ถ้ายังรักษาระดับการหาเงินได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็Destroyให้ต่ำกว่าปกติ ผมเข้าใจถูกไหม ผิดถูกชี้แนะด้วย
โดย
^^
อังคาร ก.ย. 13, 2011 8:29 pm
0
0
Re: companion variables - วิธีการหาหุ้น undervalue
ขอบคุณครับ จะไปลองแกะดู ใช้คล่องคงจะเป็นPEG PBVเทียบROE คงต้องไปฝึกอย่างอื่นเพิ่ม
โดย
^^
จันทร์ ก.ย. 12, 2011 5:09 pm
0
0
Re: การควบรวมกิจการ คืออะไรครับ
การควบรวมกิจการ มี2แบบ เท่าที่ผมเห็นนะ 1.เกิดบริษัทชื่อใหม่ เช่น บริษัท ก กับ ข รวมกัน แล้วมีชื่อใหม่เป็นบริษัท ค โดยทั้งคู่จะต้องมาแชร์หนี้สิน สินทรัพย์กัน และอาจจะมีการจัดสรรหุ้นได้ไม่เท่ากัน เช่น คนที่ถือบริษัท ก จะได้หุ้น ค 10หุ้น แต่คนที่ถือบริษัท ข จะได้หุ้น ค 5 หุ้น ทั้งนี้แล้วแต่ว่าบริษัทไหนมีคุณภาพการเงินดีกว่า ก็ได้รับแบ่งหุ้นมากกว่าก่อนมารวมกิจการ 2.กรณีนี้คือ แยกธุรกิจกัน โดยยังคงบริษัทกและข ดำเนินต่อไป บริษัท ก ถือหุ้นซะส่วนใหญ่ในบริษัท ข เหตุผล คือ 1.เพื่อเป็นช่องทางใหม่ในธุรกิจ ตัวเองขายบ้านหรู ไปถือให้หุ้นที่ขายบ้านราคาไม่แพง 2.มีอำนาจควบคุมบริษัท ข ในการกำหนดนโยบายเช่นตัวเองผลิตนม ก็ให้คู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตนมไปทำไอติมนมแทน 3.ได้สิทธิบางอย่างจากบริษัทที่ได้ไปซื้อมา นอกจากนี้ข้อดีก็มี ถ้าหากทำธุรกิจไปในทางเดียวกัน 1.ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 2.เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง เสมือน มีฝ่ายบัญชีสองบริษัท ก็ทำให้เหลือที่เดียวพอ ผลิตจำนวนมาก ต้นทุนถูกกว่า 3.ช่วยให้ฐานะการเงินของบริษัทที่ถูกซื้อไปดีขึ้น 4.ช่วยขยายกิจการได้ โดยไม่ต้องเริ่มอะไรใหม่ เหมือนซื้อร้านคู่แข่งที่มีทั้งเครื่องมือ พนักงาน โรงงาน สินค้า ลูกค้าพร้อมอยู่แล้ว เราแค่ใช้เงินไปซื้อ ข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม 1.อาจเป็นการซื้อกิจการที่แพงเกินไป--จ่ายค่าความนิยมสูง(Brandสินค้า) ทั้งๆที่บริษัทที่ถูกซื้อไป อาจไม่ได้แพงอย่างนั้น -เกิดได้จากตั้งใจซื้อแพง เพราะเอื้อประโยชน์กัน -เกิดจากความไม่รู้จริงๆว่ามันแพง ตีมูลค่ายาก 2.เมื่อรวมกิจการแล้ว แน่นอนว่า มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกที่หนึ่ง หากฐานะการเงินของบริษัทผู้ซื้อไม่ดี แล้วทำการซื้อกิจการเพื่อขยายในภาวะไม่เหมาะสมโดยดูจากงบดุลตัวเองที่อ่อนแอ อาจจะทำให้ธุรกิจหลักก็แย่ แล้วที่ซื้อมาแทนที่จะเป็นกำไรช่วยธุรกิจหลัก กลับมาทำให้ขาดทุนซ้ำอีก 3.บริษัท ก เข้ามาหาผลประโยชน์จากบริษัท ข แล้วก็ชิ่ง ส่วนเรื่องราคาหุ้นทางจิตวิทยา หุ้นที่ถูกTake overย่อมดีใจเพราะมีฮีโร่มาช่วยภาวะแย่ๆ แต่ถ้าการหวังผลมาTake overไม่มีเจตนาดี อาจจะเสียใจในภายหลัง ที่ผมรู้นะ
โดย
^^
จันทร์ ก.ย. 12, 2011 10:26 am
0
0
Re: อีก 10 ปี 2564
4270จุด จากBaseบริษัทอาจจะเท่าเดิมหรือลดลงจากการMerge รับเปิดเสรีการค้า โดยไม่รวมบริษัทที่เข้าใหม่....มั่วไปเรื่อย
โดย
^^
จันทร์ ก.ย. 12, 2011 1:58 am
0
0
Re: การลดพาร์กับผลกระทบราคาหุ้น
หุ้นเพิ่มทุนและลดทุน คัดมาจาก http://www.bangkokbizweek.com/ วันศุกร์ที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2549 Money Game : วิสิฐ องค์พิพัฒนกุล นักลงทุนคงจะมีความคุ้นเคยกับการเพิ่มทุนและลดทุนของหุ้นที่เราถืออยู่ ความยากที่นักลงทุนพบอยู่เสมอคือ จะตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือไม่ และการเพิ่มทุนและลดทุนของหุ้นตัวที่เราถืออยู่มีความหมายทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Benefit) อย่างไร? หุ้นเพิ่มทุนอาจมีหลายลักษณะ เช่น อาจจะเป็นการออกหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในลักษณะ Right issues ซึ่งการออกหุ้นลักษณะนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนั้นไม่ต้องการลดส่วนการถือหุ้นลง หรือถ้ามีการออก หุ้นเพิ่มทุนชนิดเฉพาะเจาะจง (Private Placement) แม้ราคาเพิ่มทุนอาจจะต่ำกว่าราคาปัจจุบัน จะต้องดูว่านักลงทุนที่ซื้อหุ้นบริษัทนั้นเป็น Strategic partner หรือเป็นผู้ถือหุ้นเดิม นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มทุนอีกวิธีคือ การขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่แก่สาธารณชนทั่วไป หรือที่เราเรียกว่า Public Offering (PO) สำหรับกรณีหุ้นถูกลดทุน อาจจะเป็นลดจำนวนหุ้นลง โดยการลดทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว (Paid-up Capital) ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่ไม่มีกำไรสะสมเหลืออยู่ (Retained Earnings) แต่จะมีขาดทุนสะสม (Retained Loss) เป็นจำนวนมากจนกระทั่งถ้าบริษัทต้องการจ่ายเงินปันผล หรือมีหุ้นส่วนใหม่เข้ามา (Strategic Partner) จะต้องเอาส่วนขาดทุนสะสมมาหักกับทุนจดทะเบียนแทน คือผู้ถือหุ้นเดิมต้องรับส่วนสูญเสียไปก่อน ผมขออนุญาตให้ข้อสังเกตว่า กลยุทธ์การเลือกหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นลดทุนประเภทใดที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น มีดังนี้ ข้อที่หนึ่ง ถ้าการเพิ่มทุนแล้วไม่เกิดการลดลงของกำไรต่อหุ้น แต่กลับเพิ่มกำไรต่อหุ้น ปรากฏการณ์นี้ในภาษาการเงินเราเรียกว่า Anti-dilution ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี เช่น กรณี ก. นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ในการคืนหนี้ จนทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยลดลง มากกว่าจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมักจะเกิดในภาวะดอกเบี้ยสูงมาก หรือ กรณี ข. นำเงินเพิ่มทุนไปซื้อโครงการใหม่ หรือบริษัทใหม่ และบริษัทใหม่ที่ถูกซื้อนั้นสามารถทำกำไรให้บริษัทแม่ได้ทันที และกำไรที่ได้มากกว่าจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น คือ กำไรต่อหุ้นของจำนวนหุ้นใหม่ทั้งหมด มากกว่ากำไรต่อหุ้นเดิม หรือ กรณี ค. ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) ของบริษัทหลังการเพิ่มทุน และหลังจากซื้อกิจการบริษัทอื่นแล้วสูงกว่าอันเดิมมากๆ ตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ การเพิ่มทุนจะเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น ข้อที่สอง ถ้าการเพิ่มทุนแล้วและไปซื้อกิจการเพิ่มแล้ว บริษัทใหม่ไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการในบริษัทที่ซื้อ หรือ เงินปันผลจากบริษัทใหม่ไม่คุ้มกับดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุนอื่น ในเชิงเปรียบเทียบ การเพิ่มทุนจะไม่เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราไปซื้อกิจการในต่างประเทศ และไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมการบริหารงานในบริษัทต่างประเทศนั้นได้ สุดท้าย บริษัทในบ้านเรานั้นต้องขายคืนให้กับเจ้าถิ่นไป หุ้นเพิ่มทุนในลักษณะนี้ก็ไม่น่าซื้อ ข้อที่สาม โดยปกติสถาบันการเงินจะเติบโตจากกำไรสะสมของตนเอง การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินจะมีน้อยมากซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปทำการตั้งสำรองหนี้สูญ เพราะฉะนั้น การเพิ่มทุนของสถาบันการเงินอาจจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก ข้อที่สี่ Market Capitalization (มูลค่าการตลาด) ของหุ้นภายหลังการเพิ่มทุน โตเป็นจำนวน 8-10 เท่าของยอดขาย หมายความว่า ยอดขายอาจจะโตไม่ทันกับขนาดมูลค่าการตลาด ในที่สุดแล้ว หุ้นนั้นจะราคาตกอย่างรวดเร็ว หุ้นเพิ่มทุนในลักษณะนี้ควรหลีกเลี่ยง
โดย
^^
จันทร์ ก.ย. 12, 2011 12:02 am
0
0
Re: หาข้อมูลครับ
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/cgi-bin/findFS.php?lang=t&ref_id=&content_id=1 เลือกตัวย่อบริษัทได้เลยครับ
โดย
^^
อาทิตย์ ก.ย. 11, 2011 11:55 pm
0
0
Re: สารคดีชีวิตสัตว์โลก::จุดอ่อนแมลงเม่า
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ TA กับ VI ถึงกับงงทั้งคู่ 5555+ วิชาสำนักไหนเนี่ย
โดย
^^
อาทิตย์ ก.ย. 11, 2011 11:50 pm
0
0
308 โพสต์
of 7
ต่อไป
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
^^
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.ค. 14, 2010 12:20 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
519 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.03% จากโพสทั้งหมด / 0.10 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว