หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
naris
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
Joined: จันทร์ พ.ค. 09, 2005 11:01 pm
6726
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - naris
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เคยเห็นใบหุ้นของบริษัทที่เราลงทุนกันไหมครับ
ผมว่าใบหุ้นของบริษัทต่างประเทศมีลวดลายสวยงามดีนะครับ ของไทยจะเรียบง่ายไปหน่อย เห็นด้วยครับพี่ฉัตร สมัยเล่นหุ้นแรกๆ เคยสนใจจะขอใบหุ้นมาเก็บไว้บ้าน เพื่อที่จะได้ไม่มือบอน คิดว่าใบหุ้นจะมีลวดลายเหมือนกับของเมืองนอก ที่ไหนได้เหมือนใบโฉนดย่อส่วนเลย กระดาษและสีสรรไม่น่าจูงใจในการเก็บรักษาเลย ผมว่าถ้าออกใบหุ้นสวยๆ น่าจะทำให้คนถือหุ้นได้นานกว่าเดิมนะครับ :mrgreen:
โดย
naris
พุธ พ.ค. 11, 2011 11:55 am
0
0
Re: JAS มาม่าชามใหญ่ อยากระบายอะไรก็มาทางนี้
นั้นแหละครับสาเหตุที่ลงแรง รับไม่อยู่ และไอ้ที่ขายกันออกมา ตั้งแต่ประมาณ 3.30 ผมว่าส่วนใหญ่จำใจขายหรือบางคนอาจโดนบังคับให้ต้องขาย ซะด้วย ยิ่งลงก็ยิ่งมีเพิ่ม ผมว่ายังเหลือที่จะต้องโดนบังคับขายอีกเยอะหากราคายังอยู่แถว ๆ นี้ ใจเย็น ๆ ครับ บางทีนะอาจจะเป็นว่า ทุบให้พวกใช่มาร์จินปล่อยของออกมาเยอะ ๆ เพื่อเปิดทางให้ต่างชาติเข้า เร็ว ๆ นี้นะครับ :mrgreen: :mrgreen: ราคาก่อนลงอาจจะยังไม่จูงใจต่างชาติ (โดยเฉพาะแถว ๆ ฮ่องกง) เออ.....ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม่ต้องฮ่องกง :wink: :wink: อิอิอิอิ 3.30 นี่ ต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่ถึงโดน force sell (บังคับขาย) เหรอครับ ผมคิดว่า น่าจะประมาณ 3.8 ขึ้นไปครับ แต่ผมไม่ได้หมายความว่าทุกเคสจะต้องถูก force sell ครับ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็จะทราบจุดที่ตัวเองจะต้องถูก force sell พอมันลงมาใกล้ใกล้จะถึง ก็ขายกันก่อนแล้วครับ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วขอต่ออีกนิดนะครับ โดยส่วนตัวผมเองคิดว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ได้มีอะไรซับซ่อนเท่าไหร่ครับ ถ้าจะจำได้ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดลง jas ก็สวนตลาดขึ้นมา เพราะงั้นอารมณ์แต่ละคนก็แตกต่าง แต่ส่วนใหญ่ผมว่าประเมินว่าจะต้องย่อลงนะครับ แต่ขายไปก็กลัวขายหมูเพราะเห็นว่าเป็นขาขึ้น เหมือนกับว่า กล้า ๆ กลัว ๆ นะครับ ไม่ทราบพอจะเคยเห็นภาพที่เมื่อก่อนนะครับ เป็นภาพที่มี ฝูงนก เพนกวิด ยืนกันเยอะ และก็มี ตัวนึงกระโดดลงน้ำตัวต่อไปก็ตามกันจนหมด ผมคิดว่าคนหรือกลุ่มที่ขายไม้แรก ก็อาจจะไม่ได้มีความตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรอกครับ แต่อาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินนะครับ เช่น ต้องใช่เงินเพื่อไปเลือกตั้ง ลูกกำลังจะเปิดเทอม หรือ อะไรก็ได้ครับ และผมก็เชื่อว่าไม่ใช่กลุ่ม ผถห ใหญ่หรอกครับ อาจจะเป้นใครก็ได้ เพราะถ้าใช่ มาร์จิน ก็น่าจะมีจำนวนหุ้นพอสมควร แต่พอขายไปคนที่อื่นเห็นว่ามีทิ้งมาก็ผสมโรงกันไปด้วย จาก 1 เป็น 10 จาก 10 เป็น 100 พอลงไปถึงจุดนึง กลไก force sell ก็เริ่มทำงาน ยิ่งลงก็ยิ่งเพิ่ม จึงไหลลงไปเยอะนะครับ บวกกับท่านอื่นที่ไม่ใช่มาร์จินก็ผสมเข้าไปอีก ช่วงหลัง ๆ มาผมได้ยินเป้าหมายเยอะมาก มีทั้ง 3.5 4.0 5.0 6.8 เลยไปยัง 12 ก็เคยได้ยิน เริ่มจากมั่นใจ จนมาเป็นกังวล และก็กลัว เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวผมว่าอาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยามวลชน น่ะครับ เมื่อก่อนช่วงเป็นวัยรุ่น มีช่วงนึงที่วัยรุ่นชอบไปท้าพิสูจน์ บ้านผีสิง ผมกับเพื่อน ๆ ก็ไปครับ ก่อนไปก็ครึกครื่นกันดี พอไปถึงผมก็เริ่มเสียว ๆ เพราะบรรยากาศ พอได้เข้าไปในใจนี้กลัวแต่ต้องทำเป็นกล้า กลัวเพื่อนว่า พอเดิน ๆ ไป มีคนนึงทำของตก เท่านั้นแหละครับไปกันคนละทิศละทางเลย พอรวมกลุ่มกันได้อีกทีถามว่าวิ่งกันทำไม โห บางคนบอกเห็นเงาคน บางคนบอกเห็นเด็กวิ่ง ไอ้คนที่ไม่เห็นก็ต้องบอกว่าเห็นร่วมถึงผมด้วย เพราะกลัวจะอายหาว่า ปอดแหก อิอิ ใจร่ม ๆ เถอะครับ น้ำครึ่งแก้วเราจะมองว่ามันหายไปตั้งครึ่งแก้ว หรือเราจะมองว่ามันเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว ก็อยู่ที่ตัวเราจะเลือกมองครับ ค้วยความเครพครับ อ่านแล้วขำกลิ้ง โดนใจจริงๆครับ :D
โดย
naris
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 11:56 am
0
0
Re: ร้อยคนร้อยหุ้น
ขอบคุณครับพี่เจ๋ง :D มอดตอนนี้เป็นทีมงานใหม่ พี่บูเป็นประธาน พี่เจ๋งมีอะไรแนะนำทีมงานใหม่รบกวนชี้แนะได้ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ได้นะครับ ส่วนเรื่องข้อมูลที่โต้แย้ง เพิ่งจะมีข้อสรุปล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วคล้ายๆกับที่พี่เจ๋งเสนอครับ ขอบคุณสำหรับความหวังดีและข้อชี้แนะครับ :bow:
โดย
naris
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 11:50 am
0
0
Re: ผู้รู้กฎหมายระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกช่วยด้วยครับ
ถ้างบรวมคงcancelกันไป แม่ลูกหักล้างกัน หนี้หายไปไหน ก็คือเจ้าหนี้ของบริษัทลูก หนี้สูญไป คุ้นๆว่าทำให้BLANDเกิดกำไรจากการประนอมนี้ปีที่แล้วใช่ไหม? งบรวมBLANDมีกำไรสะสม แต่บริษัทแม่ยังมีขาดทุนสะสม ปันผลไม่ได้ 10ปีนี่คงไม่ใช่โชค ให้ไปดูว่าตอนต้มยำกุ้ง หุ้นกู้ของบริษัทลูกมีการเปลียนมือไปที่ไหนบ้าง แล้วหาว่า2-3ปีก่อนมีการขายบริษัทลูกอีกแห่ง50%ให้ใครไป อ๋อ เริ่มจะเก็ตแล้วพี่เด่นสิน ขอบคุณมากครับ ปล ร้ายจริงๆ
โดย
naris
จันทร์ พ.ค. 02, 2011 1:56 pm
0
0
Re: ผู้รู้กฎหมายระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกช่วยด้วยครับ
ถ้ากรณีบริษัทแม่ที่อยู่ในเมืองไทยยืมเงินจากบริษัทลูกที่อยู่ในต่างประเทศ (บริษัทแม่ถือหุ้น 100% ในบริษัทลูก)และไม่สามารถชำระเงินคืนบริษัทลูกได้เกินสิบปี โดยบริษัทลูกไม่เคยใช้สิทธิเรียกร้อง ในกรณีนี้จะถือว่าบริษัทลูกหมดสิทธ์เรียกร้องในหนี้ก้อนนั้นใช่หรือไม่ ถ้าใช่บริษัทแม่จะถือว่าหนี้ค้างจ่ายบันทึกกลับมาในงบดุล และงบกำไรขาดทุนอย่างไร ขอบคุณมากครับ ยังงงงง เพราะไม่ได้ตาม ขอถามแบบผู้ไม่รู้นะครับ เขาถือหุ้น100เปอร์เซนต์แล้วเบี้ยว มันก็ไม่น่าจะมีผลต่องบรวม :?
โดย
naris
จันทร์ พ.ค. 02, 2011 12:17 pm
0
0
Re: Australian Dollar
ใครอยู่ australia ตอนนี้กลับมาเที่ยวเมืองไทยยิ้มหน้าบานเลย อิอิ :D แต่ผมหน้าเหี่ยวครับ....555 ผมกลับทำสวนทางกับค่าเงิน ตอนปี 2008-2009 ผมจำได้ว่าโอนเงินไปซื้อหุ้น $AUD 1 : 26-27 Baht ปกติ 29-30 บาท จี๊ดดดดดดดดดด ตอนนี้แบ่งเอาเงินกลับมา ซื้อทรัพย์สินอย่างอื่น 32.5 - 32.9 Baht ต่ิอ 1 ดอลล่าร์ ซีสสสสสสสสสสส ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ราวๆ 5-6 บาท คิดเป็นราว 25-30% หากหุ้นไม่ได้ขึ้นมาเป็น 100% ในสองปีที่ผ่านมา ผมคงเดี้ยงงงงงงงงไปแล้ว คิดให้เป็นแง่บวกสิว่า เงินที่หาได้จากนี้เอามาซื้อหุ้นเดือนละสองสามแสนบาท ก็ใช้เงินดอลน้อยลง :mrgreen:
โดย
naris
อาทิตย์ พ.ค. 01, 2011 5:31 pm
0
0
Re: สวัสดีครับผมอยากถามว่าROA นี้คำนวณยังไงเหรอครับ
ตอนผมเล่นหุ้นใหม่ๆก็เข้าใจว่าเอากำไรสุทธิเป็นตัวตั้งเหมือนroe แต่มารู้ว่าไม่ใช่จากพี่ๆในเวปนี้แหล่ะครับ วัตถุประสงค์หลักของroaคือ ต้องการหาประสิทธิภาพในการทำกำไร ตัวตั้งเลยเอาตัวแปรที่มาจากประสิทธิภาพคือ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยก่อนภาษีมาเป็นตัวตั้งหารด้วยทรัพย์สินทั้งหมดครับ และคสรจะเป็นค่าเฉลี่ยทรัพย์สินต้นงวดกับปลายงวดด้วยนะครับ
โดย
naris
อาทิตย์ พ.ค. 01, 2011 12:26 pm
0
0
Re: ดีครับผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรกันขึนกับหุ้นตัวนี้เหรอครับsec
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=23525&start=60 หลักการลงทุนต้นฉบับของกูรูแนววีไอจึงเน้นเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารในลำดับต้นๆครับ
โดย
naris
อาทิตย์ เม.ย. 24, 2011 5:18 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
พี่เห็นด้วยครับว่าทีวีดาวเทียมน่าจะเป็นเมกะเทรนที่โตไปได้อีก5ปีเป็นอย่างน้อย แต่ตอนนี้ถ้าพูดถึงผู้นำอย่างชัดเจนยังไม่มี เพราะทีวีดาวเทียมยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมใหม่ที่ยังต้องหาจุดลงตัวให้พอดีกันระหว่างเจ้าของสถานีกับกลุ่มลูกค้า ถ้าช่องไหนสามารถหาจุดยืนที่โดดเด่นเพียงพอต่อตลาดแมส และมีคอนเทนต์ที่ถูก ช่องนั้นก็จะกลายเป็นผู้นำที่ชัดเจนที่มากกว่านี้ครับ
โดย
naris
อาทิตย์ เม.ย. 24, 2011 10:07 am
0
0
Re: นริศสอนน้อง
ผมเจอปัญหาการขายหมูซ้ำซาก พี่นริศมีวิธีอะไรบ้างครับที่ไม่ขายหมูหรือ เข้าใจว่าพี่ไม่ค่อยดูกราฟด้วยซ้ำ(คิดเองครับ). พอเราศึกษากิจการ ศึกษาธุรกิจ ประเมินกำไร กำหนดราคาเป้าหมาย ดูราคาตลาด มีmos เพียงพอกับความเสี่ยงที่เรารู้และรับได้ ตกลงซื้อ ปัญหาคือตอนขายนี่แหละครับ เมื่อราคามาถึงจุดที่เราประเมินไว้ แต่พื้นฐานบางอย่างเปลี่ยนไประหว่างทาง เราต้องบวกเข้า หรือลบออก ถ้าเป็นผลดี ผลเสีย ใช่ไหมครับ. อีกอย่างตัวแปลเรื่องเวลาก็น่าจะมีผลเหมือนกัน ประเด็นพวกนี้พี่จัดการยังไงครับ ขอบคุณครับ ธุรกิจที่ดี มีเวลาเป็นเพื่อน เติบโตไปเรือยๆ ถ้าเราขายไม่ใช่ราคาที่แพงมากๆ อย่างไรเราก็ขายหมูครับ เพียงแต่เราขายหมูแล้วไปซื้อควายเข้ามาหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง เรื่องขายหมูนี่พี่ก็หมูหลายตัว ถ้าจะนับนิ้วทั้งยี่สิบของพี่ยังไม่พอเลย555 เพราะฉะนั้นคงแนะนำไม่ได้ครับ เพียงแต่พี่จะมีราคาในใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเรามีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนั้นๆ และพี่จะเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆที่อยู่ในรายการว่าควรจะสวิทย์หรือเปล่า ถ้าเห็นชัดเจนว่าเห็นตัวหนึ่งดีกว่าตัวหนึ่งชัดเจนก็สวิทย์ครับ ไม่มีหลักการที่ตายตัว
โดย
naris
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 12:05 pm
0
0
Re: Re:
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับสื่อทีวีดาวเทียมพี่นริศมีความเห็นอย่างไรครับสำหรับการเติบโต2-3ปีนี้..ท่ามกลางความแข่งขันที่สูงขึ้นผมอยากขอความเห็นสำหรับมุมมองภาพยาวๆสำหรับอุตสาหกรรมนี้จากพี่นริศครับขอบคุณครับ :D ขอบคุณครับพี่นริศสำหรับมุมมองของอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียม.. :D :D :D อยากทราบมุมมองของพี่เหมือนกันครับ เหมือนว่าพี่เคยตอบแล้ว แต่ผมหาคำตอบพี่ไม่เจอครับ ขอบคุณครับ ตอนย้ายฐานข้อมูลจากเวปเก่ามาเวปใหม่ ข้อมูลหลายๆบทความที่มีการqouteไว้ได้หายไปหลายส่วนทีเดียว ขอบอกก่อนนะครับว่าเป็นความเห็นส่วนตัวที่เดาทิศทางของอุตสาหกรรมดาวเทียมจากการเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมวิทยุในอดีต พี่ขอเล่าถึงอุตสาหกรรมวิทยุให้ฟังก่อนนะครับ ถ้าใครที่รู้และเห็นข้อมูลใดที่ผมเสนอไปนั้นผิดช่วยแย้งด้วยนะครับ อุตสาหกรรมวิทยุในไทยสมัยก่อนจังหวัดหนึ่งๆมีอยู่ไม่กี่รายมีคลื่นไม่กี่ช่องจากสัมปทานที่ได้จากรัฐ เช่น ช่องกองทัพบท ช่องอสมท ช่องตำรวจ เป็นต้น เจ้าของคลื่น(ช่อง)จะมีรูปแบบรายได้อยู่สองทางคือ 1.ปล่อยสัมปทานให้กับทีมดีเจค่ายต่างๆเข้ามาเหมาคลื่น เช่นช่วงวันนี้ถึงนี้เป็นของทีมนี้เก็บค่าเช่าเดือนละ100000บาทเป็นต้น โดยให้ทีมดีเจไปวิ่งหาสปอนเซอร์กันเอาเอง 2.จัดหาทีมงานดีเจมาพูดและวิ่งหาสปอนเซอร์เอง โดยส่วนมากจะมีการเหมาคลื่นไปให้ดีเจจัดการเองเสียมากกว่ายกเว้นทางอสมท.ซึ่งมีทั้งสองรูปแบบผสมกัน เมื่อดีเจได้เช่าคลื่นช่องนั้นๆแล้ว จะจัดหาสปอนเซอร์โดยส่วนมากจะมีมากในสมัยก่อน เพราะสื่อช่องทางที่ชาวบ้านใช้ในสมัยก่อน วิทยุติดลำดับที่ต้นๆ เพราะไปไร่ไปนาทำงานตามโรงงานร้านค้าก็สามารถฟังได้ จำนวนช่องให้ฟังก็มีไม่มาก การขายโฆษณาในสมัยนั้นจึงได้ราคาค่อนข้างดี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในเรื่องค่าเช่าคลื่น ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนกฎหมายเรื่องคลื่นวิทยุ(จำชื่อไม่ได้)ที่ให้ใครก็ได้สามารถขอคลื่นและตั้งวิทยุชุมชนได้อย่างเสรี เท่าที่จำได้ในจ.เลยก่อนที่จะมีการเปิดเสรีนี้ น่าจะมีสถานีในตัวอ.เมืองอยู่สัก4ไม่เกิน5แห่ง แต่พอหนึ่งปีหลังจากการเปิดเสรี วิทยุชุมชนในจังหวัดเลยรวมๆน่าจะเกินสามสิบราย มีเข้ามาหาสปอนเซอร์ในร้านผมเดือนละหลายๆที่ ที่น่าตลกคือแม้กระทั่งพนักงานคนหนึ่งของผมก็ยังบอกว่าแฟนเขาเปิดวิทยุชุมชน ผมถามรายละเอียดได้ใจความว่า มีพนักงานคนเดียวคือแฟนเขานั่นแหล่ะ ตั้งเสาหนึ่งตัวกระจายคลื่นรอบๆหมู่บ้าน ผมฟังแล้วพอจะเดาออกว่าเกิดการเฟ้อของวิทยุแล้ว ราคาห้ำหั่นกันแน่นอน และรอนับเวลาถอยหลังที่จะสถานีต่างๆจะห้ำหั่นหาจุดยืนของตนเองให้เจอ การปรับตัวได้เกิดขึ้นหลายรูปแบบ เช่น คลื่นเดิมของภาครัฐได้มีการลดราคาลงมาสู้ไม่งั้นดีเจเดิมๆจะเอาตัวไม่รอด และเห็นบางทีมมีการย้ายคลื่นหนีเพราะคงตกลงราคากับเจ้าของคลื่นเดิมไม่ได้ คลื่นใหม่ๆเริ่มวิ่งหาพันธมิตรจนอำนาจการต่อรองเริ่มเปลี่ยน จากผู้จัดมากเกินไป เจ้าของสินค้าหลายๆที่กลายมาเป็นหุ้นส่วนกิจการในการตั้งเสายิงคลื่นในครั้งนี้ เมื่อสงครามเริ่มสงบ สี่ห้าปีที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ 1.ราคาค่าโฆษณาได้ลดลง ดีเจทีมงานที่เคยได้รายได้สูงๆ มีรายได้ที่ลดลง ต้องหาช่องทางอื่นในการสร้างรายได้ให้เท่าเดิมเช่นออกงานต่างๆเป็นต้น และผู้ที่อยู่รอดจะเหลือแต่มืออาชีพ หรือถ้าไม่มืออาชีพก็จะมีจุดยืนพิเศษในข้อสามและสี่ 2.จำนวนช่องมีมากกว่ายุคแรก แต่ถ้านับจากจุดสูงสุดของจำนวนสถานี คงจะหายไปเกือบครึ่งเช่นเดียวกัน 3.ได้กลายเป็นช่องทางสื่อสารของนักการเมืองท้องถิ่นไปเสียแล้ว 4.ได้สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมารูปแบบหนึ่งคือ เจ้าของสินค้ากลายเป็นเจ้าของสถานี เมื่อกลับมาโยงถึงทีวีดาวเทียมซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะมีรูปแบบคล้ายๆกับวิทยุชุมชนคือ -มีจุดแข็งในเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า -ทำให้เกิดรายใหม่ๆเข้ามาเปิดช่องทีวีดาวเทียมมากขึ้นเรื่อยๆ -เม็ดเงินค่าโฆษณาจะแชร์จากเจ้าของสัมปทานสี่รายเดิมมากระจายสู่ทีวีดาวเทียมมากขึ้นเรื่อยๆ -เจ้าของคอนเทนต์ที่ดีๆจะหันมาตั้งทีวีดาวเทียมของตนเอง -เจ้าของบริษัทใหญ่ๆที่มีเพาเวอร์พอจะสร้างช่องทางการโฆษณาทีวีดาวเทียมของตนเอง สุดท้ายคนที่อยู่ได้ในวงการนี้คือ -ช่องที่มีคอนเทนต์ฟรีที่มีคุณภาพ -ช่องที่มีผู้จัดรายการที่เก่ง -ช่องที่มีแบ็คที่หนาจากสองช่องทางคือ.....นกม.....หรือบริษัทใหญ่ๆ
โดย
naris
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 12:01 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
ที่ผ่านมาเหมือนกับว่าพี่นริศลงทุนตัวไหนก็ใช่ตลอด เรียกได้ว่ามีมุมมองและวิสัยทัศน์ที่เฉียบขาดมากๆ อยากทราบว่าเคยมีตัวไหนที่ผิดพลาดบ้างหรือเปล่าครับ หรือสิ่งที่พี่คิดว่าผิดพลาดที่สุดในการลงทุนอ่ะครับ อยากทราบไว้เป็นบทเรียนอ่ะครับ ขอบคุณครับ ตัวที่ผิดพลาดมีมากครับ ตามสถิติคร่าวๆสิบตัวผิดสักสามตัวถูกสักเจ็ดตัว แต่โชคดีว่าตัวที่ผิดนั้นมีระดับความรุนแรงที่ไม่มากสักเท่าไหร่ และตัวที่คิดว่าผิดมากที่สุดคือ7ครับ ที่ไปมองเขาในช่วงนั้นว่าเป็นหุ้นเจ้าสัว และไปมองในมุมการเก็งกำไรในเรื่องขายหรือไม่ขายโลตัส ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นบริษัทที่ดีที่สุดบริษัทหนึ่ง และมีการประเมินมูลค่าพื้นฐานคร่าวๆออกมาแล้วราคาถือว่าถูกมากในช่วง7-8บาท แต่ความผิดพลาดก็ง่ายๆอยู่ตรงที่มุมมองแค่นั้นเอง ถ้าพี่เปลี่ยนมุมมองจากการเก็งกำไรเรื่องขายโลตัสที่จีนไปเป็นการลงทุนในกิจการ โอกาสคราวนั้นก็คงไม่พลาดครับ บทเรียนเรื่องหุ้นวัฎจักรที่เคยโดนไป1ตัว ตอนนั้นก็ลองทดลองลงทุนไปราวๆ10-20เปอร์เซนต์ของพอร์ต(จำไม่ค่อยได้)ด้วยที่ว่าเห็นว่ามันไม่แพง และเห็นโอกาสที่เขาจะโตตามดีมานต์ แต่ปรากฎว่าเจอวิกฤตแฮมเบอเกอร์ไปเสียก่อน และด้วยนิสัยพี่เองเป็นคนขี้กลัวขอปลอดภัยไว้ก่อนจึงขายไปเกลี้ยงพอร์ต สรุปว่ารอบของมันก็มา แต่เลื่อนมาอีกปีกว่า ประสบการณ์ในครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าจะเล่นกับไฟคุณต้องมีใจที่กล้าพอ และควรมีทางหนีทีไล่ไว้ด้วย แต่ถ้าคนมีนิสัยขี้กลัวเป็นพื้น พี่ว่าถ้ายังพอหาหุ้นเจอ ให้หาหุ้นที่มีเวลาเป็นเพื่อนจะดีกว่าไปซื้อหุ้นที่มีระเบิดเวลาซ่อนไว้เป็นจุดๆดีกว่านะครับ สุดท้ายที่จะเล่าแต่ไม่ท้ายสุด หุ้นให้เช่าโรงงานนิคมอุตสาหกรรมตัวหนึ่งที่อยากโตก้าวกระโดด ขยายกิจการไปทำนิคมขายที่ดินเอง มีการขยายสร้างเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และทำคอนโดขาย โดยขยายกิจการหลายๆอย่างพร้อมกันแต่ความเสี่ยงตรงที่ไปใช้เงินกู้ ปัจจัยเสี่ยงในบริษัทนี้เห็นตั้งแต่ที่ลงทุน แต่ด้วยที่เพ้อฝันมองภาพในแง่ดีเกินไป(จริงๆคือโลภ)โดยไม่มองความเสี่ยงว่าถ้าโครงการต่างๆ ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้ามีการเลื่อนรับรู้รายได้ไปอีก1-2ปีจะเสี่ยงมาก และสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งปิดสนามบิน ทั้งแฮมเบอร์เกอร์ได้มาเหมือนนัดกันไว้ โครงการต่างๆมีปัญหาจากการที่ไม่รู้จะไปขายให้กับใคร เพราะขนาดยักษ์ใหญ่ยังเอาตัวแทบไม่รอด แล้วบริษัทนี้เป็นมวยรอง คุณภาพของกิจการก็ด้อยกว่า ทำเลก็ด้อยกว่า สรุปตัวนี้สอนบทเรียน ควรมองความเสี่ยงให้มากพอกับความโลภ จริงๆอยากบอกว่ามองให้มากกว่าความโลภด้วยซ้ำไป เพราะคนเราเวลารักชอบพออะไรความรักมักจะบังตาครับ
โดย
naris
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 11:17 am
0
4
Re: นริศสอนน้อง
ถ้าใครไม่รู้ว่ามูลค่ากิจการเหมาะสมอยู่ที่เท่าไหร่ เวลาหุ้นขึ้นหรือลง ก็จะตื่นเต้นหรือตกใจตามราคานั้นๆ วิธีแก้ปัญหาคือ เราเรียนรู้ศึกษาประเมินมูลค่าของกิจการให้ออก จะได้ไม่ขายเร็วเกินไปเมื่อหุ้นขึ้น หรือ ติดยอดดอยถาวรเมื่อหุ้นลง ผมอยากให้หลายๆท่านเลิกกล่าวถึงราคาหุ้นรายวัน แต่หันมาสนใจกับมูลค่าของกิจการดีกว่าครับ สงสัยมานานแล้ว อยากทราบว่าพี่นริศมีเทคนิคคร่าวๆ ในการประเมินมูลค่ากิจการของหุ้นยังไงครับ รบกวนขอถามเป็นความรู้หน่อยได้มั้ยครับ... ขอโทษนะครับที่ไม่ได้เข้ามาตอบ คนถามคงจะหมดอารมณ์ฟังแล้วกระมัง การประเมินมูลค่าของกิจการเอาแบบคร่าวๆนะ อย่างแรกเลย 1.เราต้องรู้ธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆก่อนว่า นิสัยเขาเป็นอย่างไร พี่แนะนำแบบรูปธรรมง่ายๆที่พี่ใช้คือ แบ่งตามปีเตอร์ลินซ์6กลุ่ม โตช้า โตเร็ว พื้นฐาน ทรัพย์สินมาก เทริ์นอะราวด์ และ วัฎจักร 2.เรียนรู้ตัวธุรกิจเขาระดับที่สามารถรู้จุดตายและตัวเร่งของตัวธุรกิจของเขาได้ และเฝ้าติดตามจุดตายของเขาจากข่าวและงบการเงินทุกๆไตรมาสว่ามีสัญญาณที่ไม่ดีหรือเปล่า และนำคำถามที่เราเกรงว่าจะเกิดถามผู้บริหารเพื่อที่จะเช็คว่าผู้บริหารคิดที่จะแก้ปัญหานั้นๆอย่างไร มองความเป็นไปได้ของตัวเร่งว่าจะเกิดเมื่อไหร่และถ้าเกิดจะทำให้พื้นฐานของรายได้กำไรเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด ถ้าเรารู้ตัวธุรกิจมากๆ เราก็จะสามารถคำนวณความเป็นไปได้ของกำไรของเขาในอีก1-3ปีข้างหน้าได้ โดยเฉพาะหุ้นเมกะเทรนที่ชัดเจนบางตัวอาจจะกำหนดการโตได้อย่างคร่าวๆถึง5ปีทีเดียว 3.นำกำไรที่ได้ในอนาคตนำมากำหนดPEคร่าวๆของธุรกิจในอีก1-3ปีข้างหน้า(ไม่กล้ากำหนดไกลกว่านั้นมากเพราะมองไม่ขาด) 4.เมื่อได้กำไรในอนาคต เมื่อได้ราคาPEในใจที่คิดว่าเขาควรจะเป็น คูณกันออกมาก็จะได้ราคาเป้าหมาย และนำมาเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบัน ที่ยกตัวอย่างนั่นเป็นประเภทหุ้นเติบโต หุ้นพื้นฐาน หุ้นวัฎจักร และหุ้นเทริ์นอะราวด์ ถ้าเป็นหุ้นทรัพย์สินมากก็ต้องมองประเด็นที่เขาจะคายทรัพย์สินนั้นๆออกมามากกว่าประเด็นอื่น
โดย
naris
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 10:41 am
0
2
Re: quality of earnings
ได้อ่านคำถามของพี่เด็กใหม่ ทำให้ผมได้กลับมามองตนเองเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ผมมีคุณค่ามากเพียงใด การได้ทำงานประจำในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา การหาเงินของผมใช้นโยบายสร้างคน สร้างงาน สร้างเงิน การสร้างคน คือเป้าหมายพัฒนาพนักงานต้องเป็นคนมีศีล พยายามให้เขาละลดอบายมุข ไม่มีการเลี้ยงแอลกอฮอลล์ในงานฉลองของร้าน ไม่มีการส่งเสริมให้เอาเปรียบลูกค้า เลี้ยงพนักงาน เหมือนเลี้ยงลูกสอนน้อง ไม่รังเกียจคนที่เคยติดยาเสพติด รับทำงานแม้กระทั่งเขายังอยู่ในช่วงต้องไปรายงานความประพฤติ ลูกพนักงานก็ให้ทุนการศึกษา เมื่อพนักงานดี การฉ้อโกงก็ไม่มี การดูแลลูกค้าก็เต็มที่ การสร้างงาน นโยบายของที่ร้านเป็น นโยบายวินวินทั้งสองฝ่าย มีการหาสิ่งใหม่ๆมาช่วยสร้างอาชีพให้กับแม่ค้า ซึ่งเป็นการทำธุรกิจที่เขาโตเราโต เขาเดือดร้อน เราช่วยเหลือ การสร้างเงิน เมื่อวัฒนธรรมองค์กรที่ดี พนักงานดี ธุรกิจที่พึ่งพิงกันวินวินทั้งสองฝ่าย ทำให้ผลกำไรตามมาทีหลัง และที่น่าภูมิใจคือ น่าจะเป็นโมเดลธุรกิจที่ดี คือได้ทั้งเงินได้ทั้งบุญ ที่เขียนรายละเอียดเพื่ออยากให้บางท่านที่คิดจะทำธุรกิจได้มองโมเดลธุรกิจที่ได้สร้างบุญกุศลและสร้างเงินไปร่วมกันครับ แต่พอไม่ได้ทำงานประจำมาหนึ่งปี ความมีคุณค่าของผมลดน้อยถอยลง เหมือนที่พี่เด็กใหม่ได้เกริ่นไว้ข้างต้น ถ้าพี่เด็กใหม่ไม่ถามผมคงยังไม่ฉุกคิด ตอนนี้ผมคงต้องคิดที่จะกระจายโปรเจคเพื่อสังคมให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ ถ้าใครมีโปรเจคดีๆที่น่่าสนับสนุน อยากให้เสนอไอเดียด้วยครับ เผื่อผมจะได้ลอกการบ้านนำมาช่วยคนรอบๆตัวผมในจังหวังขอนแก่นได้ ขอบคุณครับ
โดย
naris
ศุกร์ เม.ย. 22, 2011 4:30 pm
0
0
Re: ราคาหุ้นที่ไม่เหมาะสม ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ชอบบทความนี้มากครับอาจารย์
โดย
naris
อังคาร เม.ย. 12, 2011 8:55 pm
0
0
Re: จริงหรือเปล่าที่บริหารเงินให้คนอื่นจะเครียดกว่าตัวเอง
คิดเหมือนพี่เด่นสินครับ สมัยก่อนไม่เคยเข้าใจว่าทำไมไม่ให้หมอผ่าตัดคนใกล้ชิด จนกระทั่งได้มาดูแลพอร์ตให้คนใกล้ชิด จึงรู้ซึ้งเลย :oops:
โดย
naris
อังคาร เม.ย. 12, 2011 5:03 pm
0
0
Re: เปิดเรียน Business Strategy Analysis (--> ห้องอบรมสัมนา)
ไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับคุณสมเขียวหวานที่เป็นผู้จัด แต่อยากเข้ามาแนะนำคนที่เคยผ่านการอบรมบัญชีกับพี่มนตรี และอาจารย์วรศักดิ์ว่า คอร์สนี้น่าจะเป็นคอร์สต่อยอดในเรื่องบัญชีและโมเดลธุรกิจได้เป็นอย่างดี การวางกลยุทธ์ของธุรกิจจะต้องเหมาะสมและสอดคล้องกัน เพื่อเป้าหมายในการสร้างโมเดลธุรกิจตามที่ต้องการให้เป็น และการไปเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจประเภทต่างๆ ดร.สมชาย ส่วนตัวผมคิดว่าท่านเป็นมือหนึ่งในเรื่องกลยุทธ์ทั้งระดับองค์กรและมหภาคของประเทศไทย ถ้าใครพอมีทุนทรัพย์ที่ไม่ขัดสน เงินระดับ4000บาท น่าจะคุ้มค่าในการลงทุนสมองในครั้งนี้ครับ ปล.เข้ามาเชียร์ขนาดนี้จะมีส่วนลดให้ไหมเนี่ย 555
โดย
naris
เสาร์ เม.ย. 09, 2011 5:17 pm
0
0
Re: อัจฉริยภาพทางด้านการเขียนบทความและการลงทุนของอาจารย์นิเว
ผมมีความเสียใจในคำตอบของผมเมื่อสองวันก่อนที่อาจารย์ไพบูลย์ได้ถามถึงนักลงทุนที่ชื่นชอบ ผมได้ไปนึกถึงคนที่เขียนหนังสือเผยแพร่แนวคิดสองคนที่ผมปฎิบัติตามคือ ฟิล ฟิชเชอร์ และ ปีเตอร์ ลินซ์ วันนี้ในช่วงที่กำลังอ่านหนังสือการลงทุนอยู่ คำถามนี้ลอยมาอีกครั้ง ผมนึกแว๊ปเสียใจกับการตอบเช่นนั้นออกไป เพราะจริงๆผมไม่ได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แต่ผมอ่านหนังสือแปลที่ ทั้งดร.นิเวศน์และพี่เวปแปลให้ผมอ่าน คนที่ให้ความรู้ผม และที่ผมเป็นหนี้บุญคุณจริงๆควรจะเป็นสองท่านนี้มากกว่า รวมไปถึงอาจารย์ทั้งหลายในเวปที่ผมสอบถามและขโมยอ่านเอาความรู้ที่เผยแพร่ในเวปแห่งนี้ ยังไงขอฝากแก้คำตอบ ส่งไปยังอาจารย์ไพบูลย์ด้วยนะครับว่า คนที่ผมชื่นชอบในการลงทุนขอเปลี่ยนเป็นอาจารย์นิเวศน์และพี่พรชัยครับ :bow: :bow: :bow:
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 11:19 pm
0
0
Re: หุ้นปั่น กับ หุ้น undervalue
ถ้ามีประเด็นใดๆเกิดขึ้น ผมชอบที่จะกลับไปหา "Role Model" ของผมเสมอ... นั่นก็คือ ดร.นิเวศน์ นั่นเอง ดร.เอง ท่านก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน CPALL เช่นกัน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรหนิครับ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีเสมอ เพราะ ท่านไม่เคย "เชียร์" แต่ท่าน "แชร์"!!! ดังนั้น สิ่งที่ผมได้จากท่าน คือ ความรู้ และประสบการณ์ (เรื่องปั่นไม่ปั่น เป็นเพียงการขึ้นลงของราคา ซึ่งหาสาระอะไรไม่ได้เลย!!!) ท่านแชร์มุมมอง ว่า... 1) บริษัทฯนี้ ดีอย่างไร? ซึ่งอาจจะหมายถึง ตัวเลขผลประกอบการ และงบการเงินต่างๆทั่วไป 2) เพราะเหตุใด ท่านจึงเลือกลงทุนในบริษัทฯนี้? 3) Competency ของ CPALL คืออะไร? เช่น... - ระบบ Supply Chain Management ที่ยอดเยี่ยม - ระบบ Logistic - ศูนย์กระจายสินค้า(Distribution Center) ซึ่งใช้ "Zero Stock Concept" 4) Brand มีความสำคัญเช่นไรในธุรกิจในปัจจบัน? 5) Competitive Advantage ในเรื่องของ "การกระจาย Network" มีค่าแค่ไหน? 6) Customer Behavier มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกลงทุนของท่านหรือไม่? 7) ความยั่งยืน และอนาคตของธุรกิจ เราต้องใส่ใจแต่ไหน? 8) กลยุทธ์ขององค์กร และ Vision ของ CEO มีผลต่อบริษัทฯแค่ไหน? ความรู้ และประสบการณ์เนื้อๆ...ที่ผมได้จากท่าน ผมสรุปสุดท้ายจริงๆว่า... "พื้นฐาน และเหตุปัจจัย...คือ สิ่งที่ท่านบอก แต่ราคาและการซื้อขาย...คือ สิ่งที่เราต้องไปตัดสินใจเอง!!!" ผมคิดแบบนั้นนะครับ ยอดเยี่ยมแนวคิดเลยครับคุณpak :bow: :bow: :bow:
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 11:08 pm
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามที่ผมจะถามพี่นริศกับพี่หมอสามัญชน ทาน ศิล ภาวนา พี่ถือเป็นสารนะในการประกอบเป็นบุญกุศลจน ถึงวันที่พี่จะหมดลมหายใจรึเปล่า..ขอบคุณมากครับ :D :D :D จะพยายามเท่าที่ทำได้ แต่จะบอกจนหมดลมหายใจนี่มันตอบยากอยู่นะ ถ้าจะตอบแบบเต็มปากคือ นั่นเป็นเป้าหมาย ถ้าไม่เกิดด้านมืดมาครอบงำ ถ้าไม่หลงให้กิเลสครอบครอง ก็พยายามจะทำให้มากที่สุดครับ ตอนนี้พี่ยังคิดว่าทำได้ไม่ดีพอเลย ยิ่งได้ฟังอาจารย์ไพบูลย์เล่าให้ฟังในมุมมองของวอเรนบัฟเฟตต์ ในการบริจาคทรัพย์ พี่กลับมาคิดว่า พี่นี่ยังตระหนี่ในทานนัก เรื่องศิล5ก็ยังมีหลุดบ้างในบางวัน เรื่องภาวนาก็ยังทำได้ไม่มากพอ เพราะความขี้เกียจยังครอบงำอยู่ ก็จะพยายามให้ดีขึ้นครับ
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 2:03 pm
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
ทั้งพี่นริศกับพี่หมอสามัญชนจริตคล้ายกันจริงๆครับ สมแล้วที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน..จริงๆแล้ว พี่ๆทั้งสองท่านไหนๆก็มีอิสรภาพทางการเงินทั้งหมดแล้ว ผมว่าพี่ๆทั้งสองน่าให้เวลาของการแสวงหาเนื้อนาบุญ ทางพระพุทธศาสนาดูน่าครับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่สอน อะไรได้ถูกจริตพี่ๆอาจจะรอพี่ๆอยู่... :D :D :D ขอบคุณครับ พี่ได้อาจารย์ดีแล้วครับ ตอนนี้เลิกแสวงหาแล้ว
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 10:16 am
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
ขอถามพี่หมอและพี่ๆทุกท่านครับ ผมเห็นพี่ๆหลายๆท่านในเว็บนี้เน้นศึกษาและปฏิบัติธรรมกันอย่างจิงจัง และก็เน้นผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงด้วย ผมเลยสงสัยว่า... ถ้าเรามีเป้าหมายว่า เราอยากมีปัญญาจากการปฏิบัติ และปัญญานั้น จะพาเราไปสู่ทางแห่งนิพพานแล้ว เราจะลงทุนแบบactive เน้นผลตอบแทนที่สูงไปทำไมครับ ในเมื่อเงินที่เรามีอยู่ก็พอกินพอใช้ไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว และ การมีเงินที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเรา เราควรทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติทำหรือปล่าว? คือผมก็เป็นคนนึงที่คิดว่ายังไงชีวิตนี้ต้องมุ่งมั่นกับการปฏิบัติธรรมให้ได้ แต่ก็ยังโลภ อยากได้ผลตอบสูงๆอยู่ดี ทั้งๆที่ผลตอบแทนสูงๆ ไม่น่าจะตอบโจทย์ชีวิตเราเลย เลยขอถามพี่ๆครับ ว่าพี่มีมุมมองในด้านนี้อย่างไร และจะbalance 2สิ่งนี้อย่างไรครับ? ขอบคุณมากๆครับ ถ้าพูดถึงความอยากให้ผลตอบแทนสูงๆ กับการเลือกหุ้นมันคนละประเด็นนะครับ จะคล้ายๆกับคำว่า จงทำงานแบบไม่หวังเงิน พระอาจารย์ของผมสอนไว้ว่า เราทำหน้าที่(แต่ต้องเป็นกรรมดี)ที่ควรทำ และตอนกระทำก็ปฏิบัติธรรมไปด้วย ส่วนผลที่ได้ไม่ต้องไปคาดหวัง เพราะความคาดหวังคือกิเลส ส่วนการปฏิบัติตามหน้าที่เป็นธรรม ผมมาพิจารณาก็เห็นด้วยว่าถ้าเรามุ่งเน้นผลตอบแทน หรือ นำเราไปเทียบกับคนอื่น หรือ ไปสนใจราคาหุ้น สิ่งพวกนี้มีแต่เป็นต้นเหตุของความร้อนในจิตใจ แต่ถ้าเราเลือกกิจการที่เราจะลงทุน เลือกเสร็จก็เสร็จ คอยติดตามทุกไตรมาสเป็นระยะๆ นิสัยผมก็จะเลือกกิจการที่มีเวลาเป็นเพื่อน เพราะกิจการเขาดี กำไรก็วิ่งมาหาเรา อย่างนี้เราเป็นผู้ถือหุ้นก็สบายใจ ไม่ต้องไปเฝ้าหน้าจอ แต่ถ้าเราเลือกกิจการที่ไม่มีพื้นฐาน หรือเป็นหุ้นที่มีระเบิดเวลาวางไว้ในอนาคต เราก็ต้องแอกทีพเสมอๆ ไม่งั้นเงินเรามีโอกาสหาย อย่างนี้ผมไม่เอาครับ เพราะมันจะร้อน การบาลานซ์สองสิ่งนี้ในคำตอบพี่คือ ไม่ต้องบาลานซ์ เพราะเวลาทำงาน คือเวลาปฎิบัติธรรมครับ
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 10:14 am
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
ก่อนอื่น ขอขอบคุณพี่ทีมๆงาน ทุกๆท่านที่ จัดงานนี้นี้นะครับ รวมทั้งเหล่าสุดยอด VI ที่ได้ออกมาถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ให้พวกเราทุกคนนะครับ :bow: และตอนสุดท้าย ที่เปิดให้คนในห้องได้ถาม แต่ไม่มีใครยกมือ ตอนนั้นผมคิดไม่ออกครับ แต่พอเดินออกมาปุ๊บ คิดออกเฉยเลยๆ เหอๆๆ งั้นขออนุญาต ถามเหล่าเซียน สุดยอดนักลงทุน VI ทุกท่านหน่อยนะครับว่า ความฝัน หรือสิ่งสุดท้ายที่เหล่าเซียนทุกท่านอยากจะทำ คืออะไรครับ ความใฝ่ฝันสุดท้ายน่าจะเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งตั้งใจแรกที่ทำให้มาเริ่มลงทุนในตลาดคือ ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในชีวิต ผมว่าความต้องการของพวกเราทุกๆคนในโลกคือ ต้องการมีความสุข ความสุขของผมคือ จิตใจที่ไม่ร้อนรน ไม่รีบร้อน ชีวิตเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่น ลูกๆประสบความสำเร็จในชีวิต ไล่มาเสียยาว แต่ตอบไม่ตรงคำถาม คำถามว่าสุดท้ายจริงๆอยากทำอะไร คำตอบน่าจะคล้ายๆกับพี่หมอคือ ไม่ทำอะไรเลย ขอสิ้นลมแบบสุขติ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดที่ผ่านมาในชีวิตนี้ครับ
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 29, 2011 10:00 am
0
1
Re: มองตลาดหุ้นแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณครับ อาจารย์ :bow:
โดย
naris
จันทร์ มี.ค. 07, 2011 11:00 am
0
0
Re: ทำไงดี? เรารู้ข้อมูลแค่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน ในขณะที่.
ตั่วเฮียครับ ผมใช้วิธี 1.มองยาวๆ หาหุ้นเติบโต มองแค่เป้าหมาย รายทางไม่เกี่ยว 2.ถ้าเป็นไปได้ หาผู้บริหารที่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่ยุ่งกับการซื้อขายของหุ้น 3.มองหาปัจจัยเสี่ยงให้ออก ถ้าสงสัยในเรื่องไหน ให้ถาม ถาม ถาม ถ้ามีอะไรที่ปิดบังในอนาคต น่าจะมีพิรุธบ้างนะครับ
โดย
naris
อังคาร มี.ค. 01, 2011 9:20 am
0
0
Re: วิธีการโพสไฟล์ในกระทู้ [ เชิญทดลองในกระทู้นี้ได้เลยครับ
รูปในหลวง.jpg ทดสอบ
โดย
naris
พฤหัสฯ. ก.พ. 24, 2011 11:45 am
0
0
Re: เผย เทคนิคการหาหุ้น 10 เด้ง!!!
ขอบคุณหมอ มากๆครับ แนววีไอนี่ที่ไหนในโลกก็ทำเหมือนๆกัน และรวยเหมือนๆกันนะครับ :D
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 21, 2011 9:31 pm
0
3
Re: นริศสอนน้อง
ขออนุญาตก่อนนะครับพี่นริศที่ต้องพูดถึงชื่อตัวหุ้นแต่ไม่ได้มีการส่อถึงการเฃียร์หรือทุบหุ้นแต่ ประการใด..พี่นริศมีแนวความคิดเกี่ยวกับhtechอย่างไรในเมื่อรายได้หลักอย่างhddอนาคตก็ คงเติบโตน้อยลงไม่เหมือนที่ผ่านมาและเรื่องของเทคโนโลยีเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากแต่ ทีนี้ทางบริษัทก็หาทางเพิ่มช่องทางไปยังอุตสาหกรรมอื่นเพื่อต่อยอดรายได้ของตัวเองถูกครับ ที่ทีแรกคงไม่หอมหวานสักเท่าไหร่สำรับอุตสหกรรมของบริษัทที่ได้ขยายออกไป..แต่ทีนี้อยากเห็น มุมมองของพี่นริศที่มองในความสามารถของตัวผู้บริหารเองจะสามารถทำได้สอดคล้องกันแค่ไหนกับ สิ่งหนึ่งที่จะเติบโตน้อยลง..และการขยายช่องทางของตัวเองได้พอเหมาะพอเจาะกัน... อีกข้อนะครับมีความเป็นไปได้มั้ยครับเมื่อ..ssdมาแทนส่วนhddแล้วทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายใน ส่วนSG&Aในส่วนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมากมายจนทำให้เกิดการเพิ่มทุนในอนาคตข้างาหน้า ตามความเห็นของพี่เอง มองว่าตั้งแต่คุณจ๊อบได้อออกตัวกระดานฉนวนตัวใหม่ออกมา ได้สร้างความเคยตัวให้กับพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความเร็วในการเปิดปิดเครื่อง หรือการตอบสนองไลฟ์สไตล์โดยเฉพาะการเอนเตอร์เทนต์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเน็ต ดูหนัง ฟังเพลง เก็บรูป หรือ อ่านหนังสือ ทำให้ยอดขายพีซี โน๊ตบุ๊ค เน็ตบุ๊ค(HDD)ในอนาคตจะถูกแชร์ด้วยแทปแล็ตและ สมาร์ทโฟน(SSD) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าตลาดHDDจะตายในเร็ววัน เพียงแต่อัตราการเจริญเติบโต อาจจะไม่สูงเหมือนในอดีต และHDDอาจจะเริ่มถดถอยภายใน3-5ปีข้างหน้า ถ้ากลับไปพูดถึงHTECH ที่ผ่านมาจุดอ่อนของHTECHจุดหนึ่งคือการพึ่งพิงอุตสาหกรรมเดียว และการพึ่งพิงลูกค้าไม่กี่ราย(เพราะด้วยโครงสร้างของอุตสาหกรรมHDD) ทำให้ที่ผ่านมารายได้ กำไรของHTECHได้ผูกขาติดกับอุตสาหกรรมHDDมาโดยตลอด จนกระทั่งตัวคุณพีทเองเริ่มมองเห็นและพยายามกระจายไปอุตสาหกรรมรถยนต์และยานบินเมื่อกลางปีที่แล้ว และมีการตั้งเป้าหมายว่าปี54จะมีสัดส่วนในอุตสาหกรรมอื่นประมาณ25เปอร์เซนต์(ซึ่งผมคิดว่าน่าจะทำได้) แต่ด้วยโครงสร้างของธุรกิจที่ไม่ใช่ขายขนมที่ชิมแล้วตัดสินใจว่าใช่หรือไม่ใช่ การขยายตัวในอุตสาหกรรมใหม่ก็ต้องเริ่มจากการนับหนึ่งใหม่ และค่อยๆทำความรู้จักซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ ยอดขายในช่วงรอยต่ออาจจะมีสะดุดบ้างเป็นปกติ ส่วนค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนาส่วนตัวผมคิดว่าไม่มากสำหรับตัวเงินครับ แต่จะไปมากสำหรับการเสียโอกาสที่จะต้องเอาเครื่องจักรไปทำตัวอย่างอยู่เรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถทำเงินได้เต็มที่มากกว่าครับ
โดย
naris
อาทิตย์ ก.พ. 20, 2011 3:54 pm
0
1
Re: คำถาม Money Management ตกลง valid หรือไม่ใน web นี้ครับ
ขอย้ายไปอยู่ในห้องการลงทุนอื่นๆนะครับ เพราะในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า แนวคิดของน้องแบงค์ เจ้าของกระทู้ไม่มีอะไร เพียงแต่ขอความชัดเจนในขอบเขตของการโพสท์เท่านั้นเอง ส่วนทีมmodก็อย่างที่ตี่บอกว่าไม่มีความรอบรู้ในเรื่องนี้ และ เหมือนกับพี่กะละมังโพสท์ ว่าขอบเขตในเรื่องนี้มันกว้างมาก ไม่รูว่ากรอบมันอยู่ตรงไหน แต่เนื่องด้วยผมคิดว่า ประโยชน์ในกระทู้นี้มีพอสมควร จึงขอย้ายไปห้องเศรษฐศาสตร์ให้คนมีความรู้เรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนความคิดกันนะครับ
โดย
naris
พุธ ก.พ. 16, 2011 1:45 pm
0
0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 11:21 am
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ผมขอย้ายความเห็นที่มีประโยชน์ให้คนรุ่นหลังๆได้ดู โดยการย้ายเข้าไปกระทู้คุณค่านะครับ :D
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 11:06 am
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ถามหน่อยได้ไม๊คุณนริศขายPtl ทำไม ส่วนilink tnh nbc อาจขายเพราะเจอเรือลำที่ดีกว่าคงไม่ถามหละ คำถามที่มีประโยชน์ ไม่ตอบคงไม่ได้ครับ นักลงทุนมาอ่านทีหลังจะได้เรียนรู้ทางลัดจากประการณ์ตรงของคนอื่นๆ การขายหุ้นของแต่ละคนคงจะไม่มีใครถูกหรือผิดทั้งหมด กลยุทธ์ที่วางไว้ อาจจะผิดในบางกรณีและในบางโอกาส กลยุทธ์เดียวกัน อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ ขอเกริ่นก่อนนะครับ ที่คุณนันถามถึงptlนี่ในสมัยประมาณปี2551 ช่วงนั้นผมจำได้เลาๆว่าsisประมาณ4บาท ส่วนptlอยู่ราวๆ5บาทกว่าๆ(ที่จำได้เพราะมีน้องคนหนึ่งมาย้ำความจำนี้ให้ฟังอีกรอบเมื่อปีที่แล้ว แต่ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วย) ในสมัยนั้น ผมกำลังไฟแรง แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนครับ อยากลองเล่นอะไรที่มันแรงๆเร็วๆในประเภทหุ้นโภคภัณฑ์ดู แต่พอลองถือครองดู ตอนนั้นถึงแม้นว่าจะถือไม่มาก กลับไม่มีความสบายใจในการถือครอง การถือครองหุ้นโภคภัณฑ์ในตอนนั้น ได้บทเรียนดีๆมาสองข้อครับ 1 จุดแข็งของผมคือเรื่องการมองหุ้นเติบโต และ หาหุ้นเทิร์น อะราวด์จากการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นโภคภัณฑ์ ที่ผมยังโง่ในเรื่องนี้ เพราะผมไม่สามารถคาดการ์ณผลกำไรในอีก1-2ปีข้างหน้าเขาได้เลย 2 โดยส่วนตัว ผมจะชอบมีความสุขในระหว่างการเดินทาง มากกว่าความสุขที่ถึงเป้าหมายครับ พอสรุปได้แนวความคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ผมรู้และคำนวณกำไรออกในระยะยาว และลดการถือครองหุ้นที่ทำให้ผมไม่มีความสุขครับ ผมว่าคำตอบคุณนริศก็ชัดเจนนิครับ 1.แต่คุณนริศพลาดตั้งแต่แรกแล้วนะ คือ ถ้าคุณคิดว่าไม่เข้าใจหุ้นโภคภัณฑ์ คุณก็ไม่ควรลงทุนตั้งแต่แรก ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าคุณนริศมีหุ้นที่ตัวเองยังไม่เข้าใจถ่องแท้จริงๆแล้ว แสดงความมั่นใจออกไปมากเกินไปรึเปล่านะตอนนี้ ขนาดระดับคุณนริศยังพลาดได้ ผมว่ามือใหม่ๆที่พึ่งเข้ามาลงทุน เราควรต้องสมมุติฐานที่มันเป็นกลางๆไว้เผื่อพลาดบ้างนะ จะว่าไปมือเก่าๆที่ผมคุยด้วย บางทียังไม่เข้าใจผมเลยนะ บางทีassumptionคนเรามันไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้น จริตแต่ละคนก็สำคัญ 2.การมีความสุขในการเดินทางแต่ละคน แต่ละสถานการณ์มันก็ต่างกันไป จะใช้เราเป็นเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าผมไม่ได้ลงทุนในSta,Ptlปีสองปีที่ผ่านมา ผมคงไม่มีความสุขเลยนะ ย้อนกลับมาข้อ1 ทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ มีโอกาสพลาดกันได้ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ถูกต้องมันเกิดพลาดขึ้นมาหละครับ คนเราต้องยึดทางสายกลาง ที่ไม่ประมาทนะครับ คนๆหนึ่งกว่าจะวิ่งได้ต้องล้มกี่ครั้งครับ และการล้มที่ผ่านๆมาถือว่าพลาดไหมครับ คุณนันเตือนผม ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นๆนะครับ สอนให้คนอื่นๆรู้ว่าควรรู้จักตนเองให้มากพอ ก่อนที่จะรู้จักกับปัจจัยอื่นๆภายนอก ส่วนตัวผมพยายามต่อว่าตนเองอยู่บ่อยครั้ง ว่าให้รู้......แต่ภายใน อย่าส่งไปภายนอก ก็พยายามฝึกอยู่ครับ ส่วนตัวผมมีกฎเรื่องความไม่ประมาท หลักเก้าอี้สามขา หรือ การไม่กู้หนี้ยืมสินมาทำการค้า(หรือเล่นหุ้น) การกระจายไปในสิ่งที่เรายังรู้ไม่เพียงพอแบบไม่ได้แหย่ขาสองข้างลงน้ำพร้อมๆกัน ผมถือว่าผมไม่ได้พลาดนะ กลับดีซะอีกว่ารู้ขอบเขตความสามารถของตนเอง ว่ามีขอบเขตความถนัดอยู่ตรงไหนครับ
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 10:26 am
0
0
Re: ช่อง Search ร้อยคนร้อยหุ้น ด้านบนขวา update แล้ว
ขอบคุณคุณเบสท์ครับ ที่ต้องสละเวลาเพื่อส่วนรวมครับ :D
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 8:38 am
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ถามหน่อยได้ไม๊คุณนริศขายPtl ทำไม ส่วนilink tnh nbc อาจขายเพราะเจอเรือลำที่ดีกว่าคงไม่ถามหละ แล้วผมจะต้องทำยังไงกับที่มีอยู่ล่ะเนี่ย ... ทำใจยังไงดีครับ เมื่อกลัวว่าจะวิเคราะห์ผิด เพราะหุ้นมันตกเอา ตกเอา...แล้วพรรคพวกที่ช่วยกันวิเคราะห์ก็ขายไปก่อนหน้าโดยไม่บอกก่อนแล้ว T^T บางทีผมแค่อยากทราบความเห็นของหลายๆท่านในที่นี้บ้างครับ ว่า ในขณะที่ทุกท่านเอาภาพของบริษัทต่างๆที่วิเคราะห์แล้วว่าดียังงั้นดียังงี้ มานำเสนอจูงใจให้ซื้อ ครั้นแล้วเมื่อท่านเปลี่ยนใจขาย ซึ่งอาจจะมาจากการไปทราบข่าวที่ท่านได้แต่ใดมาก็ตาม เหตุใดไม่เห็นมีใครเอามาแนะนำขาย หรือนำเสนอให้ขายบ้าง เพื่อให้นักลงทุนที่ร่วมหัวจมท้ายหาข้อมูลดีๆตอนซื้อมาด้วยกัน ให้ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจขายด้วยไม่ หุ้นตัวนี้ต้องถามคนที่รู้นะครับ พี่ออกตัวก่อนว่าไม่รู้ เพราที่คุณนันถามพี่นั้น ถ้าในสมัยพระเจ้าสาม...เมื่อปี51มั๊งครับ ลองไปอ่านที่พี่เขียนข้างบนก็จะถึงบางอ้อ ส่วนความเห็นตอนขายทำไมไม่บอกต้องให้คนอื่นมาตอบนะครับ :lol:
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 12:39 am
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ถามหน่อยได้ไม๊คุณนริศขายPtl ทำไม ส่วนilink tnh nbc อาจขายเพราะเจอเรือลำที่ดีกว่าคงไม่ถามหละ คำถามที่มีประโยชน์ ไม่ตอบคงไม่ได้ครับ นักลงทุนมาอ่านทีหลังจะได้เรียนรู้ทางลัดจากประการณ์ตรงของคนอื่นๆ การขายหุ้นของแต่ละคนคงจะไม่มีใครถูกหรือผิดทั้งหมด กลยุทธ์ที่วางไว้ อาจจะผิดในบางกรณีและในบางโอกาส กลยุทธ์เดียวกัน อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ ขอเกริ่นก่อนนะครับ ที่คุณนันถามถึงptlนี่ในสมัยประมาณปี2551 ช่วงนั้นผมจำได้เลาๆว่าsisประมาณ4บาท ส่วนptlอยู่ราวๆ5บาทกว่าๆ(ที่จำได้เพราะมีน้องคนหนึ่งมาย้ำความจำนี้ให้ฟังอีกรอบเมื่อปีที่แล้ว แต่ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วย) ในสมัยนั้น ผมกำลังไฟแรง แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนครับ อยากลองเล่นอะไรที่มันแรงๆเร็วๆในประเภทหุ้นโภคภัณฑ์ดู แต่พอลองถือครองดู ตอนนั้นถึงแม้นว่าจะถือไม่มาก กลับไม่มีความสบายใจในการถือครอง การถือครองหุ้นโภคภัณฑ์ในตอนนั้น ได้บทเรียนดีๆมาสองข้อครับ 1 จุดแข็งของผมคือเรื่องการมองหุ้นเติบโต และ หาหุ้นเทิร์น อะราวด์จากการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นโภคภัณฑ์ ที่ผมยังโง่ในเรื่องนี้ เพราะผมไม่สามารถคาดการ์ณผลกำไรในอีก1-2ปีข้างหน้าเขาได้เลย 2 โดยส่วนตัว ผมจะชอบมีความสุขในระหว่างการเดินทาง มากกว่าความสุขที่ถึงเป้าหมายครับ พอสรุปได้แนวความคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นที่ผมรู้และคำนวณกำไรออกในระยะยาว และลดการถือครองหุ้นที่ทำให้ผมไม่มีความสุขครับ
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 15, 2011 12:17 am
0
2
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
คุณ Naris เห็นด้วยทุกประการกับติครับ พี่อยากจะขอเพิ่มในเรื่องธรรมมะสักหน่อยนะครับ คำว่าอัตตา เราต้องแยกออกมาเป็นสองเรื่อง เรื่องแรก อัตตา กับ อนัตตา ถ้าพูดแบบนี้หมายถึงการแบ่งสิ่งต่างๆเพื่อจำแนกการมีตัวตนและไม่มีตัวตน แต่ในสิ่งที่เรากำลังถกกันนี้เป็นอัตตาแบบที่สองคือเรื่องความคิด ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาแบบนี้น่าจะคล้ายๆกับทิฐิ หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในแนวความคิดของตนเอง อัตตาหรือทิฐิในส่วนนี้พี่คิดว่ามันเป็นคำกลางๆไม่มีบวกหรือลบ ถ้าคนไม่มีทิฐิในส่วนนี้ก็อาจจะถูกต่อว่าว่าเป็นคนหูเบา ไม่มีแนวความคิดของตนเอง พี่เลยคิดว่าคำว่าอัตตาหรือทิฐิในทางโลก(ขอย้ำว่าทางโลกไม่ใช่ทางธรรม เพื่อจะบรรลุ)ทุกคนต้องมี แต่จุดที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ใช่เป็นอัตตา แต่เป็น อัตตาที่ผิดหรือถูก หรือจะเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ มากกว่านะครับ พี่เชื่อว่าปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ ขอโทษทีที่มาแจมไม่ถูกจังหวะครับ :lol: ไม่รู้ว่ากระทู้นี้คุย ๆ ไปคุยมา กลายเป็นคุญเรื่องธรรมะไปด้วยเลย ขอแจมนิดหน่อย เพราะศึกษาธรรมะมานิดหน่อยเหมือนกันครับ เห็นด้วยกับคุณนริศว่า ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ แต่ปัญหาของการตีความในสิ่งที่ถูกต้อง บางครั้งเราใช้อะไรตีความสิ่งที่ถูกต้องด้วย เพราะจิตที่ยังมีกิเลสของคนมีทั้งหยาบและละเอียดไม่เท่ากัน และมีการปรุงแต่งด้วยกิเลสของแต่ละคนที่แตกต่างกันด้ว ผมคิดว่า เราทั้งหมดควรพยายามทำใจให้เป็นจิตว่าง ไม่ปรุงแต่ง ไม่คิดไปก่อนแต่ต้องพยายามตั้งใจวิเคราะห์ความเห็นอย่างเป็นกลางให้ได้ การเปิดกว้างรับฟังความเห็นของบุคคลให้มากซึ่งมีทั้งเห็นด้วย หรือเห็นแตกต่างก็ตาม ต้องนำมาอบรมจิต แล้วมาคิดพิจารณาด้วยตนเองอย่างมีสติ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเองทุกครั้ง เราก็จะเห็นการพัฒนาของจิตที่มีคุณภาพของเรายกระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากความเห็นถูกหรือเห็นผิดอย่างหยาบก็ตาม ไปสู่ความเห็นถูกมากขึ้น ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ แล้วเราก็นำความรู้ที่ได้จากการพิจารณาของเราที่ได้ศึกษาด้วยตนเอง มาอบรมอบรมจิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นต่อเนื่อง ให้ละเอียดมากขึ้น ก็จะทำให้เรามีคุณภาพการตัดสินใจที่ดีขึ้นตามไปด้วย และมีเมตตาเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่นให้มีความสุขด้วย ผมให้ทุก ๆ ความเห็นนั้นทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างนั้น เป็นครูของผมในการอบรมจิตของผมครับ เพื่อสุดท้ายสิ่งที่อยากได้ก็คือการลดอัตตา ตัวกูของกูของตนเอง ลดกิเลสของตนเอง เพื่อไปสู่คุณภาพของ จิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดกิเลสความ โลภ โกรธ และหลง ของตนเองในที่สุดให้เบาบางลง ด้วยการพิจารณาในเรื่องไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดาครับ หากเราทุก ๆ คนในกระทู้แห่งนี้สามารถพัฒนาความเห็นถูกของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็เชื่อว่าเวปแห่งนี้ก็คงทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการให้ความรู้ที่ถูกต้องกับผู้ลงทุนทุก ๆ คน ทำให้เขามีคุณภาพการลงทุนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับครับ ซึ่งคงตรงกับที่คุณนริศกล่าวถึงก็คือปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ หรือเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงแท้นั่นเองครับ แค่ได้อ่านก็อยากทำความรู้จักกับพี่ chaitorn เหลือเกิน สงสัยเราจะคอเดียวกันครับ :D ขอบคุณมากๆสำหรับความเห็นนะครับ
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 10:04 pm
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
อ่านที่พี่ mprandy แล้วฉุกใจให้คิด ให้ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง เลยอยากขอต่อยอดสักเล็กน้อย... ... การลงทุนแนวคุณค่านั้น อาศัยการวิเคราะห์กิจการเป็นหลัก แต่จุดอ่อนสำคัญของนักลงทุนแนวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก คือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน (อีโก้สูง ว่ากันตรง ๆ) และมุมมองต่อตลาดว่าไม่เคยถูกต้อง ฉันต่างหากที่ถูก ถ้าได้อ่านสิ่งที่บัฟเฟตเขียน (Letters to Shareholders) ลองอ่านดี ๆ นะครับ บัฟเฟตบอกไว้ว่า Market is almost always right (หรือ efficient) ไม่ได้แปลว่า Market is always wrong (inefficient) หมายความว่า มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นนะครับ ที่ตลาดนั้นผิดหรือไม่มีประสิทธิภาพ และเราจงใช้จังหวะนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้ให้เราไปโทษว่า หุ้นฉันตกเพราะตลาดนั้นผิด ฉันต่างหากที่ถูกเสมอ ฯลฯ ผมคิดว่าสองปีนี้ตลาดเป็นกระทิงที่ยาวนาน เวลานี้ยาวนานกว่าปกติ (ถือเป็น anomaly อย่างหนึ่ง) และนานปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ... จงอย่าลำพองใจว่าผลตอบแทนที่เลิศหรู 2 ปีที่ผ่านมาของเรา จะหมายถึงผลตอบแทนที่ดีอีกในปีนี้ หุ้นมีขึ้น ย่อมมีลงแน่นอน ผมเชื่อว่า อีโก้ กับ กับอายุ โดยทั่วไปแล้วเป็นการแปรผันตามกันครับ... ยิ่งแก่ อัตตาตัวตนยิ่งสูง... ใน ขณะที่เด็กเล็กๆ จะเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า... เลยเป็นที่มาขอคำว่า "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"... ผมเชื่ออย่างงั้นนะครับ... ดังนั้นผมเชื่อว่าคนยิ่งประสบการณ์มาก อีโก้ ยิ่งสูงตามครับ... ทีนี้... เรื่อง Letter to Shareholders ที่พี่หมอยกมา ผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอด จึงอยากรบกวนพี่หมอช่วยแนะนำแหล่งที่มาเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหน่อยได้ไหมครับ? คือ ที่ผมเชื่อมาตลอด ผมเชื่อว่า... แนวคิดแบบ VI จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อในทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่ หมายถึง ไม่เชื่อใน Efficient Market ผมจำได้ว่า Buffet เคยเขียนบทความที่เรียกว่าโจมตีพวก Random Walk ด้วยซ้ำ... ในขณะที่แกรแฮมเป็นคนบอกว่า ในระยะสั้น นาย ตลาด จะเหมือนคนโรคจิตอารมณ์แปรปวน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาจะเข้าสู่มูลค่า (คล้ายๆ กับว่านายตลาด พึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังบ้าอยู่ เลยรู้จักที่จะควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองซะบ้าง)... อย่างไรก็ตาม การที่เราเชื่อว่าตลาดผิด ไม่ได้หมายความว่า ฉันถูก... ฉันจะถูกได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันพิจารณาการลงทุนอย่างมีสติ อย่างรอบคอบ และลงทุนในราคาที่มี MOS สูงมากเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากมูลค่ากิจการมันเปลี่ยนแปลงตามเหตุ-ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน... ที่นี้... มาเรื่องการวัดถูกผิดของ VI ... ผมว่าแนวคิดของ VI แท้ๆ คือ การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่า ที่มี MOS มากเพียงพอ ซึ่งจะทำให้เรากำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น แม้พื้นฐานกิจการที่เราประเมินมันอาจจะผิดไปบ้างเป็นปกติ เราก็ยังมี MOS มาช่วยชดเชยความเสี่ยงรองรับอยู่ (มูลค่ากิจการที่เราเอามาใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อหา MOS ต้องเป็นมูลค่ากิจการในกรณี Worst Case เท่านั้น ไม่ใช่เอา Base Case หรือ Best Case มาหา Upside แล้วเรียกมันว่า MOS) ดังนั้นในการวัดถูกผิดของ VI น่าจะวัดกันที่ ตัวพื้นฐานกิจการล้วนๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเรามีข้อมูลเพิ่มขึ้น มูลค่ากิจการใหม่ที่เราคำนวณได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าลดลง ก็ไม่ได้ลดลงไปต่ำกว่าราคาที่เราซื้อในตอนแรก... อันนี้คือวิเคราะห์ถูก... แต่ถ้าเกิดมันผิดคาดไปหมด มูลค่ากิจการใหม่ แม้แต่ MOS ที่เรามาเผื่อไว้ก็ไม่พอ... อันนี้คงต้องพิจารณาตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมลงทุนหุ้นตัวหนึ่งได้กำไรมากพอสมควรและได้ขายทำกำไรไปแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ข้อมูลจากกิจการที่เปิดเผยออกกลายเป็นว่าที่มูลค่ากิจการที่เราคิด มันผิด จริงๆ แล้ว มูลค่ากิจการมันไม่ได้สูง ไม่มี MOS เลย ผมวิเคราะห์มูลค่ากิจการพลาด แต่ผมแค่โชคดีที่ขายได้กำไร อันนี้ผมเรียกว่าผมผิด... ในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะขายขาดทุน แต่ผมอาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้... ดังนั้นผมเชื่อว่ามุมมองถูกผิดของ VI อยู่ที่การประเมินมูลค่ากิจการว่าออกมาได้ถูกต้องขนาดไหน ไม่ใช่ว่าขายได้กำไรหรือขาดทุน สำหรับผลตอบแทน 2 ปีที่ผ่านมา... ถ้าพิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย.... ผมคิดว่า ปีนี้ผมไม่ขาดทุนก็บุญแล้ว... แต่ความโลภที่อยู่ในใจมันเต้นเร่าๆ อยากได้จะผลตอบแทนเยอะๆ อีก ซึ่งมันก็เป็นการต่อสู้กับครับ ระหว่าง การควบคุมตัวเองให้ลงทุนอย่างมีสติ พิจารณาตามเหตุ-ปัจจัย กับ กิเลสที่คอยลากเราให้ไปทำอะไรเสี่ยงๆ อยากได้ผล แต่ไม่สร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา... หวังว่าตัวผมเองจะมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรพยายามในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ และสามารถผ่านปีนี้ไปได้... สุดท้ายประเด็นที่ผมฉุกคิด... คือ ความสัมพันธ์ของ ปัจจัย 3 ตัว 1) อีโก้ 2) เหตุ-ปัจจัย 3) อารมณ์ (ความโลภ-ความกลัว) กับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ในการประเมินมูลค่ากิจการต้องมองทะลุไปเห็นถึง เหตุ-ปัจจัย ของกิจการ เฉพาะ สิ่งที่เป็นสาระของกิจการ อาจกล่าวได้ว่า เราต้องมองข้ามสิ่งปรุงแต่งที่เป็นบัญญัติธรรม เข้าไปให้ถึง ความจริงแก่นแท้ของกิจการที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก... ใบไม้ในป่ามีมากมายมหาศาล จะมองทะลุเลือกหยิบใบไม้เพียงกำมือเดียว ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4 กับสงฆ์สาวกย่อมไม่ง่ายนัก บ่อยครั้งที่ผมถูกอารมณ์ของตลาด หลอกล่อและชักนำ ให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง... บ่อยครั้งที่ผม Simplify เรื่องต่างๆ ของกิจการผิดพลาด จนไปหยิบกระพี้มาเป็นสาระ แทนที่จะเข้าถึงแก่น... และเมื่อมีคนเตือนด้วยความหวังดี... แต่เรากลับยึดอัตตา มีอีโก้ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเข้ามาพินิจ พิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์ และที่สำคัญ... บ่อยครั้งที่เชื่อคนอื่นง่ายจนเกินไป... ยากจังเนอะ... การลงทุนที่จะลงทุนโดยมีสติ ลงทุนตามเหตุ-ปัจจัย โดยไม่ใช้ อคติ อารมณ์ชั่ววูบ และมีอัตตาน้อยๆ... ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ... ยังไงก็ขอขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำตักเตือนจากพี่หมอ mprandy นะครับ... จะพยายามระมัดระวัง ไม่ให้อัตตาของตัวเองเติบใหญ่จนเกินไป... และหวังว่าจะได้รับความปรารถนาดีจากพี่เช่นนี้อีกในอนาคตครับ บัฟเฟตบอกไว้เสมอว่า กฏข้อแรก อย่ายอมขาดทุน นี่คือกฏแห่งการลงทุนทุกแนวไม่ว่าแนวใด การขาดทุนอย่างหนักเท่าใด การฟื้นตัวของพอร์ทเรามันจะยากเป็นทวีคูณ เมื่อใดที่มุมมองของเราเริ่มผิดทางกับตลาด สิ่งที่เราควรจะมองก่อนคือ มีอะไรที่เรามองข้ามหรือผิดพลาดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาด ก็ควรจะยอมรับความผิดพลาดนั้นมากกว่าจะจำทนกับสภาพ แล้วพยายามที่จะหลีกหนี หรือปกปิดความผิดพลาดนั้น เพราะลงท้ายการสูญเสียมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีไม่หายไป มีคนที่ผมนับถือคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะดันทุรังคิดว่าเราถูกอยู่คนเดียว แล้วทนเห็นหุ้นตัวที่เราถือมันราคาร่วงเอาร่วงเอา ในขณะที่คนอื่นเขาคิดไม่เหมือนเรา ไล่ขายออกมาตลอดเวลา และลงท้ายคนที่บาดเจ็บที่สุดจากการลงทุนนี้ ก็คือตัวเรา" ... สมัยก่อน ผมรู้สึกว่่า กฎของบัฟเฟตว่าด้วยเรื่องอย่าขาดทุน ช่างขัดแย้งกับการที่บัฟเฟตบอกว่า ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองลง 50% ไม่ได้ ก็อย่างริอาจเป็นนักลงทุน... แต่หลังๆ พอมานั่งคิดจริงๆ... ผมคิดว่าคำว่าขาดทุนของบัฟเฟต์ ไม่ได้หมายถึง การขาดทุนทางบัญชี (Mark-To-Market Loss) นะครับ... แต่หมายถึง การที่เราประเมินมูลค่ากิจการพลาด หรือซื้อกิจการในมูลค่าที่มี MOS น้อยจนเกินไปมากกว่า... ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่บัฟเฟต์เข้าซื้อกิจการหลายๆ กิจการ หลังจากที่บัฟเฟต์ซื้อเสร็จ หุ้นมันก็ยังลงต่อ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็เข้าหามูลค่า ด้วยเหตุนี้... ผมคิดว่าเราไม่ควรจะตีความว่า "ขาดทุน" ของบัฟเฟต เป็น MTM Loss ครับ... ทีนี้... ก็กลับมาที่คำถามเดิมล่ะครับ... มูลค่ากิจการที่เราคำนวณได้ มันสมเหตุสมผลหรือไม่... มันเป็นเพียงแค่ อีโก้ หรือ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า? แล้วก็มาจบที่คำถามว่า... เราเข้าใจกิจการนี้จริงๆ รึเปล่า? ผมเชื่อว่า... ความสามารถที่แท้จริงของบัฟเฟต ไม่ใช่ความสามารถในการเลือกหุ้น หรือการซื้อขายหุ้น แต่เป็นความสามารถในการปฎิเสธโอกาสในการลงทุนที่เขาไม่เข้าใจมากกว่าครับ... ขอให้หุ้นที่ผมถืออยู่... เป็นหุ้นที่ผมเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ แค่คิดว่าตัวเองเข้าใจทีเถอะครับ... :D เห็นด้วยทุกประการกับติครับ พี่อยากจะขอเพิ่มในเรื่องธรรมมะสักหน่อยนะครับ คำว่าอัตตา เราต้องแยกออกมาเป็นสองเรื่อง เรื่องแรก อัตตา กับ อนัตตา ถ้าพูดแบบนี้หมายถึงการแบ่งสิ่งต่างๆเพื่อจำแนกการมีตัวตนและไม่มีตัวตน แต่ในสิ่งที่เรากำลังถกกันนี้เป็นอัตตาแบบที่สองคือเรื่องความคิด ความยึดมั่นถือมั่น อัตตาแบบนี้น่าจะคล้ายๆกับทิฐิ หมายถึงความยึดมั่นถือมั่นในแนวความคิดของตนเอง อัตตาหรือทิฐิในส่วนนี้พี่คิดว่ามันเป็นคำกลางๆไม่มีบวกหรือลบ ถ้าคนไม่มีทิฐิในส่วนนี้ก็อาจจะถูกต่อว่าว่าเป็นคนหูเบา ไม่มีแนวความคิดของตนเอง พี่เลยคิดว่าคำว่าอัตตาหรือทิฐิในทางโลก(ขอย้ำว่าทางโลกไม่ใช่ทางธรรม เพื่อจะบรรลุ)ทุกคนต้องมี แต่จุดที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ใช่เป็นอัตตา แต่เป็น อัตตาที่ผิดหรือถูก หรือจะเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ มากกว่านะครับ พี่เชื่อว่าปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ปัจจัยนั้นคือ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกต้องครับ
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:21 pm
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
บทสรุปในใจของผมเมื่อสามวันก่อนที่โพสท์กระทู้นี้ สัมฤทธิ์ผลแล้วครับ สามารถดึงคนที่คิดต่าง มือเก่า ที่ไม่ค่อยโพสท์ มาเพิ่มtrafficให้ thaivi.org ได้เป็นผลสำเร็จ ขอบคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็นและการกลับเข้ามาเวป thaivi.org อีกครั้งครับ :mrgreen:
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 7:18 pm
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
[quote="mprandy มีนักเดินเรือหลายคนว่า ถ้าทนเห็นเรือจมไปครึ่งลำไม่ได้ ก็อย่ามาแล่นเรือ ... แต่ความเห็นผมคือ ทำไมผมแล่นเรือแล้วต้องยอมให้เรือมันจมไปครึ่งลำด้วยล่ะครับ :8) อันนี้ทิ้งไว้ให้คิดเอาเองครับ[/quote] เรื่องนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ ผมจึงพยายามคิดและหาความรู้ในทุกๆเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการ "เสาะหาเรือที่ดีที่สุดในการฝ่าคลื่นลม" และ "พยายามเดินเรือไปในทิศทางที่คลื่นลมไม่แรง" ท้ายที่สุดคือ "หากัปตันเรือที่เก่งๆมาขับเรือให้เรา" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรา "ไม่จำเป็นต้องขนสินค้าทั้งหมดไปไว้เรือลำเดียวกัน" ทำให้ความเสี่ยงของผมๆคิดว่าสามารถควบคุมได้ระดับหนึ่งครับ แต่.....นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่มีความเสี่ยง เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่มัน "เกินขอบเขตการควบคุมของผม" ผมคง "อุเบกขา" กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นครับหมอ
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:56 pm
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ผมว่าที่ผ่านมาไม่มีใครพาดพิงหมอหรอกครับ โดเฉพาะคุณpakนี่ผมแอบอ่านมาหลายบทความ คุณpakนี่ผมว่าถึงแก่นและสามารถตกผลึกทางความคิดในสไตล์ของคุณpakเองแล้ว ถ้าจะพาดพิงก็คราวนี้นี่แหล่ะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือแนวความคิดของหมอเอ็มจากสโลแกนของหมอว่า ไม่สนใจรีเทริ์นเยอะๆ สนใจในอิสระภาพทางการเงินมากกว่า และหมอก็ถือหุ้นhmproตั้งแต่7-8บาท ก่อนจะมีวิกฤต และราคาลงมาประมาณครึ่ง ตอนนั้นหมอเอ็มเข้มแข็งมาก ยืนกรานในหลักการๆลงทุนในกิจการ (ผมแอบชมหมอว่าสุดยอดให้หลายๆคนฟัง) และท้ายที่สุด ถ้าใครอดทนในสิ่งที่ตนเองคิดถูกต้อง ในกิจการที่ถูกต้อง ผลตอบแทนของคนถือโฮมโปรในตอนนั้นน่าจะขึ้นมาราวๆ5เท่า(นับจากก่อนวิกฤตนะครับ) ถ้าใครกล้าซื้อตอนวิกฤต มาจนถึงราคาตอนนี้ก็น่าจะได้เกือบ10เท่าเลยนะครับ จริงๆตอนนี้ผมอยากให้หมอเอ็ม ช่วยเผยความคิดในตอนนั้นว่า เห็นอะไรดีในโฮมโปร เพื่อเป็นวิทยาทานแก่น้องๆดีกว่านะครับ :D
โดย
naris
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 3:25 pm
0
0
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ขอเพิ่มอีกข้อว่า ท่านชอบซื้อของใช้ ในราคาส่วนลดหรือราคาพรีเมี่ยม ......,..ถ้าท่านแย้งว่านั่นของใช้ เอาใหม่ก็ได้ สมมุติว่าท่านจะซื้อห้องแถวให้คนอื่นเช่า มีคนเช่าค่อนข้างชัวร์ในราคา20000ต่อห้อง และขึ้นค่าห้องเช่าทุกปีปีละ10เปอร์เซนต์ วันนี้มีคนขายให้ท่านห้องละ2.4ล้าน ผลตอบแทนได้10% ผ่านไป1ปี เกิดวิกฤต ค่าเช่าลดลงเหลือ 18000 ตึกข้างๆกันมีคนอยากขาย ขายในราคา2.0 ท่านจะซื้อตึกข้างๆเพิ่มหรืออยู่เฉยๆหรือติดป้ายขายห้องในราคา2ล้านตามเขา สวัสดีครับพี่ naris ไม่ได้เห็นพี่โพสท์บ่อยๆ เหมือนเคย หวังว่าพี่ยังคงสุขภาพแข็งแรงดีเช่นเคยนะครับ :D อ่านตัวอย่างตรรกะของพี่ naris ด้านบนแล้ว ผมก็คงตอบว่าซื้อตึกข้างๆ เพิ่มแน่นอนครับ ...แต่........ ผมเกิดข้อสงสัยในใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยกับตัวอย่างสถานการณ์ข้างต้นครับ และขอเรียนปรึกษาพี่ naris ดังนี้ครับ 1. ผมว่าเหตุการณ์ที่ยกมา ยังไม่ได้ใส่ Assumption เรื่องของเงินสดที่มีอยู่ในมือ เกิดมีนักลงทุนใหม่ๆ ที่สนใจในแนว vi และเข้าใจผิดว่าเราจะสามารถหาเงินสดมาซื้อตึกข้างๆ ได้ตลอดเวลา ผมเกรงว่าคำตอบที่จะต้องซื้อตึกข้างๆ นั้นอาจจะไม่ได้เป็นคำตอบที่ควรเลือกเสมอไปเสียแล้วหรือเปล่าครับ 2. เราจะทราบได้อย่างไรครับว่า วิกฤติมันจะเกิดเพียงแค่ปีเดียว ถ้าปีถัดไปวิกฤติยังคงต่อเนื่องค่าเช่าลดลงต่อไปอีก หรือคนเช่าไม่สามารถจ่ายค่าเช่าให้เราได้แล้ว ที่คิดว่าเป็นไปได้ก็เพราะตอนแรกโจทย์บอกว่าค่าเช่า 20K ค่อนข้างชัวร์ แต่ปีถัดไปมันดันลดเหลือ 18K เสียนี่ มากไปกว่านั้นถ้าวิกฤติมันนานพอที่จะฉุดดึงราคาตึกทั้งแถบลงมาเหลือเพียง 1.4M พี่ว่าจะเป็นการดีหรือไม่ถ้าเราขายตึกของเราไปก่อนตอน 2M 3. เหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างด้านบนดู เหมือนว่าจะเป็นระบบปิดเกินไป อาจไม่ตรงกับสภาพโลกแห่งความเป็นจริงนักในแง่ที่ว่าเรามีสิทธิ์เลือกตึกแห่งนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นหรือเปล่าครับ เกิดสมมติว่าด้วยวิกฤติที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความผันผวนในตลาดจนทำให้คนเริ่มใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลขายตึกอีกแห่งหนึ่งที่มี location ที่ดีกว่า มีศักยภาพมากกว่าในราคาที่เท่ากัน หรือถูกกว่า จะเป็นการดีหรือไม่ถ้าเราตั้งขายตึกของเราแล้วไปซื้อตึกนั้น ด้วยหลักการเดียวกัน หุ้นในตลาดมีมากกว่าห้าร้อยตัว หลายต่อหลายครั้งหุ้นที่ตกไม่ใช่หุ้นที่เราถือครองเพียงตัวเดียวแต่อาจจะมีหุ้นดีๆ อื่นๆ ที่ตกมากกว่าก็เป็นได้ ที่คิดสถานการณ์แบบนี้ออกเพราะเคยเห็นจากชีวิตการลงทุนของพี่ๆ vi ที่ผมนับถือหลายคนซึ่งก็ไม่เคยปฏิเสธการ switch หุ้นเมื่อเห็นว่าหุ้นอีกตัวหนึ่ง undervalue มากกว่า เช่นกันครับ ท้ายนี้ก็ขอขอบคุณพี่ naris อีกครั้งที่ช่วยเสียสละเวลามาแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ดีๆ ให้กับ น้องๆ อย่างเสมอมาครับ สวัสดีครับwoody ไม่ได้คุยกันนานมากแล้วนะครับ พี่คิดว่าการเคลื่อนไหวของเรื่องราวต่างๆในโลกเริ่มมาจากแนวคิดทั้งสิ้น แนวคิดทุกๆอย่างไม่มีถูกหรือผิดทั้งหมด ทุกๆแนวคิดจะมีจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวของมันเอง เสมือนหยิบด้ามพล้าก็ต้องติดตัวพล้าฉันใดฉันนั้น การยกตัวอย่างมันต้องเป็นระบบปิด เพราะเราไม่สามารถใส่แฟกเตอร์ต่างๆได้ครบถ้วน แต่ยังไงเราก็ยังต้องมีตุ๊กตาไว้เป็นสิ่งที่สมมุติเพื่อการศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ในกรณีนี้น้องเขาถามหลักการทางการลงทุนในเวป thaivi.org ซึ่งเป็นเวปที่ส่งเสริมการลงทุนโดยดูจากพื้นฐานของกิจการ ไม่ใช่เวปที่สอนดูฟันโฟลว์หรือเวปแนวเทคนิค(ซึ่งถ้าในเวปประเภทนั้น ถ้าพี่เข้าไปตอบก็คงจะตอบอีกรูปแบบอย่างแน่นอน) และถ้าถามถึงนิสัยส่วนตัวของพี่เอง พี่ก็ชอบอะไรที่มีเหตุมีผล ความรู้พี่สามารถแกะได้ ไม่ซับซ้อน และที่ผ่านชีวิตค้าขายมาตั้งแต่ ม.2 รับซื้อมะม่วงจากชาวบ้าน ไปขายตลาดมหานาค ประสบการณ์ธุรกิจกว่า2โหลปี ชีวิตได้ผ่านการทำธุรกิจมาหลายรูปแบบ ผ่านมาทั้งความสำเร็จและล้มเหลว เลยคิดว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาพอมีประโยชน์ในการมองหุ้นในเชิงหุ้นส่วนธุรกิจ มุมมองของพี่จึงคิดว่าวิธีที่เหมาะสมและน่าจะดีที่สุดของพี่ คือการมองหุ้นในเชิงการลงทุน ไม่ใช่มองในเชิงการไหลของเม็ดเงิน หรือเชิงเทคนิค ส่วนสุดท้ายที่น้องwoodyบ่นว่าพี่ไม่ค่อยจะโพสท์ในระยะหลังๆ ก็ด้วยสองสาเหตุครับ สาเหตุแรก คงจะอิ่มตัวกับการโพสท์ลงรายละเอียดในบางเรื่อง เพราะบางเรื่องก็โพสท์บ่อยเหมือนแผ่นเสียงตกร่องไปแล้ว สาเหตุที่สองพี่เคยถามพระอาจารย์ถึงเรื่องการสั่งสอนคนว่าทำไมอาจารย์ไม่เปิดกว้างให้กับคนบางคน อาจารย์พี่ตอบกลับมาได้อย่างน่าสนใจว่า "ชงเอ้ย อย่าสอนใครเพราะเราอยากสอน แต่จงสอนเขาเมื่อเขาอยากฟัง" พี่เลยจำเอามาเป็นสิ่งเตือนพี่อยู่บ่อยๆ ว่าจงสอนคนที่เขามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว ไม่ใช่ล้นแก้วหรือคว่ำแก้วไม่ยอมรับครับ เลยเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยโพสท์ครับ น้องwoody
โดย
naris
เสาร์ ก.พ. 12, 2011 7:33 pm
0
6
Re: ทำใจไม่ขายหุ้นได้ยังไงครับเวลาหุ้นมันตกเอาตกเอา ?
ซื้อแพง ขายถูก เลิกเล่นหุ้นเถอะครับ http://images.temppic.com/12-02-2011/images_vertis/1297477867_0.42319900.jpg นักเก็งกำไร ^^^ ขยับ ทุกการเคลื่อนไหวของราคา แต่นักลงทุนเขานิ่ง ขยับเมื่อกิจการเคลื่อนไหวครับ เห็นด้วยกับโดมครับ :D ขอเพิ่มอีกข้อว่า ท่านชอบซื้อของใช้ ในราคาส่วนลดหรือราคาพรีเมี่ยม ......,..ถ้าท่านแย้งว่านั่นของใช้ เอาใหม่ก็ได้ สมมุติว่าท่านจะซื้อห้องแถวให้คนอื่นเช่า มีคนเช่าค่อนข้างชัวร์ในราคา20000ต่อห้อง และขึ้นค่าห้องเช่าทุกปีปีละ10เปอร์เซนต์ วันนี้มีคนขายให้ท่านห้องละ2.4ล้าน ผลตอบแทนได้10% ผ่านไป1ปี เกิดวิกฤต ค่าเช่าลดลงเหลือ 18000 ตึกข้างๆกันมีคนอยากขาย ขายในราคา2.0 ท่านจะซื้อตึกข้างๆเพิ่มหรืออยู่เฉยๆหรือติดป้ายขายห้องในราคา2ล้านตามเขา
โดย
naris
เสาร์ ก.พ. 12, 2011 10:28 am
0
4
Re: คุณถือหุ้นตัวหนึ่งนานแค่ไหน?
Phillip Fisher บอกเอาไว้ว่าต้องถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี ระยะเวลาที่ต่ำกว่านั้นจะไม่พอสำหรับโครงการหรือสิ่งต่างๆที่บริษัททำอยู่จะแสดงผลระยะยาวออกมา คุณถือหุ้นตัวหนึ่งนานแค่ไหน? ............... ใครที่ตอบกระทู้นี้ ขอให้เข้าใจตัวเอง เข้าใจในบริษัทที่ตัวเองลงทุนได้มากขึ้นๆ ทุกๆวัน :cool: ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็น ตอนคุณซื้อหุ้น คุณประเมินกิจการแล้ว ตั้งใจจะถือหุ้นนี้กี่ปี ส่วนตัวผมเวลามองหาหุ้นเติบโต หรือหุ้นเทริ์นอะราวด์ จะมองกิจการช่วงระยะ3-5-10แล้วแต่ประเภทของอุตสาหกรรมและความรอบรู้ของเราในขณะนั้นครับ
โดย
naris
เสาร์ ก.พ. 12, 2011 7:33 am
0
0
Re: รวมหุ้น..ที่ทำให้VIต้องช้ำใจ
ขอเปิดประเด็นหน่อยครับ อยากฟังความเพื่อนๆน่ะครับ ใครมาตอบขอให้ร่ำรวยเงินทอง มั่งคั่งมั่งมีขึ้นทุกๆปีเน้อ :cool: ใครมาอ่านอย่างเดียวไม่ตอบ ขอให้ขายหมู ซื้อวัชพืชมาปลูกในพอร์ตครับ ei ei ei :lol: สงสัยคนถามจริงๆ.....แช่งคนไม่บอก.....แต่ไม่ยอมบอกของตนเอง.......สงสัยว่าพรุ่งนี้คุณเถลิงศักดิ์จะขายหมูแหงมเลย.... ผมก็ขอตอบเพราะ ดันเข้ามาอ่านเจอ.... :evil: หุ้นที่ทำให้ผมช้ำใจคือ APPLE GOOGLE MICROSOFTครับ ดันไม่อยู่ในเมืองไทยให้ซื้อเมื่อสิบปีก่อน :twisted:
โดย
naris
พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2011 8:42 pm
0
0
Re: ในภาวะตลาดแบบนี้ ท่านมีกลยุทธการลงทุนอย่างไรกันบ้างครับ
เหมือนๆเดิมครับ เลือกซื้อบ.ที่ดี ผู้บริหารที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ดี
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 08, 2011 8:35 pm
0
0
Re: ลงทุนซื้อที่ดินในฝัน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมว่าซื้อหุ้นหรือซื้อที่ก็เหมือนกันครับ :mrgreen: อาจารย์คงยกตัวอย่างเพื่อที่จะสอนพวกเราว่า "เราควรทำในสิ่งที่ตนเองรู้" อย่าไปเพ้อฝันกับอนาคตที่สวยหรูเกินไป มองมูลค่าทรัพย์สินนั้นให้ออก และซื้อด้วยราคาที่มีMOSครับ
โดย
naris
อังคาร ก.พ. 08, 2011 7:31 pm
0
0
Re: แปลกใจ ทำไมคนยอมซื้อหุ้นกันที่ 1000 กว่าจุด
ถ้าจะถามเหตุผลว่า ทำไมผมถึงยอมซื้อหุ้นที่1000จุด คำตอบง่ายๆคือ เพราะผมไม่ได้ซื้อset แต่ผมเลือกซื้อทรัพย์สินที่กองผสมปนเปอยู่ในset จริงอยู่ว่า การหาทรัพย์สินที่ดี ในsetกองนี้นั้น มันหาได้ยากกว่าเดิม แต่ใช่ว่ามันจะไม่มีเสียเลย เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น และคนที่จะหาเจอทรัพย์สินที่ดีๆในตอนนี้ จะเหลือแต่ผู้ที่เชี่ยวชาญและชำนาญมากกว่าในอดีต1-2ปีที่ผ่านมา
โดย
naris
อาทิตย์ ก.พ. 06, 2011 9:59 pm
0
0
Re: รุ่นพี่เก่าๆในเว็บหายไปไหนกันหมดครับ>>?
ผมว่าเกิดจากหลายๆข้อผสมๆกันครับ ขอเพิ่มเติมความคิดเห็นนะครับ นอกจากหลายๆข้อข้างบนแล้ว ทำให้บางคนเกิดอารมณ์อิ่มตัวที่จะโพสท์ และ หลายๆท่านก็คิดว่าควรส่งต่อคลื่นลูกใหม่มาแทนเราได้แล้ว เราควรไปอยู่เบื้องหลังสักที หรือหลายๆท่านก็ไม่ได้มุ่งเน้นที่หุ้นและผลตอบแทนที่สูงๆ ทำให้การทำการบ้านจะไม่รอบรู้มากหลายตัวเหมือนในอดีต แต่เขาใช้เวลาไปมุ่งเน้นเรื่องอื่นๆในชีวิตเขา เช่นเรื่องครอบครัว เรื่องธรรมมะ เป็นต้น
โดย
naris
เสาร์ ก.พ. 05, 2011 8:59 am
0
0
Re: โพสเตือนเมื่อไหร่
เห็นมีหลายกระทู้ถามเรื่อง ซื้อเมื่อไหร่ ขายเมื่อไหร่ อยากจะรู้ว่าเราควรจะโพสเตือนเพื่อนๆนักลงทุนเมื่อไหร่ ถ้าเขามั่นใจเหลือเกินกับหุ้นของตัวเอง 1.เตือนเมื่อหุ้นร้อนแรง มีเทพประทับองค์ลง กระทู้สุดฮ๊อต ไม่ว่าเวบลงทุนไหน แต่เตือนแล้วอาจจะโดนข้อหาทุบหุ้น ขัดลาภ เจ้าตัวอาจจะไม่เชื่อเพราะมีbiasจากการซื้อไปแล้ว 2. เตือนเมื่อความจริงปรากฏ อันนี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง หุ้นห่อเหี่ยว มารปรากฏ กระทู้ตามเวบต่างๆว่ากล่าวอย่างเลวร้าย แต่เตือนแล้วอาจจะโดนข้อหาซ้ำเติมเขา 3.อยู่เฉยๆละกัน ช่างมันไม่ใช่เงินตรู ถ้าเราประเมินผู้ให้ข้อมูลออกเป็น ผู้รู้ข้อมูลความเป็นจริง ผู้ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง ผู้หวังดีต่อเพื่อนๆ ไม่อยากให้เขาเห็นผิด ประเมินผิด ผู้ประสงค์ไม่ดี อิจฉา หรือ ต้องการทุบหุ้น เพื่อเก็บ ที่เราต้องการคือ ผู้รู้ที่แท้จริงและหวังดีต่อเพื่อนๆ ถ้าเราประเมินผู้รับรู้ออกเป็นสามกลุ่มคือ ผู้ที่ฟังแล้วนำไปพิจารณาต่อ ผู้ที่ฟังแล้วนำไปปฎิบัติเลย โดยไม่พิจารณา บุคคลที่ไม่หวังดีคอยทุบลากตามน้ำข้อมูลในเวปเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง ที่เราต้องการคือ ผู้พิจารณาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ คำถามต่อมาคือ เราจะทำอย่างไรให้เวปเรามีวัฒนธรรมที่ผู้รู้ที่ดีต้องการให้ข้อมูล เพราะปัญหาที่ผ่านมา คนตรง คนดี มักจะถูกโจมตีจากบุคคลที่เสียประโยชน์ ทำให้คนเหล่านี้เบื่อที่จะให้ข้อมูลตรงๆ คำถามอีกข้อที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทำอย่างไรผู้รับข้อมูลจะพิจารณาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ไม่ใช่ดูแค่ว่าคนโพสท์คือใคร เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะมีบุคคลที่สามมาหวังผลจากกระแสเวปเราอย่างที่ผ่านๆมา
โดย
naris
ศุกร์ ก.พ. 04, 2011 9:26 am
0
0
Re: ถามเกี่ยวกับ .400 จากหนังสือ แก่นแท้ของบัฟเฟตต์
อธิบายได้ดีมากเลยครับ :D พี่โจ
โดย
naris
พฤหัสฯ. ก.พ. 03, 2011 3:33 pm
0
0
2479 โพสต์
of 50
ต่อไป
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
naris
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
การลงทุน
ที่อยู่:
แดนกำเนิด ทะเลแห่งภูเขา
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
Yahoo Messenger:
Send YIM message
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ พ.ค. 09, 2005 11:01 pm
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2011 3:49 pm
โพสต์ทั้งหมด:
6726 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.34% จากโพสทั้งหมด / 0.94 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว