หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
pakhakorn
Joined: อาทิตย์ ส.ค. 15, 2010 11:26 am
957
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - pakhakorn
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ปรุงกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
กรณีสงสัยว่า ดีเกินจริง เขาปรุงกำไรมาให้เรา ตามที่ท่านอาจารย์สอน เราก็สามารถทอนเอาส่วนที่คิดว่า เกิน ออกมาได้ แล้วเอาส่วนที่เหลือ มาประเมินเองใหม่ :bow: :bow: :bow: :bow:
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ มี.ค. 19, 2017 10:25 pm
0
2
Re: ผลการจัดเก็บภาษีสรรพกรปีงบประมาณ 2559 และรายได้ของรัฐบาล
http://www.ryt9.com/s/mof/2533401 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2559 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) จัดเก็บได้ 2,393,500 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (2,330,000 ล้านบาท) 63,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 และสูงกว่าประมาณการรวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (2,386,000 ล้านบาท) จำนวน 7,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 นอกจากนี้ ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วจำนวน 180,104 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.1 โดยสาเหตุหลักมาจากการนำส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 900 และ 1800 MHz (4G) 56,273 ล้านบาท นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 13,727 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 การจัดเก็บภาษีน้ำมัน ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สูงกว่าประมาณการ 11,667 7,264 และ 5,831 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.0 7.8 และ 1.9 ตามลำดับ นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ประกอบกับความพยายามในการบริหารจัดการการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลัง ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2559 สูงกว่าประมาณการที่รวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องและสนับสนุนให้ฐานะการคลังของประเทศมีความเข้มแข็งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในปีงบประมาณถัดไป ” ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิเดือนกันยายน 2559 และปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) ในเดือนกันยายน 2559 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 213,047 ล้านบาท ส่งผลให้ปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,393,500 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (2,330,000 ล้านบาท) จำนวน 63,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.1) และสูงกว่าประมาณการรวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (2,386,000 ล้านบาท) จำนวน 7,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 1. เดือนกันยายน 2559 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 213,047 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 955 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5 (ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.7) โดยการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นสูงกว่าประมาณการ 4,440 ล้านบาท หรือร้อยละ 75.7 เนื่องจากการรับรู้เงินส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตรและการนำส่งค่าขายทรัพย์สินและบริการอื่น ๆ ที่สูงกว่าประมาณการ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 3,533 ล้านบาท หรือร้อยละ 39.9 เนื่องจากการนำส่งรายได้ของ บจม. ปตท. และเหมืองแร่บินตูลู ประเทศมาเลเซียที่สูงกว่าประมาณการไว้ สำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าประมาณการ 6,790 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.0 โดยมีสาเหตุสำคัญจากภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 5,731 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.1 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคในประเทศต่ำกว่าประมาณการ 1,060 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 2. ในปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม 2558 – กันยายน 2559) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,393,500 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ63,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.1) และสูงกว่าประมาณการรวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (2,386,000 ล้านบาท) จำนวน 7,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 เนื่องจากมีรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 900 และ 1800 MHz (4G) เป็นสำคัญ ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้ 2.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 1,757,851 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 137,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.7) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ - ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 63,307 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.1 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.1) โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 49,660 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.5 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.1) เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 13,648 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.0 (แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.8) - ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 43,703 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.6 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 44.6) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ (เหลว) ลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีกำไรเพื่อชำระภาษีลดลง - ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 31,991 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.0 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 6.8) เป็นผลจากภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชน (ภ.ง.ด. 53) และภาษีจากประมาณการกำไรสุทธิครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด. 51) เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 5,831 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.9 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.5) โดยภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชนจากเงินเดือน (ภ.ง.ด. 1) และอสังหาริมทรัพย์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ เนื่องจากการขยายตัวของฐานเงินเดือนที่สูงกว่าประมาณการและผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา 2.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 517,686 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 21,386 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.9) โดยภาษีน้ำมันจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 11,667 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.0 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 39.1) เป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและเบนซินจากลิตรละ 5.35 และ 6.0 บาท เป็นลิตรละ 5.65 และ 6.30 บาท ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2559 ภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 7,264 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 24.9) เนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป ได้ส่งผลให้รถยนต์บางประเภทมีภาษีสรรพสามิตรถยนต์เฉลี่ยต่อคันเพิ่มขึ้น ส่วนภาษีเบียร์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,943 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.5) 2.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 111,541 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 8,959 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.4 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.4) เนื่องจากได้รับผลกระทบของการปรับโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตระยะที่ 2 และมูลค่าการนำเข้าที่ยังคงหดตัว โดยมูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 หดตัวร้อยละ 9.9 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานบกและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องจักรและเครื่องใช้กล ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และพลาสติก 2.4 รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้รวม 133,727 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 13,727 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.4 (ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.1) ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ ที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน รายได้จากกองทุนรวมวายุภักษ์ และการประปานครหลวง 2.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 291,855 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 144,255 ล้านบาท หรือร้อยละ 97.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 66.9) เนื่องจากการนำส่งรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 900 และ 1800 MHz (4G) จำนวน 56,273 ล้านบาท การรับรู้เงินส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตรเป็นรายได้จำนวน 45,773 ล้านบาท การชำระภาษีการพนันในส่วนของสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 11,982 ล้านบาท และการนำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน 10,634 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 6,761 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,161 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 20.8) เนื่องจากมีรายได้จากการขายที่ราชพัสดุให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน 665 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าประมาณการ 186 ล้านบาท เป็นสำคัญ 2.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จำนวน 273,571 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 21,529 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.3 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 204,644 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 37,056 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.3 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จำนวน 68,927 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 15,527 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.1 2.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จำนวน 10,669 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,369 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.7 2.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 14,478 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,722 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.8 2.9 เงินกันชดเชยภาษีสำหรับสินค้าส่งออก จำนวน 17,542 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,258 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.7 2.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ จำนวน 12 งวด เป็นเงิน 102,900 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 6,100 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.6 สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3543 โทรสาร 0 2618 3385 --กระทรวงการคลัง--
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ต.ค. 30, 2016 10:01 pm
0
1
Re: ผลการจัดเก็บภาษีสรรพกรปีงบประมาณ 2559 และรายได้ของรัฐบาล
http://dataservices.mof.go.th/Dataservices/GovernmentRevenue http://upic.me/i/tx/1209z.png http://upic.me/i/98/hzret.png หมายเหตุ ที่มา : กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมธนารักษ์ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ จัดทำโดย : ส่วนนโยบายการคลังและงบประมาณ สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรับปรุงเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2559
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ต.ค. 30, 2016 2:35 pm
0
1
Re: **วันนี้ 10.00 น. เปิดจองงานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559**
image.png Pakhakorn/สมาชิกสมาคม/วิภาดา/บุคคลทั่วไป/2ที่นั่ง/2,470บาท/BBL/10:07น.
โดย
pakhakorn
จันทร์ ก.พ. 29, 2016 10:16 am
0
0
Re: ถ้าคุณเป็นผูุ้ถือหุ้นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15M
ฟังจากข่าว ได้คำตอบแล้ว ผู้ชนะการประมูลต้องเอาแบงค์การันตีมาให้ครบตามยอดที่ประมูล ก่อนจะได้รับใบอนุญาตไป
โดย
pakhakorn
ศุกร์ ธ.ค. 18, 2015 5:41 pm
0
4
Re: ถ้าคุณเป็นผูุ้ถือหุ้นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15M
จากข่าว นสพ. กรุงเทพธุรกิจ มีข่าว ในส่วนเรื่องการชำระเงิน การประมูลใบอนุญาติคลื่น 900 http://bit.ly/1ITz9z5 กสทช. คาดหากประมูล4G คลื่น 900 MHz ลากยาวถึง 3 ทุ่มวันนี้ ราคารวมสองใบทะลุ 8.6 หมื่นลบ. ชี้ผ่าน 20 ชั่วโมง ราคาพุ่ง 210% นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การประมูล 4G คลื่น 900 MHz ใช้เวลาในการประมูล 20 ชั่วโมง มาอยู่ที่รอบ 60 ราคาประมูลอยู่ที่ใบละ 33,794 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 210% ของราคาประมูลขั้นต่ำ และเมื่อรวม 2 ใบ ราคาจะอยู่ที่ 67,588 ล้านบาท ทั้งนี้ หากคิดเป็นราคาเฉลี่ยของคลื่นความถี่ 900 MHz ต่อ 1 MHz เฉลี่ยอยู่ที่ 3,379 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยของคลื่น 1800 MHz ที่เฉลี่ยต่อ 1 MHz อยู่ที่ 2,692 ล้านบาท ขณะนี้ผู้ประกอบการทั้ง 4 ราย ยังคงเคาะราคาสู้กันโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งหากการประมูลลากยาวไปถึง 17.00 น. วันนี้ราคาจะอยู่ที่ใบละประมาณ 40,000 ล้านบาท และหากลากยาวไปถึง 21.00 น. ราคาจะไปอยู่ที่ใบละประมาณ 43,000 ล้านบาท รวม 2 ใบราคาจะอยู่ที่ประมาณ 86,000 ล้านบาท "ณ เวลา 11.00 น.ใช้เวลาการประมูลรวม 26 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาในการเคาะราคาประมูล 20 ชั่วโมง และพัก 6 ชั่วโมง ซึ่งผู้ประกอบการทั้ง 4 รายยังมีการสู้ราคาอย่างต่อเนื่องยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดเคาะราคา ถ้าดูจากการเคาะราคารอบที่ 1 ถึงรอบที่ 60 ยังไม่มีรอบไหนที่ราคาคงที่ ซึ่งหากเคาะประมูลไปจนถึง 5 โมงเย็น ราคาจะตกใบละประมาณ 40,000 ล้านบาท และหากลากยากไปถึงสามทุ่มราคาจะอยู่ที่ใบละ 43,000 รวม 2 ใบ 86,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ราคาเฉลี่ยต่อ MHz ของคลื่น 900 MHz ถือว่าปรับตัวขึ้นมาสูงมาก ซึ่งเราจะไปประเมินว่าราคาที่ประมูลปัจจุบันสูงกว่าราคาในการจ่ายค่าสัมปทานหรือยัง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่สูงเพราะหากสูงเขาคงไม่เคาะราคา แต่เราก็ไม่ต้องเป็นห่วงผู้ประกอบการเพราะผู้ประกอบการต้องมีการคิดมาแล้วว่าสามารถสู้ราคาได้ที่ระดับใด เพื่อที่จะไม่ขาดทุนในการให้บริการ" นายฐากร กล่าว สำหรับการชำระเงินประมูลจะแบ่งเป็น 4 งวด โดยงวดแรกจะชำระราคาประมูลที่ 8,040 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของมูลค่าคลื่นความถี่ 16,080 ล้านบาท จะชำระภายใน 90 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชำระการประมูล งวดที่ 2 ชำระ 4,020 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าคลื่นความถี่ 16,080 ล้านบาท ภายใน 15 วัน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่ได้รับใบอนุญาต งวดที่ 3 ชำระ 4,020 ล้านบาท หรือ 25% ของมูลค่าคลื่น 16,080 ล้านบาท ภายใน 15 วัน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปีนับจากวันที่ได้รับใบอนุญาต และงวดที่ 4 ชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน 15 วัน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 4 ปีนับจากวันที่ได้รับใบอนุญาต ทั้งนี้ การปรับระยะเวลาการชำระเงินให้ความยืดหยุ่นดังกล่าวนี้ จะช่วยป้องกันการฮั้วประมูลของสถาบันการเงินที่จะนำเงินมาปล่อยกู้ เพราะผู้ประกอบการสามารถที่จะจัดหาแหล่งเงินทุนมาชำระเงินประมูลคลื่นส่วนที่เหลือในปีที่ 4 ได้ พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กล่าวว่า ราคาประมูล ณ เวลา 11.00 น. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 210% จากราคาประมูลขั้นต่ำ และราคาเฉลี่ยต่อ MHz ก็สูงกว่าคลื่น 1800 MHz แล้ว โดยสาเหตุที่ราคามีการปรบตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1800 MHz ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ กสทช.ได้มีการปรับเกณฑ์ในการชำระเงินประมูลคลื่น 900 MHz ให้มีความยืดหยุ่นทำให้ผู้ประกอบการทั้ง 4 รายมีกระแสเงินสดที่จะมาใช้ในการเคาะราคาประมูลในครั้งนี้ -------------------------------------------------------------------------------- ผมจะเข้าใจดังนี้ ถูกต้องไหม? การชำระเงินในงวดที่ 4 (ครบกำหนด 4 ปี) จะต้องจ่ายจำนวนสูงมากๆ จำนวนหลายเท่าจากยอดรวมหลังครบรอบ 3 ปีแรก หรือก็คือ ส่วนที่เกินจากยอด 16,080 ล้านบาท ที่ประมูล ขณะที่เขียนนี้ ประมูลถึงรอบ 178 รวม 2 ใบ มูลค่า 140,682 ลบ. ใบที่ 1. ประมูลถึง 69,214 ลบ. ส่งผลให้งวดที่ 4 ต้องชำระ 53,134 ลบ. ใบที่ 2. ประมูลถึง 71,468 ลบ. ส่งผลให้งวดที่ 4 ต้องชำระ 55,388 ลบ. เลยเริ่มสงสัยว่า จำนวนและน้ำหนัก เริ่มเข้าทรงคล้ายๆกับ แบบบินก่อนจ่ายที่หลัง แล้ว หากเกิดเหตุพลิกผัน เมื่อถึง ณ.เวลานั้น ผู้ประมูลได้แต่ไม่สามารถชำระเงินก้อนสุดท้ายได้ ส่วนของคู่แข่งที่ประมูลไม่ได้ ก็สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปแล้ว 4 ปี รัฐ..จะมีหลักประกันไหม? ว่าจะต้องได้รับเงินประมูลก้อนนี้ที่แน่นอน.
โดย
pakhakorn
ศุกร์ ธ.ค. 18, 2015 2:27 pm
0
3
Re: ถ้าคุณเป็นผูุ้ถือหุ้นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15M
แล้วถ้ามีประมูลแบบนี้ ในอีก 18 ปี ต่อจากนี้อีก เป็นครั้งที่ 2, 3, 4, 5, ...... ราคาครั้งหลัง ๆๆๆๆ ราคา จะสู้มากกว่านี้? หรือลดลงกว่านี้? คิดไป เรื่อยๆ เปื่อยๆ ตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ ECON101 ครับ ขึ้นกับสถานการณ์ขณะนั้นครับ demand-supply ตอนนั้น.... ไม่เกี่ยวกับราคาตอนนี้ ตอนนั้นอาจราคาไม่สูงขนาดนี้ก็ได้ จากจำนวนคลื่นที่หมดสัมปทาน ต้องเอาคืนมาเรื่อยๆ มี supply มากขึ้น การแข่งขันก็ degree ไม่เข้มข้น (ถึงคลื่นที่หมดสัมปทานจะถูกเสือลำบากยื้อยุดไว้จนกว่าจะหมดแรงก็ตาม แต่กฎหมายออมาเช่นนั้น แนวโน้มกระแสก็ไปทางนั้น ขอตั้งข้อสังเกตว่า รอบก่อน ที่ขัดขวางการประมูล 3G ยังมีเสียงบางส่วนปรบมือชอบใจไม่ต้องมีประมูลก็ได้บอกว่าชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มี 3G แต่รอบนี้ มีแต่คนเชียร์ให้ประมูลไวๆ ) แต่จะเข้าข่ายเดิมประมูลกันที่ราคาสูงอีกได้ ถ้าปล่อยให้ตลาดเสรีจริง คือ demand ก็ยังไม่ลด เพราะแข่งเสรี ผู้เล่นจะเข้ามามากขึ้น การประมูลครั้งต่อมา การประมูลคลื่น 900 ครั้งก่อน ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15MHz) มารอบใหม่นี้ ใบอนุญาตคลื่น 900 (10MHz) มาถึงวันที่สอง ดูจะดุเดือดกว่า ครั้งก่อนแล้ว จบรอบที่ 54 ทั้ง 2 คลื่น ที่ 31,862 ล้าน ยอดรวมทั้งหมด 63,724 ล้าน ยังไม่จบ ประมูลต่อ 9.00 น. เวลา 6.00 น. วันที่ 16 ธ.ค.58 นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. พร้อมดร.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. ตั้งโต๊ะแถลงข่าวประเมินสถานการณ์การประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ที่ยืดยื้อมาตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา อ้างอิง : เกาะติด! ศึกประมูล 4G คลื่น 900 MHz http://news.mthai.com/hot-news/economy-news/472777.html ซึ่งจากการประมูลยังไม่มีผู้เข้าร่วมรายใดถอนตัว และมีผู้ประมูลเพียงรายเดียวที่ใช้สิทธิ์่ในการไม่ประมูลเพียง 2 ครั้ง จากทั้งหมดมีสิทธิ์รายละ 3 ครั้ง จึงทำให้การประมูลยังเข้มข้น จบรอบที่ 54 ทั้ง 2 คลื่น ที่ 31,862 ล้าน ยอดรวมทั้งหมด 63,724 ล้าน ซึ่งเกินเป้าที่ตั้งไว้ 198% ขณะที่ผู้ประมูลทั้ง 4 ราย ยืนยันเดินหน้าสู้ต่อ อ้างอิง : เกาะติด! ศึกประมูล 4G คลื่น 900 MHz http://news.mthai.com/hot-news/economy-news/472777.html
โดย
pakhakorn
พุธ ธ.ค. 16, 2015 8:54 am
0
0
Re: ข่าวCPALL ล่าสุด เรื่องผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล
หลังจากอ่าน บทความ เกี่ยวกับคนหนึ่ง ในเหตุครั้งนี้ - กล้าทำกล้ารับ - ความในใจของคุณก่อศักดิ์ - บททดสอบก่อศักดิ์ ตามมาดูข่าว อีกด้าน ในส่วนของข่าว ของอีกคนหนึ่ง “อธึก อัศวานันท์” ไขก๊อกพ้นเก้าอี้บอร์ด “แบงก์กรุงไทย” คาดเจอภาวะกดดัน http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000135574 “อธึก”ลาออกบอร์ดแบงก์กรุงไทย http://www.thairath.co.th/content/546472
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. ธ.ค. 10, 2015 4:28 am
0
4
Re: ข่าวCPALL ล่าสุด เรื่องผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล
ตามปกติ. องค์กรใหญ่ๆทั่วไป มักจะมีการจัดการ การสื่อสารและเครือข่าย ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว รอคอย รอดู คอยชม แนวทาง การสื่อสาร ชุดต่อๆไป จะมีอะไรอีกบ้าง น่าจะเพลินดี ระหว่างรอฟังข่าวการเจรจา จากกองทุนต่างๆ ครับ
โดย
pakhakorn
พุธ ธ.ค. 09, 2015 9:37 pm
0
2
Re: ข่าวCPALL ล่าสุด เรื่องผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล
สำหรับผม เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ อีกครั้งหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสเห็นความจริง อีกด้านของชีวิต ของบริษัทระดับนี้ (หลังจากอ่านคำแถลงของผู้บริหารที่เคยชื่นชมแล้ว ยากที่จะยอมรับได้จริงๆ) ความจริงได้ปรากฏชัดขึ้น จากฝั่ง ทีมผู้บริหาร แล้ว กำลังรอดู หรือได้แต่รอดู ความจริง อีกด้านจากฝั่งผู้ลงทุน - เหล่า กองทุน ต่างๆ - นักลงทุน ต่างชาติ - นักลงทุน รายใหญ่ - นักลงทุน รายย่อย เมื่อมีผู้ขายได้ ก็ต้องมี ผู้ซื้อมารับซื้อ อีกสัก 1-2 เดือน อยากได้เห็น รายชื่อ ผู้ถือหุ้น จะมีการเปลี่ยนแปลง เช่นไร จริงๆ จะได้รู้ว่า หลักการที่ประกาศและส่งเสริมกันอย่างมากนั้น จะส่งผล กับบริษัทนี้อย่างแรง หรือส่งผลน้อยมากๆ(มันก็แค่ลมพัดผ่าน)
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. ธ.ค. 03, 2015 6:40 pm
0
11
Re: ถ้าคุณเป็นผูุ้ถือหุ้นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตคลื่น 1800 (15M
แล้วถ้ามีประมูลแบบนี้ ในอีก 18 ปี ต่อจากนี้อีก เป็นครั้งที่ 2, 3, 4, 5, ...... ราคาครั้งหลัง ๆๆๆๆ ราคา จะสู้มากกว่านี้? หรือลดลงกว่านี้? คิดไป เรื่อยๆ เปื่อยๆ
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2015 9:45 am
0
2
Re: ผลการจัดเก็บภาษีสรรพกรปีงบประมาณ 2558
คลัง เผย รัฐฯเก็บรายได้ปีงบฯ58 ต่ำเป้า 5.1% เหตุราคาน้ำมันร่วง ฉุดภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า-ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม -รายได้สัมปทานปิโตรเลียมต่ำ สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -22 ต.ค. 58 10:35 น. คลัง เผย รัฐบาลจัดเก็บรายได้ปีงบฯ 58 ต่ำกว่าเป้า 5.1% เหตุราคาน้ำมันร่วง ฉุดภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า-ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม -รายได้สัมปทานปิโตรเลียมต่ำ หวังมาตรการกระตุ้น ศก.ภาครัฐ หนุนจัดเก็บรายได้ปีงบฯ 59 เป็นไปตามเป้า นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558)จัดเก็บได้ 2,207,476 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 117,524 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 (แต่ยังสูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 6.4) โดยมีสาเหตุหลักจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงตั้งแต่ปลายปี 2557 ได้ส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และรายได้จากสัมปทานปิโตรเลียม จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจปี 2557 ที่ชะลอตัวลง ประกอบกับเศรษฐกิจในปี 2558 ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ กระทบต่อการประกอบการของภาคธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ดี ในปีงบประมาณนี้ กระทรวงการคลังได้บริหารจัดการโดยให้รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียนต่าง ๆ นำส่งสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นเป็นรายได้แผ่นดิน นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่เศรษฐกิจของประเทศที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่ เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2558 ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ดี ยังอยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลต่อฐานะการคลังของประเทศมากนัก สำหรับการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2559 นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพของ 3 กรมจัดเก็บภาษี กระทรวงการคลังจะต้องเร่งหาแนวทางการบริหารจัดการด้านอื่นๆ เพื่อให้การจัดเก็บรายได้เป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ " กระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคต่างๆ จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวที่ดีขึ้น และจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในอนาคตต่อไป " นายกฤษฎา กล่าว ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2558 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 208,840 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,709 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.7 (แต่สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 9.4) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 19,022 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 เนื่องจากผลประกอบการของภาคธุรกิจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 6,459 หรือร้อยละ 9.8 โดยเป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดี การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 19,327 ล้านบาท หรือร้อยละ 164.5 และภาษีสรรพสามิตน้ำมันจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 6,284 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,207,476 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 117,524 ล้านบาทหรือร้อยละ 5.1 (แต่สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 6.4) โดยกรมสรรพากรและกรมศุลกากรจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการ 235,997 และ 6,912 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.0 และ 5.6 ตามลำดับ ขณะที่การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ การจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตสูงกว่าประมาณการ 41,254 27,325 และ 17,693 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.4 18.7 และ 4.2 ตามลำดับ ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้ 2.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 1,729,203 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 235,997 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.0 โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ - ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 115,450 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.9 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 0.7) เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีจากฐานกำไรสุทธิจากผลประกอบการปี 2557 ของภาคธุรกิจ(ภ.ง.ด. 50) และภาษีจากค่าบริการและการจำหน่ายกำไร (ภ.ง.ด. 54) จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา - ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 66,995 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.6 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 0.4) ซึ่งเป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าต่ำกว่าเป้าหมาย 62,231 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.2 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 9.8) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงเป็นสำคัญ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคในประเทศจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 4,764 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 แต่ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 6.9 - ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 41,478 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.2 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 18.2) เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ำมันได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ (เหลว) ที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา 2.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 439,093 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 17,693 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 14.7) เป็นผลจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 61,986 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.2 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 101.5) เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 26,296 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.6 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 13.7) สาเหตุมาจากความต้องการซื้อรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัว สำหรับภาษีสุราและภาษีเบียร์จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 9,512 และ 8,356 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.2 และ 9.4 ตามลำดับ 2.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 115,488 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 6,912 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.6 (ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 1.9) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 7,890ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ทำให้สูญเสียรายได้ในช่วง 9 เดือน (มกราคม – สิงหาคม 2558) ประมาณ 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 หดตัวร้อยละ 7.5 และ 5.1 ตามลำดับ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานบกและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องจักรและเครื่องใช้กล ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และพลาสติก 2.4 รัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้รวม 161,254 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 41,254 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.4 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 18.0) รัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย 2.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 173,425 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 27,325 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.7 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 27.6) เป็นผลจากกองทุนหมุนเวียนนำส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินคืนเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 17,177 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำส่งรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล งวดที่ 2 เป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 7,854 ล้านบาทเป็นสำคัญ สำหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 5,595 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 195 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.6 (สูงกว่าปีที่แล้วร้อยละ 3.1) เนื่องจากการจัดเก็บรายได้เหรียญกษาปณ์สูงกว่าเป้าหมาย 2.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จำนวน 272,000 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 23,700ล้านบาท หรือร้อยละ 8.0 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 220,313 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 20,187 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4 และการคืนภาษีอื่นๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จำนวน 51,687 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,513 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.4 2.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จำนวน 11,348 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,748 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.2 2.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 14,549 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,551 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.9 2.9 เงินกันชดเชยภาษีสำหรับสินค้าส่งออก จำนวน 16,744 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1,956 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.5 2.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ จำนวน 12 งวด เป็นเงิน 96,346 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 12,654 ล้านบาทหรือร้อยละ 11.6 เรียบเรียง โดย ชัชชญา อังคุลี อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. ต.ค. 22, 2015 1:37 pm
0
1
Re: หลอก VI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
:bow: :bow: :bow: :bow:
โดย
pakhakorn
จันทร์ ก.ย. 21, 2015 10:50 pm
0
0
Re: หนี้ครัวเรือน กับสภาพเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
ขออภัย ขอเพิ่มข้อมูล เผื่อความผิดพลาดข้อมูลที่แสดงตามเว็บ http://www.rd.go.th/publish/310.0.html ผลจัดเก็บภาษีสรรพากร รายปี ***ปีงบประมาณ 2550 - 2557 เฉพาะในส่วนปี 2556 (ที่ได้ลงไว้ในช่องด้านบน) มีความแตกต่างจากตาราง***ปีงบประมาณ 2550 - 2556 (ซึ่งส่วนนี้อาจจะใกล้เคียงข้อมูลอื่นๆมากกว่า) ผลจัดเก็บภาษีทั้งประเทศ 2550-2556.PNG
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ก.ค. 12, 2015 1:32 pm
0
4
Re: หนี้ครัวเรือน กับสภาพเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
หากดูเรื่องภาษีให้ดูที่ภาษีมูลค่าเพิ่มครับ ตัวนี้มันสะท้อนภาพของการบริโภคของภาคประชาชนได้ดีเลย เพราะการซื้อสินค้าทุกอย่างของประชาชน โดนเรียกเก็บภาษี 7% จากร้านค้า ซึ่งหากร้านค้า มียอดรายได้เกิน 1.7-1.8 ล้านต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม อีกอย่างหนึ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ยากดีมีจน หนีไม่ได้ ซื้อน้เปล่าที่ร้านค้า ก็มีภาษีมูลค่าเพิ่มแฝงไปแล้ว ซื้อขายหลักทรัพย์ก็มีภาษีมูลค่าเพิ่มในเอกสารยืนยัน จากโบรกเกอร์ มิใช้ยอดภาษีโดยรวม ทำไมไม่ใช่ภาษีโดยรวม มันมีภาษีของนิติบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เอวังด้วยประการฉะนี้ :) ขอบคุณมาก สำหรับคำแนะนำการใช้ข้อมูล ครับ พอดีผมก็อยากได้ ตารางแยกสัดส่วนรายได้การจัดเก็บแต่ละประเภท ในแต่ละเดือนด้วย แต่ตามเว็บที่ผมใช้ดู ยังไม่มีรายงานส่วนนี้ แจ้งให้สาธารณชนที่สนใจได้ทราบ ขอเพิ่มขอมูลเก่าของปีก่อนหน้าหน่อย ครับ ผลการจัดเก็บภาษี 2557.PNG ผลจัดเก็บภาษีทั้งประเทศ(2) 2550-2557.PNG
โดย
pakhakorn
จันทร์ ก.ค. 06, 2015 6:52 am
0
3
Re: หนี้ครัวเรือน กับสภาพเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากรปีงบประมาณ 2558(ผลจัดเก็บรายเดือน) http://www.rd.go.th/publish/310.0.html ผลการจัดเก็บภาษี.PNG โดยภาพรวมของด้านนี้ ผลการจัดเก็บที่พลาดเป้า ยังไม่ได้ลดลงเลย น่าจะพอบอกสภาพปัจจุบันได้ แต่อนาคตนั้น ยังต้องรอดูต่อไป
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ก.ค. 05, 2015 7:19 pm
0
3
Re: ดอกเบี้ย ? ?
แบงค์กสิกรไทย ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ "บัณฑูร" จวก อย่าตายด้าน ต้องช่วยพยุงเศรษฐกิจ วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:10:56 น. http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14321092951432109388l.jpg นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะลำบาก ซึ่งรัฐบาลก็ได้เร่งแก้ไขอย่างเต็มที่ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเองที่ได้ใช้มาตรการทางการเงิน โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเช่นกัน ซึ่งมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงลดต้นทุนของผู้ประกอบการ มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินก็ต้องตามด้วย ต้องลดดอกเบี้ยลงบ้าง ไม่ใช่ทำเป็นตายด้าน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว บรรยากาศทางเศรษฐกิจตอนนี้ตึงเครียดอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาขัดแย้งกัน แม้การลดดอกเบี้ยจะทำให้ธนาคารพาณิชย์เสียประโยชน์ แต่ก็ควรจะทำเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจโดยรวมพังเสียหาย ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 0.13 ถึง 0.25 มีผลพรุ่งนี้ OpUjZhe4_ZM
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. พ.ค. 21, 2015 9:38 am
0
6
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ข่าวด่วน ธปท.ให้สถาบันการเงินปล่อยสภาพคล่องเงินบาท ให้ non-resident วงเงินไม่เกิน 600 ลบ. เพิ่มวงเงินซื้ออสังหาฯตปท.เป็น 50 ล้านดอลล์ สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -30 เม.ย. 58 12:13 น. นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ประกาศแนวทางผ่อนคลายเพิ่มเติม ภายใต้แผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบในหลักการจากรมว.คลังแล้ว นอกจากนี้ธปท.ยังได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์อื่นเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ซึ่งประกอบด้วย มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อให้บัญชีของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศไทย หรือ non resident หรือ NR ทำธุรกรรมกู้เงินบาทกับสถาบันการเงินได้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยขยายวงเงินให้ NR กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินโดยไม่มีการค้าการลงทุนในประเทศไทยรองรับเป็นไม่เกิน 600 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อกลุ่ม NR แต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค. นี้ นอกจากนี้ยังให้สถาบันการเงินปล่อยกู้เงินบาทโดยตรงให้แก่ NR เพื่อประโยชน์ทางการค้าการลงทุนในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยกเว้นเพื่ออสังหาริมทรัพย์และหลักทรัพย์ในประเทศ นอกจากนี้ยังผ่อนคลายให้ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน สามารถกู้ยืมเงินบาทโดยตรง เพื่อประโยชน์ในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ธปท.จะเร่งเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนของการผ่อนคลายเรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ และวงเงินฝากบัญชีเงินฝากเงินตราค่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศ นางจันทวรรณ กล่าวว่า ธปท.ยืนยันว่าในช่วงที่ผ่านมามีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาท และพร้อมที่จะดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่เหมาะสมกับพื้นฐาน นอกจากนี้ยังยืนยันว่าธปท.จะยังไม่มรกาตออกมาตรการเพื่อควบคุมเงินไหลเข้า-ออกต่างประเทศ หรือ แคปปิตอล คอนโทรลอย่างแน่นอน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวสามารถที่จะช่วยส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้ ขณะเดียวกัน ธปท.ยังมีมาตรการผ่อนคลายเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลในประเทศสามารถถือครองสินทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศได้มากขึ้น และขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารให้คล่องตัว ประกอบด้วย ฝากเงินตราต่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศ โดยขยายวงเงินให้บุคคลในประเทศซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อฝากกับสถาบันการเงินในประเทศได้อย่างเสรี โดยมียอดคงค้างไม่เกินปีละ 50 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 500,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังขยายวงเงินให้บุคคลในประเทศ โอนเงินออกเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ และสิทธิในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ได้ไม่เกินปีละ 50 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 10 ล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นทางเลือกในการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศ และกระจายความเสี่ยงการลงทุน ด้านของการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น ในปี 2559 ยังเตรียมอนุญาตให้ Broker ใน TFEX รายใหม่ๆ เป็นนายหน้าซื้อขายดอลลาร์ล่วงหน้าใน TFEX ได้ เพื่อเพิ่มผู้ให้บริการ และให้ลูกค้ามีทางเลือกในการใช้บริการได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ บล.ซื้อขาย FX กับลุกค้า ภายใต้ขอบเขตธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ จากเดิมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขาย FX กับลูกค้า โดยบล.ต้องติดต่อกับธนาคารพาณิชย์เท่านั้น เพื่อให้บล.สามารถให้บริการด้านชำระราคาหลักทรัพย์แก่ลูกค้าไทยและต่างชาติได้คล่องตัวมากขึ้น นางจันทวรรณ กล่าวว่า ส่วนมาตรการดังกล่าวจะช่วยส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในทันทีหรือไม่นั้น มองว่า จะช่วยได้บ้าง แต่คงไม่ใช่ปัจจัยหลัก เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ รายงาน โดย ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร อีเมล์.
[email protected]
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. เม.ย. 30, 2015 1:52 pm
0
2
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ข่าวด่วน เซอร์ไพรซ์! กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.5% เตรียมออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออกพรุ่งนี้ สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -29 เม.ย. 58 14:44 น. นายเมธี สุภาพงษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี โดยมีผลทันที ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในการประชุมครั้งก่อน แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก “สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ยอมรับว่าส่งผลดีต่ออัตราแลกเปลี่ยน และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกด้วย แต่ยืนยันว่าอัตราดอกเบี้ยคงไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนการส่งออกทั้งหมด” นายเมธี กล่าว ทั้งนี้ ในวันที่ 10 มิถุนายน 2558 ธปท.จะแถลงตัวเลขการปรับประมาณ การอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ลงจากปัจจุบันที่ 3.9% และปรับตัวเลขการส่งออกที่ปัจจุบันคาดการณ์ที่ 0.8% นอกจากนี้ยังจะปรับตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ลงด้วย อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า มองว่าภาคการส่งออกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และโครงสร้างการค้าโลกและภูมิภาคที่เปลี่ยนอปลงโดยคู่ค้าหลักมีการพึ่งพาการนำเข้าลดลง รวมทั้งจากแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกอาจส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคครัวเรือนอ่อนแอลงตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ลดลง ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อลดต่ำลงสอดคล้องกับอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจที่มีน้อยกว่าคาด ขณะที่ต้นทุนโดยเฉพาะราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบต่อเนื่องเพิ่มสูงขึ้น ตามการคาดการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้คณะกรรมการเริ่มเห็นความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด เนื่องจากเห็นการชะลอตัวของราคาสินค้าเริ่มกระจายตัวมากขึ้น นอกเหนือจากราคาน้ำมันตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งกนง.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด นายเมธี กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.จะประกาศมาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น ในวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ธปท.จะแถลงมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออก ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ ธปท.มีอยู่แล้ว แต่จะเป็นการผ่อนคลายเพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ อนึ่ง ประเด็นที่คณะกรรมการฯ ให้ความสาคัญในการตัดสินนโยบาย มีดังนี้ เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราที่ต่ากว่าที่เคยประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ทาได้เพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่องช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแรงกว่าคาดมากในไตรมาสที่ 1 นอกจากนี้ ในระยะข้างหน้าภาคการส่งออกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และโครงสร้างการค้าโลกและภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงโดยคู่ค้าหลักมีการพึ่งพาการนาเข้าลดลง รวมทั้งจากแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกอาจส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคครัวเรือนอ่อนแอลงตามกาลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ลดลง แรงกดดันเงินเฟ้อลดต่าลงสอดคล้องกับอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจที่มีน้อยกว่าคาด ขณะที่ต้นทุนโดยเฉพาะราคาน้ามันอยู่ในระดับต่าต่อเนื่อง ซึ่งทาให้ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบต่อเนื่องเพิ่มสูงขึ้นและการคาดการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลง ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ เสียงส่วนใหญ่ประเมินว่านโยบายการเงินควรผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาวะที่มีความเสี่ยงด้านต่าเพิ่มขึ้น ตลอดจนดูแลการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คณะกรรมการฯ เสียงส่วนน้อยเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ เนื่องจากการดาเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมามีส่วนช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับขีดความสามารถในการดาเนินนโยบายการเงินเพิ่มเติมมีจากัด ขณะที่แรงขับเคลื่อนด้านการคลังที่มากขึ้นจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง จึงเห็นควรให้รอประเมินผลต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเงินก่อนที่จะดาเนินนโยบายเพิ่มเติม ในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จะดาเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้ภาวะการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพียงพอในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเงินของไทยและใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสมต่อไป รายงาน โดย ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
โดย
pakhakorn
พุธ เม.ย. 29, 2015 8:19 pm
0
3
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
http://www.rd.go.th/publish/54325.0.html จัดเก็บภาษีสรรพกร.PNG ข่าวล่าสุด จากทางทีวีเช้านี้ กรมสรรพกร กำลังจะปรับลดเป้าการจัดเก็บภาษีของปีนี้(อาจต้องรอรายละเอียดข่าวเพิ่มอีกครั้ง)
โดย
pakhakorn
ศุกร์ มี.ค. 20, 2015 8:28 am
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ผู้ว่า ธปท.ชี้ลด"ดอกเบี้ย"แค่ยาบรรเทาอาการป่วยของ ศก.แต่รักษาต้นเหตุต้องอาศัยบทบาทภาครัฐ -มองปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตเป็น “วาระแห่งชาติ” สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -13 มี.ค. 58 16:59 น. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2558 ที่สำนักงานภาคเหนือ ธปท.หัวข้อ "ความท้าทายของนโยบายการเงิน กับการก้าวข้ามพัฒนาการเศรษฐกิจไทย" สรุปใจความว่า ปีที่ผ่านมาจีดีพีของไทยโตเพียง 0.7% หรือเรียกได้ว่าแทบไม่เติบโต เพราะหลากหลายปัจจัยรุมเร้าทั้งภายในและภายนอก สภาพเศรษฐกิจไทยจึงเหมือน "คนป่วย"ที่มีอาการซ้ำซ้อนหลายด้าน เศรษฐกิจไทยป่วยจากการเผชิญกับโรค 3ชนิด ดังนี้ 1.โรคไข้หวัดใหญ่ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางนโยบายการเงินของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูงนี้ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าไทยมีไม่มากและตลาดเงินโลกผันผวน ซึ่งไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะกระทบด้านการส่งออกของไทย ดังนั้น ความหวังที่จะดันให้การส่งออกของไทยก้าวขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก 2. โรคข้อเข่าเสื่อม จากปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย เพราะยังขาดแคลนการลงทุนหรือพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ไม่มีแรงงานทักษะเพียงพอสำหรับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อเข่าที่พยุงเศรษฐกิจได้มานาน ได้เสื่อมสมรรถภาพลงจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และทำให้ไทยติด “กับดักรายได้ปานกลาง” (Middle Income Trap) 3.โรคขาดความมั่นใจ ที่ซ้ำเติมทำให้โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เพราะผู้ประกอบการไม่มั่นใจว่า ภาครัฐจะจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างได้หรือไม่ ภายใต้โรคที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยทั้ง 3 ชนิดนี้ บทบาทที่ ธปท. สามารถเข้ามาช่วยรักษาได้ คือการใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนการจ่าย “ยารักษาโรค” สู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และควบคุมเงินทุนไหลเข้าไหลออกซึ่งช่วยดูแเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพทางการเงินให้เกิดบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมและเอื้อต่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน "แต่เป็นการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการของโรคทั้ง 3 นี้และสามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้บางส่วนเท่านั้น การจะรักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้น จำเป็นต้องอาศัยบทบาทภาครัฐในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในส่วนที่เหลือกลับมา" ด้านโอกาสการก้าวข้ามพัฒนาการเศรษฐกิจไทยนั้น ดร.ประสาร กล่าวว่า จากปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตไทยนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น และไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบของเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ต้องได้รับความสนใจและร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน และทุกฝ่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องรับบทบาทที่แตกต่างกันเพื่อให้เราก้าวเดินต่อไปได้ ภาครัฐมีบทบาทในการเข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และพัฒนาแรงงานรวมถึงการศึกษาที่จะเป็นทุนติดตัวให้ภาคเอกชนทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ธปท.มีบทบาทผ่านการใช้นโยบายการเงินในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ในขณะที่ภาคเอกชนเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะต้องลงทุนและปรับปรุงจุดไหนจึงจะทำให้กิจการของตนเองรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนแล้ว ไทยยังได้รับโอกาสใหม่ๆ ที่สามารถเข้ามาช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยในการพัฒนาผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.การเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเนื่องจากไทยมีทำเลทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ทำให้ไทยสามารถเชื่อมโยงกับฐานตลาด ทรัพยากรและการลงทุนที่ใหญ่ขึ้นในระดับภูมิภาค 2.โอกาสจากการปฏิรูปเศรษฐกิจ เปรียบเสมือนการผ่าตัดที่จะรักษาโรคของไทยโดยตรง ทั้งนี้ การผ่าตัดคือกระบวนการที่ต้องเจ็บปวดบ้าง และอาจต้องใช้เวลาในการพักฟื้นระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาเดินได้เต็มที่ แต่ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน,แผนการปฏิรูปการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ,การปรับเกณฑ์สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน (BOI) 3.โอกาสในการพัฒนาภาคการเงิน เป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของ ธปท. ซึ่งเน้นการพัฒนาการให้บริการทางการเงินและระบบชำระเงินให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการ ทำธุรกรรมในปริมาณมากขึ้น เรียบเรียง โดย ชัชชญา อังคุลี อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
โดย
pakhakorn
ศุกร์ มี.ค. 13, 2015 6:04 pm
0
2
Re: ดอกเบี้ย ? ?
QE ของ ยุโรป , ญี่ปุ่น และ อื่นๆ มุมมองผม คาดคะเน ผลยากมาก ผลอาจต้อง ดิ้นรน หนักกว่าของอเมริกามากๆ หลายๆประเทศ เริ่มปรับ ตั้งรับ ด้วยรูปแบบ ต่างๆ เริ่มไม่เป็นไป ตามปกติ ในกติกาเดิม แล้ว ลองสังเกตุ หัวข่าวให้ดีๆ นะ ใกล้ตัวสุด ผมสงสัย สิงคโปร์ ดูเหมือนเขา เขากำลังคิด จะพลิกเกมส์ อีกมุมเลย ต่างจากQEครั้งก่อน นะ
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2015 4:14 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ในมุมมองผม เรื่อง ดอกเบี้ย เป็นแค่เปลือก หรือเครื่องมืออันหนึ่ง ที่ใช้รับมือ ปัญหาที่มันเกิดขึ้น - ส่วนหนึ่งแน่นอน เกิดจากปัญหาภายในเราเอง - อีกส่วน ค่อนข้างแรงมาก น่าจะผลของ บรรดา QE ต่างๆที่ออกมา QE มันเกิดจาก คนแพ้ในกติกาเดิม พยายามสร้างสิ่งใหม่ ที่อยู่นอกเหนือกติกาเดิม เพื่อจะกลับมาเป็น ผู้ชนะอีกครั้ง การพยายามปรับตัวสู้ กับผลกระทบ ของแต่ละประเทศแตกต่างกัน สารพัดรูปแบบ จึงกระทบกันไปกระทบกันมา มั่วไปหมด ปัญหา คือ มองออกมารูปแบบทำนองนี้ เมื่อ 2-3 ปี ที่แล้ว หรือ เปล่า? แล้วมีการวางแผนบริหารจัดการ ถูกวางต่อเนื่อง มาเช่นไร วันนี้ แค่แสดงผล การจัดในอดีตที่ผ่านมา การเลือกวันนี้ จะแสดงผลในอนาคต ซึ่งเห็นภายนอกแสดงแล้ว ส่วนหนึ่ง คือ ดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่แน่ใจถึง หัวใจหรือเป้าหมาย ของ กนง. หรือ ธปท. นั้นมองหรือมุ่งภาพใหญ่เรื่องนี้อย่างไร ?
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2015 3:54 pm
0
1
Re: ดอกเบี้ย ? ?
เห็นแล้วหนาวววว .... ของเราต่ำสุดๆๆ ในกลุ่มประเทศระดับเดียวกัน (ไม่ต้องเทียบกัน สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ นะครับ คนละลีก) เป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น ใช่เลย. มันน่าจะต่ำมากอยู่ ส่วนอนาคตอาจจะขึ้นหรือจะลง ก็ได้ ขอบคุณมาก ครับ พี่ syj ที่เข้าเจิมในกระทู้นี้ ด้วย :D ให้ถือว่า แลกเปลี่ยนมุมมองกัน นะ ครับ แต่ก็กลัวกระทู้เลยเถิดไปอีก จะถูกล็อคอีก ก่อนอื่น ผมขอการยอมรับ ตามที่ผมได้โพสต์ไว้ข้างบน เพื่อลดการพาดพิง เรื่องส่วนตัวของตัวบุคคล คุยกัน เฉพาะ มุมมอง ทางเลือก ที่มี หรือที่เห็นว่ามี นะ ครับ ส่วนผลการตอบรับนั้น ให้ทำใจ แต่ละคนอาจจะมีมุมมองหรือเห็นต่างกันได้ ครับ แต่ที่สุดให้เป็นไป ตามผู้ที่มีอำนาจและที่มีสิทธิในการเลือกหรือตัดสินใจ เขาจะว่าอย่างไร ก็ตามนั้น. ขอบคุณมาก ครับ :D
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2015 2:47 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ข่าวด่วน กนง.มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.75% สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -11 มี.ค. 58 14:41 น. นายเมธี สุภาพงษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 3 เสียงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี ประเด็นที่คณะกรรมการฯ ให้ความสำคัญในการตัดสินนโยบาย มีดังนี้ " เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปี 2557 และเดือนมกราคม 2558 ยังฟื้นตัวค่อนข้างช้า โดยมีแรงส่งทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนน้อยกว่าคาด ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลดลง เศรษฐกิจในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน สำหรับการส่งออกสินค้าคาดว่าจะทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่คาด แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ขณะที่การท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยชดเชยอุปสงค์ในประเทศได้บางส่วน" นายเมธี กล่าว ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2558 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงและติดลบตามราคาน้ำมันโลกที่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ยังปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นบวก มองไปข้างหน้า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับที่คณะกรรมการฯ ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน สำหรับเสถียรภาพระบบการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจสะสมจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า (Search for yield) ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงกว่าที่ประเมินไว้ โดยแรงกระตุ้นจากภาคการคลังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ภายใต้ภาวะดังกล่าว กรรมการ 4 คนเห็นว่านโยบายการเงินควรผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจ และช่วยพยุงความเชื่อมั่นของภาคเอกชน อย่างไรก็ดีกรรมการ 3 คนประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และควรรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินไว้สำหรับเวลาที่จำเป็นและมีประสิทธิผลมากกว่าปัจจุบัน ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันควรอาศัยแรงขับเคลื่อนด้านการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐ ในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว รายงาน โดย ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
โดย
pakhakorn
พุธ มี.ค. 11, 2015 6:53 pm
0
2
Re: ดอกเบี้ย ? ?
สำหรับ กราฟเชิงเปรียบเทียบ ค่าเงินบาท ตัวอย่าง เช่น ช่วง 6 เดือน , 3 ปี กับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือคู่ค้า หรือคู่แข่ง ส่วนตัวเห็นแล้ว ไม่สงสัยมากนักกับ การส่งออก ที่มีปัญหาต่ำกว่าเป้ามาตลอด 1. ถ้าคุณขายสินค้า ในราคาเท่าเดิมหรือในจำนวน USD ดอลล่าร์เท่าเดิม และ ประเทศเหล่านั้นเป็นลูกค้า เขาต้องต้องจ่ายแพงขึ้น%เท่ากับการอ่อนค่าของค่าเงินพื้นบ้านของเขาที่มากขึ้นนั้น ดูแล้วน่าตกใจไหม ตามช่วงเวลาดังกล่าว 2. ถ้าคุณขายสินค้า ในราคาเท่าเดิมหรือในจำนวน USD ดอลล่าร์เท่าเดิม และ ประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งของไทย ที่ผลิตสินค้ากลุ่มเดียวกันหรือคล้ายกัน ถ้าขาย ในราคาดอลล่าร์เท่ากัน เขาจะได้เป็นเงินพื้นบ้านเขามากขึ้นตาม%นั้น หรือสามารถลดราคาตัดราคาขายได้มากขึ้นถ้าคิดราคาตามเงินพื้นบ้านของเขา แล้วดู % กับ ช่วงเวลา มันแรงดี นะ 3. ปัญหาค่าเงิน จะมีผลไม่มากนักต่อการสั่งซื้อของคู่ค้า ถ้าประเทศนั้น มีหรือครอบครอง สินค้าที่โดดเด่นมากๆ ที่คู่ค้าจะขาดสินค้านั้นไปไม่ได้ หรือคู่แข่งยังไม่สามารถผลิตได้ใกล้เคียง แล้วกลุ่มแบบนี้ของไทยมีจำนวนเท่าไรกันแน่ ? ต้นทุนการส่งออกด้านอื่นๆ ก็ยังมีอยู่จริงๆ แต่การเพิ่มขึ้นในด้านนั้นๆคิดเป็น%เฉพาะด้านอาจสูงมากจริง แต่พอคิดเป็นต้นทุนรวม %สูงขึ้นโดยรวมนั้นจะลดลง แต่เรื่อง ค่าเงิน มันมีโดยตรงกับสินค้าทั่งชิ้นนั้นเลย โดย % จะเปลี่ยนกระทบตรงๆเท่ากันกับสินค้าทั้งชิ้นนั้นทันที วรรคข้างนี้ ให้ถือเป็น คำบ่น เพี้ยนๆ เตือนตัวเอง จากมุมมองส่วนตัวผม ครับ ทุกๆทางเลือก ก็มีราคาที่จะต้องจ่าย ในผู้คนทั้งหมด แต่ละกลุ่มๆ ก็จะมีราคาจะต้องจ่าย หรือได้รับ แตกต่างกันไป ผู้เข้มแข็ง แข็งแรง รวมถึงผู้ได้รับเลือกหรือปกป้องให้อยู่รอด ก็มักจะอยู่รอด เติบโต ต่อไป. ผู้ไม่ได้รับเลือกหรือปกป้อง ก็ต้องหาหนทาง อยู่รอด กันเอง ต่อไป ครับ
โดย
pakhakorn
พุธ มี.ค. 11, 2015 6:43 am
0
0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
กลับมาเข้าตลาดหุ้น ครั้งที่สอง หลังกลางปี 2008 ครั้งนี้ คิดเอาจริง แต่หัวสมองเกี่ยวกับตัวหุ้น ตลาด ว่างเปล่า เดินเข้าไปขอเปิด บ/ช ไม่ได้ปรึกษาใครที่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นก่อน และไม่ได้เตรียมตัวความรู้เกี่ยวกับ การซื้อขาย ข้อกำหนดตลาดหุ้น หรือความรู้ตัวหุ้น ในช่วงนั้นเลย รู้เพียงว่า - ตลาดหุ้นมันลงมากน่าดู โดยดูจากข่าวจากหน้าจอทีวี และน่าจะคือโอกาส ที่จะได้แก้มือ จากครั้งที่แล้ว - เตรียมเงินไว้ก้อนหนึ่ง เพื่อการนี้ ถ้าแพ้ โดนกินหมด ก็ถือว่าแพ้ ก็จะเลิก ถ้าถูกกินไม่หมด ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ และปรับตัว ให้เวลาตัวเอง 4 ปี เหมือนการเรียนมหาวิทยาลัย เปิด บ/ช ครั้งแรก เสร็จ - งง มากๆ มันไม่ใช่ รูปแบบ การซื้อ-ขาย แบบที่เราเคยเห็น - ความรู้ ตัวหุ้น การใช้งาน com. ก็แทบไม่มี ใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้เองอีก จากหน้าเว็บตลาด และจากgoogle มัวๆไป อีก 2-3 เดือนกว่าเริ่มคุ้นเคยการใช้งานcomเพื่อดูหุ้น - ไม่ได้ไป นั่งดูหุ้น ที่โบรก หรือ ปรึกษาตัวหุ้นกับมาร์ หรือปรึกษาใคร อยู่เองโดดๆ เริ่มการซื้อ-ขาย - ตัวแรก จำไม่ได้แล้ว แต่ลองเคาะ ซื้อผ่านinternet เพื่อลองดู วิธีการสั่งซื้อ-ขายด้วยตัวเอง ไม่ผ่านมาร์ และเพื่อลองดูระบบการหัก บ/ช ต่างๆ - ตัวที่จดจำได้ถึงวันนี้ คือ KTB เหตุผล ธนาคารของรัฐ ไม่น่าจะล้มแน่นอน ราคา 6 บาทกว่า ซื้อเก็บ หวังกลับไปราคาใกล้เดิมก็กำไรเป็นเท่าตัว ฮา ฮา พอได้มาจริงๆ ถือมา เดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ข่าวร้ายหน้าจอทีวีก็ยังออกมาต่อเนื่องว่ากันว่า น่ากลัว และน่าจะยาวนาน ราคาKTBก็ลงมาเรื่อยๆ เลยตัดสินใจขายทิ้ง เพื่อคิดจะเริ่มต้นใหม่ สรุป ได้ขายที่ฟลอร์เลย ขาดทุนไปประมาณ 50% ได้ และหลังจากขายเสร็จ มันก็กลับขึ้นมาตลอด และมีปันผลดีด้วย ฮา ฮา เจ๋งจริงๆขายฟลอร์เลยเรา ฮา ฮา. ผลงาน. - ปีแรก จ่ายค่าครู ไปเรียบร้อย (ค่าชี้จุดโง่ จุดบอด จุดบกพร่อง มากมาย) - ปีที่สอง พยายามเองต่อไป อ่านสารพัดเว็บเกี่ยวกับหุ้น ยกเว้นหนังสือและตำรา แล้วหนึ่งในนั้น ก็เว็บ thaivi นี้แหละ อ่านนิดอ่านหน่อยอ่านไปเรื่อยๆ จนปลายปี ก็เริ่มยอมรับตัวเองว่า วิธีการที่ทำมานั้นไม่รอดแน่ๆในระยะยาว เพราะวนไปเวียนมา-ได้มาเสียไป-ไม่ก้าวหน้าหรือดีขึ้น เลยตัดสินใจใหม่ ต้องเปลี่ยนๆ เดินเข้า SE-ED ค่อยๆเริ่มหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน หนึ่งในนั้นก็ ตีแตก ด้วยแน่นอน จบปีนี้ไม่ขาดทุน ตลาดยังใจดี ยังพาคนไร้ฝีมือ-ไร้ความรู้-รอดมาด้วย ให้อยู่ในตลาดเที่ยวต่อไปอีก ฮา ฮา - ปีที่สาม เริ่มออกจาก กะลา เริ่มสมัครเข้ามาฟังมาดูรายการสดที่ท่านอาจารย์ ไพบูลย์ จัดที่ตลาดหลัทรัพย์ เข้าสัมมนาบ้าง เริ่มเห็น ผู้คน วัย อายุ การพูดคุย แนวคิด และรู้สึกตัวเองทันที เราเอาเวลาไปทำอะไรอยู่ ทำไมกลับเข้ามาตลาดหุ้นเริ่มเรียนรู้ก็แก่มากแล้ว แถมเริ่มแบบผิดทิศผิดทางอีกต่างหาก เทียบกับที่เห็นวัยรุ่นมากมาย และแทบทั้งหมดฟังดูมีการเตรียมตัวมาอย่างดี มีความรู้ มีความุ่งมั่น อย่างชัดเจน ฮา ฮา อ้ายภูธร บ้านนอก โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ มึงนี่ไม่รู้อะไรเสียเลยเมื่อฟังเขาคุยกัน มึงมันไม่น่ารอดมาได้ แต่ปีนี้มึงยังรอดมาได้ ก็เพราะตลาดมันเอ็นดูพามาเที่ยวหลอก ฮา ฮา และในปลายนี้ ก็ได้สมัครเข้าเป็น สมาชิกของเว็บนี้ และสิงอยู่จนปัจจุบันนี้ ครับ :mrgreen: :mrgreen:
โดย
pakhakorn
อังคาร มี.ค. 10, 2015 6:53 am
0
12
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
ผมได้สัมผัสตลาดหุ้นครั้งแรกช่วงสั้นมากๆเพียงไม่กี่เดือน น่าจะประมาณปี 37-38 จำได้ไม่แม่นแล้ว นะ แต่ก่อนฟองจะแตก ปี 40 ตลาดมันกำลังบ้าคลั่ง มีแต่ คนรวยหุ้น คนรวยจากการซื้อ-ขายที่ดิน พากันเชื่อว่า ซื้อที่ ซื้อบ้าน ไว้ไม่มีทางขาดทุน มีแต่กำไร ที่ทางมีแต่หมดไปไม่มีเพิ่ม ผมเข้ามาเปิด บ/ช พร้อมเพื่อนสนิทอีกสองคน เพราะอยากรวยกับเขาบ้าง ย้อนนึกกลับไป ช่วงสั้นๆนั้น ซื้อ-ขาย เหมือนซื้อหวยไม่มีผิด ฟังข่าว เขาว่า ก็ซื้อตาม มันช่างง่ายจริงๆ และมีกำไรดีด้วย แต่ผมอยู่ช่วงเพิ่งจะออกจากพนักงานบริษัท มาเริ่มค้าขายเอง ซื้อหุ้นทิ้งไว้ในพอร์ต หวังหารายได้เสริมจากการที่วิ่งค้าขายอยู่ ต่อมา มันมีเหตุ ปั่นป่วนรุนแรง หุ้นลงแรงมาก จนกำไรที่สะสมไว้ใกล้หมด ผมใช้มือถือโทร.สั่งขายล้างพอร์ตจากพัทยามาที่โบรกที่ฉะเชิงเทราหลายๆครั้ง แต่ขายไม่ได้สักที ผมเลยตัดสินใจ ขับรถจากพัทยามาฉะเชิงเทรา เพื่อขายล้างพอร์ต ด้วยตัวเอง จึงสำเร็จ หลังขายเสร็จ สำรวจ บ/ช ตกลง กำไรที่ได้มาช่วงสั้นๆไม่กี่เดือนนั้นถูกมันกินคืนหมดเกลี้ยง แต่ได้ทุนคืนกลับมา เพราะช่วงนั้น เริ่มต้นค้าขายเองยังต้องใชเงินสดลงเพิ่ม เลยตัดสินใจล้างพอร์ตหุ้นในขณะนั้น และหลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้เฉียดมาเข้าตลาดหุ้นเลย จนกระทั่ง หลังกลางปี 2008 แต่การได้กลับเข้ามาตลาดหุ้นครั้งใหม่นี้ เข้ามา งง เป็นไก่ตาแตกเลย มีระบบซื้อ-ขายผ่านเน็ตและอื่นๆอีกมากมาย รู้หลังจากกรอกเปิด บ/ช ใหม่แล้ว. และหลังทบทวนเหตุการณ์ย้อนหลังที่ผ่านมา ทุกๆครั้ง ผมก็ยังรู้สึกว่า ช่วงชีวิตที่น่าจะมีค่า สอนตัวเองมากที่สุด ก็อยู่ในช่วง ระหว่าง เปิด บ/ช ครั้งแรก กับ ครั้งที่สอง นี่แหละ ครับ
โดย
pakhakorn
จันทร์ มี.ค. 09, 2015 2:41 pm
0
5
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
ปี 2531 เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรก ตามมาร์เก็ตติ้ง ติดเพจเจอร์ รายงานราคาหุ้น จ่ายเดือนละ 6000 บาท เข้าใจว่าเป็น phone link ไม่เคยรู้ว่า ว่าดูงบการเงินได้ และตอนนั้น ไม่น่าจะมี internet เล่นไปเล่นมา ซื้อๆขายๆ ตามมาร์ ได้ ipo egcomp สมัยนี้เรียก egco ใช่ปะ สุดท้ายได้กำไร ไปหลายเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าได้มาได้อย่างไร ตัดสินใจเลิกเล่น แล้วโทรบอกมาร์ ชื่อหมวย ให้ล้างพอร์ท ตอนนั้นเทรดกับ jf ธนาคม พี่เปี๊ยะ มนตรี ศรไพศาล ประทับใจคือเสียงคุณหมวย สงสัยอย่างมากว่าทำไมเลิกเล่น ก็เลยอธิบายไปว่า ผมไม่รู้ว่าผมได้กำไรมาได้อย่างไร และในอนาคต ผมก็คงต้องเสียเงินไป ด้วยความไม่รู้ เอาเป็นว่า ล้างพอร์ทเลิกเล่นละกัน ขายทุกราคา ขอบคุณมาก ครับ พี่Jeng อยากกด +1,000 เลย. สุดยอดเหตุผล ที่ผมอ่านแล้ว ทึ่งจริงๆ :bow: :bow: :bow:
โดย
pakhakorn
จันทร์ มี.ค. 09, 2015 12:53 pm
0
1
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ขอเก็บข้อมูล ค่าเงินบาท เชิงเปรียบเทียบ ไว้เป็นข้อมูลประกอบ 6 เดือน ย้อนหลัง USDTHB(ไทย)USDJPY(ญี่ปุ่น)USDMYR(มาเลเซีย)USDSGD(สิงคโปร์)_6M.PNG USDTHB(ไทย)USDKRW(เกาหลี)USDAUD(ออสเตเรีย)USDIDR(อินโดนีเซีย)_6M.PNG USDTHB(ไทย)USDPHP(ฟิลิปปินส์)USDINR(อินเดีย)USDTWD(ไต้หวัน)_6M.PNG 3 ปี ย้อนหลัง USDTHB(ไทย)USDJPY(ญี่ปุ่น)USDMYR(มาเลเซีย)USDSGD(สิงคโปร์)_3Y.PNG USDTHB(ไทย)USDKRW(เกาหลี)USDAUD(ออสเตเรีย)USDIDR(อินโดนีเซีย)_3Y.PNG USDTHB(ไทย)USDPHP(ฟิลิปปินส์)USDINR(อินเดีย)USDTWD(ไต้หวัน)_3Y.PNG
โดย
pakhakorn
เสาร์ มี.ค. 07, 2015 10:02 pm
0
2
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ธปท. ชี้เศรษฐกิจเดือนม.ค. ฟื้นตัวช้ากว่าคาด รัฐไม่เร่งเบิกจ่าย ฉุดบริโภคเอกชนดิ่ง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 17:43:11 น. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425119621 http://www.matichon.co.th/online/2015/02/14251196211425119634l.jpg นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผย ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนมกราคม 2558 ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ พบว่า การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้มีการระมัดระวังการใช้จ่าย และความกังวลต่อรายได้ในอนาคต ทั้งนี้ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทำให้กระทบต่ออำนาจในการจับจ่าย อย่างไรก็ตามสำหรับราคาน้ำมันที่ลดลงยังไม่ค่อยมีผลต่อการบริโภคมากนักเช่นเดียวกันกับ การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่เบิกจ่ายได้ช้ากว่าที่ธปท.คาดไว้ โดย 4 เดือนแรก ปีงบประมาณ 2558 อัตราการเบิกจ่ายอยู่ที่ 13.1% ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งปกติอัตราการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันของปีก่อนๆ จะอยู่ที่เฉลี่ย 20% ของงบประมาณทั้งหมด "ภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณมีข้อจำกัด ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจยังรอความชัดเจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การลงทุนทรงตัวทั้งในกลุ่มเครื่องจักรและการก่อสร้าง" นางรุ่งกล่าว รวมทั้ง พบว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.72 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.5% จากเดือนธันวาคม 2557 ที่ 1.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว เช่น จีน ญี่ปุ่น และประเทศอาเซียน และราคาสินค้าปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะปิโตรเลียม ยางพารา และเคมีภัณฑ์ รวมทั้งการตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี (จีเอสพี) ในทุกสินค้าที่ส่งไปกลุ่มประเทศยุโรป อย่างไรก็ตามกลุ่มประเทศที่การส่งออกยังขยายตัวได้คือสหรัฐและกลุ่มซีแอลเอ็มวี ในแง่การทบทวนตัวเลขการส่งออกของปีนี้นั้น ธปท. ติดตามใกล้ชิด และมีการนำปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่าง ๆ เข้ามาประกอบ ซึ่งขณะนี้เร็วเกินไปที่จะประเมิน ส่วนการนำเข้าสินค้ามีมูลค่าลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงมากตามราคาน้ำมันในตลาดโลก นางรุ่งกล่าวว่า ทิศทางของเศรษฐกิจเป็นไปตามที่ธปท. คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามในส่วนนโยบายการเงินจะมีส่วนช่วยเหลือหรือกระตุ้นอย่างไรหรือไม่ขึ้นกับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรขึ้นมาบ้างแล้ว และการจ้างงานของภาคเกษตรยังขยายตัวได้ ปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยการบริโภคเอกชนให้ฟื้นตัวได้บ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวเอเชีย อาทิ จีนและมาเลเซีย เพราะไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว ประกอบกับทางการจีนผ่อนคลายมาตรการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นลำดับ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนมากนัก ทั้งนี้ ประเมินว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวยังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน "เสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันโลกที่ลดลงมากส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ แต่ไม่ใช่สัญญาณของภาวะเงินฝืด และช่วยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง ส่วนดุลเงินทุนเคลื่อนย้านขาดดุล เนื่องจากการเคลื่อนย้านเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติตามทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ" นางรุ่งกล่าว _________________________________ ความเห็นส่วนตัว. - นโยบายการคลัง ผ่านมา 4 เดือนแรก (1 ใน 3 ของปี) ก็ตามข่าว - ส่วนนโยบายการเงิน ก็ตามข่าว แบบ ธปท. ให้ข่าวเรื่อยๆมา - ส่วน เอกชน สงสัยคงต้องหาหนทางเดินเองต่อไป........(ถ้ายังไม่ล้มเสียก่อน)
โดย
pakhakorn
พุธ มี.ค. 04, 2015 11:15 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ทฤษฎี ‘ม้า..กินน้ำ’ กับนโยบายการเงิน! โดย : ศรัณย์ กิจวศิน วันที่ 03 มีนาคม 2558, 03:30 http://bit.ly/1ChzkjG http://www.bangkokbiznews.com/assets/imgs/default_bangkokbiznews.jpg?timestamp=1425483418241 ช่วงนี้กระแสเรียกร้องให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” ปรับ “ลด” ดอกเบี้ยนโยบายลงมีมากเหลือเกิน แต่ละท่านที่ออกมาเรียกร้องล้วนเป็น “ผู้อาวุโส” ในวงการเศรษฐกิจทั้งสิ้น ข้อเรียกร้องที่ให้ “ลดดอกเบี้ย” สรุปได้ 3 ประเด็น คือ 1.เพื่อลดแรงจูงใจของเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อการส่งออกที่หดตัว 2.ลดความเสี่ยงภาวะเงินฝืด หลังจากที่เงินเฟ้อทั่วไปเริ่มติดลบ และ 3.เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา “แบงก์ชาติ” ตอบคำถามที่มีต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้ไว้ค่อนข้างชัด โดยเฉพาะประเด็นที่หนึ่งและที่สอง กล่าวคือข้อเรียกร้องที่ให้ “ลดดอกเบี้ย” เพื่อ “ลดแรงจูงใจ” ของ “เงินทุนเคลื่อนย้าย” ..เรื่องนี้แบงก์ชาติยืนยันมาตลอดว่า “ดอกเบี้ย” เป็นแค่ “ส่วนประกอบรอง” เพราะ “องค์ประกอบหลัก” ที่ดึงดูดเงินทุนเคลื่อนย้าย คือ “พื้นฐานเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะเวลานี้ประเทศไทยมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างมากด้วย ส่วนข้อเรียกร้องการลดดอกเบี้ยเพื่อลดความเสี่ยงภาวะ “เงินฝืด” นั้น ..แบงก์ชาติอธิบายถึงสาเหตุที่เงินเฟ้อทั่วไปติดลบอยู่บ่อยครั้งว่า เป็นผลจากราคาน้ำมันโลกที่ลดลง โดยราคาน้ำมันโลกที่ปรับลงมาเกิดจากการค้นพบเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันแบบใหม่ ทำให้สามารถดึงน้ำมันที่อยู่ภายใต้ชั้นหินดินดานที่เรียกว่า “เชลล์ออยล์” ขึ้นมาได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาในเชิงของ “อุปทาน” ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้ แต่ประเด็นที่น่าติดตาม คือ ข้อเสนอที่ให้ “ลดดอกเบี้ย” เพื่อ “กระตุ้น” การเติบโตของ “เศรษฐกิจ” ที่มากขึ้น ซึ่งข้อเสนอนี้แบงก์ชาติตอบรับ โดยยื่นเงื่อนไขว่า พร้อมจะผ่อนปรนนโยบายการเงินเพิ่มเติม ถ้าเห็นว่าเศรษฐกิจ “อ่อนแรง” กว่าที่ประเมินไว้ ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส” ผู้อำนวยการอาวุโส สายเศรษฐกิจการเงิน ของแบงก์ชาติ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนแรกของปี 2558 ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ แม้ตัวเลขโดยรวมจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มีตัวที่ “เซอร์ไพร์ส” เพราะต่ำกว่าคาดการณ์อยู่บ้าง คือ “การบริโภคภาคเอกชน” ซึ่งเป็นผลจากรายได้เกษตรกรที่ตกต่ำ นอกจากนี้ “การลงทุนภาคเอกชน” ก็ยังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ทั้งการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ และการก่อสร้าง สอดคล้องกับ “การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม” ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง ทำให้ตลาดเงินเริ่มตีความว่า การประชุม “กนง.” ครั้งถัดไปในวันที่ 11 มี.ค.นี้ มีโอกาสที่ กนง. อาจตัดสินใจ “ลด” ดอกเบี้ยนโยบายลงมาได้ ...แต่ในเวลาเดียวกันก็มี “คำถาม” ตามมาเช่นกันว่า “การลดดอกเบี้ย” ในระดับที่ “ต่ำอยู่แล้ว” (ปัจจุบัน 2%) ประสิทธิผลมีมากน้อยแค่ไหน ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เคยบอกว่า ถ้าดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูง แล้วปรับลดลงมา ประสิทธิผลของการปรับลดจะส่งผ่านค่อนข้างง่าย แต่ถ้าดอกเบี้ยอยู่ระดับที่ต่ำอยู่แล้ว และไปปรับลดลงอีก ประสิทธิผลที่ได้อาจไม่เท่ากัน ซึ่งเวลานี้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ 2% ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยังให้ความเห็นว่า ประสิทธิผลของ “นโยบายการเงิน” ในการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” มีน้อยกว่า “นโยบายการคลัง” เพราะนโยบายการเงินทำได้เพียงการ “สร้างบรรยากาศ” ที่เอื้ออำนวยต่อการบริโภคและการลงทุนเท่านั้น ส่วนคนจะบริโภคและลงทุนหรือไม่ นโยบายการเงินบังคับไม่ได้ หากเปรียบกับการ “เลี้ยงม้า” นโยบายการเงินก็เหมือนกับการ “จูงม้า” ไปที่ “บ่อน้ำ” ช่วยสร้างบรรยากาศให้ม้ารู้สึกว่า “อยากกินน้ำ” แต่นโยบายการเงินไม่สามารถไปบังคับให้ม้ากินน้ำได้ การประชุม กนง. วันที่ 11 มี.ค.นี้ คงต้องติดตามดูว่า ด้วย “บรรยากาศ” เศรษฐกิจที่เป็นแบบนี้ กนง. ทั้ง 7 ท่าน มีความเห็นอย่างไร จะสร้างบรรยากาศให้ “ม้า” รู้สึก “อยากกินน้ำ” เพิ่มหรือไม่? ..จับตาดูกันครับ! - See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/633861#sthash.8g10LwrA.dpuf
โดย
pakhakorn
พุธ มี.ค. 04, 2015 10:49 pm
0
0
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
เมื่อคืนประมาณ 2-3 ทุ่ม ไปกินข้าว แถวตลาด เห็นสรรพกรท่านหนึ่ง แต่งกาย ท่าทาง เรียบร้อย ดูสุภาพดี กำลังคุยและขอบัตรปชช.แม่ค้าผลไม้ริมฟุตบาท แจ้งให้เสียภาษีรายได้อยู่ เห็นครั้งแรก ให้ได้อย่างนี้ ซิ น่ารักดี สุภาพดี และขยันขันแข็ง จนมืดค่ำ แต่พอกลับขึ้นรถ มาคิดอีกมุมหนึ่ง เรียงร้อยเรื่องอื่นๆ ตามข่าวสาร ก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่า อาจจะกำลังเร่งตามหาหรือทำเป้า การจัดเก็บภาษีอยู่......
โดย
pakhakorn
พุธ มี.ค. 04, 2015 11:44 am
0
1
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ขอแสดงความเห็นและมุมมองส่วนตัว " หากพิจารณาเฉพาะสภาพคล่องรายวันส่วนที่เกินกว่าการใช้ในระบบมีประมาณ 700,000-900,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นเงินของธนาคารพาณิชย์ที่เหลือจากการปล่อยสินเชื่อหรือทำธุรกิจอื่นๆ ในแต่ละวัน และเมื่อสิ้นวันยังไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ ก็จะนำมาฝากไว้ที่ ธปท. โดยได้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน พอรุ่งเช้า ธปท.ก็โอนเงินส่วนนี้กลับเข้าไปในระบบ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ไปปล่อยสินเชื่อหรือทำธุรกิจใหม่ " " หากมีการปรับลดดอกเบี้ยลง ก็คงช่วยกระตุ้นการกู้ยืมได้ไม่มากนัก" ดอกเบี้ย - โดยตัวมันเองก็เป็นต้นทุนตัวหนึ่งในการลงทุนของแทบทุกๆกิจการ ส่วนดอกเบี้ยลดลงแล้ว จะกระตุ้นการลงทุนเพิ่มหรือกระตุ้นการกู้ยืมได้มากไหม? ผลยังตอบยาก ยังมีทั้งขั้นตอนหรือองค์ประกอบอื่นๆด้วย แต่ตอบได้ทันทีในแทบทุกกิจการที่กู้เงินเพื่อการลงทุนอยู่ก่อนแล้ว ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงน่าจะส่งผลความสามารถในการทำกำไรหรือการแข่งขันที่ดีขึ้น ยกเว้นส่วนขอผู้ฝากเงินเพื่อรอกินดอกเบี้ยจะมีรายได้จากดอกเบี้ยลดลง(แต่กิจการส่วนอื่นๆรายได้อาจไม่ลดลงตามก็ได้) น่าจะคล้ายๆกับที่ธปท.กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ลดลง เงินในกระเป้าประชาชนจะเหลือมากขึ้น อาจจะทำให้มีอำนาจการใช้จ่ายได้มากขึ้น - การลด ดอกเบี้ย อาจจะไม่กระตุ้นการกู้ยืมได้มาก อาจจะจริงเพราะผู้กู้ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้น แต่คนกู้ที่มีคุณสมบัติถึงก็ควรจะได้ดอกเบี้ยต่ำลง(มันน่าจะดีขึ้น นะ?) ส่วนผู้กู้ที่คุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นเพี่อจะได้รับการปล่อยกู้ จะเห็นได้ง่ายๆ ตื้นๆเลย การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แบงค์ไม่ให้กู้ >> เงินทุน, หลักทรัพย์, สหกรณ์, กองทุนต่างๆ>> บัตรเดรดิตต่างๆ , อิออน , sawad ,mtls , gcap, ifs ,lit >> ต่อไปจะมี นาโนไฟแนนซ์ อีก>>>> ฯลฯ จนถึงการออกไปกู้ยืมนอกระบบทั้งที่ดอกเบี้ยมหาโหดก็ตาม - ส่วนการใช้งาน ดอกเบี้ย โดยเล่นท่ายาก ท่าพิสดาล พลิกแพลง จนไปมีผล หรือส่งผลร่วม กับเรื่อง " ค่าเงิน " ที่หลายๆประเทศกำลังคิดค้นหรือกำลังทำกันอยู่นั้น เกินกำลังความรู้ส่วนผมที่ไปเข้าใจ กลไก ขั้นตอน วิธีการหรือเทคนิค แต่ก็อยากเห็นผู้มีหน้าที่และผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ช่วยแสดงฝีมือให้เห็นว่า จะสามารถนำพา " ค่าเงินบาท " ให้การแข็งค่าหรืออ่อนค่า เกาะอยู่แถวกลางๆกลุ่มของกลุ่มคู่ค้าและคู่แข่งด้วย แบบว่า เป็นกวางก็วิ่งแถวกลางๆฝูงเข้าไว้ อย่าออกขอบนอกหรือรั้งท้ายเดี๋ยวจะเป็นเหยื่อตัวแรกๆที่ถูกล่าก่อน - ส่วน ธปท. มักรายงานข่าวว่า ไม่พบความผิดปกติ ของการเข้าออก หรือแลกเปลีี่ยน หรือการถูกการเกร็งกำไรค่าเงินที่ผิดปกติ ส่วนตัวผมก็ติงไว้ว่า อย่านิ่งนอนใจนัก แบบนี้มันเหตุซึ่งหน้าออกรบแล้ว มันน่าจะเกิดเหตุแบบนี้เมื่อสถานะการณ์สุกงอม ซึ่งเมื่อไรผมก็ไม่รู้ แต่การชนะหรือการได้เปรียบการค้าในระดับประเทศ สมัยนี้อาจจะยังใช้กลยุทธโบราณอยู่ก็ได้ ชนะตั้งแต่ยังไม่ออกรบ แค่ตั้งค่ายหรือสร้างเขื่อนที่เหมาะสม ความสามารถในการแข่งขัน การไหลของทรัพยากรต่างๆ ก็เปลี่ยนทิศทางไปทางแนวโน้มของผู้ชนะแล้ว ผู้มีแนวโน้มจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกรบก็คงจะค่อยๆเฉาลงหรือสามารถในการแข่งขันลดลงไปเรื่อยๆเอง - เรื่องสุดท้าย ประเทศไทย จะก็ยังคงอยู่ต่อไปแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตามทั้งในและนอกประเทศ ยืนยันได้ ดูจากวิกฤติปี 40 เหตุการเมืองต่างๆ หรือระดับโลก ดูประเทศผู้แพ้และผู้ชนะสงครามโลก ก็ยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียงผู้คนในแต่ละกลุ่มในยุคนั้นๆมีราคาที่ต้องจ่ายหรือได้รับที่ต่างๆกันไป ทั้งในฝั่งผู้ชนะและผู้แพ้ เท่านั้นเอง ผมยังอยากมีความรู้และมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ถือคติ ด้าน-ได้ อาย-อด จึงขอแลกเปลี่ยนมุมมอง หากเห็นเป็นข้อเขียนแบบว่า สอนจระเข้ว่ายน้ำ หรือ สอนหนังสือสังฆราช ก็ต้อง ขอกราบ ขออภัย ทุกๆท่าน ที่ถูกพลาดพิงถึง และรวมถึงสมาชิกเว็บนี้ด้วย หากจะมีคำติเตียน เห็นข้อผิดพลาด ในความเห็นเหล่านี้ ก็ขอกรุณา ช่วยแนะนำ หรือ ขัดเกลา ด้วย ครับ
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ มี.ค. 01, 2015 12:51 pm
0
2
Re: ดอกเบี้ย ? ?
การใช้ ดอกเบี้ย นั้นมีเหตุ และเป้าหมาย ต่างกันได้ ลองดูบางส่วนในบทความข้างล่าง - กรีซกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดย วีรพงษ์ รามางกูร http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58604 - แข่งกันลดดอกเบี้ยและลดค่าเงิน/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58608 แต่ก่อนจะเขียนหรือแสดงความเห็นอื่นต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นประเด็น มีผู้ถูกพลาดพิงหรือเสียหายได้ จึงขอแจ้ง ขอการยอมรับเรื่องต่อไปนี้ก่อน เพื่อลดการเข้าใจผิด ลดความขัดแย้ง หรือก่อประเด็นเรื่องตัวบุคคล เพื่อมุ่งหาแนวทางเลือกต่างๆที่มี หรือที่เห็นว่ามี 1. การเลือกแนวทางของ ธปท. หรือ กนง. มีอำนาจและมีสิทธิการใช้ มีกฏหมายรับรอง ดังนั้นส่วนตัวผมยอมรับได้ตามที่สิทธิและอำนาจที่ท่านมี จึงไม่ได้ตั้งกระทู้หรือกล่าวหา ท่านผู้เกี่ยวข้องจะทำผิดกฏหมายอะไร ครับ 2. ผมยอมรับฟัง การอ้างเหตุ ต่างๆ ตามข้อข่าว ที่ธปท.หรือผู้มีหน้าเกี่ยวข้อง ออกมาให้ข่าว เช่น หัวข่าวที่ผมนำมาโพสต์ข้างบน หากคิดตามกรอบหรือโจทย์ที่ท่านตั้งหรืออ้างอิง คำตอบ ก็คงจะเป็นไปตามแบบที่ท่านได้เสนอตามข่าวที่ปรากฏ แต่หากกรอบหรือโจทย์ถูกตั้งใหม่เปลี่ยนไปจากของเดิมนั้น คำตอบ ที่ท่านจะตอบอาจจะเปลี่ยนจากเดิมก็ได้ ฉะนั้นตัวผมก็ยอมรับได้ตามข่าวและหลักที่ท่านใช้อ้างอิง 3. ไม่มี ความสงสัย ในความสามารถ ประสพการณ์ เก่ง ฉลาด รอบรู้ ของท่านผู้มีสิทธิและอำนาจในเรื่องนี้ ที่อาจจะเกี่ยวข้องทั้ง ธปท. หรือ กนง. แต่ก็เชื่อว่าถึงมีพร้อมด้วยเหตุเหล่านี้ ถ้าการเลือกแนวทางที่ต่างกัน ผลที่ได้หรือผลกระทบก็อาจจะแสดงต่างกันได้อีก 4. ส่วนตัวผมไม่ได้เรียนจบ เกี่ยวกับ เศรษฐศาสตร์ การเงิน หรือการธนาคาร แต่อย่างไร แต่ด้วยเหตุเหล่านี้ ส่วนตัวผมก็คิดว่า ผมคงจะคล้ายกับประชาชนที่เหลืออีกมากกว่า90% ของประเทศนี้ ที่ก็ไม่ได้เรียนจบเกี่ยวกับด้านนี้มา และจะไม่ยอมรับการหมดสิทธิแสดงความคิดเห็นหรือเพียงนั่งรอรับผลการเลือกแนวทางของท่านทั้งหลายเท่านั้น ยกเว้น จะออกกฏหมายมาห้ามเรื่องนี้. เช่น เรื่องการสร้างบ้าน เจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบเกี่ยวกับด้านนี้มา แต่แจ้งความต้องการของตนกับผู้มีความชำนาญในด้านนี้ไปหาวิธี ออกแบบ ขั้นตอน วิธีการสร้างต่างๆ สุดท้ายต้องขออภัย สมาชิกทุกท่าน และท่านผู้อาสาดูแลเว็บนี้ หากเห็นว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร หรือหลุดกรอบของเว็บนี้ ขอให้ช่วยลบด้วย ครับ
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ มี.ค. 01, 2015 7:53 am
0
1
Re: 4. รายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
ถ้าหมายถึงจำนวน % ที่สูงมาก ที่สงสัย น่าจะหมาย รวมถึงกลุ่มก้อนที่กระทรวงการคลังถือเป็นแกนหลัก เช่น ปตท. วายุภักษ์ ด้วย image.jpg
โดย
pakhakorn
เสาร์ ก.พ. 28, 2015 6:14 am
0
1
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ขอนำข่าวส่วนนี้ มาไว้เสริม ในห้องนี้ เพื่อเทียบเคียงกับ การประมาณการณ์ต่างๆ ที่มีมาก่อน จากตามข่าวด้านบน (ช่องที่ 3 นับจากข้างบนลงมา) ธปท. ได้ประมาณผลการส่งออกในปีนี้ไว้ ธปท.คาดว่าการส่งออกในปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งต่ำกว่าที่ สศช.ประเมินไว้ที่ 3.5% ราคาสินค้าเกษตร-น้ำมันร่วง ฉุดส่งออก ม.ค. หด 3.46% โดย ไทยรัฐออนไลน์ 25 ก.พ. 2558 16:02 http://www.thairath.co.th/content/483483 http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFqOf7Iz0MpPCleh5ZNzfSfm2rzhR7SqO4tpkas.jpg พณ.เผยส่งออกเดือน ม.ค. หดลง 3.46% เช่นเดียวกับนำเข้าลดลง 13.33% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 457 ล้านเหรียญสหรัฐ จากราคาน้ำมันโลกร่วง ค่าเงินประเทศคู่แข่ง... เมื่อวันที่ 25 ก.พ. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยการส่งออกเดือน ม.ค.58 ว่า หดตัวลดลง 3.46% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่า 17,249 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้าหดตัวลดลง 13.33% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีมูลค่า 17,705 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 457 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกหดตัวสูง กดดันให้ราคาส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหดตัวและราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ กระทบมูลค่าส่งออก โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดือน ม.ค.58 อยู่ที่ 47.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ลดลงถึง 53.6% (YoY) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ซึ่งนับเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี(ก.พ.52) เนื่องจากผลผลิตน้ำมันดิบมีมากเกินความต้องการในตลาดโลก ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเดือน ม.ค.58 ปรับตัวลดลง 14.2% กระทบต่อมูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลง 28.1% ขณะที่ปริมาณส่งออกยังคงเพิ่มขึ้น 21.8% เช่นเดียวกับสินค้าเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันดิบ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากอุตสาหกรรม การกลั่นปิโตรเลียมค่อนข้างสูง โดยดัชนีราคาส่งออกเดือน ม.ค.58 เคมีภัณฑ์ลดลง 9.1% และเม็ดพลาสติกลดลง 5.0% ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกหดตัว 21.9% และ 14.6% ตามลำดับ ส่วนราคาส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารายังคงทรงตัว จากแรงกดดันของราคายางสังเคราะห์ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียมมีต้นทุนต่ำลง นอกจากนี้ยังส่งผลถึงความต้องการใช้พลังงานทดแทนอย่างไบโอดีเซลลดลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลลดลงตามไปด้วย ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสำคัญบางตลาดกลับมาหดตัวในเดือน ม.ค.58 ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศ CLMV ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดหลักที่กลับมาหดตัว ได้แก่ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป(15) กลับมาหดตัว 7.5% และ 5.0% ตามลำดับ จากการที่เศรษฐกิจทั้งสองฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ประกอบกับการดำเนิน นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) ส่งผลให้ค่าเงินเยน และค่าเงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดคำสั่งซื้อชะลอตัว ขณะที่การส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา มีสัญญาณการฟื้นตัวดีต่อเนื่องขยายตัวที่ 6.0% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตามทิศทางการจ้างงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้การบริโภคสินค้าคงทน และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ คือ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร และค่าเงินของทั้งประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง แม้การส่งออกในเดือนแรกของปีนี้จะติดลบ 3.46% ก็จะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 4% เพราะสถานการณ์เพิ่งจะผ่านไปเพียงเดือนเดียว แต่จะต้องติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งราคาน้ำมันและค่าเงินอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ในวันที่ 16 มี.ค. จะมีการประชุมทูตพาณิชย์ ซึ่งจะมีการทบทวนสถานการณ์การส่งออกสินค้าในรายตลาด และจะมีการปรับแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น.
โดย
pakhakorn
พุธ ก.พ. 25, 2015 6:20 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ส.นักวิเคราะห์ แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย เหตุระดับปัจจุบันไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -25 ก.พ. 58 17:21 น. นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพราะระดับปัจจุบันถือว่าไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ โดยดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ระดับ 2.4% สูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งไม่เหมาะกับเศรษฐกิจไทยขณะนี้ที่ต้องใช้ดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดหนี้ครัวเรือนมากกว่าจีดีพีของประเทศ 84.7% หนี้ภาครัฐมากกว่าจีดีพี 73.0% และหนี้ภาคเอกชนก็สูงกว่าจีดีพี 46.2% ด้านเงินบาทก็จะยังไม่ใช่การแข็งค่าที่ยั่งยืนเพราะไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจที่แข็งแรงขึ้น "หากต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอีก เพราะตอนนี้ไม่สะท้อนกับเศรษฐกิจ ซึ่งพอดอกเบี้ยยังสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นแต่หนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป้นว่าความสามารถในการชำระหนี้จะลดลงในทุกๆ วัน" นายไพบูลย์ กล่าว รายงาน โดย ศราพงค์ นันติวงค์ เรียบเรียง โดย ดาริน ปริญญากุล อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
โดย
pakhakorn
พุธ ก.พ. 25, 2015 5:49 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ธปท. ย้ำ ดบ.นโยบายของไทยยังค่อนข้างต่ำ เชื่อลดดบ. ไม่กระตุ้นการกู้ยืมมาก สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -24 ก.พ. 58 12:20 น. นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน รองผู้ว่าการ ด้านบริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในขณะนี้ ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ขณะที่สภาพคล่องยังมีเพียงพอที่จะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจ " หากมีการปรับลดดอกเบี้ยลง ก็คงช่วยกระตุ้นการกู้ยืมได้ไม่มากนัก" นายไพบูลย์ กล่าว ทั้งนี้ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือน ม.ค. มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% เป็นครั้งที่ 7 ติดต่อกัน แต่การประชุมที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ มีการคาดการณ์ว่า กนง. น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน อีเมล์.
[email protected]
โดย
pakhakorn
อังคาร ก.พ. 24, 2015 12:54 pm
0
1
Re: แข่งกันลดดอกเบี้ยและลดค่าเงิน/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
" แต่ในความเป็นจริงนั้นในปี 2014 เงินบาทแข็งค่าประมาณ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย " ผ่านมา ปี 2015 จนถึงเวลานี้ น่าจะไปไกลกว่านี้มากๆ แล้ว ขอบคุณมาก ครับ ท่าน ดร.
โดย
pakhakorn
จันทร์ ก.พ. 23, 2015 10:11 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424394210 ผู้ว่าฯธปท.โต้แนวคิดบีบให้ลดดอกเบี้ย บอกเงินล้นวันละ 9 แสนล้าน รอเอกชนกู้ไปลงทุน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 08:00:12 น. http://www.matichon.co.th/online/2015/02/14243942101424394220l.jpg นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสภาพคล่องในระบบการเงินของไทยขณะนี้ว่ามีเพียงพอสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้นได้ หากพิจารณาเฉพาะสภาพคล่องรายวันส่วนที่เกินกว่าการใช้ในระบบมีประมาณ 700,000-900,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นเงินของธนาคารพาณิชย์ที่เหลือจากการปล่อยสินเชื่อหรือทำธุรกิจอื่นๆ ในแต่ละวัน และเมื่อสิ้นวันยังไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ ก็จะนำมาฝากไว้ที่ ธปท. โดยได้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน พอรุ่งเช้า ธปท.ก็โอนเงินส่วนนี้กลับเข้าไปในระบบ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ไปปล่อยสินเชื่อหรือทำธุรกิจใหม่ แต่ความต้องการสินเชื่อในขณะนี้ยังไม่มาก ทำให้ทุกสิ้นวันมีเงินกลับมาฝากที่ ธปท. 700,000-900,000 ล้านบาททุกวัน ทั้งนี้ เงินที่ ธปท.ดูดกลับอยู่นี้ไม่ได้มีแค่เงินอายุ 1 วันอย่างเดียว แต่มีเงินฝาก 7 วัน 14 วัน และ 1 เดือนอีก แสดงให้เห็นว่าในภาพใหญ่ของประเทศยังมีเงินที่จะใช้ในการลงทุน หรือหมุนเวียนไปยังภาคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเงินส่วนนี้หากประเทศมีการลงทุนขนาดใหญ่ หรือภาคธุรกิจมีความมั่นใจที่จะขยายธุรกิจ หรือลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติมสามารถมากู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ไปลงทุนได้ นอกจากนั้น อัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ก็อยู่ในระดับต่ำ ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว 10 ปีอยู่ที่ 2.6% เท่านั้น ซึ่งเอื้อต่อการลงทุนของรัฐบาลและภาคธุรกิจค่อนข้างมาก
โดย
pakhakorn
ศุกร์ ก.พ. 20, 2015 8:10 am
0
3
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
ขอคืนภาษี.PNG ปีนี้ช้ากว่าปีก่อนๆ มาก ยังติดอยู่ในขั้นตอนนี้ต่อไป
โดย
pakhakorn
พฤหัสฯ. ก.พ. 19, 2015 1:39 pm
0
0
Re: ดอกเบี้ย ? ?
http://www.thairath.co.th/content/481860 ธปท.ยันยังไม่ใช้นโยบายการเงิน สกัดเงินเฟ้อติดลบ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 ก.พ. 2558 20:05 ธปท.ยันยังไม่ใช้นโยบายการเงิน สกัดเงินเฟ้อติดลบ ประเมินจีดีพีใกล้เคียงสภาพัฒน์ที่ 0.8% แต่มองบริโภคเอกชนชะลอตัวมากกว่าคาดการณ์ เชื่อต้องใช้เวลาอีกระยะจับจ่ายจะเพิ่มขึ้น ไม่กังวลเงินทุนไหลออก ชี้ค่าบาทยังมีเสถียรภาพ... เมื่อวันที่ 17 ก.พ. นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ขณะนี้จะยังไม่ใช้นโยบายการเงินเพื่อสกัดปัญหาอัตราเงินเฟ้อติดลบ ที่เป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังจากที่ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของไทยในเดือน ม.ค.58 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.4% ดังนั้น ในส่วนของนโยบายการเงินคงไม่ต้องดำเนินการอะไรเป็นพิเศษ โดยธปท.ยังเชื่อว่าทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะยังขยายตัวเป็นบวก ขณะที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ในปี 57 ว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.7% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่ ธปท.ประเมินไว้ที่ 0.8% แต่ทั้งนี้มองว่าการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งมีสาเหตุจากรายได้ภาคการเกษตรตกต่ำติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และ คาดว่ารายได้ภาคเกษตรในปีนี้จะยังชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อการบริโภค เพราะรายได้ภาคเกษตรคิดเป็น 11% ของรายได้รวมของประเทศ อันจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ส่วนความเชื่อมั่นในการบริโภคช่วงไตรมาส 4/57 ลดลงจากไตรมาส 3/57 ซึ่งจากที่ ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์ก็พบว่าความเชื่อมั่นในการบริโภคเดือน ม.ค.57 ยังคงทรงตัว รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 84.7% ของ GDP อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ดีจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีเงินเหลือสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในด้านอื่นๆ แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะจึงจะเห็นว่ามีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนใด ซึ่งการบริโภคที่ฟื้นตัวนั้นจะต้องดูจากสินค้าคงทน เพราะหากเริ่มมีการซื้อสินค้าคงทนก็เท่ากับเห็นสัญญาณการบริโภคที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่การส่งออกในปี 58 นั้น ธปท.ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงในเรื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดต่ำลง โดยสินค้าโภคภัณฑ์มีสัดส่วน 18% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม ทำให้ ธปท.คาดว่าการส่งออกในปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งต่ำกว่าที่ สศช.ประเมินไว้ที่ 3.5% พร้อมย้ำ ธปท.ไม่ได้กังวลต่อสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงนี้ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 58 ที่ผ่านมา ยังไม่พบความผิดปกติของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยรวมแล้วเงินลงทุนในหลักทรัพย์ไหลออกสุทธิตามการไหลออกของเงินทุนจากตลาดพันธบัตร (ม.ค.-5 ก.พ.58 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 418 ล้านดอลลาร์) แม้จะมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิในตลาดหุ้นไทย (ม.ค.-13 ก.พ.58 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 108 ล้านดอลลาร์) “เดือน ม.ค.58 เงินทุน ไหลออกจากทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรรวมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นการไหลออกจากตลาดพันธบัตร ขณะเดือน ก.พ.58 เงินทุนในหลักทรัพย์ไหลเข้าสุทธิตามการไหลเข้าของเงินทุนในตลาดหุ้นไทยกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินทุนยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีมีเงินทุนไหลออก 310 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินทุนที่ไหลออกนั้นเป็นการปรับตัวตามตลาดสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ธปท.จะติดตามสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด และเข้าใจดีว่าที่หลายฝ่ายแสดงความกังวลเพราะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจมหภาค” ส่วนการติดตามผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น พบว่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ แม้จะมีการไหลออกในหลักทรัพย์ แต่ในส่วนของการลงทุนโดยตรง (FDI) ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดย ณ สิ้น ธ.ค.57 มูลค่า FDI อยู่ที่ 560 ล้านดอลลาร์ สำหรับประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น จากหารือกับผู้ประกอบการในขณะนี้ยังไม่ได้เป็นประเด็นที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ซึ่งการจะกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ธปท.มองว่าต้องผสมผสานร่วมกันระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง และมองว่าการใช้นโยบายการคลังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่าการใช้นโยบายการเงิน เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น.
โดย
pakhakorn
พุธ ก.พ. 18, 2015 4:31 am
0
3
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการ - ผู้บริหาร TUCC กับพวก รวม 9 ราย กรณีจัดทำเอกสารและบัญชีเท็จ ทุจริตและเบียดบังทรัพย์สินของบริษัท สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -16 ก.พ. 58 13:51 น. รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหารบริษัทไทยยูนีค คอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (“TUCC”) กับพวก รวม 9 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีร่วมกัน หรือเป็นผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดของกรรมการและผู้บริหารของ TUCC ในการบันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า ไม่ตรงต่อความเป็นจริง และกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังทรัพย์สินของบริษัทเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่น และแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทในช่วงปี 2553 - 2554 บุคคลที่ถูกกล่าวโทษในครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) นายยงยุทธ งามไกวัล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (2) นางวัชรีย์ งามไกวัล กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (3) นางสุจิตต์ รุ่งเจริญชัย อดีตกรรมการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (4) นางสาวนิตยา ยงค์พิทักษ์วัฒนา กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป (5) นางสาวสุทธิรัตน์ เสวี กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี (6) บริษัท บี เอฟ อินเตอร์เทรด จำกัด (“บี เอฟ”) (7) บริษัท เค.เอส.ซี. สแตนเลส โปรดักส์ จำกัด (“เค.เอส.ซี.”) (8) นางสาวเจริญรัตน์ ชื่นวิรัชสกุล กรรมการของ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. และ (9) บริษัท ไทยนิชเช่ จำกัด (“ไทยนิชเช่”) คดีนี้สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชี 2 ราย มีข้อสังเกตในงบการเงินงวดไตรมาส 2 ปี 2554 และงวดปี 2554 และได้แจ้งข้อมูลอันควรสงสัยดังกล่าวต่อคณะกรรมการตรวจสอบของ TUCC ตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบทั้ง 2 ครั้ง ว่าไม่พบความผิด โดยพบว่าบริษัทมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายใน แต่ไม่พบประเด็นทุจริต อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมและพบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่านายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานและได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของบริษัท ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังเพื่อดูแลรักษาประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นโดยรวม จากข้อมูลที่ตรวจพบ บุคคลดังกล่าวร่วมกันดำเนินการให้บริษัท 2 แห่ง คือ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ซึ่งเกี่ยวข้องกัน และมีนางสาวเจริญรัตน์ เป็นกรรมการบริษัท ออกเช็คล่วงหน้าให้ TUCC และไทยนิชเช่ (บริษัทย่อยของ TUCC) โดยลวงว่า TUCC และไทยนิชเช่ ได้ขายสินค้าเหล็กดำให้กับบริษัททั้งสองแห่งดังกล่าว แล้วดำเนินการให้ TUCC และไทยนิชเช่นำเช็คดังกล่าวไปขายลดกับสถาบันการเงิน อ้างว่าเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในกิจการ และเมื่อเช็คที่นำไปขายลดนั้นจะครบกำหนดเรียกเก็บเงิน จึงได้สร้างรายการทางบัญชีที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงว่าสั่งซื้อเหล็กดำจากบริษัทผู้ค้าเหล็กดำ 8 ราย รวมมูลค่ากว่า 520 ล้านบาท เพื่อให้มีการสั่งจ่ายเงินจากบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าจะนำไปชำระหนี้ตามเช็คของบี เอฟ และ เค.เอส.ซี. ที่นำไปขายลดไว้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่าเงินที่ได้เบิกจากธนาคารไปแล้ว บางส่วนได้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหาร การกระทำของนายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ ที่ร่วมกันดำเนินการให้ TUCC บันทึกบัญชีเท็จเกี่ยวกับการซื้อเหล็กดำจากบริษัท 8 แห่ง และการขายเหล็กดำให้กับไทยนิชเช่ บี เอฟ และ เค.เอส.ซี. เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดย บี เอฟ เค.เอส.ซี. นางสาวเจริญรัตน์ และไทยนิชเช่ ให้การช่วยเหลือสนับสนุน นอกจากนี้ การกระทำของกรรมการและผู้บริหาร TUCC ทั้ง 5 รายข้างต้น ยังเข้าข่ายเป็นการทุจริตยักยอกเงินของ TUCC ไปเพื่อตนเองและผู้อื่น ฝ่าฝืนมาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 และมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ด้วย การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้นายยงยุทธ นางวัชรีย์ นางสุจิตต์ นางสาวนิตยา และนางสาวสุทธิรัตน์ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี และต้องพ้นจากตำแหน่งโดยผลของมาตรา 89/4 และมาตรา 89/6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ นับแต่วันที่ถูกกล่าวโทษ โดยในคดีอาญา นายยงยุทธกับพวกมีสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมในการชี้แจงและแสดงหลักฐานต่อพนักงานผู้มีอำนาจในลำดับต่อไป อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลยุติธรรม สำหรับกรรมการตรวจสอบ 3 ราย ที่ได้รับแจ้งจากผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับเหตุสงสัยในเรื่องน่าเชื่อถือของงบการเงินของ TUCC จำนวน 2 ฉบับ และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อ ก.ล.ต. ดังกล่าวข้างต้น ต่อมากรรมการตรวจสอบชี้แจงต่อ ก.ล.ต. ว่า รายงานดังกล่าวสรุปผลจากการสอบถามข้อมูลจากฝ่ายบัญชีของบริษัทที่ปฏิบัติงานในเรื่องอันเป็นเหตุสงสัยนั้นเอง โดยไม่ได้สอบทานเอกสารหลักฐาน หรือเข้าตรวจสอบด้วยวิธีการอื่นใดเพิ่มเติม ทั้งที่คณะกรรมการตรวจสอบมีบทบาทสำคัญประการหนึ่ง ในการสอบทานรายการทางการเงิน ระบบการควบคุมภายใน และการทำรายการที่ผิดปกติของบริษัท หากพบกรณีในลักษณะดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบควรเร่งหารือกับผู้สอบบัญชี ก่อนที่จะดำเนินการสอบทานในเชิงลึกต่อไป อย่างไรก็ดี เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าคณะกรรมการตรวจสอบละเลยการทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้บริหารของ TUCC ในการกระทำผิด ก.ล.ต. จึงมีหนังสือกำชับกรรมการตรวจสอบทุกราย ให้ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ กรรมการตรวจสอบทั้ง 3 รายได้ลาออกจากการเป็นกรรมการของ TUCC ไปก่อนหน้านี้แล้ว เรียบเรียง โดย สุรเมธี มณีสุโข อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
โดย
pakhakorn
อังคาร ก.พ. 17, 2015 7:58 am
0
1
Re: ดอกเบี้ย ? ?
ส.อ.ท. แนะ กนง.ลดดอกเบี้ย อีก 0.25-0.50% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -16 ก.พ. 58 13:28 น. นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกีรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ส.อ.ท.มองว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2% ยังเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน และส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆในภูมิภาค ดังนั้นคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.น่าจะมีการประชุมพิเศษ และลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25-0.5% เพื่อให้ไทยสามารถกลับมาแข่งขันได้ "จริงๆคือเราก็อยากให้ดำเนินการเร็ว เรื่องแบบนี้มันรอเวลาไม่ได้ รอประชุม 3 เดือนครั้ง มันจะเสียหายคงไม่ทัน หากลดอัตราดอกเบี้ยลงมาจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าและส่งผลดีขึ้น"นายสุพันธ์ กล่าว รายงาน โดย ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม อีเมล์.
[email protected]
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
โดย
pakhakorn
จันทร์ ก.พ. 16, 2015 2:08 pm
0
3
Re: ถ้าคาดว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
USD : ไทย(บาท) - NEW ZEALAND DOLLAR - AUSTRALIAN DOLLAR - JAPANESE YEN THB-NZD-AUD-JPY_05-12-2557.PNG USD : ไทย(บาท) - SINGAPORE DOLLAR - SOUTH KOREAN WON - TAIWAN DOLLAR THB-SGD-KWR-TWD_5-12-2557.PNG
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ธ.ค. 07, 2014 12:59 pm
0
0
Re: ถ้าคาดว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ผ่านมาอีก 2-3 เดือน ขอเก็บข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยน การอ่อนเงินบาท ไว้ดูเพิ่มอีกเล็กน้อย หลังจาก เงินเยน เงินริงกิต เงินดอลล่าร์ไต้หวัน และสิงคโปร์ อ่อนค่ามากขึ้นทำสถิติใหม่ในรอบ 1 ปีอย่างต่อเนื่อง แต่เงินบาท ถึงจะอ่อนค่าอย่างไร ก็ยัง ไม่สามารถทำสถิติใหม่ในรอบ1ปีได้เลย หรืออีกด้านหนึ่ง เงินบาทแข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับ เงินเยน เงินริงกิต เงินดอลล่าร์ไต้หวัน และสิงคโปร์ อย่างต่อเนื่องนั่นเอง image.jpg image.jpg image.jpg
โดย
pakhakorn
ศุกร์ ธ.ค. 05, 2014 8:56 pm
0
4
Re: คูปองทีวี ดิจิตอล
ที่น่าจะพบบ่อยๆ ติดตั้งด้วยตนเองแล้ว ได้รับภาพและช่อง ไม่ครบ ขาดช่องที่อยากดู หรือใช้เสากางปลาเดิมที่มีอยู่ รับได้บางช่อง ไม่ครบทุกช่อง ซึ่งอาจมาจาก กล่อง, เสา หรือ ระยะห่างจากเสาส่ง ที่มีวางขายหลายยี่ห้อมากๆ จนตาลายไปหมด เมื่อจัดซื้อหรือแลกมาแล้ว ได้ชุดที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่จะใช้งาน อาจต้องไปจัดซื้อเพิ่มใหม่อีก เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งที่จะใช้งาน หรืออาจต้องหาช่างมาช่วยติดตั้ง เมื่ออยู่ห่างจากเสาส่งที่มากขึ้น ไม่รู้จะช่วยให้ขายดีมากขึ้น หรือก่อให้เกิดความหงุดหงิดมากขึ้น และเมื่อใช้คูปองแลกซื้อแล้ว จะไปเปลี่ยนรุ่นต่างจากรุ่นเดิมที่แลกซื้อมาไม่ได้อีก
โดย
pakhakorn
เสาร์ พ.ย. 08, 2014 7:27 pm
0
1
Re: สถานการณ์รถยนต์
โดนดึง demand ในอนาคตไปเยอะ จนถึงปัจจุบันแม้แต่ขาใหญ่อย่าง Toyota ก็ยังต้องออก Campaign ดอกเบี้ย 0% 4 ปี ขาใหญ่รายนี้ ฟังข่าวว่า กำลังลดพนักงานที่โรงงานอยู่ ครับ ไม่แน่ใจ ครั้งที่เท่าไรแล้ว ในปีนี้
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ต.ค. 19, 2014 11:08 pm
0
0
Re: โอนออก
เห็นด้วย ครับ พี่ปรัชญา ในรายงาน 59-2 ให้ข้อมูล การโอนออก น้อยมาก การติดตามหาข้อมูลของนักลงทุนทั่วไป จึงยากมาก พอจะมีข้อมูลเพิ่มบ้างในเฉพาะบางรายการเท่านั้น ที่รายการนั้นเข้าหลักเกณฑ์ต้องรายงาน 246-2 ร่วมด้วย (ซึ่งมักจะพบในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากในสัดส่วน%การถือหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในหุ้นนั้น) เช่น ที่เพิ่งเห็นผ่านตามา หุ้น HYDRO มีรายการ(17-9-2557)ที่ต้องส่งรายงานทั้ง 59-2(โอนออก) และ 246-2(ซื้อขายกันโดยตรง) hydro_1.PNG hydro_2.PNG hydro_3.PNG ถ้าเรื่องการ โอนออก มีรายงานที่แสดงข้อมูลต่อสาธารณะชน ที่มากขึ้น เช่น ผู้รับโอน น่าจะดี ครับ
โดย
pakhakorn
อาทิตย์ ก.ย. 28, 2014 12:06 pm
0
3
456 โพสต์
of 10
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
pakhakorn
ระดับ:
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
ร่มบารมีหลวงพ่อโสธร
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ส.ค. 15, 2010 11:26 am
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
957 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.05% จากโพสทั้งหมด / 0.18 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว