ออกมาแล้วครับ ระงับการประมูล 3 G ผมมองว่าการประมูลครั้งนี้เป็น Conspiracy Theory นะ 3G ไม่เหมือนกับ 2G ในแง่ที่ว่ามันคือ Wireless Internet (2G คนใช้น้อยเพราะช้ากว่า 3G) ดังนั้นรัฐบาลมองในเรื่องความมั่นคงไว้ส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าอย่างน้อยให้ CAT และ TOT เข้ามากำกับดูแล น่าจะดีกว่าการขายคลื่นความถี่ อาจจะได้เงินเข้าคลังมาก แต่เสี่ยงกับความมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะบางบริษัทที่เป็นนอมินี ของต่างชาติ มีทั้งมือถือ มีทั้งดาวเทียม ถ้าได้ wireless internet ไปอีกก็คงมีปัญหาในระยะยาว ตอนนี้ CAT ก็สามารถใช้ 850 Mhz ต่อยอดไปเป็น 3G ให้ TrueMove และ DTAC ได้ซึ่งตัวเครื่องในท้องตลาดโดยทั่วไปก็รองรับอยู่นะ คราวนี้รัฐบาลอาจดึงเรื่องยาวกว่า กทสช จะเกิด โดย ottothan อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 7:51 am

หาข้อมูลได้ที่ไหน ขอบคุณครับ โดย ottothan พุธ ก.ย. 15, 2010 10:12 am

7-11 ใหญ่จนใครๆก็กลัว cpall อาจจะโตมาได้เพราะใช้แนวคิดการเล่นโกะ แต่ว่าแนวคิดนี้มันมีจุดอ่อนตรงที่หมากทุกตัวเหมือนกัน แต่ในโลกความจริงแล้วหมากแต่ละตัวมีพลังไม่เท่ากัน และคู่แข่งมันมีหลายคน ซับพลายเออร์แต่ละเจ้าก็มีดีของตัวเอง ผมคิดว่าธุรกิจค้าปลีกนี้ยังดึงดูดให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงกว่านี้ แต่ยังไง cpall ยังอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ ึ7-11 ใช้การวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่นั้นๆ เป็นตัวกำหนดจำนวนสาขาของร้าน ประกบหน้าหลังคู่แข่ง ลูกค้าก็ไหลเข้า 7-11 มากขึ้น อย่าลืมนะครับ จุดขายของร้านสะดวกซื้อ คือ ความสะดวก เดินมาซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง สินค้าอาจไม่หลากหลาย แต่เป็นของกินใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเป็น counter ชำระเงินก็ได้ ที่สำคัญความรวดเร็วในการคิดเงิน ถ้ารอคิวนานๆ เหมือนไปเหมาจากห้าง อันนี้คงไม่เรียกสะดวกซื้อแล้วครับ ดังนั้นสาขาอยู่ติดๆกัน ช่วยกระจายลูกค้า ทำให้ 7-11 ได้ส่วนแบ่งจากจำนวนลูกค้าในพื้นที่นั้นจากคู่แข่ง ก็ mass product เข้าร้านไหนก็ได้เหมือนกัน ก้ไม่จำเป็นต้องเข้าร้านอื่น ไหลมาทาง 7-11 ก็ได้ เหมือนหมากล้อมนั่นแหละครับ โดย ottothan จันทร์ ก.ย. 13, 2010 10:04 pm

7-11 ใหญ่จนใครๆก็กลัว แถวบ้าน เดิมมี 7-11 อยู่ใกล้ๆ Tesco Lotus ห่างกัน 50 เมตร 7-11 อยู่ซ้ายมือของ Lotus เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว 7-11 เปิดใหม่อีกร้าน อยู่ฝั่งขวาของ Lotus ห่างกัน 50 เมตร เห็นยังงี้ หนาวแทน Lotus เลย โดนประกบทั้งซ้ายขวา แล้วยังงี้ เจ้าอื่นจะไหวมั้ยเนี่ย นี่แหละ กลยุทธ์หมากล้อม โดย ottothan จันทร์ ก.ย. 13, 2010 9:50 pm

7-11 ใหญ่จนใครๆก็กลัว ถ้าดูแนวการบริหารของซีพีจะเป็นประมาณว่า อย่าไปทำร้ายคู่แข่งให้ไม่มีที่ยืน แต่ต้องเลี้ยงไว้ไม่ให้โต เหมือนกับปรัชญาการเล่นโก๊ะ ไม่ได้ชนะเพราะเบี้ยเต็มกระดาน โดย ottothan เสาร์ ก.ย. 11, 2010 1:23 pm

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!! โดยปกติ คนขายประกันจะเอาตัวเลข % เงินคืน เทียบกับทุนประกัน ในแง่การลงทุนมันเอามาคิดไม่ได้ เช่นแบบคืนทุก 3 ปีแรก 5% แล้วขึ้นเป็น 7% เป็น 10% เขาก็เอาเงินเรามาทยอยคืนให้ทั้งนั้นแหละครับ อัตราส่วนเบี้ยต่อทุนมันสูง ทีนี้ IRR มันต่ำ เพราะ return มันกว่าจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็รอกันจนปิดเล่ม 10 ปี 20 ปี ทุกแบบ CASH VALUE หรือ CASH FLOW ปีแรกๆหายหมด พอระยะเวลามันทอดยาว FV มันโตช้า พอทอนกลับไปเป็น PV ค่ามันก็เหลือนิดเดียว IRR มันถึงต่ำ ถ้าไม่มีเรื่องภาษีเข้ามาช่วย ดันยังไงก็ไม่ถึง 10% ดังนั้น ประกันไม่ใช่สินค้าเพื่อการลงทุน ถ้าจะลงทุนต้องทำให้เกิด CF กลับมาเร็วที่สุด พอบวกกับการลดหย่อนภาษี ทำให้ % return ขึ้นมาสูง IRR ก็สูงตาม ไม่ใช่ทุกแบบที่ทำได้ ดังนั้นผมจึงเน้นไปในแบบที่ผมถนัด ศึกษามาเป็นอย่างดี ทำได้ถึงทำครับ ฟังแล้วอาจจะงงๆ ขอคุยหลังไมค์ดีกว่าครับ แล้วเดี๋ยวผมส่ง calculation sheet ไปให้ดู เป็น result นะครับ ถ้าจะถามที่มาที่ไปว่าเรื่องแบบต้อง present กันอีกยาว (ที่ลงไม่ได้ เพราะเคยโดนรุ่นพี่ตำหนิว่าเวลาขายประกัน อย่าไปคุยเรื่อง IRR เพราะมันไม่เกี่ยวกันอย่าไปพูด เพราะมันไม่ใช่ประโยชน์หลักของสินค้า ขายประกัน ให้เน้นเรื่องเงินออม เรื่องสวัสดิการ เดี๋ยวโดนเล่นงานเอา) โดย ottothan อังคาร ก.ย. 07, 2010 12:21 am

ทำอย่างไรให้ IRR ของประกันชีวิตสูงขึ้นเกิน 20% ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่ได้คิดมาหากินกับเพื่อนๆในบอร์ดนี้ เอาว่าที่เข้ามาเขียน เพราะต้องการแชร์ประสบการณ์กันมากกว่า อย่างที่รู้ๆ ถ้ามองในมุม investment การประกันชีวิตเป็นการลงทุนที่ IRR ต่ำมาก ยกเว้นซื้อวันนี้ ตายพรุ่งนี้ จุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์คือการคุ้มครองความเสี่ยงมากกว่า (Human asset protection) ส่วนเรื่องเงินออมตอนเกษียณ ผมว่าทุกคนคงมีแนวทางของตัวเอง ประกันอาจเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในการจัดสัดส่วนการออม ผลตอบแทนที่แน่นอนในอนาคต จึงเป็นการวางแผนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ได้ การลดหย่อนภาษีจึงเป็นนโยบายที่นำมาใช้ให้เกิดการออมระยะยาวมากขึ้น โดยเฉพาะผู้มีฐานภาษีสูงๆ ปกติถ้ารวมผลตอบแทนในเรื่องภาษี ที่ผมเคยทำ IRR ไว้ก็มีของ gain first ให้ประมาณ 7% (ฐานภาษี 37%) น่าจะดีที่สุดในตลาด เพราะ return ใช้ได้ ระยะโครงการสั้น แต่ IRR จะต่ำกว่านี้เหลือ 3-5% ถ้าฐานภาษีลดลงเหลือ 20-30%  ลองคิดดูว่าถ้าอัตราผลตอบแทนพอๆกับเงินเฟ้อ เพื่อนๆคงพูดว่า ไม่น่าจูงใจเท่าไหร่ (ไม่เอาเรื่องความคุ้มครองมาคิดนะ) ก็เลยเป็นโจทย์ให้ผมทำการบ้าน หาจุดแตกต่างที่สามารถทำประกัน ลดหย่อนภาษีให้ได้ IRR ที่สูงขึ้น เพราะการไปนำเสนอเพื่อนผมทำได้ยาก เพราะไอ้หมอนี่เรียนการเงินมา ยังไงก็ไม่ซื้อ เพราะคำนวณ IRR ของทุกแบบประกันออกมาไม่น่าจูงใจ อีกทั้งบริษัทที่ทำงานอยู่ก็ให้ความคุ้มครองเต็มที่ ลูกเมียไม่มี พ่อแม่เสียไปหมดแล้ว เงินออมมีเป็นล้าน ลงทุนในหุ้น LTF ได้กำไรดีกว่าเห็นๆ ในที่สุดก็ได้วิธีทำให้ IRR ได้ 21.37% (ต่อปี) ภายใต้เงื่อนไขการลดหย่อนที่ฐานภาษี 37% + ผลตอบแทนในระยะ 9 ปี ซื่งผมคิดว่าสูงมาก และไม่มีความเสี่ยง เพื่อนเอามาคิดตามไอเดียของผม ก็ OK ทำประกันกับผม ถึงแม้จะไม่ได้มากนัก เพราะมีซื้อไว้กับคนอื่นบ้างแล้ว แต่ก็ดีใจที่ได้หาโอกาส และสร้างแนวทางที่แตกต่างให้กับตัวเอง ถามว่า ถ้าฐานภาษีต่ำกว่านี้จะได้ IRR เท่าไหร่ เคยคำนวณไว้อยู่ที่ 14.84% สำหรับฐานภาษี 30% และประมาณ 6% สำหรับฐานภาษี 20% ถ้าใครสนใจ อยากรู้ว่าทำอย่างไร คุยกันหลังไมค์นะครับ แนะนำให้ได้และรับรองว่าถูกต้องตามระเบียบกรมสรรพากร เพราะผมเอาไปลดหย่อนมาแล้ว โดย ottothan อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 10:32 pm