หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
mheesom
Joined: อังคาร ก.ค. 29, 2003 11:20 pm
171
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - mheesom
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: แจ้งข่าว มารดา ของ ดร.นิเวศน์ เสียชีวิต ครับ
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ..
โดย
mheesom
จันทร์ มี.ค. 26, 2012 11:20 am
0
0
Re: กระแสเงินสดเทียบกับ market cap
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับ margin of safety หรือไม่ แต่ก็ขอแชร์นะครับ ผิดถูกอย่างไร ชี้แนะด้วยนะครับ.. ผมเหมือนเคยอ่านมาว่า ท่านเบนจามิน เกรแฮม ชอบที่จะซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลด หรือพวกหุ้น "แบกะดิน" โดยดูจากกระแสเงินสดสุทธิ ของแต่ละบริษัทเทียบกับ Market cap. หรือมูลค่าซื้อทั้งบริษัท โดยจะนำเอาสินทรัพย์หมุนเวียนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายมาหักลบกับหนี้สินทั้งหมดของบริษัท ถ้ามีมูลค่าสูงถึง 2 ใน 3 ของ market cap. หุ้นตัวนั้นก็จะน่าสนใจทันที เพราะมันหมายความว่าเงินสดท่วมบริษัทเลยทีเดียว.. ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ กระแสเงินสดสุทธิคืออะไร ถ้าเราสังเกตดูในสินทรัพย์หมุนเวียน เราจะพบว่ามีบางรายการอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย หรือเป็นต้นเหตุของการหมกเม็ดได้ง่าย เช่น สินค้าคงคลัง (ซึ่งอาจเป็นสินค้าล้าสมัย) หรือเงินลงทุนชั่วคราว (ซึ่งอาจไปลงทุนแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน) ในการนี้ หากกระแสเงินสดดังที่กล่าวมานั้น คือ อันที่เห็นชัดๆว่าเปลี่ยนเป็นเงินได้จริงๆ และถ้ามีมากๆ ก็หมายความว่า กิจการแข็งแรงมาก เพราะเหมือนกับการเอาเงิน 10 บาท ไปแลกแบงก์ 20 บาท ซึ่งหลังจากซื้อหุ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำมีเพียงการรอให้มูลค่าวิ่งเข้าหามูลค่าทางบัญชี.. แล้วหุ้นแบบนี้มีอยู่จริงหรือไม่.. ก็คิดว่าน่าจะพอมี (ในบางช่วงเวลา) เพราะอย่างน้อยเมื่อต้นปี 2553 มีหุ้นตัวหนึ่ง ราคาเพียง 1.10 บาทต่อหุ้น ทั้งที่มีมูลค่าทางบัญชีถึง 2.30 บาทต่อหุ้น ในขณะที่กระแสเงินสดสุทธิทั้งบริษัทถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ราวๆ 1.60-1.80 บาทต่อหุ้น ต่อมาในช่วงปลายปี 2553 ก็ถูกเทคโอเวอร์ไป ซึ่งก่อนที่จะมีข่าวเทคโอเวอร์ ราคาวิ่งกลับไปที่ 2.3-2.4 บาทต่อหุ้น เข้าสู่มูลค่าทางบัญชีของมันครับ... ข้อควรระวัง... หุ้นแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลที่มันอยู่ในสถานการณ์ถูกขนาดนี้ บางกิจการอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนในระดับสูง จนกินทุนไปจนหมดได้.. แต่ถ้าหากเจอหุ้นที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมาก หรือสุขภาพดีแต่ราคาร่วงลงมาเอง อันนี้ก็จะดีมากทีเดียว ขึ้นอยู่กับการแกะงบการเงินของแต่ละบุคคลด้วยนะขอรับ..
โดย
mheesom
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2012 9:28 pm
0
2
Re: สำหรับผู้ที่ Trade หุ้นบัญชี Margin ครับ
ไม่ไ่ด้ใช้บัญชีมาร์จิ้น แต่ขอพระขอบคุณในน้ำใจครับ..
โดย
mheesom
เสาร์ ต.ค. 01, 2011 1:05 am
0
0
Re: กระทู้ในพันทิพย์ "ไทวิเสื่อม"
ขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานไทยวีไอครับ..
โดย
mheesom
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 4:35 pm
0
0
Re: เป็นกำลังใจให้ MOD ครับ
เป็นกำลังใจให้ทีมงานครับ..
โดย
mheesom
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 4:33 pm
0
0
หุ้นตัวแรกของพี่ๆคืออะไรอะครับ
ตัวแรกที่ซื้อก็ TASCO ครับ ซื้อมาตอน 52 บาท เมื่อปี 2542 เพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณย่ากับคุณป้าอีก 2 คน เลยให้มาคนละ 10,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท แล้วก็ดูมันลงไปทัวร์ที่ 8 บาท จนสุดท้ายก็กลับมาขายถัดจากนั้นอีก 3 ปี ตอน 42 บาท แต่หุ้นที่ทำกำไรให้ตัวแรก เป็น supali-w2 (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อเป็น spali) จำได้ว่าซื้อไว้ที่ 2.02 บาท แล้วไปขาย 2.82 บาท ช่วงปี 2546 ช่วงนั้นหุ้นบูมมาก แทงตัวไหนได้หมด แล้วอยากจะบอกว่าบรรยากาศเหมือนตอนนี้เลยครับ.. จำได้ว่าตอน 2546 เรียนจบใหม่ๆ จากเงินต้น 200,000 บาท (ลงเพิ่มไป 180,000 บาทตอนกลางปี 2546) กลายเป็นมีถึง 2,000,000 บาท ใน 4 เดือน วิเคราะห์แบบ VI นี่แหละครับ ใช้ๆเงินไป 500,000 บาท (ทำบุญ ให้แม่ ซื้อของส่วนตัวนิดหน่อย) แต่อีก 1,500,000 บาท หมดไปกับหุ้นปั่น เก็งกำไร ทั้งๆที่คิดว่ามีวงใน (วงในสุดๆ แต่โดนเจ้าของหุ้นมันหลอก 55 เพื่อนๆทั้งกลุ่มโดนรวมๆกัน 40 ล้านได้มั้ง) แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์ ตอนขึ้นพอจะรู้บ้างว่าควรทำไง แต่ตอนลงไม่รู้ว่าควรทำยังงัย สุดท้ายเหลือ 100,000 บาท แต่ก็คิดว่าซื้อประสบการณ์ เอาไว้คราวหน้าหาใหม่ได้ ปัจจุบัน เนิบๆไปเรื่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง เรียนโทจบมาได้ เปิดบริษัทของตัวเองได้ ก็ด้วยเงินจากหุ้นนี่แหละครับ เน้นวิเคราะห์งบ อย่าไปตามแห่อะไรมาก ถ้าขายแล้วหุ้นมันวิ่งไปต่อ ก็ถือว่าแบ่งๆกำไรให้เพื่อนๆ จะได้มีความสุขกันทุกคน ถ้าขายแล้วขาดทุน ก็เก็บมาเป็นบทเรียน.. เอาไว้ถ้าอยากฟังจะเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ.. ปล. โชคดีที่สุดก็คือ ตอนปี 2542 ลงทุน 180 บาท ซื้อ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์มาอ่าน ตอนนั้นเป็นเล่มแรกที่อ่านเลยมั้ง แนวทางการลงทุนก็เลยมาทางนี้แต่แรก ดร.นิเวสน์ นี่ ถือเป็นครูคนแรกในการลงทุนเลยครับ...
โดย
mheesom
อาทิตย์ ก.ย. 19, 2010 12:36 pm
0
0
แชร์ .... ปรากฏการณ์เว็บหุ้นวงแตก ...
แวะเข้ามาทักทาย และขอบคุณมดทั้งหลายที่ช่วยดูแลเวป และให้ความรู้แก่ผมและเพื่อนๆ มาโดยตลอดครับ...
โดย
mheesom
เสาร์ ส.ค. 28, 2010 1:10 am
0
0
มีใครเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้บ้างในตอนตั้ง bid
ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อมูลที่กำลังต้องการรึเปล่าครับ เท่าที่ทราบในหลายๆโบรก รายย่อยก็สามารถทำได้ครับ ในโบรกกิมเอ็งก็ส่งจดหมายเตือนว่าอย่าซื้อหรือขายที่ละ 100-200 หุ้นครับ.. คำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume ความหมายอย่างสั้น คำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume คืออะไร คำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume เป็นคำสั่งให้ทยอยซื้อ หรือขายหุ้นในจำนวนที่ต้องการ โดยไม่ปรากฏจำนวนทั้งหมดแก่สายตาผู้อื่น จะปรากฏเฉพาะจำนวนที่จะทยอยซื้อหรือขายเท่านั้น ความสำคัญของเรื่อง ความสำคัญของการซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume ในการซื้อขายหน หากปรากฏว่ามีคำเสนอซื้อหรือคำเสนอขายหุ้น ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่งในปริมาณมาก จะทำให้นักลงทุนมีความรู้สึกว่า มีคนต้องการซื้อหรือมีคนต้องการขายหุ้นในราคานั้นในเวลานั้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อหุ้นรอจนกว่าผู้ขายไม่ต้องการ ต่อคิวขายหลังจำนวนเสนอขายที่มากมายนั้น และหันมาเสนอขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า ในทางกลับกัน ผู้ที่ต้องการขายหุ้นที่คนต้องการซื้อเป็นจำนวนมากจะรอจนกว่ามีผู้ซื้อไม่ต้องการต่อคิวซื้อหลังจำนวนเสนอซื้อที่มากมายนั้น และหันมาเสนอซื้อในราคาที่สูงกว่า การเสนอซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published จะสามารถซ่อนความต้องการที่แท้จริงในการซื้อขายหุ้นในระดับราคาต่างๆ ได้ และอาจทำให้สามารถซื้อขายหุ้นได้ในราคาที่ดีขึ้น ความหมายอย่างละเอียด ตัวอย่าง คำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume สมมติว่านักลงทุนต้องการซื้อหุ้น ก จำนวน 15,000 หุ้น ในราคา 100 บาท โดยที่ใน ขณะนั้นภาวะการเสนอซื้อหุ้นมีราคาและจำนวนเสนอซื้อ ดังต่อไปนี้ ราคาเสนอขาย จำนวนเสนอซื้อ 100 บาท 500 หุ้น 99 บาท 1,000 หุ้น 98 บาท 1,300 หุ้น 97 บาท 800 หุ้น หากในเวลาส่งคำสั่งซื้อให้กับนายหน้า ผู้ลงทุนระบุคำสั่งซื้อหุ้นจำนวน 15,000 หุ้น ในราคา 100 บาท แบบ Auto Change Published Volume ครั้งละ 1,000 หุ้น คำสั่งซื้อหุ้นนั้นจะ โครงการจัดทำข้อมูลองค์ความรู้ งวดที่ 1 : นิยามธุรกิจ: การลงทุน 1/3 ทยอยส่งครั้งละ 1,000 หุ้น ทำให้จำนวนเสนอซื้อหุ้นเปลี่ยนแปลงเป็น 1,500 หุ้น ปรากฏแก่สายตานักลงทุนทั่วไปซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ ผู้ที่ต้องการขายหุ้นก็อาจตัดสินใจขายหุ้นมาที่ราคา 100 บาท เมื่อคำสั่งซื้อ 1,000 หุ้นแรก สามารถซื้อได้ครบถ้วนแล้วคำสั่งซื้อต่อไปก็จะถูกส่งมาโดยอัตโนมัติ ครั้งละ 1,000 หุ้น จนกว่าจะครบ 15,000 หุ้น ในทางตรงข้ามหากผู้ลงทุนส่งคำสั่งซื้อเต็มจำนวน 15,000 หุ้น ในราคา 100 บาท ข้อมูลการเสนอซื้อจะปรากฏจำนวนเสนอซื้อที่ราคา 100 บาท มีจำนวนทั้งสิ้น 15,500 หุ้น ซึ่งอาจแสดงถึงความต้องการซื้อที่สงผิดปกติจนทำให้ผู้ขายรอจนมีคนเสนอซื้อที่ไม่อยากต่อคิวที่ราคา 100 บาท เสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้นทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต้องการ ข้อพิจารณาในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ข้อควรระวัง เนื่องจากคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Auto Change Published Volume จะทำการส่งคำสั่งซื้อขายในจำนวนน้อยในแต่ละครั้ง และรอจนกว่าคำสั่งแรกได้รับการซื้อขายได้เรียบร้อยแล้วจึงส่งคำสั่งย่อยต่อไปซึ่งคำสั่งที่ส่งไปใหม่นี้จะไปเข้าคิวต่อจากคำเสนอซื้อขายของนักลงทุนอื่นที่เสนอในราคาเดียวกัน ในเวลาก่อนหน้าที่คำสั่งซื้อขายย่อยครั้งก่อนจะทำการซื้อขายได้ครบถ้วนทำให้ คำสั่งย่อยทุกๆคำสั่งจะต้องเข้าคิวรอในทุกๆ ครั้ง อันอาจทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ในจำนวนที่ต้องการ โดยมากคำสั่งประเภทนี้เหมาะที่จะใช้สำหรับหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ต่ำ เท่านั้น คำไข (Keywords) : คำสั่งซื้อขายหุ้นแบบ Auto Change Published Volume / คำสั่งซื้อขายหุ้น / การลงทุน / ความรู้อ้างอิง / นิยามธุรกิจ แหล่งข้อมูล : รศ.จิรัตน์ สังข์แก้ว. (2545). การลงทุน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. โครงการจัดทำข้อมูลองค์ความรู้ งวดที่ 1 : นิยามธุรกิจ: การลงทุน 2/3
โดย
mheesom
จันทร์ มิ.ย. 07, 2010 2:29 am
0
0
ในที่สุดน้อง PLE ก็หอบเงินกลับมาจากดูไบ ได้แล้ว
พอดีติดงาน ตะกี้เลยโพสได้ไม่มาก ตอนนี้ว่างแล้วครับ พอดีผมได้สนใจหุ้นตัวนี้อยู่บ้าง เนื่องจากเห็นว่า p/b ต่ำ แม้ว่าจะมีการเพิ่มทุนไว้แล้วก็ตาม ผมตั้งขอสังเกตเป้นข้อๆ ไว้ ดังต่อไปนี้ครับ ด้วยความรู้ผมไม่มาก หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ 1. ราคาปิดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ อยู่ที่ 0.94 บาท เมื่อ 1 ธันวาคม 2551 2. สินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียนสูสีกันมาก ผมว่าอาจจะมีปัญหาขาดสภาพคล่องได้ง่ายครับ 3. ขณะนี้ประเมินโดยคร่าว มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 2.60 บาทต่อหุ้น และกำไรไตรมาสแรกอยู่ที่ 0.29 บาทต่อหุ้น ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 3.8 P/B 0.42 (ซึ่ง P/E นี้น่าจะต้องมีการดูกันยาวๆ) 4. คิดว่างบการเงินมีการโยกย้ายกำไร เพราะปีที่แล้ว มีการตั้งสำรองหนี้สูญไว้ประมาณ 1000 ล้านบาท ทั้งๆที่ส่วนของผุ้ถือหุ้นเมื่อสิ้นปี 2551 มีเพียง 2700 ล้านเท่านั้น แล้วปีนี้ ในไตรมาสแรก โอนกลับมาแล้ว 150 ล้าน (ผมสงสัยว่าที่ผู้บริหารเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าปีนี้อาจจะเก็บหนี้ได้ 400-500 ล้าน จากที่ตัดหนี้สูญไว้ปีที่แล้ว ผมงงว่าปีที่แล้วทำไมรีบตัดหนี้สูญ ทำให้งบปีที่แล้วขาดทุนมหาศาล) 5. เพิ่งมีการเพิ่มทุน เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2553 ในอัตราส่วน 1 : 1 ที่ราคา 1.00 บาท จำนวนหุ้นเดิมมีทั้งสิ้น 546 ล้านหุ้น ทว่ามีผู้ใช้สิทธิเพียง 266 ล้านหุ้น ดังนั้นจะมีผู้ถือหุ้นครึ่งนึง ที่ไม่ได้ใช้สิทธิ ในกลยุทธ์นี้เป็นการ "เจือจาง" หุ้น ให้เจ้าของหุ้นซึ่งมีเงินมากกว่ารายย่อย สามารถเก็บหุ้นได้มากขึ้นในเวลาอันสั้น และปัจจุบัน มีหุ้นเพิ่มขึ้น จาก 546 ล้านหุ้นเป็น 812 ล้านหุ้น 6. หุ้นตัวนี้ เนื้อแท้แล้วมีปัญหามาก มีการฟ้องร้อง และเป็นคดีความมากมาย และหลายคดีรอวันระเบิดออกมา ผมไม่สามารถทราบรายละเอียดแต่ละคดีได้ ทราบแต่จากการอ่านงบการเงินว่า ยังมิได้สำรองหนี้สูญหรือค่าเสียหายในคดีแต่อย่างใด และผมก็ไม่ทราบว่าคดีไหนจะเป็นบวกหรือลบกับหุ้นตัวนี้ในอนาคต 7. กำไรที่โดดเด่นในไตรมาส 1/53 มาจากการขายที่ดิน 50 ล้านบาท และการได้รับชำระหนี้ จากส่วนที่ได้ตัดหนี้สูญไปแล้ว อีกจำนวน 150 ล้านบาท รวมเปนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งผมเห็นว่ามีความผิดปกติ เนื่องจากการบริหารงานย่อมรู้ว่าลูกหนี้คนไหนมีนิสัยอย่างไร และควรหรือไม่กับการจัดชั้นหนี้สูญมากมายขนาดนี้ 8. หลังจากร่วมกับ ASCON ประมูลสัญญารถไฟฟ้า สายสีม่วง สัญญาที่ 3 มูลค่า 5,025 ล้านบาท และเพิ่งตั้งกิจการร่วมค้าเพื่อดำเนินการดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 เมื่อ 27 มกราคม 2553 มีการให้ข่าวของผู้บริหารว่าปีนี้อาจจะมีรายได้เข้ามาร้อยละ 15 - 20 ของโครงการ ซึ่งหากแบ่งๆกันแล้ว ก็อาจจะมาลงที่ ple ซัก 500 ล้าน และจะบันทึกเป็นรายได้ของ PLE และ ASCON ได้ในราวไตรมาสที่ 2 (อันนี้มาจากผู้บริหาร ascon ออกข่าวไว้ ซึ่งผมว่าถ้ารับรู้รายได้ มันก็น่าจะพร้อมกัน) สรุปคือ จะว่าฟื้นก็ไม่แน่ใจ แต่จะว่าไม่ฟื้นก็ไม่ใช่ ราคาก็เหวี่ยงตัว ผมเองซื้อติดไว้เล็กน้อย คิดว่าซื้อลอตเตอรี่ หวังว่าจะได้ผู้ผที่ท่านจะได้ประโยชน์จากข้อมูลที่ผมรวบรวมบ้างไม่มากก็น้อยครับ อย่างไรก็ตาม อันนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดตัดสินใจก่อนลงทุนนะครับ ด้วยความปรารถนาดีครับ..
โดย
mheesom
พฤหัสฯ. พ.ค. 27, 2010 2:16 pm
0
0
ในที่สุดน้อง PLE ก็หอบเงินกลับมาจากดูไบ ได้แล้ว
ไตรมาส 1 กำไร 200 ล้านบาท จากรายการพิเศษครับ (จากการขายที่ดิน 50 ล้าน และหนี้ที่ได้ตัดสูญไว้ปีที่แล้ว เก็บคืนมาได้ 150 ล้านบาทครับ )ไตรมาสหน้าอาจจะขาดทุนก็ได้ครับ ยังไม่เรียกว่าฟื้นแบบชัดเจน ในงบการเงินส่วนที่ 3 มีส่วนที่เกี่ยวกับคดีความที่ยังไม่ได้สำรองว่าคดีจะแพ้เอาไว้อีกเยอะเหมือนกันครับครับ ยังงัยอยากให้พี่ๆ น้องๆ ระมัดระวังในการลงทุนหุ้นตัวนี้ครับ ส่วนตัวผมเองมีติดไว้บ้าง เล็งเอาไว้ตั้งแต่ 1.4 เมื่อปีกลาย พอลงมาเหลือ 1.00 เลยซื้อไว้นิดเดียว เอาไว้ตามดูครับ แต่ตอนที่อ่านงบการเงินมันแปลกๆ ครับ ผู้สอบบัญชีเองก็มีข้อสังเกตในงบเอาไว้ด้วย มีโอกาส ลับ ลวง พราง สูงครับ.. ด้วยความปรารถนาดีครับ..
โดย
mheesom
พฤหัสฯ. พ.ค. 27, 2010 1:17 pm
0
0
e-star
ผมก็ดูๆ siri ไว้เหมือนกัน แต่หุ้นอสังหาตัวอื่นมันมีหนี้สินค่อนข้างมาก ผมกลัวว่าถ้ามีการลงทุนอะไรผิดพลาด บริษัทจะต้องแบกหนี้ก้อนโตน่ะครับ ผมเลยไปมองดู Estar ที่มีหนี้สินน้อย ซึ่งผมมองว่ามันปลอดภัยกว่าน่ะครับ..
โดย
mheesom
จันทร์ ก.ย. 05, 2005 9:17 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
mheesom
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ความถนัด:
นักลงทุน
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.ค. 29, 2003 11:20 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ก.ค. 24, 2023 9:10 pm
โพสต์ทั้งหมด:
171 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว