หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
thaihandsome
Joined: อังคาร ก.ค. 05, 2011 10:23 pm
348
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - thaihandsome
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: Angpao gearing up Shares to resume trading on 9/9/2011
PAO มาแร้วฤกษ์ดี เทรดวันที่9 เดือน9 แว่วๆตอนนี้นักลงทุนอยากได้หุ้นPAO มาครอบครองมากมาย แต่ไม่มีใครอยากขายเพราะหลายคนขอถือหุ้นอั่งเปา รอลุ้นวันเทรดดีกว่า ขณะที่คนมีของมีหุ้นอยากขายก็ตั้งราคาแบบไม่อยากขายเอาป่าว 1.50 บาท 2 บาท นั่นก็ว่ากันไปแต่ที่แน่ๆ คนอยากได้ขอรอวัดดวงบนกระดานดีกว่าเพราะอาจได้ของถูกก็ได้ ฟากFA ฟินันเซีย ไซรัส นามเฮียแกะ ฝากกระซิบผู้ถือหุ้นที่ทนถือมา6 ปี วันที่ 9เดือน 9คงมีรอยยิ้มอย่าลืมการลงทุนมีความเสี่ยงนะคร้า วันที่ 2 กันยายน 2554 พบกับ เจ๊มดแดง ได้ที่ www.hooninside.com รู้ลึก รู้จริง คลุกวงใน สไตล์กล้วยๆ http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view.php?user=greenbull&board=2&id=131887&c=1&order=numtopic ที่มา www.hooninside.com
โดย
thaihandsome
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 12:59 am
0
1
Re: Real Demand ของคอนโดในเมือง บริษัทอสังหาไหนได้ประโยชน์มา
นายอนุกูล กล่าวต่อว่า ในอนาคตคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโดยเฉพาะกับ Generation Y ที่มีอายุน้อย (19-26 ปี) แม้ว่าจะมีการกลัวว่าจะเป็น demand แฝงในตลาดคอนโดฯ ระดับนี้ เนื่องจากท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการซื้อบ้านเดี่ยวหรือบ้านแฝดซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม จากความต้องการซื้อมีสัญญาณบางอย่างสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการคอนโดของคนในกลุ่ม Generation Y มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น จากในอดีตบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เป็นความต้องการสูงสุด แต่ปัจจุบันปรับมาเป็นบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ
โดย
thaihandsome
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 12:04 am
0
0
Re: Real Demand ของคอนโดในเมือง บริษัทอสังหาไหนได้ประโยชน์มา
ต้องคุ้ยกันหน่อยว่าบริษัทไหน ทำคอนโดต่ำกว่าสองล้านเยอะๆสุด>>>>
โดย
thaihandsome
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 12:02 am
0
0
Re: Angpao gearing up Shares to resume trading on 9/9/2011
ตกลงคุณคือคนนั้นหรอครับที่เป็นข่าวกัน ผมเพิ่งรู้ เพราะคนๆนั้นมักจะแนะนำแต่หุ้นเล็กๆเน่าๆ และเอาข่าวเสี่ยโน่นนี้ซื้อ biglotที่หาไม่เจอ ให้แมงเม่าเข้าไป ไปหลายๆเวบแล้วก็เปลี่ยนชื่อ แต่หุ้นตัวเดิมๆ คือเน่า คุณคงไม่ใช่มั้งคนๆนั้น โหงวเฮ้ง ผมไม่ได้บอกถึงคุณ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณนิ ผมก็เป็นผม ไม่ได้เป็นใครอย่างที่คุณมาเหมารวม แต่ผมสงสัยในความประหลาดของคุณไง??? มันส่อถึงอะไรในหัวสมองคุณครับ?????? และความเป็น ??? ของคุณครับ
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2011 11:00 pm
0
1
Re: Angpao gearing up Shares to resume trading on 9/9/2011
พี่thailandhandsome คุณหล่อล่ำ คุณthaihunk เห็นชื่อคล้ายๆกัน อิอิ อ้อไม่รู้มีอีกชื่อ JRด้วยเปล่า อิอิ หน้าม้าในเวบนี้ระวังตัวดีๆนะ ที่โน่นมีแมงเม่า ที่นี่มีคนดันเชิงคุณภาพด้วยการพูดเรื่องงบ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11019073/I11019073.html http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11022502/I11022502.html http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=52594.0 --------------------------------------------------------------------- ขายของแพงจริงๆ ลูกบ้านจะเผาตัวเองตายเลยนะนั่น สรุปสาระข่าว ลูกบ้าน'ณุศาศิริ'ขู่เผาตัวเอง! เหตุบริษัทสร้างบ้านไม่เสร็จแถมไม่คืนเงินดาวน์ 3.5 ล้านบาท/สคบ.รับลูกเตรียมฟ้องแทน ลูกบ้าน 'ณุศาศิริ' สุดทนเป็นเหยื่อผู้ประกอบการขายบ้าน 2 สัญญา ทุ่มซื้อบ้านหรูราคา 11.6 ล้านในโครงการณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า ปีเศษบ้านไม่เสร็จ แถมต้องเสียค่าเช่าบ้านอยู่ร่วมปี ร้องสคบ.ขอคืนเงินดาวน์-จอง 3.5 ล้านบาท สุดท้ายจ่ายแค่ 3 แสนบาท ที่เหลือให้ไปฟ้องศาล ด้าน "วิษณุ เทพเจริญ " แจงรับผิดชอบแล้วในส่วนค่าจองที่ดิน บอกปัดงานก่อสร้างไม่เกี่ยวเป็นเรื่อง "ณุศาศิริ คอนสตรัคชั่น" ของเครือญาติ ส่วนข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์พบ "เจ๊หมวย" ภรรยานั่งตำแหน่งกรรมการอยู่ นายธวัช สันติพงศ์ชัยศรี ลูกบ้านในโครงการณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า ได้เข้าร้องเรียน "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตนได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินในโครงการณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า โดยแบ่งเป็นสองสัญญาคือสัญญาซื้อขายที่ดิน 1 แปลง ขนาดเนื้อที่ 114.98 ตร.ว. มูลค่า 5,749,000 บาท กับบริษัท ณุศาศิริ กรุ๊ป จำกัด และสัญญาซื้อบ้านแบบ Mezzanine พร้อมก่อสร้างบ้านกับบริษัท ณุศาศิริ คอนสตรัคชั่น จำกัด มูลค่าอีกประมาณ 595,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,699,000 ล้านบาท หนังสือสัญญาลงวันที่ 4 สิงหาคม 2547 ผู้ขายคือนางสาวบุณฑริกา วรรณพิม และมีกำหนดโอนบ้านในวันที่ 4 กันยายน 2548 ทั้งนี้ตนได้ชำระเงินดาวน์ 30% พร้อมเงินจองและเงินทำสัญญา (300,000 บาท) ไปครบแล้วทั้งสิ้น 3,509,700 บาท โดยแบ่งชำระเงินดาวน์เป็นจำนวน 12 งวด ต่อมาเมื่อครบกำหนดโอนบ้าน ปรากฎว่าบ้านยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จโดยในส่วนโครงสร้างบ้านนั้นก่อสร้างไปเพียง 60% เท่านั้น ส่วนถนนเมนและงานร้อยสายไฟฟ้ายังไม่เรียบร้อย ดังนั้นตนจึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังประธานบริษัท ณุศาศิริ กรุ๊ป จำกัด เพื่อขอให้ก่อสร้างบ้านที่จองไว้ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับจากที่ได้รับหนังสือดังกล่าว พร้อมกับสวนสาธารณะ คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ ถนนเข้าออกในโครงการ ตลอดจนไฟฟ้าและแสงสว่างต่างๆ ทั้งนี้ตนเองมีความจำเป็นต้องย้ายเข้าอยู่เพราะมีภาระค่าใช้จ่ายค่าเช่าบ้านระหว่างรอการก่อสร้างบ้านถึงเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งทางบริษัทณุศาศิริ กรุ๊ปฯ เมื่อรับเรื่องแล้วก็แจ้งให้ทางตนทราบว่ายินดีที่จะให้ปรับเป็นจำนวนเงิน 2,500 บาทต่อวัน ซึ่งทางตนรู้สึกเสียความศรัทธาในตัวผู้ประกอบการจึงได้ขอคืนเงินดาวน์ที่ชำระไปทั้งหมดคืนพร้อมสินไหมทดแทนโดยได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 และทางสคบ.ได้นัดไกล่เกลี่ยครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 โดยทางณุศาศิริ กรุ๊ปฯได้มอบหมายให้นายณัฐพล พลพิชัย เจ้าหน้าที่แผนกนิติกรรม บริษัท ณุศาศิริ คอนสตรัคชั่น จำกัด มาเป็นผู้ดำเนินการไกล่เกลี่ยแทน ซึ่งทางณุศาศิริ คอนสตรัคชั่นฯ ได้ยื่นขอเสนอคืนเงินที่ตนได้ชำระไปแล้วทั้งหมดตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาจ้างก่อสร้างอาคาร พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5.75 ต่อปี โดยมีกำหนดชำระภายใน 30 วันนับตั้งแต่ทำบันทึกข้อตกลง นายธวัช กล่าวต่อว่า ทางตนเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่เป็นธรรมเนื่องจากงานก่อสร้างได้ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ทำให้ตนต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเช่าบ้านเพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 50,000 บาท จึงได้ยื่นขอเสนอให้บริษัทณุศาศิริ คอนสตรัคชั่นฯ ใน 3 ข้อ คือ คืนเงินดาวน์พร้อมเงินจองที่ชำระไปทั้งสิ้น 3,509,700 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยให้ชำระคืนภายใน 15 วัน เป็นจำนวนครั้งเดียว หรือลดอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียงร้อยละ 5.75 หากชำระภายใน 7 วัน และหรือ คืนเงินดาวน์ที่ชำระไปทั้งสิ้น พร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี และพร้อมชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าเช่าบ้านเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันที่ผิดสัญญาด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเจรจาไกล่เกลี่ยอยู่ร่วม 3 ครั้ง บริษัทณุศาศิริ คอนสตรัคชั่นฯ ได้ขอคืนเงินจองที่ดินก่อนเป็นจำนวน 300,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.75ต่อปี และค่าเสียหายจำยอมอีก 50,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 377,331,97 บาท โดยมีกำหนดชำระภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 จากนั้นจะชำระค่ารับจ้างก่อสร้างที่ตนชำระไปอีก 3,209,700 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.75% ต่อปี รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,388,838.06 บาท อีกครั้งในวันที่ 10 ภุมภาพันธ์ 2549 แต่เมื่อครบกำหนดชำระ ทางบริษัทณุศาศิริ คอนสตรัคชั่นฯ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สคบ.พร้อมตนทราบว่าไม่มีเงินชำระและให้ไปฟ้องร้องเอา ทั้งนี้เมื่อตนนำเรื่องดังกล่าวปรึกษาสคบ. ก็ได้รับคำตอบว่าหากถึงขั้นฟ้องร้องจะต้องนำเอกสารมาประกอบคำร้องเพิ่มเติมเช่นใบอนุญาติขอจัดสรรและใบอนุญาติก่อสร้างของโครงการณุศาศิริ และใช้เวลานานเป็นปีกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทางศาล ซึ่งในตอนแรกสคบ.ไม่ได้ชี้แจงว่าจะต้องมีเอกสารเกี่ยวกับใบอนุญาติจัดสรรเข้ามาประกอบคำฟ้องด้วย ทำให้ตนสงสัยว่าสคบ.มีความเป็นธรรมหรือไม่ และขณะนี้ตนได้หมดหวังในหนทางที่จะได้เงินคืนแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่คิดว่าจะเอาน้ำมันราดตัวเองแล้วเผาเพื่อให้สังคมได้รับรู้ สำหรับเหตุผลที่เลือกซื้อโครงการบ้านณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า เนื่องจากผู้ขายได้นำเสนอของแถมเป็นจำนวนมาก เช่นแถมชุดเคาน์เตอร์ครัวและเตรียมอาหารของโมเดิร์นฟอร์ม ในวงเงิน 200,000 บาท, เครื่องปรับอากาศ 8 เครื่อง,จัดสวนรอบบ้านในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท, ชำระค่าจดทะเบียนในการโอนกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง เป็นต้น ด้าน นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ทางสคบ.จะยื่นเรื่องดังกล่าวเข้าไปยังคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยอีกครั้งก่อน เมื่อไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้จะยื่นเรื่องดังกล่าวไปให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาส่งฟ้องศาลซึ่งคณะกรรมการชุดใหญ่จะมีการประชุมในเดือนเมษายนนี้แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถประชุมได้หรือไม่จากปัญหาทางการเมือง ต่อเรื่องดังกล่าวนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สอบถามไปยังนายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการบริหารและประธานกรรมการ บริษัท ณุศาศิริ กรุ๊ป จำกัด และได้เปิดเผยว่า บริษัท ณุศาศิริ กรุ๊ป จำกัด ได้รับผิดชอบเฉพาะเงินค่าจองที่ดินเป็นจำนวน 300,000 บาท และได้ชำระให้กับลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 3,388,838.06 บาท เป็นความรับผิดชอบของบริษัท ณุศาศิริ คอนสครัคชั่น จำกัด ผู้รับจ้างก่อสร้างซึ่งเป็นของเครือญาติที่ร่วมทุนกับคนนอกโดยตนนั้นไม่ได้มีถือหุ้นในณุศาศิริ คอนสครัคชั่นฯ และเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความผิดของโครงการ ในเรื่องของงานก่อสร้าง ทุกโครงการย่อมมีการดีเลย์ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้ามีเจตนาที่จะซื้อหรือไม่ หากลูกค้าอ่อนไหวง่ายและต้องยอมให้กับลูกค้าทุกรายก็คงจะแย่ อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าต้องการฟ้องก็คงต้องปล่อยให้ฟ้องไป แต่ลูกค้ามักไม่ยอมรับว่าเหตุผลที่ช้าส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าลูกค้ามีการเปลี่ยนแบบบ้าน ส่วนกรณีที่บริษัท ณุศาศริ คอนสครัคชั่นฯ แจ้งกับลูกค้าไปว่าไม่มีเงินมาชำระนั้น ตนไม่ทราบว่าบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินหรือไม่แต่ผู้รับก่อสร้างต้องใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก รวมถึงบ้านแปลงที่ลูกค้าดังกล่าวซื้อก็ต้องแบกภาระค่าก่อสร้างเป็นมูลค่า 10 ล้านบาท ปัจจุบันนี้บ้านหลังดังกล่าวก่อสร้างเสร็จแล้ว และบริษัทก็ไม่ได้มีผู้รับเหมาดังกล่าวทำงานให้กับบริษัทเพียงรายเดียว ทั้งนี้ การตรวจสอบข้อมูลจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท ณุศาศิริ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2546 มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ผู้มีอำนาจตามสบช. 3 นางสาวกมลพร กฤษณา กรรมการ คือนางศิริมล เทพเจริญ ภรรยานายวิษณุ เทพเจริญ และมีที่ตั้งเดียวกับบริษัท ณุศาศิริ จำกัด คือ เลขที่ 52/9 หมู่ที่ 13 ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240 http://www.thaiappraisal.org/thai/newsdigests/newsdg_view.php?strquery=newsd81.htm หมายเหตุ โหงวเฮ้งบอกอะไรคุณได้เยอะ ตอบคุณที่โพสต์ที่แม้แต่ชื่อก็ไม่มี เป็นเครื่องหมายอย่างเดียว เหมือนตัวประหลาดอะไรสักอย่างน่ะครับ คุณเที่ยวไปขุดเอาเรื่องเก่าๆ ที่มันจบกันไปเรียบร้อยแล้วตั้งกี่ปีมาแล้ว นี่มันปี 2554 แล้ว เขาเคลียร์กันจบเรียบร้อยแล้วครับ อ้อ ถ้าโหงวเฮ้งบอกอะไรได้เยอะ แต่คุณที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ แต่ใช้เครื่องหมายแทนตัวนี่ มันหมายถึงอะไรดี???
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2011 10:42 pm
0
1
Re: Angpao gearing up Shares to resume trading on 9/9/2011
แกะกระปุกคนดัง วิษณุ เทพเจริญ CEO อั่งเปาแอสเสท ลงทุนเล็กๆ สู่ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แกะกระปุกคนดัง วิษณุ เทพเจริญ ลงทุนเล็กๆ สู่ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ สมัยก่อนก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของตึก ตอนทำงานใหม่ๆ ได้ซื้อรถเบนซ์สักคันคงดีใจ จากเบนซ์คันเล็กเป็นเบนซ์คันใหญ่ ทุกวันนี้จะซื้ออะไรก็ซื้อได้ มันก็เลยหมดความต้องการที่เราเคยตั้งเป้าหมายไว้แล้ว วันนี้อยากเห็นแค่ความสำเร็จของบริษัทที่เราสร้าง เห็นพนักงานทุกคนมีความเจริญรุ่งเรือง อยู่กับเราด้วยความมั่นคง อยู่แล้วสบายใจ จากความคิดที่จะทำให้เงินงอกเงยให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด จึงได้เริ่มมีการทำธุรกิจจากธุรกิจลีสซิ่ง สู่ธุรกิจปั๊มน้ำมัน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน และมาประสบความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อั่งเปา แอสเสท จำกัด (มหาชน) จากประสบการณ์การทำในมาหลายรูปแบบ ที่เริ่มต้นจากความคิดที่จะทำให้เงินเกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ทุกวันนี้เขาประสบความสำเร็จอย่างที่เรียกได้ว่าเกินเป้าหมายที่วางไว้ไปมากทีเดียว วิษณุเล่าว่า “เรื่องการออมเงินผมจะเน้นที่การทำยังไงก็ได้ให้เงินงอกเงยเกิดประโยชน์ได้สูงสุด ผมมาจากธุรกิจไฟแนนซ์ ลีสซิ่งเล็กๆ ที่ต่างจังหวัด ผมมองว่าเราเอาเงินส่วนหนึ่งไปทำประโยชน์ให้งอกเงย โดยการปล่อยกู้ก็ดี อะไรก็ดี มันทำให้เงินเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ การออมเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นความมั่นคงในชีวิต ส่วนตัวผมนิยมการออมในอสังหาริมทรัพย์ ซื้อห้องให้เช่า ซื้อตึกให้เช่า ผลตอบแทนจะได้มากกว่าเงินออมที่ฝากไว้กับธนาคาร สมมติมีเงินออม 1 ล้านบาทถ้าฝากออมให้เป็นความมั่นคงในชีวิต ก็ได้ดอกเบี้ยรายปีได้ไปเรื่อยๆ แต่ผมมองว่ามันช้า และผลตอบแทนน้อย ผมจึงไม่ค่อยจะออมเงินกับธนาคารมากเท่าไร มองว่าการซื้อห้องให้เช่า ซื้อตึกให้เช่า มีประโยชน์สองทาง หนึ่งคือผลตอบ แทนที่เข้ามาอาจจะเท่ากับดอกเบี้ย หรือมากกว่าดอกเบี้ย หรือน้อยกว่าในบางครั้งเล็กน้อย สองคือสินทรัพย์ก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่าได้ประโยชน์ทั้งสองทาง แต่ความคล่องตัวหรือสภาพคล่อง ความสะดวกที่จะหยิบ ขึ้นมาใช้จะน้อยกว่าเงินที่ออมในธนาคาร ผมจึงต้องมีเงินที่ออมในธนาคารบ้าง กันไว้ส่วนหนึ่งให้เพื่อเป็นสภาพคล่องไว้ไม่เกิน 20% นอกเหนือจากนี้ก็ลงทุนหมดเพื่อให้เงินงอกเงยได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็นการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายเงินจาก 100% ของผมส่วนใหญ่ประมาณ70% ก็เป็นการออมในลักษณะของการไปลงทุน ที่เหลือก็ใช้จ่าย นอกจากนั้นก็เหลือเก็บบ้างสัดส่วนของการลงทุน เนื่องจากทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยมาก ก็จะซื้อเป็นสินทรัพย์ เห็นที่ดินแปลงไหนสวยทำเลดีก็จะซื้อไว้ ผมไม่ค่อยเก็บบัญชีในธนาคาร แต่ผมเก็บเป็นโฉนดที่ดินมากกว่า” เรื่องการลงทุนวิษณุมองว่า “การลงทุนมีหลายรูปแบบ สำหรับการลงทุนในประเทศไทยตอนนี้ผมมองว่า ยังมีอีกหลายมุมหลายด้านน่าลงทุน เพราะว่าตลาดหลักทรัพย์ของเราก็ยังถือว่ายังเป็นตัวเลขที่ต่ำอยู่ ยังน่าลงทุนอยู่ ผลตอบแทนก็ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับนานาประเทศ ซึ่งให้อัตราตอบแทนต่างประเทศดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ผลตอบแทนในบ้านเรายังสูงอยู่ ตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่น่าจะเข้าไปลงทุน ส่วนตัวตอนนี้ก็เพิ่งจะเริ่มเข้าไปดูในตลาดหลัก ทรัพย์ เพราะที่ผ่านมาผมมองการเล่นหุ้นของคนไทยเป็นการเสี่ยงดวงไม่เหมือนการลงทุน เหมือนว่าเขาดูแค่กระแสในช่วงนั้นว่าหุ้นตัวไหนดีก็ซื้อ แต่ว่าไม่ได้ศึกษาในตัวพื้นฐานเท่าไหร่ แต่สำหรับผมมองเป็นเรื่องการลงทุน ดูที่ปัจจัยพื้นฐาน ผลตอบแทนระยะยาว ในส่วนหุ้นจะสวิงขึ้นสวิงลงก็เป็นผลพลอยได้ ก็คงมองที่ผลตอบแทนมากกว่าตอนนี้ก็ศึกษาดูในกลุ่มของสถาบันการเงินกลุ่มพลังงาน ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็ดูเทียบเคียงเพราะผมทำธุรกิจอสังหาฯ อยู่แล้ว เราก็มั่นใจในบริษัท ของเราเอง ณ วันนี้ผมได้ผลตอบแทนจากผลประกอบการที่ดีของบริษัท ที่สามารถหล่อเลี้ยงครอบครัวของเราและพนักงานของบริษัทในอนาคต ในวันนี้ผมประสบความสำเร็จมาเกินเป้าหมายที่เคยได้วางไว้มาก ผมกับครอบครัวจึงมีความพอเพียง สมัยก่อนก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของตึก ตอนทำงานใหม่ๆ ได้ซื้อรถเบนซ์สักคันคงดีใจ จากเบนซ์คันเล็กเป็นเบนซ์คันใหญ่ ทุกวันนี้จะซื้ออะไรก็ซื้อได้ มันก็เลยหมดความต้องการที่เราเคยตั้งเป้าหมายไว้แล้ว วันนี้อยากเห็นแค่ความสำเร็จของบริษัทที่เรา สร้าง เห็นพนักงานทุกคนมีความเจริญรุ่งเรือง อยู่กับเราด้วยความมั่นคงอยู่แล้ว สบายใจ” สุดท้ายวิษณุแนะนำว่า “สำหรับคนที่มีเงินเดือนแต่ละคนคงมีไม่เท่ากัน อย่างผมฐานเงินเดือนค่อนข้างสูง จริงๆ แล้วคนที่มีเงินเดือนยิ่งสูงการใช้จ่ายจะยิ่งมีน้อย มันจะสวนทางกัน คนที่มีเงินน้อยมักจะใช้จ่ายเยอะ การออมก็เข้าใจในชีวิต ประจำวันเขา อย่างผมวันๆ ตอนนี้จะออก ไปใช้จ่ายข้างนอกก็แทบจะไม่มีเวลา มีเงินแต่ไม่มีเวลา มีเวลาแต่ไม่มีเงิน ปัจจัยมันสวนทางตลอดเวลา สำหรับคนที่ยังเงินเดือนน้อย ก็เริ่มจากออมน้อย ค่อยๆ เก็บเป็นขั้นบันได ณ วันนี้ผมมีฐานเยอะ ผมก็แบ่งสัดส่วนออมมากขึ้น ออมให้มีความสมดุลในชีวิต ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป เก็บตามสัดส่วนให้การออมมีความพอดีกับรายจ่าย ไม่มากเกินไปกว่ารายได้ที่มี ควรออมให้เหลือมีความ พอเพียงที่จะใช้จ่ายได้ในชีวิตประจำวัน เก็บเงินแล้วอย่าทุกข์ ควรจะเก็บเงินให้เห็นเงินในบัญชีแล้วมีความสุข” http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355245
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2011 10:36 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
15:35 29/08/2011 Sector Update : Residential Sector : บล.ฟาร์อีสท์ 29 ส.ค.--บล.ฟาร์อีสท์ Distributor - Bisnews AFE 2H54 คาดผลประกอบการยังคงโดดเด่น...แนะนำ SPALI, LPN, AP ยอด Presales 2Q54 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 ราย แสดงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 ราย ได้แก่ (1) บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตล (PS) (2) บมจ. แลนด์ แอน เฮ้าส์ (LH) (3) บมจ. เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) (4) บมจ. ศุภาลัย (SPALI) (5) บมจ. แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ประกาศยอด Presales งวด 2Q54 รวม 27,982 ล้านบาท ( เพิ่มขึ้น 35.3% q-o-q และ 20.8% y-o-y) แสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้ชะลอตัวลงจาก การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างที่หลายฝ่ายมีความกังวล กล่าวคือ ความต้องการซื้อเพื่อ อยู่อาศัยจริงยังคงแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่ลดลงคือ ความต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไรและลงทุน โดยเฉพาะที่อยู่ อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มียอด Presales เติบโตสูงสุดได้แก่ SPALI ซึ่งมียอด Presales เติบโต 210.5% q-o-q และ 104.6% y-o-y ขณะที่ผู้ประกอบการแต่ละรายมีมูลค่า Backlog ที่แข็งแกร่ง ที่จะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปี 55 - 56 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยงวด 2Q54 ลดลง มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลรวมงวด 2Q54 ลดลงประมาณ 13.0% q-o-q และ 11.0% y-o-y โดยมีเพียงที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเท่านั้นที่แสดงมูลค่าการโอนเพิ่มขึ้น 21.7% q-o-q แต่ลดลง 15.4 y-o-y อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจำนวนหน่วยการโอนพบว่าเพิ่มขึ้น 15.2% q- o-q แต่ลดลง 15.1% y-o-y แสดงให้เห็นว่าความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น q-o-q เป็นผล จากความต้องการที่แข็งแกร่งของตลาดระดับกลาง - ล่าง ขณะที่การลดลง y-o-y มีสาเหตุมาจากช่วง เดียวกันของปีก่อนหน้ามีมาตรการภาษีของรัฐบาลเป็นตัวกระตุ้นการโอน อย่างไรก็ตามหลังจากรัฐบาลแถลง นโยบายดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 5 ปี สำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เราคาด ว่าจะทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ช่วง 2H54 เพิ่มขึ้นจาก 1H54 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ เนื่องจากแนวโน้มตลาดช่วง 2H54 ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลายรายต่างก็มีแผนที่จะเปิดโครงการ แนวราบมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนการก่อสร้างที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5 - 7% (โครงการแนวราบใช้ระยะเวลาการ สร้างประมาณ 1-2 ไตรมาส) อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการก่อสร้างที่อาจเพิ่มขึ้นดังกล่าวสามารถถูกชดเชยได้ จากนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ในปี 55 และ 20% ในปี 56 อัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอีกในช่วง 2H54 จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 54 ปรากฏว่า กน ง. มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP 1 วัน) 0.25% มาอยู่ที่ 3.50% เนื่องจากธนาคารแห่ง ประเทศไทยมองว่า แม้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเริ่มชะลอลง แต่จากอุปสงค์ในประเทศที่ เติบโตและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ยังเอื้อให้แรงกดดันด้านราคายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่ง ผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนเร่งตัวขึ้น ขณะที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ระดับสมดุลมากขึ้น แล้ว หลังจากที่ปรับขึ้นต่อเนื่องมา 1 ปี โดยเราคาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยเนื่องจากจะเป็นการลดความกังวลในเรื่องภาระค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยของผู้ซื้อ ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อมีความง่ายมากขึ้นในช่วง 2H54 Valuation and Recommendation FES ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มที่อยู่อาศัยเป็น "Neutral" แม้ว่าแนวโน้มของยอด Presales ของผู้ประกอบการแต่ละรายจะมีการเติบโตในงวด 2H54 แต่จากปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะปรับตัว สูงขึ้นได้จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างและราคาที่อยู่อาศัย ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการในปี 55 อีกทั้ง ความไม่แน่นอนในเรื่องวิกฤตการเงินของสหรัฐและยูโรโซนอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจ ประเทศไทยเกิดการชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในการเปิดขายโครงการใหม่ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม FES แนะนำให้ "ซื้อ" เพื่อเก็งกำไรในระยะกลาง - สั้น ในบริษัทที่เราคาดว่าจะมี ผลประกอบการที่โดดเด่นในช่วง 2H54 เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมที่รอรับรู้รายได้ในมูลค่าที่สูง ได้แก่ LPN (TP 11.5 บาท) AP (TP 6.6 บาท) โดยเราคาดว่า LPN และ AP จะมีรายได้สูงสุดของปี 54 ในงวด 3Q54 ส่วน SPALI (TP 15.2 บาท) โดยเราคาดว่า SPALI จะมีรายได้สูงสุดของปี 54 ในงวด 4Q54
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 4:02 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
รัฐบาลลดน้ำมันสกัดดอกเบี้ย 29 สิงหาคม 2554 เวลา 08:06 น. | เปิดอ่าน 199 | ความคิดเห็น 0 หุ้นบ้านที่ดินเช่าซื้อรถยนต์ยิ้มPSส่อล้มแผนขายหุ้นกู้3พันล. รัฐบาลได้สองเด้ง ลดราคาน้ำมันสยบเงินเฟ้อ กดดอกเบี้ยขึ้นไม่ไหว คาดดีต่อหุ้นอสังหาฯเช่าซื้อ พฤกษาฯ เสือปืนไวส่อล้มแผนออกหุ้นกู้ จ่อขายบีอีแทน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล ที่ลดลงลิตรละ 6.70, 7.54 และ 2.80 บาทชั่วคราวนั้น จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นอีก 0.25% เพียง 1 ครั้ง จากที่เหลือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 2 ครั้ง ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.5% “ดอกเบี้ยไม่เพิ่มสูงมาก จะเป็นผลดีกับการบริโภคในประเทศ และจะส่งผลเชิงจิตวิทยาให้หุ้นกลุ่มที่พักอาศัยและเช่าซื้อดีขึ้น และหุ้นกลุ่มนี้ยังได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรกด้วย” บล.ดีบีเอสฯ ระบุ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่พักอาศัย ยานยนต์ และเช่าซื้อมากขึ้น โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่พักอาศัย คือ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) บริษัท ศุภาลัย (SPALI) สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มยานยนต์เป็นบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) และหุ้นเด่นกลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (TISCO) ด้านนายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เปิดเผยว่า กรณีการเมืองส่งสัญญาณให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หยุดใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้ออย่างเดียว ส่งผลให้บริษัทต้องหันมาพิจารณาแผนทางการเงินให้รอบคอบมากขึ้น เพราะตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะต้องปรับขึ้นอีกหรือไม่ จากเดิมมั่นใจอนาคตดอกเบี้ยต้องปรับขึ้น ทั้งนี้ บริษัทเคยมีแผนออกเครื่องมือทางการเงินทั้งหมด 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายการลงทุนโครงการต่างๆ แบ่งเป็น ตั๋วเงินระยะสั้น (บีอี) จำนวน 2,000 ล้านบาท และออกหุ้นกู้อีก 3,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย.นี้ “ตอนนี้ต้องรอดูก่อนว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร เพราะดูเหมือนความชัดเจนการดูแลเสถียรภาพทางดอกเบี้ยจะยังไม่นิ่ง ดังนั้นส่วนที่บริษัทเคยคิดจะออกเป็นหุ้นกู้ทั้งหมด 3,000 ล้านบาท คงจะต้องชะลอไว้ก่อน เพราะบริษัทอาจจะออกเป็นตั๋วบีอีระยะสั้นเพิ่ม เนื่องจากมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกกว่า หรือจะออกเป็นหุ้นกู้เหมือนเดิม หรืออาจจะพิจารณาออกเป็นเครื่องมือการเงินอื่นก็ได้” อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องพิจารณาแผนการเงินให้เรียบร้อยก่อนเดือน ก.ย.ต.ค.นี้ เนื่องจากบริษัทถึงกำหนดชำระหุ้นกู้ทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. 2555 ด้านบริษัท โกลว์ พลังงาน จ่อขายหุ้นกู้วงเงิน 6,000 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งให้อันดับความน่าเชื่อถือที่ A http://www.posttoday.com/เศรษฐกิจ-หุ้น/หุ้น-การลงทุน/107666/รัฐบาลลดน้ำมันสกัดดอกเบี้ย -------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 1:32 pm
0
0
Re: บล.ไทยพาณิชย์ออกบทวิเคราะห์"หุ้นที่ได้ประโยชน์และเสียประ
http://bit.ly/pRb3Ju
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 27, 2011 10:38 am
0
0
Re: กรณีการเพิ่มทุนของ EVER
ระวังจะเจอเพิ่มทุนแบบ BWG, LL น่ะครับ ดูกันตรงนี้ บอร์ดสามารถประกาศเพิ่มทุน ได้เลย โดยไม่ต้องขออนุมัตรผู้ถือหุ้นเลย รายละเอียดเกี่ยวกับทุน ราคาพาร์ 1.00 บาท หุ้นสามัญ ทุนจดทะเบียน 611,991,798.00 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 305,996,982.00 บาท http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=EVER&language=th&country=TH
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 27, 2011 9:32 am
0
1
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
Home อสังหา อสังหาฯ Real Estate ที่ดินรัชดาฯผงาดนิวซีบีดี ฟันธงอีก2ปีธุรกิจครบวงจร Air conditioners ที่ดินรัชดาฯผงาดนิวซีบีดี ฟันธงอีก2ปีธุรกิจครบวงจร วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:18 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate User Rating: / 0 แย่ดีที่สุด ที่ดินรัชดาฯอนาคตใส "ศุภาลัย"ควัก 1.8 พันล้านคว้าที่ดินแปลงงาม 33 ไร่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 2 บิ๊ก บริษัทวิจัยและที่ดินอสังหาฯชี้รัชดาฯ จะกลายเป็นนิวซีบีดี มีรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มอีกเส้น แถมผังเมืองรวมใหม่กำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้ม สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้าได้ ด้านค่ายพฤกษา ฟันธงรัชดาฯจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร นายวสันต์ คงจันทน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ดินจำนวนกว่า 33 ไร่ ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูลไปด้วยวงเงิน 1,810 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ราคาตารางวาละ 137,000 บาท เกือบ 140,000 บาท เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดที่มีการซื้อขายกัน เพราะเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ที่มีการซื้อขายอยู่ที่ตารางวาละ 140,000-150,000 บาท เนื่องจากอยู่ในซอยเทียมร่วมมิตร ซึ่งเป็นถนนสายรอง จากถนนรัชดาภิเษก ส่วนที่ดินแปลงเล็ก ขนาด 2-4 ไร่ หากติดถนนรัชดาฯ จะมีราคาเฉลี่ย 300,00-400,000 บาทต่อตารางวา และถ้าเข้าซอยติดถนนเทียมร่วมมิตร ขนาดแปลงละ 2-4ไร่ จะมีราคา 2,000,000-2,500,000 บาทต่อตารางวา ที่ดินแปลงดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพมาก เนื่องจากในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางมีนบุรี- บางกะปิ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ- อนุสาวรีย์ฯ- ตลิ่งชัน พาดผ่านบริเวณด้านหน้าแปลงที่ดิน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ราคาที่ดินน่าจะขยับขึ้นอีกประมาณ 20 % ส่วนการพัฒนาผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครกำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้มหรือ ย.6 (ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง) มีสัดส่วนอาคารต่อพื้นที่ดิน หรือ เอฟเออาร์ 4.5 เท่า สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า "ประเมินว่าที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ บริษัทศุภาลัยฯ น่าจะพัฒนาเป็นแบบมิกซ์ยูส ด้านในเป็นคอนโดมิเนียม นับ 1,000 หน่วย ด้านหน้าเป็นโรงแรม และคอมมิวนิตีมอลล์ ฯลฯ ในอนาคต ทำเลย่านรัชดาภิเษก ตัดลาดพร้าว และทะลุออก รามอินทรา เกษตรฯ-นวมินทร์ แนวโน้ม จะกลายเป็นนิวซีบีดี หรือ ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ และจะเป็นรองน้องๆสยามสแควร์ เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนามีการปรับเปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้นมีห้างสรรพสินค้าเช็นทรัล เอสพลานาด ไนท์บาซาร์ สถานบันเทิง แหล่งงาน ตลอดจนมีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสอำนวยความสะดวก เรียกว่าทำเลนี้ มีจุดเด่นที่ต่างจากที่อื่นคือ กลางวันเป็นแหล่งงานและที่อยู่อาศัย ช่วงกลางคืนเป็นย่านพาณิชยกรรม" นายวสันต์ กล่าว ด้านดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวที่บริษัท ศุภาลัยฯ ชนะประมูลถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่ารัฐได้กำไรจากราคาที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากเมื่อปี 2546 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้คุณหญิงพจมาน (ชินวัตร) ณ ป้อมเพชร ในราคา 772 ล้านบาท แต่ต่อมาได้ซื้อคืนมา และขายได้ในราคา 1,802 ล้านบาท เท่ากับขายได้ถึง 2.35 เท่าของราคาเดิม หรือเท่ากับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นถึง 11.3% ต่อปี ซึ่งนับว่าสูงมาก ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจภาคสนาม ยังพบว่า ราคาที่ดินขนาด 16 ไร่ ติดถนนรัชดาภิเษก ตรงบริเวณทศพลแลนด์ หากมีการขายจะเป็นเงินปัจจุบันประมาณ 310,000 บาท แต่เมื่อปี 2546 หากขายจะคิดเป็นเงินเพียง 150,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นปีละเฉลี่ย 9.5% ดังนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยแปลงนี้ ที่ 11.3% จึงถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปบนถนนรัชดาภิเษก ดร.โสภณ กล่าวอีกว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อปี 2546 ประมูลไป ณ ราคา 772 ล้านบาท นี้ติดถนนรัชดาภิเษก หรือตารางวาละ 58,125 บาท แต่นี่คิดเป็นเงินตารางวาละ 136,653 บาทซึ่งแม้จะต่ำกว่าที่ดินติดถนนรัชดาภิเษกที่มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน แต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะมีขนาดใหญ่กว่ามาก อยู่ห่างไกลจากรถไฟฟ้ากว่า และถือว่าเป็นราคาใกล้เคียงกับที่ดินที่อยู่ติดถนนพระราม 9 ซึ่งห่างไกลจากรถไฟฟ้า โดยในปี 2546 ที่ดินติดถนนพระราม 9 มีราคาประมาณ 60% ของที่ดินติดรัชดาภิเษก แต่ปีนี้ราคาที่ดินถนนพระราม 9 มีราคาเพียง 43% ของราคาที่ดินติดถนนรัชดาภิเษก ขณะที่นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการรวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาทอีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด ขณะที่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้มีการซื้อที่ดินกว่า 2 ไร่ติดถนนรัชดาภิเษกตารางวาละ 4 แสนบาท เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2556 โดยหลังจากนั้นก็มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อที่ดินแปลงใกล้กับบริษัท พฤกษาฯ ในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท พฤกษาฯ ได้มีการวิเคราะห์ที่ดินบนถนนรัชดาฯมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก และจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ แคปปิตอล มาร์เก็ต ทาวเวอร์, อาคารสำนักงานบริษัท เอไอเอฯ อีกทั้งยังมีโรงแรม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ไม่นับรวมกับโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะทำให้พื้นที่ในย่านรัชดาภิเษกเป็นทั้งแหล่งงาน และการพักอาศัย ขณะเดียวกันจากระบบเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินที่เปิดให้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ในอนาคต พื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นย่านธุรกิจสำคัญได้ไม่ยากนัก จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=79952:-2&catid=128:-real-estate-&Itemid=478
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 27, 2011 7:19 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
ช้อปหุ้นอสังหา PS-SPALI-AP รับกำไรเติบโต วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2554 ผู้เข้าชม : 145 คน อสังหาฯเสน่ห์ยังแรง! วงการให้น้ำหนักลงทุน "มากกว่าตลาด" ส่องครึ่งปีหลังผลงานดีต่อเนื่อง พร้อมรับประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ "บ้านหลังแรกกู้ 0%-ขึ้นค่าแรง" หนุนกำลังซื้อเพิ่ม ชู "PS-SPALI-AP-RAIMON" เด่น เชียร์ซื้อรับกำไรเติบโต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ยังคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (พัฒนาที่อยู่อาศัย) ให้น้ำหนัก "มากกว่าตลาด" หลังจากมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก "เท่ากับตลาด" เป็น "มากกว่าตลาด" มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 เนื่องจากทิศทางของผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลังของปี 2554 โดยเลือก 4 บริษัทเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ให้ราคาเหมาะสม (Fair Value) อยู่ที่ 23.98 บาท ซึ่งจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อบ้านหลังแรกที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเต็มที่ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ให้ Fair Value 19 บาท เนื่องจากมีแผนการเปิดโครงการเชิงรุกที่ต่อเนื่องจากครึ่งปีหลังของปี 2554 ไปถึงปี 2555 จะผลักดันการเติบโตของกำไร บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) ให้ Fair Value 7.58 บาท คาดว่าผลประกอบการในงวดไตรมาสที่ 3/54 จะเป็นจุดสูงสุดของปี 2554 และ บมจ.ไรมอนแลนด์ (RAIMON) ให้ Fair Value 2.52 บาท ณ สิ้นปี 2555 เชื่อว่าจะเห็นการพลิกกลับของผลประกอบการจากขาดทุน 214 ล้านบาทในปี 2554 มาเป็นกำไรกว่า 2 พันล้านบาทในปี 2555 สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยยังมีปัจจัยขับเคลื่อนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อว่าได้เดินทางมาถึงจุดปลายทางของขาขึ้นแล้ว ทั้งนี้ประเมินจากทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่ติดลบน้อยลงมาก และเงินเฟ้อครึ่งปีหลังของปี 2554 ที่ลดความร้อนแรงลง ส่วนอีกปัจจัยขับเคลื่อนได้แก่นโยบายของรัฐบาลใหม่ในส่วนของการสนับสนุนให้มีบ้านหลังแรกผ่านการปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี และการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยทางอ้อมผ่านการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และรายได้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อบ้านเฉพาะอย่างยิ่งราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ทุกองค์ประกอบของการดำเนินงานในงวดไตรมาสที่ 2/54 ของ 14 บริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แสดงพัฒนาการในทางบวก เริ่มจากยอดขาย (Presale) ที่ปรับเพิ่มขึ้น 64% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 5.64 หมื่นล้านบาท การบันทึกรายได้ปรับเพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรปกติ (Norm Profit Margin) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.17% ในงวดไตรมาสที่ 1/54 มาเป็น 14.17% ซึ่งทำให้กำไรจากการดำเนินงานปกติปรับเพิ่มขึ้น 39.8% จากไตรมาสที่ 1/54 และเพิ่มขึ้น 29.3% จากไตรมาสที่ 2/53 มาอยู่ที่ 5.39 พันล้านบาท ทางด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ติดลบน้อยลงจาก -9.66 พันล้านบาท เหลือเพียง -746 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกอย่างมาก ส่วนโครงสร้างการเงิน Net Gearing ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่ควบคุมได้ และมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ สถานะเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2/54 บริษัทจดทะเบียน 14 แห่งใน Coverage ของฝ่ายวิจัย ยังมี Backlog คงเหลือมากกว่า 1.66 แสนล้านบาท นับเป็นหลักประกันที่ดีของผลประกอบการในอนาคต ทั้งนี้โดยโครงสร้างของ Backlog พบว่า 1.25 แสนล้านบาท หรือ 75% เป็นกลุ่มสินค้าประเภทคอนโดฯ ส่วนที่เหลืออีก 4.09 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งทั้งหมดจะถูกบันทึกรายได้ทันภายในครึ่งปีหลังของปี 2554 << Back http://www.kaohoon.com/daily/13587/ช้อปหุ้นอสังหา-PS-SPALI-AP-รับกำไรเติบโต.htm
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 27, 2011 6:02 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
xRTR> SPALI:"ซิตี้กรุ๊ป"แนะซื้อ SPALI, ให้ราคาเป้าหมาย 18.8 บาทหลังยอดพรีเซลแกร่ง กรุงเทพ--23 ส.ค.--รอยเตอร์ ซิตี้กรุ๊ปได้ให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้นบมจ.ศุภาลัย <SPAL.BK> และให้ ราคาเป้าหมายที่ 18.8 บาท โดยระบุถึงการขยายตัวของยอดพรีเซลที่แข็งแกร่ง "ศุภาลัยเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานะแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของไทย โดยมีการขยายตัวของยอดพรีเซลสูงถึง 102% ในไตรมาส 2 ของปีนี้" ซิตี้กรุ๊ประบุในบทวิจัยวันที่ 22 ส.ค. ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ศุภาลัยเป็นหุ้นชั้นนำในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเลือกถือ ณ เวลา 10.27 น. หุ้น SPALI ร่วงลง 1.4% สู่ 14.20 บาท ขณะที่ ดัชนี SET ปรับตัวลง 0.32%--จบ-- (รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง) ((
[email protected]
; โทร 0-2648-9741; Reuters Messaging; kallayanee.cheevapanich.reuters.com @reuters.net))
โดย
thaihandsome
อังคาร ส.ค. 23, 2011 9:25 pm
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
GENCO เช้านี้จะขอเบิ้ลขยะอีกสกั ที เพราะส่งกลิ่นหอมอย่างบอกไม่ถกู ต่อเนอื่ งจากมื้อบ่ายไม้สั้นเด็กแนวเมื่อวานนี้ ถึงยุครัฐบาลใหม่นี้แล้วสิ่งที่จะต้องเน้นกันให้หนักก็คือเรื่องการขจัดมลพิษ และที่ได้เปรียบก็คือกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 16% ซะด้วย มิน่าล่ะถึงเคยเห็นข่าวว่าจะมีโครงการเกี่ยวกับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการเตรียมรับงานกำจัดน้ำมันบริเวณมาบตะพุดมูลค่าพันล้าน และทางผู้บิหาร GENCO ก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้งานนี้ ซึ่งถ้าได้มาก็กินยาวเลยด้วย และในครึ่งหลังที่น่าสนใจคือการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดแถวสาทรจำนวน 2 แห่ง และบ้านแถวบางบัวทองมูลค่ารวมกว่า 600 ล้านบาท แบบนี้แสดงว่านับจากนี้ไป turnaroundเต็มๆ เนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยกำลังบูม ขณะที่โครงการของบริษัทก็มีราคาขายไม่สูงมาก ช่วยให้ขายคล่องและรับรู้รายได้เร็ว อีกทั้งสร้างเสร็จเกือบหมดแล้ว จึงบอกได้ว่าครึ่งหลังกำไรพุ่งต่อเนื่องไปถึงปีหน้าส่วนตัวเลขสำคัญคือ Book 1.13 บาทสูงกว่าราคาหุ้นถึง 55% ของถูกอย่างนี้ไม่ควรปล่อยให้ลอยนวลพิจารณาจากสัญญาณเทคนิคเห็นโค้งตัวเป็นระฆังหงายในระยะยาว ซึ่งต้องบอกว่าใครมีอยู่ไม่ต้องปล่อย ไปเจอกันที่ 1 บาทในอนาคต ส่วนในระยะสั้นมีแนวสำคัญประจำสัปดาห์นี้ให้ลุ้นที่แนวจิตวิทยา 0.85 บาทไม่ยากเลย ถ้าไปชนแนวต้านนี้ได้จริง จะต้องยกให้เป็นขยะอันแสนหอมอีกตัวซะแล๊น http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=23823
โดย
thaihandsome
อังคาร ส.ค. 23, 2011 9:36 am
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4342 ประชาชาติธุรกิจ นาทีทองคน"ซื้อรถ-บ้านหลังแรก" กระหน่ำแคมเปญ"ลด-แจก-แถม" แจกแหลกรถไม่เกินล้านได้คืนภาษี 1 แสน บ้าน 3-4 ล้าน ฟรีดอกเบี้ย 5 ปี ไม่ต้องจ่ายค่าโอน มีผลรอบภาษีมีนาฯ"55 ค่ายรถยนต์-อสังหาฯ เด้งรับ โตโยต้าปรับไลน์เพิ่มการผลิต "มาสด้า- นิสสัน" ลุย ขณะที่คอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว สบช่องระบายสต็อกล็อตใหญ่ "พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค-เอเชี่ยน-เสนาฯ" งัดแคมเปญช่วยผ่อนเงินต้นปีแรก แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุกิจ" ว่า นโยบายเร่งด่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงในหัวข้อ "ทำทันที ปีแรก" เรื่องมาตรการภาษีเพื่อลดภาระประชาชนทั่วไป เช่นซื้อรถยนต์คันแรก ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้คืนภาษี 1 แสนบาท แต่ต้องจ่ายภาษีไปก่อน แล้วจะมีการทยอยคืนภาษีบุคคลธรรมดา แบ่งเป็นงวด ๆ เริ่มตั้งแต่ในรอบปีบัญชีภาษี พ.ศ. 2554 (มีนาคม 2555) เป็นต้นไป แหล่งข่าวยกตัวอย่างวิธีการคืนภาษีว่า ในวงเงิน 1 แสนบาท อาจจะทยอยคืนงวดแรก 50,000 บาท งวดที่สอง 30,000 บาท และงวดสุดท้าย 20,000 บาท "รัฐบาลไม่ได้ลดภาษีให้ผู้ซื้อรถทันที แต่ผู้ซื้อรถจะต้องชำระภาษีรวมกับค่ารถไปก่อน แล้วกรมสรรพากรจึงค่อยทยอยคืนให้ในรูปแบบการคืนภาษีบุคคลธรรมดา" ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่จะได้รับสิทธิต้องซื้อรถยนต์คันแรกจริง ๆ ไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน รวมไปถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ ราคารถป้ายแดงไม่เกิน 1 ล้านบาท นอกจากนี้ผู้ซื้อจะต้องครอบครองรถยนต์ไปจนครบ 5 ปี ถ้าหากมีการนำรถยนต์คันดังกล่าวไปขายต่อก่อน 5 ปี ก็จะต้องรับภาระภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดเองด้วยการคืนภาษีให้กับรัฐ โตโยต้า-มาสด้า-นิสสัน พร้อมลุย นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กระแสการคืนภาษีรถคันแรก ทำให้วงการรถยนต์บ้านเราคึกคักไปตาม ๆ กัน ล่าสุด "โตโยต้า" ได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ ทั้งการทำงาน 2 กะ และเพิ่มการทำงานล่วงเวลาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์เพื่อส่งมอบให้ทันและเตรียมรับกับกำลังซื้อที่จะมีมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่โตโยต้า วีออส และอัลติส ซีเอ็นจีมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมจากลูกค้า "โรงงานเกตเวย์จะมีกำลังการผลิตถึง 240,000 คันต่อปี เพื่อเคลียร์แบ็ก ออร์เดอร์ที่มีทั้งหมด หลังจากแผนการผลิตของเราสะดุดไป และเตรียมพร้อมสำหรับออร์เดอร์ใหม่ที่จะทะลักเข้ามา โดยเฉพาะรุ่นวีออส ที่บริษัทจะหันมาเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น จากปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 8,000-9,000 คัน" นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายนี้จะทำให้ตลาดรถยนต์โดยรวมที่มีความต้องการซื้ออยู่ค่อนข้างมากอยู่แล้วคึกคักมากยิ่งขึ้น และขณะนี้มาสด้าได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปีนี้จากเดิม 38,500 คัน เพิ่มเป็น 41,500 คัน เพิ่มขึ้น 3,000 คัน เป็นมาสด้า 2 จำนวน 2,000 คัน มาสด้า 3 อีก 500 คัน และปิกอัพ บีที-50 อีก 500 คัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ค่ายนิสสันกวาดยอดขาย"มาร์ช"กว่า 2 หมื่นคัน หลังเปิดตัว เนื่องจากเปิดราคาไม่สูงมาก เพียง 3.75 แสนบาท ล่าสุด มีกระแสข่าวยืนยันว่า ตามแผนมาร์ช 4 ประตู ซีดาน จะวางตลาดอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 3 มีราคาสูงกว่ามาร์ชตัวเก่าประมาณ 5 หมื่นบาท ซึ่งทำให้ตัวเริ่มต้นมีราคาประมาณ 4 แสนบาท นอกจากค่ายญี่ปุ่นแล้ว กลุ่มซิตี้คาร์มาเลเซีย เกาหลี อินเดีย และจีน ก็ให้ความสนใจกับตลาดรถเก๋งเล็ก ซึ่งตลาดเติบโตสูงมาก อาทิ "ทาทา" ที่ระบุชัดจะใช้โมเดลเดียวกับนาโน" แต่ปรับเพิ่มออปชั่นนำเข้าจากอินโดนีเซียมาทำตลาด เคาะราคาต่ำกว่า 3 แสน ชูความเป็นซิตี้คาร์แท้จริง เช่นเดียวกับเฌอรี่" ที่เตรียมส่งซิตี้คาร์ 1,500 ซีซี ลงตลาด 1-2 รุ่น คาดว่าราคาไม่เกิน 5 แสนบาท อสังหาฯสบช่องระบายของ แหล่งข่าวจากรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เงื่อนไขลดภาระภาษีการซื้อบ้านหลังแรก จะลดค่าโอน 1% ค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี ราคาบ้านไม่เกิน 3-4 ล้านบาท โดยมอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ไปศึกษาในรายละเอียด และจะเปิด กว้างให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมโครงการด้วย นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งพร้อมตอบ สนองต่อนโยบาย แต่เงื่อนไขจะออกมาเป็นอย่างไร เป็นการตัดสินใจระดับนโยบาย และที่ผ่านมา ธอส.ได้รายงานต่อนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้วว่าผลงานโครงการสินเชื่อ ธอส.เพื่อซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ย 0% 2 ปี วงเงิน 25,000 ล้านบาท สำหรับปล่อยกู้ซื้อบ้านหลังแรก วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท ล่าสุด ณ 18 สิงหาคม อนุมัติสินเชื่อไปกว่า 17,000 ล้านบาท มีประชาชนมายื่นคำขอสินเชื่อเต็มวงเงิน 25,000 ล้านบาท และ ธอส.รับคำขอ สินเชื่อสำรองไว้อีก 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้เต็มวงเงิน เฉลี่ยวงเงินอนุมัติรายละ 1.3-1.4 ล้านบาท ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างก็ตื่นตัวและขานรับนโยบายดังกล่าว นายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้เตรียมจัดแคมเปญเพื่อรองรับนโยบายนี้ ส่วนบ้านที่เกินเพดานวงเงินกำหนด จะนำโปรโมชั่นเสนออัตราดอกเบี้ย 1% 2 ปีแรกสำหรับผู้ซื้อภายในสิ้นปีนี้ โดยร่วมกับธนาคารกรุงไทย ออมสิน นครหลวงไทย และอีก 1 แห่งที่อยู่ระหว่างเจรจา โดยบริษัทมีบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สร้างเสร็จพร้อมโอน มูลค่ารวมกว่า 4,200 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดฯ 1,000 ยูนิต ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวอย่างละประมาณ 200 ยูนิต ซึ่งสามารถขอใช้สิทธิภายใต้แคมเปญใหม่ของรัฐบาลได้ ขณะที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลมีนโยบายดอกเบี้ยซื้อบ้านหลังแรก 0% 5 ปี เรื่องแคมเปญดอกเบี้ยบริษัทคงจะไม่ทำแล้ว เบื้องต้นที่คิดว่า น่าจะปรับแคมเปญในรูปแบบการลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าทำสัญญา หรือช่วยลูกค้ารับภาระเงินผ่อน 1 ปีแรกสำหรับผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ถ้าบ้านราคาสูงเกิน 3 ล้านบาท บริษัทช่วยสมทบเพียงบางส่วน สำหรับพอร์ตราคาไม่เกิน 3-4 ล้านบาท บริษัทมีสินค้าห้องชุดประมาณ 30-40 ยูนิต มูลค่ารวม 270-300 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 40-50 ยูนิต ระดับราคายูนิตละ 2.2 ล้านบาท มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายรัฐบาล ด้านศุภาลัยเตรียมจัดงาน "Supalai"s 12 Wonders Party" คอนโดฯพร้อมอยู่ 2 โครงการ แบรนด์ "ซิตี้โฮม รัชดา-ปิ่นเกล้า และซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์" ราคาเริ่มต้น 8.99 แสนบาท จนถึง 31 สิงหาคมนี้ ลูกค้าที่ จองซื้อจะได้รับโปรโมชั่น 12 รายการ อาทิ ฟรีเงินจอง (จ่ายเงินทำสัญญาบางส่วน ณ วันจอง) ส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท กู้ไม่ผ่านคืนเงิน ฟรีค่าโอน เป็นต้น ขณะที่เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ฯ ได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ 8 ทำเล 8 ข้อเสนอ อาทิ เงินต้นปีแรก 0 บาท ช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก ปีที่ 2 เป็นต้นไปรับดอกเบี้ย MLR -1.11% หรือเลือก ผ่อน 0% 1 ปีแรก ฟรีค่าโอน-ทำสัญญา-จดจำนอง ฯลฯ รวมมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงสิ้นปีนี้พฤกษาจะมีบ้านที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในสต๊อก ที่น่าจะสามารถเข้าโครงการมาตรการดอกเบี้ย 0% ของรัฐบาลใหม่ประมาณ 2,000 ยูนิต จากโครงการกว่า 140 โครงการที่เปิดขาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,000-5,000 ล้านบาท และมียอดขายบ้านและคอนโดฯ ที่พร้อมจะส่งมอบโอนให้ลูกค้าภายในปีนี้อีกมูลค่า 18,000 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยหลังละ 3,000,000 บาท หรือประมาณ 6,000 ยูนิต ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ดอกเบี้ย 0% ตามเงื่อนไขของรัฐบาล หน้า 1 http://www.prachachat.net/daily.php?sectionid=0201&selday=2011-08-22§name=ข่าวหน้า1
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 11:10 pm
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
ต้องขอลุ้นกำไรไตรมาสสามสำหร้บธุึรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่าจะทำกำไรได้สักเท่าไหร่
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 10:55 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
Home อสังหา อสังหาฯ Real Estate อนาคตรัชดาฯจะเหมือนถนนออชาร์ดสิงคโปร์ อนาคตรัชดาฯจะเหมือนถนนออชาร์ดสิงคโปร์ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:22 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate ประทีป ตั้งมติธรรมภายหลังจากการทราบผลการประมูลที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ภรรยาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยชนะการประมูลจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ไปด้วยราคา 772 ล้านบาท แต่การทำนิติกรรมซื้อขายครั้งนั้น ถูกศาลตัดสินให้เป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าว ซึ่งล่าสุดผลการประมูล บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้ชนะการประมูลไปด้วยราคา 1,815 ล้านบาท ซึ่ง "ประทีป ตั้งมติธรรม" ประธานกรรมการบริหาร ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแผนที่จะพัฒนาที่ดินดังกล่าว เหตุผลที่ประมูลที่ดิน มองว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีศักยภาพ เป็นแหล่งงานที่มีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ มากมาย อาทิ อาคารทรู ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อาคารฟอร์จูน มีโรงแรม 3-4 แห่ง มีศูนย์การค้า ทั้งโรบินสัน เอสพลานาด และยังมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน อนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเกิดขึ้นด้วย ซึ่งทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบถึงการประมูลที่ดินดังกล่าว จึงได้เข้าร่วมประมูล เพราะนโยบายของบริษัทได้มีการหาซื้อที่ดินอยู่ทุกอาทิตย์ และที่ดินแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองก็หายาก ซึ่งราคาที่บริษัทประมูลก็เป็นไปตามราคาตลาด แม้เมื่อก่อนราคาที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะชนะการประมูลไปในราคา 772 ล้านบาท แต่โดยปกติที่ดินใจกลางเมืองจะมีการปรับราคาขึ้น 2.5 เท่าในรอบ 10 ปี ซึ่งบริษัทก็ซื้อมาใกล้เคียงกับราคาตลาด เมื่อรวมกับภาษี ค่าธรรมเนียม ก็มีมูลค่าประมาณ 1,900 ล้านบาท ++วางแผนการพัฒนาอย่างไร เชื่อว่าถนนรัชดาฯจะกลายเป็นเหมือนถนนออชาร์ด เหมือนที่ประเทศสิงคโปร์ หรืออย่างถนนสุขุมวิทในปัจจุบัน ที่เมื่อก่อนซอย 24 หรือซอย 55 ไม่ได้เจริญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันก็มีการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาทำงาน และพักอาศัย ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าววางแผนคร่าวๆ ว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ อาจจะมี 10 อาคาร สูง 10 ชั้น ขนาดห้องจะมีตั้งแต่ 1-3 ห้อง ขนาด 50-100 ตารางเมตร ราคาขายน่าจะประมาณยูนิตละ 3-10 ล้านบาท เป็นการจัดตลาดไฮเอนด์ โดยไม่ทำห้องสตูดิโอเลยจึงจะไม่ไปกินตลาดกับโครงการของบริษัทที่จะพัฒนาในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าโครงการจะพัฒนาเป็นพื้นที่พาณิชย์ อาจจะมีร้านค้าด้านหน้าโครงการ มูลค่าโครงการคงจะมีประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปีหน้าจะเริ่มเปิดการขาย และจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 3-4 ปี ++ยังพัฒนาคอนโดฯ ตลาดคอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่มาก ปัจจุบันดีมานด์และซัพพลายก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ได้โอเวอร์ซัพพลาย เศรษฐกิจไทยยังเป็นช่วงขาขึ้น ซึ่งบริษัทยังมีแผนการพัฒนาคอนโดฯ อีก 4 โครงการนับจากนี้ มูลค่ารวมกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท จะเปิดตัวเดือนกันยายน 1โครงการ ที่ข้างสถานทูตญี่ปุ่นเดิม ราคาขายประมาณตารางเมตรละ 70,000-90,000 บาท เป็นอาคารสูงประมาณ 35-37 ชั้น ใช้แบรนด์ศุภาลัย พรีเมียร์ เดือนตุลาคมเปิด 2 โครงการในย่านเอกมัย-ทองหล่อ และแคราย ระดับราคาขายตารางเมตรละ 50,000-60,000 บาท น่าจะเป็นแบรนด์ศุภาลัยปาร์ค และเดือนพฤศจิกายนจะเปิดอีก 1 โครงการย่านรัชดาฯ-ประชาอุทิศ ระดับราคา ยูนิตละ 1-3 ล้านบาท ใช้แบรนด์ซิตี้โฮม ซึ่งการที่บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่ายังมีความต้องการ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังดี แนวโน้มดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ปรับขึ้น กำลังซื้อก็ยังมีอยู่มากด้วย จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 10:52 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
Home อสังหา อสังหาฯ-คมนาคม ราคาที่ดินขยับรับผังกทม.ใหม่ ราคาที่ดินขยับรับผังกทม.ใหม่ วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:36 น \ กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ-คมนาคม ราคาที่ดินพุ่ง รับผังเมืองรวมกทม.ใหม่ จุดตัดรถไฟฟ้า ย่านศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ราคาที่ดินขยับเพิ่ม 25% ศูนย์ตลิ่งชัน-ราชพฤกษ์ พุ่งเท่าตัวจาก 50,000 บาทต่อตร.ว.เป็นกว่า 100,000บาทต่อตร.ว. รับรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีพระราม9 แอร์พอร์ตลิงค์ ละเลงสีแดงจากพื้นที่สีเหลือง เชื่อพัฒนาตึกสูงพรึบ ส่วนศูนย์ตากสิน -บางขุนเทียน -พระราม 3-บางขุนนนท์ -ดาวคะนอง ทรงกับทรุด นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ครบอายุ 5 ปีไปแล้ว เมื่อ 15 พฤษภาคม 2554 ปัจจุบันต่ออายุครั้งที่ 1 ถึง 15 พฤษภาคม 2555 (ต่อได้อีก 1 ปีถึงปี 2556) ร่างผังใหม่ ได้มีข้อกำหนดใหม่ปรับเปลี่ยน ทั้งเพิ่มการพัฒนาและลดบทบาทการใช้ประโยชน์ลง อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทำเลใหม่ มี 10 ทำเลหลักแนวรถไฟฟ้าดังนี้ 1.ทำเลรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นผังเมืองประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลืองทั้ง ย.1, ย.2 และ ย.3) จะมีการปรับสีผังเมืองให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น กล่าวคือ ให้เป็นสีแดง พ.3 และรายรอบโดย ย.5 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพอย่างมาก โดยราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25%ใน 1-2 ปีข้างหน้าจากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 100,000-120,000 บาทต่อตร.ว. บริเวณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 150,000-200,000 บาทต่อตร.ว. 2.บริเวณศูนย์คมนาคมตากสิน จะเลิกสร้าง และปรับสีผังเมืองเป็นเขตที่อยู่อาศัย ย.7, ย.8 หรือ พื้นที่สีน้ำตาล จากผังเดิมกำหนดให้เป็นพื้นทีสีแดงหรือ พาณิชยกรรม 3. ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนลาดกระบัง (ด้านเหนือสนามบินสุวรรณภูมิ) ขยายพื้นที่สีแดง พ4. ให้กว้างขึ้น ซึ่งราคาที่ดินบริเวณนี้ อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 20,000-30,000 บาทต่อตร.ว. 4.ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนมีนบุรีเก่า-ใหม่ ขยายพื้นที่สีแดง พ.3 ให้กว้างขึ้น 5.ปรับผังสีบริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ สถานีพระราม 9 (ถนนศรีนครินทร์ และถนนพัฒนาการ) จากพื้นที่สีเหลือง ย.3, ย.4 จากที่อยู่อาศัย กระโดดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม พ.3 และ สีส้ม ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ย.5 ราคาที่ดินย่านนี้ ปรับขึ้นค่อนข้างมากมาโดยตลอด โดยปัจจุบันอยู่ที่ 250,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 1,000,000 บาทต่อตร.ว. หากปรับการใช้ประโยชน์เป็นสีแดง ราคาจะเพิ่มขึ้นแต่อาจจะไม่สูงเกิน 10% 6.ปรับผังสีบริเวณศูนย์ชุมชน ชานเมืองตลิ่งชัน ย่านถนนราชพฤกษ์ ตัดกับทางรถไฟฟ้าสายใต้ หรือแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน จาก ย.4, ก.2 เป็นพื้นที่สีแดง พ.3, สีเหลือง ย.4, สีส้ม ย.6, ย.7 แนวโน้มราคาที่ดินขึ้นเท่าตัว อยู่ที่กว่า100,000 บาทต่อตร.ว. จากปัจจุบันราคา อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. ขณะที่ราชฝั่งนนทบุรี ราคาพุ่งไปที่ 100,000 บาทต่อตร.ว.แล้ว 7. ปรับบริเวณอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ฝั่งตะวันตก) หรือ เขียวลาย ก.2 ทำเลพุทธมณฑลสาย 2 สาย 3 เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ย.3 และชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ก.3 ราคาปัจจุบันติดถนน 30,000-40,000 บาทต่อตร.ว. ในซอยไม่ถึง 10,000 บาทต่อตร.ว. จะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% 8.ปรับบริเวณริมคลองชักพระ (บางขุนนนท์) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.8 เป็นสีส้ม ย.6 ส่วน 9.ปรับบริเวณถนนสุขสวัสดิ์ (ดาวคะนอง) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.9 เป็นสีส้ม ย.7 และ 10.ปรับบริเวณบางขุนเทียนจากพื้นที่สีเขียว ก.3, ก.4 เป็น เขียวลาย หรือ ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ก.2 นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พระราม3 ปรับลด จากพื้นที่สีแดง เป็นสีน้ำตาล บริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา เอสวีคอนโดมิเนียม แต่คงพื้นที่สีแดงไว้ บริเวณมุมถนนนางลิ้นจี่เท่านั้น ส่วนคลองเคย มีการพิจารณาปรับจากพื้นที่สีน้ำเงินเป็นพื้นที่สีแดง แต่จะรอให้มีการพัฒนาก่อน นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ อาจมีเพิ่ม FAR Bonus กรณีต่างๆ ดังนี้ คือ การจัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ การจัดให้มีที่จอดรถยนต์ในพื้นที่รัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า หรือการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่การสัญจรอื่น การจัดให้มีพื้นที่สำหรับการกักเก็บน้ำฝน การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน การจัดให้มีที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมในพื้นที่โครงการและการจัดมีการโอนสิทธิการพัฒนา (Transfer of Development Right: TDR) ได้ เช่นการโอนสิทธิการพัฒนาภายในบริเวณการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่ตั้งอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ไปยังพื้นที่ในเขตส่งเสริมการพัฒนา การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ไปยังพื้นที่ในเขตการส่งเสริมการพัฒนา ด้านนางสาวปัญญภัสสร์ นพพันธ์ ผู้อำนวยการกองวางผังพัฒนาเมือง กล่าวว่า พื้นที่ที่มีการปรับเพิ่ม จะเป็นโซนใหญ่ๆ ประมาณ 9 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่ม จะมีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินขึ้น-ลง กว่า 30 จุด แยกย่อยออกไป เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์ชุมชนมีนบุรี เก่า-ใหม่ ศูนย์ชุมชนตลิ่งชัน ศูนย์บางขุนเทียน ศูนย์ตากสิน ฯลฯ ซึ่งประเมินราคาหากพื้นที่ไหนเปิดให้มีการพัฒนามากขึ้นราคาที่ดินจะขยับขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดการเก็งกำไร ไม่ใช่ราคาตลาดที่แท้จริง เพราะขึ้นอยู่กับคนซื้อคนขายที่ตกลงกัน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 10:51 pm
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
GENCO ถึงยุคนี้แล้วสิ่งที่จะต้องเน้นกันให้หนักก็คือเรื่องการขจัดมลพิษ และที่ได้เปรียบก็คือกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ซะด้วย มิน่าล่ะถึงเคยมีโครงการเกี่ยวกับความร่วมือกับญี่ปุ่นในการเตรียมรับงานกำจัดน้ำมันบริเวณมาบตะพุดมูลค่าหลักพันล้าน หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้งานนี้ และในครึ่งหลังที่น่าสนใจคือการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดแถวสาทร และบ้านแถวบางบัวทองมูลค่ารวมกว่า 600 ล้านบาท แบบนี้แสดงว่านับจากนี้ไป turnaround เต็มๆ ส่วนสัญญาณกราฟมีเด้งสวนตลาดเหมือนว่ากวักมือเรียกตอบรับข่าวดีอะไรสักอย่าง แนวต้านสั้น 0.80 บาท เด็กแนว
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 5:48 pm
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม 2554 10:31:55 น. ] หุ้น GENCO พุ่ง 15.5% มาอยู่ที่ 0.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 64.35 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.77 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.69 บาท นายสมยศ แสงสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บมจ.บริหารและการพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม(GENCO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ราคาหุ้น GENCO ที่ปรับขึ้นแรงวันนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมุมมองของนักลงทุนที่เห็นว่าภาครัฐเข้ามาคุมเข้มโรงงานอุตสาหกรรมในขั้นตอนการกำจัดของเสีย ส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทมีโอกาสได้งนเพิ่มขึ้น คาดไตรมาส 3/54 น่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจน พร้อมกับรอรัฐบาลแถลงนโยบายใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนทำให้บริษัทได้งานมากขึ้น เพราะถ้ารัฐเข้มงวดกับการกำจัดขยะอุตสาหกรรมและมีมาตรการจูงใจด้วยการลดหย่อนภาษี มีการส่งเสริมในรูปแบบต่าง ๆ กากอุตสาหกรรมก็จะถูกเข้าสู่ระบบมากขึ้น ตอนนี้ก็ยังรอรัฐบาลใหม่มาตัดสินใจ นอกจากนั้น ครึ่งปีหลังหากเศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นและการส่งออกยังเติบโตได้ดี การผลิตมาก ขึ้น ปริมาณกากก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ขึ้นกับจิตสำนึกของผู้ประกอบการที่จะนำขยะเข้ามาในระบบด้วย "เราจะมีประชุมบอร์ดในกลางเดือนนี้ รอนโยบายรัฐบาลใหม่ว่าจะให้ GENCO นำในเรื่องจัดการยังไง เพราะตอนนี้เราก็เป็นหลักอยู่ น่าจะมีงานเข้ามามากขึ้นเพราะประธานบริษัทคือปลัดกระทรวงอุตฯอาจจะมีนโยบายหลักๆของภาครัฐมาแจ้งในประชุม"นายสมยศ กล่าว นายสมยศ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทพยายามรักษายอดขายให้เท่ากับปีก่อนที่ 300 กว่าล้านบาท แต่กำไรน่าจะดีขึ้นจากการปรับราคาค่าบริการกับลูกค้าที่นอกเขตควบคุมเฉลี่ย 5-10% โดยไตรมาส 2/54 ไม่น่าขาดทุนแล้ว แม้ว่าจะกำไรไม่มาก แนวโน้มครึ่งปีหลังรอนโยบายรัฐบาลใหม่คาดอีก 1 เดือนคงจะชัดเจนขึ้น ส่วนกรณีที่เราฟ้องการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น อนุญาโตตุลาการตัดสินให้บริทได้คืนเงิน คาดว่าจะได้รับเงินในไตรมาส 3/54 นายสมยศ กล่าวถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพยืไตรมาส 3-4/54 นี้แนวโน้มที่จะจัดทีมการขายใหม่และทำโปรโมชั่นใหม่ ปัจจุบันมี 7 โครงการที่เปิดขาย มีทั้งคอนโด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ และโฮมออฟฟิศ ปีนี้ที่จะเป็นกำไรน่าจะมาจากธุรกิจอสังหาฯ 50% และบำบัดกากอุตสาหกรรม 50% ที่มา : http://www.ryt9.com/s/iq05/1191628 PS-SPALI-LPNเด้ง รับผลสูงสุดกู้บ้าน0% วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2554 ผู้เข้าชม : 55 คน "หุ้นอสังหาฯ" ดี๊ด๊าพาเหรดขึ้นถ้วนหน้า เก็งรับประโยชน์มาตรการกู้ซื้อบ้าน 0% นาน 5 ปี หนุนรายได้สูงขึ้น ชู "PS-SPALI-LPN" เด่นสุด เหตุสินค้าส่วนใหญ่ในพอร์ตราคาไม่เกิน 3ล้านบาท โบรกฯแนะ "ซื้อ" ให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ "มากกว่าตลาด" ซึ่งหากรัฐบาลประกาศใช้มาตรการกู้ซื้อบ้านหลังแรกอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คาดการณ์น่าจะช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากน่าจะสามารถขายบ้านและโอนบ้านได้ดีขึ้น ซึ่งก็น่าจะส่งผลดีกับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ให้ดีด้วย โดยบริษัทอสังหาฯ ที่มีการพัฒนาสินค้าในระดับไม่เกิน 3 ล้านบาทจำนวนมาก น่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการบ้านหลังแรกมากที่สุด ประเมินไว้ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN แนะนำ "ซื้อ" เพราะนอกจากได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวแล้ว ในแง่ของผลประกอบการของทั้ง 3 บริษัทก็ยังมีการเติบโตที่ดีด้วย ให้ราคาเป้าหมาย PS อยู่ที่ 25 บาท และSPALI อยู่ที่ 19 บาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 ส.ค.54) ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ตามแรงซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน หลังโบรกเกอร์คาดการณ์จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกู้ซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่งผลทำให้ราคาหุ้นอสังหาฯส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย PS ปิดตลาด 20 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.17% ขณะที่ LPN ปิดตลาด 11.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.70% เป็นต้น นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า หากรัฐบาลออกโครงการกู้ซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมาจริง ก็น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรวมอสังหาฯให้คึกคักขึ้น ซึ่ง LPN และบริษัทอสังหาฯรายอื่นๆ ที่มีสินค้าราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ก็น่าจะได้รับประโยชน์เหมือนกัน แต่ถ้ากำหนดราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท LPN น่าจะได้รับประโยชน์เต็มๆ เพราะสินค้าที่มีอยู่ในบริษัททั้งหมดมีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ขณะที่โครงการกู้ซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี ของรัฐบาลเก่า บริษัทได้ให้ลูกค้าโครงการคอนโดมิเนียม ลุมพินี พาร์ค ปิ่นเกล้ายื่นเสนอกู้ไปยังธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งก็ได้รับอนุมัติเพียง 400 ราย เนื่องจากมีลูกค้าบางส่วนไม่รอแล้วหันไปกู้ธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ เนื่องจากเสนอเงื่อนไขออกไม่แตกต่างจาก ธอส. และมีขั้นตอนการให้บริการที่สะดวกสบายรวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการของรัฐบาลที่จะออกมา จะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯให้คึกคักมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการด้วยว่าจะผลิตสินค้าออกมาตรงกับความต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าก็อาจจะขายไม่ดี ดังนั้น เชื่อว่านอกจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐแล้ว ก็ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่า มาตรการบ้านหลังแรกอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่ายังเป็นปัจจัยบวกในเรื่องกระตุ้นอุปสงค์สำหรับคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้วให้มีการตัดสินใจเร็วขึ้น ก่อนที่มาตรการนี้จะหมดลง สำหรับหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ จะต้องเน้นสินค้าในระดับราคาปานกลาง เพราะมีการกำหนดราคาบ้านว่าไม่เกิน 3 ล้านบาท และรถยนต์ไม่เกิน 1 ล้านบาท หลักทรัพย์ดังกล่าวได้แก่ LPN, SPALI, PS, MK และ LALIN และบางหลักทรัพย์ก็หันมาจับตลาดระดับปานกลาง-ล่างมากขึ้น เช่น LH, QH, SIRI และ AP โดยเฉพาะสินค้าประเภทคอนโดและทาวน์เฮาส์ เป็นต้น http://www.kaohoon.com/daily/13397/PS-SPALI-LPNเด้ง-รับผลสูงสุดกู้บ้าน0.htm
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 2:02 pm
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103783
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 5:30 am
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
http://www.set.or.th/dat/news/201108/11034867.pdf
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 4:06 am
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
กูรูในวงการอสังหาริมทรัพย์ 'ชาติชาย พยุหนาวีชัย' รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งหลังของปีนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าทั้งระบบจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 200,000 ล้านบาท สูงกว่าครึ่งปีแรกที่คาดว่าทั้งระบบมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 180,000 บาท 'ชาติชาย' ยกประเด็นดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นซึ่งกระทบต่อผู้กู้ ให้เห็นว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 1.25% ส่งผลให้รายได้ของผู้กู้ต่อเดือนเพิ่มขึ้น 8.5-9% เพื่อที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อในวงเงินเท่าเดิม และหากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นตาม ผู้กู้ต้องซื้อบ้านเล็กลงหรือราคาถูกลง ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าบางส่วนที่ขอเงินกู้จากธนาคาร ได้รับการอนุมัติวงเงินกู้น้อยลง แต่ธนาคารพยายามรักษาอัตราส่วนของลูกค้าในการอนุมัติเงินกู้ไว้ไม่ให้ลดลง หรือยอดปฏิเสธการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารซึ่งเคยอยู่ที่ 30 % ไม่ได้เพิ่มขี้น เนื่องมาจากสาเหตุของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ถูกปฏิเสธการอนุมัติวงเงินกู้ ยังมาจากสาเหตุหลักคือ ผู้กู้มีภาระในการผ่อนชำระอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้วมากกว่า" ชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทยกล่าว จากผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดเมื่อ 13 ก.ค.54 กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% นับเป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ต้นปี2554 รวมตั้งแต่ต้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นจาก 2.00 % เป็น 3.25% แล้ว หรือปรับขึ้นแล้ว 1.25 % ในช่วง 6 เดือน ซึ่งหลังจากนี้ยังเหลือการประชุมกนง.อีก 3 ครั้งก่อนสิ้นปี 2554 โดยที่กนง.ยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ในทิศทางเดียวกันนั้น ต้นปี2554จนถึงปัจจุบัน แบงก์พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว 0.75 -1 % โดยเอ็มแอลอาร์ของ 4 แบงก์ใหญ่ (กรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์) ปรับจาก 6.120-6.500% เป็น6.875-7.250 และเอ็มอาร์อาร์ ปรับจาก 6.625-7.000% เป็น 7.625-8.000 % ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยปรับขึ้นตามไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากอิงอยู่กับ MLR และ MRR "คาดว่าภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยพาณิชย์ ในปี 2554 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.3-7.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 7% จากปีก่อนที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ทั้งสิ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท โดย 6 เดือนแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 4.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ปล่อยสินเชื่อได้ 3.8-3.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10-12% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 7-8%" นางพิกุล ศรีมหันต์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าว ด้าน'สัมมา คีตสิน' ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า คาดว่าในช่วงปลายปีนี้ ราคาบ้านมีโอกาสปรับขึ้นแรง เพราะจากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการพบว่าส่วนใหญ่เชื่อว่า ในปลายปีนี้ตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=78204:-2-&catid=173:2009-05-19-15-25-04&Itemid=532
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 3:49 am
0
0
Re: เพิ่งรู้ว่า GENCO ก็ทำธุรกิจอสังหาด้วยเกือบ 50 % ของการล
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:49:36 น. นาทีทองคน"ซื้อรถ-บ้านหลังแรก" กระหน่ำแคมเปญ"ลด-แจก-แถม" อสังหาฯได้ทีระบายสต็อกล็อตใหญ่Share88 แจกแหลกรถไม่เกินล้านได้คืนภาษี 1 แสน บ้าน 3-4 ล้าน ฟรีดอกเบี้ย 5 ปี ไม่ต้องจ่ายค่าโอน มีผลรอบภาษีมีนาฯ"55 ค่ายรถยนต์-อสังหาฯ เด้งรับ โตโยต้าปรับไลน์เพิ่มการผลิต "มาสด้า- นิสสัน" ลุย ขณะที่คอนโดฯ ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว สบช่องระบายสต็อกล็อตใหญ่ "พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค-เอเชี่ยน-เสนาฯ" งัดแคมเปญช่วยผ่อนเงินต้นปีแรก แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุกิจ" ว่า นโยบายเร่งด่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงในหัวข้อ "ทำทันที ปีแรก" เรื่องมาตรการภาษีเพื่อลดภาระประชาชนทั่วไป เช่นซื้อรถยนต์คันแรก ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ได้คืนภาษี 1 แสนบาท แต่ต้องจ่ายภาษีไปก่อน แล้วจะมีการทยอยคืนภาษีบุคคลธรรมดา แบ่งเป็นงวด ๆ เริ่มตั้งแต่ในรอบปีบัญชีภาษี พ.ศ. 2554 (มีนาคม 2555) เป็นต้นไป แหล่งข่าวยกตัวอย่างวิธีการคืนภาษีว่า ในวงเงิน 1 แสนบาท อาจจะทยอยคืนงวดแรก 50,000 บาท งวดที่สอง 30,000 บาท และงวดสุดท้าย 20,000 บาท "รัฐบาลไม่ได้ลดภาษีให้ผู้ซื้อรถทันที แต่ผู้ซื้อรถจะต้องชำระภาษีรวมกับค่ารถไปก่อน แล้วกรมสรรพากรจึงค่อยทยอยคืนให้ในรูปแบบการคืนภาษีบุคคลธรรมดา" ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่จะได้รับสิทธิต้องซื้อรถยนต์คันแรกจริง ๆ ไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน รวมไปถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ ราคารถป้ายแดงไม่เกิน 1 ล้านบาท นอกจากนี้ผู้ซื้อจะต้องครอบครองรถยนต์ไปจนครบ 5 ปี ถ้าหากมีการนำรถยนต์คันดังกล่าวไปขายต่อก่อน 5 ปี ก็จะต้องรับภาระภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดเองด้วยการคืนภาษีให้กับรัฐ โตโยต้า-มาสด้า-นิสสัน พร้อมลุยนายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กระแสการคืนภาษีรถคันแรก ทำให้วงการรถยนต์บ้านเราคึกคักไปตาม ๆ กัน ล่าสุด "โตโยต้า" ได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ ทั้งการทำงาน 2 กะ และเพิ่มการทำงานล่วงเวลาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์เพื่อส่งมอบให้ทันและเตรียมรับกับกำลังซื้อที่จะมีมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่โตโยต้า วีออส และอัลติส ซีเอ็นจีมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมจากลูกค้า "โรงงานเกตเวย์จะมีกำลังการผลิตถึง 240,000 คันต่อปี เพื่อเคลียร์แบ็ก ออร์เดอร์ที่มีทั้งหมด หลังจากแผนการผลิตของเราสะดุดไป และเตรียมพร้อมสำหรับออร์เดอร์ใหม่ที่จะทะลักเข้ามา โดยเฉพาะรุ่นวีออส ที่บริษัทจะหันมาเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น จากปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 8,000-9,000 คัน" นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายนี้จะทำให้ตลาดรถยนต์โดยรวมที่มีความต้องการซื้ออยู่ค่อนข้างมากอยู่แล้วคึกคักมากยิ่งขึ้น และขณะนี้มาสด้าได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปีนี้จากเดิม 38,500 คัน เพิ่มเป็น 41,500 คัน เพิ่มขึ้น 3,000 คัน เป็นมาสด้า 2 จำนวน 2,000 คัน มาสด้า 3 อีก 500 คัน และปิกอัพ บีที-50 อีก 500 คัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ค่ายนิสสันกวาดยอดขาย"มาร์ช"กว่า 2 หมื่นคัน หลังเปิดตัว เนื่องจากเปิดราคาไม่สูงมาก เพียง 3.75 แสนบาท ล่าสุด มีกระแสข่าวยืนยันว่า ตามแผนมาร์ช 4 ประตู ซีดาน จะวางตลาดอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 3 มีราคาสูงกว่ามาร์ชตัวเก่าประมาณ 5 หมื่นบาท ซึ่งทำให้ตัวเริ่มต้นมีราคาประมาณ 4 แสนบาท นอกจากค่ายญี่ปุ่นแล้ว กลุ่มซิตี้คาร์มาเลเซีย เกาหลี อินเดีย และจีน ก็ให้ความสนใจกับตลาดรถเก๋งเล็ก ซึ่งตลาดเติบโตสูงมาก อาทิ "ทาทา" ที่ระบุชัดจะใช้โมเดลเดียวกับนาโน" แต่ปรับเพิ่มออปชั่นนำเข้าจากอินโดนีเซียมาทำตลาด เคาะราคาต่ำกว่า 3 แสน ชูความเป็นซิตี้คาร์แท้จริง เช่นเดียวกับเฌอรี่" ที่เตรียมส่งซิตี้คาร์ 1,500 ซีซี ลงตลาด 1-2 รุ่น คาดว่าราคาไม่เกิน 5 แสนบาท อสังหาฯสบช่องระบายของ แหล่งข่าวจากรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เงื่อนไขลดภาระภาษีการซื้อบ้านหลังแรก จะลดค่าโอน 1% ค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี ราคาบ้านไม่เกิน 3-4 ล้านบาท โดยมอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ไปศึกษาในรายละเอียด และจะเปิด กว้างให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมโครงการด้วย นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งพร้อมตอบ สนองต่อนโยบาย แต่เงื่อนไขจะออกมาเป็นอย่างไร เป็นการตัดสินใจระดับนโยบาย และที่ผ่านมา ธอส.ได้รายงานต่อนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปแล้วว่าผลงานโครงการสินเชื่อ ธอส.เพื่อซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ย 0% 2 ปี วงเงิน 25,000 ล้านบาท สำหรับปล่อยกู้ซื้อบ้านหลังแรก วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท ล่าสุด ณ 18 สิงหาคม อนุมัติสินเชื่อไปกว่า 17,000 ล้านบาท มีประชาชนมายื่นคำขอสินเชื่อเต็มวงเงิน 25,000 ล้านบาท และ ธอส.รับคำขอ สินเชื่อสำรองไว้อีก 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้เต็มวงเงิน เฉลี่ยวงเงินอนุมัติรายละ 1.3-1.4 ล้านบาท ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างก็ตื่นตัวและขานรับนโยบายดังกล่าว นายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ได้เตรียมจัดแคมเปญเพื่อรองรับนโยบายนี้ ส่วนบ้านที่เกินเพดานวงเงินกำหนด จะนำโปรโมชั่นเสนออัตราดอกเบี้ย 1% 2 ปีแรกสำหรับผู้ซื้อภายในสิ้นปีนี้ โดยร่วมกับธนาคารกรุงไทย ออมสิน นครหลวงไทย และอีก 1 แห่งที่อยู่ระหว่างเจรจา โดยบริษัทมีบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สร้างเสร็จพร้อมโอน มูลค่ารวมกว่า 4,200 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดฯ 1,000 ยูนิต ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวอย่างละประมาณ 200 ยูนิต ซึ่งสามารถขอใช้สิทธิภายใต้แคมเปญใหม่ของรัฐบาลได้ ขณะที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลมีนโยบายดอกเบี้ยซื้อบ้านหลังแรก 0% 5 ปี เรื่องแคมเปญดอกเบี้ยบริษัทคงจะไม่ทำแล้ว เบื้องต้นที่คิดว่า น่าจะปรับแคมเปญในรูปแบบการลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าทำสัญญา หรือช่วยลูกค้ารับภาระเงินผ่อน 1 ปีแรกสำหรับผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ถ้าบ้านราคาสูงเกิน 3 ล้านบาท บริษัทช่วยสมทบเพียงบางส่วน สำหรับพอร์ตราคาไม่เกิน 3-4 ล้านบาท บริษัทมีสินค้าห้องชุดประมาณ 30-40 ยูนิต มูลค่ารวม 270-300 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 40-50 ยูนิต ระดับราคายูนิตละ 2.2 ล้านบาท มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายรัฐบาล ด้านศุภาลัยเตรียมจัดงาน "Supalai"s 12 Wonders Party" คอนโดฯพร้อมอยู่ 2 โครงการ แบรนด์ "ซิตี้โฮม รัชดา-ปิ่นเกล้า และซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์" ราคาเริ่มต้น 8.99 แสนบาท จนถึง 31 สิงหาคมนี้ ลูกค้าที่ จองซื้อจะได้รับโปรโมชั่น 12 รายการ อาทิ ฟรีเงินจอง (จ่ายเงินทำสัญญาบางส่วน ณ วันจอง) ส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท กู้ไม่ผ่านคืนเงิน ฟรีค่าโอน เป็นต้น ขณะที่เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ฯ ได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นตลาดบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ 8 ทำเล 8 ข้อเสนอ อาทิ เงินต้นปีแรก 0 บาท ช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก ปีที่ 2 เป็นต้นไปรับดอกเบี้ย MLR -1.11% หรือเลือก ผ่อน 0% 1 ปีแรก ฟรีค่าโอน-ทำสัญญา-จดจำนอง ฯลฯ รวมมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงสิ้นปีนี้พฤกษาจะมีบ้านที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในสต๊อก ที่น่าจะสามารถเข้าโครงการมาตรการดอกเบี้ย 0% ของรัฐบาลใหม่ประมาณ 2,000 ยูนิต จากโครงการกว่า 140 โครงการที่เปิดขาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,000-5,000 ล้านบาท และมียอดขายบ้านและคอนโดฯ ที่พร้อมจะส่งมอบโอนให้ลูกค้าภายในปีนี้อีกมูลค่า 18,000 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยหลังละ 3,000,000 บาท หรือประมาณ 6,000 ยูนิต ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ดอกเบี้ย 0% ตามเงื่อนไขของรัฐบาล http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 3:25 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
http://manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103814
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2011 8:55 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
http://www.thairath.co.th/content/eco/195043
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2011 5:54 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น 15/08/11 อสังหาจี้รัฐบาลใหม่เร่งคลอดกู้บ้าน0%ธอส.ชงบ้านหลังแรก ลุ้นลดภาษีฟรีโอน บิ๊กอสังหาฯ "PS-SPALI" จี้รัฐบาลใหม่ เร่งคลอดมาตรการกู้ซื้อบ้าน 0% นาน 5 ปีโดยเร็ว หลัง ลูกค้าชะลอโอนรอสิทธิประโยชน์ ฟาก ธอส.เตรียมเสนอแพ็กเกจโครงการบ้านหลังแรกดอก 0% ให้ "ธีระชัย" หลัง 15 ส.ค.เริ่มชัดเจน แถมมีลุ้นมาตรการภาษีอสังหาฯ รวมทั้งฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง APโชว์แบ็กล็อก2.7หมื่นล้านSCกำไรQ2 โต72%ออกตั๋วB/Eมูลค่า 1.5 พันล้าน "AP" แย้มครึ่งปีหลังลุยเปิด 8 โครงการ มูลค่า 1.02 หมื่นลบ. พร้อมโชว์แบ็กล็อกทะลัก 2.7 หมื่นลบ. จ่อบุ๊ครายได้ครึ่งปีหลัง 9.5 พันลบ.ส่วน Q2 โชว์กำไรสุทธิ 468 ล้านบาท โต 254% รับรายได้ พุ่ง 86% ด้าน SC เจ๋ง Q2 ฟันกำไรสุทธิ 361.86 ล้านบาท โต 71.96% PSยันกำไรสุทธิปีนี้โต30%ครึ่งปีหลังรายได้สูง 1.8 หมื่นล้าน เปิดเพิ่ม 40 โครงการ "PS" ลั่นครึ่งปีหลังรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรก เหตุตุนแบ็กล็อกสูง 3.7 หมื่นล้านบาท จ่อรับรู้ครึ่งปีหลัง 1.8 หมื่นล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มอีก 40 โครงการ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายทั้งปีเข้าเป้า 4.2 หมื่นล้านบาท ยันกำไรสุทธิปีนี้โต 30% จากปีก่อน ปลายปีนี้เล็งออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท รีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่ ครบไถ่ถอนต้นปีหน้า ศุภาลัยโชว์ยอดขาย8.3พันล้านครึ่งปีหลังโหมเปิด12โครงการ SPALI รุกหนักครึ่งปีหลังโหมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.47 หมื่นล้าน พร้อมโชว์ยอดขาย 7 เดือนกว่า 8.3 พันล้าน ฟุ้งยอดขายทั้งปีเกินเป้า 1.7 หมื่นล้าน ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจตามนัด 1.4 หมื่นล้าน บอร์ดใจดีปันผลหุ้นละ 0.35 บาท จ่ายวันที่ 5 ก.ย.นี้ หลัง 6 เดือนโชว์กำไรสุทธิ 1,566 ล้าน
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 15, 2011 7:56 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
หลักทรัพย์ EVER แหล่งข่าว EVER หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2 (F45-3) วันที่/เวลา 10 ส.ค. 2554 18:28:00 สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3) บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (หน่วย : พันบาท) งบการเงินรวม ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน สอบทาน สอบทาน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 30 มิถุนายน ปี 2554 2553 2554 2553 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 170,134 (11,350) 158,698 (21,775) กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.56 (0.04) 0.52 (0.07) ต่อหุ้น (บาท) http://www.set.or.th/set/newsdetails.do?type=H&time=1312975680000&filename=dat%2Fnews%2F201108%2F11032061.t11++++++++++++++++++&source=EVER&headline=%CA%C3%D8%BB%BC%C5%A1%D2%C3%B4%D3%E0%B9%D4%B9%A7%D2%B9%A2%CD%A7%BA%A8.%E1%C5%D0%C3%C7%C1%A2%CD%A7%BA%C3%D4%C9%D1%B7%C2%E8%CD%C2+%E4%B5%C3%C1%D2%CA%B7%D5%E8+2+%28F45-3%29&symbol=EVER&language=th&country=TH
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 14, 2011 7:47 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 9:00:00 วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2554 อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้ อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้ โกยยอดขายบ้านเป็นกอบเป็นกำ ค่ายอสังหาฯ สุดปลื้ม ทยอยโชว์ผลงานไตรมาส 2 เข้าตากรรมการ ยอดขายทะลุเป้า โกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ “พฤกษา-เอพี-สยามฟิวเจอร์-ธนาสิริ-โฮมโปร” เติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกกันถ้วนหน้า ระบุยอดขายพุ่งรับอานิสงน์การเมืองในประเทศนิ่ง ลูกค้ากล้าใช้เงินซื้อที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกางแผนครึ่งปีหลังรอผุดโครงการอีกเพี้ยบ 0. พฤกษาโชว์ไตรมาส 2 ทะลุป้า นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย ทั้งยอดจอง รายได้ และกำไรสุทธิ โดยมียอดจองที่ 9,170 ล้านบาท เติบโต 8% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มียอดจอง 8,465 ล้านบาท มีรายได้รวม 6,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 5,450 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 988 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 35% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มีกำไร 731 ล้านบาท ส่งผลให้รอบครึ่งปีแรกของปีนี้ พฤกษามียอดจองสูงถึง 17,635 ล้านบาท รายได้รวม 12,229 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,719 ล้านบาท “สำหรับผลการดำเนินงานในต่างประเทศ ในปีนี้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดจองจากโครงการ Silvana เมือง บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย และโครงการคอรัล วิลล์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ รวม 413 ล้านบาท และในไตรมาส 3 นี้บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการส่งมอบห้องชุดโครงการคอรัล วิลล์ มัลดีฟส์ จำนวน 2 อาคารแรก ส่วนอีก 7 อาคาร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะทยอยส่งมอบได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า โครงการคอรัล วิลล์ ถือเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศโครงการแรกที่บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้” นายทองมา กล่าวเสริม 0. เอพีไม่น้อยหน้ากำไรพุ่งปรี๊ด นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2554 ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตทั้งในส่วนของรายได้รวมและกำไรสุทธิที่สูงขึ้น โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 4,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเติบโตขึ้น 89% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 ซึ่งรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากการโอนฯ คอนโดมิเนียมใหม่รวมทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1.Life @ ลาดพร้าว 18 2. RHYTHM รัชดา 3.The Address พญาไท และ 4.RHYTHM รัชดา-ห้วยขวาง โดย 56% ของรายได้ทั้งหมดเกิดจากคอนโดมิเนียมทั้ง 4 โครงการข้างต้น ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 63% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (7 สิงหาคม) บริษัทฯ มียอดจองที่สูงถึง 9,504 ล้านบาท เป็นแนวราบ 5,290 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4,214 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) สูงถึง 26,883 ล้านบาท เป็นสินค้าแนวราบมูลค่า 4,201 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในครึ่งปีหลัง ส่วน Backlog คอนโดมิเนียมมูลค่า 22,682 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 5,286 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 4 บริษัทฯ จะมีคอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จเพิ่มอีก 1 โครงการ คือ The Address สุขุมวิท 28 ดังนั้นหากนำรายได้ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 และ 2 รวมกับประมาณการณ์รับรู้รายได้จาก Backlog ตามจำนวนข้างต้น บริษัทฯ จะมีรายได้อยู่ในมือแล้วคิดเป็น 15,700 ล้านบาท หรือ 92% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะเกิดขึ้นจากสินค้าแนวราบที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 10,220 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 7,650 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ มูลค่า 2,570 ล้านบาท 0. สยามฟิวเจอร์กวาดกำไร 222 ล้าน นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ผู้บุกเบิกเจ้าแรกในประเทศไทยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอมมิวนิตี้ มอลล์ ที่ได้รับความนิยมอย่าง เอสพละนาด, ลา วิลล่า, เจ อเวนิว, มาร์เก็ตเพลสทองหล่อ และอีกกว่า 26 ศูนย์ เปิดเผยว่า มีรายได้รวมในครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 777ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2554 มีรายได้อยู่ที่ 372 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 113 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจาก SF ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 13 ล้านบาทจากการขายที่ดินบางส่วนของกิจการร่วมค้า โครงการเมกาบางนา ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 49% นอกจากนั้น SF ยังมีต้นทุนทางการเงินลดลงจำนวน 26 ล้านบาท เนื่องจากได้ขายโครงการรัชโยธินเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์หรือ MJLF เมื่อปลายปี 2553 ทำให้ต้นทุนการเช่าและบริการลดลงจำนวน 10 ล้านบาท คิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้จากค่าเช่าและบริการของโครงการทั้งหมดในเครือ SF ในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 615 ล้านบาท นายวิเชฐ กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง SF คาดว่ายังมั่นใจและจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสภาวะการเมืองเริ่มนิ่งหลังได้รัฐบาลใหม่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง 0. ธนาสิริฯ ผลงานยังไปได้สวย นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 16.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 15.38 ล้านบาทและสำหรับยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 จำนวน 34.6 ล้านบาท โดยสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 และยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (ครั้งที่ 3/2554 วันที่ 10 สิงหาคม 2554) ยังได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2554 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นเงินปันผลระหว่างกาลทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 26 สิงหาคม 2554 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 8 กันยายน 2554 0. โฮมโปรโชว์ครึ่งปีโต 24.67% นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 887.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175.54 ล้านบาท หรือ 24.67% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักได้แก่ รายได้จากการขาย สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 มีจำนวน 13,559.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 2,126.87 ล้านบาท หรือ 18.60% การเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นผลเนื่องจากการเติบโตของสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทราและสาขาร้อยเอ็ด รวมถึงการจัดงาน HomePro Expo ครั้งที่ 13 เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีการปรับโฉมใหม่ของ “โฮมโปร” สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 3,408.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 619.66 ล้านบาท หรือ 22.22% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเท่ากับ 25.14% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.40% เป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนของกลุ่มสินค้าขาย นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 391.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 15.78 ล้านบาท หรือ 4.20% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้าเช่าในโฮมโปร และรายได้จากพื้นที่เช่าศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ สำหรับในส่วนของรายได้อื่นๆ นั้น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีจำนวน 541.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 88.72 ล้านบาท หรือ 19.60% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร มีจำนวน 2,981.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 442.64 ล้านบาท หรือ 17.44% ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 21.99% ของยอดขาย ซึ่งใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 2553 ที่มีอัตราส่วนเท่ากับ 22.21% ของยอดขาย ค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน, ค่าขนส่งและค่าบริการ, ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบัตรเครดิต และค่าเสื่อมราคา นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2554 นั้น บริษัทฯ ยังมีนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ให้ครบ 5 สาขา โดยสาขาที่เปิดไปแล้วนั้นจำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทรา, สาขาร้อยเอ็ด และสาขาสุพรรณบุรี ยังเหลืออีก 2 แห่ง คือ สาขาลพบุรี และสาขาสกลนคร ที่จะเปิดช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนั้น ยังมีการปรับปรุงสาขาเดิม เพื่อเพิ่มอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 13, 2011 1:02 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
http://www.thairath.co.th/content/eco/192827
โดย
thaihandsome
พุธ ส.ค. 10, 2011 5:43 pm
0
0
Re: คาดน้ำมันไตรมาส4พุ่ง100ดอลล์ จากเดลินิวส์ ล่าสุดครับ
14:01 09/08/2011 FUND VIEW:กองทุนคาดหุ้นไทย panic แค่ช่วงสั้น, เป็นโอกาสซื้อ LTF-กองทุนหุ้น โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--รอยเตอร์ ผู้จัดการกองทุน มองการร่วงลงของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันนี้ เป็นผลของ แรงขายจากความตื่นตระหนก ต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก แต่น่าจะส่งผล กระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ขณะเดียวกัน มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยและเอเชีย ที่ยังดีอยู่ จะดึงดูดให้เงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ในระยะต่อไป ทำให้การร่วงลงของ ตลาดหุ้นในช่วงนี้ เป็นโอกาสทยอยเข้าซื้อกองทุนรวมหุ้น และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อรอการฟื้นตัวของตลาดในช่วงต่อไป "ถามว่า underlying มันเปลี่ยนแปลงไปมากไหม โอเคเศรษฐกิจ slow มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่รุนแรงอออกมา ก็เป็นเรื่อง sentiment พอความ กลัวเยอะๆ ทุกคนก็ตามกันว่าต้อง cut loss" นายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวกับ"รอยเตอร์" บลจ.กสิกรไทย(KAsset) บริหารกองทุนรวมใหญ่ที่สุดในไทย ขณะที่บริหาร กองทุนหุ้นมูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท เขา มองว่า ความกลัวของนักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกขณะนี้ คือภาวะ เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงอ่อนแอ รวมทั้งการที่สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ลงสู่ระดับ AA+ จาก AAA อย่างไรก็ตาม หากดูจากพื้นฐานของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย ยังถือว่ามี ความน่าสนใจ แต่พอการปรับลงของตลาด มาจากความกลัว ทำให้คาดการณ์ได้ยาก ว่าจะไปสิ้นสุดที่จุดใด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สแตนดารด์ แอนด์ พัวร์(S&P) ลดอันดับความเครดิต ระยะยาวของสหรัฐ ลงสู่ AA+ จาก AAA โดยระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าว สะท้อน มุมมองว่า ข้อตกลงเพดานหนี้ของสหรัฐที่ทำไว้ก่อนหน้านั้น ต่ำกว่าระดับที่ต้องการ การปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าว รวมถึงความกังวลต่อการถดถอยรอบใหม่ ของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดยเมื่อคืนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดทรุดลงถึง 634.76 จุด หรือ 5.55% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 79.92 จุดหรือ 6.66% ส่วนตลาดหุ้นไทยในการซื้อขาย 2 วันแรกของสัปดาห์นี้ ร่วงลงแล้วราว 50 จุด จากระดับ 1,093.38 จุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิใน ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ถึง 5.33 พันล้านบาท ต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ ที่ขายสุทธิ ถึง 6.08 พันล้านบาท เมื่อพักเที่ยง ดัชนีหุ้นไทยร่วงลง 2.45% มาที่ 1,051.80 หลังแตะต่ำสุด ในระหว่างวัน ที่ 1,033.38 ด้านนายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและ ที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงขายในตลาดหุ้นไทย ขณะนี้ เป็นแรงขายจากความตื่นตระหนก หรือ panic sell ทั้งที่ภาพรวมเศรษฐกิจ ยังไม่ได้มีประเด็นอะไรที่น่ากังวล ทำให้ประเมินได้ยาก ว่าจะหยุดปรับลงเมื่อใด "แน่นอนว่า เมื่อราคาหุ้นร่วงลงจากการขาย ก็คงต้องรอให้เขาหยุดขาย ถ้าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลง และนักลงทุนต่างประเทศเริ่มขายสุทธิน้อยลง หรือ กลับมาซื้อสักวันสองวัน นั่นคงเป็นสัญญาณที่น่าจะใช้ได้แล้วว่า รอบนี้เขาคงตกใจแค่นี้" นายต่อ กล่าวกับรอยเตอร์ **ทยอยซื้อกองทุนหุ้น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจีฯ ซึ่งบริหารกองทุนหุ้นมูลค่า 4.8 พันล้านบาท มองว่า การปรับลงของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้แม้ค่อนข้างแรง แต่จะเห็น แรงซื้อสลับกลับเข้ามาเป็นระยะสั้นเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อพื้นฐาน เศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ จึงมองว่า หากตลาดลงมาที่ระดับ 1,030-1,020 น่าจะเป็นจุด ที่ทยอยเข้าซื้อกองทุน LTF และกองทุนรวมหุ้นได้ "หุ้นไทย 3-4 วันมานี้ ไม่เคยปิดที่ low เลย มี rebound ตลอด ผมก็ เชื่อว่ามีแรงรับที่แน่นพอสมควร เพราะฉะนั้น level ตรงนี้ หรือ 1,020-1,030 คิดว่า ยังไงก็น่าจะซื้อได้สำหรับ LTF กองทุนหุ้นก็ด้วย" เขา กล่าว อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ไม่กล้าเสี่ยงซื้อ LTF ในรอบนี้ ครั้งเดียว เต็มวงเงินลงทุนที่มีอยู่ ก็อาจจะใช้การทยอยซื้อ โดยซื้อ 50% ของพอร์ตในรอบนี้ก่อน ที่เหลือก็ทยอยซื้อแต่ละเดือน ไปจนถึงสิ้นปี ขณะที่นายประเสริฐ กล่าวเสริมว่า แม้จะยังไม่สามารถคาดการณ์ถึงจุดต่ำสุด ของดัชนีหุ้นไทย ในการปรับลงรอบนี้ได้ แต่ถือว่าระดับราคาในปัจจุบัน ก็เริ่มจะถูกลง แล้ว ซึ่งน่าจะเข้าซื้อกองทุนหุ้น และกองทุน LTF ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย ก็ควรจะ เป็นการทยอยเข้าซื้อ ไม่ควรซื้อครั้งเดียวเต็มพอร์ต "ไม่มีใครรู้ว่าจะ bottom ตรงไหน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุน ถามว่าราคาถูกหรือยัง ก็เริ่มถูกแล้ว แต่ timing เราไม่รู้ ที่ทำได้ก็คือให้ทยอยซื้อ อย่าไปซื้อทีเดียว หมดก๊อก แต่ก็น่าจะเริ่มทยอยซื้อได้แล้ว" นายประเสริฐ กล่าว ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี ซึ่งบริหารกองทุนหุ้นประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท มองว่า การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทย ในรอบนี้ เป็นโอกาสสำหรับกองทุน และนักลงทุนระยะยาว ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นปัจจัย พื้นฐานดี ที่ปรับตัวลงมามากจากปัจจัยภายนอก "ของบลจ.กรุงศรี เราก็มีปรับพอร์ตมาตลอด แต่สุทธิแล้ว จะเป็น neutral หรือซื้อมากกว่า...ณ ระดับนี้ ก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับ long term" เขา กล่าว ส่วนแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในช่วงที่ผ่านมา ประเมินว่า น่าจะเป็นผลจาก กองทุนประเภทกำหนดเป้าหมาย หรือทาร์เก็ตฟันด์ ที่ปิดกองทุนหลังทำผลตอบแทนได้ตาม เป้าหมาย จากการที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปอยู่เหนือระดับ 1,100 จุด ในช่วงปลายเดือน ที่แล้วต่อเนื่องถึงต้นเดือนนี้ รวมทั้งนักลงทุนบางส่วนอาจจะไถ่ถอนหน่วยลงทุน เพื่อรับรู้กำไรด้วย นอกจากนี้ หลายๆกองทุน ก็มีการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีให้กับผู้ถือหน่วย ทำให้อาจจะมีการขายหุ้นเพื่อนำเงินไปจ่ายปันผลเช่นกัน--จบ-- (โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง--บร--) ((
[email protected]
;โทร.0-2648-9717;
โดย
thaihandsome
อังคาร ส.ค. 09, 2011 2:07 pm
0
0
Re: โบรกฯจับตาลงทุนภาครัฐชี้เป็นตัวช่วยกู้วิกฤตหุ้นไทยไม่รูด
Financial markets High hopes, low returns Equities struggle in the face of sluggish rich-world growth Aug 6th 2011 | from the print edition MANY equity investors started 2011 with high hopes. Interest rates were low and set to remain so; corporate profits were strong; and the buoyancy of emerging markets would offset any lingering weaknesses in the developed economies. At Goldman Sachs’s global strategy conference in January, an upbeat Jim O’Neill, the boss of the bank’s asset-management arm, struggled to imagine what arguments the bears could possibly assemble. Quite a few, as it happens. After the first seven months of the year global stockmarkets are in effect flat (see chart 1). Despite a last-minute deal on the US debt ceiling, a sharp fall on Wall Street on August 2nd meant that the S&P 500 had lost all its gains for the year. In Europe the mood has turned very sour: the Euro Stoxx 50 index is down by 17% from its February high, and the Italian market has fallen by almost 24%. What has gone wrong? The economic data have been a severe disappointment to the bulls. Revisions published on July 29th show that American economic output is still below its 2007 level. At the start of the year the consensus forecast for American GDP growth was 2.6%, but the annualised increase in the first half was just 0.8%. Bank of America Merrill Lynch has cut its full-year forecast to 1.7% and is predicting 2.3% for 2012, barely in line with trend. Some of this weakness was attributed to the impact of the Japanese earthquake in March, which disrupted output in the world’s third-largest economy. But that explanation is wearing thin. Japanese activity is now rebounding but the data in much of the developed world are still deteriorating. The latest source of gloom was the July Institute for Supply Management (ISM) index for American manufacturing. At 50.9, the index was barely above the line that separates expansion from contraction; the new-orders component was below it. David Rosenberg, an economist at Gluskin Sheff, a Canadian asset manager, has consistently raised doubts about the strength of the recovery. He points out that the 9.5-point decline in the ISM index over the past three months is similar to falls that preceded each of the past six American recessions, with only one false signal in 1984. Another problem has been the continued strength of the oil price. This surged in early 2011 on the back of the conflict in Libya. Many analysts expected it to drop back in the following months but Brent crude is still around 25% more expensive than it was at the end of 2010. For consumers the key number is the price of petrol at the pump: in America it has risen by 67 cents a gallon, or 22%, so far this year. Normally a weakening economy leads to a fall in commodities. But their prices are still double their level in December 2008 (as measured by The Economist’s all-items index), indicating that prices are now set not by Western consumers but by those in the developing world. This shift of economic power creates another headwind for Europe and America (see our Economics focus). Chris Watling of Longview Economics, a consultancy, points out that commodity and equity markets seem to be negatively correlated. The commodity boom of 1968-80 coincided with a bear market for equities. As raw-materials prices fell in the 1980s equities started a long bull run, peaking in 2000. Commodities have since taken off again, and the MSCI World stockmarket index is below its March 2000 high. The inability of developed-world governments to put their debt worries behind them has added to negative sentiment. Attempts by the euro zone to solve its debt crisis have conspicuously failed. Greece, Ireland and Portugal are still unable to borrow long-term funds; worse still, the contagion has spread (see article). Many bond investors thought that yields would rise as the global economy recovered. But outside the euro periphery, rich-world yields are below where they were at the start of the year. Long-term British bond yields are at their lowest since 1946. In America the ten-year Treasury-bond yield fell even as Congress flirted with default. That is not too surprising. Treasury bonds are still the most liquid market in the world. America for now retains its AAA rating from the big three agencies (although Dagong, a Chinese outfit, downgraded it to A on August 3rd) and there are no other highly rated assets of comparable size (see chart 2). Investors are nonetheless seeking other havens. The Swiss franc is up against all main currencies, prompting the Swiss National Bank to cut interest rates almost to zero on August 3rd; the Japanese authorities intervened the following day to weaken the yen; gold has risen by 18% this year to a new nominal high of $1,672 a troy ounce. The current crisis of confidence was probably inevitable given the events of recent years. Governments and central banks stepped in to rescue their banks and economies by allowing budget deficits to surge, slashing interest rates and introducing quantitative easing (QE), the creation of money to prop up asset markets. In an ideal world these measures would have been used only temporarily, until the private sector took over as the engine of growth. The ability of governments to deliver continued stimulus has since been hurt by political opposition to big deficits and, in some places, by market nerves. That puts the onus on central banks to keep interest rates low (and, perhaps, do more QE). Given this gloomy context the doubling of the S&P 500 since its March 2009 low, and the market’s high cyclically adjusted price/earnings ratio—22.2, according to Robert Shiller of Yale, compared with an historical average of 16.4—make American investors look overly sanguine. Wall Street still has the support of buoyant corporate profits, thanks to foreign earnings and cost-cutting. According to Standard & Poor’s, second-quarter earnings for S&P 500 companies are on track to reach $25.12 a share, beating the record set four years previously. If the economic outlook keeps deteriorating, that will not last. from the print edition | Finance and Economics http://www.economist.com/node/21525420
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 08, 2011 6:11 am
0
0
Re: การเงิน -การลงทุน:ในกรุงเทพธุรกิจวันนี้:หาได้ใช้เป็นแบ่ง
เธอบอกว่าเป็นเทคนิคที่เหมือนกับการเล่นหุ้นคือ ซื้อตอนคนกลัว นั่นเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เธอบอกว่าเป็นเทคนิคที่เหมือนกับการเล่นหุ้นคือ ซื้อตอนคนกลัว นั่นเป็นจังหวะที่ดีที่สุด
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 07, 2011 1:10 pm
0
0
Re: การเงิน -การลงทุน:ในกรุงเทพธุรกิจวันนี้:หาได้ใช้เป็นแบ่ง
Life Style : Life วันที่ 16 กันยายน 2552 00:01นางสิงห์ภูธรลุยธุรกิจอินเทรนด์ โดย : รัชดา ธราภาค ตามรอย แบงคอค เมดิเพล็กซ์ ค้นปัจจัยความสำเร็จนางสิงห์อีสานที่พกพาประสบการณ์ค้าพืชไร่ ก่อนเติบโตในสายพร็อพเพอร์ตี้ ใต้แบรนด์ ณุศาศิริ แกะรอยธุรกิจสุขภาพสุดทันสมัย ค้นปัจจัยความสำเร็จของผู้ประกอบการถิ่นอีสาน ที่พกพาประสบการณ์ค้าพืชไร่ ก่อนเติบโตในสายพร็อพเพอร์ตี้ ใต้แบรนด์ 'ณุศาศิริ' ถือฤกษ์ดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดตัวอย่างอลังการแขกเหรื่อมากันเพียบ สำหรับ 'แบงคอค เมดิเพล็กซ์' ริมสถานีรถไฟฟ้าเอกมัย เพื่อให้เป็นศูนย์สุขภาพผสานไลฟ์สไตล์ทันสมัย ภายในประกอบไปด้วยคลินิกของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งแผนปัจจบุนและแพทย์ทางเลือก บริการสุขภาพรอบด้านทั้งอาหารและยา ห้องแล็บ ร้านค้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไปจนถึงร้านเสริมสวย ร้านหนังสือ ฯลฯ รวมแล้วเกือบ 40 แห่ง "เคยมั้ย เวลาอยากเจอหมอเก่งๆ จะไปหาที่ไหน เลยคิดว่าน่าจะรวมหมอดีๆ ดังๆ มารวมไว้ในที่เดียวกัน เข้าถึงได้ง่าย ไปมาสะดวก" เป็นจุดเริ่มต้นไอเดียดีๆ จากมุมมองของผู้บริโภคคนหนึ่ง ที่ไม่ธรรมดาเพราะเธอคือ ศิริญา เทพเจริญ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ณุศาศิริ แกรนด์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดฯ กว่า 40 โครงการ ที่พูดคุยอย่างเป็นกันเอง ด้วยคำเรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่นว่า 'หมวย' แบงคอค เมดิเพล็กซ์ จึงเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากธุรกิจอสังหาฯ ที่เธอทำมานับสิบปี เพราะคอนโดมิเนียมหรูมูลค่าเกือบ 4,000 ล้านแห่งนี้ ชั้นล่างถูกจัดให้เป็นศูนย์การแพทย์และแหล่งรวมบริการสุขภาพที่หลากหลายที่สุดในประเทศไทย หรือเป็นแห่งเดียวในโลกตามคำยืนยันของเจ้าของโครงการ "สนใจเรื่องสุขภาพ แต่ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง เป็นแค่โรคกระเพาะกับไมเกรน แต่คิดว่าโชคดีที่เราอายุขนาดนี้ยังไม่เป็นอะไรมาก แต่การดูแลสุขภาพจำเป็น เพราะหลายโรคไม่ได้ปรากฏทันที บางครั้งเป็นหลายปี กว่าจะรู้ก็ไปไกลแล้ว หมวยทำธุรกิจ พอไปหาหมอแทนที่จะรักษาเฉยๆ ก็อยากจะหุ้นกับเขาด้วย" หลังจากตั้งโจทย์ชัดเจน เธอจึงเดินหน้า อาศัยข้อมูลเรื่องหมอดี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง และเริ่มต้นเจรจาธุรกิจกับหลายฝ่าย ซึ่งหลายกรณีเป็นการเสนอตัวเข้าถือหุ้น โดยมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนใหม่ รวมทั้งทำให้สามารถกำหนดแนวทางให้สมาชิกแต่ละรายมีเป้าหมายและจังหวะเดินไปในทิศทางเดียวกัน "อสังหาฯ ต้องฝากไว้กับเศรษฐกิจโดยรวม แต่สุขภาพไม่ต้อง เศรษฐกิจแย่ คนก็ยังต้องหาหมอ" ศิริญายอมรับว่าธุรกิจสุขภาพ ไม่ได้คืนทุนเร็วหรือทำกำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างอสังหาริมทรัพย์ "แต่คนเราก็มีบ้างน่ะ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ" ผู้บริหาร แบงคอค เมดิเพล็กซ์ ซึ่งปักหลักสร้างที่พักบนเพนท์เฮ้าส์ของอาคารเดียวกัน รวมทั้งการบริหารในรูปแบบดังที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสุขภาพที่ผลตอบแทนช้า แต่เธอมองถึงการเก็บเกี่ยวดอกผลในระยะยาว บริหารต่อเนื่อง และยังเป็นสิ่งที่ผูกพันกับไลฟ์สไตล์ในการดูแลสุขภาพ (และความงาม) ของตัวเองอย่างแยกไม่ออก หมวยโรงมัน สู่บิ๊กบอสอสังหาฯ นักธุรกิจรุ่นใหม่ในวัย 38 ปี บุคลิกดี ไอเดียก้าวหน้า บวกกับไลฟ์สไตล์ทันสมัย ถ้าไม่เจอกับตัวด้วยการพูดคำจาที่โผงผาง ตรงไปตรงมา ออกแนวนักเลงนิดๆ ใครเลยจะคิดว่าเธอคนนี้เติบโตจากกิจการค้าพืชไร่ในท้องถิ่น 'หมวย' มักจะพูดอยู่เสมอว่าเธอเป็น 'คนต่างจังหวัด' เป็น 'เด็กบ้านนอก' และไม่รีรอที่จะส่งภาษาอีสานกับใครก็ตามที่มาจากภูมิภาคเดียวกัน "หมวยโชคดีที่เกิดมาไม่เคยสบาย แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองลำบาก เพราะเราเกิดมาแบบนั้น ไม่รู้ว่าความรวยกับไม่รวยต่างกันอย่างไร ถ้ารวยคือมีเงิน มีสถานที่ มีสิ่งของมากมาย แต่ความสุขอาจจะไม่ได้มากไปกว่าตอนที่ไม่มี" เธอทิ้งการเรียนมาช่วยงานของครอบครัวเต็มตัวตั้งแต่อายุ 13 ปี พ่อแม่ของเธอมีโรงมันเล็กๆ รับซื้อพืชไร่ที่นอกตัวอำเภอโซ่พิสัย เพราะเป็นพี่สาวคนโต เธอจึงทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ขับรถหกล้อรับซื้อหัวมัน เจรจาซื้อขายพืชไร่ ฯลฯ ทำให้ได้สั่งสมทักษะทางการค้าตั้งแต่วัยเยาว์ ประกอบกับตัวเธอเองเป็นคนคิดไว ตัดสินใจเร็ว ด้วยจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ เธอพร้อมที่จะริเริ่มอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่ง..เป็นเจ้ามือหวย เธอคนนี้ก็เคยทำมาแล้ว เมื่อกิจการโรงมันเติบโตขึ้นในช่วงหลายปี 'ศิริญา' หันไปจับงานอสังหาฯ สร้างบ้านจัดสรรในจังหวัดอุดรธานี ก่อนจะประสบวิกฤติเมื่อปี 2540 "ยังดีที่เราทำเล็กๆ เขาวิกฤติกันก็วิกฤติกับเขาอยู่นะ แต่เป็นวิกฤติเล็กๆ" ด้วยเหตุการณ์ใหญ่ที่พลิกชีวิตธุรกิจของผู้ประกอบการรายเล็กๆ ในท้องถิ่นให้กลายมาเป็น 'ขาใหญ่' ในเมืองกรุง "ดวงพามา ปี 2542 ไม่มีใครทำโครงการ เรามาเห็นเข้า ตกใจเลย กรุงเทพฯ ตลาดใหญ่ ทำตลาดก็ง่าย เข้าใจเลยว่าเมื่อก่อนชวนเพื่อนกรุงเทพฯ ไปค้าขายต่างจังหวัด ไม่มีใครไป ตอนนั้นไม่รู้ ยังไปโม้กับเขาอีก ไปอุดรฯ สิ ขายได้ น่าขายหน้าจริงๆ" ศิริญาเล่าประสบการณ์ด้วยเสียงร่าเริง เริ่มต้นจากการซื้อโครงการที่ถูกทิ้งร้างหลังปี 2540 มาปรับปรุงใหม่ ปรากฏว่าขายเกลี้ยงใน 2 สัปดาห์ จากนั้นเธอจึงลุยซื้อไม่เลือกหน้า ชนิดที่เจ้าตัวบอกว่า "ใครห้ามก็ไม่ฟัง" วันนี้ 'ณุศาศิริ' มีบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมที่ขายไปแล้วกว่า 40 โครงการ และ 'แบงคอค เมดิเพล็กซ์' ถือเป็นผลงานชิ้นล่าสุด ..นับว่า 'ศิริญา เทพเจริญ' มาไกลจากก้าวแรกของเธออยู่ไม่น้อย ถามถึงกุญแจของการทำธุรกิจที่แตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่ค้าพืชไร่ อสังหาริมทรัพย์ มาจนถึงธุรกิจสุขภาพ 'ศิริญา' บอกว่าคือการคิดถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญ ธุรกิจสุขภาพแม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจที่จะเดินหน้าลุยก็คือ การเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ ที่แยกไม่ออกจากการดูแลรักษาสุขภาพ "สิ่งสำคัญที่ได้จากการทำงานตั้งแต่เด็กคือเรียนรู้ว่าการทำงานต้องมีคุณธรรม ซึ่งจะทำให้เราได้ใจลูกค้าและคู่ค้า เหมือนกันหมดไม่ว่าธุรกิจประเภทไหน" บิ๊กบอส 'ณุศาศิริ' กล่าวทิ้งท้าย
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ส.ค. 07, 2011 12:46 pm
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อ้าวล่าสุด ข่าวดีๆของกลุ่มอสังหาออกมาอีกแล้วครับ ตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ อ่านกัน -------------------------------------------------------------------------------- ธอส.ขานรับดอกเบี้ย0%5ปี เตรียมวงเงิน5หมื่นล้านรับมือ “วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี” เอ็มดี ธอส. เด้งรับนโยบายรัฐบาลใหม่ แม้ต้องตัดกำไรถึง 1,500 ล้านบาท เผยมีวงเงินพร้อมปล่อยกู้มากถึง 50,000 ล้านบาท ยันไม่กระทบสภาพคล่อง เพราะมีเงินสำรองเพียบ แถมยังเดินหน้าระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่อง คาดปีนี้มียอดสินเชื่อปล่อยใหม่ทะลุ110,000 ล้านบาท วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายจะออกโครงการสินเชื่อบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปีนั้น ในส่วนของ ธอส. ถือว่ามีความพร้อมในการรองรับมาตรการดังกล่าวอยู่แล้ว แม้ว่าจะกระทบต่อผลกำไรประมาณ 1,500 ล้านต่อปีก็ตาม โดยเตรียมความพร้อมทั้งระบบไอทีและระบบการจัดการ เนื่องจากที่ผ่านมา มีประสบการณ์จากมาตรการสินเชื่อบ้านหลังแรก 0% นาน 2 ปี มูลค่าโครงการ 20,000 ล้านบาทของรัฐบาลชุดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว ปัจจุบันได้อนุมัติวงเงินแล้ว จำนวน11,761 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือธนาคารจะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว “ขณะนี้ ธอส. ยังไม่มีรายละเอียดว่าโครงการนี้จะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับไหน และราคาบ้านหลังแรกที่เน้นราคาเท่าไร แม้จะมีกระแสข่าวว่าจะเน้นกลุ่มที่เน้นราคาบ้านไม่เกิน 4 ล้านบาทก็ตาม แต่ ธอส. ได้มีการหารือกับกระทรวงการคลังอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องรอความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ว่ามีมาตรการสินเชื่อ บ้านอย่างไร” อย่างไรก็ตาม หากโครงการดังกล่าวต้องใช้วงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท จะส่งผลให้ ธอส. กำไรหายไป 1,500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการ 0% นาน 2 ปี มูลค่า 25,000 ล้านบาทนั้น กำไรหายไป 700 ล้านบาท ซึ่ง ธอส. ยอมสูญเสียกำไรที่ต้องหายไป เพื่อสนองต่อมาตรการของรัฐบาล ส่วนในด้านของเงินทุนยืนยันว่าไม่มีปัญหา เนื่องจาก ปัจจุบัน ธอส. มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท และยังมีโครงการระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่อง โดยให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาฝากมากขึ้น สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรกสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 49,000 ล้านบาท เพิ่ม 1-2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่สินเชื่อใหม่ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 99,000 ล้านบาท แต่เท่าที่ประเมินแล้วคาดว่าในสิ้นปีนี้จะมียอดสินเชื่อใหม่ที่อนุมัติอยู่ที่ 110,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 670,000 ล้านบาท ในขณะที่เป้าสิ้นปีตั้งไว้ที่ 679,000 ล้านบาท แต่ ณ ขณะนี้น่าจะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 5 สิงหาคม 2554 15:36 น.
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 10:11 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097437
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 10:02 am
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097437
โดย
thaihandsome
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 10:00 am
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
JPM : LPN (Overweight) Price Target: Bt12.50 LPN.BK, LPN TB 2Q11 results - beat expectation again Price: Bt11.10 Price Target: Bt12.50 LPN reported solid growth in earnings. NP +15% Y/Y and +42% Q/Q (slightly above consensus). We maintain OW but given the YTD stock outperformance, upside to PT is less compared to LH and AP. * LPNs 2Q11 NP came in at Bt576 million +15% Y/Y & +42% Q/Q. This is slightly above market consensus at Bt565 million and slightly below our expectation at Bt613 million. The companys 1H11 net profit *Revenue was strong +20% Y/Y & +49% Q/Q driven by transfers of two projects incl. Place Rama 9 II (left over from 1Q11) & Park Pinklao. Stable gross profit margin at 33.1%. Increase in SG&A (+41% Y/Y & +36% Q/Q) was a function of increase in tax (in-line with revenue) and higher launches which was Bt6.5 billion vs Bt4.3 billion in 1Q11. * Impressive balance sheet position. Strong positive operating CF at Bt1.2 billion driving net D/E down from low 24% in 1Q11 to 12%. * 2H11 earnings is expected to be stable from 1H11. The revenue will come from 4 projects value Bt6.2 billion. We expect good profitmargin too given the high reception rates at launches. *Impressive 1H11 a more relax 2H11. Less launches is expected for 2H11 as pre-sales now 58% of target. New launches in 2H11 will be Bt4.4 billion (< Bt7.6 billion in 1Q11). 1H11 pre-sales = Bt8 billion or 58% of FY target at Bt14 billion. * Low downside risk on earnings given the strong backlog. LPN achieved 1H11 revenue of Bt6.0 billion and of Bt14.9 billion existing backlog, Bt6.5 billion is for 2H11. Hence, there is limited downside to our revenue forecast of Bt12.4 billion for the year. LPN has benefited from governments cheap housing loan policy as loan rejection rate has fallen from 8-10% last year and >7% in 1Q11 to 6.6% only in this quarter. @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ (CS = CREDIT SUISSE โบรกอันดับสองของโลกสัญชาติสวิส ) CS:LPN Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well/Maintain OUTPERFORM L.P.N. Development --------------------------------------------------------- Maintain OUTPERFORM Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well * LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Every part of its operations was positive, from strong presales to high revenue booking and healthy profit margins. Big cash inflow also resulted in a drop in net gearing. * 2H11 outlook is even more encouraging. Our 2011F revenue is already 100% backed by backlog. We also foresee the possibility of gross margin surprising on upside. And, with more positive cash inflow, we expect its already strong balance sheet to be even stronger. * Valuation remains low. The stock trades at 8x 2011E P/E versus our forecast 29% EPS growth. We expect annual dividend yieldsto range between 6% and 8% during our three-year forecast period (with Bt0.21/share interim dividend announced for 1H11). * Maintain OUTPERFORM. Strong 2Q11 results as expected LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Revenue was strong at Bt3.7 bn, coming mainly from two condo projects: Lumpini Place Rama 9 and Lumpini Park Pin Klao. Gross margin held up solidly at 33.2%, well above the companys general guidance of 30%. The one drawback was higherthan- expected SG&A expenses from launch activities of seven new condo projects in 1H11. Despite that, the net profit of Bt576 mn was a new historical high quarterly profit number for LPN. Presales in 2Q11 were strong at Bt4.5 bn, a +23% increase QoQ, partly due to LPNs ability to offload its unsold inventory (which fell from Bt1.9 bn at end-1Q11 to Bt763 mn at end-2Q11). The balance sheet also remained very healthy. Strong cash flow in 2Q11 led to the debt reduction which resulted in just 0.1x net gearing at end-2Q11. Outlook for 2H11 is also encouraging Three more condo projects (all of which are sold out) worth a combined Bt5.2 bn are scheduled for completion in 2H11. It will come on top of another Bt2.2 bn worth of other condo projects currently in the process of transferring. This should help sustain the strong top line well into 2H11 and allow the company to meet our Bt12.3 bn revenue forecast. The gross margin outlook is also good, particularly for the three new projects scheduled for completion in 2H11. We estimate that gross margins of these three projects could range between 32% and 36%, well above the companys general guidance of 30%. Strong cash inflow should improve its net gearing further, possibly moving LPN into a net cash position by end-3Q11 or end of this year. High earnings visibility provides comfort LPN has Bt6.5 bn of backlog to be booked as revenue in 2H11 and Bt8.4 bn in 2012, making our 2011F and 2012F revenue 100% and 60% secured, respectively.
โดย
thaihandsome
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 5:55 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
JPM : LPN (Overweight) Price Target: Bt12.50 LPN.BK, LPN TB 2Q11 results - beat expectation again Price: Bt11.10 Price Target: Bt12.50 LPN reported solid growth in earnings. NP +15% Y/Y and +42% Q/Q (slightly above consensus). We maintain OW but given the YTD stock outperformance, upside to PT is less compared to LH and AP. * LPNs 2Q11 NP came in at Bt576 million +15% Y/Y & +42% Q/Q. This is slightly above market consensus at Bt565 million and slightly below our expectation at Bt613 million. The companys 1H11 net profit *Revenue was strong +20% Y/Y & +49% Q/Q driven by transfers of two projects incl. Place Rama 9 II (left over from 1Q11) & Park Pinklao. Stable gross profit margin at 33.1%. Increase in SG&A (+41% Y/Y & +36% Q/Q) was a function of increase in tax (in-line with revenue) and higher launches which was Bt6.5 billion vs Bt4.3 billion in 1Q11. * Impressive balance sheet position. Strong positive operating CF at Bt1.2 billion driving net D/E down from low 24% in 1Q11 to 12%. * 2H11 earnings is expected to be stable from 1H11. The revenue will come from 4 projects value Bt6.2 billion. We expect good profitmargin too given the high reception rates at launches. *Impressive 1H11 a more relax 2H11. Less launches is expected for 2H11 as pre-sales now 58% of target. New launches in 2H11 will be Bt4.4 billion (< Bt7.6 billion in 1Q11). 1H11 pre-sales = Bt8 billion or 58% of FY target at Bt14 billion. * Low downside risk on earnings given the strong backlog. LPN achieved 1H11 revenue of Bt6.0 billion and of Bt14.9 billion existing backlog, Bt6.5 billion is for 2H11. Hence, there is limited downside to our revenue forecast of Bt12.4 billion for the year. LPN has benefited from governments cheap housing loan policy as loan rejection rate has fallen from 8-10% last year and >7% in 1Q11 to 6.6% only in this quarter. @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ (CS = CREDIT SUISSE โบรกอันดับสองของโลกสัญชาติสวิส ) CS:LPN Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well/Maintain OUTPERFORM L.P.N. Development --------------------------------------------------------- Maintain OUTPERFORM Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well * LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Every part of its operations was positive, from strong presales to high revenue booking and healthy profit margins. Big cash inflow also resulted in a drop in net gearing. * 2H11 outlook is even more encouraging. Our 2011F revenue is already 100% backed by backlog. We also foresee the possibility of gross margin surprising on upside. And, with more positive cash inflow, we expect its already strong balance sheet to be even stronger. * Valuation remains low. The stock trades at 8x 2011E P/E versus our forecast 29% EPS growth. We expect annual dividend yieldsto range between 6% and 8% during our three-year forecast period (with Bt0.21/share interim dividend announced for 1H11). * Maintain OUTPERFORM. Strong 2Q11 results as expected LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Revenue was strong at Bt3.7 bn, coming mainly from two condo projects: Lumpini Place Rama 9 and Lumpini Park Pin Klao. Gross margin held up solidly at 33.2%, well above the companys general guidance of 30%. The one drawback was higherthan- expected SG&A expenses from launch activities of seven new condo projects in 1H11. Despite that, the net profit of Bt576 mn was a new historical high quarterly profit number for LPN. Presales in 2Q11 were strong at Bt4.5 bn, a +23% increase QoQ, partly due to LPNs ability to offload its unsold inventory (which fell from Bt1.9 bn at end-1Q11 to Bt763 mn at end-2Q11). The balance sheet also remained very healthy. Strong cash flow in 2Q11 led to the debt reduction which resulted in just 0.1x net gearing at end-2Q11. Outlook for 2H11 is also encouraging Three more condo projects (all of which are sold out) worth a combined Bt5.2 bn are scheduled for completion in 2H11. It will come on top of another Bt2.2 bn worth of other condo projects currently in the process of transferring. This should help sustain the strong top line well into 2H11 and allow the company to meet our Bt12.3 bn revenue forecast. The gross margin outlook is also good, particularly for the three new projects scheduled for completion in 2H11. We estimate that gross margins of these three projects could range between 32% and 36%, well above the companys general guidance of 30%. Strong cash inflow should improve its net gearing further, possibly moving LPN into a net cash position by end-3Q11 or end of this year. High earnings visibility provides comfort LPN has Bt6.5 bn of backlog to be booked as revenue in 2H11 and Bt8.4 bn in 2012, making our 2011F and 2012F revenue 100% and 60% secured, respectively.
โดย
thaihandsome
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 5:53 pm
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
PS-LPN เฮรัฐอุ้มบ้านต่ำล้าน คุยตุนโครงการรอขายอื้อ แอลพีเอ็นปันผล 1.85% หึ่ง! รัฐเล็งออกมาตรการซื้อบ้านหลังแรกราคาต่ำ 1 ล้านบาท พฤกษา-แอลพีเอ็น รับอานิสงส์ แหล่งข่าวจากคนในวงการ อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่มีนโยบายเปิดโครงการซื้อบ้าน หลังแรก ดอกเบี้ย 0% แต่จะเน้นให้ซื้อบ้านในราคาต่ำเพียง 1 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจริง ๆ และต้องการให้เงินช่วยเหลือกระจายในวงกว้างยิ่งขึ้น ไม่เหมือนโครงการครั้งก่อนที่เปิดโอกาสให้ซื้อ บ้าน ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โพสต์ทูเดย์ 5/08/2011
โดย
thaihandsome
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 9:03 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
PS-LPN เฮรัฐอุ้มบ้านต่ำล้าน คุยตุนโครงการรอขายอื้อ แอลพีเอ็นปันผล 1.85% หึ่ง! รัฐเล็งออกมาตรการซื้อบ้านหลังแรกราคาต่ำ 1 ล้านบาท พฤกษา-แอลพีเอ็น รับอานิสงส์ แหล่งข่าวจากคนในวงการ อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่มีนโยบายเปิดโครงการซื้อบ้าน หลังแรก ดอกเบี้ย 0% แต่จะเน้นให้ซื้อบ้านในราคาต่ำเพียง 1 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจริง ๆ และต้องการให้เงินช่วยเหลือกระจายในวงกว้างยิ่งขึ้น ไม่เหมือนโครงการครั้งก่อนที่เปิดโอกาสให้ซื้อ บ้าน ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โพสต์ทูเดย์ 5/08/2011
โดย
thaihandsome
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 9:02 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
SPALI บวกไป 3% ครับ วันนี้ LL บวกไป 22% คงยืนยัน UPTREND ของกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วน่ะครับ AP, LPN ก็เขียวสวนกระดานแดงก่ำ นี่คงยืนยันถึงขาขึ้นรอบใหม่ขอกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วมั้ง
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2011 7:44 pm
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
SPALI บวกไป 3% ครับ วันนี้ LL บวกไป 22% คงยืนยัน UPTREND ของกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วน่ะครับ AP, LPN ก็เขียวสวนกระดานแดงก่ำ นี่คงยืนยันถึงขาขึ้นรอบใหม่ขอกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วมั้ง
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2011 7:43 pm
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เรื่องนี้คง confirm การขยายตัวในทางบวกของกลุ่มอสังหาและกลุ่มรับเหมาได้อีกแรงนะครับ $$$$$$$$$$$$$$ วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:06:01 น. กทม.ผุดถนนใหม่128สายรับรถไฟฟ้า เปิดทำเลทองฝั่งธน-บูมโซนตะวันออก Share6 กทม.รื้อใหม่โครงข่ายถนนตามผังเมืองรวม เชื่อมการเดินทางเข้าถึงถนนสายหลัก สายย่อย และแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ขีดเพิ่มจากเดิม 25 สาย เป็น 128 สาย ทั้งตัดใหม่และขยายซอยเดิม ฝั่งธนบุรีส้มหล่นทะลวงพื้นที่ปิดล้อมเปิดทำเลทองใหม่เพิ่ม โซนตะวันออกได้อานิสงส์ไม่น้อยหน้า เร่งแก้ปัญหาทางเข้า-ออก แอร์พอร์ตลิงก์-บีทีเอสส่วนโซนเหนือเปิดจราจรรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเฟสแรกเสร้างทันทีในปี"55 ผศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ผู้จัดการโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ 4 มุมเมืองทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) และทะลวงพื้นที่ตาบอดให้เข้าถึงและสามารถสัญจรไปมาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างถนนสายหลักกับถนนรองและสายย่อย ตลอดจนตรอกซอกซอย รวมถึงเชื่อมต่อกับโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเปิดใช้บริการให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) บีทีเอสส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) และช่วงตากสิน-บางหว้า รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ในร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จึงได้เพิ่มโครงข่ายถนนจากผังเมืองฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอยู่ 25 สาย เป็น 128 สาย "พื้นที่กรุงเทพฯปัจจุบันจะเป็นบล็อก การเข้าถึงลำบาก เพราะถนนขนาดรองไม่ค่อยมี หรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐาน เราจึงมองว่าจะต้องเพิ่มโครงข่ายนี้เข้าไปเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมต่อการเดินทางให้ทะลุทะลวงได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการเปิดการพัฒนาในพื้นที่ใหม่ ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้นไปด้วย สำหรับการก่อสร้างหรือขยายถนนทั้งหมดนี้ บางส่วนอาจจะต้องเวนคืนที่ดิน บางส่วนจะใช้แนวเขตทางเดิม" ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวว่า ตามแผนที่วางไว้จะเน้นไปที่การเพิ่มถนนสายรอง จำนวน 107 สาย มีทั้งถนนตัดใหม่และขยายถนนซอยเดิมที่แคบให้ได้มาตรฐานถนนสายรอง คือมีความกว้างขนาด 12 เมตร (2 เลน) และ 16 เมตร (4 เลน) โดยใน 107 สายดังกล่าว จะเป็นถนนขนาด 12 เมตร 22 สาย และถนนขนาด 16 เมตร 85 สาย ส่วนที่เหลืออีก 21 สาย จะเป็นถนนสายหลักขนาด 20, 30, 40, 50 และ 60 เมตร มีทั้งถนนสายเดิมมีอยู่แล้วตามผังเมืองรวมฉบับเดิม ถนนสายที่ปรับแนวเส้นทางใหม่ บางสายเป็นถนนตัดใหม่ เช่น สายต่อเชื่อมสุขสวัสดิ์-พระราม 2-ถนนสามแยกตากสิน-เพชรเกษม-ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ (ฉ 1), สายจากเกษตร-นวมินทร์-ตัดถนนเสรีไทย-ซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งจะปรับแนวใหม่ลากยาวไปถึงบริเวณบางนา-ตราด บริเวณตรงทางเข้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 (ช 3), สายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ (ช 1) เป็นต้น ถนนตัดใหม่ เช่น ย่านหนองจอก มีสายเชื่อมถนนมิตรไมตรี-ถนนเชื่อมสัมพันธ์-ถนนอยู่วิทยา-ถนนคลองสิบสาม (ง 1) เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร, สายเชื่อมรามคำแหง-ตัดถนนเจ้าคุณทหาร-ถนนลาดกระบัง (ง , สายเชื่อมถนนพุทธบูชาตัดผ่านคลองราชพฤษ์-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 10), สายเชื่อมถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 9), สายต่อเชื่อมแยกลำสาลี-ถนนกรุงเทพกรีฑา-เชื่อม มอเตอร์เวย์ (ง 7) เป็นต้น นอกจากนี้มีบางสายกำหนดไว้ในผังเมือง กทม.ฉบับปัจจุบัน แต่จะยกเลิกไป เนื่องจากเป็นโครงข่ายที่บรรจุไว้ในผังเมืองรวมนานแล้ว แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง มี 2 สาย คือสายรัชดา-รามอินทรา (ฉ 1) จะยกเลิกตรงช่วงตัดผ่านซอยเสือใหญ่ และสายพระรามที่ 2-บางค้อ (ง 1) ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวต่อว่า สำหรับถนนสายรองที่นำมาบรรจุไว้ในผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จะอยู่พื้นที่รอบนอก และเป็นพื้นที่เพิ่งจะมีรถไฟฟ้าเข้าถึง รวมทั้งพื้นที่มีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น รัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณ เกียกกาย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน การเปิดใช้ศาลาว่าการ กทม.2 เป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.หรือฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีพื้นที่ตาบอดจำนวนมาก และอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ส่วนต่อขยายบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) ทำเลหลัก ๆ เช่น ย่านหนองแขม ตลิ่งชัน เพชรเกษม ภาษีเจริญ บางแค จอมทอง บางบอน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ พุทธมณฑลสาย 1 จรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี เป็นต้น อาทิ ขยายถนนเลียบ คลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ-ใต้ เป็นขนาด 16 เมตร ฯลฯ ขณะที่พื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. เช่น เขตวัฒนา ประเวศ สวนหลวง สะพานสูง ลาดกระบัง พระโขนง สะพานสูง คันนายาว บึงกุ่ม ร่มเกล้า จะมีการปรับปรุงหรือตัดถนนใหม่บางส่วนเช่นเดียวกัน เป้าหมายเพื่อให้การเข้าถึงและต่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) คล่องตัวมากขึ้น เช่น สถานีลาดกระบัง ของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ จะขยายถนนทางรถไฟสายตะวันออกเดิมให้กว้างขึ้น ส่วนย่านถนนสุขมวิทในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส จะขยายถนนในซอยเดิม เช่น ซอยสุขุมวิท 62 (บางจาก) เดิมถนนมีขนาด 6 เมตร จะขยายเป็น 12 เมตร เป็นต้น สำหรับพื้นที่โซนเหนือ เช่น ย่านสายไหม วัชรพล บางซื่อ หลักสี่ ดอนเมือง เป็นต้น มีทั้งขยายถนนเดิมและตัดถนนใหม่ ในบริเวณโดยรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เช่น ย่านสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค จะมีขยายถนนเดิม คือซอยชินเขตให้กว้างขึ้น ตัดถนนใหม่เชื่อม จากนอร์ธปาร์ค ไปออกถนนเลียงคลองประปา ขยายซอยแจ้งวัฒนะ 14 เป็นต้น ในส่วนของพื้นที่อื่น ๆ เช่น บริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ จะกำหนดแนวก่อสร้างถนนตัดใหม่ ต่อเชื่อมกับทางรถไฟสายใต้กับสะพานเกียกกาย (ง 3), พื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ก่อสร้างถนนตัดใหม่ (ง 2) จากถนนประชาราษฎร์ สาย 2-เลียบทางรถไฟสายเหนือ, พื้นที่โดยรอบอาคาร กทม.2 จะมีขยายถนนมิตรไมตรีเดิม เป็นต้น โดยแผนการก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก นำร่อง 5 ปี จากปี 2555-2560 ส่วนใหญ่เป็นแผนงานก่อสร้างของสำนักการโยธา กทม. ซึ่งได้งบประมาณ 2554 สำหรับศึกษาและออกแบบรายละเอียดแล้ว เน้นส่วนที่เป็นเส้นทางรองรับรถไฟฟ้า 4 สาย ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน บีทีเอสส่วนต่อขยาย และรถ ไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ไปจะมีการจัดลำดับความสำคัญอีกครั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนเฟสที่ 2 เป็นแผนระยะยาวตั้งแต่ปีที่ 6-20 จะดำเนินการลำดับต่อไป http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1312336953&grpid=00&catid=&subcatid=
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2011 2:25 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
เรื่องนี้คง confirm การขยายตัวในทางบวกของกลุ่มอสังหาและกลุ่มรับเหมาได้อีกแรงนะครับ $$$$$$$$$$$$$$ วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:06:01 น. กทม.ผุดถนนใหม่128สายรับรถไฟฟ้า เปิดทำเลทองฝั่งธน-บูมโซนตะวันออก Share6 กทม.รื้อใหม่โครงข่ายถนนตามผังเมืองรวม เชื่อมการเดินทางเข้าถึงถนนสายหลัก สายย่อย และแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ขีดเพิ่มจากเดิม 25 สาย เป็น 128 สาย ทั้งตัดใหม่และขยายซอยเดิม ฝั่งธนบุรีส้มหล่นทะลวงพื้นที่ปิดล้อมเปิดทำเลทองใหม่เพิ่ม โซนตะวันออกได้อานิสงส์ไม่น้อยหน้า เร่งแก้ปัญหาทางเข้า-ออก แอร์พอร์ตลิงก์-บีทีเอสส่วนโซนเหนือเปิดจราจรรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเฟสแรกเสร้างทันทีในปี"55 ผศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ผู้จัดการโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ 4 มุมเมืองทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) และทะลวงพื้นที่ตาบอดให้เข้าถึงและสามารถสัญจรไปมาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างถนนสายหลักกับถนนรองและสายย่อย ตลอดจนตรอกซอกซอย รวมถึงเชื่อมต่อกับโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเปิดใช้บริการให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) บีทีเอสส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) และช่วงตากสิน-บางหว้า รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ในร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จึงได้เพิ่มโครงข่ายถนนจากผังเมืองฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอยู่ 25 สาย เป็น 128 สาย "พื้นที่กรุงเทพฯปัจจุบันจะเป็นบล็อก การเข้าถึงลำบาก เพราะถนนขนาดรองไม่ค่อยมี หรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐาน เราจึงมองว่าจะต้องเพิ่มโครงข่ายนี้เข้าไปเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมต่อการเดินทางให้ทะลุทะลวงได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการเปิดการพัฒนาในพื้นที่ใหม่ ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้นไปด้วย สำหรับการก่อสร้างหรือขยายถนนทั้งหมดนี้ บางส่วนอาจจะต้องเวนคืนที่ดิน บางส่วนจะใช้แนวเขตทางเดิม" ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวว่า ตามแผนที่วางไว้จะเน้นไปที่การเพิ่มถนนสายรอง จำนวน 107 สาย มีทั้งถนนตัดใหม่และขยายถนนซอยเดิมที่แคบให้ได้มาตรฐานถนนสายรอง คือมีความกว้างขนาด 12 เมตร (2 เลน) และ 16 เมตร (4 เลน) โดยใน 107 สายดังกล่าว จะเป็นถนนขนาด 12 เมตร 22 สาย และถนนขนาด 16 เมตร 85 สาย ส่วนที่เหลืออีก 21 สาย จะเป็นถนนสายหลักขนาด 20, 30, 40, 50 และ 60 เมตร มีทั้งถนนสายเดิมมีอยู่แล้วตามผังเมืองรวมฉบับเดิม ถนนสายที่ปรับแนวเส้นทางใหม่ บางสายเป็นถนนตัดใหม่ เช่น สายต่อเชื่อมสุขสวัสดิ์-พระราม 2-ถนนสามแยกตากสิน-เพชรเกษม-ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ (ฉ 1), สายจากเกษตร-นวมินทร์-ตัดถนนเสรีไทย-ซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งจะปรับแนวใหม่ลากยาวไปถึงบริเวณบางนา-ตราด บริเวณตรงทางเข้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 (ช 3), สายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ (ช 1) เป็นต้น ถนนตัดใหม่ เช่น ย่านหนองจอก มีสายเชื่อมถนนมิตรไมตรี-ถนนเชื่อมสัมพันธ์-ถนนอยู่วิทยา-ถนนคลองสิบสาม (ง 1) เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร, สายเชื่อมรามคำแหง-ตัดถนนเจ้าคุณทหาร-ถนนลาดกระบัง (ง , สายเชื่อมถนนพุทธบูชาตัดผ่านคลองราชพฤษ์-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 10), สายเชื่อมถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 9), สายต่อเชื่อมแยกลำสาลี-ถนนกรุงเทพกรีฑา-เชื่อม มอเตอร์เวย์ (ง 7) เป็นต้น นอกจากนี้มีบางสายกำหนดไว้ในผังเมือง กทม.ฉบับปัจจุบัน แต่จะยกเลิกไป เนื่องจากเป็นโครงข่ายที่บรรจุไว้ในผังเมืองรวมนานแล้ว แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง มี 2 สาย คือสายรัชดา-รามอินทรา (ฉ 1) จะยกเลิกตรงช่วงตัดผ่านซอยเสือใหญ่ และสายพระรามที่ 2-บางค้อ (ง 1) ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวต่อว่า สำหรับถนนสายรองที่นำมาบรรจุไว้ในผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จะอยู่พื้นที่รอบนอก และเป็นพื้นที่เพิ่งจะมีรถไฟฟ้าเข้าถึง รวมทั้งพื้นที่มีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น รัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณ เกียกกาย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน การเปิดใช้ศาลาว่าการ กทม.2 เป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.หรือฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีพื้นที่ตาบอดจำนวนมาก และอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ส่วนต่อขยายบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) ทำเลหลัก ๆ เช่น ย่านหนองแขม ตลิ่งชัน เพชรเกษม ภาษีเจริญ บางแค จอมทอง บางบอน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ พุทธมณฑลสาย 1 จรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี เป็นต้น อาทิ ขยายถนนเลียบ คลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ-ใต้ เป็นขนาด 16 เมตร ฯลฯ ขณะที่พื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. เช่น เขตวัฒนา ประเวศ สวนหลวง สะพานสูง ลาดกระบัง พระโขนง สะพานสูง คันนายาว บึงกุ่ม ร่มเกล้า จะมีการปรับปรุงหรือตัดถนนใหม่บางส่วนเช่นเดียวกัน เป้าหมายเพื่อให้การเข้าถึงและต่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) คล่องตัวมากขึ้น เช่น สถานีลาดกระบัง ของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ จะขยายถนนทางรถไฟสายตะวันออกเดิมให้กว้างขึ้น ส่วนย่านถนนสุขมวิทในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส จะขยายถนนในซอยเดิม เช่น ซอยสุขุมวิท 62 (บางจาก) เดิมถนนมีขนาด 6 เมตร จะขยายเป็น 12 เมตร เป็นต้น สำหรับพื้นที่โซนเหนือ เช่น ย่านสายไหม วัชรพล บางซื่อ หลักสี่ ดอนเมือง เป็นต้น มีทั้งขยายถนนเดิมและตัดถนนใหม่ ในบริเวณโดยรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เช่น ย่านสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค จะมีขยายถนนเดิม คือซอยชินเขตให้กว้างขึ้น ตัดถนนใหม่เชื่อม จากนอร์ธปาร์ค ไปออกถนนเลียงคลองประปา ขยายซอยแจ้งวัฒนะ 14 เป็นต้น ในส่วนของพื้นที่อื่น ๆ เช่น บริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ จะกำหนดแนวก่อสร้างถนนตัดใหม่ ต่อเชื่อมกับทางรถไฟสายใต้กับสะพานเกียกกาย (ง 3), พื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ก่อสร้างถนนตัดใหม่ (ง 2) จากถนนประชาราษฎร์ สาย 2-เลียบทางรถไฟสายเหนือ, พื้นที่โดยรอบอาคาร กทม.2 จะมีขยายถนนมิตรไมตรีเดิม เป็นต้น โดยแผนการก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก นำร่อง 5 ปี จากปี 2555-2560 ส่วนใหญ่เป็นแผนงานก่อสร้างของสำนักการโยธา กทม. ซึ่งได้งบประมาณ 2554 สำหรับศึกษาและออกแบบรายละเอียดแล้ว เน้นส่วนที่เป็นเส้นทางรองรับรถไฟฟ้า 4 สาย ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน บีทีเอสส่วนต่อขยาย และรถ ไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ไปจะมีการจัดลำดับความสำคัญอีกครั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนเฟสที่ 2 เป็นแผนระยะยาวตั้งแต่ปีที่ 6-20 จะดำเนินการลำดับต่อไป http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1312336953&grpid=00&catid=&subcatid=
โดย
thaihandsome
พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2011 2:05 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
แรงไม่หยุดแล้วครับ อสังหาตัวเล็ก KMC, ESTAR, LL เตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่แต่ใหญ่กว่า ล่วงหน้าเลย PAO อั่งเปาแอสเสท จำกัด มหาชน
โดย
thaihandsome
อังคาร ส.ค. 02, 2011 11:17 am
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
ยึดโซนรัชดาฯผุดคอนโดฯพรึบ วันศุกร์ที่ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 11:16 น. ดีเวลอปเปอร์ยังยึดโซนถนนรัชดาภิเษกขึ้นคอนโดฯ คาดครึ่งปีหลังมีไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย มูลค่าเฉียดหมื่นล้าน หลังซัพพลายในตลาดเหลือแค่ 922 หน่วย ล่าสุด พฤกษา ปักธง ขึ้นโปรเจ็กต์ 1,350 ล้าน ขายตารางเมตรละกว่าแสนบาท โครงการ "ไอวี่ แอมพิโอ" ยอดขายพุ่งแล้วกว่า 50% หลังเปิดตัวขายแค่ 2 เดือน ชี้อนาคตถนนรัชดาฯ เป็นซีบีดีแห่งใหม่ของกทม. อีก 2 ปีคาดอาคารผุดกว่า 8 แสนตร.ม. นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท เอเจนซี ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการ รวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาท อีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด นางสาวพรภักษ์ กล่าวอีกว่า การเปิดตัวใหม่บนถนนรัชดาฯถือว่ามีการชะลอตัวลงไป เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการออกมามากตั้งแต่ปี 2548 ดีมานด์และซัพพลายถูกดูดซับไปมาก ซึ่งเคยสูงสุดถึง 30-35% ต่อเดือน ส่วนปัจจุบันมีอัตราดูดซับต่อเดือน 26% แต่ทำเลดังกล่าวก็ยังเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เป็นแหล่งงานและมีพื้นที่สำนักงานจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อห้องชุดจะเข้าอยู่จริงถึง 70% และมีอัตราการปล่อยเช่าประมาณ 20% ซึ่งอัตราค่าเช่าสำหรับโครงการที่อยู่ติดถนน จะมีราคาเฉลี่ย 500 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หากเป็นโครงการที่อยู่ในซอยจะมีระดับราคาค่าเช่า 300-400 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% คิดเป็นมูลค่า 670 ล้านบาท หลังเปิดขายได้เพียง 2 เดือน คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ และก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2556 "บริษัทซื้อที่ดินมาเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในราคาตารางวาละ 4 แสนบาท หลังจากนั้นไม่นานก็มีบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งมาซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขายในราคาไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนบาทต่อตารางเมตร แต่ในส่วนของบริษัทขายเฉลี่ยตารางเมตรละแสนกว่าบาท เป็นห้องชุดพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่เข้าอยู่ได้ทันทีในช่วงปี 2556 ซึ่งการที่บริษัทกล้าตัดสินใจมาลงทุนพัฒนาโครงการบนถนนรัชดาฯ เนื่องจากเห็นศักยภาพของทำเลนี้ ที่ในอนาคตจะกลายเป็นย่านธุรกิจ(ซีบีดี)ใจกลางเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ" นายประเสริฐ กล่าวและว่า ในอนาคตอีก 2-3 ปีเชื่อว่าราคาที่ดินตั้งแต่บริเวณแยกพระราม 9 จนถึงแยกศูนย์วัฒนธรรมฯ จะปรับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน ซึ่งราคาที่ดินน่าจะขยับไปถึงตารางวาละ 7-8 แสนบาท และภาพของบริเวณดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากจะมีการพัฒนาโครงการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ อาคารเอไอเอ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่มีพื้นที่สำนักงานให้เช่าและโรงแรม เป็นต้น ซึ่งจะมีพื้นที่รวมของอาคารต่างๆ เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 8 แสนตารางเมตร นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์บนแนวถนนรัชดาฯ-พระราม 9 ว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อพิจารณาด้านประชากรศาสตร์ถือเป็นพื้นที่ที่ประชากรมีรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆของประชากรกรุงเทพฯ โดยมองว่ายังมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก สอดคล้องกับผลการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่รัชดาฯ ซึ่งพบว่าเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา (2551-2553) มีอัตราการเติบโตของตลาดคอนโดฯสูงเป็นอันดับ 3 รองจากสีลมและพหลโยธิน โดยตลาดระดับ กลาง-บน ราคา 3-7 ล้านบาท มีการเติบโตถึง 315% มีมูลค่าตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 3,900 ล้านบาท เป็น 8,377 ล้านบาท ภายใน 2 ปี พื้นที่ใจกลางรัชดาฯมีการเติบโตของตลาดสูงที่สุด จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,657 31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โดย
thaihandsome
อังคาร ส.ค. 02, 2011 4:40 am
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กลุ่มอสังหาฯราคาแหล่ม หุ้นสุดถูก วันจันทร์ที่ 01 สิงหาคม 2554 ผู้เข้าชม : 41 คน กูรูเชียร์ซื้อ PTT-AP-LPN-SPALI รับเงินเม็ดเงินไหลเข้าร้อนแรง เหตุราคาหุ้นดังกล่าวพื้นฐานแกร่งราคาไม่สูง ลุ้นปรับประมาณการ ระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ลุยเก็งกำไรได้ พร้อมแนะ หากดัชนีแตะระดับ 1,150 จุดหาจังหวะเหมาะเทขายทำกำไรทันที นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนช่วงเงินทุนนอกไหลเข้าประเทศจำนวนมากในขณะนี้ ยังมีหลักทรัพย์ที่น่าสนใจและนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้ ประกอบด้วยหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว มองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมากเช่นกัน ที่สำคัญราคาหุ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาในปัจจุบันยังไม่ปรับตัวขึ้นไปมากเหมือนหลักทรัพย์กลุ่มอื่น อย่างหลักทรัพย์กลุ่มธนาคาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มไอซีที เป็นต้น ในส่วนของนักลงทุน แนะว่า ควรหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วเข้าไปทำกำไรในหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวได้ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้น1-2 สัปดาห์จากนี้ไป นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็งกำไรได้ สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานประกอบด้วย หุ้น PTT ราคาเป้าหมายที่ 434 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย หุ้น AP ราคาเป้าหมายที่ 7.70 บาท หุ้น LPN ราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท และหุ้น SPALI ราคาเป้าหมายที่ 15.25 บาท และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับประมาณการ ทิศทางการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวก็เช่นกัน หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจและเหมาะในการลงทุนดังกล่าวค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปสูงบ้างแล้ว นอกจากนี้ แนะว่า หากดัชนีแตะที่ระดับ 1,150 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะเทขายเพื่อทำกำไรทันที “การลงทุนหุ้นไทยช่วงนี้ นักลงทุนก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่รอจังหวะให้ดี เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ ส่วนหุ้นที่ดีเหมาะแก่การลงทุนราคายังไม่ปรับตัวสูงมากนัก ก็ยังเป็นหุ้นพลังงานและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวราคายังมีโอกาสปรับตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายกวี กล่าว นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าขณะนี้ มองว่า ช่วงไตรมาส 3และ 4 ของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในไทยอีก 30% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเม็ดเงินดังกล่าวไหลกลับเข้ามาแล้วประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท จากเม็ดเงินที่นักลงทุนนำออกไปประมาณ 40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มคลี่คลายอย่างชัดเจน http://www.kaohoon.com/daily/12809/กลุ่มอสังหาฯราคาแหล่ม-หุ้นสุดถูก-.htm#
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 01, 2011 1:56 pm
0
0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
กลุ่มอสังหาฯราคาแหล่ม หุ้นสุดถูก วันจันทร์ที่ 01 สิงหาคม 2554 ผู้เข้าชม : 41 คน กูรูเชียร์ซื้อ PTT-AP-LPN-SPALI รับเงินเม็ดเงินไหลเข้าร้อนแรง เหตุราคาหุ้นดังกล่าวพื้นฐานแกร่งราคาไม่สูง ลุ้นปรับประมาณการ ระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ลุยเก็งกำไรได้ พร้อมแนะ หากดัชนีแตะระดับ 1,150 จุดหาจังหวะเหมาะเทขายทำกำไรทันที นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนช่วงเงินทุนนอกไหลเข้าประเทศจำนวนมากในขณะนี้ ยังมีหลักทรัพย์ที่น่าสนใจและนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้ ประกอบด้วยหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว มองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมากเช่นกัน ที่สำคัญราคาหุ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาในปัจจุบันยังไม่ปรับตัวขึ้นไปมากเหมือนหลักทรัพย์กลุ่มอื่น อย่างหลักทรัพย์กลุ่มธนาคาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มไอซีที เป็นต้น ในส่วนของนักลงทุน แนะว่า ควรหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วเข้าไปทำกำไรในหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวได้ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้น1-2 สัปดาห์จากนี้ไป นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็งกำไรได้ สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานประกอบด้วย หุ้น PTT ราคาเป้าหมายที่ 434 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย หุ้น AP ราคาเป้าหมายที่ 7.70 บาท หุ้น LPN ราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท และหุ้น SPALI ราคาเป้าหมายที่ 15.25 บาท และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับประมาณการ ทิศทางการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวก็เช่นกัน หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจและเหมาะในการลงทุนดังกล่าวค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปสูงบ้างแล้ว นอกจากนี้ แนะว่า หากดัชนีแตะที่ระดับ 1,150 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะเทขายเพื่อทำกำไรทันที “การลงทุนหุ้นไทยช่วงนี้ นักลงทุนก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่รอจังหวะให้ดี เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ ส่วนหุ้นที่ดีเหมาะแก่การลงทุนราคายังไม่ปรับตัวสูงมากนัก ก็ยังเป็นหุ้นพลังงานและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวราคายังมีโอกาสปรับตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายกวี กล่าว นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าขณะนี้ มองว่า ช่วงไตรมาส 3และ 4 ของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในไทยอีก 30% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเม็ดเงินดังกล่าวไหลกลับเข้ามาแล้วประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท จากเม็ดเงินที่นักลงทุนนำออกไปประมาณ 40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มคลี่คลายอย่างชัดเจน http://www.kaohoon.com/daily/12809/กลุ่มอสังหาฯราคาแหล่ม-หุ้นสุดถูก-.htm#
โดย
thaihandsome
จันทร์ ส.ค. 01, 2011 1:56 pm
0
0
Re: ลุยหุ้นอสังหาฯดักงบQ2/54@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309856234&grpid=&catid=80&subcatid=8000
โดย
thaihandsome
อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 8:19 pm
0
0
65 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
thaihandsome
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.ค. 05, 2011 10:23 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 12:06 pm
โพสต์ทั้งหมด:
348 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว