หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
xavi
Joined: พุธ ก.ค. 06, 2011 11:13 pm
123
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - xavi
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: คิดยังไงครับ คนที่มี100ล้าน
ก็งงๆอยู่เหมือนกันล่ะครับ ก่อนเข้ามาอ่านใน Thai VI รู้สึกว่า 100 ล้านนี่มันเยอะสุดๆ เป็นจำนวนเงินที่ไม่เคยคาดฝันในชีวิต พอเข้ามาก็กลับกลายเป็นว่า มีคนทำได้เยอะแยะ ทำได้ง่ายๆ ตอนนี้ถ้าพูดต้องหลัก 1,000 ล้านไปซะงั้น :wall: แต่เอาเป็นว่าถ้าได้มาโดยทำมาหากินสุตจริต ก็ยอมรับว่าเก่งมากๆครับ :bow:
โดย
xavi
ศุกร์ มี.ค. 01, 2013 11:35 pm
0
9
Re: เป็น FULLTIMETRADER มันผิดตรงไหนชีวิตฉันใครกํากับ
ผมก็เคยผ่านช่วงนี้มาครับ ไม่ได้เป็นในฐานะของ "นักลงทุน" แต่เป็นในฐานะของ "เจ้าของกิจการ" ตอนออกจากบริษัทก็สัมผัสได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป ทั้งเรื่องของเวลาในการชีวิต เรื่องของกลุ่มสังคม แต่ที่มีผลมากสุดก็คือความเป็นห่วงจาก "คนในครอบครัว" ว่าเราจะทำได้ดีเหมือนเดิมยามเป็นลูกจ้างหรือไม่ ในวันนี้ผมผ่านช่วงยากลำบากในการเป็นเจ้าของมาได้สักพักแล้ว คือธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มอยู่ตัว ไม่ยากเหมือนช่วงตั้งต้น ผมก็พบว่า ทุกครั้งที่ผมเจอคนที่ออกจากงานมาทำธุรกิจส่วนตัว ก็มักจะเป็นห่วง เพราะทุกคนต้องผ่านช่วงยากลำบากในช่วงแรกอยู่นาน อาจจะยากกว่าการเป็นลูกจ้างด้วย และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดูถูกกันในเรื่องนี้ครับ (คงมีบ้างแต่ไม่เยอะ) แต่ความรู้สึกว่าโดนมองแปลกๆหรือโดนดูถูก ก็น่าจะเป็นก็เพราะเราต้องมาเริ่มต้นหลายอย่างใหม่ๆ เช่น ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนเดิม เหงาๆตอนเช้าไม่ต้องคุยอะไรกับใคร คนอื่นออกไปนอกบ้านกันหมด เราอยู่เฝ้าหมู่บ้าน บางครั้งคนนอกดูเหมือนว่างงาน บางครั้งสถานการณ์แบบนี้ก็ทำให้เราคิดไปเองว่ามีคนเขามองเราครับ (จริงๆอาจจะไม่ได้ใครสนใจเรา 555) :wall: แต่คนที่สนใจเรามากจริงๆ มักจะเป็นคนในครอบครัวครับ กว่าจะสบายใจได้ต้องผ่านสถานการณ์แห่งความเป็นห่วงนานเป็นปีๆ จนเห็นว่าเราได้ดีมากกว่าตอนเป็นพนักงาน อาจมีความไม่เห็นด้วยที่เราเลือกจะไม่รับเงินเดือนประจำมาเสี่ยงข้างนอก เปรียบเปรยว่างานประจำดีกว่าอยู่เสมอๆ ผมคิดว่าข้อนี้เป็นสิ่งดีที่มีคนเป็นห่วงเราครับ (ตอนนี้คนเป็นห่วงมากๆคือภรรยา ก็ออกจากงานมาเรียบร้อยแล้วครับ :) แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเทียบกันได้หรือเปล่า ระหว่างออกมาเป็น "ผู้ประกอบการ" จริงๆ กับ "นักลงทุน" แต่คิดว่าก็ไม่น่าต่างกันมากเกินไป ผมก็คิดว่าเราก็สนใจจริงๆเฉพาะ "ครอบครัว" ก็พอครับ เพราะเรื่อง "คนนอก" เราไม่รู้ใจเขาจริงๆ บางครั้งเราอาจคิดไปเองก็ได้ :mrgreen:
โดย
xavi
พุธ ก.พ. 20, 2013 12:52 am
0
2
Re: สอบถามกู้ซื้อ บ้าน สําหรับนักลงทุน Full Time ครับ
ถ้าซื้อเพราะต้องอยู่อาศัยจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นครับ เพราะในบางเงื่อนไขอาจทำให้เราไม่สามารถอยู่บ้านเดียวกับพ่อหรือแม่ได้ ส่วนของผมโชคดีที่ภรรยาไม่ค่อยเรื่องมาก (และอดทนพอสมควร) เลยไม่ต้องซื้อบ้านใหม่ แต่ผมก็ลงทุนในคอนโดด้วย โชคดีว่าลงทุนตั้งแต่ก่อนออกจากงานก็เลยกู้ได้ไม่ยากเท่าไร ถ้าเลือกทำเลดีก็มีผู้เช่าสม่ำเสมอ ของผมแทบไม่มี Idle Time ส่วนเรื่องซ่อมแซม ก็ให้ผู้เช่าซ่อมเอง ค่าเช่าได้สัก 5-6% ราคาขึ้นประมาณปีละ 10% แต่ข้อเสียมากๆคือผมคิดว่าถ้าจะขายจริงไม่ง่ายแน่ๆ ถ้าเป็นหุ้นค่อยๆทะยอยขายได้ แต่ถ้าเป็นคอนโดหรืออสังหาไม่ได้ครับต้องขายทีเดียวทั้งชิ้น ผมเลยคิดว่าถ้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองก็เป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าเป็นการลงทุน ถ้าเชี่ยวชาญในหุ้นแล้วผมคิดว่าผลตอบแทนในหุ้นมีโอกายสได้มากกว่า และสภาพคล่องมากกว่าเยอะครับ :mrgreen:
โดย
xavi
จันทร์ ก.พ. 11, 2013 11:49 pm
0
4
Re: ชีวิตที่เรียบง่าย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สิ่งที่ไม่แน่ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า คือ การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะหากต้องการจะให้ Port ใหญ่ระดับ 9 หรือ 10 หลักจริงๆ และเริ่มสร้างทุกบาททุกสตางค์จากรุ่นตัวเอง ไม่มีพวกพ้อง เพื่อนฝูง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ยิ่งถ้าหากว่าบวกว่าเราเริ่มต้นช้าเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้ความยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราทุกคนทำได้ในวันนี้ ก็คือความ "ประหยัด" "อดออม" และ "อดทน" ครับ ผมเชื่อว่าถึงเป้าหมายเรื่องขนาดของ Port ในระดับ 9 หรือ 10 หลัก เราอาจจะไปได้ไม่ถึง แต่การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อย่างที่ Buffett หรือ ดร. ทำ ก็สามารถจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้แม้ Port เล็ก หรือหากเรามีความโชคดีช่วยด้วยก็จะเป็นตัวเร่งให้เราถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นด้วยครับ
โดย
xavi
อาทิตย์ ม.ค. 27, 2013 11:05 pm
0
6
Re: อะไรคือบรรทัดฐานของคำว่า Value
ขอตอบพี่ชูด้วยคนครับ ผมมองว่า Value นั้นเป็นสิ่งที่เป็นทั้ง "ศาสตร์" และ "ศิลป์" ในตัวมันเองครับ มีทั้งสิ่งที่วัดได้ง่าย (Tangible Asset) วัดได้ยาก (Intangible Asset, Inorganic Growth) และ วัดไม่ได้ (ความศรัทธา, ความเชื่อ) เราพยายามใช้ "ศาสตร์" ต่างๆมาสร้างบรรทัดฐานให้กับ Value ของสินทรัพย์แต่ละอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้คนมอง Value ต่างกัน ก็เนื่องมาจากการมองมูลว่าที่วัดได้ยากหรือวัดไม่ได้เลยนี่ล่ะครับ ซึ่ผมมองว่านี่คือ "ศิลป์" อย่างนึง เพราะไม่งั้นเรามี Super Computer สักหนึ่งตัว เราก็คงจะเป็นคนที่ร่ำรวยมหาศาลได้แน่ๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จหลายคน เช่น Buffett, Lynch หรือ อย่าง ดร. ก็จะไม่ได้เก่งแค่ "ศาสตร์" อย่างเดียว คนเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็น "ปราชญ์" มีแง่มุมดีๆในการมองเรื่องราวต่างๆ อย่างสร้างสรร มีจินตนการ เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขา "มักจะ" คาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งการที่คนมอง Value ต่างกันนี่ล่ะครับ จึงก่อให้เกิดการซื้อ ขาย สินทรัพย์ต่างๆกันไป เช่นผมขายหุ้นที่ผมมองว่าแพงไปแล้ว (Over Value) แต่นั่นก็เพราะคนซื้อคิดว่ามันยังถูกอยู่ (Under Value)
โดย
xavi
เสาร์ ธ.ค. 08, 2012 12:17 am
0
5
Re: คนที่ทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วยลงทุนไปด้วยแบ่งเวลากันยังไงบ้า
ถ้าใช้เหตุผลตอบ อะไรที่ทำผลตอบแทนได้มากกว่า ก็น่าจะใส่แรงกับสิ่งนั้นให้มากครับ ส่วนตัวผมทำธุรกิจเหมือนกัน ก็เคยคิดว่าถ้าวันที่ Dividend มากเกินรายได้ของธุรกิจ ก็จะเริ่มลดเวลาในการธุรกิจลง แต่ถ้าใช้ใจตอบ เราก็น่าจะทำสิ่งที่เรารักมันนะครับ ส่วนใหญ่ถ้าเราทำธุรกิจที่เราเริ่มต้นมาเองและไปได้ดี ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เรารัก เราก็น่าจะยังทำมันไปเรื่อยๆ ผมก็ยังคิดว่าส่วนตัวถ้าเอาเข้าจริงๆ ถึงวันที่ Dividend เรามากเกินรายได้จากธุรกิจ ผมก็ยังคงไม่สามารถเลิกทำได้ เพราะผมรักงานที่ผมทำจริงๆ แต่อันนี้ก็น่าจะยกเว้นเพื่อนๆหลายๆคนในบอร์ด Thai VI ที่น่าจะรักในการลงทุนมากๆ :mrgreen: ก็น่าจะหันมาลงทุน 100% ในท้ายที่สุดครับ
โดย
xavi
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 11:39 pm
0
12
Re: จุดเริ่มต้นของพอรต์ร้อยล้าน เกิดขึ้นได้อย่างไร
ของผมยังไม่ใกล้เคียงนะครับ และก็ไม่ได้มองไว้ถึงขนาดนั้นด้วย สัก 8 หลักกลางๆก็กำลังสวยแล้วครับ แต่เข้ามาแชร์เพราะได้มีโอกาสรู้จักคนที่มีถึง 9 หลักอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นเฉพาะหุ้นอย่างเดียวนะครับ บางคนก็มาจากธุรกิจการค้า งานประจำ หรือ ผสมๆกัน แต่เน้นคนที่สร้างตัวได้ในรุ่นตัวเอง ไม่นับรับมาจากรุ่นพ่อแม่ สิ่งที่ผมเห็นว่าเขามีเหมือนกันก็คือ อย่ากแรกเป็นคนเก่งครับ เก่งในงานการของเขาเอง ศึกษาหาความรู้จริงจัง ขยันขันแข็ง ไม่ท้อถอยในอุปสรรคต่างๆที่ผ่านเข้ามา ถ้าเป็นคนที่เล่นหุ้นก็ให้เวลากับการศึกษาหุ้นที่สนใจจนเข้าใจเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ อย่างที่สองคือรักในงานของตนเองครับ บางคนนั้นแทบจะไม่สนใจกับเงินทองที่เพิ่มขึ้นมาเท่าไรเลย แค่ขอให้ได้ทำในงานที่รักให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว เวลาได้คุยกับคนเหล่านี้แล้วก็จะสัมผัสได้ว่าเขามีพลังบางอย่างออกมา อย่างที่เราไม่มีในตอนนี้ครับ สำหรับนักลงทุนผมก็เชื่อว่าก็ต้องรักในการลงทุนอย่างมากด้วย อย่างที่สามคือความมีวินัยและประหยัดครับ จะไม่ใช้เงินทองอย่างไม่มีวินัย ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นกับการใช้ชีวิต ตอนนี้ผมก็กำลังพยายามฝึกตนเองอยู่เช่นเดียวกัน หวังว่าสักวันคงไปได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่คิดไว้ครับ
โดย
xavi
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 11:30 pm
0
7
Re: ถามความเห็นเรื่องการบริหารพอร์ตค่ะ
คือจริงๆตั้งใจจะถามเรื่องการปรับพอร์ตมากกว่าค่ะ แต่อาจจะตั้งคำถามงงๆ ไปหน่อย แหะๆ งั้นถามใหม่. สมมุติหุ้น abc มีgrowth ปีละ 20% ทุกๆปี เราคิดว่า pe เหมาะสมอยู่ที่ 25-30 เราก็ซื้อไว้ตั้งแต่ pe 15 พอถือไป ปรากฏว่าผลประกอบการเป็นตามที่คาดแต่ราคาขึ้นไปเยอะ อาจจะด้วยสภาพตลาด, มีการคาดหวังจากนักลงทุน pe ไปอยู่ที่ 40 ถ้าเป็นแบบนี้ จะทำยังไงกับพอร์ต ถือต่อไป เพราะกิจการยังดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ขายออก take profit บางส่วน แล้วรอซื้อกลับถ้าราคาตกลงมา ขายหมดไปซื้อตัวอื่น ที่ถูกกว่า ถามเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นนะคะ เพราะคงไม่มีคำตอบผิดถูก ถ้าแบบนี้แปลว่า น่าจะพอใจตั้งแต่ตลาดให้ pe ประมาณ 25-30 ไปแล้ว ขอแสดงความเห็นว่าถ้าเป็นส่วนตัวผมนะครับ 1. ถ้าเป็นหุ้นที่มั่นใจว่าจะเป็น Super Stock ในอนาคต ก็จะลองประเมินใหม่ หาข้อมูลเพิ่มเติมว่าทำไมตลาดถึงเชื่อมั่นแบบนั้น ถ้าหาได้ก็ไม่แค่จะถือต่อ อาจจะซื้อเพิ่มด้วย 2. ถ้าไม่ค่อยมั่นใจ แต่พื้นฐานดีจริงๆ ก็อาจจะขายบางส่วน เพราะอย่างน้อยก็แปลว่าเราผ่านก้อนกำไรที่เราตั้งใจไว้แล้ว อย่างน้อยก็เก็บเงินสดบางส่วนมาก่อน ถือว่าไม่โลภเกินความรู้ 3. ช่วงนี้เกิดบ่อยๆครับ หุ้นบางตัวไม่ได้มีความรู้มาก ซื้อเพราะได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ พอมันผ่านจุดที่เราคิดว่า OK ผมก็ขายหมดทันที เพราะไม่รู้จริงๆว่า pe มันไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ผมมีทั้ง 3 แบบใน Port ครับ :mrgreen:
โดย
xavi
อาทิตย์ ต.ค. 07, 2012 4:06 pm
0
0
Re: ซื้อหุ้นง่ายกว่าเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยว ใครก็ทำได้
ขอออกความเห็นบ้างครับ ผมเป็นจำพวกที่ยืนทั้งสองฝั่งทั้งทำธุรกิจส่วนตัวและเล่นหุ้นครับ ผมโชคดีที่ได้ทำในงานที่ชอบหลังจากออกจากงานประจำ ไม่เคยมีวันไหนที่เหนื่อย รู้สึกตื่นมาแล้วมีพลัง อยากจัดการปัญหาอุปสรรคต่างๆ อยากทำให้งานของเราได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมมี "ความสุข" กับงานที่ผมทำมากๆครับ :B ผมคิดว่าคนที่ประกอบธุรกิจหลายคนเขามี "ความฝัน" มี "จินตนาการ" การที่ได้ "มือเปื้อนกับงานที่ชอบ" นั้นมันเป็นอะไรที่พิเศษนะครับ คนรู้จักของผมหลายคน วันนี้ "รวยมากแล้ว" มีเงินระดับสิบล้าน ร้อยล้าน หลายคนก็ทำธุรกิจของตนเอง บางคนลงมือทำเองไม่เหน็ดเหนื่อย หลายคนเริ่มจาก "ศูนย์" จนวันนี้มีธุรกิจใหญ่โต สินทรัพย์มากมาย ส่งคนรุ่นเราร่ำเรียนได้ดิบได้ดี หลายๆคนก็เป็นเจ้าของกิจการที่เรากินเราใช้กันในวันนี้ล่ะครับ ผมเคยถามบางท่านว่าทำไมอายุขนาดนี้แล้วยังต้องทำงานอยู่ มีเหตุผลหนึ่งที่ผมประทับใจมาก ท่านบอกว่า "เราทำงานกันมาจนลูกของฉันร่ำเรียนเมืองนอกกลับมา ฉันก็เห็นผู้จัดการหลายๆคน ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้มีลูกแล้ว ลูกเขาก็เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แล้วจะให้ฉันเลิกกิจการไปได้อย่างไร" ลองคิดถึงความหมายหลายๆด้านของสิ่งเหล่านี้สิครับ :bow: แต่แน่นอนครับ คนที่เขาเจ๊งไปก่อนก็คงเสียงไม่ดังจะมาพูดแบบนี้ได้ แต่ถ้าเรา "ไม่เริ่มต้น" ก็คงไม่มี "วันประสบความสำเร็จ" ดังนั้นสำหรับตัวผมแล้ว หากมีใครที่เขามี "ความฝัน" ผมกลับสนับสนุน ช่วยให้แนวคิด ช่วยหาวิธีการ ให้มุมมอง เป็นกำลังใจที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จ ขออย่างเดียวครับ ขอให้เป็นงานที่เขาชอบและเขารัก ส่วนการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น ผมมองเป็นเรื่องของการสร้าง "Passive Income" ให้กับครอบครัวครับ เพราะเราไม่รู้จริงๆว่า ตัวเราเองจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่เรายังต้องมีคนในครอบครัวที่ยังต้องคอยดูแลเอาใจ สร้างความมั่นคงในระยะยาว แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งทำธุรกิจและลงทุนในหุ้น ไม่มีสิ่งใดที่ง่ายไปกว่ากันครับ ถ้าไม่จริงจังกับมันผมว่า "เจ๊ง" ได้ทั้งคู่ครับ แต่คนที่ "เจ๊ง" เสียงเขาไม่ดังเท่านั้นเองครับ :mrgreen:
โดย
xavi
ศุกร์ ต.ค. 05, 2012 12:16 am
0
1
Re: พวกท่านมีวิธีอย่างไรในถือหุ้นหลายเด้ง
สำหรับผมก็มีทั้งตัวที่ "ขาย" และ "ไม่ขาย" ครับ ตัวที่ "ไม่ขาย" เพราะผมยังมั่นใจ ว่าบริษัทจะยังทำกำไรไล่ตาม PE ที่ตลาดให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง และน่าจะพัฒนาไปเป็น Super Stock ในอนาคตได้ ตัวที่ "ขาย" เพราะผมไม่มั่นใจว่า บริษัทจะทำกำไรได้ตามที่ตลาดคาดหวังหรือเปล่า ด้วยความรู้ในปัจจุบัน เพราะต้องยอมรับว่าตอนที่ซื้อไม่ได้มองหรือคาดหวัง Capital Gain ที่มากขนาดนี้ ซึ่งผมก็ยอมรับว่า "อาจจะ" มีโอกาสที่มองพลาดได้ แต่คิดว่าถ้าเราไม่ "โลภเกินความรู้" ถึงขาดทุนกำไร หรือ "ขายหมู" ไป ก็เป็นข้อผิดพลาดที่ยอมรับได้ครับ :mrgreen: อู๊ด อู๊ด .... ขอตัวก่อนครับ หมูที่บ้านร้องแล้ว 5555 :juju:
โดย
xavi
พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2012 11:52 pm
0
4
Re: ตลาดบ้าคลั่งแบบนี้ ทำอะไรดีครับ
ผมก็เริ่มต้องขายหุ้นบางตัวที่ดูแล้วราคาไปไกลเกินพื้นฐานมากๆ ถ้าประกาศผล Q3 หรือเกิด Fund Flow ไหลออก ราคาก็น่าจะลงกลับไปมาก แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ทำใจลำบากไม่น้อย เพราะตอนนี้เริ่มหาหุ้นตัวที่มั่นใจและยังไม่แพงลำบากขึ้นทุกๆที แต่ก็ถือว่ามีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นก็เป็นโอกาสดีถ้าเกิด หุ้นที่เราเล็งไว้ล่วงมาหลังประกาศงบ Q3 ครับ
โดย
xavi
พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2012 11:10 pm
0
0
Re: ปีหน้าเศรษฐกิจจะแย่ ผมเห็นพูดกันทุกปี
ผมคิดว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ เพราะนักวิชาการที่มาพูดนั้นหลายคนมีข้อมูลที่ดีมากๆ ที่เราตามเองคงไม่ทัน แล้วเอามารวบรวมกลั่นกลองมาวิเคราะห์เป็นสถานการณ์ในอนาคตให้เราฟัง ส่วนตัวผมเลยชอบฟังพวกนักวิเคราะห์มาก และก็ทำให้สมัยก่อนก็รู้สึกกลัวๆในการลงทุนในหุ้นเหมือนกัน เพราะกลัวแย่ตามที่นักวิเคราะห์บอกไว้ แต่ท้ายสุดก็ได้หลักการคิดแบบ VI นี่ล่ะครับ ที่ให้เน้นมองที่กิจการเป็นหลัก เพราะคาดเดาง่ายกว่าเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งผมว่าอันนี้ก็จริงเลยครับ ท้ายคิดว่าฟังไว้ก็ได้ประโยชน์ดีครับ ให้เป็นข้อมูลและอย่าตื่นกลัวมากไปก็พอ
โดย
xavi
พุธ ต.ค. 03, 2012 1:15 am
0
8
Re: แจ้งปัญหาการใช้งานร้อยคนร้อยหุ้น [โปรดรวมที่นี่]
จาก Search ยังเข้าไม่ได้หลายตัวครับ เช่น BH, BGH, EASTW, TTW, PRANDA, SYMC, EGCO, RATCH, QH, NOBLE, APRINT ประมาณนี้ครับ แต่ถ้าเข้าจากหน้ารวมของร้อยคนร้อยหุ้นเข้าได้ครับ
โดย
xavi
อังคาร ต.ค. 02, 2012 11:42 pm
0
0
Re: ความเชื่อผิด ๆ ของ VI คือเชื่อคำแนะนำของกูรูมากไป
แต่ไหนๆ ถ้าพี่บลูจะเข้ามาไม่ได้แล้ว (ถ้าไม่สมัครสมาชิก) เฉพาะห้องร้อยคนร้อยหุ้นนะครับ เพราะห้องอื่นๆบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิก สามารถโพลส์ได้ตามปรกติครับ :P เสียดายเลยครับ กำลังอยากให้พี่บลูใบ้หุ้นแท้ๆ :)
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 29, 2012 7:59 pm
0
0
Re: ความเชื่อผิด ๆ ของ VI คือเชื่อคำแนะนำของกูรูมากไป
ผมว่าแก้เข้าใจเขียนเหมือนหนังหักมุมดีล่ะครับ ทำซะผมเคลิ้มเลย แล้วสุดท้ายมาจบที่ "แล้วมันต้องมีวันเลิกรา" แต่ไหนๆ ถ้าพี่บลูจะเข้ามาไม่ได้แล้ว (ถ้าไม่สมัครสมาชิก) ก็ช่วยเฉลยด้วยได้ไหมครับ ว่าในความคิดพี่นั้นมีหุ้นตัวไหนบ้างที่เข้าข่าย ผมสนใจมากกว่ากูรูเป็นใครครับ :mrgreen: ถ้าเพื่อตรงกับที่ผมถือ จะได้มาดูละเอียดๆว่าผมคิดอะไรผิดไปตรงไหนหรือเปล่า หรือซื้อเพราะคิดตามที่พี่ List มาจริงๆ จะได้ระวังไว้ครับ :bow:
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 29, 2012 4:10 pm
0
2
Re: ความเชื่อผิด ๆ ของ VI คือเชื่อคำแนะนำของกูรูมากไป
จุ๊ จุ๊ พี่บลู..... รู้นะครับคิดอะไรอยู่ :mrgreen:
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 29, 2012 1:33 pm
0
1
Re: การรุกของ family mart กับ pe ของ cpall
คำถามนี้ผมเคยถามตัวเองไปตอน CPALL ราคา 40 บาท ก่อนแตกพาร์ครับ แล้วก็ไม่ซื้อซะงั้นครับ :wall: ในความคิดผม CPALL ยังไปได้อีกไกลมาก ยิ่งตอนหลังมีสินค้าหลากหลายมากๆ ผมจากเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้า 7-11 ก็ยังเข้าไปซื้อพวกขนมปัง กาแฟสด ข้าวแช่เย็น ก็เลยคิดว่ายังน่าไปได้อีกไกลครับ คนเดือดร้อนผมว่าไม่น่าเป็นค้าปลีกด้วยกัน แต่น่าเป็นร้านค้ารูปแบบดั้งเดิมทุกๆแบบ ไม่ใช่แค่โชว์ห่วยด้วยครับ
โดย
xavi
ศุกร์ ก.ย. 28, 2012 11:43 pm
0
0
Re: การหามูลค่าที่แท้จริงตามวิธี Present Value of Future Cas
เห็นด้วยว่าการหามูลค่าด้วย Discounted Cash Flow นั้นทำได้ยากครับ เพราะ Assumption นั้นมีหลายตัวแปร และมีปัจจัยกระทบได้หลากหลาย ถ้าจะเอามาใช้ต้องทำหลาย Scenario เพื่อให้ปลอดภัยในการใช้ เพราะผมเคยทำงานด้าน Business Development มาเช่นเดียวกัน ไม่เคย Forecast ถูกต้องเป๊ะๆแม้แต่ตัวเดียวครับ :oops: ส่วนการใช้ Worst Case อย่างเดียวก็อันตรายมาก เพราะจะทำให้เราต้องขายหุ้นออกไปหลายตัวทั้งที่ราคายังไปได้อีกไกล เพราะเวลาใช้ Worst Case สิ่งที่เรามักจะลดใน Assumption ก็คือ Growth นี่ล่ะครับ ถ้าเกิดเราคาดผิดมากๆ Growth จริงๆสูงกว่าที่คิด ก็ทำให้เราต้องขายหมูไปหลายที :wall: ผมคิดว่าต้องใช้ปัจจัยการวิเคราะห์ทางคุณภาพเป็นหลักครับ (คล้ายๆแนวทางที่ ดร. ใช้) ส่วนเรื่อง DCF ก็มีไว้เป็น Idea ให้รู้ Range คร่าวๆของราคาหุ้นของเรา คงไม่สามารถหา Fair Value เป็นจุดๆได้แน่ๆ ไม่งั้นนักวิเคราะห์รวยกันหมดแล้ว :mrgreen:
โดย
xavi
ศุกร์ ก.ย. 28, 2012 11:36 pm
0
0
Re: อ่านมานานแล้ว อยากสอบถามครับ
ช่างตลาดขาขึ้น หุ้นถูกจะมีน้อย แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย แต่หายากกว่าช่วงตลาดถูก ช่วงนี้ผมก็ยังซื้ออยู่บ้าง แต่เฉพาะตัวมีค่อนข้างมั่นใจ :mrgreen: อย่างน้อยการถือเงินสดไว้ หรือไว้ใน Money Market ก็ไม่ได้เสียหายหรือผิดกฏิกา ที่ยากกว่ากลับเป็นการคิดว่าจะ "ขาย" หรือไม่ เพราะหลายตัวใน Port มันดู MOS ต่ำมากไปแล้ว หรือบางตัวต้องยอมรับเลยว่าเกินมูลค่าในมุมมองของตัวเองไปแล้ว :roll: แต่ถ้าเป็นช่วงตลาดขาลง ถ้าคนที่กำหนดความกลัวไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ซื้อในราคาถูกๆกันครับ ผมเป็นหนึ่งคนที่ช่วงปี 51 ไม่ได้ซื้อในจุดที่ต่ำสุด และช่วงน้ำท่วมก็ไม่ได้ซื้อในจุดต่ำสุดที 800 จุด เพราะแม้ว่าจะหาหุ้นถูกได้ แต่สภาวะของตลาดนั้นทำให้เราไม่กล้าลงทุนไประยะหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งข้อนี้เซียนหลายๆคนคงไม่เป็นกันครับ :wall:
โดย
xavi
ศุกร์ ก.ย. 28, 2012 7:40 am
0
4
Re: วันนี้ที่รอคอย Streaming Pro for Android v.1.0
ลองลงแล้วครับ Galaxy S2 ใช้ได้ ส่วน Sony Tablet S ก็ใช้ได้ หน้าจอใหญ่จะดูสบายตากว่าเยอะมาก การเชื่อมต่อถ้าผ่าน Wifi ก็เร็วดีไม่หน่วง แต่ถ้าผ่าน 3g นี่ดูหน่วงๆ และหลุดบ่อยๆครับ ถ้าซื้อผ่าน 3g นี่ผมว่าต้องระวังหน่อยครับ ยังสู้โปรแกรมเก่าไม่ได้ ที่ดูจะเสถียรกว่า แต่ที่น่าแปลกคือ Favorite ของผมไม่มาด้วย ต้องมานั่งกลอกใหม่หมดเลย แต่เครื่องเดียวกันแท้ๆ ถ้าเปิด Port ของแฟน Favorite มาหมดเลยครับ
โดย
xavi
อาทิตย์ ก.ย. 23, 2012 11:01 pm
0
0
Re: มือใหม่ครับ ช่วยแชร์ประสบการณ์ทำยังไง ให้พอร์ตโต
เรื่องเป้าหมายผมว่าเป็นไปได้ครับ Port ที่ต้องการน่าจะประมาณ 6MB Dividend Yield 5% ถึงแม้ว่าเงินต้นจะน้อยแต่หากเหนียวแน่นไม่ยอมขาดทุน และได้หุ้น "ตีแตก" ด้วยก็เป็นไปได้ แต่หากคิด Conservative หน่อยก็คืออาจไม่ได้หุ้นตีแตกเลย แต่ให้ได้ Cap Gain ประมาณ 10% ก็ต้องเติมเงินให้เยอะๆด้วยครับ ผมเลยแนะนำว่าในช่วงนี้น่าจะต้องเน้นที่ชีวิตปัจจุบันและงานประจำให้ดีด้วย การที่เราเติบโตในหน้าที่การงานได้นอกจากจะทำให้เราได้เงินเติมใน Port ในจำนวนที่เยอะแล้ว ยิ่งเติบโตมากขึ้นเราก็จะยิ่งได้มุมมองในการทำธุรกิจมากขึ้น ได้ Connection มากขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถลงทุนได้ดีมากขึ้น หรือหากพอมีเงินทุนหรือช่องทาง การเรียนโทก็ช่วยได้โดยเฉพาะด้าน MBA หรือ Finance ก็เปิดมุมมองเราให้กว้างขึ้น :B คนที่ผมรู้จักหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นก็เป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทใหญ่ๆด้วยครับ มุมมองของคนเหล่านี้ต้องยอมรับว่าเฉียบคมหลักแหลม โดยเฉพาะในเรื่องของ Mega Trend ซึ่งผมว่าสำคัญมากในการลงทุนแบบ VI ส่วนเรื่อง Connection นี่ก็สำคัญเพราะหุ้นในตลาดมีเยอะแต่เวลาเราจำกัดมาก ผมก็อาศัยช่วงเจอเพื่อนๆพี่น้องคอย Screen หุ้นที่เขาสนใจแล้วเราก็มาศึกษาต่ออีกที ช่วยแบ่งเบาภาระได้เยอะมากๆ หุ้นหลายตัวก็ต้องยอมรับเลยครับ ว่าซื้อตามคนอื่นๆด้วย และที่สำคัญก็กับดักระหว่างทางด้วยครับ บ้าน รถยนต์ เครื่องใช้ เครื่องประดับ ที่มากเกินตัวก็ต้องพยายามอย่าใช้มัน เพราะการต้องผ่อนอะไรในช่วงเริ่มลงทุนนั้นคือการลดค่าของเงินก้อนแรกเป็นอย่างมากครับ ข้อนี้ต้องหาแฟนประหยัดและเข้าใจเรานะครับ :mrgreen: แต่ถ้าเริ่มต้นได้แบบนี้ ผมว่าไปถึงได้แน่นอนครับ
โดย
xavi
อาทิตย์ ก.ย. 23, 2012 10:55 pm
0
4
Re: วันนี้ที่รอคอย Streaming Pro for Android v.1.0
ลองใช้แล้ว มันสามารถดึงเอา favorite มาได้หรือเปล่าครับ ของผมมาแต่ portfolio
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 22, 2012 4:42 pm
0
0
Re: ฟู้ดแลนด์เข้าตลท.ผ่านNIPPON
ผมเองก็อยากให้กฎหมายข้อบังคับมันจริงจังกว่านี้ครับ แต่นี่เป็น Thailand Only ครับ ทำผิดเห็นๆแต่ก็ไม่เคยมีปัญหา แถมบางครั้งกลับเจริญรุ่งเรืองด้วยซ้ำไป :wall: ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในตลาดผมก็เคยเห็นเหตุการณ์ถล่มขายหลังจากที่ลากขึ้นไปสูงๆกับตา ได้ยินแล้วถึงกับอึ้งว่าทำงี้กันเลยหรือ ผมถึงกับกลัวตลาดหุ้นสุดๆ หรือช่วงนี้ก็เห็นๆกันกับหุ้นสองตัวที่ผมได้ข่าวทางลึกมาว่าเจ้าจะปั่น มันก็ขึ้นกันไปแบบไร้เหตุผลจริงๆ (ส่วนตัวผมไม่ยุ่งกับหุ้นปั่นเลย เพราะไม่กล้ากลัวรับไม้สุดท้าย :juju: และภรรยาผมก็ไม่ชอบ เพราะเหมือนเราหลากขายของไม่ดี แต่ราคาแพงให้คนอื่น มันเป็นเงินบาป) ผมบอกได้เลยครับว่าตลาดหุ้นมันน่ากลัวมากกว่าที่คิด มันไม่ได้สวยงามสดใส มีแต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คนที่เจ๊งกับตลาดนั้นมีเยอะแยะ แต่เขาจะเสียงดังได้อย่างไร?? มันมีอะไรที่เราไม่เข้าใจ คาดไม่ถึง หรือคาดถึงแต่ไม่อยากจะเชื่อ หรือเราได้ประโยชน์ด้วยเราก็ไม่พูดอีกเยอะแยะมากมายครับ :oops: แต่ส่วนตัวผมก็ยังมีความเชื่อนะครับว่าตลาดหุ้นจะทำให้เราพบอิสระภาพทางการเงินได้แน่นอน
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 22, 2012 3:44 pm
0
0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
ไม่ได้เข้ามานานครับ พี่บลูยังดุดันเหมือนเคยนะครับ :mrgreen: สงสัยเป็นกระทู้ต่อเนื่องจากเรื่อง PE ใช่หรือไม่ครับ ตอนนี้ผมก็อยู่ในช่วงตัดสินใจลำบากมากเหมือนกัน เพราะหุ้นหลายตัวที่ถือนั้นน่าจะเรียกได้ว่า PE สูงไปหมดแล้ว บางตัวนี่ยังคิดไม่ออกเลยว่า Earning จะไล่ตาม Price ไปได้อย่างไร ถ้างบ Q3 ออกขึ้นมาไม่ได้ตามที่ตลาดคาดหวัง กำไรที่มีก็คงหายไปเยอะ :wall: แต่ด้วยความที่ผมก็มีความเชื่อว่าหุ้นที่ผมถือนั้นดี และ "อาจจะ" มีสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง "ในด้านดี" อีกก็เป็นได้ ก็ยังทำให้ผมยังถือหุ้นเหล่านี้ต่อไปยังไม่ได้ขายครับ พอตัดสินใจแบบนี้ก็ทำให้ผมหลุดเข้าไปในทะเลแดงของพี่บลูอีกคน :'O สุดท้าย MOS ตอนซื้อนี่ล่ะครับ จะเป็นตัวที่บอกว่าเรามีภูมิต้านทานใน ทะเลแดงนี่ได้ขนาดไหน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมซื้อ Eastw ตอน 7 บาท กับมาไล่ตามซื้อหลัง ดร. ที่ 12 บาท นั่นไงล่ะครับ มันเสียวต่างกันเห็นๆครับ :juju: (ใครแอบลอกการบ้าน ดร. ยอมรับมาซะดีๆครับ ราคาขึ้นไปเยอะเชียว)
โดย
xavi
เสาร์ ก.ย. 15, 2012 11:45 pm
0
1
Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?
ท้ายสุดแล้วผมเชื่อว่าราคาหุ้นขึ้นกับ "ผลประกอบการ" เป็นหลักครับ เพียงแต่ "การคาดการณ์" นั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนแต่ละคนมองต่างกัน จึงทำให้เกิดการซื้อขายขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมขายหุ้นเพราะผมคิดว่า บริษัทไม่น่าทำผลประกอบการที่ผมพอใจได้แล้ว แต่คนซื้อย่อมคิดว่า บริษัทนี้ยังไปได้ดีอีก เช่นเดียวกันเวลาผมซื้อผมก็ต้องคิดว่า บริษัทนี้ต้องทำได้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่คนขายก็ย่อมคิดว่า บริษัทนี้ไม่สามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจอีกแล้ว "ข่าวรายวัน" เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด "การคาดการณ์" ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย จึงเกิดการซื้อขายกันได้ทุกๆวัน แต่ในระยะยาวพอ "ผลประกอบการ" ออก ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็ต้องกลับมาสะท้อนผลประกอบการอยู่ดีครับ :mrgreen:
โดย
xavi
พฤหัสฯ. ส.ค. 23, 2012 11:02 pm
0
0
Re: เงินคือพระเจ้า/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณ ดร. มากครับ บทความนี้เป็นบทความที่ผมต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ เพราะเป็นบทความที่เปิดกว้างมากๆ ตอนนี้ผมเองก็อยู่ในช่วงที่ทำงาน "อาบเหงื่อต่างน้ำ" เหมือนกัน และก็ตั้งเป้าหมายเป็น "ตัวเงิน" จำนวนมากเช่นเดียวกัน และเป้าหมายนี้ก็ปรับขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุและความรับผิดชอบของเรา เช่นการมีภรรยา มีลูก มีพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่กำลังเข้าวัยเกษียณ จนในบ้างครั้งก็ไม่เข้าใจกับคำว่า "พอ" จนทำให้เหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในวังวนของ "ความโลภ" อยู่เสมอๆ การตัดสินใจเข้ามาในตลาดหุ้นนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นเพราะผมมอง "เงิน" เป็นสิ่งสำคัญ เพียงแต่คิดว่าการอยู่ในตลาดจะทำให้เราทำงานได้น้อยลง ไปจนถึงที่สุด "ไม่ต้องทำงานเลย" แต่เราก็มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แต่นั่นคือความฝันครับ ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆอย่างที่คิด เพราะถ้าเราจะเป็น "อิสระ" ได้จริงๆ ผมเชื่อว่าเราก็ต้องเอาชนะ "นายตลาด" ได้แบบต่อเนื่อง และถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตใหได้ ก็ต้องมีหุ้นที่ "ตีแตก" ให้ได้ ซึ่งผมบอกได้เลยครับว่า ใน 3 ปีมานี้ ผมยังไม่เคย "ตีแตก" ได้แม้แต่ครั้งเดียว (หมูที่บ้านยังร้องอยู่บ่อยๆ :) ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเราต้องการจะชนะตลาด เราต้อง "ทำงานหนัก" ครับ คนที่ประสบความสำเร็จระยะยาวในตลาดหุ้นนั้น เขาต้องชนะตลาดเป็นเวลานาน ไม่ได้ชนะเพราะ "ทอดลูกเต๋า" แน่นอน ผมได้พบหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในตลาดก็ล้วนแล้วแต่ต้องใส่ใจ พยายาม ค้นคว้า วิเคราะห์ ทำงานไม่ต่างจางพนักงานในบริษัทนั้นๆเลย แต่ความยากก็คือเราต้องติดตามข่าวสารหลายด้าน วิเคราะห์หลายเรื่อง รู้ให้หลายอย่าง ภายใน "เวลาที่จำกัด" จนในบางครั้งเราอาจจะละเลยเวลากับ "คนในครอบครัว" หรือ แม้แต่ "เวลาของตนเอง" ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะบั่นทอนคุณภาพชีวิตและความสุขของเราไป บทความนี้เตือนใจให้เราหันกลับมามองความสุขด้านอื่นๆที่มากกว่า "ความสุขจากการมองเห็นเงินที่เพิ่มขึ้น" ได้มากจริงๆครับ ขอบคุณ ดร. อีกครั้งครับ
โดย
xavi
อาทิตย์ ส.ค. 05, 2012 12:06 am
0
12
Re: ชอบหุ้นที่จ่ายปันผล เป็น หุ้น หรือ เป็นเงินสด มากกว่ากัน
ผมก็ชอบเป็นเงินสดเช่นเดียวกันครับ :mrgreen: ผมว่ามันแสดงถึงแนวคิดของการบริหารที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจได้ง่าย ถ้ากำไรดีก็ปันผลมาก กำไรน้อยหรือต้องเก็บเงินไว้ลงทุนก็ปันผลน้อย แต่การปันผลเป็นหุ้นนั้นแสดงถึงการมีแนวคิดที่ Complicate มากขึ้น เช่นเงินสดไม่พอ แต่ต้องการให้เห็นว่ามีการปันผล หรือต้องการทำให้สภาพคล่องของหุ้นมากขึ้น แต่ผมคิดว่าล้วนแล้วแต่เป็นการบริหารที่ทำให้เข้าใจยากมากขึ้น ผู้บริหารบริษัท (หรือผู้ถือหุ้นใหญ่) ก็น่าจะต้องมีแนวคิดที่ซับซ้อนกับเรื่องอื่นๆไปด้วยครับ กลัวคิดตามเขาไม่ทันครับ :D
โดย
xavi
ศุกร์ ส.ค. 03, 2012 12:30 am
0
0
Re: "พื้นฐานเปลี่ยน" มันคืออะไร
ขอแชร์บ้างครับ เอาเป็นมุมมองของชีวิตส่วนตัวบ้างครับ ก่อนหน้ามีครอบครัวผมกับแฟนก็คบกันมานานครับ เป็นพนักงานบริษัททั้งคู่ รายได้ก็พอใช้ได้ตามพื้นฐานพนักงานในบริษัทใหญ่ๆทั่วไป พอคบกันได้สักพักก็อยากจะแต่งงานมีครอบครัวครับ แต่คำนวนไปมาดูแล้ว รายได้กับค่าใช้จ่ายมันยังไม่สัมพันธ์กัน คือยังกินอยู่กันได้ไม่สบายเท่าไร (หรือรายได้กับค่าใช้จ่ายพอดีกันเกินหว่า :mrgreen: ) ยิ่งคิดถึงตอนจะมีลูกและตอนที่พ่อแม่เราต้องเกษียณแล้ว ว่าต้องใช้จ่ายอย่างไรก็ไม่พอแน่ๆ ตอนนั้นก็เป็นช่วงสูญญากาศเลยครับ แฟนไม่ยอมแต่งงานด้วย :wall: ผมตัดสินใจออกมาทำธุรกิจเองครับ ตามความถนัดและความชอบส่วนตัว ก็ไปได้ค่อนข้างดี ดูแล้วมีอนาคต ความเป็นอยู่ก็น่าจะดีขึ้น ดูแล้วดูแลแฟนได้แน่ หรือถ้าต้องมีเจ้าตัวเล็ก ก็ยังน่าจะเอาอยู่ :B คราวนี้ขอแฟนแต่งงานแล้ว OK ครับ ผมมองว่าน่าจะคล้ายกับเรื่อง "พื้นฐานเปลี่ยน" ของการลงทุนครับ ปัจจัยอะไรก็ตามที่จะทำให้กระทบกับ "รายได้" หรือ "ความมั่งคั่ง" ในอนาคตระยะยาวของกิจการ นั่นก็ถือว่าเป็นการทำให้พื้นฐานเปลี่ยนครับ ถ้าดีขึ้นเราก็ "แต่งงานด้วย" แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ตัวใครตัวมันหรือเปล่าครับ :P
โดย
xavi
เสาร์ ก.ค. 28, 2012 12:08 am
0
3
Re: ตีแตกความคิด 'ธันวา เลาหศิริวงศ์' ผู้นำ 'เซียนหุ้นวีไอ'
เพิ่งได้อ่านประวัติพี่ธันวาครั้งแรก ผมนับถือจริงๆครับ เพราะการตัดสินใจออกจากงานประจำทั้งที่หน้าที่การงานนั้นดีเยี่ยมมากๆ ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตจริงๆ ผมเชื่อว่า Package ที่พี่ธันวาได้รับจาก IBM ในฐานะลูกจ้างมืออาชีพนั้นต้องเป็นลำดับต้นๆของประเทศไทยแน่นอน ยิ่งร่วมกับการที่มีครอบครัวและมีลูกอีกสองคนที่ต้องรับผิดชอบนั้น ต้องเชื่อได้ว่าพี่ธันวาต้องเป็นคนที่ตัดสินใจได้แน่วแน่มากๆ และก็สะท้อนถึงมุมมองของการลงทุนที่พี่ได้เขียนให้เราอ่านกันในช่วงหลังด้วย และวิธีคิดในการเลือกหุ้นนั้นก็มีตรรกะเหตุผลชัดเจนมากครับ :bow: ผมเชื่อว่า Port พี่ไปถึงพันล้านแน่นอนครับ :mrgreen:
โดย
xavi
อังคาร ก.ค. 24, 2012 12:02 am
0
0
Re: จุดแข็ง จุดอ่อน ของ Value Invetment
เริ่มเล่นแนวทาง VI ได้สักระยะครับ ข้อดีมากส่วนตัวคือทำให้เราไม่ถูกกดดันจาก "นายตลาด" เพราะถ้าเราไม่ได้ซื้อโดยการวิเคราะห์พื้นฐานโดยละเอียด หากมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้ราคาหุ้นลงมากกว่าปกติ สิ่งที่เราไม่กล้าทำแน่ๆคือ "ซื้อหุ้น" เพราะคนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะ "Cut Loss" หรือ "ถือไว้เฉยๆ" ก่อน แต่หากเป็น VI จะมองว่านั่นคือโอกาสที่จะทำให้เกิด MOS และกล้าที่จะเข้าไปรับ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าท้ายสุดเมื่อกิจการดี ราคาหุ้นจะสะท้อนผลกำไรนั้นเอง ข้อดีถัดมาคือทำให้คนที่ไม่ชอบ "ความเสี่ยง" นั้นมีโอกาสในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผมและคนรู้จักหลายคน ไม่ได้สนใจในตลาดหุ้น เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเก็งกำไร (จริงๆแล้วคิดว่าเป็นการพนันเลยด้วยครับ :oops: ) คิดว่าเราไม่มีทางเอาชนะเจ้ามือได้แน่ๆ เพราะเราไม่มี Connection กับใคร ไม่รู้ข่าววงใน ไม่มีเงินทุนขนาดใหญ่ แต่พอได้มาศึกษาแนวทาง VI ก็พบว่าถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ดี ท้ายสุดผลตอบแทนก็ต้องดี ลดความเสี่ยงจากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรได้มาก ผมก็กล้าลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ท้ายสุดผมก็เชื่อว่าหากมีนักลงทุนเข้ามาในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามหลัก Demand Supply ภาพรวมของ Set ก็ต้องปรับขึ้นไปด้วยอีกแน่นอน :B ข้อดีที่ผมชอบมากๆอีกอย่างคือ แนวคิดของ VI นั้นทำให้เรา "ประหยัดและมั่นคง" มากขึ้น เพราะเมื่อเราเอาแนวคิด MOS มาใช้ ก็ทำให้เราไม่ฟุ้งเฟ้อ เพราะจะถูกคิดให้ซื้อของดีในราคาถูกตลอดครับ (เรียกงกหรือเปล่าเนี่ย) :mrgreen: และก็ทำให้คิดอ่านวางแผนครอบครัวแบบรอบคอบไม่เสี่ยง ทำให้สบายใจได้ในระยะยาวครับ ส่วนข้อเสียนี่ผมว่าก็มีเหมือนกันครับ "เวลา" เป็นเรื่องใหญ่มากครับ เพราะกว่าเราจะเก่งในบริษัทนั้นๆ ถ้าเป็นลูกจ้างก็ต้องไต่เต้ากันเป็นสิบๆปี กว่าจะได้เป็นผู้บริหารระดับสูง การที่เราจะศึกษาบริษัทใดบริษัทนึงให้เข้าใจถ่องแท้ ผมคิดว่ามันต้องอาศัยเวลาที่นานมากๆ แค่การอ่านรายงานประจำปี 56-1 อย่างเดียวไม่พอแน่ๆ ผมว่าอย่างไรเราก็ต้องมีโอกาสได้สัมผัสผู้บริหาร สินค้า ตัวแทนจำหน่าย คู่แข่ง ของบริษัทที่เราสนใจจริงๆด้วย ซึ่งหุ้นหลายๆตัวที่ผมซื้อเองผมก็ยังไม่มีเวลาขนาดนั้น ก็เลยไม่กล้าซื้อเยอะครับ ทำให้ตกรถไปก็หลายที :wall: ผมเชื่อว่าท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องของ "ดวง" ด้วยครับ ว่าเราจะค่อยๆ Scan หุ้นที่เราจะเลือกศึกษาอย่างไร ใน "เวลาของชีวิต" ที่จำกัด ไม่สามารถศึกษาหุ้นได้ทุกๆตัว (ยกเว้นคนที่มอง Megatrend ได้เก่งจริงๆก็คงมีโอกาส "ตีแตก" เหมือน ดร. ได้มากกว่า) ถัดมาก็เรื่องการสร้าง "กระแสเงินสด" โดยเฉพาะกับคน Port เล็กๆครับ เพราะหลักการของ VI นี่เราจะไม่ซื้อขายถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน บางครั้งราคาหุ้นเราขึ้นเอาขึ้นเอา แต่ "เงินสดจริงๆ" นี่ไม่รู้อยู่ไหนครับ :roll: ถ้าจะรอเงินปันผลอย่างเดียวให้อยู่ได้ ก็ต้องเป็น Port ระดับ 20-40 MB สำหรับครอบครัวสัก 3-4 คนอยู่ไม่ขัดสน ผมก็เลยมองว่าการเล่นหุ้นเป็นอาชีพอาจจะยังไม่เหมาะกับคนเป็น VI ที่ Port เล็กๆ ระดับไม่เกิน 10 MB เพราะจะทำให้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่สะดวก ก็ควรจะมีงานประจำทำไปด้วย เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากทางอื่นๆได้ด้วย แต่รวมๆผมก็ยังมีความเชื่อว่าแนวทาง VI มีโอกาสที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ครับ
โดย
xavi
เสาร์ ก.ค. 14, 2012 10:26 pm
0
2
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณมากครับ ดร. สำหรับบทความที่ดีอีกครั้ง ผมโชคดีที่ไม่มีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวเลย จริงๆแล้วไม่ได้คิดละเอียดขนาด ดร. หลอกครับ แต่ใช้หลักการง่ายๆว่า ไม่พยายามซื้อหุ้นที่มีการแข่งขันสูงและสินค้าหาความแตกต่างกันยาก เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องนำมาแข่งขันกันเองก็คือ "ราคา" ซึ่งแม้ว่าท้ายสุดจะมีใครเป็นผู้ชนะก็ต้องเจ็บตัว ไม่รู้ว่าได้คุ้มเสียหรือเปล่า และผมก็จะไม่พยายามเลือกหุ้นที่มี Net Profit Margin ที่บางมากๆ เหตุผลก็เพราะว่าต้นทุนของบริษัทนั้นอาจจะสูงไม่ว่าจะเป็น Fixed Cost หรือ Variable Cost เพราะถ้ามีการบริหารจัดการผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลให้บริษัท "ขาดทุน" ได้ พอใช้หลักสองข้อนี้ก็ทำให้ Screen หุ้นออกไปได้หลายตัวเช่นเดียวกันครับ :mrgreen:
โดย
xavi
อังคาร ก.ค. 03, 2012 11:24 pm
0
1
Re: ด่วน การรับสมัครสมาชิกของสมาคมอย่างเป็นทางการ
ความคิดเห็นของคุณ Rocker ก็เยี่ยมมากๆครับ ในหลายมุมมอง ทั้งเรื่องระบบการจัดการที่เสนอทาง MOD ไป และเรื่อง "ความประหยัดของคนเล่นหุ้น" คือ ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเป็นไงนะครับ แต่พอผมเริ่มลงทุนจริงๆจังๆแล้วชักเริ่มเป็นเหมือนกันครับ :oops:
โดย
xavi
พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2012 12:26 am
0
2
Re: ด่วน การรับสมัครสมาชิกของสมาคมอย่างเป็นทางการ
ปัญหาที่ อาจจะมี.. เช่น ขอ ยกเป็น คุณ วิบูลย์ พึงประเสริฐ ท่านได้เขียน บทความ มากมาย ผลงานนั้น..ตามกฏหมาย ลิขสิทธิ์ ก็เป็น ผลงาน ของ คุณ วิบูลย์ คุณ วิบูลย์ ก็ ได้ นำไป ตีพิมพ์ หลัง จากนั้น ซึ่ง ผมเอง ก็ ยินดี อุดหนุน และเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งก่อน หน้า นี้ thaivi ไม่ มีเงิน มาเกี่ยวข้อง มันก็ไม่มีอะไร ซึ่งต่อไป พอ มาการเก็บเงิน เข้า ซึ่ง ผู้เขียน นายก ก นาย ข อาจจะไม่ประสงค์ เป็นสมาชิก แบบ จ่าย เงิน เพราะ ตอนแรก ที่มา สมัคร เขาไม่ ได้ เขียน ไว้ .. ผมเองเป็น สมากชิก แค่ 2 ปี ก็ โพสต์ ไป 1550 แล้ว ซึ่งก็พยายาม ให้ ได้ เนื้อๆ ให้ เป็่น VI ที่แท้ แต่ ผมแน่ใจ ว่า คง ไม่ เป็น สมาชิก แน่นอน หากเก็บเงิน.. ซึ่ง อย่างนั้น ถ้าตัดสินใจเก็บเงินแน่นอน แล้ว ก็ จะขอให้ ลบ กระทู้เก่า ที่ มี ชื่อ imerlot ทั้ง หมด หลัง วัน ถูกตัดสิทธิ์ ไปด้วย ... very sad. ใจเย็นครับ เดี๋ยว MOD คงมีวิธีจัดการที่ดีขึ้นแน่นอน หลาย Post ของคุณ Imerlot มีประโยชน์มากๆ ผมเป็น Fanclub เช่นเดียวกันครับ :D
โดย
xavi
พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2012 12:22 am
0
2
Re: ข้อสงสัยและคำชี้แจง
ผมเห็นด้วยกับคุณ Multiple มากๆเลยครับ ว่าไม่ควรจะให้มีความแตกต่างกันระหว่างคนที่จ่ายค่าสมาชิก กับ ไม่จ่ายค่าสมาชิก โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้ Web มากขนาดนั้น เพราะผมมองว่าการที่ใช้บัตรประชาชนมา Identify ตัวตนของ Log In นั้นก็ถือเป็นตัวกรองได้มากระดับนึงอยู่แล้ว ถ้าเราแบ่งการ "ป่วน Web" เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เข้ามาโจมตี เขียนเสียๆหายๆ ผมว่ากลุ่มนี้เรามองออกครับ คนที่เป็นนักลงทุนจริงๆคงไม่เอามาอ่านเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นแน่นอน และผมก็เชื่อว่าการใช้บัตรประชาชน Identify ก็น่าจะ Screen กลุ่มเหล่านี้ออกไปได้ :mrgreen: แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มาเขียนเพื่อให้มีผลกระทบทางใดทางนึงกับราคาหุ้น ไม่ว่าจะปั่นหรือทุบหุ้น ผมว่าถึงเก็บค่าสมาชิก คนกลุ่มนี้ก็พร้อมจ่ายอยู่ดีครับ ผมมองว่ากลุ่มนี้กลับน่ากลัวมากกว่าเสียอีก และกลับเป็นกลุ่มที่อาจจะสร้างความเสียหายที่แท้จริงให้กับ Web มากกว่าอีก :'O ส่วนเรื่องผลประโยชน์กับสมาชิกในด้านอื่นๆ เช่นการสัมนา ลดราคา เยี่ยมชมบริษัท อันนี้ผมว่าให้แตกต่างกับคนที่ไม่จ่ายก็เหมาะสมดีครับ ผมพร้อมสมัครนะครับ เพราะ Web ก็ให้อะไรกับผมเยอะ และสำหรับผมค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็ไม่ได้เยอะเกินไป แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องค่าใช้จ่ายนี้ไปปิดโอกาสของหลายๆคนที่ในท้ายที่สุดอาจจะเข้ามาเป็น Contributor ที่ดีในอนาคตได้ ถ้าเป็นไปได้เฉพาะส่วน Web ก็ยังอยากให้เป็นลักษณะที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเข้าถึงได้ง่ายเหมือนเดิมครับ สมาชิกเก่าถ้า Identify ตัวเองโดยบัตรประชาชน ถึงไม่ได้จ่ายค่าสมาชิกก็ยังมี Log In อยู่ได้ครับ (ยังทันหรือไม่ครับเนี่ย หรือสรุปกันไปหมดแล้ว) :bow:
โดย
xavi
พุธ มิ.ย. 27, 2012 11:20 pm
0
8
Re: ฝ่าวิกฤติยูโร/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ขอบคุณบทความครับ ผมก็เป็นอีกคนที่ชอบมีเงินสดไว้ครับ ค่อยๆซื้อหุ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการสะสม วันไหนหุ้นตัวที่เราดูราคาลงเยอะหน่อยก็ทะยอยซื้อไว้ แต่ถ้าลงมากๆหรือขึ้นมากๆจนเกินที่เราคิดไว้ก็จะมาดูกันอีกทีว่าเป็นเพราะอะไร ผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้มือใหม่สบายใจครับ เพราะถึงหุ้นจะร่วงลงไปสัก 10-20% ก็จะไม่กระทบกับความมั่งคั่งของสินทรัพย์โดยรวมเรามาก แต่ที่สำคัญเราก็ต้องไม่เสียดายโอกาสถ้าหุ้นที่เราชอบหรือทะยอยเก็บ ราคาของมันขึ้นสูงไปเรื่อยๆ :wall: ที่สำคัญผมเริ่มคิดเหมือนที่กูรูหลายๆท่านว่าไว้ ไม่ว่าจะเป็น Buffet, Lynch หรือแม้กระทั่ง ดร. ว่าเศรษฐกิจมหภาคนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดายาก ว่าจุดสิ้นสุดของมันจะอยู่ตรงไหน แต่การติดตามบริษัทที่เราสนใจว่ายังสามารถทำธุรกิจได้ดีนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ง่ายกว่า ดังนั้นถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจยังดีอยู่แม้ในสภาวะนี้ผมก็ยังคง "ทะยอย" ซื้ออยู่ครับ :mrgreen:
โดย
xavi
พุธ มิ.ย. 27, 2012 12:19 am
0
2
Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมได้เคยรู้จักคนทำอาชีพ Actuary หรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ที่เป็นคนคำนวนเบี้ยประกันเพื่อให้บริษัทเอาไปใช้กัน เป็นอาชีพที่ต้องเก่งในการคำนวนมากเพราะทำอย่างไรก็ได้ให้บริษัทประกันภัย "ไม่เจ๊ง" และก็ต้องเป็นเบี้ยที่ลูกค้า "พร้อมจ่าย" ที่ผมได้ยินมานั้นใน USA อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพต้นๆที่คนอยากเป็น และมีรายได้สูงมากเป็นลำดับต้นๆเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยก็เพิ่งเริ่มมีอาชีพนี้ครับ แว่วๆมาว่ารายได้อยู่ในระดับ CEO บริษัทใหญ่ๆต้องอิจฉา :wall: ผมคิดว่าบริษัทรับพนันก็น่าจะต้องมี Actuary หรือนักคณิตศาสตร์เก่งๆเช่นเดียวกัน อัตราต่อรองที่ออกมานั้นยากมากที่ท้ายที่สุดเราจะเป็นผู้ชนะ เพราะคนชนะนั้น "ไม่มีทางได้เงินจากบริษัทประกันแน่" แต่ต้องได้จากผู้แพ้ซึ่งจะต้องเป็น "คนส่วนใหญ่" ดังนั้นการพนันจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งอย่างที่ผมคิดว่านักลงทุนแนว VI ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ :mrgreen: แต่กับการซื้อหุ้นที่ PE สูง ผมมองว่ามันมีส่วนผสมของ "การลงทุน" มากกว่าการพนันเยอะมาก เพราะการคาดการณ์ Earning นั้น เป็นสิ่งที่ "พอจะ" คาดการณ์ได้ โดยเฉพาะหากเป็นธุรกิจที่เรามีความสนใจและใส่ใจ หรือ เข้าใจได้ง่ายเหมือนที่ ดร. ว่าไว้บ่อยๆ และที่สำคัญถ้าบริษัทที่ PE สูงนั้น มี "พื้นฐานที่ดี" อย่างน้อย "เงินต้น" ของเราก็จะยังอยู่ได้แม้ว่าอาจจะลดไปเล็กน้อย หาก Earning ไม่ได้ตามเป้า แต่หากเป็นการพนันนั้น "เมื่อเราแพ้เงินต้นไม่เหลือ" ครับ :wall:
โดย
xavi
อาทิตย์ มิ.ย. 24, 2012 11:12 pm
0
2
Re: คอนโดไฮโซ กับ คอนโดราคาถูก
ผมคิดว่ามี Condo ใน Port เป็นเรื่องไม่เสียหายอะไรครับ ตัวผมเองผมมี Condo 2 ที่ ของ LPN ที่ชอบเพราะบริหารจัดการส่วนกลางดีมาก เพราะที่แรกผมถือมากว่า 5 ปี ยังเหมือน Condo ใหม่อยู่เลยครับ ห้องที่สองก็เลยซื้อ LPN อีก (ผมไม่มีหุ้น LPN นะครับ) :mrgreen: ผมเลือกทำเลสำหรับคนทำงานครับ ใกล้ Office Building เดินทางง่าย หาของกินสะดวก แต่ส่วนตัวผมจะไม่เลือกห้องแพง อย่างแรกเพราะเริ่มซื้อตั้งแต่รายได้น้อย อย่างที่สองผมคิดว่าถ้ามีหลายห้องไม่แพง ดีกว่ามีห้องเดียงแพงๆ เพราะเหมือนการ Diversify เรื่องผู้เช่าไปในตัว ผมตั้งราคาถูกครับ เอาแบบถูกกว่าห้องอื่นชัวร์ๆ เพราะผมถือว่าได้เงินน้อยหน่อย แต่ไม่มีช่วง Idle Time หรือมีน้อยๆได้จะดีกว่า เพราะสำหรับ Condo ราคาไม่แพงผมว่าเรื่องค่าเช่าที่ถูกกว่ากันแม้เล็กน้อยก็เป็นเรื่องใหญ่ จากประสบการณ์ผมก็ถือว่าห้องว่างไม่เกิน 1-2 เดือนก็หาคนเช่าใหม่ได้ครับ ผลตอบแทนคร่าวๆ ค่าเช่าก็ประมาณ 5% ของเงินต้น ส่วนราคาขายเท่าที่เช็คก็เพิ่มประมาณปีละ 5% เช่นเดียวกัน ผมมองเป็น Passive Income ก้อนนึง ถ้าเราวางกลยุทธ์ในการเลือกได้ถูกต้อง ทำเลดี ราคาค่าเช่าได้ ก็เหมือนกับเราเลือก Defensive Stock ดีๆสักตัวเหมือนกัน Dividend Yield ก็เหมือนกับค่าเช่า Capital Gain ก็เหมือนกับราคาที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีข้อเสียมากๆเช่นเดียวกันครับคือเรื่อง "สภาพคล่อง" ผมเชื่อว่าถ้าจะขายจริงๆ ขายยากแน่นอน เพราะ Supply ใหม่ๆมีมาตลอด และคนซื้อส่วนใหญ่ก็ต้องอยากอยู่ห้องมือหนึ่งมากกว่า ไม่เหมือนหุ้นครับ ยิ่งเป็นมือสองยิ่งขลัง :B หุ้นมองผิดยัง Cut Loss ได้ง่ายได้เร็ว แต่ Condo นี่ยากกว่ามาก ที่สำคัญที่สุดหากต้องการผลตอบแทนระดับที่ "เปลี่ยนชีวิต" ได้ ผมคิดว่า Condo ไม่ใช่คำตอบครับ เรายังสามารถหาหุ้นที่ได้ผลตอบแทน 200% ในปีเดียวหรือ 2 ปีได้ แต่คอนโดนี่ยากจริงๆครับ (หรือผมอาจยังไม่เก่งพอ :wall: ) ช่วงหลังผมก็คุยเลยกับแฟนว่าถ้าเราต้องการ "ตีแตก" จริงๆ หุ้นมีโอกาสมากกว่าเยอะครับ ช่วงหลังก็เลยปรับ Port มาลงทุนหุ้นเยอะขึ้น ใช้ Condo เป็นแค่สินทรัพย์ที่คอย Leverage ความผันผวนของราคาหุ้นมากกว่าครับ :D
โดย
xavi
อาทิตย์ มิ.ย. 24, 2012 10:53 pm
0
9
Re: เกี่ยวกับ Working Capital
ผมไม่รู้แบบลึกซึ้งเท่าไรนะครับ แต่ขอช่วยตอบ :mrgreen: ค่า Working Capital เป็นบวกดีกว่าเป็นลบครับ เพราะใช้เป็นตัวดูความสามารถของกิจการแบบเร็วๆครับ เพราะ WC คิดจาก Current Assets - Current Liabilities ครับ Current Assets ไม่ได้มีแค่ลูกหนี้การค้า แต่ยังมีพวก Cash, Short term investment, Inventory ด้วยครับ ถ้ามีมากกว่า Current Liabilities ซึ่งเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายภายในปีนั้นๆ ก็แปลว่าธุรกิจนี้ดำเนินต่อไปได้ครับ และหากกิจการของเราเติบโตต่อเนื่อง มี Growth เยอะ โดยส่วนใหญ่ WC ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆด้วยครับ เพราะเราจะมีลูกหนี้เยอะขึ้น มีเงินสดเยอะขึ้น Inventory เยอะขึ้นด้วยครับ ส่วนละเอียดๆต้องรอเซียนบัญชีมาแนะนำนะครับ :D
โดย
xavi
เสาร์ มิ.ย. 23, 2012 12:20 am
0
4
Re: CHANGE/ธันวา เลาหศิริวงศ์
ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆครับ ผมเพิ่งเริ่มลงทุนในแนว VI ได้ไม่นาน ยังไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวกับมันมาเยอะเท่าไร แต่ก็เริ่มรู้ว่ามีอุปสรรคบางอย่างเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของ "ความเป็นเจ้าของ" เพราะการซื้อหุ้นในแบบ VI เราต้องทำการบ้านเยอะ ต้องศึกษาพื้นฐานบริษัท ความสามารถในการแข่งขัน แนวโน้มในการเติบโต วิสัยทัศน์และฝีมือของผู้บริหาร เราต้องใช้เวลาอยู่กับมันมาก มีความผูกพันธ์กับบริษัทนั้นๆมากขึ้นทุกวันๆ :D ตั้งแต่ช่วง Sub Prime ภาพรวม Set ก็ขึ้นมาโดยตลอด แม้กระทั้งช่วงน้ำท่วม Set ก็ตกลงมาไม่มากแล้วก็ยังขึ้นต่อเช่นเดียวกัน หุ้นในบางตัวของ Port ผมไม่ตกลงเลยด้วยซ้ำ จนทำให้เรารู้สึกผ่านร้อนผ่านหนาวกับมันมามาก สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมคือเมื่อเราเริ่มมีความรู้สึก "ความเป็นเจ้าของ" จริงๆสำหรับหุ้นบางตัวขึ้นมาแล้ว หากพื้นฐานของหุ้นนั้นเปลี่ยนจริงๆ บริษัทไม่สามารถแข่งขันได้จริงๆ เราจะสามารถตัดสินใจขายบริษัทของเราออกไปได้จริงหรือเปล่า หรือเราต้องรอให้ราคามันตกลงมามากๆก่อนถึงจะตัดสินใจได้ :wall: แต่ได้อ่านบทความของพี่ธันวาแล้วรู้สึกเหมือนมีคนมาเตือนสติจริงๆครับ ถ้าเรายังต้องการรักษาความมั่งคั่งของ Port เราไว้ให้ได้ เราต้องละเว้นความรู้สึกของ "ความเป็นเจ้าของให้ได้" เราถึงจะเป็นนักลงทุนที่สมบูรณ์ในแนว VI ได้อย่างแท้จริง :bow:
โดย
xavi
พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2012 11:25 pm
0
2
Re: เกาะติด 'เสี่ยปู่' วันนี้ลงทุนหุ้นอะไร..? โดย : กรุงเทพ
พอดีผมเริ่มเข้ามาอ่าน Thai VI ช่วง JAS พอดีเลยครับ ตอนนั้นข้อมูลหลายอย่างก็สอนให้รู้ว่าเราต้องฟังหูไว้หูเสมอๆ ถ้าบทสัมภาษณ์เป็นแบบนี้สิ่งแรกที่ผมจะคิดว่าคือต้อง "ระวัง" ไว้ก่อนเสมอครับ :ohno: เพราะถึงผู้ให้สัมภาษณ์จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยราคาหุ้นบางตัวจะต้องวิ่งขึ้นไปรับได้แน่นอน ถ้าเราเข้าไปซื้อโดยไม่ได้วิเคราะห์ให้ดี พื้นฐานบริษัทไม่สอดคล้องกับราคานั้นจริงๆ ท้ายสุดราคาก็ต้องกลับมาหาผลกำไรของบริษัท การลงทุนครั้งนั้นอาจจะไม่สามารถได้กำไรอีกเลยก็เป็นได้ :wall: ส่วนตัวก็เลยมีความคิดว่าเราจะตกรถไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถึงที่หมายช้าได้ แต่ไปแบบมั่นใจ ปลาดภัย และมีความสุขดีกว่าครับ :D
โดย
xavi
อังคาร มิ.ย. 19, 2012 11:57 am
0
10
Re: คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
เพิ่มเติมด้วยล่ะกันครับ เข้าใจว่าน่าจะมาจาก Beating The Street ที่ผมกำลังอ่านเหมือนกัน Lynch ยกตัวอย่างการลงทุนที่ไม่ตระหนกตกใจเรื่องของเศรษฐกิจมหภาคจนเกินไปนัก เพราะในมุมมอมของ Lynch ไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุนอะไรจะชนะหุ้นได้ แม้ว่าในยามเศรษฐกิจมหภาคชะลอตัว เพียงแต่ต้องเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่นับแค่ช่วง 2-3 ปี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ถ้านำเงิน 1,000 USD ลงทุนใน S&P 500 ตั้งแต่ปี 1940 และถือไว้ 52 ปีอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ใดๆ เงินลงทุนจะงองเงยเป็น 330,000 USD แต่ถ้าเติมเงินทุกๆปี ปีละแค่ 1,000 USD เป็นจำนวน 52 ปี เงินลงทุน 52,000 USD จะงอกเงยเป็น 3.5 ล้าน USD :ohno: ยิ่งไปกว่านั้น หากทุกๆครั้งที่ดัชนีตกไปเกิน 10% ซึ่งถือว่าลงเยอะๆมากๆ สำหรับ Dowjones ซึ่งเกิดขึ้นแค่ 31 ครั้งในรอบ 52 ปี ถ้าเรากล้าลงทุนทุกครั้ง ครั้งละ 1,000 USD เงินลงทุนทั้งหมด 83,000 USD จะงอกเงยเป็น 8.3 ล้าน USD :bow: :bow: เป็นมุมมองที่สะท้อนการลงทุนในหุ้นจริงๆ ว่าเราต้องพยายามลดความกลัวจากเศรษฐกิจหมภาคที่คาดเดาได้ยากให้ได้ และก็ยังช่วยเสริมความมั่นใจส่วนตัวสำหรับผมด้วย เพราะหลายๆครั้งก็ยังไม่กล้าทุ่มซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่งเป็นพิเศษ ยังใช้ Dollar Cost Average อยู่ ว่าก็ยังเป็นวิธีที่ไม่เลวร้ายมากจนเกินไปนักครับ :mrgreen:
โดย
xavi
อังคาร มิ.ย. 19, 2012 11:46 am
0
8
Re: วิบากกรรมของบริษัทถ่านหิน
เพิ่มเติมอีกนิดส่วนที่น่าสนใจครับ ดูแล้ว Shale Gas นี่น่าจะทำให้วงการพลังงานเปลี่ยนแปลงแน่นอน ขั้นตอนและกระบวนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน เมื่อไม่ถึงสิบปีมานี้ วงการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานได้ค้นพบ เทคนิคที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในวงการว่า Fracking ซึ่งจะใช้ควบคู่กับเทคนิคการขุดเจาะแบบใหม่ที่เรียกว่า Horizontal Drilling หรือการเจาะแนวราบ โดยการเจาะแนวราบนี้จะช่วยเพิ่มผิวสัมผัสของหลุมเจาะ กับชั้นหิน Shale ทำให้สามารถผลิตก๊าซฯได้มากขึ้นต่อการเจาะแต่ละครั้งนั่นเอง ทำให้ช่วยลดต้นทุนการขุดเจาะลงได้มหาศาลจากเดิม และเริ่มใกล้เคียงกับต้นทุน การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปรกติแล้ว (ต้นทุนโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน ประมาณ 6$/MMBTU) การทำ Hydraulic Fracturing เป็นการจะขุดเจาะเอาก๊าซฯออกมาจาก หินดินดานที่อยู่ลึกจากผิวโลกเป็นระยะทางหลายพันเมตรโดยใช้แรงดันน้ำ ขนาดสูง แต่จะทำให้หินที่แข็งมากร้าว (Fractured) ได้นั้นจำเป็นต้องอาศัย “สารเคมี” หลายชนิด และต้องใช้ “ทราย” ผสมเข้าไปด้วย โดยสารเคมีที่ใช้ในการ “สร้างรอยร้าว” ในชั้นหินนั้น มีมากมายหลายชนิด ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ บางมลรัฐ ในสหรัฐอเมริกายังไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้ขุดเจาะต้องแจงรายละเอียด จึงยัง ไม่อาจระบุได้ชัดถ้อยชัดคำว่ามี “สารพิษ” ปะปนด้วยหรือไม่ แต่จากข้อมูลพบว่าในบริเวณที่มีการขุดเจาะแล้วในสหรัฐ ปรากฏว่าทั้งน้ำใต้ดินและน้ำในบ่อ มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายปะปนอยู่ด้วยในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ประการที่สอง กระบวนการสร้างรอยร้าวเพื่อชักนำก๊าซฯออกมาจากชั้น หินนั้นก่อให้เกิดการรั่วซึมของก๊าซมีเทนออกมาด้วย ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี “ก๊าซมีเทน” เป็นก๊าซพิษ หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากก็มีอันตรายถึงแก่ ชีวิตได้ และหากควบคุมไม่ได้ก็อาจเกิดการระเบิดได้อีกด้วย อนาคตของก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน (Shale Gas) แม้ Shale Gas จะถูกโจมตีอย่างหนักจากนักอนุรักษ์ในระยะหลัง แต่ เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ ทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัจจัย ความปั่นป่วนวุ่นวายในตะวันออกกลาง ความเสี่ยงจากภาวะวิกฤตโรงไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์ และปัจจัยการเมืองระหว่ างอภิมหาอำนาจรัสเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน แนวโน้มของการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติชนิดนี้คงจะมาก ขึ้น และทวีความรวดเร็วขึ้น ด้วยเหตุผลที่สำคัญหลักๆสามประการ ประการแรก ก๊าซฯชนิดนี้เป็นแหล่งพลังงานที่สหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป มีอยู่มากในอาณาเขตของตน มักจะพูดกันว่า Shale Gas is in the backyard : อยู่หลังบ้านนั่นเอง หรือก็คือ หากขุดก๊าซฯพวกนี้ขึ้นมาใช้ได้มาก ประเทศเหล่านี้ อาจสามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะรัสเซียกับ ตะวันออกกลางได้ ประการที่สอง ในเชิงเศรษฐศาสตร์ แนวโน้มที่ต้นทุนการขุดเจาะก๊าซฯ ชนิดนี้จะลดลงต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติแบบ Conventional Gas เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งเมื่อต้นทุนพลังงานมีราคาสูงขึ้น แนวโน้มที่การขุดเจาะก๊าซฯชนิดนี้จะได้รับ การสนับสนุนก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ประการที่สาม ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าน้ำมันก็คงจะเหลือน้อยเต็มที่และแพง ขึ้นเรื่อยๆ ก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง Conventional ก็กำลังร่อยหรอลงไปทุกวัน หากไม่เตรียมการขุดเจาะและกักตุนก๊าซฯจากหินดินดานไว้ก็คงเป็นเรื่องที่ ผิดปรกติอย่างมากสำหรับรัฐบาลชาติที่มีแหล่งก๊าซฯชนิดนี้มาก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกาและจีน ท้ายที่สุด กุญแจสำคัญในการพัฒนา Shale Gas คือ เทคโนโลยีการผลิต แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตจะถูกจำกัดอยู่ในอเมริกา แต่เชื่อว่าในไม่ช้า ประเทศผู้นำอย่าง จีน หรือ ยุโรป จะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวได้เช่นกัน
โดย
xavi
จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 10:34 pm
0
6
Re: วิบากกรรมของบริษัทถ่านหิน
ข้อมูลจาก Website ของ PTT เมื่อปีที่แล้วครับ เข้าใจง่ายดี Shale Gas หรือ ก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน คืออะไร คำนิยามของ Shale Gas ที่ง่ายและตรงที่สุดก็คือ ก๊าซธรรมชาติที่เกิด จากการหมักหมมของซากพืชและสัตว์ที่ตายทับถมกันมาเป็นเวลาล้านๆ ปี และถูกกักอยู่ภายในชั้นหินดินดาน โดยหินดินดานจะทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่ง กำเนิดของก๊าซฯ และเป็นแหล่งเก็บของก๊าซฯโดยธรรมชาติด้วย สำนักงานข่าวสารพลังงานสหรัฐ (US EIA) ระบุว่า ทั่วโลกเท่าที่ค้นพบ ณ ขณะนี้ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานรวมทั้งสิ้นประมาณ 48 แห่ง (เรียก ว่า Shale Basins) ครอบคลุม 32 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นปริมาณก๊าซ ธรรมชาติในเบื้องต้นประมาณ 170 tcm หรือ 170 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็น ตัวเลขกว่า 40% ของแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติในปัจจุบัน และ ในอนาคต เชื่อว่าน่าจะพบได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า แน่นอนว่า ตัวเลขดังกล่าวย่อมก่อ ให้เกิดการเคลื่อนไหวในวงการก๊าซธรรมชาติอย่างรุนแรง และที่รุนแรงที่สุดก็ คงหนีไม่พ้น “สหรัฐอเมริกา” เพราะเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มากที่สุดในโลก
โดย
xavi
จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 10:29 pm
0
2
Re: ถ้าหุ้นที่ถือไว้ขึ้นมาจนเกินมูลค่าที่เราคิดไว้ จะทำยังไง
ส่วนตัวแล้วกันนะครับ ตั้งแต่มาเริ่มเล่นแนว VI ผมจะชอบซื้อหุ้น 2 แบบ คือหุ้นแข็งแกร่ง แนวๆ Super Stock และ หุ้นเติบโต ในส่วนหุ้นแข็งแกร่งนั้นผมจะถือตราบเท่าที่กิจการของมันยังดีอยู่ พื้นฐานไม่เปลี่ยน เพราะหุ้นประเภทนี้ตลาดให้ PE สูงกว่าที่เราคิดมากๆ หลายๆครั้งมูลค่าเกินที่เราทำ DCF ไว้ แต่ราคาก็ยังไปได้อีกมากๆ ผมลองขายหุ้นพวกนี้ตอนเกินราคาที่คำนวนไว้ออกไป ท้ายสุดก็ต้องกลับมาซื้อตัวเดิมอีก จนผมเข้าใจว่า Premium ของราคาที่นักลงทุนยอมรับนั้นมีพลังจริงๆ ทำให้ PE ดันขึ้นสูงจนไม่น่าเชื่อ :shock: ส่วนหุ้นเติบโต ผมชอบเล่นพวกที่มี Story, New Strategy หรือมีการเปลี่ยน Business Model ที่มันจะทำให้เกิดรายได้ใหม่ๆ ก้อนใหญ่ หรือ เกิด Inorganic Growth เพราะถ้าทำสำเร็จจะทำให้กระทบราคาหุ้นเยอะ :mrgreen: ถ้าบริษัทสามารถทำได้จนตลาดรับรู้กันแล้ว ส่วนมากผมก็จะขายออกไป เพราะก็ยังมีความไม่แน่ใจในราคาที่ปรับขึ้นมาสูงแล้วได้อีก ว่าตลาดคาดหวังมากไปหรือเปล่า ที่สำคัญหุ้นพวกนี้ก็จะคำนวน DCF ได้ยากมากๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่ากลยุทธ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มันทำเงินให้จริงๆเท่าไรกันแน่ :roll: เพิ่มเติมอีกครับ ตอนนี้เริ่มอ่าน Beating The Street มีประเด็นเรื่อง PE ของหุ้นโตเร็วที่ Lynch สรุปมาจากอดีต ว่าส่วนใหญ่ตลาดที่ US จะยอมรับกันไม่เกิน 2.2 เท่าของ PE ตลาด (เข้าใจว่าถ้า PE เฉลี่ยหุ้นไทยที่ 14 PE หุ้น Growth จะยอมรับประมาณ 30 ครับ) น่าจะเป็นอีกตัวแปรที่เราเอามาวัดว่าเมื่อไรต้อง "ขาย" หุ้นที่เราไม่ใจออกไปก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวยังไม่เคยใช้เพราะเพิ่งได้ศึกษาเรื่องนี้ครับ แต่ตอนนี้ผมก็ยังมีขายหมูอย่บ่อยๆครับ :wall:
โดย
xavi
จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 7:20 am
0
3
Re: ศึกชิงเท้า/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมมองปัญหาของ Community Mall ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ว่าเป็นเรื่อง "ราคา" สินค้าเป็นหลัก เพราะหลักการของ Community นั้น ลักษณะโดยทั่วไปจะมีพื้นที่เล็กกว่าห้างใหญ่ๆ ต้องการจับตลาดของกลุ่มคนในละแวกใกล้ๆนั้น ให้มาใช้จ่ายใช้สอยให้มากหรือบ่อยครั้งที่สุด หรือคิดง่ายๆก็เหมือนกับเป็น "ตลาดประจำชุมชน" แถวๆนั้น แต่โครงสร้างค่าเช่าพื้นที่นั้นถูกคำนวนมาไม่ต่างจากร้านค้าในห้างสักเท่าไร ทำให้ร้านค้าที่มาเช่นนั้นตั้งราคาต่ำๆไม่ได้ เราก็เลยเห็นแต่ร้านพวก Wine, Hob, ร้านอาหารญี่ปุ่น, เกาหลี ใน Community เต็มไปหมด แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวของการกินนั้นค่อนข้างสูง (ผมคิดว่าน่าจะ 300 บาทเป็นต้นไปครับ) คนทั่วๆไปก็เลยไปกินบ่อยๆไม่ได้ ต้องรอให้เป็นช่วงพิเศษ เช่น ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หรือปลายเดือน ถึงจะพอไปใช้จ่ายไหว :wall: ดังนั้นส่วนใหญ่จะเห็นเลยว่าวันธรรมดา โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือบ่ายนี่พวก Community Mall ถ้าทำเลไม่ดีจริง หรือ Concept ออกแบบไม่ดีจริง ร้านค้านั่งเหงาตบยุงกันหลายที่ครับ ครั้นจะหาบริการอย่าง Bank เพื่อเป็นแม่เหล็กให้คนมาใช้บริการมาลง ในตอนนี้ก็ยากเพราะส่วนใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียงก็จะมีสาขา Stand Alone ออกมาอยู่แล้ว หรือไม่ก็ลงห้างไปแล้ว หรือหากมอง Super Market ส่วนใหญ่พวกนี้ก็ไม่รอ Community เช่นเดียวกัน พวก Big C, Tesco ขนาดสัก 300-1,000 ตร.ม. ช่วงหลังก็เริ่ม Stand Alone เยอะ ผมคิดว่าถ้าจะทำ Community จริงๆ ให้คนเข้าเยอะ และ ร้านค้าอยู่ได้ ต้องเป็นลักษณะเหมือนกับเป็น "ตลาดประจำชุมชน" แต่ต้อง "สะอาด สะดวก และ ราคาไม่แพง" :mrgreen: ครับ หลักการก็คงเหมือนกับที่ CPALL หรือ BIGC เข้าไปตีร้านโชว์ห่วยนั่นเอง แต่เปลี่ยน Scale เป็น ไปชนกับตลาดในชุมชนแทน น่าจะเข้าทางกว่าเยอะ ไม่ต้องไปแข่งกับห้างใหญ่ๆโดยตรงครับ
โดย
xavi
อาทิตย์ มิ.ย. 17, 2012 12:09 am
0
22
Re: จุดวัดใจ หุ้นไอพีโอ/ธันวา เลาหศิริวงศ์
ผมไม่เคยซื้อหุ้น IPO เลยครับ ส่วนใหญ่เล่นหุ้นตัวที่รู้จักมานาน เพราะทำให้เรามั่นใจได้มากกว่า แต่เคยได้คุยกับ ผจก.กองทุน ได้ความมาว่าพวกหุ้น IPO นี่กองทุนจะได้มาเยอะ โดยส่วนใหญ่จะได้เป็นของ "สมนาคุณ" และในบางครั้งถือไว้เป็นหลักแค่ "วินาที" ด้วยซ้ำ และจะรีบขายมากๆหากได้ราคาดี เพราะคิดเป็นผลตอบแทนแล้วได้สูงมาก :juju: พอฟังมาแบบนี้ส่วนตัวผมเลยไม่ค่อยชอบหุ้น IPO เท่าไร เพราะรู้สึกว่าการซื้อขายมันไม่ค่อยแฟร์ และเป็นเรื่องที่ "นายตลาด" เข้ามามีส่วนกับหุ้นมากๆ เลยคิดว่าถ้าหุ้นดีจริง เราซื้อช้าไปหน่อยก็ได้ ใช้เวลาศึกษากิจการ บริษัท หรือ ผู้บริหาร ให้ดี ถ้าเข้าตลาดแล้วข้อมูลข่าวสารน่าจะเยอะขึ้น งบต่างๆก็น่าจะปรับแต่งได้ยากขึ้น ยอมกำไรช้าหรือกำไรน้อยหน่อยก็ยังดีกว่า เหมือนกับการที่เราซื้อหุ้น PE สูง แต่เรามั่นใจกิจการในอนาคตนั่นเองครับ :D
โดย
xavi
พุธ มิ.ย. 13, 2012 9:37 pm
0
2
Re: เปิดโผ10หุ้นเด้งเร็ว ... เขียนข่าวได้เก่งมาก
ไม่ดีเลยครับ ถ้าอ่านเร็วๆนี่เหมือน ดร. เชียร์หุ้นจริงๆ ถ้าไม่รู้จัก ดร. มาก่อนก็อาจจะเข้าใจผิดได้เลย ยิ่งช่วงนี้มีกระแสแซวชาว VI ให้กลายเป็น ไวตามิ้ลค์ไปด้วย :wall: ผมเคยได้ฟัง ดร. พูดตามงาน 2-3 ครั้ง จริงๆแล้ว ดร. ไม่เคยพูดชื่อหุ้น โดยเฉพาะตัวที่มีใน Port แก ในงานสัมนาต่างๆเลยครับ :bow:
โดย
xavi
พุธ มิ.ย. 13, 2012 12:17 am
0
3
Re: เซียนเก็งกำไร 'ทองคำ' ม.3 'เจ๊จง' หมูทอดเงินล้าน
ฟังชื่ออาชีพของเจ๊แล้วเสียวเลยครับ "ขายหมู" :mrgreen: ล้อเล่นนะครับ ยินทีแทนเจ๊ด้วยจริงๆครับ เคยดูในรายการเริ่มจากแกคิดดีก่อน คืออยากให้คนรายได้น้อยได้กินอาหารอิ่ม ก็เลยสร้างแนวคิดให้กินข้าวได้ไม่อั้น และขายสินค้าราคาไม่แพง ช่วงแรกก็ได้ลูกค้าเป็นชาววินมอเตอร์ไซด์ และแท๊กซี่ เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากมีชื่อเสียง พวกพนักงาน Office ก็เริ่มมากิน เพราะประหยัดเพราะแถวนั้นมี Office เยอะ จนช่วงหลังแกออก TV บ่อย ก็ได้พวกไฮซ้อไฮโซให้คนขับรถมาสั่งซื้อไปกินด้วย :juju: แบบว่ากินได้เรียบทุกกลุ่มจริงๆครับ เก่งขนาดนี้ไม่ต้องปรึกษา อ.ธันยวัชร์ ก็ได้ครับ :D แต่ผมคิดว่าธุรกิจแบบนี้มันเป็นลักษณะเฉพาะล่ะครับ ต้องเฉพาะคน เฉพาะที่ เฉพาะเวลาจริงๆ เคยมีหลายเจ้าที่เด่นๆอย่างนี้แล้วขยาย สาขาถัดไปส่วนใหญ่ไม่ดีเท่าสาขาแรก ทำแล้วจะไม่ค่อยคุ้ม เหตุผลจริงๆส่วนใหญ่ จะเป็นการสร้างสาขาให้รุ่นลูกมากกว่า ถ้าเจ๊ขายได้วันละ 100,000 นี่ผมว่าสาขาเดียวพอแล้วครับ เน้นต่ออายุกับทางท่าเรือให้ได้ดีที่สุดครับ :D
โดย
xavi
อังคาร มิ.ย. 12, 2012 11:26 pm
0
5
Re: รวมปรัชญาการลงทุนในดวงใจ (favorite inv. quotes of all ti
ขอแบบฮาๆบ้างนะครับ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย กับ นักลงทุนข้ามชาติ สองปรัชญาที่ดังตั้งแต่สมัยต้มยำกุ้งเป็นต้นมาครับ :D
โดย
xavi
อาทิตย์ มิ.ย. 10, 2012 8:36 pm
0
0
Re: ความสุข-และความทุกข์-ของการเล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรว
ก่อนหน้าจะเล่นแบบ vi ก็เป็นแบบที่ ดร.ว่าจริงงๆครับ หุ้นขึ้นตื่นเต้นสุดๆ สักพักก็ขายทำกำไร แต่หลายครั้งก็กลับมาซื้อตัวเดิม เพราะราคาก็ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่หุ้้นตกนี่แย่กว่า เพราะต้องขาย cut ตลอด เพราะเราไม่รู้พื้นฐานดีพอ ราคาหุ้นลงกลับกลัวว่าจะไม่ขึ้น โชคดีว่ารวมๆยังกำไร port ยังพอโตได้ แต่มันเสียเวลามากๆกับการดูราคาระหว่างวัน เพราะต้องตามราคาอยู่บ่อยๆ :wall: ลองปรับเล่นแนว vi เสียเวลาในการเลือกหุ้นให้มากขึ้น ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม หุ้นขึ้นมากกลับเสียดาย กลัวซื้อไล่ตามไม่ทัน หุ้นลงไม่หวั่นไหว เพราะเร่ิมเชื่อมั่่นในกิจการ หลายตัวกล้าซื้อเพิ่ม มองเป็นโอกาส ไม่ต้องติดตามราคาบ่อย รู้สึกว่านิ่งขึ้นจริงๆครับ :D แต่ตอนนี้ก็ยังต้องฝึกอีกมาก เพราะเพิ่งเริ่มแนวคิด vi ได้ไม่นาน ยังมีวิเคราะห์ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตามความยากง่ายของหุ้นที่สนใจ ต้องขอบคุณ ดร. ที่เขียนบทความเตือนใจ และให้ความเชื่อมั่นตลอด ว่าเราเดินมาถูกทางครับ :bow: :bow:
โดย
xavi
อาทิตย์ มิ.ย. 10, 2012 7:31 am
0
5
91 โพสต์
of 2
ต่อไป
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
ชื่อล็อกอิน:
xavi
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.ค. 06, 2011 11:13 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.ค. 25, 2023 2:34 pm
โพสต์ทั้งหมด:
123 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว