หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
koko8889
Joined: ศุกร์ ก.ค. 13, 2012 6:06 pm
39
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - koko8889
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ฝากโศลกบทนี้ สำหรับคนที่มีบางวันจะละเว้นการทานเนื้อสัตว์บ้าง "อาหารอร่อย โลหิตไหล เจ็บปวดรวดร้าวไปบอกใคร ถามจิตใจตัวเอง ใครกล้าใช้มีดเฉือนตัวเอง" ท่านโพธิธรรม. ม่มี
โดย
koko8889
จันทร์ มี.ค. 03, 2014 11:50 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
กายเป็นวัด ใจเป็นพระ เดืินทางกลับเข้ามาหาที่กายและใจ ก็จะค้นพบคำตอบเอง.
โดย
koko8889
อาทิตย์ มี.ค. 02, 2014 5:11 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งอาจจะแตกต่างบ้าง ก็ขอให้เพื่อนๆ เปิดใจก่อนปราศจากการตัดสินถูกและผิด โดยส่วนตัวผมศึกษาเรื่องธรรมชาติมากกว่าการลงทุนแบบวีไอ ดังนั้นขอแบ่งปันเรื่องธรรมะหรือธรรมชาติที่ผ่านมามากกว่า หลายท่านหลายความเห็นผูกขาดอยู่ที่พุทธศาสตร์ทั้งหมด ส่วนตัวผมเห็นว่า ศาสนาพุทธที่อยู่ได้นานและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ อิสรภาพ ถ้าคุณยิ่งเข้าใจธรรมะแล้วยิ่งหมดอิสรภาพ ต้องย้อนกลับเข้ามาดูแล้วเกิดอะไรขึ้น ผลที่ได้บางครั้งไม่ต้องถามใครตัวผู้ปฏิบัติเองก็รู้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องตำราคำสอนก็ดีภาษาบาลีสันสกฤตหรือคำสอนครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั้น ถ้าใช้เพื่อวางแผนที่ดีแต่ในระหว่างการเดินทางถ้ามัวพะวงอยู่กับแผนที่ ท่านไม่ได้รับประสบการณ์อะไรเลย และพลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย เพราะหัวใจจริงๆ แล้วคือ อยู่กับปัจจุบัน บางครั้งในชีวิตท่านอาจมีโอกาสเดินทางผ่านทางนี้ครั้งเดียว หรือหลายครั้ง แต่การเดินทางของท่านไม่ได้ตระหนักรู้หรือสามารถเห็นสิ่งที่เป็นตรงตามความเป็นจริงเลยก็น่าเสียดาย แต่ก็ง่าย ๆ เริ่มใหม่แล้วก็ตระหนักรู้มากขึ้น การถึงจุดหมายปลายทางหรือการบรรลุถึงธรรมะ แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่หวังแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำแล้วจะรู้เองได้ผลเอง แล้วก็ทำจนชำนาญ ก็ไม่ต่างจากร้านอาหารที่มีสูตรเด็ดคนเข้าคิวรอนานๆ หรือ นักลงทุนวีไอที่ลงทุนแล้วได้ผลสำเร็จในทุกสภาวะของตลาด สุดท้าย ผลที่ได้จากการเรียนธรรมชาติ คือ ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ (ธรรมชาติเปลี่ยนแต่ใจมนุษย์ไม่เปลี่ยน), ความสมดุล (มีขึ้นมีลง, มีซ้ายมีขวา, มีหน้ามีหลัง สุดท้ายก็ต้องมาเริ่มใหม่ที่จุดสมดุล) ปัจจุบัน (อยู่กับสิ่งที่เป็นไม่ใช่สิ่งที่หวังหรือฝัน) อิสรภาพ (รู้จักตัวเอง,เข้าใจตัวเอง, เข้าใจคนอื่น ไม่ต้องเป็นเหมือนใคร) นับหนึ่งใหม่ (ถูกหรือผิดก็กลับมาทำใหม่จนชำนาญ) ไม่มีสูตรลับ (มีเหตุและมีผล แต่เลือกที่จะทำอะไรก็ต้องรับผลอันนั้น) ง่ายกว่านั้นไปซื้อแผ่นดีวีดี กังฟูแพนด้าภาคแรก ถ้าคุณเปิดใจคุณก็จะเข้าใจหมดเลย แต่ที่ยากคือ ท่านต้องสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
โดย
koko8889
อังคาร ก.พ. 18, 2014 5:48 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผู้มีปัญญาท่านหนึ่งกล่าวเรื่องจิตมนุษย์ไว้น่าสนใจว่า บางครั้งเป็นพระ บางขณะเป็นมาร บางกาลเป็นพรหม บางอารมณ์เป็นมนุษย์ ดังนั้น ผู้มีปัญญาจึงรู้จักครองใจอุเบกขา ทำความสงบเกิดแก่ตนทุกนาที เพื่อป้องกันและปราบกิเลสทั้ง 3 ที่มีอยู่ทุกหนแห่งที่เกิดได้ทุกนาที คือ ยามโกรธ กาย วาจา ใจ จักแสดงความไร้มารยาท ขาดเมตตา กรุณา ทำร้ายผู้อื่นถึงบาดเจ็บล้มตายได้อย่างโหดเหี้ยมทารุณ หมดความยั้งคิด ยามโลภ กาย วาจา ใจ จักแสดงความเห็นแก่ตัว แล้งน้ำใจ ไม่ซื่อตรง ไม่คงเส้นคงวา ไม่เคยพอ เห็นแต่ได้โดยปราศจากหิริโอตตัปปะ ไม่ชอบสันโดษ ไร้สัจจะ ไม่มีมุทิตาอย่างจริงใจ ยามหลง กาย วาจา ใจ จักขาดสติสัมปชัญญะ หมกมุ่นมัวเมาในวัตถุ อย่างลืมหูลืมตามไม่ขึ้น โดยไม่คิดว่าจะเลิกละได้อย่างไร ความโกรธ โลภ หลง มีฤทธิ์มากเพียงไร โลกจะมืดมนเพียงนั้น คัดลอกบางส่วนจากหนังสือทางสายตรง...คุณเจือจันทน์ อัชพรรณ.
โดย
koko8889
จันทร์ ก.พ. 03, 2014 12:43 am
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
การวัดผลว่าสิ่งที่ทำมาถูกทางแล้ว คือ ใจยิ้มได้ ไม่ได้เห็นด้วย้ตา แต่เห็นได้ด้วยใจ.
โดย
koko8889
จันทร์ ม.ค. 27, 2014 9:58 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมอยากได้คำแนะนำถึง "ปัญญาอบรมสมาธิ" ว่าควรต้องนำไปปฏิบัติอย่างไรครับ ปัญญาเกิดเมื่อเห็นความจริงตรงตามความเป็นจริงในปัจจุบัน สมาธิเกิดเมื่อหมดความคิด, หมดประสบการณ์,หมดความรู้ตามปริญญาตรี โท เอก,หมดความสงสัย, หมดเงื่อนไขวิชาการต่าง ๆ, หมดข้อถกเถียง, หมดเงื่อนไขต่างๆ ที่ตัวเองและผู้อื่นสร้างขึ้นมา ฯลฯ วิธีปฏิบัติ “ปัญญาอบรมสมาธิ” คือ การเข้าใจ “ผล” เพื่อไปอบรม “เหตุ” สิ่งนี้เหมาะกับคนเมืองใหญ่ที่วุ่นวายเกี่ยวกับความคิดและสิ่งเร้าต่าง ๆ วิธีปฏิบัติ “สมาธิอบรมปัญญา” คือ การสร้าง “เหตุ” มากขึ้นจนได้ระดับที่สมบูรณ์ “ผล” เกิดขึ้นมาเอง สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันตามสำนักต่างๆ โดยทั่วไป แท้จริงแล้วก็คือ ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ซึ่งไม่มีคำตอบในตอนนี้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติแล้วผลเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะแล้ว ท่านจะรู้ว่าคำตอบคืออะไร รู้เองเข้าใจเอง หมดคำถามหมดคำตอบ หมดการแสวงหาครูบาอาจารย์ เห็นสิ่งเดียวกันหมด จบปริญญาทางธรรมเบื้องต้น..จากนั้นก็ยังต้องปฏิบัติสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้สำหรับผ่าน..ปริญญาทางธรรมขั้นสุดท้าย..ตัดสินตอนช่วงเวลาที่จากโลก(ขันธ์5 แตกดับคืนสู่ธรรมชาติ) สิ่งที่เข้าใจทั้งหมดนั้นจะมาใช้ทันช่วงเวลาแห่งการพลัดพรากไหม..ถ้าทันเวลา สะอาด สงบ สันติ ก็จบบริบูรณ์อวสานไม่มีตอนต่อไป..แต่ถ้าไม่ทันเวลา ห่วง เสียดาย อาลัยอาวรณ์ ก็ไม่จบมีต่อ ภาค 2, ภาค 3, และภาคต่าง ๆ อนึ่ง สิ่งที่ผมเขียนอธิบายนี้ไม่ต้องการอ้างอิงตามคัมภีร์ใดหรืออ้างอิงจากอาจารย์ท่านใด เพราะท่านทั้งหลายทั้งปวงและผมก็อยู่ภายใต้สภาวธรรม(สัจจะธรรม)เดียวกัน ดังนั้น ขอให้ทุกท่านทุกคนเจริญทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อส่งผลจบบริบูรณ์อวสานไม่มีตอนต่อไปเทอญ.
โดย
koko8889
จันทร์ ม.ค. 20, 2014 4:57 am
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โศลกธรรมจากหลวงตาฯมาแบ่งปันครับ 1. สุขใดเสมอด้วยความสงบ(สันติ,นิพพาน)ไม่มี 2. ทุกข์ใดเสมอด้วยขันธ์ห้าไม่มี 3. โทษใดเสมอด้วยโทสะไม่มี
โดย
koko8889
พุธ ม.ค. 15, 2014 6:29 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมขออนุญาตขยายความจากบันทึกเสียง หลวงตาชัยรัตน์ ธุลีดิน 1. คนรู้ธรรมะ จะเอาชนะคนอื่น สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ศึกษาธรรมะที่ได้ฟังได้อ่านแล้วเกิดองค์ความรู้ขึ้นมา ซึ่งจุดนี้หลายท่านจะเริ่มก่อเกิดอัตตา(อีโก้) จะมีภาวะล้นในการเที่ยวเล่าเที่ยวบอกเที่ยวสอนให้คนอื่นเข้าใจจากสิ่งที่ได้รับรู้และได้รับฟังมา ช่วงเวลานี้อันตรายจะก่อเกิดการสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งใดที่คนอื่นรู้หรือรับรู้สิ่งที่แตกต่างก็จะเที่ยวไปตัดสินจากองค์ความรู้ที่หยิบยืมเขามา หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่เริ่มศึกษาว่าเงินคืออะไร นี่เป็นเหรียญ นี่เป็นธนบัตร นี่เป็นเงินจริง นี่เป็นเงินปลอม ดังนั้น สิ่งที่ ควรเจริญ คือ รู้ก็คือรู้ 2. คนมีธรรมะ จะเอาชนะตัวเอง เมื่อนำมาสิ่งที่รู้มาปฏิบัติช่วงเวลา ก็จะเริ่มพบความจริงแล้วว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อชนะแล้วจิดใจก็นิ่งใสสงบสว่าง แต่เมื่อปฏิบัติแล้วแพ้ก็โกรธ เศร้า เสียใจ สภาวะนี้ก็เข้าใจแล้วแพ้ชนะเป็นอย่างไรก็จะใช้เวลาไปในการเอาชนะตัวเอง หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่สามารถหาเงินมาได้แล้ว เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน ดังนั้น สิ่งที่ควรเจริญ คือ มีก็คือมี 3. คนเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ จะไม่เอาชนะอะไรเลย เมื่อเข้าสู่จุดหมายนี้แล้ว คือ การปฏิบัติจนเข้าใจแล้วว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ ก็เป็นสภาวะปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังนั้น ตัวเรา ตัวเขา ของเรา ของเขา ก็เป็นไปตามกฎนี้ เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้วก็จะไม่เอาชนะอะไรเลย หลวงตามยกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่มีเงินแล้วใช้เงิน ประโยชน์ทั้งหมดทั้งปวงก็จะบังเกิดขึ้น มีเงินมากเงินน้อย จะสำเร็จประโยชน์ตอนที่ใช้ (บริโภค) หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน (หิวข้าวเกิด รู้จักเงิน มีเงิน ใช้เงิน ได้ข้าว กินข้าว หิวข้าวดับ) สุดท้ายนี้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านก็ขอให้ท่านบังเกิดดวงตาแห่งธรรมะ(ความจริง) โดยเร็ววัน ส่วนข้อความใดที่ท่านอ่านแล้วบังเกิดอคติขึ้นในจิตใจ โปรดจงเสาะหาความรู้เพิ่มเติมและขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยเทอญ
โดย
koko8889
จันทร์ ม.ค. 13, 2014 4:51 am
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมมีโอกาสเข้าพบหลวงตารูปหนึ่ง ก่อนกลับขอโศลกธรรมซึ่งขออนุญาตแบ่งปันครับ มีดังนี้ คนรู้ธรรมะ จะเอาชนะคนอื่น คนมีธรรมะ จะเอาชนะตัวเอง คนเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ จะไม่เอาชนะอะไรเลย.
โดย
koko8889
อาทิตย์ ธ.ค. 22, 2013 8:23 pm
0
7
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
บทความนี้เส้นทางธรรม อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม แต่รู้เท่าทันและสามารถกำหนดรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม...การรู้เท่าทัน และสามารถกำหนดวิธีการได้เช่นนี้ จึงว่า “อยู่ใน” แต่ “อยู่เหนือ”...เหมือนหยดน้ำบนใบบัว อยู่บนใบบัว แต่ไม่เกาะติดอยู่ในใบบัวนั้น...นี่คือใจความสำคัญของสภาวะการรู้แจ้งธรรมอันสูงสุด และเป็นแก่นแท้ของพุทธธรรม ความรู้สึกตัวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก... พระอรหันต์ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากผู้ที่มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบถเท่านั้น คือท่านรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิตเท่านั้น... แต่ปุถุชนส่วนใหญ่จะลืมตัว พลัดหลงไปจากตัว ไม่รู้สึกตัว แต่ไปหมกหรือตกอยู่ในความคิดเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าไม่รู้สึกตัวของตัว... บทความนี้ให้สำหรับการลงทุนแบบวีไอ อยากได้ยิ่งหนี อยากมียิ่งยาก ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาพึงตัดคำว่าอยากออกเสีย ก่อนที่จะลงมือกระทำการใดๆ จะช่วยให้งานนั้นเสร็จเร็วยิ่งขึ้น บทความนี้ให้สำหรับคนหาเส้นทางธรรมและการลงทุนแนววีไอ คนที่เข้าใจเรื่องจิตของตนเอง สามารถบรรลุได้โดยใช้ความเพียรไม่มาก ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ เรื่องจิตของตนเอง ปฏิบัติไปก็ไร้ประโยชน์ ความดีความชั่วทุกอย่าง มาจากจิตของท่านเอง การค้นหาสิ่งที่อยู่ภายนอกจิตนั้น เป็นไปไม่ได้
โดย
koko8889
ศุกร์ ธ.ค. 06, 2013 11:37 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เคยสนทนาธรรมกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าในชีวิตที่มีโอกาสได้รับการแบ่งปันประสบการณ์จากท่าน หลวงพ่อ : โยมคิดว่าคนเราตายไปแล้วหิวไหม โยม : ไม่หิว ครับ (จะหิวได้อย่างไร ร่างกาย -- > ศพ ---- > ธาตุทั้งสี่กลับคืนสู่ธรรมชาติ) หลวงพ่อ : ใช่ร่างกายมันสลายไปแล้ว แต่ถ้าใจยังหิวอยู่ ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก อีกซักเรื่องครับ โยม : หลวงพ่อครับ ช่วงนี้อ้วนมากน้ำหนักลดไม่ลงเลย มีสูตรเด็ดเคล็ดลับไหมครับ หลวงพ่อ : โยมไปดูน่ะ ตัวหิว หรือ ใจหิว โยม : จริงด้วย ร่างกายมันอิ่มแล้ว แต่ใจมันยังไม่อิ่มเลย ยังคงเสาะแสวงหาเพื่อมาบำรุงใจที่หิวไม่รู้จักอิ่มซะที มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งกล่าวกับผมว่า ลำพังการกินเพื่อบำรุงร่างกายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่การกินเพื่อบำรุงอัตตานั้นมีราคาสูงมากมาย (จ่ายน้อยแต่ได้ผลมาก จ่ายมากได้ผลน้อย) เพื่อนชาววีไอ ลองไปดูว่าการลงทุนของท่านนั้นตอบสนอง ตัวหิว หรือ ใจหิว น่ะครับ เมื่อท่านประสบผลสำเร็จแล้วสิ่งที่ท่านทำ อยู่นั้นท่านบำรุงสิ่งใดอยู่ สุดท้ายนี้อย่าลืม กฎธรรมชาติข้อหนึ่งที่พึงระลึกไว้เสมอคือ สามัญไปสู่สูงสุด สูงสุดคืนสู่สามัญ ซึ่งเป็นมรดกติดตัวทุกท่านทุกคคนรวมทั้งผมด้วยครับ ขอท่านทั้งหลายเจริญในธรรมครับ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. พ.ย. 28, 2013 3:54 am
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
หลายวันที่ผ่านมา ผมฝันไปว่าเกิดภัยธรรมชาติและหรือภัยมนุษย์ร้ายแรงในประเทศไทย หลายสิ่งหลายอย่างเสียหายหนัก จึงเกิดเป็นคำถามกับ พระปฏิบัติดีรูปหนึ่งว่า เหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ใกล้ประเทศไทยนั้น ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ซึ่งแปรปรวนตลอดและรุนแรง หลวงพ่อมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร คำตอบคือ โลกคือร่างกาย ร่างกายคือโลก ถ้าธาตุอื่นมีมากและรุนแรง ธาตุอื่นจะไม่กระทบเลยหรือ แล้วท่านชี้ไปที่รูปมีข้อความว่า ภัยธรรมชาติที่รุนแรงให้แก่โลก ก็ยังไม่เท่าอุปกิเลสเมื่อหมู่มนุษย์ในโลกประมาทขาดปัญญา จะสร้างความเสียหายกับตนเอง มาจนหมู่คณะและสังคมเดือนร้อน ที่เห็นๆ สุจริตชนเดือนร้อนกันทั้งนั้น คำถามผมนั้นเป็นเรื่องฝันหรือจะเป็นเรื่องจริงไม่สำคัญ แต่วิธีและหลักการของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อนำมาสอนผมนั้นไม่ขึ้นกับกาละเวลา ดังนั้น ถ้าชีวิตท่านเมื่อประสบพบสิ่งดังกล่าว ขอให้ท่านใช้คำสอนและหลักการให้เท่าทันเวลาด้วยครับ ถ้าเป็นไปได้การมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญ ตัวอย่าง กัลยาณมิตรท่านหนึ่งของผมเล่าว่า ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์เรื่องงู เวลาคุณเจองู คุณก็จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก เพราะที่เรียนและศึกษามาทั้งหมดอาจเปิดตำราไม่ทันได้ และเรื่องที่ต้องการใช้จริงก็มีไม่กี่เรื่องครับ ขอขอบคุณครับผู้อ่านทุกท่าน ถ้าบังเอิญอ่านแล้วไม่ถูกใจก็อโหสิกรรมให้ผมด้วยครับ
โดย
koko8889
อังคาร พ.ย. 26, 2013 4:27 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
คำถามอยากถามว่า ถ้าเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงในประเทศไทย และสุดท้ายชีวิตของคุณจะต้องดับสูญในวันที่เกิดภัยธรรมชาตินั้น ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแนววีไอจะทำอย่างไร แล้วเส้นทางธรรมที่ศึกษามานั้นจะใช้บทไหนที่จะรับมือกับการเดินทางจากโลก นี้ไปครับ ขอเจริญธรรมและอนุโมทนาความเห็นดีๆ ที่แบ่งปันครับ
โดย
koko8889
อังคาร พ.ย. 19, 2013 7:53 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
English Version for Saturday morning then you all have a great day. The Buddha said: Look up to heaven and down on earth and they will remind you of their impermanency. Look about the world and it will remind you of its impermanency. But when you gain spiritual enlightenment you shall then find wisdom. The knowledge thus attained leads you anon to the way. Explain: Look you don’t look, you never look. Before you look, you have and idea. You never look I purity, you never look unprejudiced. You always carry some prejudice, some opinion, ideology, scripture – your own experience or others’ experiences, but you always carry something in the mind. You are never naked with reality. He means look with a naked eye, with no coatings of opinions, ideas, experiences, borrowed or otherwise. Explain : You have been looking in life but you have not come to see that all is impermanence. Everything is dying, everything is decaying, everything is on a death procession. People are standing in a death queue. Look around –everything rushing towards death. Everything is fleeting, momentary, fluxlike; nothing seems to be of eternal value, nothing seems to abide, nothing seems to hold, nothing seems to remain. Everything just goes on and on and on, and goes on changing. What else is it but a dream? Buddha says this life, this world that you live in, that you are surrounded with, that you have created around yourself, is but a dream – impermanent, temporary. Don’t make you abode there, otherwise you will suffer. Because nobody can be contented with the temporary. By the time you think it is in your hands it is gone. By the time you think you possessed it, it is no longer there. You struggle for it – by the time you achieve it, it has disappeared. One of the most fundamental principles of Gautama the Buddha – that one should become aware of the impermanent world we are surrounded with, Then immediately you will be able to understand why Buddha calls it a dream, maya, an illusion. Explain: Wisdom cannot be found through scriptures. It is an experience, it is not knowledge. Wisdom is not knowledge; you cannot gather it from others, you cannot borrow it. It is not information. You cannot learn it from the scriptures. There is only one way to become wise and that is enter into a live experience of life. From some parts of spiritual enlightenment, THE BUDDHA SAID.
โดย
koko8889
เสาร์ พ.ย. 16, 2013 4:56 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากที่ใด คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็คือ ไม่มีที่ใดเลย ทุกๆ สิ่งคือ สัจภาวะเดียวกันทั้งหมด เป็นพลังเดียวกัน ไม่มีที่มา ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีการแบ่งแยกที่แท้จริงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ที่นี่กับที่นั่น เราอยู่ภายใต้สัจภาวะตลอดเวลา จิตของเรานั่นมิได้ถูกแบ่งแยกออกจากการรู้แจ้ง ถ้าเช่นนั้นภาวะของการรู้แจ้งกับภาวะปกติธรรมดาของชีวิตต่างกันตรงไหน ภาวะแห่งการรู้แจ้งนั้นเป็นภาวะที่มั่งคั่งเต็มเปี่ยมและเปิดกว้าง ในขณะที่สังสารวัฏนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ อวิชชาและความสับสน อย่างไรก็ดี จากมุมมองของสุญตา ภาวะทั้งสองนั้นดำรงอยู่ร่วมกันและไม่มีความแบ่งแยกแต่อย่างใด เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า รากฐานของการรู้แจ้งนั้นมิใช่สถานที่ใดหรือบุคคลใด เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเราไม่เคยแยกห่างจากจิตที่ตื่นรู้นี้เลย เราจะเห็นว่าการรู้แจ้งนั้นซึมแทรกอยู่ภายในตัวเราและมิอาจแยกไปจากเราได้ เฉกเช่นเสียงที่มิอาจพรากจากดนตรีได้ฉันนั้น สุญตามิได้เป็นอะไรเลย แต่กระนั้นก็เป็นทุกๆสิ่ง ประสบการณ์ทั้งปวงของเราล้วนรวมอยู่ในประจักษ์แจ้งอันหมดจดถึงความเปิดกว้างนี้ คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ Hidden Mind of Freedom ตาร์ธาง ตุลกู เขียน นัยนา นาควัชระ แปล จากประสบการณ์การปฏิบัติที่ผมอยากแบ่งปัน คือ ธรรม (ชาติ) นั้น ที่แท้แล้วไร้รูปไร้นาม ไม่มีตำแหน่งแห่งที่แน่นอน มีแต่สภาวะที่เปลี่ยนไปอย่างไร้ขอบเขตและไร้เวลา ไม่มีเกิด ไม่มีตาย จิตเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ก็มีสภาวะไม่ต่างกัน เคลื่อน (เปลี่ยนไป) ไม่สิ้นไม่สุด ไร้รูป ไร้นาม เป็นอิสระ และมีความว่าง (ไร้ตัวตน) เป็นฐานเพื่อนบางคนอาจจะไม่เข้าใจเรื่องจิตเดิม ก็ให้ลองสังเกตบรรดาเด็กเล็กๆ หรือไม่ก็คิดถึงตัวเองตอนที่เป็นเพียงเด็กๆ เราจะพบว่าจิตใจของเด็กเล็กๆ นั้นจะไม่ติดยึดอยู่กับอะไร (เป็นอิสระ) จะสนใจไปทุกเรื่อง ชอบเล่น ชอบสนุกเกือบตลอดเวลา เมื่อจิตเป็นอิสระ จิตก็จะไม่ติดยึด (หรือว่าง) เมื่อว่างและวางได้ จิตก็จะไม่เป็นทุกข์ จิตที่ไม่ทุกข์ร้อนก็จะสงบเย็น (หรือนิพพาน) ‘นิพพาน’ ที่จริงแล้ว ไม่ได้แปลว่า ‘การดับสูญ’ แต่แปลว่า ‘ความสงบเย็น’ ดังนั้น ‘นิพพาน’ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะนิพพานก็คือสภาวะธรรมชาติแบบหนึ่งคนเราที่อยู่อย่างไร้ทุกข์ ย่อมมีจิตใจที่สงบเย็น ก็จะพบกับนิพพานได้ เช่นกัน ตรงจุดนี้ จะเห็นว่าผมตีความคำว่า นิพพาน ต่างจากคนอื่นๆ ทั่วไป ที่พยายามทำให้นิพพานเป็นเรื่องสูงสุด เป็นเรื่องที่คนทั่วไปก้าวไปไม่ถึง ดังนั้น นิพพานของผมเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่เข้าใจ ซึ่งก็คือการเข้าใจถึงธรรมชาติแห่งความสงบเย็นของจิตนั่นเอง คนทุกคนก็พบนิพพานได้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ‘ที่พบ’ มักจะเป็นสภาวะนิพพานแบบชั่วคราว หลักพุทธ ที่ว่าด้วยเรื่อง “จิตเดิมที่เป็นอิสระและสงบเย็น” นี้จะคล้ายกับหลักหัวใจของเต๋าที่ว่าด้วยเรื่อง “การคืนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติ” ที่สุดแล้ว ชาวเต๋าก็จะเลือกดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบๆ ง่ายๆ และสอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติ ส่วนชาวพุทธจะเลือกเดินชีวิตตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 ที่มีความเรียบง่าย มีความพอเพียงเป็นฐานไม่ต่างกัน เช่นกัน ชีวิตที่เรียบง่าย ไร้อัตตา จึงไร้ทุกข์ จากบางส่วนของ บทความคุณยุค ศรีอาริยะ ว่าด้วยเรื่องอัตตา และอนัตตา ถ้าอ่านแล้วเกิดประโยชน์ก็นำไปต่อยอดให้เกิดผลตามกำลังของท่าน ขอบคุณครับ
โดย
koko8889
ศุกร์ พ.ย. 15, 2013 4:52 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ดี ๆ ชอบ ๆ มาตอบกันเยอะ ๆ น่ะ ท้าทายปัญญาดี คืนนี้มืด ๆ จะมาเขียนเพิ่มน่ะ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. พ.ย. 14, 2013 11:18 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อีกอันแล้วกัน ทางสายตรงสุด ๆ ตัดที่แกนของโลภ โกรธ หลง คือ ตัดที่ความยึดมั่นถือมั่นในตน อ่านแล้วถูกใจอย่าลืม แผ่เมตตาด้วยน่ะ สาธุ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. พ.ย. 14, 2013 10:09 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เดิมแท้ไม่มีอะไร ต่อมาเริ่มมีอะไร ยิ่งอยู่นานยิ่งมีอะไรต่อมิอะไร สุดท้ายกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร นักเดินทางทางโลก - ยิ่งคิดก็ยิ่งติดอะไรต่อมิอะไร สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาเริ่มมีอะไร นักเดินทางทางธรรม - ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่ติดอะไรต่อมิอะไร สุดท้ายไปแล้วไปลับไม่กลับมา
โดย
koko8889
พุธ พ.ย. 13, 2013 11:00 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
คุณ oatty ครับ ถ้าการเดาของคุณทำให้อัตตาใหญ่ขึ้น ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ถ้าสิ่งที่ผมแชร์แล้วคุณได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น ผมขออนุโมทนาในบุญ ถ้าสิ่งที่ผมเขียนกระทบจิตใจคุณไปทางลบ ก็ขออโหสิกรรมด้วย
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. พ.ย. 07, 2013 9:13 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมอยากแชร์เรื่องการลงทุนแบบวีไอกับเส้นทางธรรม ที่ได้รับประสบการณ์โดยตรง ครับ ผมโชคดีมากที่ได้รับเกียรติจากวีไอสายดำท่านหนึ่ง ซึ่งให้เกียรติสนทนาเรื่องการลงทุนและเปิดโลกทรรศน์การลงทุนของผมอย่างมีค่ายิ่ง ทำให้เป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำไม่รู้ลืม ผมขออนุญาตโพสต์เฉพาะหัวข้อการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธรรมะครับ 1. การลงทุนแบบวีไอเหมือนคำสอนพุทธศาสนา คือ เหตุดีผลก็ต้องดีเป็นแน่แท้ (ปลูกถั่วได้ถั่ว คงไม่เป็นข้าว) เป็นกฎแห่งกรรมครับ 2. เมื่อลงทุนถูกต้องจนพบอิสรภาพทางการเงินแล้ว จะได้มีเวลาศึกษาธรรมะและปฏิบัติมากขึ้น 3. การวางแผนล่วงหน้ามีชีวิตคู่ แต่ไม่จำเป็นต้องมีทายาท เพราะลูกคนอื่นก็เหมือนลูกของเรา ใครลำบากก็อุปถัมภ์กันไป 4. ผลตอบแทนที่ได้ แบ่งสรรไปใช้ส่วนตัว ดูแลบุพการี,ท่านที่อยู่สูงขึ้นไป และก็แบ่งเงินเพื่ออุปถัมภ์เด็กด้อยโอกาสที่ยังมีมากอยู่ในสังคม ยังมีหลายข้อที่เป็นสิ่งที่ผมอยากหยุดเวลา เพื่อเก็บเกี่ยวให้หมด แต่ก็เก็บได้เท่าที่มีความสามารถ สุดท้าย ในบทสนทนาผมไม่พบว่าพี่เขาต้องการเป็นคนรวยที่สุด และเป็นคนดีที่สุด พี่คือ ผู้มีศีลมีธรรมในร่างมนุษย์ธรรมดาดี ๆ นี่เอง แต่มีคุณธรรมสูงส่งเกินกว่าที่ผมจะบรรยายมาได้หมดครับ ขอแสดงความนับถือและขอบคุณพี่มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
โดย
koko8889
พุธ พ.ย. 06, 2013 11:10 pm
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมมีบทความดี ๆ ต้องการแบ่งปัน สำหรับเพื่อนผู้สนใจ 18 ท่านครับ ผมขออนุญาตส่งต่อผ่านอีเมล์จะสะดวกว่า ช่วยส่งอีเมล์ให้ผมที่
[email protected]
ครับ ขอบคุณครับ ปล. เพื่อนที่ส่งอีเมล์มาให้ผม ผมนับตามลำดับเวลาก่อนหลังครับ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2013 10:26 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุโมทนาบุญของการแบ่งปันจากคุณ Dech สาธุครับ ขออนุญาตต่อยอดจาก บทความตามลิ้งค์ที่คุณ Dech ให้มา ด้วยลิ้งค์นี้ครับ http://epigramlover.blogspot.com/2010/09/kung-fu-panda.html
โดย
koko8889
ศุกร์ ต.ค. 25, 2013 8:22 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ผมแค่ทำหน้าที่เล็กน้อย และโชคดีที่ค้นพบ Value Writer ซึ่งอาจจะไม่มีเครื่องแบบตามที่สังคมให้คุณค่ากัน และทำหน้าที่ส่งต่อให้ผู้ที่อาจจะใช้เวลาค้นหาเนิ่นนาน (ผมก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น) จึงเร่งรีบที่ส่งต่อให้เพื่อน ๆ ทั้งหลาย เพราะเวลาไม่เคยรอใครครับ รู้เร็ว ปฏิบัติเร็ว เข้าใจเร็ว ผลที่เกิดขึ้นได้เร็ว ก็ลดเวลาที่อยู่ในสังสารวัฏได้เร็วขึ้นครับ ขอยกผลบุญทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผู้เขียนครับ ดอกไม้กับผีเสื้อ คัดลอกจากหนังสือ "ใจคือศิลปะ เราคือศิลปิน" พศิน อินทรวงค์ (อนันตกาล) ทุกครั้งที่คุณเสียเปรียบ จงคิดว่า คุณกำลังฝึกฝนความเมตตาอยู่ ผู้คนมากมายพูดถึงความเมตตาว่าความเมตตาคือสิ่งจำเป็น เราพูดกันอย่างนี้เสมอ เป็นสิ่งที่แม้แต่เด็กประถมก็ยังรู้ว่า ไม่ต้องใช้ความฉลาดอะไร ใครๆ ก็รู้ว่าความเมตตาคือสิ่งจำเป็น ทว่า คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะพูดกันในแง่มุมที่ว่า ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เมื่อเราเสียเงินเพราะถูกหลอก ไม่ง่ายเลยที่เราจะเมตตาให้อภัยผู้ที่หลอกลวงเรา เมื่อเรากำลังหิว กำลังอด เงินทองกำลังขาดมือ ไม่ง่ายเลยที่เราจะรู้จักแบ่งปัน เหล่านี้เป็นความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ ไม่ใช่ยอมรับเพื่อจำนน แต่เป็นการยอมรับเพื่อปรับปรุงแก้ไข ความเมตตานั้นเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากลุกขึ้นมาทำก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นเราคงมีนักบุญอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง และโลกก็คงไม่วุ่นวายอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นในชีวิตประจำวันของเรา เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงทุกสิ่งกับความเมตตาของเรา เดินด้วยความเมตตา ยืนด้วยความเมตตา นั่งด้วยความเมตตา และหลับตาลงไปพร้อมความเมตตา เราต้องฝึกให้เราเป็นผู้ที่ยิ้มให้โลกอยู่เสมอ ต้องทำให้ตัวเองมีสายตาอันอ่อนโยน ดุจดังดอกไม้ผู้เป็นมิตรกับผีเสื้อ ดอกไม้ไม่เคยโกรธผีเสื้อ แม้ว่าผีเสื้อกำลังดูดกินน้ำหวานจากเกสรของมันอยู่ ดอกไม้ไม่เคยคิดว่าผีเสื้อกำลังเอาเปรียบ แต่มันคือว่าสิ่งนี้คือการแบ่งปัน มันมีความเมตตาให้ผีเสื้อ ความคิดเช่นนี้เอง ที่ทำให้ดอกไม้มีความสุขทั้งที่มันต้องเสียน้ำหวานให้ผีเสื้อ ดังนั้นเราจงเอาอย่างดอกไม้ที่กระทำต่อผีเสื้อ คุณจำเป็นต้องฝึกรักผู้ที่เกลียดคุณ ฝึกเห็นใจผู้ที่เอาเปรียบคุณ นอกจากนี้ทุกครั้งที่คุณเสียสตางค์ คุณควรคิดว่าคือว่าคุณกำลังเป็นผู้ให้ คุณจำเป็นต้องหัดให้เงินเกินกว่ามูลค่าสิ่งของที่คุณซื้อ เพื่อซื้อจิตวิญญาณแห่งความเมตตาของคุณกลับมา อย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว แต่จงเป็นผู้ที่ให้อยู่เสมอให้เท่าที่คุณจะให้ได้ “คุณจำเป็นต้องมีความยินดีต่อความเสียเปรียบให้บ่อย เพื่อขยับขยายจิตวิญญาณของคุณให้กว้างขวาง” ถ้าคุณเป็นคนที่เรียกร้องสิทธิของตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ยอมเสียเปรียบไม่ได้ คุณจะกลายเป็นคนที่จิตใจคับแคบ แม้คุณจะมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะไม่ให้ แต่ใจของคุณก็จะคับแคบ คุณต้องรู้อยู่เสมอว่า เมื่อพูดถึงภาวะของจิตใจเราจะไม่พูดถึงเหตุผล เพราะเหตุผลเป็นของหยาบที่ไม่สามารถเข้าสู่จิตใจได้ จิตใจนั่นเป็นเรื่องของความรู้สึก เหตุผลที่นำคุณไปสู่การแล้งน้ำใจ จะทำให้จิตใจของคุณตกเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว เป็นการพอกพูนลักษณะนิสัยของผู้ที่กระหายสงครามโดยไม่รู้ตัว อัตตาของคุณจะเพิ่มขึ้นจากความไร้น้ำใจ คุณจะกลายเป็นผู้ที่ถูกต้องแต่ไม่มีความสุข เป็นผู้ชนะสงครามที่มีแต่ความทุกข์ ความเสียเปรียบ การแกล้งโง่นั้น เป็นสิ่งจำเป็นมากที่จะทำให้ความเมตตาเกิดขึ้น คุณต้องยอมโง่ ต้องยอมเสียเปรียบ นี่เองคือสิ่งที่คุณต้องตระหนัก ขณะที่คุณต้องไม่ยอมเป็นคนโง่หรือยอมเสียเปรียบจนทำให้ชีวิตของตนเดือดร้อน ทุกอย่างเป็นสิ่งที่คุณต้องหาสมดุลให้เจอ ว่าจุดใดกันแน่ที่จิตใจของคนเข้มแข็งพอที่จะอดทนได้ จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มขอบเขตของความเมตตาของคุณให้มากขึ้นเป็นลำดับ ยอมถูกเอาเปรียบด้วยความเบิกบานให้มากขึ้นเป็นลำดับ จนนำไปสู่จิตใจของผู้เป็นนักบุญ ผู้เสียสละ ถึงตอนนั้นความสุขของคุณจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ยึดโยงกับวัตถุจอมปลอม คุณจะมีความสมบูรณ์ในด้วยเองด้วยความเมตตา ความเมตตานี้เองจะช่วยให้คุณบรรลุธรรมได้โดยง่าย เพราะมันนำไปสู่จิตของอริยบุคคลในขั้นต่างๆ คุณจะไม่มีโอกาสเข้าถึงความจริงสูงสุด ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลยหากจิตใจของคุณมีเมตตาน้อยเกินไป “แม้ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายนัก แต่หากทำได้ จิตวิญญาณของคุณจะเกิดการพลิกผันจนสุดขั้ว คุณจะเกิดใหม่โดยไม่ต้องมีความตายเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะกลายเป็นผู้ไม่รู้จักความทุกข์ เป็นผู้เข้าถึงความสุขที่อยู่เหนือบทกวีและภาษาใดๆจะเอื้อนเอ่ย...”
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. ต.ค. 24, 2013 9:36 pm
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณที่อ่านครับ หนึ่งคนสนใจธรรมะ บุคคลรอบๆได้รับร่มใบบุญ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. ต.ค. 24, 2013 9:23 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอขอบคุณทั้งสองท่านที่เข้ามาอ่าน บทความทั้งหลายที่ผมได้หามานั้น ขอให้ผลบุญที่บังเกิดส่งผลกลับไปยังผู้เขียนท่านนี้ด้วย เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก สามารถรังสรรค์คำสอนพระพุทธเจ้า มาเป็นภาษาไทยธรรมดาง่าย ๆ ผลทำให้คนธรรมดาเรา ๆ ท่าน ๆ ได้เข้าใจได้อย่างตัดตรงและลัดสั้นครับ 12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคนไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา!!! (พศิน อินทรวงค์) 1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ 2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา 3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก 4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้ 5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย 6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง 7. ทำๆเลิกๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย 8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้ 9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลให้ชีวิต คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลชีวิตอีกครั้ง เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้ 10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์ แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย 11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้ บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน 12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แง่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล
โดย
koko8889
พุธ ต.ค. 23, 2013 4:48 pm
0
8
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณคุณนุช ที่ได้ขยายความเข้าใจในบทความ อย่างน้อยผลของบทความก็มีท่านนึงเข้าถึงจิตถึงใจแล้ว และ ขออนุญาตแบ่งปันบทความดี ๆ เพิ่มเติม ส่วนผลบุญจากการอ่านและการปฏิบัติตามของท่านใดก็ตามที่บังเกิดผลดี ขอยกความดีทั้งหมดให้ผู้อ่านและผู้ปฏิบัติทุกท่านครับ (หนึ่งคนเข้าใจธรรมะ จิตวิญญาณรอบ ๆ พลอยได้รับใบบุญ) กฏพื้นฐาน 15 ข้อเพื่อการพัฒนาจิต(ไม่สวยหรูแต่ใช้ได้จริง) พศิน อินทรวงค์ 1. ยอมรับในความเลวของตน อย่างเป็นกลาง เพราะเราไม่อาจแก้ไขจิตใจให้ดีขึ้นได้เลย หากมองไม่เห็นสิ่งที่เป็นปัญหา กิเลสตัวใดที่มีมาก จงลากไส้มันออกมาให้เห็นกันจะๆ จากนั้นจึงเฝ้าระวังไม่ให้มันออกมาวาดลวดลายจนทำให้เรา และผู้อื่นเดือดร้อน 2. ตั้งใจว่า จากนี้เป็นต้นไป จะจัดการกับความชั่วร้ายของตนเอง ไม่จำเป็นต้องรีบจัดการ แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน สำรวจตนเองทุกวันว่า จิตใจของเราได้รับการขัดเกลาไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว จะต้องทำทุกวัน ดีขึ้นทุกวัน ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ขอให้รู้ในความเลวของตนแล้วขัดเกลาไปเรื่อยๆ ทำเท่าที่ทำได้ อย่าให้เกิดความอึดอัด ขอให้ทำแต่พอดี แต่ต้องทำตลอดไป 3. ระหว่างที่จิตใจยังคิดชั่ว ยังควบคุมให้คิดดีไม่ได้ ให้ควบคุมกาย และวาจา ด้วยการถือศีล เพราะศีลเปรียบเหมือนเกาะป้องกันไม่ให้เราไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น ในขั้นตอนนี้ อย่าเพิ่งไปสนใจว่า จิตจะดีหรือไม่อย่างไร ในขั้นแรก ควบคุมการกระทำ และคำพูดของเราให้ได้ก่อนเป็นพอ 4. ยุติการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นโดยเด็ดขาด เพราะการกระทำเช่นนั้น เป็นการยั่วกิเลสของเราให้พุ่งพลาน เป็นการป้อนอาหารให้ความเลวของตนเองเติบโต เขาจะดี จะเลวอย่างไรเป็นเรื่องของเขา เราสนใจในความดีเลวของตนเองเป็นพอ 5. เชื่อในกฏแห่งกรรมอย่างเคร่งครัด ต้องเข้าใจว่า กรรมทุกอย่างย่อมให้ผลเสมอ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ย่อมส่งผลอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีความบังเอิญอยู่บนโลก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำสิ่งใดย่อมได้รับผลกรรมตามนั้น อย่าพยายามทำความเลวให้เกิดขึ้น พยายามทำแต่ความดีให้มากที่สุด 6. พยายามคิดว่าทุกคนคือเพื่อน คือคนที่เสมอเท่าเทียมกับเรา ให้มองผู้อื่นด้วยความเมตตาให้มากที่สุด ทำลายทัศนคติในการแบ่งเขา แบ่งเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 7. เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น ขอให้น้อมเข้ามาพิจารณาว่า ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น ทั้งเรื่องของความรู้สึกที่เป็นนามธรรม หรือเรื่องของวัตถุธาตุที่จับต้องได้ 8. จงทำความเข้าใจว่า ชีวิตมนุษย์ ล้วนต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย ทำความเข้าใจให้มากว่า เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้ตลอดไป วันหนึ่ง เราต้องตาย แล้วเราจะเอาอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ความดี และความเลวที่ทำไว้ 9. ทำความเข้าใจในสภาพความจริงของการเวี่ยนว่ายตายเกิด โดยขอให้มีความเข้าใจอันแน่นหนาว่า ตราบใดที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ เราก็ยังต้องเวี่ยนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด ต้องมีชีวิตทุกข์บ้าง สุขบ้าง วนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป และนรก สวรรค์ ล้วนเป็นภพภูมิที่มีอยู่จริง 10. พยายามสละสิ่งของ วัตถุ เพื่อสร้างอุปนิสัยของความเสียสละ หมั่นบริจาคทาน สงเคราะห์ผู้อื่นอยู่เสมอ ขอให้คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือหน้าที่ ไม่ใช่เรื่องที่ว่างๆ ค่อยทำ ให้รู้ว่าเป็นขั้นตอนอันสำคัญที่จะช่วยให้เราเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมัน และมีจิตใจเมตตาง่ายขึ้น 11. หมั่นทำจิตใจของตนให้สงบนิ่งอยู่เสมอ ด้วยการฝึกสมาธิ ขอให้คิดว่า ความสงบนี้เป็นเรื่องจำเป็นของชีวิต และต้องเข้าใจว่า จิตใจจะสงบได้ จิตของเราจำเป็นต้องได้รับการฝึก ความสงบไม่อาจเกิดขึ้นมาเองได้ ดังนั้น การทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาจิตของเราให้ก้าวหน้า 12. เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชีวิต พยายามน้อมมาสอนใจตนว่า ความทุกข์เกิดจากอะไร จนกระทั้งเห็นจริงว่า ความทุกข์นั้นมีที่มาจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้น้อมเข้ามาพิจารณาซ้ำๆ อยู่เสมอ จนกระทั้งเป็นที่ประจักษ์แก่ตนเองในความจริงดังกล่าว 13. หมั่นไหว้พระ สวดมนต์ เพื่อให้จิตใจของตนเองยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่ลังเลสงสัยในคำสั่งสอน ขอให้คิดว่า เราจะดำเนินชีวิตตามแนวทางที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือใช้ภูมิปัญญาของบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า ท่านว่าอย่างไร เราทำอย่างนั้น ปรับทัศนคติของเราให้ตรงกับท่าน อย่าคิดหาทางลัดด้วยตนเองเด็ดขาด ขอให้พาตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ดี คบคนดี ไม่คบคนพาล อ่านหนังสือที่ดี เสพความรู้ที่ดี ที่เพิ่มพูนศีลธรรม อย่ารับบุคคล สื่อ หรือสิ่งเร้าใดๆ ที่เป็นการยั่วกิเลสให้เพิ่มพูนเด็ดขาด 14. เมื่อจำเป็นต้องแก้ปัญหา ขอให้แก้ปัญหาภายในก่อน นั่นคือแก้ที่ตนเอง ขอให้เปลี่ยนตนเองก่อน มองความผิดของตนเองก่อน เมื่อเกิดสิ่งเข้ามากระทบ ขอให้เพ่งเล็งมาที่ความผิดของตนเอง อย่าเพ่งเล็งไปที่ความผิดของผู้อื่นเด็ดขาด ตรงนี้จะทำให้ไม่เกิดความเกลียดชังในจิตใจ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ตนเองรู้จักผิดชอบชั่วดี มีความเมตตาต่อผู่อื่น รู้จักละอายต่อบาปกรรม 15. เมื่อต้องการวัดผลการปฏิบัติของตน ขอให้วัดที่ชีวิตประจำวัน คือดูว่า ตนเองเป็นคนดีขึ้นหรือเปล่า ตรงนี้ต้องระวัง อย่าคิดเข้าข้างตนเองเด็ดขาด ขอให้มองอย่างเป็นกลางด้วยความสุจริตใจ ให้สำรวจดูว่า โลภ โกรธ หลงน้อยลงแค่ไหน มีเมตตามากขึ้นแค่ไหน ให้อภัยได้มากแค่ไหน ขอให้ใช้ตรงนี้เป็นเครื่องวัดความดีเลวของตนเป็นสำคัญ ส่วนด้านปัญญานั้น ขอให้วัดว่า ทุกวันนี้มีทุกข์น้อยลงหรือไม่อย่างไร ถ้าทุกข์มากแปลว่า เรายังไม่เข้าใจโลก ถ้าทุกข์น้อย แปลว่าเราเริ่มมีความเข้าใจต่อโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น ขอให้ยอมรับไปตรงๆว่า สุขหรือทุกข์ ล้วนเกิดขึ้นจากปัญญาของเรา ไม่ได้เกิดจากผู้อื่น และไม่มีใครสามารถยัดเยียดความสุขความทุกข์แก่เราได้นอกจากตัวของเราเอง กฏทั้ง 15 ข้อนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำในเบื้องต้น เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานความจริงซึ่งสามารถทำได้ถ้ามีความตั้งใจ สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาจิตเพื่อลดทอน หรือยุติชาติภพ ถ้าทำทั้ง15ข้อนี้อยู่เสมอๆ จิตก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ไปทำสมถะไม่นาน จิตก็จะรวมใหญ่ ทำให้เกิดฌานได้อย่างง่ายดาย ต่อเมื่อไปทำวิปัสสนา จิตก็จะพิจารณาความจริงได้อย่างแยบคาย เพราะเป็นจิตที่คู่ควรกับการเจริญปัญญา ในการปฏิบัติทั้ง 15 ข้อนี้ หากใครทำได้ด้วยใจที่เบิกบาน ก็สามารถพูดได้ว่า มีความเป็นไปได้ที่บุคคลผู้นั้นจะบรรลุเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน...
โดย
koko8889
พุธ ต.ค. 23, 2013 7:05 am
0
8
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เนื่องจากผมยังมีความโลภไม่อยากกระทู้ดี ๆ ตกยุคไป ขออนุญาตโพสต์ จากแหล่งข้อมูลที่ค้นหาได้ อนึ่งผลบุญจากการอ่านและการปฏิบัติตาม 15 ข้อด้านล่าง จงบังเกิดเป็นธรรมอันบริสุทธิ์คุ้มครองพี่เด็กใหม่ไฟแรงและอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ด้วยครับ 15 ข้อฝึกหาความสุขแบบตัดตรง(ไม่หรูหราแต่ได้ผลจริง) พศิน อินทรวงค์ 1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมาก อย่าปล่อยให้จิตใจวนไปวนมากับความรู้สึกของตัวเอง เหมือนจมอยู่ในอ่าง ลองเปิดตามองไปรอบๆ แล้วมองให้เห็นว่า คนบนโลกนี้มีมากมายแค่ไหน ตัวเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลก ดังนั้นก็อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากนัก ทุกข์บ้าง ผิดบ้าง เรื่องธรรมดา 2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย ในแง่ของความสุข เราไม่จำเป็นต้องสะสมอะไรเพื่อให้มีความสุข วิธีมีความสุขของคนเรามีมากมายหลายอย่าง และเราไม่ควรเลือกวิธีที่สร้างภาระให้กับตนเอง 3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หัดเว้นที่วางไว้ให้ความผิดพลาดบ้าง ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องไร้ที่ติ การผิดบ้างถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เพียงแต่เราต้องรู้จักปรับปรุงตนเองไม่ให้ผิดพลาดบ่อยๆ ซ้ำๆซากๆ 4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมาก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว คนที่พูดจาไม่ดี แม้ว่าคำพูดจะดูฉลาดหลักแหลมเพียงไรมันก็คือความโง่ชนิดหนึ่ง คนที่พูดแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นนับเป็นคนหาความสุขได้ยากนัก 5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย ดังนั้น อย่าไปเสียเวลาคิดมาก อย่าไปย้ำคิดย้ำทำ อย่าไปหลงยึดไว้เกินความจำเป็น ให้รู้จักธรรมชาติของมัน การยึดติดกับวัตถุ บุคคล หรือความรู้สึกจนเกินเหตุ คือปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ และต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนปล่อยวางอะไรง่ายๆ เข้าไว้ 6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า "เรามาถูกทางแล้ว" แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา ขอให้รู้ว่า คำนินทาคือของคู่กับมนุษย์โลก มีมาช้านานแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้า นักบุญ คนที่สร้างคุณงามความดีไว้กับโลกมากมายยังถูกนินทา แล้วเราเป็นใครจะไม่ถูกนินทา ดังนั้น อย่าไปใส่ใจให้มาก ถ้าอะไรที่ดีเก็บไว้ปรับปรุงตัว อะไรที่ไม่ดี ทิ้งมันไว้ไม่ต้องไปตีคราคาสร้างค่าให้คำพูดไร้สาระ ส่วนตัวเราเอง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกตนเองให้เป็นผู้ไม่นินทาคนอื่นเช่นกัน 7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน การยุติความเป็นขี้ข้าของอำนาจเงินนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ก็จะเป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วตายไปเปล่าๆ ด้วยเหตุที่ว่า ใช้เวลาหมดไปกับการสะสมเงินทองที่เอาไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว 8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นเพียงความถูกต้องที่กิเลสของตัวเองลากไป ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงธรรมอย่างแท้จริง ดังนั้น การยอมเสียเปรียบ การให้ผู้อื่นด้วยความเบิกบานจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าที่เราคิดกัน มีแรงให้เอาแรงช่วย มีเงินให้เอาเงินช่วย มีความรู้ก็เอาความรู้เข้าไปช่วย ในหนึ่งวัน เราควรถามตัวเองว่า วันนี้เราได้ช่วยใครไปแล้วหรือยัง เราได้เสียเปรียบใครหรือยัง ถ้าคำตอบคือ "ยัง" ให้รู้เอาไว้เลยว่า เราเป็นอีกคนที่มีแนวโน้มจะหาความสุขได้ยากเต็มที 9. ฝึกตัวเองให้เป็นแสงสว่างในที่มืด หมายความว่า ตรงไหนที่มันมืด เราควรไปเป็นดวงไฟส่องทางให้เขา ตรงไหนที่ไม่มีคนช่วย เราควรไปทำ เช่น ลองหาเวลาไปรับประทานอาหารร้านที่ไม่มีลูกค้าเข้า อย่ามุ่งแต่เรื่องกิน ให้การกินของเรามันเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ร้านเขาไม่มีลูกค้า แล้วเราเข้าไปนั่ง มันไม่ใช่แค่เงิน แต่มันหมายถึงกำลังใจ อย่าคิดถึงการบริการที่ดีที่สุด อย่าคิดถึงรสชาติของอาหารให้มากนัก ให้คิดว่า เรากำลังเป็นผู้ให้ เดินเข้าร้านหนังสือ หนังสือเล่มไหน เก่าที่สุด เราอ่านเนื้อหาแล้วสนใจ หยิบมันขึ้นมาแล้วจ่ายเงิน นำมันกลับบ้าน เหลือหนังสือเล่มสวยๆ ไว้ให้คนอื่นๆ ได้ซื้อได้อ่าน อย่าไปบ้ากับการเก็บสิ่งที่ดีที่สุด อย่าไปบ้ากับการปรนเปรอสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง แต่ให้เน้นจิตใจที่ดีที่สุด ใช้วัตถุ ใช้เงินเป็นเครื่องมือในการซื้อจิตใจดีๆ สูงๆ สะอาดๆ ของเรากลับคืนมา วัตถุเป็นเรื่องไม่จีรัง แต่จิตใจดีๆ นั้นเป็นทั้งหมดของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จักรักษาดูแลเอาไว้ไม่ให้เกิดความเสียหาย 10. ฝึกให้ตัวเองไม่ไหลไปตามอำนาจวัตถุนิยม หมายความว่า ต้องรู้จักยับยั้งช่างใจ และมีปัญญาในการมองเห็นว่า อะไรคือสิ่งจำเป็น อะไรคือสิ่งที่เราถูกโฆษณาหลอก เรากำลังเป็นตัวของตัวเอง หรือเรากำลังบ้ากระแสสังคมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลดความจำเป็นเรื่องแฟชั่น ลดความจำเป็นเรื่องโทรศัพท์ ลดความจำเป็นเรื่องสิ่งของเครื่องใช้ ก่อนจะซื้อ ก่อนจะอยากได้ ให้ลองถามตัวเองว่า เราอยากได้เพราะอะไร เพราะมันจำเป็น เพราะอยากเท่ อยากดูดีในสายตาของอื่น หรือเพราะอะไรกันแน่ๆ ตอบตัวเองให้ได้ชัดๆ ในเรื่องของความจำเป็นนี้ พูดได้เลยว่า ของในชีวิตส่วนใหญ่ที่เราครอบครองกันอยู่ มีไว้โชว์ มากกว่ามีไว้ใช้ 11. ฝึกให้ตัวเองยอมรับความจริงง่ายๆ หมายความว่า อะไรที่ทำผิด อย่าดันทุรัง ให้พูดคำว่า ขอโทษครับ ขอโทษค่ะ ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ ฝึกพูดคำเหล่านี้ให้เป็นเรื่องปกติ ความผิดไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่การผิดแล้วไม่ยอมรับผิดนั้นเป็นเรื่องเสียหาย และส่งผลเสียกับชีวิตเป็นวงกว้าง เพราะการปรับปรุงตัวนั้นมีจุดเริ่มต้นจากการที่คนๆ หนึ่งรู้ตัวว่าทำไม่ดี ดังนั้นคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำไม่ดีแล้วดันทุรัง ก็คือคนที่ไม่มีโอกาสปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ขอให้รู้ว่า เมื่อเราทำผิด ต่อให้ปากแข็งแค่ไหน ดันทุรังแค่ไหน ผิดมันก็คือผิด หลอกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นไม่ได้ เหมือนเราบอกว่า ไม่เหม็น แต่กลิ่นเหม็นนั้น ถ้ามันมีจริงมันก็โชยออกมาอยู่วันยังค่ำ 12. ฝึกให้ตัวเองรู้จักเลือกคนต้นแบบที่ถูกต้องตรงธรรม หมายความว่า เมื่อคิดจะเลือกใครสักคนมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต อย่าไปมุ่งเน้นแต่ความสำเร็จด้านเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่เราควรให้ความสำคัญกับคุณค่าในด้านอื่นๆ ด้วยเช่น ความดี คุณธรรม ความเสียสละ เราควรเคารพและชื่นชมใครซักคนที่ความดีของเขาไม่ใช่รายได้ของเขา ทุกวันนี้ คำว่าความสำเร็จถูกใช้ไปกับเรื่องของเงินๆ ทองๆ มากเกินไป ใครหาเงินได้มาก แปลว่า คนๆ นั้นประสบความสำเร็จมาก ตรงนี้เป็นการให้คุณค่าที่ผิดพลาด การคิดเช่นนี้ย่อมเป็นการปลูกฝั่งค่านิยมในระดับจิตวิญญาณที่ทำให้เราให้ตกเป็นทาสของเงิน เมื่อเราเป็นทาสของเงินเสียแล้ว เราก็จะเป็นคนที่ฝากความสุขของเราไว้กับเงินด้วย เราเลือกต้นแบบอย่างไร ชีวิตของเราก็จะมุ่งหน้าไปทางนั้น สังคมจะดีขึ้นได้ก็เริ่มจากทัศนคติของเราตรงนี้นั่นเอง 13. ฝึกให้ตนเองเป็นคนไม่ทะเลาะกับคนใกล้ชิด หมายความว่า เราต้องไม่เป็นคนหน้าชื่นอกตรม คือยิ้มไปทั่วกับคนนอกบ้าน แต่กลับมาทะเลาะกับคนที่บ้าน ขอให้ใช้คนที่บ้านเป็นเครื่องมือฝึกจิตใจของตนเอง อะไรที่ยอมได้ก็ขอให้ยอม เสียเปรียบคนในครอบครัวให้มากที่สุด ดีกับเขาให้เหมือนเขาเป็นคนเดียวกับเรา อย่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องนอกบ้าน แต่กลับมาเก่งในบ้าน เพราะมันจะสร้างแต่ความทุกข์ให้ชีวิต ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคนเรา ถ้าหาความสุขจากครอบครัวไม่ได้ ความสุขที่อื่นก็ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้หลอกคนทั้งโลกได้ว่าชีวิตประสบความสำเร็จ แต่ภาพที่สร้างขึ้นมา ก็เป็นแค่ภาพลวงตาที่จะย้อนกลับมาสร้างความละอายใจให้ตัวเองอยู่วันยังค่ำ ยอมพ่อแม่ ยอมลูกเมีย ยอมสามี ยอมคุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่า สิ่งดีๆ ที่ทำแล้วชื่นใจก็ขอให้ทำให้บ่อย คำพูดดีๆ ที่พูดได้ก็ขอให้พูด ครอบครัวคือรากของมนุษย์ ถ้ารากของชีวิตเน่า ส่วนที่เหลือก็เน่าทั้งหมด 14. ฝึกตัวเองให้เข้าใจคำสอนของศาสนาตน หมายความว่า เรานับถือศาสนาอะไรอยู่ ก็ต้องเข้าใจคำสอนของศาสนานั้น แม้ทำตามคำสั่งสอนยังไม่ได้ แต่ก็ต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ ขอให้ถามตัวเองว่า ทุกวันนี้ หัวใจของศาสนาตัวเองคืออะไร เรารู้แล้วหรือยัง หยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น แล้วลองเขียนดู ถ้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงไป ก็แปลว่า เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาของเรา อย่าหลอกตัวเองว่าเรารู้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรจะเขียน นึกเรื่องจะเขียนไม่ออก ก็แปลว่าเราไม่รู้ เรียบเรียงไม่ได้ ความคิดยังไม่ตกผลึกทั้งๆ ที่นับถือศาสนานี้มาแล้วชั่วชีวิต ย่อมหมายความว่า เราเป็นคนไม่ใส่ใจในศาสนาตนเองเท่าที่ควร ไม่ต้องไปตกใจหรือรู้สึกผิดบาป ทุกอย่างแก้ไขได้ ขอให้รีบปรับปรุงตัวเสียแต่วันนี้ก็ยังไม่สาย ศาสนาเป็นรากของจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วค่อยไปใส่ใจในวัยชรา เพราะถึงเวลานั้น ก็คงไม่ทันการแล้ว 15. ฝึกตัวเองให้ค่อยๆ ทำตามสิ่งที่ศาสนาของตนสั่งสอนจนสำเร็จ หมายความว่า เมื่อรู้ว่าศาสนาของตนสอนอะไร ก็ขอให้ทำ ทำด้วยความเบิกบาน ไม่จำเป็นต้องทำได้ทั้งหมด แต่ขอให้ทำเรื่อยๆ ทำให้ดีขึ้นทุกวัน อย่าน้อย ในแง่ของศีลธรรมก็ควรจะทำให้ได้ อย่าน้อยที่สุด ก็ขอให้อายตัวเองเมื่อคิดจะพูดโกหก เมื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงธรรม บุคคลในอุดมคติของแต่ละศาสนาไม่ได้เป็นกันง่ายๆ แต่ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีโอกาสไปถึง สำหรับคนที่ไม่มีศาสนา หรือไม่นับถืออะไร ก็ขอให้นับถือความดี ซื่อสัตย์กับความดี คาถาง่ายๆ ที่สำหรับผู้ไม่มีศาสนาก็คือ "เราไม่ชอบสิ่งไหนก็อย่าไปทำสิ่งนั้นกับคนอื่น" ส่วนศีลสำหรับคนไร้ศาสนานั้นมีอยู่เพียงข้อเดียวนั่นก็คือ "อย่าขโมยความดีไปจากจิตใจของตนเอง" คาถาหนึ่งบท กับศีลหนึ่งข้อ ถ้าทำได้ แม้เป็นคนไม่มีศาสนา ก็ไม่เป็นภาระต่อโลกในนี้ เรียกได้ว่าเป็นพลเมืองที่ดีของโลกและเพื่อนมนุษย์แล้วโดยสมบูรณ์ วิธีหาความสุขทั้ง 15 ข้อนี้คือสิ่งที่ทำได้ทันที แบบไม่ต้องรีรอ ไม่ใช่เรื่องยากหรือง่าย อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำ ข้อไหนสะดวกใจให้ทำก่อน ข้อไหนรู้สึกว่ายากก็เว้นเอาไว้ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เก็บไปทีละข้อ จนครบทั้ง 15 ข้อ ถึงแม้คุณไม่ได้บรรลุธรรมแต่คุณก็จะเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าที่สุดคนหนึ่งทีเดียว และหากใครเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อทำทั้ง 15 ข้อนี้ได้ก็มีโอกาสบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งในชาติปัจจุบัน เปรียบเหมือนคนที่เตรียมความพร้อมมาดี เพียงเติมส่วนที่ขาดเล็กน้อยก็บรรลุถึงฝั่งฝันได้ไม่ยาก ขอให้ทุกคนสนุกกับการหาความสุขให้ตนเองในแบบง่ายๆ ยิ้มทุกวัน มองฟ้าให้เป็นฟ้ามีปัญญาสามารถเปลี่ยนโลกแห่งนี้ ให้เป็นสวนดอกไม้แห่งชีวิตได้สำเร็จกันทุกคน...
โดย
koko8889
จันทร์ ต.ค. 21, 2013 11:21 pm
0
13
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
กระทู้เรื่องการใช้ชีวิตในฐานะนักลงทุน ขณะเดียวกันก็เดินไปในเส้นทางธรรมะด้วย ผมได้พบพี่คนที่แปลหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดนักลงทุนเน้นคุณค่า ถามว่าทำไมพี่ไม่แปลหนังสือเล่มใหม่ ๆ พี่ตอบผมว่า หนังสือที่แปลมาแนวทางเน้นคุณค่ามันเหมือน ๆ กัน ก็ไม่ได้แปลเพิ่มแล้ว ที่มีอยู่ก็พิมพ์ซ้ำ ที่มีค้างสต๊อกเยอะก็แจกกันไป ผมรู้จักพี่อีกคนที่ได้ให้สัมภาษณ์วิธีการขายหุ้น พี่ไม่รู้สึกขายหมู เพราะได้ราคาที่พอใจแล้ว ส่วนราคาที่ขึ้นไปหลังจากนี้ คนที่ซื้อไปแล้วถือต่อหรือขายต่อก็จะมีกำไร ผมพบพี่คนนี้ในงานสังสรรค์ไทยวีไอ ไม่ถามเคล็ดลับอะไรเลยแต่ขอจับมืออย่างเดียวและชื่นชมว่าผมชอบความคิดและการกระทำของพี่ครับ คุณเห็นอะไรในฐานะนักลงทุนและเส้นทางธรรมะจากบุคคลสองท่านนี้ ลองมาแชร์กันครับ อนึ่งผมไม่ขออ้างชื่อของพี่ทั้งสองในนี้ เพราะมีคนดีหลายคนที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงซึ่งมี พระคุณมากมายที่แชร์ข้อความดี ๆ ในบอร์ดไทยวีไอ และโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าธรรมะที่มีความดีเป็นพื้นฐานนั้นไม่มีชื่อเรียกไม่มีคำจำกัดความเข้าใจง่ายด้วย กาย, วาจา และใจ ครับ
โดย
koko8889
พฤหัสฯ. ต.ค. 03, 2013 3:07 am
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
พี่ Nevercry.boy ครับ เราจูนอัพคลื่นเดียวกันแล้ว(จิตวิญญาณ) ผมไม่มีตอนต่อไป แต่อยากให้ดูคลิปเดิมเพิ่มเติม ซึ่งผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์เท่าที่มีความรู้ ตอนที่ 17.05 ท่านติซ พูดเกี่ยวกับพุทธะสั้น ๆ และตัดตรงมาก ตอนที่ 18.23 ท่านติซ พูดว่า Practice every moment คุ้น ๆ ไหม กับหลวงปู่รูปหนึ่ง พูดว่า "ถ้ามีเวลาหายใจ ก็มีเวลาปฏิบัติ" ตอนที่ 19.04 ท่านติซ พูดเรื่อง First Mantra ส่วนตัวผมชอบมากเพราะสังเกตเห็นบางอย่างในคำพูดที่เจาะทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้าแม่ Talk Show ของประเทศวัตถุนิยมสุดขั้ว ซึ่งไปจบที่หนังสือเล่มที่เคยพูดคือ สภาวะของ เจ้าแม่ Talk Show ที่ว่า She has everything but she does not has anything. กับนักบวชผู้ปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจที่ He does not has anything but he has everything...
โดย
koko8889
พุธ ก.ย. 18, 2013 11:57 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ครับ หลายปีก่อนอ่านหนังสือเล่มนึงพูดถึงสภาวะที่อิสระสุด ๆ แต่ไม่เข้าใจ แต่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็เข้าทีละเล็กละน้อยตามปัญญาที่สะสมขึ้นครับ " I don't have anything, but I have everything." หลายวันที่ผ่านมามีกัลยาณมิตรส่งลิ้งค์ มาให้ ก็ชอบครับ http://www.youtube.com/watch?v=NJ9UtuWfs3U ชอบก็ต่อยอดครับ, ไม่ชอบก็ลืม ๆ ไปน่ะครับ
โดย
koko8889
จันทร์ ก.ย. 16, 2013 11:45 pm
0
3
Re: DVD งาน 10 ปี Thai VI สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ (5 วันสุดท้า
koko8889 / 1 ชุด / 550.02 บาท / TMB / 16-09-2556 / 09:08:00
โดย
koko8889
จันทร์ ก.ย. 16, 2013 9:58 am
0
0
Re: หลักสูตรอบรม การลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 3 เดือนพฤษภาค
test
โดย
koko8889
จันทร์ เม.ย. 08, 2013 8:19 am
0
0
Re: ประกาศชื่อผู้ที่จองได้และมีสิทธิ์โอนเงิน สังสรรค์ VI Q4/
koko8889 / สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง / 1,170.03 บาท / Kbank / 18-02-2555 /14:32
โดย
koko8889
จันทร์ ก.พ. 18, 2013 2:35 pm
0
0
Re: งานสังสรรค์ VI Q4/55 "เจาะเคล็ดวิชาฝ่าวงล้อมวิกฤต"
koko8889 / สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง
โดย
koko8889
ศุกร์ ก.พ. 15, 2013 9:59 am
0
0
Re: รับสมัครหลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1
สมัครเรียน
โดย
koko8889
อังคาร ก.ย. 11, 2012 9:00 am
0
0
Re: หลักสูตรอบรม การลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 เดือนตุลาคม
ขออนุญาต Test ครับ
โดย
koko8889
ศุกร์ ก.ย. 07, 2012 9:10 pm
0
0
Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย
ขอบคุณมากสำหรับไฟล์ดีดีที่แบ่งปันครับ
โดย
koko8889
อาทิตย์ ก.ย. 02, 2012 11:42 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
koko8889
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ ก.ค. 13, 2012 6:06 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
39 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว