หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
i-salmon
Go against and stay alive.
Joined: อังคาร ส.ค. 07, 2012 10:54 am
293
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - i-salmon
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: 3 นักลงทุนสายเทคโนโลยีแชร์แนวคิดเลือกหุ้นเทคดีๆ แบบ VI by JittaWealth 23/7/20
3 นักลงทุนสายเทคโนโลยีแชร์แนวคิดเลือกหุ้นเทคดีๆ แบบ VI by JittaWealth 23/7/20 Part2/2 แขกรับเชิญ คุณเผ่า,คุณโต,คุณหลิน / ผู้ดำเนินรายการ คุณสายไหม [ต่อจาก Part1] คุณหลิน เหตุผลหรือหลักในการเลือกหุ้น 3 ตัวแรกจากซ้ายคือ SAP, Oracle, Saleforce(ตัวย่อ CRM) เป็น Saas 101 ต้องอ่าน 3 ตัวนี้เพื่อเข้าใจ Dynamic กลุ่มนี้ มีจุดที่คล้ายกัน GPM สูงมาก ราว 70%+ แต่ NPM saleforce ยังติดลบอยู่ แต่ถ้าดู Revenue growth SAP 7-8%, Oracle 0.4-1% แต่ Saleforce 20-30% วิธีการดูหุ้นกลุ่มนี้ มีทั้งหมด 6 ข้อ โดยก่อนอื่นต้องพิจารณาก่อนว่า TAM – Total Addressable Market ตลาดที่เป็นไปได้รวมใหญ่ไหม จากนั้นถึงพิจารณา criteria ต่อไปนี้ 1.ต้นทุนในการ Acquire ลูกค้า หากยิ่งสูง Value ยิ่งน้อย ช่วง covid ต้นทุนตรงนี้ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ลูกค้าเข้ามาเองโดยไม่ต้องทำอะไร 2.ธุรกิจนี้มี product variety ไหม มัน top up ได้ไหม ง่ายขนาดไหน ยิ่งขายเพิ่มได้ง่าย ยิ่งดี 3. Network effect พูดง่ายๆเหมือนโทรศัพท์ ถ้ามีเครื่องเดียวไม่มีประโยชน์ แต่ถ้ามี 2 เครื่องเริ่มมีประโยชน์ และมันจะทวีคูณ ถ้ามี 2 เครื่อง เกิด 1 connection ถ้ามี 100 เครื่อง เพิ่มเป็น 4950 connection ถ้ามี ล้านเครื่อง เพิ่ม connection เป็น billion มันเยอะมาก Value จะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่บริษัทไม่ต้องทำอะไร ยกตัวอย่าง หุ้น FAANG – ถ้าดู character GPM ไม่เท่ากันแต่ละตัว FB 81.7% เป็น SaaS GPM สูงสุด AMZN 40.6% ที่จริงก็สูง แต่มี ecommerce มาถัว ถ้าดูเฉพาะ cloud AAPL 38.1% อาจจะดูต่ำ แต่ถ้าดูเฉพาะ sotware ก็สูงเหมือนกัน NFLX 38.98% ที่ยังไม่สูงเพราะ EOS 4. Economy of scale ผลิตสินค้ามา 1 ชิ้น คนใช้ซ้ำหรือ duplicate ไหม ถ้า NFLX อาจมี network effect ยิ่งคนดูเยอะผู้กำกับก็ยิ่งอยากทำ แต่ไม่ได้ EOS เพราะต้องทำหนังออกมาเรื่อยๆ ถ้า drop เมื่อไรคนก็ย้ายไปดูเจ้าอื่น ไม่เหมือน saleforce ที่ทำมาทีเดียวใช้ทั้งโลก 5. Stickiness หรือ switching cost ตัวประกันสำคัญสุดคือdata หรือความไม่เคยชิน 6. Unique ability ต้องมีความเก่งกว่าคนอื่น อย่าง crowdstrike ก่อนหน้าก็มี cyber security เจ้าอื่น แต่ตัวนี้เขาบอกว่าเหนือกว่าคนอื่น พอมี unique ability ก็ทำให้คนไม่เปลี่ยน หรือไม่แข่งขันราคา อย่าง NFLX ก็มี exclusive serie แต่ก็ทดแทนได้ด้วยการดูเรื่องอื่น Goog ใช้เป็น search engine ข้อมูลใน google ที่มีคืออะไร? แทบไม่มี มี email ที่เขาแทบ charge เงินไม่ได้ วึ่งตอนนี้มี google suite คุณเผ่าเสริม คนที่เก่ง SaaS ในองค์กรสุดน่าจะเป็น Microsoft ทาง google ทำ gsuite ก็น่าจะสู้ไม่ได้ คุณโตเสริมว่า Microsoft มี office พอทุกคนใช้ติดต่อลูกค้าก็ต้องโปรแกรมด้วยเหมือนกัน ถ้าหุ้นเข้า 6 criteria นี้โดยสมบูรณ์ จะ GPM สูงมาก และถ้ามี TAM ใหญ่ด้วย ก็จะชนะคนอื่นโดยกินตลาดไปเรื่อยๆ ขอ 3 ratio หรือวิธีที่จะประเมินธุรกิจเทค? คุณหลิน VI ต้องมี quantitative ด้วย หุ้นกลุ่มเทคยังไม่มีหนังสือออกมาชัดเจน เพราะถ้าออกมาก็แปลว่าใช้ไม่ค่อยได้แล้ว อย่างเมือก่อน มีหนังสือปีเตอร์ลินซ์ ที่เขาเกิดอเมริกา แต่เราใช้ในไทยก็เลยใช้ได้ หุ้นอย่าง ToyRus, Walmart ตอนนั้นโตไปเยอะแล้ว แต่ในไทยยังไม่เยอะ ก็ไปดูตามเขามา แต่หุ้นกลุ่มเทคก็พยายามดูตามเขามา แต่วิธีการที่ใช้กันสุดท้ายก็ต้องมีกำไรเข้าสักวัน สำหรับหุ้นพื้นฐานเดิม กราฟแกนตั้ง PBV แกนนอน ROE ถ้า ROE สูงก็จะมี PBV สูง ซึ่งเป็น correlation กัน สำหรับหุ้นเทค startup ก็มีพยายามหาคล้ายๆกัน correlation อาจต่ำกว่าคือราว 40% กราฟแกนตั้ง EV(Enterprise Value)/ Sales 12 เดือนข้างหน้า เขาไม่ใช้ P/S แต่ใช้ EV เพราะบางบริษัทเทคเงินสดเยอะมาก ต้องหักออก กราฟแกนนอน เป็น FCF margin+Revenue growth หรือบางครั้งเขาก็ใช้ Net profit margin โดยใช้ Rule of 40 คือรวมกันมากกว่า 40 ถึงจะดี ยกตัวอย่าง Crowd strike รายได้เติบโต 90% + Profit margin ขาดทุน 20% = 90%-20% = 70% ถือว่า OK [ยิ่งกราฟแกนนอนค่าสูง มูลค่ากราฟแกนตั้ง EV/Sales ก็ควรจะสูงตามไปด้วย] หุ้นที่เข้าเกณฑ์ที่บอก 6 ข้อข้างต้น โดยธรรมชาติโต 100 จะขาดทุน 50 พอมาหักกันก็มากกว่า 40 กฏพวกนี้บริษัทก็รู้ VC ก็รู้ ไม่งั้นไม่เกิดเคส wildcard หรือ luckin coffee สามเหลี่ยมของการ fraud มี 3 องค์ประกอบ 1 ใน 3 คือ motivation หรือ pressure เช่น Toshiba กำไรลดลงทุกปี อยากให้ขึ้นบ้างก็เกิด fraud บางครั้งดู top line อย่างเดียวก็ไม่ดี R square จึงแค่ 40 กว่า จึงมีโอกาสผิดโดยผู้บริหาร หรือ VC ก็ได้ ล่าสุดไปเจอนักลงทุน VI ก็พบว่าบางอันที่เราอ่าน story มามันสวยหรู พอไปถามผู้ใช้จริงมันก็ไม่ค่อย work เป็นสิ่งที่เราต้องเข้าใจอุตสาหกรรมให้เยอะ คุณเผ่า เสริมว่าต้องเข้าใจ TAM สินค้าอยู่อุตสาหกรรมไหน หาเงินได้อย่างไร หลายอย่างที่ชอบใช้คือหาใน google ดู review คู่แข่งเป็นอย่างไร ไปอ่านผู้ใช้งานจริง ก็ต้องใช้วิจารณญานเราประกอบ คุณโต Valuation ก็คล้ายที่คุณหลินแชร์ ส่วนตัวจะให้น้ำหนัก qualitative เยอะ หุ้น SaaS พอจุดติด รายใหญ่ก็อยากเข้ามาแข่ง ถ้าไม่มีความ unique จริง ไม่สามารถแข่งได้ราคาก็จะลงอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวก็ยังไม่ได้ลงทุนกลุ่มนี้เพราะยังยึดติดการทำ valuation แบบเก่า องค์กร startup จุดหนึ่งที่อยากให้นักลงทุนดูคือ free cash flow ถ้าเงินหมดก็ไปต่อไม่ได้ ในแง่ topline revenue เป็นอย่างไร สัดส่วน SG&A ดีขึ้นไหม cash flow โดน burn ไปเรื่อยๆ จะไปต่อไม่ได้ คุณเผ่า เวลาดูหุ้นกลุ่มนี้จะไปเข้าเวบไซต์เขา ถ้าไปเจอตัวที่บอกให้ติดต่อเซล แสดงว่ากระบวนการได้ลูกค้าเหนื่อยมาก แต่ถ้าสมัครทดลองใช้ได้เลยแบบนี้ดีกว่า และโตได้เร็ว นอกจากนี้มีตัวเลขที่ใช้ประเมิน Net dollar expansion จะหายากหน่อย ไม่ได้อยู่ในงบทั่วไป อยู่ที่บริษัทจะประกาศออกมาไหม เหมือน sssg ถ้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 110% แต่ถ้าอยู่ที่ 120-130% ต้องมี uniqueness Retention customer ควรเกิน 90% ขึ้นไป ลูกค้า 100 คน cancel 10 คน ก็ยังพอหาลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเก่าเติบโต แต่ถ้าต่ำกว่านั้นแสดงว่า product ก็น่าจะมีปัญหา SG&A/Sale หลายธุรกิจที่รายได้เพิ่ม แต่ต้นทุนไม่เพิ่ม มันจะเริ่มเห็นได้ว่ากำไรซักวันหนึ่ง ดีกว่าบริษัทที่รายได้โตแต่รายจ่ายยังพุ่งตาม คุณหลิน มันมี metric ที่ค่อนข้างเยอะ ที่อ่านมามี MRR, ARR [Monthly,Annual Recurring Revenue] ลูกค้าแต่ละคนจ่ายเท่าไรต่อหัว และ Customer Lifetime Value ลูกค้า acquire ยากไหม แล้วอยู่กับเรานานแค่ไหน ยิ่งอยู่ยิ่งติด หรือยิ่งอยู่ยิ่งจ่ายไม่ไหว ยิ่งมี churn rate เยอะเท่าไร ก็ทำให้ CLV ยิ่งลดลง ธุรกิจนี้ความเสี่ยงคือเจ้าใหญ่สู้แล้วชนะ ชนะแล้วไม่แบ่งคนอื่น มันอาจจะมี market share เหลือ แต่เล็กเกิดไปที่จะเกิด eos คุณเผ่า ราคา IPO หุ้นเทคที่เข้าตลาด เฉลี่ยแล้วอยู่ที 3.4 เท่าของราคา IPO แทบจะอยู่ได้ทุกตัว ตัวที่ต่ำๆ ส่วนมาก โดย acquire ถ้ากลุ่มนี้ product ดีๆ รายใหญ่ก็ไม่ไปแข่งด้วยแต่ซื้อแทน หรือถ้าดีลกันได้จบ มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่ได้ลูกค้าด้วย อย่างล่าสุด Twillio ที่ take over Sendgrid ก็ไปซื้อมาทำด้วยกันมากกว่า การที่จะเปลี่ยนแบรนด์มาทำใหม่ยาก ไปซื้อมาแล้ว upsale อย่างอื่นดีกว่า Docusign ก็พึ่งไป acquire AI software มาเพื่อวิเคราะห์สัญญา มาต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว อย่าง List ของบริษัทที่ saleforce ไปซื้อก็มีเยอะมาก หรืออีกมุมก็ใช้งานร่วมกันได้ อย่าง Saleforce ก็มี feature ให้ไป sign ด้วย docusign แต่ก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจจะทำแข่งขึ้นมาก็ได้ ถ้าไปจีนเอาทุกอย่างมาอยู่บน platform ทั้งหมด ถ้าเป็นอเมริกาจะมีอุดมการณ์หน่อย ลงหุ้นเทคต้องทำอย่างไรบ้าง? คุณหลิน เปิดโบรกไทย จะมีแฟลตฟอร์มซื้อต่างประเทศ โอนไปที่โบรกจะ convert ให้ ก็พยายามแบ่งไปหลายอันหน่อย เพราะหุ้นไม่ใช่ชื่อเรา แต่มี custodian มาดูแล คุณเผ่า คล้าย thainvdr พวกโบรกก็ต้องมี custodian หรือตัวกลางมาซื้อแทน ซึ่งโบรกก็จะมี obligation กับเราอยู่ อีกวิธีก็ไปเปิดโบรกต่างประเทศก็ได้ เช่น interactive broker ปัจจุบันก็ทำให้โอนเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ ไม่เกิน 2 แสนเหรียญต่อปี >> Jitta.com/brokers เราก็ทำเปรียบเทียบ ค่าธรรมเนียมให้ ถ้าไม่ต้องการลงทุนด้วยตัวเอง ก็ซื้อกองทุน >> Jittawealth/ustech ก็ไปค้นหา solution อย่างถ้าเอา algorithm ไปจับคงไม่ติดหุ้นเทค ถ้าไปดู jitta score คะแนน เพราะกำไรหายไปก็ score ไม่ดีแล้ว เราก็พลิกมาทำ universe เฉพาะหุ้นเทค แล้วมาเข้า ranking ก็จะทำได้เหมือนกัน โดย Correlation สำคัญคือรายได้เติบโต ราคาจะมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง ดังนั้นเราก็เริ่มจากคัดหุ้นเทคใน growth stage มาเข้า universe ก่อน แล้วก็เอามาเข้า Algorithm ด้วยสิ่งที่เราคุยกัน FCF,Profit margin,sg&a ทุกอย่างก็จะวิเคราะห์อย่าง conventional ได้แล้ว อย่าง jitta ustech ก็จะลงเหมือน jitta ปกติ 30 rank แล้วกระจายความเสี่ยงเท่ากัน ซึ่งเป็น SaaS เยอะ เพราะมันโตแรงในปัจจุบัน แล้วก็เอาวิธีคิดในแบบ Value investing มาด้วย ว่าเป็นของดี ราคาถูก เมื่อเทียบในกลุ่มเทค และมีการ rebalance ปรับพอร์ตทุก 3 เดือน รายได้ตก, FCF หาย ก็ควรจะหลุดจากพอร์ตไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือไม่ ถ้ากลับมาได้ค่อยเอาเข้าพอร์ต เรากระจายความเสี่ยง ไม่รู้ตัวไหนเป็น winner ที่ชัดเจน แต่ก็ต้องมีตัวที่โต 20-30 เท่าได้ ทำ backtest มา ก็ได้ผลตอบแทนที่ดีมาก คิด 3 ปีล่าสุดได้ 30% ต่อปี Universe ก็มีหลายร้อยตัวที่คัดมาแล้ว และมีระบบคัดอีกรอบ หุ้นเทคเกินครึ่ง IPO 5 ปีหลังสุด ถ้าเราเรียนรู้จาก พฤติกรรมในอดีตหุ้นSaaS ที่เป็นตัวพ่อคือ Saleforce หลังวิกฤติ 2008 ปรับตัวลดลงจาก 15 -> 5 เหรียญ แต่พอขึ้นกลับมาเป็น 20 เหรียญในอีก 1-2 ปี ก็เป็น 4 เท่า เราก็รู้สึกว่ามันสูงแล้ว ก็ขายทำกำไร จาก 20 ก็เห็นว่าปัจจุบันขึ้นมา 200 คือ 10 เท่า ซึ่งมันก็โต 30-40% ขึ้นมา บางตัวขึ้น 50-90% ก็มี ดังนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของภาพแบบนี้ได้ ราคาสูงหรือต่ำไม่เกี่ยวกับถูกแพง ถ้าราคาขึ้นมาเยอะ แต่รายได้ยังโตขึ้นทุกปีได้เหมือน saleforce Book.com ช่วงปี 2008 ราคาตกจาก100 กว่าเหรียญ 50 พอกลับขึ้นมา 200 ก็ขึ้น 4 เท่าเหมือนกัน และตอนนี้ก็ขึ้นมา 2000 ได้ อยู่ที่ TAM และ Rev growth ที่คุยกัน ถ้ามันยังโตได้ 30-40% ไปอีก 10 ปีราคาก็ต้องขึ้น การลงทุนหุ้นเสี่ยงก็มีความเสี่ยงที่ต้องรับ ถ้าเป็น Jitta ranking ธรรมดามีหลาย industry แต่อันนี้เป็นหุ้นเทค industry เดียว คุณหลิน ลงทุนเองเหนื่อยหน่อย ตอนเช้าก่อนตลาดไทยเปิดก็ต้องดูหุ้นไทย พอกลับถึงบ้านตลาดหุ้นอเมริกาก็มาแล้ว ช่วงที่ขึ้นที่ผ่านมาเป็นช่วงประวัติศาสตร์ของช่วงที่ยาวมาก มีหลายตัวที่ตกลงครึ่งหนึ่งในเวลาสั้นๆ Netflix,apple,amazon ถ้าเราใจไม่แข็ง หรือไม่มั่นใจว่าเราคิดถูก ก็จะโดนสะบัดตกรถได้ง่าย กลุ่มนี้เป็นเมกะเทรนด์แน่นอน แต่ต้องเลือกถูกตัว และไม่ถูกสะบัดลงก่อน อย่างตอนนี้ก็ลงทุน 10-20 ตัว และไม่ได้ศึกษาละเอียดได้เหมือนกับไทย ถ้าใครไม่มีเวลาอาจจะลงทุนผ่านกองทุนก่อนก็ได้ คำถามจากทางบ้าน q. เทียบผลตอบแทนหุ้นเทคกับ benchmark อะไร? คุณเผ่า benchmark ตัวเองก่อน ถ้าต้องการ 10-20% ได้ไหม และถ้าเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก็น่าจะเป็น NASDAQ ซึ่งในไส้ในก็มี Pepsi อะไรด้วย แต่ตัวหลักๆ ก็เป็นหุ้นเทค หรือไปเทียบดัชนีเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่ม cloud q. แหล่งศึกษาประเมิน valuation สำหรับกลุ่ม tech ใน business model ต่างๆไหม คุณเผ่า google หรือ youtube ก็มี vdo review คุณโต แนะนำ seeking alpha คุณเผ่า นอกจากนี้มี investor presentation , conference call เหมือน opp day พอออกงบอีก 3 วันต้องมี conference call และไปอ่านว่า analyst ถามอะไร ใช้ metric ไหนวัด เช่น สัดส่วนรายได้ หรือ billing กับ revenue ต่างกัน billing เป็นยอดที่ได้แต่ยังไม่นับเป็น revenue พวก travel tech หรือ ecommerce ก็ไปอ่านหุ้นตัวนั้นแล้วค่อยๆแตกไปต่อใน industry คุณหลิน SaaS เราต้องไปเอาตัวพ่อก่อน 101 ไม่ว่าจะ oracle, SAP, Saleforce พวกนี้ presentation จะดี แต่บริษัทเล็กก็อาจไม่ได้ต้องการบอกความลับให้คนอื่นรู้เยอะ ไปอ่านตัวใหญ่ให้อ่าน presentation ก่อน ส่วนตัวเล็กไปอ่าน 10K ซึ่งจะลำบากมาก ของต่างประเทศมันเป็น 100-200 หน้าตัวหนังสือเยอะ ไม่มีกราฟด้วย คุณเผ่า จะอ่าน 10K เป็นอย่างหลังสุด ถ้าอ่านอย่างอื่นแล้วหาข้อมูลไม่ได้ค่อยเจาะเป็นเรื่อง เพราะอ่าน 10K เหนื่อยมาก ถ้าเป็นหุ้นเทคต้องอ่าน 10-Q ด้วย ถ้าสนใจหุ้นจีนหนักกว่าเดิม ต้องไปหาเป็นภาษาอังกฤษ คุณหลิน อย่างจีนหุ้น saas kingdee ก็ขึ้นเยอะแต่มันยังไม่ชัดเจนเท่ากับอเมริกา ต้องระวัง saas ของจีนมันฆ่ากันแบบเลือดสาดอย่างที่คุณเผ่าบอก ที่จีนไม่สนใจ Copy มาใช้ดีก็ทำเลย กินรวบ q. อเมริกาสั่งปิดกงสุลจีน รอก่อนหรือเข้าเลย? คุณโต มองว่าเป็นเกมการเมือง ปัจจัยชั่วคราว อยากที่มีเรื่อง delist หุ้นจีนในอเมริกา แต่ไม่ได้มีผลกับการลงทุนเท่าไร คุณเผ่า ต้องแยกระหว่างราคาหุ้นกับผลประกอบการ ถ้าเผากับวันนี้ลูกค้าจะหายจาก saleforce ไปครึ่งหนึ่งไหม ก็มองเป็นโอกาสการลงทุนได้ ถ้ามีข่าวตกใจแต่ไม่เกี่ยวกับหุ้น งบ Q2 ก็คาดกันกลุ่มนี้ว่าจะดีมาก ซึ่งมีการ lock down มากกว่า Q1 q. ลงทุนหุ้น tech กับ jitta wealth ต้องเริ่มเท่าไร? a. เหมือนกับ jitta wealth ต่างประเทศ เริ่ม 3 ล้านบาท กระจายความเสี่ยง 30 ตัว ข้อดีของอเมริกาคือซื้อ 1 หุ้นได้ ของ jitta wealth เหมือนเป็น private fund ไม่ได้ซื้อหน่วยลงทุนจึงใช้เงินสูงหน่อย ถ้าอนาคตลด scale ลงทุนได้ก็อยากทำ Amazon 1 หุ้น ก็ 3 พันกว่าเหรียญ ราว แสนกว่าบาท [พูดคุยส่งท้าย] เนื้อหาเยอะมาก อยากเอาสมองไปใส่ใน cloud บ้างแล้ว ประมวลผลไม่ทัน คุณเผ่า ถูกต้อง cloud service หลายอันเป็น business analytics แล้วประมวลผลที่เขา มี SaaS ที่วางแผน budget เงินให้ด้วย เหมือนมี CFO และไปเชื่อมจ่ายภาษี ตำแหน่งหน้าที่ต้องมีคนทำบางอย่างก็จะถูกโยกไปบน cloud เพราะมี data มากกว่าประมวลผลเร็วกว่า คุณโต ต่อไปนักกฏหมายก็จะถูก disrupt คุณเผ่า ใช่ อย่าง docusign ทีแรกเริ่มรายได้จาก document แต่ตอนนี้มองว่าเอา AI มาเขียนสัญญาได้ พอมี agreement ซ้ำๆเป็นล้านฉบับ ต่อไปก็ trailer made ได้หมด มา disrupt กลุ่มพวกนี้เป็น ทนาย outsource บัญชี outsource ใช้พวกนี้ถูกกว่า คุณหลิน เสริมให้เห็นภาพง่ายๆเหมือนพอแต่งงานกับผู้หญิง เค้าคิดประมวลผลแทนเราหมด :twisted: ขอบคุณพี่เผ่า พี่โต พี่หลิน และทีมงาน jitta ที่จัดรายการแชร์ความรู้ดีๆให้นักลงทุนครับ ผมจดไปด้วยประกอบการฟังของตัวเอง หากมีบันทึกไว้ผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้มีรายการ online เยอะมาก บางครั้งได้จดบ้างไม่ได้จดบ้าง หากอันไหนถ้าพอได้จดรู้เรื่องจะเอามาแชร์อีกครับ สามารถดู clip เต็มๆ ได้ที่นี่ครับ >>https://www.youtube.com/watch?v=Qse5R9C-Lwo&fbclid=IwAR0hMdZgR84AYc26O4BjJnV6ZQkX8EoKp0EnDRTzpYy7puVKbzXhM5dlPt4&feature=youtu.be&app=desktop
โดย
i-salmon
อังคาร ก.ค. 28, 2020 5:52 pm
0
9
Re: ** วันนี้ **เปิดรับงานสังสรรค์ VI ประจำปี 2563 ครั้งที่ 1
i-salmon/สมาชิกสมาคม/1 ที่นั่ง/1440.12 บาท/scb/05-02-2563/13.24
โดย
i-salmon
พุธ ก.พ. 05, 2020 1:39 pm
0
0
Re: MoneyTalk@SET14/9/62MBA ยุคดิจิทอล&แชร์ประสบการณ์และเคล็ดลับลงทุน
[quote=i-salmon post_id=1841985 time=1568465844 user_id=56951 พอดีมีพี่ช่วยทักมาบอกว่ามีผิดไปคำนึงครับ last ขอแก้ไขเป็น large คือหลีกเลี่ยงการลงทุนเสียหายหนักๆ ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ "....... นอกจากโลกปัจจุบันยังมีปัจจัยใหม่ๆ อย่าง aging society, disruption ต่างๆ จึงไม่ควรจำกัดการลงทุนแค่ในประเทศไทย และยึดหลัก avoid large loss จะไม่ลงทุนในหุ้นตัวใหญ่สุดมากเกินไป และกระจาย7-8 ตัว "
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ย. 15, 2019 6:15 pm
0
1
Re: VIETNAM in Snapshot by Dr Visit Trinity
ขอบคุณครับ ขยันฝุดๆ
โดย
i-salmon
พุธ ก.ค. 24, 2019 9:14 pm
0
1
Re: MoneyTalk@MAI 13 กค 2562 เฟ้นหุ้นเด่น 10เด้ง MAI
เสียดายไม่ได้ไป ขอบคุณพี่อมรมากคร้าบ :D
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ค. 14, 2019 10:04 am
0
1
Re: **เปิดรับ** งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2562 ครั้งที่1
i-salmon/ สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง / 1,440.08 บาท / Kbank / 23-04-62 /10:01
โดย
i-salmon
อังคาร เม.ย. 23, 2019 10:02 am
0
0
Re: MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62
ช่วงที่ 2 “การเมืองกับหุ้นไทยในปีเลือกตั้ง 2562” 1. ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ / ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจการเมือง 2. คุณ วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) / นักลงทุนผู้คร่ำหวอด 3. คุณ วิน พรหมแพทย์ / ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน CIMB PRINCIPAL 4. Dr. Andrew Stotz / นักวิเคราะห์อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย 5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ปรมาจารย์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ ปัจจัยการเมืองจะกระทบหุ้นอย่างไร? อ.สมชาย ปัจจัยการเมืองไม่ได้เป็นตัวตัดสิน แต่เป็นตัวอธิบายไปที่ตัวเศรษฐกิจ กำไรต่อหุ้นสัมพันธ์กับเรื่องเศรษฐกิจขยายตัวอย่างไร บางทีการเมืองวุ่น หุ้นก็ขึ้นได้ การเมืองคงจะเห็นภาพค่อนข้างชัด กลุ่มที่ได้ชัดต้องมี 376 เสียง ซึ่งกลุ่มที่กุมสว.ก็จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ 250 + 126 ประเด็นคือ จัดตั้งแล้วจะมีปัญหาไหม เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า สว.ที่จะอยู่ได้มีสิทธิเลือกนายกฯร่วมกับ สส. ขณะเดียวกัน ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสิน กฏหมาย แค่ดีเลย์ได้ ยกเว้นกฏหมายฉบับนั้นออกมาแบบปฏิรูป ทำให้รัฐบาลที่ผ่านการโหวต ของ สส.+สว. จะบริหารได้ในลักษณะที่มีประสิทธิภาพหรือไม่? มีความขัดแย้งในการการเลือกตั้งได้ เสียงเดียว แต่ 2 ลัง เกิด Overhanging(ส่วนเกิน) ไปกระทบพรรคอื่น ทำให้มีคะแนนเสียงเกิน 500 แต่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ที่ 500 จึงต้องเอาสัดส่วน 7 หมื่นกว่ามาหาร ก็จะมีข้อโต้แย้งจะมีไม่กี่พรรคที่ได้ แต่ถ้าใช้กรอบทศนิยม จะทำให้มีพรรคเล็กเข้ามามาก ไม่แน่ใจว่าจะจบแบบไหน ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับ แต่หวังว่าทุกอย่างจบลงภายใน 9 พ.ค. จึงขอคิดว่า กลุ่มที่จะตั้งรัฐบาลได้จะมีเสถียรภาพก็ขึ้นกับคะแนนเสียงเกิน 250 แค่ไหน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทบ EPS แต่กระทบกับเชิงสิทธิมนุษยชน,รัฐศาสตร์ ซึ่งโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง ปี 400 กว่า ช่วงก่อนคริสตศักราช มีการเข้าสู่ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ซึ่งไม่ยอมรับสิทธิเสรีภาพ ทำให้โสเครตีสถูกประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษ อริสโตเติล ต้องสร้างทฤษฎีใหม่ การเมืองที่ดี ไม่ได้เกี่ยวว่า ต้องมี 1 คนเป็นผู้นำ หรือหลายคน หรือประชาธิปไตย ขึ้นกับ จริยธรรม ถ้าเป็น 1 คนดี เป็น monarchy ถ้าเลว tyranny ถ้าหลายคนดี เป็น aristocracy ถ้าเลว oligarchy ถ้าเสียงข้างมากดี ไม่เรียก democracy เรียก polity ถ้าเลวเรียก democracy ดังนั้นที่คุยกันว่าประธิปไตยดี อย่าเพิ่งไปเชื่อมั่น ประชาธิปไตยมี 2 แบบ คือ แบบที่ดี ซึ่งต่างชาติใช้เวลา 2 พันปี เป็น ประชาธิปไตย เสรีนิยม กับอีกประเภทหนึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ ไม่ได้คำนึงถึงเสรีภาพ นำไปสู่เผด็จการเสียงข้างมาก ดังนั้นที่เถียงกันคือที่จริงเป็นเผด็จการทั้งคู่ ด้านหนึ่งเผด็จการทหาร กับ เผด็จการเสียงข้างมาก เป็นวาทะกรรมทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นเรื่องหุ้น คือ หลังเลือกตั้ง เราจะเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นแบบที่ไม่มีการถ่วงดุล เต็มที่ ผลกระทบ ต่างชาติดู human right แย่ แต่ประเด็นหลักอยู่ที่เศรษฐกิจ ถ้าเกิดการประท้วงรุนแรงก็กระทบ ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น เพราะมีรัฐสภา แต่จะมีปัญหาเพราะไม่มีมาตรา 44 แต่กลับมีรัฐธรรมนูญที่คนต้องการแก้ จะเกิดกิจกรรมนอกสภา กับในรัฐสภาเองจะมีเรื่อง “ปริ่มน้ำนิดหน่อย” ปัญหา 2 เรื่องคือ กฏหมายออกไม่ได้ กับ งบประมาณออกไม่ได้ ถ้าไม่มีเสียงข้างมาก หวังว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ สถาบันด้านทหารยังมีน้ำหนัก และประกอบกับลักษณะการเมืองไทย จะทำให้การปริ่มน้ำประคองตัวเองและผ่านการออกงบประมาณได้ หรือถ้าหากประคองไม่ได้ ก็จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลซึ่งยังมี สว. 250 เสียงเป็นตัวตั้ง เกิดการกระเพื่อมแต่ก็ยังขยับไปได้เรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจพัง สรุปภาพรวมคือ 1.เศรษฐกิจโลกอยู่ในขาลง IMF ก็มีการปรับลดลง แต่ดีกว่าตอนต้น เช่น จีน GDP คาดจะเหลือ 6% โดยไตรมาสแรกออกมา OK น่าจะอยู่ที่ 6% กว่า 2.สงครามการค้า หรือที่จริงคือสงครามเผื่อความอยู่รอดของประเทศ (existential war) อเมริกาเล่นงานจีน เพราะจีนประกาศศักดาที่จะมาแข่งขัน อย่างเช่น made in china 2025 ถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถเล่นงานแบบ zero sum game (มีคนได้ มีคนเสีย) มันกำลังเป็น negative sum game(เสียประโยชน์ทุกฝ่าย) อเมริกาก็ย่ำแย่ด้วย จึงสามารถทำนายได้ว่าถ้าเร็วภายใน 2 เดือนนี้การเจรจาระหว่างจีนกับอเมริกาจะจบลง แต่ถ้าช้าไม่เกินครึ่งปี เพราะจะนำไปสู่ข้อแรกคือเรื่องการกีดกันทางการค้า อเมริกาบีบจีนหลายรอบด้านภาษี รวมกัน 2.5 แสนล้านเหรียญ จีนตอบโต้ด้วย 1.1 แสนล้านเหรียญ ถ้าตกลงกันได้สิ่งเหล่านี้จะลดลง ปัญหาคือ จีนต้องมีนำเข้า ส่งออกของจีนจะมีปัญหา อยู่ในฐานะที่ต้องปรับตัวโครงสร้าง จึงยังอยู่ในขาลง อเมริกา GDP โต 2.5% Trump Effect จบลงแล้วในไตรมาสที่ 4 ยุโรป เดือน ต.ค. กว่าจะรู้ Brexit เป็นอย่างไร แต่ความไม่แน่นอนนี้ทำอัตราการเติบโตใน EU จาก 1.8 อาจลดลงต่ำกว่า 1 ญี่ปุ่นมีเรื่องภาษีทางการค้า ที่จะดึงให้ตกลงมา ไทย ส่งออกโตได้ 3% ก็บุญแล้ว ตัวช่วยคือท่องเที่ยว จีนน่าจะกลับมา, งบประมาณภาครัฐ 7.8 แสนล้าน เข้าในครึ่งปีหลัง แม้ช่วงนี้จะชะลอบ้าง การบริโภคของเอกชนที่เป็น สินค้าคงทนเช่น รถยนต์ แย่ลงเพราะปีก่อนดีมาก แต่สินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ เชื่อว่าไทยน่าจะ GDP โต 3.5-3.8% เทียบกับปีก่อน 4.1% ถือว่าใช้ได้ สิ่งที่คนกังวลคือ เสถียรภาพการเมืองจะนำไปสู่เสถียรภาพของนโยบายหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ถ้าหาก เทราซ่า เมย์ยุบสภา นายโควินขึ้นเป็นนายก คาดการณ์ได้หุ้นตกเละเทะ เพราะโควินมีนโยบาย nationalization แต่ประเทศไทยไม่น่ามีแบบนี้ เพราะการเมืองบ้านเราไม่ได้มีอุดมการณ์เท่าไร สิ่งที่เป็นโยบายที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ก็ต้องทำ 1.ส่งเสริมท่องเที่ยว 2.EEC นำไปสู่การเชื่อมโยงโครงการต่างๆ ขยายไปสู่ 3 จังหวัด อาทิตย์หน้านายกจะไปประชุมที่ปักกิ่งซึ่งจะเชื่อมโยง 1belt1road นำไปสู่การเชื่อมโยง GMS, EEC, Pearl river delta, Greater bay-มาเก๊า-ฮ่องกง-กวางตุ้ง สรุปว่าการเมืองไม่ได้ไปเปลี่ยนสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจ GDP 3.5-3.8% ไม่ดีไม่แย่เกินไป คาดว่าหุ้นไทย Sideway ในช่วง 150 จุด คุณAndrew ผมมาอยู่ที่ไทยตั้งแต่ 1992 ประเทศไทยกำลังอยู่ในถนนที่ไปสู่ประชาธิปไตย แต่เป็นเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ซึ่งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีพรรคการเมืองต่อต้านทหาร มันต้องใช้เวลาสักระยะที่จะไปถึงประชาธิปไตย ส่วนตัวเชื่อว่ามันจะมาถึง คิดว่าคงมีคนไทยน้อยมากที่ต้องการมีรัฐบาลทหาร ถึงแม้ประชาชนจะต้องการประชาธิปไตย แต่เขาก็ต้องการความสงบ เสถียรภาพ เชื่อว่าในการเลือกตั้ง 2-3 ครั้งหน้า จะเป็นเส้นทางให้เราเข้าใกล้ประชาธิปไตย ซึ่งก็เป็นทางที่เรากำลังเดินไปกว่า 30 ปี แต่สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือประเทศไทยต้องหลีกเลี่ยงการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย พวกเราต้องช่วยกันให้หยุดการสร้างความขัดแย้ง และร่วมมือด้วยกันเพื่อแก้ปัญหาประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้ดีขนาดนั้น ดูอย่างเช่น อเมริกา ตอนผมเป็นเด็ก ครูบอกว่าทุกคนในห้องเรียนนี้สามารถโตไปเป็นประธาธิบดีอเมริกาได้ แล้วมันก็เกิดขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานธิบดี ประเด็นคือ ประชาธิปไตยไม่ว่าใครได้เป็นรัฐบาล แล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไร ผมอยู่ประเทศไทยมา 30 ปี และได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก ผมบอกเลยว่า เราต้องให้รัฐบาล สร้างประโยชน์ให้ประชาชน มากกว่านี้ ทั้งด้าน การศึกษา , โครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง หวังว่าระหว่างทางที่เราเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย ประชาชนก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย สำหรับตลาดหุ้น ผลกระทบใหญ่เกิดเมื่อตลาดหุ้นอเมริกาตก ส่วนตัวเชื่อว่า ตลาดหุ้นอเมริกาจะตกลงมากกว่า 20-30% ใน 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องด้วย ดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษ มานาน , การขาดดุลของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลกับค่าเงิน USD คนก็ไม่อยากเอาเงินมาลงทุนในตลาดอเมริกา ดังนั้นค่าเงินก็จะอ่อน และตอนนี้หุ้นอเมริกาก็แพงมาก แต่ยังไม่ถึงกับเป็นฟองสบู่ ตลาดหุ้นไทยก็จะได้ประโยชน์ด้วย แม้ว่าเริ่มแรกตลาดหุ้นก็ตกลงตามอเมริกา แต่ ASEAN มีความผันผวนต่ำ เชื่อว่า นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดโลก จะแบ่งเงินมาลงทุนที่ ASEAN ทำให้ขึ้นสวนตลาด US ได้เป็น safe heaven จึงไม่ได้กังวลกับไทย หรือการเลือกตั้งมาก อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูก จึงไม่ได้รีบเข้าซื้อ เชื่อว่าในอีก 12-24 เดือนข้างหน้า ไทยกับ ASEAN จะดีมาก เทียบกับ US หรือภูมิภาคอื่น Risk ของประเทศไทย 1) การขาดแคลนแรงงาน เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจ จำเป็นต้องเอาระบบอัตโนมัติเข้ามาทดแทน ไม่เช่นนั้นจะกระทบจากค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น 2) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก มีบทวิจัยว่า บริษัทใหญ่ ในโลกทำกำไรได้ดีมาก ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กกำลังสูญเสียเงิน จึงต้องระวังว่า วิกฤติครั้งถัดไปอาจเกิดกับบริษัทขนาดเล็ก หรือขนาดกลางก็ได้ ดังนั้นถ้าจะลงทุนต้องดูว่าบริษัทนั้นมี อัตรากำไรดี และไม่มีหนี้สูงเกินไป คุณวัชระ เห็นด้วยกับอ.สมชายว่าการเมืองอาจเป็นแค่ส่วนประกอบ ตัวเลขผลประกอบการ หรือเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญกว่า นักวิเคราะห์เริ่มปรับลด eps ตลาดปี 62 ลงมาเหลือ 106 ถ้าให้กรอบ PE15 เท่า SET 1600 , PE 16 SET 1700 เป็น base case ที่มองเป็น side way กรอบเทคนิคอลเป็น down trend line เป็น สามเหลี่ยมวิ่งขึ้นและชน ถ้าทะลุกรอบนี้ และ macd week ผ่านสูงขึ้นจะดูพอมีแรงซื้อบ้าง จะเริ่มไต่ระดับ ก็ต้องติดตามข่าวการเมือง ทุกคนรอหลังวันที่ 9 พ.ค. ระหว่างนี้ทำได้ก็รอ และประเมิน ที่ตลาดยืนได้ ส่วนหนึ่งเป็น order จากดัชนี msci มีการปรับคำนวณใหม่ และเอา nvdr เข้าคำนวณ ทำให้มีส่วนที่ได้เพิ่ม 2600 ล้านเหรียญ ทำให้ sentiment ดีขึ้นมาหลังเลือกตั้ง ช่วงพยุงตลาดได้ส่วนหนึ่ง อาทิตย์ที่แล้ว มีมาตรา 44 ช่วยบริษัทสื่อสารให้แบ่งจ่ายสิบปี และช่วยเหลือ TV digital ส่วนตัวเล่น momentum play ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดก็นำมาใช้ประโยชน์ ในด้านเทคนิคใน 5-10 สัปดาห์ข้างหน้าอาจมีช่องว่างในการเล่นขึ้นได้บ้า แต่ก็ต้องติดตามทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว ที่คุณ Andrew เตือนเรื่องตลาดอเมริกาก็เห็นด้วย Invert yield curve ปีที่แล้วมีเกินมาแล้ว 1 ครั้ง หุ้นอเมริกาลงแรงมาก ทำให้ล้างพอร์ตเลย ตอนปี 2007 เคยเกิด และทำให้มีวิกฤติ subprime ตอน 2008 เมื่อเดือน มี.ค. ก็เกิดเหตุการณ์นี้อีกครั้ง จึงเริ่มกลัว ทั้งนี้หุ้นที่เรามีก็อาจจะไม่ลงก็ได้ เศรษฐกิจก็โยงกับหุ้นเรื่องความเชื่อมั่น ถ้าสมานฉันท์กันก็คงมีสิ่งต่างๆดีขึ้น อีกอย่างที่น่าจะช่วยเศรษฐกิจคือปลูกพืชสีเขียว(กัญชา) แต่ต้องควบคุมให้ดี เอาไปขายต่างประเทศได้ รายได้ส่วนใหญ่คนไทยมาจากข้าว แต่ความนิยมลดลง คนที่กินมากคือคนใช้แรงงาน ถ้าทำได้ ชาวนาก็ลืมตาอ้าปากได้ คนก็จับจ่ายมากขึ้น คุณวิน ขอพูดในส่วนภาวะตลาด มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดทุน เมื่อก่อนเราไปค้นหาหุ้น ซื้อเก็บไว้แล้วรอคนไปเจอ ขายทำกำไร ระยะหลังมีกองทุน ETF ปีหนึ่งหลายล้านล้านดอลลาร์ ลงทุนในหุ้นตามน้ำหนักดัชนี เช่น MSCI เพิ่มน้ำหนัก 10% ในไทย ETF ซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่ม 10% ตาม สังเกตเวลาฝรั่งเข้าออกหุ้นไทย จะซื้อกวาดทั้งตลาด ไม่ขึ้นกับถูกหรือแพง เวลาขายก็ยกแผงเหมือนกัน จะเห็นภาพแบบนี้มากขึ้น จะเห็นหุ้นหลายตัวที่แพงแล้วแพงอีก และถูกแล้วถูกอีก ขึ้นกับดัชนี ETF จึงเป็นตัวทำให้ตลาดเปลี่ยนไปมาก ปีนี้หุ้นจีนขึ้นมา 30% เพราะ MSCI เอาหุ้นจีน A share เข้าดัชนีมากขึ้น ความยากคือ อดีตเราเคยหวังว่าหุ้นที่เราชอบจะมีคนมาค้นพบ อนาคตหุ้นที่ชอบจะมีคนมาเจอช้าลง เมื่อก่อนหุ้นไทยมาซื้อ blue chip ตอนนี้ซื้อ ETF ทีเดียวจบแล้ว ไม่เสียเวลามาเลือกหุ้นรายตัว เป็นปัจจัยที่มีผลกับเรามาก ในทางกลับกัน ก็มีโอกาสลงทุน ถ้าเจอหุ้นไทยลงแรงๆ โดยไม่มีเหตุผลซีเรียสมาก จะเห็นว่ามีแรงซื้อกลับมาเร็วมาก ซึ่งหุ้นไทยตอนนี้แพง ถ้าเทียบย้อนหลัง 16 ปี เทียบตัวเองในอดีต ตอนนี้แพงมาก มีโอกาสถูกลงกว่านี้ 75% สหรัฐมีโอกาส 80% ปัจจัยลบระยะสั้นคือ โอกาสหุ้นโลกปรับฐานเพราะปรับขึ้นมาเยอะ, ระยะกลาง-ยาว มีโอกาสหุ้นสหรัฐเป็นขาลง, เศรษฐกิจมีผล ไม่มาก ตลาดรับรู้ไปแล้วว่าโตช้าลง ไทยเติบโตกลางๆ ไม่ได้บวกลบมากมาย ปีที่แล้ว หุ้น mid, small cap โดนขายยกแผง เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ทำให้ผู้จัดการที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้แพ้ดัชนีเป็นส่วนใหญ่ ปีนี้มีหลายตัวฟื้นขึ้นมาแรง ถ้าเห็นหุ้นไทยลงแรงๆ เช่นต่ำกว่า 1600 น่าสนใจ เพราะปัจจัยพื้นฐานไม่แย่ แค่ตลาดแพง ลงมาถูกก็ควรซื้อ LTF/RMF หลายคนมองว่าช่วยคนรายได้เยอะ ช่วยลดภาษี ความเห็นมองอีกมิติ ว่ามีหลายคนเงินเดือนไม่ได้เยอะ แต่ได้สิทธิ์ตรงนี้ลดภาษี คนไทยได้ถูกสอนให้เป็นชาวสวน หุ้นตกคนก็จะไปซื้อ ltf เป็นแรงซื้อไม่ให้ตลาดหุ้นไทยตกลงไป หุ้นจีนขึ้นแรงลงแรง รายย่อยเล่นระยะสั้น ไม่มีคนมาสวนทางเหมือนเรา ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้รัฐบาลใหม่ส่งเสริมพฤติกรรมคนไทยให้ออมเงินในหุ้นให้เป็น ดร.นิเวศน์ ขอพูดอีกมุมหนึ่ง ผ่านการเมืองมาหลายสิบปี ซึ่งทุกครั้งก็ผ่านมาได้ เศรษฐกิจก็ไม่ได้ชะงักอะไร การปกครองโดยรัฐประหารก็มีตลอด ทุกครั้งเศรษฐกิจก็ดีไม่ได้มีปัญหาอะไร เหมือนเค้กก้อนหนึ่งรัฐบาลจะมาอย่างไรก็กระทบเศรษฐกิจไม่มาก ถ้าคนไทยทั้งหมดผลิตได้ดี เติบโตได้ดี เศรษฐกิจก็โตเร็ว ทำงาน ต้องกินต้องใช้ จนถึงวันนี้คนไทยแก่ตัวลง ลูกน้อยลง ขึ้นกับประชากรเป็นหลัก รัฐบาลมีส่วนกับเศรษฐกิจไม่มาก มีเงินก้อนหนึ่ง การปกครองประเทศเป็นเรื่องการแย่งอำนาจกัน ตลอด 50-60 ปี พอชนะได้อำนาจมา แต่ไม่ได้ทำให้เค้กใหญ่ขึ้นเพราะทำโดยคนทั้งประเทศ มีสิทธิอนุมัติงบประมาณ แบ่งสันปันส่วนให้กับกลุ่มที่สนับสนุน รัฐบาลใหม่เสถียรภาพน่าจะไม่ดี เค้กน่าจะเล็กลงหรือไม่โต แต่รัฐบาลปัจจุบันเอง ถ้ามองในมุมต่างชาติ ยังไงก็ดีกว่ารัฐบาลปัจจุบัน หลายประเทศอาจมีกฏที่ไม่ให้ลงทุนรัฐบาลเผด็จการ(junta) อย่างน้อยของใหม่มาก็มีกติกาอะไรต่างๆ ต้องดูว่าคนใหม่จะแบ่งเค้กอย่างไร กระทบกลุ่มไหน ถ้ามากไปก็มีปัญหา เช่น ออกนโยบายเพิ่มค่าแรง 500 บาท ก็จะยุ่งหน่อย หรือ คิดภาษีคนเล่นหุ้นก็กระทบ _____________________________________________________________________ ฝากประเด็นเพิ่มเติม อ.สมชาย ในเชิงทฤษฎี เมืองไทยเล่นหุ้นไม่ค่อยเกี่ยวกับการเมือง แต่เมืองนอกเกี่ยวมาก พรรคการเมืองในโลกมี 3 ประเภท 1. ideological party เป็นพรรคการเมืองในเชิงอุดมการณ์ มีนโยบาย ถาวร ผูกพันเป็นองค์รวม พรรค มาร์คซิส, คริสเตียน เดโมแครต ซึ่งพรรคแบบนี้กำลังตายไป เค้าเรียกว่า the end of ideology จึงกลายพันธุ์มาเป็นแบบที่ 2 2.strategic party มีนโยบายถาวร แต่ไม่องค์รวมเป็น ideology จะมีพรรคแบบนี้เยอะมากในยุโรป ซึ่งพรรคแบบที่ 1 และ 2 นี้จะส่งผลกระทบตลาดหุ้น ทำให้เกิด structural change เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ที่ เวเนซูเอล่า พอ ฮูโก้ ชาเวส จะมาเป็นผู้นำ รู้ได้เลยว่า หุ้นตกแน่ เพราะเขาเน้น populism,nationalization 3.tactical party เป็นพรรคเฉพาะกิจ ไม่มีอุดมการณ์ การบริหารเศรษฐกิจไม่ได้เป็นตามขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง พรรคการเมืองของประเทศไทยเป็นแบบนี้ ดังนั้นจะเห็นตัวอย่างต่างประเทศพรรคที่มีแนวคิดต่างกันทำงานร่วมกัน ต้องใช้เวลาตกลงกันนานหลายเดือน แต่ของเมืองไทยเข้าไปคุยกันในครึ่งชั่วโมงได้คำตอบ ดังนั้น การเล่นหุ้นจะง่าย พรรคไหนที่ขึ้นมาไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมากๆ เป็นไปตามที่ดร.นิเวศน์พูด จากนี้ไปใน 5-10 ปีข้างหน้า การเมืองไทยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง สังเกตว่าตั้งแต่ 1995 SET ไม่เคยขึ้นถึง 1700 กว่า เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้ว่า เสียความสามารถแข่งขัน ตั้งแต่ยุค digital ปี 1990 มีการ present ที่เจนีวา เรื่อง Formatting address นำไปสู่ web 1.0 พอโลกทั้งใบเปลี่ยน สงครามเย็นสิ้นสุด อัตราการเติบโตไทย ปรับไม่ทันโลก ขยายตัว 3.8% ต่ำสุดใน ASEAN ที่เฉลี่ย 5.3% โลกกำลังเข้าสู่ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 digital ผสมกับ biotech, AI, Robot, Codification of money เราปรับตัวไม่ทัน จะมีคนตกงาน เราทำได้แต่ low end แต่ต้องนำเข้า medium กับ high end GDP ไทยจะติดแหงกที่ 3-4% แม้หนี้ครัวเรือนจะลดจาก 80% เหลือ 70% กำลังซื้อรากหญ้ามีปัญหา ต้องยอมรับว่า เรามีคนรวย 5% ครอบครอง GDP 66% โลกเข้าสู่ social media การแยกขั้วยังรุนแรง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ยอมข้ามมา ยังอยู่ที่อันเก่า ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จำนวนคนที่เป็น Disenchanted จะมากขึ้น และคนกลุ่มนี้จะเรียกร้อง สร้างแรงกดดันทางการเมืองมากขึ้น บวกกับคนหนุ่มสาวที่เข้ามาเลือกตั้งครั้งแรก 8 ล้านคน ซึ่งสัดส่วนเป็น 14% ของคนที่เลือกตั้งได้ ยังไม่รวมถึง 25-30 ปี จะเปลี่ยนdemographic ของไทย จะมองโลกต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง จึงไม่ชอบทหาร ความสามารถในการแข่งขันของเราไม่ทันในการเข้าสู่โลกตรงนี้ ดังนั้น 5-10 ปีนี้ผลกระทบจากการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลง สังเกตดูว่าการแยกขั้วตั้งแต่ 2014 ยังรุนแรงถึงวันนี้ คุณ Andrew เงื่อนไขในการลงทุนคือ ดอกเบี้ยต่ำ, มีอัตรากำไรเพิ่ม และมีภาษีที่ลดลง จะทำให้ตลาดหุ้นดี ซึ่งรัฐบาลสามารถทำสิ่งนี้ได้ ในชีวิตจริงต้องมีสมดุล ถ้าอะไรที่มันมากเกินไปสุดท้ายก็พัง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับอเมริกาคือ มีดอกเบี้ยต่ำไป, ลดภาษีมากเกินไป และอัตรากำไรก็เพิ่มขึ้นสูงไป ส่วนตัวสิ่งสำคัญสุดคือ ต้องมีเสถียรภาพ และทำกำไรได้ ซึ่งถ้ามีสองสิ่งนี้ตลาดก็จะไม่พัง ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยมีตรงนี้ดีอยู่ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทรงที่ดี ความเสี่ยงใหญ่สุดคือ หนี้ครัวเรือน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจพัง ตลาดไทยตอนนี้ราคาสมเหตุสมผล ถ้ามีระยะเวลาถือครองได้ยาว ก็ยังไม่ต้องออกจากตลาดหุ้น ดีกว่าพยายามจะทำเงินด้วยการเข้าออกบ่อยๆจะเสียโอกาส คุณวัชระ รอวันที 9 พ.ค. ก็จะรู้ว่าสูตรออกแบบไหน รู้ว่าขั้วไหน นายกฯก็จะเป็นคนที่สว.เลือก ในมุมนักเทคนิค วิ่งไปตีเป็นรอบ ตำรวจมาก็วงแตก ถ้าผ่าน downtrend line 1685 คนที่อั้นมานานก็จะกลับมาบ้าง รวมถึง msci ทำให้ sentiment ต่อออกไป หลัง 31 พ.ค. น่าจะเป็นวันสุดท้าย หุ้นก็เลือกเอาว่านโยบายกระตุ้นอะไร สิ่งที่กลัวและหลอนอยู่คือ invert yield curve โดยเฉลี่ยเมืองนอกนิยมคำว่า sell in May and go back again September มีเก็บสถิติ 40 ปี จะกำไร 5600% แต่ใครซื้อ May ขาย Sep ติดลบ 4% คุณวิน เห็นด้วยกับหลายท่าน ระยะสั้นการเมืองมีผลไม่มากนัก Bloomberg ประกาศว่าไทยมีความทุกข์ยากต่ำสุดในโลก อัตราว่างงานต่ำ,เงินเฟ้อต่ำ ต่างชาติเค้ามองไทย สถาบันการเงินเข้มแข็ง ดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่าในภูมิภาค เงินบาทแข็ง คนซื้อพันธบัตรมีความเชื่อมั่น เราคงไม่อยากเห็นการประท้วงอีก อยากเห็นการเติบโต อเมริกาเป็นประชาธิปไตย แต่ผู้นำห่วย เศรษฐกิจดี เงินเฟ้อต่ำ อัตราจ้างงานต่ำ ส่งเสริมคนเก่ง IT ส่งเสริม startup จึงบูม มีหลาย sector ที่แผ่ว IT ดีการจ้างงานดี บริโภคดี จีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ผู้นำเก่ง แก้ปัญหาอสังหา, shadow banking ปรับประเทศพึ่งพาภาครัฐมาในประเทศ ส่งเสริม IT ในจีนคนทำ startup fail มีจ้างงานทำ ประเทศไทย บ้านเราคนไม่กล้าทำ startup กลัวไม่มีงาน จุดเสียเรื่องหนี้ครัวเรือน เรามีภาครัฐที่ใหญ่ไป อุ้ยอ้าย ไม่มีประสิทธิภาพ ดร.นิเวศน์ รัฐบาลที่กำลังหมดอายุต้องรีบแบ่งเค้ก ขึ้นรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรง ออกนโยบายต่างๆเพราะไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นเรื่องเป็นราวยาว เพราะมัวแต่แบ่งเค้ก คิดว่าค่าแรงจะมาก่อน เพราะแรงงานได้เยอะ เลือกตั้งใหม่ ประชานิยมจะออกรวดเร็ว แม้โดยรวมประเทศจะเหมือนๆเดิม ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ พี่หมอเค และ ทีมงาน Moneytalk ทุกท่านในการจัดงานขึ้น ขอบคุณและแขกรับเชิญทุกท่านที่ให้สาระประโยชน์ ทั้งข้อมูลบริษัท และให้มุมมองทั้งในเลือกการลงทุนและเศรษฐกิจ,การเมือง หากผมเข้าใจผิดพลาดหรือบกพร่องไปอย่างไร ขออภัยไว้ด้วยครับ สามารถติดตาม VDO สัมมนาฉบับเต็ม ได้ทั้งทาง internet Facebook,Youtube และ TV Digital ช่อง 19 Spring News Moneytalk@SET ครั้งต่อไป อาทิตย์ 12 พ.ค. จอง เสาร์ 4 พ.ค.62 หัวข้อ 1 สัมภาษณ์ 3 บริษัท – SAWAD,อีก 2 บริษัทอยู่ระหว่างยืนยัน หัวข้อ 2 สัมมนาเกี่ยวกับหุ้นและการเมือง (อยู่ระหว่างเชิญแขก 4 ท่าน)
โดย
i-salmon
จันทร์ เม.ย. 22, 2019 1:10 am
0
3
Re: MoneyTalk@SET3/3/62อาชีพการเงิน&VIรุ่นกลาง-ใหญ่มองหุ้นไท
ช่วงที่ 2 “วีไอรุ่นกลางใหญ่มองหุ้นไทยปี 62” 1) คุณ ชาย มโนภาส / นายกสมาคมไทยวีไอ 2) คุณ เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ / อดีตวาณิชธนากร นักลงทุนวีไอ 3) นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์ / อดีตกรรมการสมาคมไทยวีไอ 4) คุณ ทิวา ชินธาดาพงศ์ / นักลงทุนวีไอ 5) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ร่วมให้ความเห็นและวิเคราะห์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ เปิดด้วยกลอน อ.เสน่ห์ มองหุ้นไทย ปีหกสอง มองให้ขาด รุ่นกลางใหญ่ วีไอศาสตร์ ฉลาดเห็น จะผันผวน พุ่งผงาด สาดกระเซ็น กลุ่นไหนเด่น กลุ่มไหนดับ จับตาดู นายกไทย วีไอ ใจองอาจ คือคุณชาย มโนภาส เก่งกาจรู้ เฉลิมเดช ผู้มีเชาว์ เขามีครู จากไอบี ผันสู่ ชูวีไอ เป็นหมอสูติ รู้ลงทุน หุ้นที่รัก คือหมอเค ศุภศักดิ์ รุ่นกลางใหญ่ มี่ทิวา ชินธาดาพงษ์ คนตรงใจ วินมอไซค์ ขายหมูยอ ขอลงทุน ต้นกำเนิด เกิดวีไอ ชายรางน้ำ เคยผ่านซ้ำ ทำงานเจ๊ง เล็งเล่นหุ้น เคยคบซ้อน ก่อนขายทิ้ง วิ่งชุลมุน เซียนนิเวศน์ เหนือรุ่น หุ้นตีแตก เหล่าหมอยา ท่าโฉลง ฟันธงหุ้น จะได้ลุ้น กันแค่ไหน ไม่ปอดแหก บอกบทเรียน เปลี่ยนกลยุทธ์ จุดจำแนก จะว่ายแหวก ฝ่าหุ้นไทย กำไรงาม มองหุ้นไทยปีนี้อย่างไร? มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลสำคัญ? คุณชาย มีคำถามให้ชวนคิดก่อน 1) คิดว่าคนเราสุขภาพดีขึ้นหรือแย่ลงเทียบกับ 40-50 ปีที่ผ่านมา? (แสดง Slide) แม้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าสุขภาพแย่ลง หรือมีมลพิษ แต่ข้อมูล Life expectancy (อายุขัยเฉลี่ยที่คาด) เพิ่มจาก 55 เป็น 75 ปี 2) หลังต้มยำกุ้ง 1997 จบถึง 2019 มีปีไหนที่เศรษฐกิจไทยเติบโตดี? (แสดง Slide) เราจะรู้สึกกันว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยไม่มีปีไหนดี จากข้อมูลกราฟราคาหุ้นไทยตัว#1 เทียบกับหุ้น Amazon ซึ่งแม้จะลงทุน R&D มากกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปีในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้น 25 เท่า แต่หุ้นไทยตัว#1ตัวราคาเพิ่มขึ้นแพ้ amazon นิดเดียว หรือมีบางช่วงก่อนหน้าที่ขึ้นมากกว่า amazon อีก และไม่ได้เป็นหุ้น technology ด้วย ถ้าเป็นคนไทยลงทุนหุ้นไทยเมื่อ 15 ปีก่อนถือจนวันนี้กำไรมากกว่า เพราะค่าเงินบาทวันนั้น 40 บาท/usd แต่วันนี้ 30 กว่าบาท/usd รวมถึงมีปันผลด้ว (แสดง Slide) หุ้นไทยตัว#2 หลัง hamburger crisis ถ้าถือหุ้นตัวนี้กำไร 9 เท่าถ้าถือ Microsoft กำไร 5 เท่า ลองนึกดูว่ามีปีไหนที่เศรษฐกิจไทยดีไหม? หุ้นไทยทั้งสองตัวนี้ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีระดับโลก คนทั่วไปก็สามารถเข้าใจธุรกิจได้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญของนักลงทุนคือการหาโอกาส ปัญหามีตลอด ไม่ว่ากี่ปีลองมองย้อนกลับไป โอกาสลงทุนมีเสมอ เราไม่จำเป็นต้องลงทุนบริษัทที่สร้างจรวดไปดาวอังคารก็ได้ ซึ่งไอเดียจากการอ่านหนังสือ factfullness นี้เล่าให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มองว่าโลกแย่ลง แต่หนังสือบอกว่าที่จริงโลกดีขึ้น โดยอ้างสถิติจาก world bank/UN ถ้าถามว่าตลาดหุ้นปีนี้เป็นอย่างไร ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนทุกปี แต่โอกาสมีเสมอ อยากให้เปิดใจให้กว้าง สิ่งที่ควรทำคือการหาโอกาสในการลงทุน ถ้า 15 ปีก่อนมัวแต่กังวล เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไร เราจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นแบบในตัวอย่างที่ยกให้ดูข้างต้น ปีนี้ปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นได้ดีมาก จะมีสิ่งหนึ่งในโลกที่หายากขึ้น คือ yield ในการลงทุน ดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไปนานพอสมควร ดังนั้น yield ที่สูงกว่า 3% ขึ้นไปจะเป็นที่ต้องการตลาดโลก และมองหาค่าเงินที่มีเสถียรภาพ ซึ่งถ้าเกิดกรณีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้ดี ถึงแม้ไม่เกิดประเด็นนี้ แต่ตลาดหุ้นไทยก็สามารถสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ลงทุนจำนวนมาก คุณเชาว์ เฉลิมเดช ที่ผ่านมาโลกมีปัจจัยใหม่ที่เกิดขึ้น คือ QE หลายคนยังไม่เข้าใจมันคืออะไร QE เป็นการพิมพ์เงินออกมา รัฐบาลกลางเอาเงินออกมาซื้อ asset เช่น พันธบัตร, สินเชื่อเกี่ยวกับบ้าน คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่ามีขนาดใหญ่มาก อเมริกาทำ QE 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือยุโรป หรือญี่ปุ่นก็ทำใกล้เคียงกัน ถ้าเอาตัวเลขนี้ไปเทียบกับเงินทุนสำรองที่มากสุดในโลกอย่างประเทศจีน ซึ่งมีที่สะสมอยู่ 30 ปีคือ 3 ล้านล้านดอลลาร์ จากคนเป็นหลายร้อยล้านคน แต่อเมริกา,ยุโรป ฯลฯ ใช้เวลา 3-4 ปี พิมพ์เงินออกมามากกว่าที่จีนทำมา 30 ปี การเกิดขึ้นของ QE จะทำให้สินทรัพย์ทุกชนิดสูงขึ้น ทุกคนจะรู้สึกว่าทุกอย่างแพงขึ้น ถ้า QE มาหุ้นขึ้น QE ถอยไปหุ้นตก มันไม่มีในหนังสือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ แล้วต่อไปตลาดจะเป็นอย่างไรหากพิมพ์ QE ต่อไม่ได้... สมัยก่อนการพิมพ์เงินเยอะทำไม่ได้เพราะเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นสูง แต่ตอนนี้กลับพิมพ์เงินแล้วเงินเฟ้อไม่ขึ้น เพราะเงินไม่ได้ไหลเข้าไปสู่คนหมู่มาก เงินไปอยู่ที่สถาบันการเงิน อยู่ที่คนฐานะดี เกิดเป็นโลก 2 ใบ สินทรัพย์ทั่วโลกราคาขึ้น แต่สินค้าชีวิตประจำวันต่างๆ ราคาไม่ค่อยขึ้น ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้น คือ 1) จีน เข้ามาในเศรษฐกิจทุนนิยม คนหลายร้อยล้านคนเข้ามาผลิต เกิด economy of scale ต้นทุนถูก สินค้าถูกลงเรื่อยๆ คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ 2) การเกิดขึ้นของ semi conductor หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโลกมี ประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเมื่อก่อน 4 หมื่น สมัยนี้ไม่ถึงหมื่น เครื่องบินสมัยนี้ใช้น้ำมันน้อยลง 30% ใช้วัสดุที่เปลี่ยนไป หรือการเกิดขึ้นของ e-commerce ตัดคนกลางยี่ปั๊วะ/ซาปั๊วะ ราคาสินค้าจึงถูกลง ต่อไปก็จะมีการเกิดขึ้นของ AI หรือ robotics อย่างต้นทุนคน 30-40% ของสินค้า พอไม่มีคน สินค้าถูกลงไปเรื่อยๆ อีก ถ้า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง รัฐบาลก็ต้องใช้ QE ต่อไปเรื่อยๆ ในภาพยาว 20-30 ปี ระยะสั้นถ้าเกิด วิกฤติ หรือหุ้นแพงไป หุ้นก็จะตกลงมา แต่คิดว่าไม่น่านาน เพราะก็มี QE เพิ่มเข้ามาได้ อีกเรื่องหนึ่งคือ เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้ความแตกต่างระหว่างชนชั้นห่างออกไปเรื่อยๆ เพราะสินทรัพย์มูลค่าเพิ่มขึ้น แต่คนที่ถือครองสินทรัพย์มีแต่คนรวย คุณทิวา คุณเเชาว์อธิบายภาพใหญ่และระยาวแล้ว ขอเทียบลงมาระยะสั้นกับปีก่อนให้ฟัง สินทรัพย์ทุกประเภทขาดทุนหมด รวมทุนตราสารหนี้ ไม่เคยเกิดมาก่อน ปีที่แล้วเริ่มต้น Trailing PE 17 เท่า ด้วยความคาดหวังสูง ว่าจะเติบโต ซึ่งออกมาจริงไม่เป็นอย่างนั้น มีข่าวเกี่ยวกับ QE อเมริกาถอนออกทุกเดือน และดอกเบี้ยก็เป็นขาขึ้นทั้งปี ปีนี้เริ่มต้นด้วย Trailing PE 14 เท่า คนจะมองแง่ร้าย แตกต่างจากปีก่อน QT จะไม่เร็วเหมือนก่อน เงินเฟ้อก็ชะลอตัว คาดหวังว่าดอกเบี้ยขาขึ้นจะสิ้นสุดแล้ว เรื่อง trade war อ่านข่าวทรัมป์กับสีเจี้ยนผิงทุกวัน คิดว่ามาถึงจุดที่พีคสุดไปแล้วคือขับ CFO ของหัวเหว่ย มองว่าสถานการณ์จะเริ่มผ่อนคลายขึ้น เริ่มมีตัวเลข มีการต่อรอง น่าจะเป็นจุดที่คลี่คลาย ล่าสุดจีนบอกว่าจะซื้อของอเมริกา 1 ล้านล้านดอลลาร์ใน 6 ปี ซึ่งอเมริกาก็ขอต่อรองเป็น 4 ปี เป็นจุดที่มีพัฒนาการ ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหุ้นดีกว่าปีก่อนพอสมควร แต่จากประสบการณ์ลงทุน เราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการวิเคราะห์พวกนี้ถูกหรือผิด หัวใจหลักคือเราสามารถลงทุนในหุ้นที่ undervalue ได้จริงๆ หรือเปล่า สาเหตุที่เราขาดทุนเพราะไปซื้อหุ้น overvalue สิ่งที่สำคัญคือต้องค้นหาหุ้นที่ดี และ valuationให้ได้ เราจะ valuation ได้ เกิดจากการที่เราเข้าใจว่าจะเกิดอะไรกับหุ้นนี้ เหมือนกับหุ้นเครื่องสำอางค์มันไม่ได้พลาดเป้า แต่ไปคนละทิศทางเลย มันต้องเกิดจากความเข้าใจ มันสำคัญมากกว่าการคาดการณ์ว่าดัชนีรวมจะขึ้นหรือลง หมอเค นพ.ศุภศักดิ์ SET Earning Yield gap ล่าสุด 3.3% (ส่วนกลับของ PE) โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ EYG จะอยู่ที่ 5% คือพุ่งขึ้น และ SET index ลดลง ถ้ามองแง่ดี อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอดีตจะไม่ขึ้นทีมากๆต่อเนื่อง ยกเว้น ช่วงก่อน subprime เคยขึ้นทีเดียว 20% และเจ๊งทั้งโลก คงไม่กล้าทำแบบนี้อีก การซื้อขาย นักลงทุนต่างชาติ มีเม็ดเงิน LTF เป็นปีสุดท้ายของมาตรการ ปกติสิ้นปีจะมีเงินใหม่เข้าซื้อราว 2 หมื่นล้าน และเงินเก่าหมดอายุราว 7 หมื่นล้าน ถ้าไม่มีมาตรการ เงินจะหายไป 1 แสนล้านบาทในตลาดหุ้น พอเดือน ม.ค. มีคุยกันตอนเลือกตั้ง ว่าจะต่อมาตรการ LTF จึงคิดว่าความกังวลนี้ก็อาจหายไป หุ้นในตลาดก็มีคนมองเรื่องความถูกแพงมากกว่าเดิม มีบางช่วงที่ตลาดให้ราคาเรื่องการเติบโต แต่ตอนนี้หุ้นตัวไหนลงเยอะก็ยังเด้งกลับไปไม่เยอะ จึงคิดว่าตลาดช่วงนี้อาจจะให้โอกาสกับนักลงทุน VI ที่ประเมินมูลค่ากิจการได้ดี การประเมินความกลัวมี 2 แบบ คือ - Fear of Miss Opportunity(FOMO) กลัวตกรถ จะมาฟังว่าวิทยากรพูดตัวไหน ของต้องมี ถ้ารู้สึกแบบนี้จะนำไปสู่โอกาสขาดทุนมากขึ้น - กลัวการขาดทุน พอเราขาดทุนก็จะ cut loss ในช่วงที่หุ้นตกต่ำสุด ถ้าจะบริหาร 2 อย่างนี้ก็ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพิ่งดูหนังเรื่อง The mist เกี่ยวกับการเผชิญสัญชาตญาณของคน ในเรื่องมีหมอกเกิดขึ้น ก็มีคนหลายแบบที่พยายามหนี หรือรับมือ สักพักพอเริ่มมีคนตายความกลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้น พระเอกเป็นคนเก่งมาก เป็นผู้นำวางแผนให้รอดวิกฤติจนผ่านเรื่องยากๆมาได้หลายอย่าง จนหนีออกมาได้ก็นึกว่าจะพ้นความลำบากสุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ จึงตัดสินใจฆ่าทุกคนไปหมดเลย เปรียบเทียบเหมือนเวลาที่หุ้นตกถึงขีดสุดแล้วก็ขายทิ้งหมด ดร.นิเวศน์ สถานการณ์ตอนนี้มองว่าลงทุนระยะยาวสมเหตุสมผล ลงทุนในหุ้นได้เทียบกับการลงทุนอื่นก็ยังดีกว่า หุ้นกู้ผลตอบแทนก็ยังไม่คุ้ม หากดอกเบี้ยขึ้นหุ้นกู้จะลดลงด้วย หุ้นราคาปรับขึ้นตามพื้นฐานส่วนหนึ่ง อาจจะราว 30-40% แต่ขึ้นตามจิตวิทยา 60% ในปีหนึ่งพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเท่าไร แต่ราคาหุ้นแกว่งขึ้นลงตามจิตวิทยา โดยเฉพาะถ้ามีปัจจัยที่รุนแรงหุ้นก็ตกฮวบ หรือขึ้นแรงได้ ถ้าเราซื้อหุ้นแล้วมีปันผล มั่นใจว่าหุ้นนี้ยังมีความสามารถแข่งขันที่ดี อยู่ได้นาน ไม่ต้องกลัว เพราะราคาหุ้นแกว่งเกิดขึ้นไม่นาน แล้วก็จะกลับมาตามพื้นฐาน ปันผลคิดว่าสำคัญ ถ้าได้ 4-5% และเป็นธุรกิจไม่ได้ถูก disrupt อย่างเช่น TV ก็น่ากังวล ส่วนตัวเป็นคนชอบดู TV ทุกวันนี้ก็เริ่มตามไม่ทัน ดู TV น้อยลงไปเยอะ หุ้นที่จะถูก disrupt ต้องตัดทิ้ง ต้องมั่นใจว่า 3-5 ปี ไม่มีใครมาทำลายได้ เป็นผู้นำที่อยู่ได้มีการเติบโต มีกำไรอยู่ได้ มีปันผลให้ดีพอสมควร ชอบไม่ชอบหุ้นกลุ่มไหน? คุณชาย มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเมื่อไตรมาส 4 ปี 61 ปกตินักลงทุน VI ชอบแบรนด์แข็งแกร่ง มีการซื้อซ้ำ สินค้าอุปโภค บริโภค เป็นที่ชื่นชอบ ยิ่งถ้ามีเซียนหุ้น VI เข้าไปถือจะสร้างความร้อนแรงได้ดีมาก ซึ่งตัวอย่างคือหุ้น Kraft Heinz ซึ่งโดย take over จากบริษัท 3G capital เมื่อปี 2015 ผ่านไป 3 ปีมูลค่าหายไป 50-60% อยากให้ลองหาอ่านดู มีบทความในนิตยสาร ฟอร์จูนเมื่อปลายปี เขียนไว้เรื่อง investor evaluation เรื่อง life and death ของ value investor ผ่านมา 3 cycle ตั้งแต่ เบน เกรแฮม,วอรเรน บัฟเฟตต์ จนเข้ามาถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งบัฟเฟตต์สร้างความมั่งคั่งจาก cycle ที่ 2 จากหุ้นที่ชอบ เช่น P&G,Kraft-Heinz, Gillette, Duracell กิจการเหล่านี้เกิดจากได้ market share ระดับหนึ่ง ทุ่มเงินซื้อสื่อทีวีมหาศาลเพื่อครองใจอันดับหนึ่งของผู้บริโภค สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เดี๋ยวนี้คนดู TV น้อยลง คนรับสื่อที่เป็น digital มากขึ้น เกิดเป็น segmentation/Sub-segmentation เมื่อก่อนของเราซื้อตามคนส่วนใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้เกิดเป็น niche market จำนวนมาก ทำให้บริษัทใหญ่เสียความสามารถแข่งขัน ผู้ผลิตสินค้าใหม่ เกิดขึ้นได้ ตอบคำถามว่ากลุ่มไหนน่าสนใจ เราจะเคยมีความเชื่อในอดีต แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว และสิ่งที่พูด วอร์เรน บัฟเฟตต์ก็พูดเองว่าเสียดายที่ไม่ซื้อ google และยกย่อง Jeff Bezos ว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก สามารถสร้างธุรกิจ amazon ที่เป็นค้าปลีก และ cloud computing ให้ประสบความสำเร็จระดับโลก ซึ่งมี CEO น้อยคนที่ทำได้ในยุคนี้ ธุรกิจสมัยใหม่ ใช้เงินทุนน้อยมาก เช่น Airbnb เกิดปี 2007-2008 เจ้าของบริษัทไม่มีอะไร แต่มีความเชื่อในธุรกิจตัวเอง ตอนนี้ Airbnb มีจำนวนห้องมากกว่าโรงแรม Marriott ใช้เวลาเพียง 10 ปี โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างบริษัทของตัวเอง ลองศึกษาดูว่า บางกลุ่มที่ VI มีความเชื่ออย่างมาก ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ไหม? ถ้าไปศึกษา annual report ของ เบิร์กไชส์ ซื้อหุ้น oracle เมื่อ Q3/18 ขายทิ้งหมดใน Q4/18 ตอนนี้เบริกไชส์เพิ่งซื้อหุ้น Red Hat เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ แม้หุ้นเหล่านี้บัฟเฟตต์อาจไม่ได้ตัดสินใจเอง แต่กำลังให้เห็นว่าการลงทุนเบริกไชส์เปลี่ยนไป มี Slide ให้ดูว่าหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกับ Kraft-Heinz ตั้งแต่ 2015 ราคาหุ้นลงมา 51% แต่Nestle ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ราคาขึ้นไป 32% ดังนั้นก่อนจะบอกว่าอุตสาหกรรมไหนดี เราก็ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี เพราะก็มีตัวที่ดีและไม่ดีในกลุ่ม หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ มองว่าเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้คงไม่ร้อนแรงมาก มันเติบโตจากหนี้ที่เพิ่มขึ้น เพราะใส่เงินเข้าไปในระบบ แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพการลงทุนดีขึ้น ตอนนี้ใส่เงินเข้ามาเต็มที่แล้ว จะโตต่อไปคงยาก - กลุ่มที่น่าสนใจ เป็นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน เติบโตไปได้เรื่อยๆ แต่มีต้นทุนลดลง เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาโภคภัณฑ์จะลดลง บริษัทพวกนี้จะได้ประโยชน์ Profit margin จะเพิ่มขึ้น - ถ้าหากวันดีคืนดี ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นอีก หรือถ้าเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น กลุ่มที่น่าสนใจคือสร้างการเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก low capital intensive - กลุ่มท่องเที่ยว : แบ่งกลุ่มประเทศในโลกเป็น 4 กลุ่ม โดยกลุ่ม 4 คือประเทศรายได้สูง ยุโรป อเมริกา คนจะเดินทางอย่างน้อยเฉลี่ย 1 หมื่นไมล์ (บินข้ามทวีปเอเชีย-ยุโรป ประมาณหมื่นกว่าไมล์) ต่อไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะมีหลายประเทศกลุ่มรายได้ปานกลาง จะขยับมาเป็นรายได้สูง คือ จีน หรือในอนาคตอย่างอินเดียต่อไปก็จะขยับขึ้นมา ซึ่งการท่องเที่ยวคนจะนึกถึงโรงแรม อยากให้ลองศึกษาลองนึกดูให้ ดีก็มีหลายอย่างไม่ได้มีแค่โรงแรม คุณเชาว์ Theme 1 มอง Chinese tourism เพราะเศรษฐกิจโต และมีคนยังไม่มากที่มี passport ช่วงแรกนิยมมาเที่ยวคือ ไทย ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น เราก็จะได้ประโยชน์ จากตรงนี้ Theme 2 มอง AEC ยังดีอยู่ แม้ตอนนี้จะเงียบๆไป ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มพัฒนา มีรายได้มากขึ้น คุ้นเคยกับสินค้าไทย หลายบริษัทออกไปขายต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้ขายปีสองปีแล้วจะดีขึ้นมา ต้องใช้เวลา 4-5 ปีขึ้นไป Theme 3 ความเปลี่ยนแปลง ในโลกจากนี้ไปอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ถ้ามองไม่ดีมันก็ทำให้คาดการณ์ยาก แต่ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง คนที่อยากรวยก็จะรวยยาก สมัยเกรแฮม ดู PBV ถูกๆ ก็ใช้ได้ ทุกคนคิดเลขเป็นเหมือนกันก็เริ่มไม่ work สมัยบัฟเฟตต์คนก็เริ่มมาดู Quality/DCA ดูความสามารถการแข่งขัน ซึ่งมาดูระยะหลัง เบิร์กไชส์ก็ไม่ได้ชนะตลาดเยอะ พอเป็นยุคที่ 3 คือการดู DCA เริ่มไม่ work ธุรกิจใหม่ๆ เป็น platform base อย่าง Alibaba, facebook, Instagram ทำให้การแข่งขันสูงมากในทุกอุตสาหกรรม สมมติถ้าเดิมขายไอศครีม เป็นวอลล์ ก็ขายได้นำตลาดอยู่อย่างนั้น สมัยนี้ถ้ามีไอเดีย จะจ้างใครทำก็ได้ แล้วมาโฆษณาในช่องทางที่ไม่แพง ก็ขายชนะเข้ามาได้ ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็อาจเป็นคนมี platform หรือ ได้ประโยชน์จาก platform คุณทิวา 1) Theme สังคมผู้สูงอายุ เราก็กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aging society >>Aged society) ธุรกิจวันนี้แค่เติบโต หรือต้นทุนต่ำคนอื่นไม่พอ มีคนเลียนแบบตลอดเวลา ต้องมี business model ที่ทำให้เกิด switching cost ขึ้น อย่าง โรงพยาบาล มีลักษณะแบบนั้น การจะเปลี่ยนจากหมอคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง มีต้นทุนที่ไม่อยากเปลี่ยน ทำให้ Price จะโตขึ้นได้ รวมถึงปริมาณคนไข้ก็จะเติบโตขึ้นได้ เรามีจำนวนแพทย์ต่อประชากร หรือจำนวนเตียงเทียบกับที่อื่นในโลกต่ำกว่ากันเป็นเท่าตัว รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพเราที่ผ่านมาก็ต่ำ อาจเป็น theme หนึ่งที่ถือยาวๆ ได้ ถ้า PE ซักสิบกว่าเท่า หมอไทยก็มีความสามารถในการแข่งขันสูง 2) Theme Technology กลุ่มนี้จะมองยาก เช่น ผลจาก 5G mobile operator อาจไม่ได้ประโยชน์เท่าไร แต่อาจมี segment ที่ได้ประโยชน์ คนขาย hardware อาจจะได้ประโยชน์ หรือคนให้บริการโครงข่ายอาจได้ประโยชน์ 3) Theme คนยุค Millennials (คนอายุ 18-35 ปี) เป็นคนที่ใช้จ่ายในยุคนี้มากที่สุด มีพฤติกรรมไม่เหมือนคนยุคก่อนที่เป็นคนรุ่นก่อน ใช้ 40 เก็บ 60, Gen X ใช้ 70 เก็บ 30 คน Millennials หา 100 ใช้ 120 งานหลักคือกิน กับเที่ยวต่างประเทศ และ 10 ปีนี้เป็นช่วงการโอนถ่าย wealth จากรุ่นก่อนหน้า อย่าง อสังหาฯ คนยุคก่อนยอมซือห่างรถไฟฟ้าหน่อยถูกหน่อย คน millennial อยากได้เดินติดรถไฟฟ้า หรือตึกสวย โดดเด่น อย่างที่ญี่ปุ่น millennial ตีกอล์ฟน้อย สูบหรี กินเหล้าน้อย สนามกอล์ฟ บาร์ปิด พฤติกรรมเปลี่ยนอยู่บ้านดู Netflix สั่งอาหารออนไลน์ ถ้าภายใน 10 ปีข้างหน้าได้โอนถ่าย wealth จะยิ่งมีน้ำหนักกับการใช้จ่ายในโลกธุรกิจเยอะขึ้น หมอเค พูดเรื่อง theme กันแล้ว ขอฝากแง่คิดแทน 1) นักลงทุนต้องรู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ถ้ารับได้ไม่มาก อาจต้องเลือกพอร์ตที่แข็งแกร่ง ผลตอบแทนมั่นคง ถ้าอายุน้อยเสี่ยงได้มากขึ้น หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี จะมีความเสี่ยง หรือมีตำหนิบางอย่าง เวลาพลิกกลับมาเป็นกำไรจะให้ผลตอบแทนดีกว่า 2) หุ้นที่น่าสนใจคือราคาลงมาเยอะ จากการที่ตลาดลงโทษหุ้นมากเกินไปในปีที่แล้ว ถ้าประเมินกำไรแล้วให้ผลตอบแทนคุ้มค่าไหม 3) หุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันดี เติบโตจากการแย่งตลาด หรือขนาดธุรกิจใหญ่ขึ้น อย่างในช่วง Subprime ก็มีหุ้นที่ราคาแทบไม่ลงเลย คือ ฟาร์มเฮ้าส์ อยากให้ลองคิดดูว่ามีจุดเด่นอะไร เขามีอำนาจต่อรองวัตถุดิบดีมาก คุมโลจิสติกส์ได้ ราคาแป้งขึ้น 100% แต่กำไรลดลงนิดเดียว คนกังวลเรื่องราคาวัตถุดิบขึ้น เซเว่นเอาขนมปังมาวางแข่ง ทุกวันนี้เขาก็ยังขายได้อยู่ และยังเติบโตอยู่บ้าง ประเด็นคือ ถ้าหาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันได้ก็น่าจะทนทาน ผ่านการเกิดปัญหาได้ 4) มีโซน simulation อยู่ตรงข้ามที่ห้องสมุดมารวย น่าสนใจให้จำลองสถานการณ์ในอดีตว่า ถ้าถือหุ้นตัวนี้ไปแล้วเป็นอย่างไร ทำให้เราได้ลองรับรู้ประสบการณ์ ดร.นิเวศน์ คิดว่าตอนนี้ต้องเล่นหุ้นน่าเบื่อ ไม่หวือหวา ราคาไม่ค่อยขึ้นไม่ค่อยลงเยอะ จนคนเบื่อขายทิ้ง Volume ก็ไม่ได้สูงมาก แต่ขึ้นลงช้ามาก หรือไม่ก็เรียกหุ้นเต่า คุณสมบัติ - มี stability สูง ผลประกอบการ 4-5 ปีไม่ขึ้น แต่ไม่ลง แกว่างขึ้นลง 10-15% - 2-3 ปีที่ผ่านมา มีปันผลสูง - ราคาหุ้นถูก ดู PE ratio ไม่เกิน 10 เท่า หรือเกินไม่มาก - ราคาหุ้นย้อนหลังก็ไม่ค่อยขึ้นลง - ความสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรม อันดับ 1-2 ไม่ใช่บริษัทที่แข่งขันไม่ได้ - ธุรกิจไม่ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี เช่น ขายอาหาร ยังไงก็ต้องกิน , software ที่อาจถูก e-commerce ทำลายไม่ดี - มีโอกาสเติบโต 5-10% ในระยะยาวไม่มีบริษัทไหนเติบโตได้เยอะ พวกที่โตได้เร็วมีแต่ hitech พวกของกินของใช้ โค้ก,ไฮนส์ หุ้นสมัยเก่าไม่มีโตเร็ว - ปันผลได้ 4-5% ขึ้นไป ตอนนี้ต้องเป็นโหมดน่าเบื่อบ้าง โหมดน่าตื่นเต้น พอถึงจุดเศร้าก็ลงเลย ธุรกิจบางอย่างมันก็กินใช้กับมาเป็น 10 ปีแล้ว มันไม่ได้โตเร็ว หรือการขยายตัว สุดท้ายก็ทำได้ไม่จริง ปิดท้าย ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk ในการจัดงานขึ้น และแขกรับเชิญทุกท่านที่สละเวลามาแบ่งปันประสบการณ์และให้ไอเดียดีๆในการลงทุน หากมีความผิดพลาดอย่างไรในการจดขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ สามารถติดตาม VDO สัมมนาได้ทาง Facebook,Youtube และช่อง 19 Spring News Moneytalk@SET ครั้งถัดไป วันอาทิตย์ 21 เม.ย.62 / เปิดจองเสาร์ 13 เม.ย.62 หัวข้อ 1 สัมภาษณ์ผู้บริหาร 3 บริษัท หัวข้อ 2 การเมืองกับหุ้นไทย (หลังเลือกตั้งแล้ว) – ดร.สมชาย ภคภาควิวัฒน์, คุณวัชระ แก้วสว่าง,ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร,คุณวิน พรหมแพทย์, ดร.Andrew Stotz
โดย
i-salmon
อาทิตย์ มี.ค. 03, 2019 10:52 pm
0
12
Re: MoneyTalk@SET วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562
ขอบคุณครับ วันนี้มาเข้าค่าย ได้อ่านสรุปตอนค่ำพอดีเลย :idea:
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.พ. 04, 2019 12:35 am
0
2
Re: MoneyTalk@SET12/1/62เศรษฐกิจโลก/ไทย&แนวโน้มหุ้นปี62
ช่วงที่ 2 “แนวโน้มหุ้นไทยในปี 62 กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่น” แขกรับเชิญ 1. คุณ ไพบูลย์ นลินทรางกูร / บล.ทิสโก้ 2. คุณ มนตรี ศรไพศาล / บล.เมย์แบงค์กิมเอ็ง 3. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ไทยวีไอ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ มองหุ้นไทยปี 62 อย่างไร? คุณไพบูลย์ มองว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ปีที่ผ่านมาหุ้นปรับตัวแย่ลงทั่วโลกเพราะนโยบายการเงินอเมริกา ขึ้นดอกเบี้ยเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเศรษฐกิจโลกร้อนแรง ธนาคารกลางมีหน้าที่ทำให้เศรษฐกิจไม่ดีไม่แย่เกินไป ปีที่แล้ว อเมริกาไตรมาส 2 โต 4% กว่าถือว่าร้อนแรง ทำให้ FED ต้องขึ้นดอกเบี้ย เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะร้อนแรงไปแค่ไหน ตลาดหุ้นก็มักจะไม่ชอบถ้าดอกเบี้ยขึ้นเยอะมากเกินไป ขณะเดียวกับก็เป็นปีแรกที่่มีการดึงสภาพคล่องออก ก็ดำเนินการตามนั้นโดยไม่ได้สนใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เหตุผลรองคือทรัมป์หาเรื่องกับประเทศต่างๆ ปี 62 ที่มองว่าตลาดหุ้นจะดีกว่าปีก่อน เพราะเศรษฐกิจโลกไม่โตร้อนแรงเกินไป คือโตตามศักยภาพประเทศนั้น หรือดีกว่านิดหน่อย FED คาดอเมริกาโต 2.5-3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพของอเมริกา เศรษฐกิจโลกก็มองว่าไม่ได้แย่ แต่จะลดความร้อนแรงลง ไทยคาดว่าโต 3% กว่า ซึ่งเป็นระดับเติบโตใช้ได้ตามศักยภาพ เชื่อว่าแบงค์ชาติก็จะไม่ต้องพยายามขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ผลประกอบการบริษัทในอเมริกาปีที่แล้ว บางไตรมาสโตเกือบ 30% ถือว่าร้อนแรงเกินไป แต่ปีนี้ทุกอย่างจะปรับกลับมาระดับเดิม ซึ่งระดับที่คาดการณ์ปีนี้คือ 7-9% ของไทยก็เช่นกัน จะกลับมาเป็นภาพเดียวกัน จึงไม่น่ากังวลด้านนโยบายการเงิน ตลาดคาดกว่า FED อาจจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หรือขึ้นแค่ 1-2 ครั้ง ค่าเงินดอลลาร์ มีทิศทางอ่อนลง เพราะการปรับเปลี่ยนแนวคิดนโยบายการเงิน แนวคิดปีก่อนที่ถอนเงินจากระบบ จะทำให้ ดอลลาร์จะแข็ง พอปีนี้ FED ขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด และเป็นปีแรกที่ ยุโรปเลิกทำ QE จะทำให้ค่าเงินยูโรมีโอกาสแข็ง และเยนก็จะเลิกทำ QE เช่นกัน เงินดอลลาร์จะอ่อนลง และเห็นแนวโน้มเงินไหลเข้า emerging market position ที่ถือโดยกองทุนต่างประเทศน้อยลงมา ธ.ค.ปีที่แล้ว เงินไหลออกจากตลาดมากกว่าช่วงเกิดวิกฤติเมื่อ 10 ปีก่อน ข้อดีคือ จะมีหุ้นน้อย ใน portfolio กองทุนทั่วโลก จึงมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาซื้อหุ้น (ปีที่แล้ว ไทยเงินขายออกเกือบ 3 แสนล้านบาท ) Valuation ทั่วโลกลดลงอย่างมาก ถ้ามองตลาดหุ้นไทย 1600 จุด น่าจะ pe ไม่ถึง 13 เท่า การเมืองในไทย โอกาสเลือกตั้งมีสูง ถ้าไม่เลือกก็ต้องใช้ ม.44 ต่างชาติไม่ได้สนใจจะเลือกวันไหน แต่สนใจว่าข้างหน้าจะไปอย่างไร ที่ผ่านมาจะรัฐบาลไหนเข้ามาบริหาร น่าจะมีแนวทางคล้ายกัน จะมีแค่นโยบายบางอย่างที่เอามาใช้ต่างกัน เชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามา ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก BREXIT deadline จะเกิดขึ้นสิ้น มี.ค.62 อาทิตย์หน้านายกต้องนำเสนอแผน และให้โหวต ซึ่งดูท่าทีรัฐสภาไม่ค่อยเห็นด้วย กรณีเลวร้ายคือออกมาแบบไม่มีแผนรองรับ กับอีกวิธีการคือขอเลื่อน deadline ออกไป ผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกหรือไทย คิดว่าไม่น่ามาก คุณมนตรี ปีที่แล้วมองต้นปีว่าตลาดดูดี เงินก็ยังร้อน ก็เลยเตือนว่าไตรมาส 1 OK หลังจากนั้นให้ระวัง ซึ่งเราก็เสนอให้ถือเงินสดค่อนข้างมาก ไตรมาสสุดท้ายคิดว่าใช้ได้ แต่สุดท้ายก็อาการค่อนข้างหนัก ปัจจัยโลกที่เปลี่ยนไปเรื่องใหญ่คือผู้นำโลก สมัยโอบามา เราติดตามข่าวน้อยกว่าทรัมป์เยอะ เพราะคาดการณ์ไม่ได้ นโยบายหลายเรื่องที่ทำมีผลกับ flow ของเงิน และตลาดหุ้น เช่น trade war, สร้างกำแพงอเมริกา เม็กซิโก, ลดภาษีให้กิจการในอเมริกา การเปลี่ยนฐานภาษี ส่งผลทันทีให้จ่ายภาษีลดลง และกำไรเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ภาษีลดลงในปีถัดไป ปีก่อนดอกเบี้ยก็มีการปรับขึ้น จากเดิมคาดไว้ 3 ครั้ง เป็น 4 ครั้ง จึงทำให้เงินไหลออกไปตลาดอเมริกา ปี 62 ตลาดพัฒนาแล้ว มีการเติบโต 2.4% ปี 62 เหลือ 2.1% ตลาดกำลังพัฒนา ปี 61 โต 5% และปี 62 เท่าเดิม ซึ่งจะกลับมามีความน่าสนใจ นโยบายขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะชะลอลง อาจจะไม่เกิน 2 ครั้ง ทิศทางดอลลาร์น่าจะอ่อนลง ค่าเงินบาทน่าจะแข็งขึ้น Trade war ผลกระทบเริ่มเป็นไปตามหลักการ ดัชนีการผลิตลดลงทั่วโลก คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลง ซึ่งที่จริงเที่ยวประเทศอื่นก็ลดลง ยอดแอปเปิลประกาศว่าไตรมาส 1 จะตกลงมา เพราะยอดจีนมีปัญหา ทิศทางราคาน้ำมัน หุ้นไทยผูกกับราคาน้ำมันมาก ต.ค.61 ราคาน้ำมัน 85 เหรียญ หลังจากนั้นพวก shale gas อะไรต่างๆก็ผลิตขึ้นมา ราคาก็รปรับลดลง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศเพื่อนบ้าน มาเลเซีย อัตราแลกเปลี่ยน 10 บาท ต่อริงกิต วันนี้ 8 บาท ยอดที่ไทยเหมือนจะคงที่ แต่แปลงเป็นริงกิตเติบโตขึ้น อินโดนิเซีย มีค่าเงินที่อ่อนลงจาก 12,000 เป็น 14,000 แต่ไทยเท่าเดิม ฟิลิปปินส์จาก 45 เป็น 52 โดยรวมถือว่าไทยแข็งแกร่งอยู่มาก ปีที่แล้วมมีศัตรูตลาดหุ้นสองตัว 1.ความไม่แน่นอน ภาพของตลาดหรือทิศทางไม่แน่นอนคนจะกลัว 2. ความกลัว ถ้าเรามองว่าหุ้นขยับเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ต้องกลับมาสู่ปัจจัยพื้นฐานและเลือกหุ้นให้ดี ดร.นิเวศน์ มองย้อนหลังไม่มีคนศึกษาว่าที่พูดมาปีหน้าเป็นจริงหรือไม่ บางทีพูดไว้ แต่พอมาถึงไม่เหมือนเลย การคาดการณ์โลกทำได้ยาก ไม่แน่นอน ปัจจัยก็มีมาก เศรษฐกิจดี หุ้นก็ลงได้ ตัวที่คิดว่ามีผลกับหุ้นคือ ดอกเบี้ย ถัดมาคือ ราคาหุ้น และความสามารถแข่งขันหุ้น ถ้าไปซื้อหุ้นแพงเกิน ดีอย่างไรก็ตก หุ้นโรงพยาบาลที่ราคาปรับลงทั้งกลุ่ม ซึ่งก็มีอีกหลายๆกลุ่มที่ลงทั้งกลุ่ม น่าจะเพราะมันแพงเกินไป เวลามาฟังผู้เชี่ยวชาญอย่าเอามากำหนดวิธีการลงทุน 1) เขาอาจจะผิด 2) สิ่งที่เขาคิดถูก แต่หุ้นมันสวนกระแส แนะนำหุ้นกลุ่มไหน หุ้นไหนน่าสนใจ คุณไพบูลย์ คิดว่ากลุ่มที่น่าลงทุนคือกำไรต้องชัดเจน 1) ธนาคาร ชัดกว่าปีที่ผ่านมา หนี้เสียยังมี แต่ระดับกันสำรองเพิ่มขึ้นมามาก ทำให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ทิศทางดอกเบี้ยอาจจะนิ่งหรือขึ้นเล็กน้อย แต่มองเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเป็นผลบวกกับธนาคารที่มี อัตรากำไรดีขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาตกลงมาก ดู PBV หลายธนาคารอยู่ประมาณ 1 เท่า ในช่วงเศรษฐกิจดี หลายธนาคารซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2 เท่า วันนี้ต่างชาติถือหุ้นไทยน้อยมาก เวลากลับเข้ามาจะชอบไม่กี่อย่าง เช่น ท่องเที่ยว, น้ำมัน และธนาคาร คิดว่าถ้าเงินไหลกลับเข้ามา ธนาคารเป็นทางเลือกของฝรั่ง 2) กาบริโภคในประเทศ มองไปข้างนอกความเสี่ยงสูง ถ้าภาพการเมืองชัดเจนขึ้น ก่อนและหลังเลือกตั้งเงินจะสะพัด คุณมนตรี ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดก็ต้องติดตามไปเรื่อยๆมีปัจจัยใหม่ 1) กลุ่มท่องเที่ยว น่าสนใจ จากการเกิดอาการตกใจ เช่น เรือล่ม, คนจีนใช้จ่ายลดลง ประเทศไทย ท่องเที่ยวสามารถแข่งขันได้ดี มีรายได้จากากรท่องเที่ยวสูงสุดในเอเชีย และ 1 ใน 4 ของโลก กรุงเทพ,ภูเก็ต,พัทยา ติดอันดับเมืองน่าท่องเที่ยวโลก ยอดปีที่แล้ว 35 ปีนี้คาด 38 ล้านคน ศักยภาพที่น่าสนใจคือ อินเดีย มีประชากรอันดับ 2 ของโลก และต่อไปจะเป็นอันดับ 1 ประชากรอินเดียถือ passport 5% เที่ยบกับอเมริกามี 40% 2) ธุรกิจไฟฟ้า ่น่าสนใจ เลือกหุ้น pe ไม่แพง ปันผลดี เช่น egco เรามองแค่ pe สูงต่ำไม่ได้ เพราะกำลังผลิตมีอายุไม่เท่ากัน 3) หุ้นธนาคาร มองธนาคารที่ให้ผลตอบแทนดี yield ดี มี tisco, kkp ส่วนสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารก็น่าสนใจ sawad 4) ค้าปลีก ดูใช้ได้ ผลกระทบจากการค้าไม่มากนัก ตัวที่น่าสนใจคือ cpall ,robinson, makro, global, hmpro 5) กลุ่มที่เกี่ยวข้องน้ำมัน pttep, ptt ดร.นิเวศน์ เห็นด้วยกับทั้ง 2 ท่าน ถ้าซื้อหุ้นดี ราคาถูก ดีคือ ความสามารถแข่งขัน การเติบโต ตอนนี้คิดว่าเติบโตยาก แต่หุ้นที่พูดมาถึงทั้งหมด จะเห็นผลประกอบการสม่ำเสมอ หลายตัวคาดการณ์ได้ความผันแปรกำไรไม่แตกต่างมาก มีหลายตัวที่น่าจะถือได้สบายใจ ถ้าถือไปหลายปี ให้คะแนนตลาดหุ้น? คุณมนตรี ขอเสริม บทเรียนจากบาดแผลปีที่ผ่านมา อยากให้กำลังใจพัฒนาการตลาดทุนไทยคือการเติบโตของนักลงทุนสถาบัน 5 ปีที่ผ่านมาข่าวดี/ร้าย โลกมีเงินเข้าออก สถาบันต่างประเทศ-เข้าๆออก สถาบันในประเทศ-บวกเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี แสดงว่าได้รับเงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วมีการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงคือ block trade เคยมียอดสูงถึง 5-6 หมื่นล้าน แต่วันนี้ไม่ถึง 2 หมื่นล้าน สรุปแล้วปีนี้ให้ 7 คะแนน คุณไพบูลย์ คิดไว้ 7 คะแนน มองว่าโอกาสปรับขึ้นสูง ดอกเบี้ยนิ่ง แต่ยังมีความเสี่ยงหลายประเทศ เช่น คุณทรัมป์,brexit ซึ่งเป็นสิ่งเดายาก ดร.นิเวศน์ คราวก่อนให้ 4 คะแนน จะปรับเพิ่มเป็น 5 คะแนน สังเกตต่างชาติเริ่มขายน้อยลง เมื่อก่อน net sell ตลอด ถ้าปีนี้แย่อีกที ปีหน้าให้ดีเลย Moneytalk@SET ครั้งต่อไป อาทิตย์ที่ 3 ก.พ. //จองเสาร์ที่ 26 ม.ค. ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk และแขกรับเชิญ ทุกๆท่านที่ร่วมในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้และแนวทางการลงทุนที่ดี หากมีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ สามารถติดตามสัมมนาฉบับเต็มได้ทาง Facebook live/Youtube Moneytalk ครับ สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป Moneytalk ออกอากาศ Digital TV ช่อง 19 Spring News
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ม.ค. 13, 2019 1:08 am
0
12
Re: MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
Joshua Browder ที่อ.ธัชวรรณพูดถึงว่าทำ Robot lawyer อายุ 22 ปีเองครับ มีคลิปสั้นๆ 3 นาที น่าสนใจ ลองดูครับ https://www.youtube.com/watch?v=bAQWOpudAi8 bAQWOpudAi8
โดย
i-salmon
เสาร์ ต.ค. 20, 2018 11:09 pm
0
3
Re: VIKH#6_2018Oct6-7แชร์สรุปสัมมนา(ตามที่จดได้)
6/10/61 session การตลาดที่ใส่ใจ ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เจ้าของเพจ เกตุวดี Marumura) หัวข้อที่เสนอมีตัวอย่างสินค้าและบริการของชาวญี่ปุ่นหลายเคสน่าสนใจและสร้างไอเดียชวนคิด ผมถ่ายรูปลง AppNoteในมือถือไว้ แปลงออกมาเป็น PDF ดูได้ตาม link แนบครับ >> https://drive.google.com/file/d/1Q05ZG4j0C0TXvlhEvwvhqY5kvlEeGG7E/
โดย
i-salmon
จันทร์ ต.ค. 08, 2018 10:52 pm
0
1
Re: VIKH#6_2018Oct6-7แชร์สรุปสัมมนา(ตามที่จดได้)
VIKH#6 : 6/10/61 เคล็ดลับการลงทุน พี่โจ ลูกอีสาน คำแนะนำธรรมดา เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา 1. การลงทุนแบบ VI - เป็นวิธีการเปลี่ยนชนชั้น ที่เป็นไปได้มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบวิธีการอื่น เช่น: สร้างธุรกิจเอง , ค้ายา , เล่นหวย ,จับคนรวย 2. ความสำเร็จที่ทุกคนเห็นซ่อนเร้นเบื้องหลัง ที่ยากลำบาก - เราโตมาในยุค อินเตอร์เน็ท ทำให้อดทนไม่ได้ อยากได้ง่ายๆเร็วๆ - รวยเร็วๆ รวยง่ายๆ คนก็รวยกันทั้งประเทศ จงระวังผู้เชี่ยวชาญในอินเทอร์เน็ต - เราต้องทำตัวให้สมควรได้รับ แต่จะมีสักกี่คนที่ลงมือทำ 3. คุณภาพ(น้ำหนัก) / ราคา = ความคุ้มค่า - คือจิตวิญญาณ VI - งานหลักคือต้องวิเคราะห์คุณภาพกิจการที่จะลงทุนให้ได้ ส่วนราคาคือระดับ PE คุณภาพยิ่งดี ราคาก็แพง ถ้าหากคุณภาพงั้นๆ แต่ราคาแพง ต้องขายให้เร็วที่สุด - สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน คือสมการพื้นฐานที่เราใช้กัน 4. VI ไม่ใช่ วิธี แต่เป็นปรัชญา - สังเกตว่าบุคลิก บัฟเฟต์, ดร.นิเวศน์,พี่โจ มีอะไรที่คล้ายๆกัน เพราะเป็นปรัชญาที่มาจากภายใน 5. ความเชื่อที่ต้องฝังเข้าไปในกระดูก เลือด และเส้นเอ็นของคุณ - หุ้นและธุรกิจคือสิ่งเดียวกัน วันที่ผ่านวิกฤติขาดทุนหุ้นไป 50% หาก cut loss ไปวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ ความเชื่อนี้จะเป็น เสื้อเกราะ ที่คุ้มครองไปตลอดชีวิต 6. ครึ่งหนึ่งของการลงทุนให้สำเร็จอยู่ที่เลือกอาจารย์ถูกคน - ถ้าก่อนหน้าไปเลือก อ.อื่น พี่โจก็จะเป็นอีกแบบ แต่โชคดีที่เลือก อ.นิเวศน์ เลือก บัฟเฟตต์ สำคัญมาก เพราะ idol เป็นต้นแบบของคุณ - หนังสือ the world 99 greatest investor หนึ่งในนั้น คือ ดร.นิเวศน์ ด้วย ซึ่งสรุปจากหนังสือมีผู้สำเร็จจากแนวทาง Value 52% contrarian 25% Quality 22% Growth 20% Quantitative 13% trader 12% [รวม % มากกว่า 100% เพราะมีคนที่ใช้มากกว่า 1 แนวทาง] - เก่งแค่ไหนเดินผิดทางก็ไม่ถึงจุดหมาย คนเก่งๆ ถ้าผิดวิธีก็เจ๊งเหมือนกัน 7. เสือทุกตัว ย่อมมีเส้นทางของมัน - พี่โจเคารพดร.นิเวศน์มาก แต่ไม่เคยซื้อหุ้นตาม ต้องเชื่อมั่นในแบบแผนที่ตัวเองเป็น 8. อุดมการณ์กินไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่า มีชีวิตเพื่ออะไร - พี่โจเป็นนักลงทุนคนแรกที่ประกาศว่าไม่ใช้ข้อมูล insider หาผลประโยชน์ เคยมีคนมาบอก ว่าจะบริษัทจะทำ tendor แต่ก็ลังเลใจ สุดท้ายมันก็ทำจริงๆ - ประกาศว่าไม่เยี่ยมกิจการ เข้าถึงข้อมูลในการเอาเปรียบ เป็นอุดมการณ์ เราอ่านข้อมูลสาธารณะ ถ้าลงทุนโทษตัวเอง อย่าไปโทษคนอื่น วัดกันที่ไอเดียความคิด ไม่ได้วัดเพราะไปคุยกับผู้บริหาร - จะบริจาคเงิน (ส่วนใหญ่) คืนให้สังคม : คนหนึ่งที่นับถือ คือ พี่เวบ พรชัย แกบอกไม่อยากจัดสัมมนาหุ้น ทำให้คนรวยรวยขึ้น แต่คนเหล่านี้ไม่เคยช่วยเหลือ สังคม มีประโยชน์อะไร ถ้ามีเงินฝากแบงค์ เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม 9. พลังของย่างก้าว(พี่ตูน) - มันมาจากสมการ “การทบต้น” ถ้าใครเข้าใจถ่องแท้ ชีวิตจะเปลี่ยน ตัวแปรมี 3 ตัว ผลตอบแทน ระยะเวลา เงินลงทุน เชื่อว่าถ้าเริ่มลงทุนเร็ว ไม่ตกม้าตายก่อน รวยแน่นอน - เดินทางหมื่นลี้ ต้องเดินทีละก้าว ไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ต้องอาศัยความอึด - ที่ผ่านมาก็พยายามระมัดระวัง ไม่ใช่มาร์จิ้นรีบรวยเร็ว สุดท้ายวันนี้ก็รวยกว่าคนที่เสี่ยงมากเกินไป ปัญหาคือห้ามตาย 10. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม - คบหา พูดคุย กับกลุ่มคนเดียวกัน หมั่นเติมพลังให้กัน (motivated ขายตรง) - อ่านหนังสือ บทกวี ฟังบทเพลงให้กำลังใจ - เมื่อเริ่มสู้นั้นมันมืดยิ่งกว่ามืด ครั้งยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย พอมองเห็นรางๆอยู่ทางปลาย ชัยชนะขั้นสุดท้ายไม่เกินรอ … เปลื้อง วรรณศรี เป็นบทกลอนที่เขียนแปะไว้ตอนอยู่ในสลัม วันหนึ่งต้องอยู่คฤหาสน์ วันที่ไปล้างจานที่อเมริกา เป็นชนชั้นด้านล่าง คิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งต้องกลับไปเป็นชนชั้นบนๆ 11. [ไม่มี-ข้าม] 12. อย่าติดกับดับปันผล - มีวีไอหลายคนตายเพราะซื้อหุ้นหวังปันผล เช่น mfec - ปันผลมาจากกำไรในอดีต อาจมาจาก “กำไรพิเศษ” หรือ “กำไรที่ดีเกินจริง” วันหนึ่งมันเปลี่ยนแปลง กำไรไม่ดี ปันผลลดลง กำไรลดลง - ตัวอย่าง pm ปีก่อนมีกำไรพิเศษ ขายหุ้นบริษัทลูก ปันผลมากกว่าปกติด้วย(เช่นจากจาก 50% เป็น 60% ราคาลดลงจาก 12.3 เหลือ 8.95 ปันผล เพิ่มขึ้นด้วย) - ตัวอย่าง PMTA กำไรดีมาหลายปี(ปี 58-60) ปันผลก้ได้ (5.9% , 6.2%) ปรากฏปี 61 กำไรลดลง ราคาหุ้นก็ร่วง ปันผลก็ลด ไม่คุ้มเลย - สิ่งที่เราต้องการคือ คุณภาพของปันผล = ปันผลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคาดการณ์ได้ 13. หุ้นคุณฆ่า วีไอ คือ หุ้นวัฏจักร - พูดเพราะเจ็บมาเยอะ ปีนี้โดนตัวละ 30-40% หลายตัว - เพราะเราจะไปซื้อตอนที่มันดีกว่าปกติ เช่น หุ้นผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นบริษัทนวัตกรรม โดนไปเกือบ 50% และถือเยอะ ตอนซื้อกำไรดีมาก ราคาน้ำมันตกต่ำ เม็ดพลาสติกก็ราคาตกต่ำ - ตัวอย่าง MCS ปี 58-59 ดีมาก ราคาดีสุด 17.2 ตอนนี้เหลือ 7.15 จุดที่ดีสุดคือ อันตรายสุด - ตัวอย่าง work ปี 60 จาก 44 เป็น 84.25 และหลังจากนั้นก็ลงมาใหม่ (ช่วงพีค mask singer) - ปัญหาคือ นักลงทุนไม่รู้ว่าเป็นหุ้นวัฏจักร เช่น หุ้นผลิตท่อ ลงไป 50% ต้นทุนเป็นพลาสติค - นักรบต้องมีบาดแผล แต่ขอให้เป็นบาดแผลคนอื่นจะดีกว่า 14. คุณภาพของกำไรสำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆ - ตลาดจะให้ราคาสูง กับ หุ้นที่กำไรเติบโต ยั่งยืน และกระทืบหุ้นที่คุณภาพ กำไรแย่ - ตัวอย่าง เช่นอสังหา หุ้นก็ pe ต่ำมาตั้งนานแล้ว สุดท้ายก็เข้าใจว่าตลาดไม่ได้โง่ 15. ทำทะเลให้แคบลง ขังปลาให้อยู่ในสุ่ม - จะได้ควานหาได้ง่ายขึ้น ทำ universe ให้แคบลงก่อน โดย ขจัด หุ้นที่ไม่เข้าใจ(เช่น ปูนใหญ่), หุ้นที่ผูบริหารไม่น่าคบ(ไอเฟค,โพลาร์,เบตเตอร์เวิร์ล), หุ้นที่ติดตามไม่ได้ (ปิโตรเคมี, เอฟเอ็มที, อลูคอน ,ฝาจีบไม่รู้จะติดตามยังไง), หุ้นกำไรเป็นเต่า กำไรไม่เติบโต (อย่าสนใจ), หุ้นในกระแส (เช่น หุ้นพลังงานทดแทน หุ้นที่อยู่ในกระแส มัน price in ไปแล้ว ) - จากเจ็ดร้อยกว่าตัว ตัดไปก็เหลือแค่สองร้อยตัว 16. อย่าจับจด - อย่ามองจุดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้สำคัญ จะทำให้พลาดภาพใหญ่ เช่น cpall,aot,jas,banpu,human พวกนี้ปรับตัวขึ้นทั้งนั้น - cpall มีดราม่าผู้บริหารขายหุ้น ลงมา 34-38 บางคนถือมาเป็นสิบปีและตัดสินใจขายวันนั้น แต่ ณ วันนั้น มีคนที่พลาดหุ้นตัวนี้นับ 10 ปี และได้ซื้อหุ้น ขึ้นขบวนรถ มองว่าเป็นประเด็นเล็กๆ ที่ไม่ได้กระทบกำไรบริษัท ไปขาย 48 - Aot มีคนบอกหุ้นราชการ บริหารโกงกิน แต่พายุมันพัดมาก็ทำให้หุ้นค้างฟ้า - Jas ทำบรอดแบนด์ สุดท้ายขึ้นมากี่เท่า - Banpu ถ่านหินสกปรกที่อื่นก็ใช้กัน - Human มัน recurring มีผู้บริหารที่ดี - คนที่เน้นปันผลก็เหมือนกัน จับจด ปันผล และพลาด capital gain - เราต้องอยู่กับความไม่สมบูรณ์ ไม่เคยมีหุ้นไร้ตำหนิ ต้อง มองแบบองค์รวม อย่าแสวงหาความสมบูรณ์แบบในตลาดหุ้น 17. ซื้อหุ้น pe สูง เหมือนปีนต้นไม้สูง พลัดตกลงมา คุณอาจถึงตาย - ตัวอย่าง beauty cbg au tkn tpch ddd rs ขนาดบิวตี้ยังลงฟลอร์ได้ - ตรงกันข้าม ซื้อหุ้น pe ต้ำ เหมือนกับปีนต้นไม้เตี้ย คุณแค่จุก ลง 1x% มี pe มีปันผลค้ำ 18. In valuation you don’t have to be accurate - คุณต้องการแค่คร่าวๆ ประมาณๆ ทุกอย่างมัน dynamic มูลค่าก็ต้องเปลี่ยนด้วย - ทุกวันนี้บางทีไม่ได้ประเมินมูลค่า แต่ก็กะว่าอยู่ราว 5-6 ไม่ได้คำนวณออกมาเป็น 5.4 19. การวิเคราะห์หุ้นคืออะไรกันแน่ - มันคือ การวิเคราะห์กำไร (ขึ้น หรือ ลง) นั่นเอง 20. โชคชะตา จะเล่นตลกกันเราเสมอ - ให้คิดไว้เลยว่าเราจะดวงซวยสุดในโลก อะไรแย่ๆจะมาหาเราคนแรก - ถ้าคิดแง่ร้าย จะทำให้เราไม่ประมาท และเตรียมทางหนีทีไล่ได้เสมอ - ตัวอย่าง svi เจอไฟไหม้ หุ้นลงไม่มี bid ซึ่งตอนนั้นซื้อหุ้นเยอะมีนัยยะในพอร์ต ซึ่งสุดท้ายตอนนั้นก็ขายไปจริงๆ โชคดีที่ซื้อตอนที่ซื้อตอนราคาทุนสูง - ตอนนั้นก็มีน้องที่ชอบมา vi มาเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นถือหุ้นตัวเดียว และใช้มาร์จิ้นด้วย อีกทั้งมีปัญหาว่าอีก 2 เดือนต้องใช้เงินต้องขายหุ้น ปรากฏ 2 เดือนถัดมา น้ำท่วมโรงงาน และหลังจากนั้นไม่เจอน้องคนนี้อีกเลย 21. น้ำทั้งมหาสมุทรหรือจะสู้เกลือมือเดียว - กระแสข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไม่มีอะไรจะสำคัญกว่า กำไรของบริษัท - เป็นตัวชี้เป็นชีตายราคาหุ้น อย่างตอนปี 40 วิกฤติมา หุ้นเป็นบวกได้ คือ ส่งออก ตอน subprime พวก cpall hmpro ยังยืนอยู่ได้ เพราะกำไรมั่นคง แน่นอน - บางทีเราไปโฟกัสที่น้ำทะเล แต่ VI ต้องโฟกัสที่เกลือ 22. ระยะห่างของเวลาทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเต็มที่ - เพราะอนาคตไม่แน่นอน และนั่นเป็นช่องว่างสร้างโอกาสให้เรา - ตัวอย่าง SF ทำ community mall เล็กๆในกรุงเทพเกือบ 20 ที่ และมีประกาศข่าวร่วมมือทำ ikea ซึ่งทำให้หุ้นขึ้น น่าจะราว 15% หลังจากนั้นก็ค่อยๆไต่ๆขึ้นมาราว 30-40% พอวันหนึ่งห้างก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ก็มาคิดว่า พื้นที่จะเพิ่มขึ้นมา มหาศาล มาก ลองไป forecast กำไร อ่านรายงานประชุม ซึ่งกำไรน่าจะดีพอสมควร ก็ซื้อหุ้นตอนนั้นเป็นราคา new high ปรากฏหุ้นลงมาราวสิบเปอร์เซ็น ซึ่งสุดท้ายหุ้นก็ขึ้นไปอีก 50% ได้ พอห้างเปิด คนรับรู้ว่ากำไรมันสูงขึ้น ซึ่งช่วงกว่าห้างจะเปิดเป็นเวลา กว่า 3 ปี มันความไม่แน่นอน ซึ่งถ้าเราทำการบ้าน ก็อาศัยประโยชน์จากตรงนี้ได้ 23. หน้าที่เรา คือ ประเมินกำไรในอนาคต แล้วเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบัน - บางบริษัท มีสัญญา มีข้อมูลที่ปรึกษาการเงินอยู่แล้ว และเอาราคานั้นมาเทียบกับปัจจุบัน ว่า under value ไหม - ต้องดูความคุ้มค่าเวลาด้วย เช่น upside 50% แต่ใช้เวลา 10 ปี ก็ไม่คุ้ม 23. เลิกทาสกันเถอะชาวหุ้น [Slide เลขข้อซ้ำ] - สิ่งที่ควรเลิก 1. ตื่นเช้าดูดาวโจน 2. เฝ้ามอง set index ระหว่างวัน 3. ตกเย็นดูต่างชาติซื้อหรือขาย - สิ่งเหล่านี้คือน้ำ ถ้าวันไหนเลิกได้คือเราเป็นอิสระแล้ว - นั่นทำให้นักลงทุนคิดเหมือนกัน และตอบสนองคล้ายๆกัน 24. หุ้นเป็นได้แค่แฟน ห้ามแต่งงานด้วย - ความผูกพัน คือศัตรูการลงทุน เราจะมีอคติ มองไม่เห็นความจริง - ข้อดีของนักลงทุนในหุ้น บริษัทไหนดีซื้อ ไม่ดีขาย ร่วมหัวแต่ไม่จมท้าย โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ธุรกิจดี เปลี่ยนผันเป็นแย่ได้ - ตัวอย่าง BEC ปี 57 MKT Cap 1 แสนล้าน ปี 61 เหลือ 13,500 ล้าน 25. นักลงทุน bipolar - เราอาจต้องมองโลกแง่ดีในวันที่มืดมิด 26. This too shall pass - ปีนี้หุ้นกลางเล็ก ลงเยอะ หลายเดือนที่ผ่านมาขาดทุนเยอะมาก แต่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน มันเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งผ่านไปแค่เดือนเดียว ก็กลับมาแล้ว - ถ้าเราผิดพลาดอย่างไปจมอยู่ตรงนั้น เวลาจะกลบฝังมันไป - บางวันเราผิดพลาด บางวันเราสมหวัง - หลายครั้งตลาดหุ้น ราคาลงจาก panic ข่าวอัปมงคล, วันแรกของปีสุเทพประกอบปิด กทม สุดท้ายผ่านไปหมด 27. เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่ามากในวันนี้ กลับกลายเป็นเหตุผลที่ปัญหาอ่อนในวันรุ่งขึ้น (เฮียคลายเครียด) - เช่น วันที่ 13/6/13 หุ้นกังวลอเมริกายกเลิก QE ถัดมาอีกวันหุ้นเด้งเพราะขายมากไป จาก 1300 ขึ้นเป็นมา 1400 มีคนขายเยอะ - ตัวอย่าง หุ้นลงมาก จากต่างชาติขาย เพราะ S&P ปรับเรตติ้ง US เพิ่ม มีแนวโน้ม FED ขึ้นดอกเบี้ย แล้วในวันนั้นก็ซื้อหุ้น วันรุ่งขึ้นก็ได้กำไรเลย 28. อย่าเพียรหาสูตรสำเร็จทางลัด - VI ต้องยืดหยุ่น ปรับตัว แต่ไม่ประนีประนอมกับหลักการ - บัฟเฟตต์เปลี่ยนจากหุ้น pe ต่ำ มาซื้อหุ้นคุณภาพสูง , ดร.นิเวศน์ก็เช่นกัน - อย่างพี่โจเองในอดีตเน้นหุ้นตัวเล็ก ทุกวันนี้ก็ปรับมาหุ้นตัวกลาง ซื้อง่าย ขายคล่อง 29. ฟังเสียงตัวเองบ้าง - เราไปตามงานชอบฟังคนอื่น คนเก่งไปฟังไปเชื่อเค้า แต่เสียงที่ดังกว่าอยู่ในตัวเราเอง - ถ้ามั่นใจว่าเราเลือกหุ้นที่ดี ด้วยหลักการที่ถูกต้อง ให้เชื่อมั่นในตัวเอง - ตัวอย่าง aeonts irh swc tttm tmw ltx lalin moong nncl เป็นหุ้นชายขอบ นอกกระแส แต่ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 20% เพราะกำไรเติบโต 30. วีไอเป็นขบถเสมอ - ขบถ คือ คนไม่ตามกระแสสังคม ไม่เชื่อคนง่าย ตอบโต้ด้วยความรู้ - คนถูก เพราะเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ - Lone wolf ย่อมแข็งแกร่งกว่าการอยู่ในฝูง 31. ท่ามกลางความผันผวน มีโอกาส - วอรเรน บอก ถ้าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ คงต้องไปขอทาน - วีไอดำรงอยู่ได้ เพราะ mis match เวลากับคุณค่าจะไปด้วยกันเสมอในระยะยาว - แม้นายตลาดในระยะสั้นจะเป็นไบโพลาร์ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ 32. อยากเป็น VI ต้องรอตอนดัชนี 400 จุด? - ในสถานการณ์ปกติ คนจะหาหุ้นได้ต้องทำการบ้าน - พี่โจ ทุกปีก็ทำกำไรได้ดีทุกปี ไม่ต้องรอหุ้นเกิดวิกฤติ - ตัวอย่าง ชีวิตเปลี่ยน เพราะมีเมียทำงานแบงค์ชาติ มีน้องมามีทติ้งหาดใหญ่อยู่คนที่หายไปเลย ครั้งล่าสุดกลับมา น้องเขาบอกว่าตอนดัชนี 800 จุดเมียบอกเศรษฐกิจไม่ดีให้ขายหุ้นทิ้ง - หุ้นต่ำกว่ามูลค่า มีตลอด รอเราไปพบเจอ 33. ไม่ต้องแสวงหา วิกฤติมันจะมาหาเราเอง - ทุกคนอยากรู้ เพราะสัญชาติญาณเลี่ยงอันตราย - ไม่เคยเจอคนที่ทำนายวิกฤติได้ หน้าที่ของเราเตรียมตัวให้พร้อม อย่าเสี่ยงมาก เจอวิกฤติจะได้ไม่ตาย - นั่นเป็นงานของพระเจ้า ไม่เคยมีใครรวยเพราะคาดวิกฤติได้ สัญญาณลวงเยอะ มีบางคนรอด subprime ได้ แต่ก็ cut loss ระแวงตลอด สุดท้ายก็ไม่เคยได้ผลตอบแทนมาก 34. Performance the name of the game - วิธีการไม่สำคัญเท่าผลลัพธ์ในระยะยาว - ไม่ว่าจะเป็นวิไอ เทคนิคิล ฟันด์โฟล เก็งกำไร มโนศาสตร์ - แต่ละคนมีทางของตัวเอง - แต่จะดีกว่าไหม หากเราก้าวไปในเส้นทางที่คนอื่นแผ้วถางไว้แล้ว VI ก็มีคนทำทั้งในประเทศและต่างประเทศและสำเร็จ 35. กูไม่กลัวมึง… (คำพูดมรว.คึกฤทธิ์ ) - ช่วงเวลาที่เลวร้ยที่สุด คุณเหลือแต่ ใจ เท่านั้น - เราไม่สามารถหลบเวลาที่เลวร้ายได้ - ตอนเกิดต้มยำกุ้ง หุ้นตกจนตลาด volume เหลือน้อยมาก ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นไม่รอดหรอก - ตอนเกิด sub prime ราคาหุ้นลงใน 1 เดือนตลอด มีวันตลาดลง 10% จน circuit breaker ต้องให้กำลังใจต่อสู้ เคยไปตอบกะทู้ ด้วยบทกวี ขอเยอะเย้ย ทุกข์ยาก ขวากหนามลำเค็ญ คนยังคง ยืนเด่น โดยท้าทาย… เป็นบทแสงดาวแห่งศรัทธา - รับมือโดยคิดในแง่ร้ายที่สุดก่อน สามารถทนหุ้นลงไปได้ 80% ลงไป 30-50% ก็ไม่กลัว เพราะเคยเห็นว่าในประวัติศาสตร์มันเคยลงไป 80% ก็กลับขึ้นมาได้ ก็จะไม่กลัวอีก 36. อย่าถัวจนตัวตาย - ทำไมนักลงทุนชอบถัว? >> กลบเกลื่อนความผิด ถ้าหุ้นลง 50% ถัวไปลดเหลือ 25% จะ happy นี่คือกลไกปกป้องตัวเอง - นอกจากนี้ ถ้าเราซื้อหุ้นทีแรกคิดว่าต่ำแล้ว แต่ต่ำลงอีก แสดงว่าอาจมีบางอย่างที่เราอาจไม่เข้าใจมันตั้งแต่ต้น เช่น มีปัจจัยภายในที่อาจไม่รู้ - แต่… จะถัวเมื่อ มั่นใจในเหตุผลชัดเจนมากๆ เท่านั้น หรือ มีเรามีหุ้นน้อยเกินไป จะมี limit position เสมอ ว่าซื้อไม่กี่ % เพื่อป้องกันความเสี่ยง 37. รู้ว่าเป็นขี้ ไม่ต้องเอานิ้วไปจิ้ม - หุ้นที่ไม่ดี เสี่ยงมาก - ตัวอย่าง polar, earth and …. - เคยมีคนแนะนำให้ดู ที่ดิน 3 พันล้าน mkt 1.2 พันล้าน เคยแหย่ไปนิดนึง มือขาด - earth ก็เหมือนกัน ว่าที่ประกาศ default ตั๋ว be รีบขายเลย แต่มีไม่เยอะ เพราะรู้ว่ามันคือขี้ แต่มีน้องถัวไปเยอะ และชักชวนคนอื่นด้วย ชี้ก็คือขี้ อย่าไปเสี่ยง 38. รู้ว่าจะตายที่ไหน อย่าไปที่นั่น - กู้เงินเล่นหุ้น, all in , หุ้นตัวเดียว, tfext , forex - ถ้าในชีวิตคนทั่วไป คือ การพนัน ยาเสพติด เพื่อนไม่ดี ผู้หญิง 39. วิธีการที่ผิด บางครั้งยังให้ผลที่ถูกต้อง - นาฬิกาที่เสีย ยังบอกเวลาได้ถูกต้อง 2 ครั้ง ต่อวัน บางครั้งคนใช้วิธีการผิดๆเล่นก็มีโอกาสถูก ทำให้คนหลงทาง ปัญหาคือ ในระยะยาว ถ้าวิธีการไม่ถูกต้อง คุณจะคืนเงินไปหมด - หลายคนยังหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ เพราะบางครั้งให้ผลถูก หวย หุ้นปั่น day trade technical fundflow DW 40. คนฉลาดซื้อกองทุน - คนเล่นหุ้นไม่ได้รวยง่าย ทำไมไม่เลือกวิธีการง่ายๆ กระดิกเท้า ผลตอบแทน 7-8% 41. ต้นทุนของฝันที่เป็นจริง คือ การลงมือทำ - วอรเรน พูดมาตลอดว่าทำอย่างไร แต่น้อยคนที่ทำตาม ถ้าฝันแล้วไม่ทำ ก็เป็นฝันกลางวัน ที่ไม่ได้เป็นจริง - ถ้าเริ่มลงทุนช้า พลาดมา ไม่เป็นไร ให้เริ่มวันนี้ เวลาเหมาะที่สุดที่จะเริ่มคือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เวลาที่เหมาะสมรองมาคือ วันนี้ 42. เงินใช้สร้างความสุข แต่ตัวมันเองไม่ได้ทำให้เรามีความสุข - เราคือ เจ้านายของเงิน ไม่ใช่ทาส - ถึงจุดหนึ่งก็ใช้เงินให้เป็นประโยชน์ ตายไปก็ไม่ได้ใช้ ใช้ให้ครอบครัวมีความสุข ใช้ให้สังคม คิดว่าน่าจะเป็นการใช้เงินที่มีคุณภาพ เมล็ดพืชวีไอ ตกที่ใดจักงอกงามที่นั่น ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าไม่ตามกระแส มีมาก แบ่งปันเจือจาน ช่วยเหลือสังคม
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ต.ค. 07, 2018 10:10 pm
0
22
Re: Money Talk @ SET 22 April 2018
ขอบคุณคร้าบ พี่อมร ตามมาอ่านย้อน วันนั้นเที่ยวกลับมาพอดี ทันได้ดู live พี่นุช อิอิ
โดย
i-salmon
พุธ พ.ค. 02, 2018 12:44 pm
0
1
Re: Moneytalk@SET18/3/61หุ้นเด่นQ1และVIรุ่นใหม่
ปล. กลอนช่วง 2 อ.เสน่ห์วันนี้อินเทรนด์มากครับ… ฤาวีไอ รุ่นใหม่ ได้โอกาส เป็นบุพเพ สันนิวาส แต่ชาติก่อน ร่วมลงทุน หนุนส่ง คงนิกร มาถึงตอน ขึ้นเวที ชี้มุมมอง ท่านหลวงมี่ ทิวา วาจาเด่น อดีตเป็น วินมอไซค์ ไร้เรื่องหมอง โกษากานต์ ณัฐชาต มาดไม่รอง เป็นเบอร์สอง สมาคม น่าชมเชย พระยาเค ศุภศักดิ์ รักหญิงจ๋า ได้ธิดา องค์น้อย ค่อยเฉลย ท่านขุนทศ ทศวรรษ จัดเต็มเลย เอาละเหวย รู้กัน ในวันนี้ ออกญาเต่า เจ้านิเวศน์ พิเศษโหร รู้ดาวโจนส์ ยันหุ้นไทย ไม่เคยหนี พระไพบูลย์ พูนสวัสดิ์ จัดสิ่งดี หมื่นเสน่ห์ ชาญวาที มีคารม มองหุ้นไทยจะไปต่อไหมออเจ้า หุ้นแมงเม่า หุ้นวีไอ ไทยอาหม กลุ่มไหนเด่น กลุ่มไหนดี ที่นิยม อย่าบรรทม ตะวันลับ ค่อยกลับเรือน
โดย
i-salmon
อาทิตย์ มี.ค. 18, 2018 10:52 pm
0
8
Re: MoneyTalk@SET16/12/60เฟ้นหุ้นเด่นและกลยุทธ์VI รับปี 61
ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์วีไอรับหุ้นไทย All Time High ปี 61” 1. นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี / เซียนวีไอรุ่นใหญ่ 2. คุณ พีรนาถ โชควัฒนา / เซียนวีไอรุ่นใหญ่ 3. คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง (โจลูกอิสาน) / เซียนวีไอ 4. คุณ ประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์ / เซียนวีไอ 5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / กูรูวีไอ ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ คำถาม 3 ข้อ 1.หุ้นไทยปีหน้าเป็นอย่างไร? คุณพีรนาถ ปกติดัชนีเป็นอย่างไรไม่ได้สนใจ จะมาเริ่มสนใจดัชนีบ้างตอนจะขึ้นเวที มองย้อนกลับไป 3-4 ปีก่อนเคยมองไว้ว่าดัชนี set วันหนึ่งจะต้องไปถึง 3,000 จุด (ภาพระยะไกล) แต่ ณ ตอนนี้อาจจะมองไปถึง 5,000 ด้วยซ้ำ ปีหน้าต่างจากปีอื่นที่ผ่านมาคือ มองไปแล้วทุกอย่างรู้สึกดี สิ่งที่กลัวคือ ทุกคนรู้สึกดีหมด หลายคนไปลงทุนต่างประเทศมองว่าไทยสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แต่ถ้ามองระยะยาวแล้วดัชนีจะไปถึง 3,000 เพราะมันไม่ได้เหมือนเดิม บริษัทมันไม่เหมือนเดิมแบบในตลาดที่เราเห็น รายได้บริษัทส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนมาจากต่างประเทศ ช่วงนี้ได้ไปลงทุนใน Startup มากขึ้น เขาไม่ได้นึกถึงแค่เมืองไทย แต่นึกถึงไปทั่วโลก จะเป็นตัวผลักดันให้กำไรบริษัทเติบโตได้ การเรียนรู้และเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้ความแตกต่างของบริษัทเล็กและใหญ่เท่าเทียมกันมากขึ้น เมืองไทยยังมีโอกาสไปได้ SET ทำ new high น่าจะเห็นอยู่แล้ว แต่ปีหน้าถ้าไปถึง 2000 อาจเร็วไป น่าจะอยู่ที่ 1980 มองภาพประเทศ คิดว่า ดร.สมคิด มีวิสัยทัศ น่าจะนำพาประเทศไทยได้ดี หรือท่านอภิศักดิ์ ที่เคยเป็นประธานของ QH ดัชนีในช่วงปี 18-19 อย่างไรก็น่าจะเกิน 2,000 จุดเพียงแต่อาจจะมีย่อกลับมาต่ำกว่า 1800 ได้ก่อนที่จะขึ้นไปอีก เนื่องจากราคาหุ้นสูงแล้ว หุ้นกลุ่มที่คิดว่าดีคือกลุ่มที่เราเข้าใจมันดี หมอพงษ์ศักดิ์ มองว่าดัชนีที่ไต่ระดับขึ้นไป 4-5 ปีที่ผ่านมา หุ้นทั่วโลกขึ้นสูงเกินค่าเฉลี่ย วันหนึ่งน่าจะมีการปรับตัวลง ยิ่งทุกคนมองในแง่ดี เหมือนทุกคนได้ใช้เงินซื้อหุ้นกันไว้หมดแล้ว ถ้าพลิกไปจากที่คาดก็ต้องทำใจว่าจะลงแน่ เป็นช่วงเวลาที่ต้องระวัง อาจเรียกว่าฟองสบู่เล็กๆในตลาดหุ้นได้ วันหนึ่งก็กลับไปที่ค่าเฉลี่ย มองในปีหน้าหรือ 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยความระมัดระวัง จากข้อมูลที่เกิดขึ้น จำนวนเดือนที่หุ้นขึ้นนานสุด ในเวลานี้คือเป็น อันดับ 2 ในประวัติศาสตร์แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นอย่างหนึ่งว่าหุ้นบูมขึ้นมานานแล้ว หุ้นที่ชอบเป็นกลุ่มที่ defensive หน่อย ไม่ได้ price in ไม่ได้มีความคาดหวังมาก หุ้นที่โดนข่าวร้ายเยอะแล้วทุกคนรู้สึกว่ามันแย่ แต่ระยะยาวมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็คงปลอดภัยระดับหนึ่ง คุณโจ ลูกอีสาน ตลาดจะเป็นอย่างไรคงตอบยาก สำหรับแนวทาง VI 20 ปีที่ลงทุนมา คิดว่าไม่มีความสามารถจะคาดเดาทิศทางตลาดได้เลย ทุกวันนี้ streaming ไม่มีดัชนีหุ้นจะดีมาก ดัชนีแดง หุ้นผมก็ต้องแดงด้วย มันไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่มันเหมือนเดิม สิ่งที่พอรู้คือบริษัทที่เราถือ ต่อให้ดัชนีไปถึง 1900 หรือลงไป ก็จะมีคนที่กำไร และขาดทุนอยู่ดี มีตัวเลขที่น่าตกใจ ไปเปิดดูว่าปีนี้แม้ดัชนีจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ราคาลดลงจากต้นปีก่อนถึง 50% มันสำคัญที่หุ้นที่เราถือเป็นหุ้นที่มันขึ้นหรือเปล่า อย่างหุ้นที่ลงทุนในปีนี้ก็มีตัวที่ปรับตัวขึ้นต้นๆถึง 2 ตัว สรุปว่าการคาดเดาดัชนีเป็นเรื่องยาก สิ่งที่ง่ายกว่าคือ คาดเดากำไรบริษัท หุ้นกลุ่มที่นน่าจะดีเช่น หุ้นรับเหมา การ spending ของรัฐบาลก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมถึงวัสดุก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง กลุ่มทั่วไปพวกท่องเที่ยวก็ OK อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญต้องดูราคาที่ซื้อด้วย ถ้าแพงไปแล้วก็อันตราย คุณประชา ทิศทางหุ้นปีหน้าไม่ทราบ เป็นคำถามที่ยากที่สุด เพราะ คาดการณ์ดัชนีเป็นเรื่องยาก และ ให้ระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า สั้นมากเกินไป มีสิ่งหนึ่งที่ชอบดูเวลาที่มองปีหน้าหรือหลายปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มักจะดูราคาหุ้นปัจจุบันเป็นอย่างไร ทุกคนมีข้อมูลถึงกันหมดคล้ายกันหมด และเร็วมาก สมัยก่อนอ่าน 56-1 ต้องเอา floppy disk ไปตลาดหลักทรัพย์ จ่าย 30 บาท เอากลับไปอ่านทีบ้าน แต่สมัยนี้ดาวน์โหลดจาก internet ได้ตลอดเวลา สิ่งที่ต่างกันคือการตีความ ข้อมูลชุดเดียวกัน การตีความก็ต่างกัน เวลาเห็นราคาหุ้นปัจจุบัน มันคือ people expectation เป็นความคาดหวังของคนตลอดเวลา มันจะสะท้อนว่าคนมองข้างหน้าอย่างไร หลายปีมานี้ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงค่อนข้างดี รวมถึงตลาดโลกก็ดีมาก เหตุผลหนึ่งเพราะดอกเบี้ยที่ต่ำมาหลายปี earning growth ของบริษัทก็ดี มันอยู่ที่ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังแค่ไหน เวลาหุ้นเพิ่มขึ้นมาก็จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ดัชนีจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ มีหุ้นขึ้นเยอะ ลงเยอะ หรือขึ้น SP การที่ดัชนีขึ้น 10% ก็สะท้อนว่าคนมองดีขึ้น ปีหน้าจึงเพิ่มความระมัดระวัง แต่ในระยะยาวเชื่อว่าดัชนีจะดีขึ้น เพราะบริษัทจะกำไรดีขึ้นๆ เชื่อมั่นในผู้บริหาร ในกิจการที่จะพัฒนาดีขึ้น ดร.นิเวศน์ ปัจจัยหุ้นขึ้นหรือลงมีเยอะ เศรษฐกิจดี หุ้นลง เศรษฐิจแย่ หุ้นขึ้น ก็มี ประวัติศาสตร์สอนอะไรเยอะ มันมีพลัง ถ้าคิดอะไรไม่ออกให้ดูประวัติศาสตร์ 21 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีแต่ขึ้นลงๆ ไปเรื่อย ไม่ค่อยมีขึ้นยาวๆ มีแค่ 3 ปีที่ขึ้นติดกันคือปี 44 ที่เริ่มฟื้นจากเศรษฐกิจตกต่ำ ใช้เวลา 3-4 ปีฟื้นตัวตลาดหุ้นจึงขึ้นไม่หยุด และมีอีกครั้งหนึ่งปี 51 เกิดวิกฤติแต่ใช้เวลา 1 ปีฟื้นตัว จึงทำให้หุ้นไทยขึ้นติดต่อกัน 2 ปี ปี 2560 จะเป็นครั้งที่ 2 ที่หุ้นไทยขึ้น 2 ปีติดกัน ถ้าปีหน้าดีอีกจะเป็น jackpot ซึ่งปัจจัยตลาดไทยอาจไม่ได้มีอะไรดีเป็นพิเศษ บังเอิญโลกตลาดหุ้นโลกดี น่าจะเป็นส่วนที่ช่วยดึงเราไป ล่าสุดขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยที่ตกต่ำมาต่อเนื่องจนตลาดหุ้นโลกขึ้นกันหมด ปีหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะเริ่มขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว 3 ครั้ง อาจเป็นจุดที่ทำให้กราฟขึ้นตลอดที่หยุดลง จนกระทั่งดอกเบี้ยมัน stable ในอดีตบอกว่าลงทุนหลายๆประเทศปลอดภัย แต่ตอนหลังโลกขึ้นพร้อมกันหมด ดอกเบี้ยก็ตกต่ำกันหมดทุกประเทศ ถ้าหากอเมริกาขึ้น และบางประเทศที่ต้องขึ้นดอกเบี้ย ภาพอาจจะเปลี่ยน บางประเทศอาจฝืนอัตราดอกเบี้ยได้ ถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ดี สมัยปี 40 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม ทุกคนบ้าหุ้น แห่กันฟังสัมมนา โบรกเกอร์บอกจะขึ้น 2-3 พันจุด ต้องระวัง 2. กลยุทธ์ VI ควรเป็นอย่างไร ? คุณพีรนาถ กลับมานั่งคิด ว่าโชคดีที่เป็นนักลงทุน ถ้าหากครอบครัวเรียกไปทำงานก็จะหนักใจมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย และต้องตามหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญมากคือ ดูเจ้าของ หรือ ceo ของบริษัทนั้นที่จะนำบริษัทผ่านไปได้ เป็นบริษัทที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เข้ามา ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้เร็ว ส่วนตัวสนใจ big data ต้องสนใจให้ลึกซึ้ง อย่างบางบริษัทอ้างถึงอาจจะไม่ใช่ big data พวก data analyst, data scientist ขาดแทนทั่วโลก สมัยนี้ข้อมุลเป็น unstructural data การเอาข้อมูลเหล่านี้รวบรวมมาใช้กับธุรกิจได้อย่างไร การปรับตัวเหล่านี้ จะมาใช้ในองค์กรอย่างไร การมองเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา องค์กรที่เคยสำเร็จในอดีตอาจปรับตัวได้ยากขึ้น นักลงทุนจึงต้องสนใจมากไปกว่าบริษัท แต่ต้องเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ และประเมินได้ว่าบริษัท ผู้บริหารจะสามารถปรับตัวได้ทัน ประเด็นคือ ถ้าเราซื้อมาขายไป วันหนึ่งเราจะแพ้ AI สิ่งที่ AI ทำไม่ได้ เช่น วิเคราะห์ CEO ส่วนตัวเน้นในเชิงวิเคราะห์ผู้บริหาร และ corporate culture (วัฒนธรรมขององค์กร) คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้ง บริษัทที่มี วัฒนธรรมที่ดี รับคนที่มี passion(แรงบันดาลใจ) เดียวกัน จะสามารถทำงานและดึงศักยภาพของคนออกมาได้เต็มที่ หมอพงษ์ศักดิ์ ถ้าสิ่งที่เจอเป็น worst case ปัญหาต่างๆจะคลี่คลาย ต่อไปโอกาสจะลงก็น้อย มีแต่ทรงๆกับขึ้น ปกตินักลงทุนในตลาดหุ้นจะทำอะไรออกไปทางหนึ่งมากเกินไป คือ มองดีเกินไป หรือ มองแย่เกินไปเสมอ ถ้าทุกคนมองอะไรแย่เกินไป เราคิดว่าต่อไปจะดีขึ้น เราลงทุนตัวนั้น downside risk ต่ำ ถ้าทำได้ดีกว่าคาดเราก็ได้โบนัส ชอบมองข่าวร้ายเยอะๆ แล้วมันจะคลี่คลาย โอกาสแบบนี้ใช้ได้ ถ้าเราคอยติดตามอยู่จะรู้ว่าจังหวะนี้ sentiment เป็นแบบไหน price in ไปหรือยัง เวลาตลาดมองบริษัทจะมองแค่ 3-6 เดือน แต่ถ้าเรามอง 1-2 ปี จะเป็นโอกาสของเรา ถ้ามั่นใจว่า 1-2 ปีดี แล้วเรารอได้ การลงทุนบริษัทนั้นน่าจะปลอดภัย คนส่วนน้อยต้องมองไม่เหมือนตลาด ทุกบริษัทที่ลงทุนควรสอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคไปทางนั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ไม่ไปไปทางนั้น ระยะยาวโอกาสจะกลับมาฝืนยาก คุณโจ ลูกอีสาน 5 ปีที่ผ่านมา ทุกๆปี ดัชนีได้ทำจุดสูงสุดไปแล้ว เพราะมันไม่ได้รวมเงินปันผล ตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน แทนที่ดัชนีควรอยู่ 1700 มันน่าจะเป็น 1 หมื่นกว่าจุดไปแล้ว อย่าง ดาวโจนส์ถ้ารวมปันผลเข้าไปด้วยน่าจะเป็นล้านกว่าจุดแล้ว แม้กระทั่งว่าถ้าเราซวยมากไปซื้อหุ้นที่จุดสูงสุดปี 38 และถือจนมาถึงวันนี้ดัชนียังไม่กลับไปที่เดิม แต่ 23 ปีได้ปันผลปีละ 3-4% ก็จะได้กลับ 80-90% ของราคาหุ้นวันนั้นแล้ว ดังนั้นอย่ากังวลมากดัชนีจะไปถึงไหน ถ้าเราลงทุนหุ้นบริษัทดีๆหน่อย มีเงินปันผล เราไม่ขาดทุนหรอก แต่เราสามารถทำได้ดีกว่านั้น ถ้าใช้ความรู้หน่อยจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด เพราะดัชนีตลาดเป็นของดีไม่ดีคละกัน ประเด็นที่น่ากังวล ช่วงนี้ มีใครซื้อหุ้น ipo บ้าง และอาจเริ่มขาดทุน ปีนี้เป็นปีเดียวที่มีบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้ามาสูงสุด มี market cap ค่อนข้างมากด้วย เพราะตอนนี้คือจุดที่ค่อนข้างแพงสุด เจ้าของบริษัทเดิมก็อยากขายได้เงินกลับเข้ามาได้มากสุด under writer ก็ได้รับ commission ตามเงินที่ระดมทุนได้ มีหลายบริษัทที่มีกำไรเป็นวัฏจักร และเอาบริษัทมาเข้าในตลาดหุ้นช่วงที่เป็นวัฏจักรดีสุด ก็ต้องดูให้ดี เช่น บริษัทผลิตสินค้าเกี่ยวกับเหล็ก กำไรดีมาก แต่พอดีรายละเอียดลึกๆ เพราะ 2 ปีก่อนได้ตุนวัตถุดิบราคาต่ำไว้มาก กำไรโตมาก แล้วเอาเข้าตลาดหุ้น พอวัตถุดิบ lot ใหม่แพง อัตรากำไรก็เริ่มต่ำลง บริษัท content ภาพยนตร์ก็มีความไม่แน่นอนสูงว่าจะฮิตไหม ถ้าต่อไปไม่ฮิตกำไรลดลง คนซื้อหุ้นก็ขาดทุน อัตราดอกเบี้ย เป็นของตาย ถ้าไม่ฝากเงินในแบงค์ทางเลือกมีไม่เยอะ ในอดีตเงินฝากธนาคารให้ดอกเบี้ย 5% หุ้น PE10 ให้ผลตอบแทน 10% ต่างกันเท่าหนึ่ง แต่มีความเสี่ยง ความผันผวน แต่ทุกวันนี้ตลาดหุ้น PE 18 เท่า ผลตอบแทน 6% แต่เงินฝาก 1% ต่างกัน 6 เท่าตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นบูมขึ้นมา ถ้าวันหนึ่งดอกเบี้ยขึ้นเยอะๆ เราต้องจับตา สถานีทีวีช่องหนึ่งเคยมี market cap 1 แสนกว่าล้าน ทุกวันนี้เหลือหลักหมื่นล้าน สิ่งพิมพ์ก็ตายไปเยอะ ร้านหนังสือชื่อดังทุกวันนี้ก็ขาดทุน ลงทุนในโลกต้องตื่นตัว ไม่มีกฏหมายกำหนดว่าต้องถือหุ้นตลอดไป นักลงทุนร่วมหัวแต่ไม่จมท้าย ซื้อหุ้นบริษัทช่วงที่เขาดี เป็นข้อได้เปรียบที่สุดของนักลงทุนรายย่อย คุณประชา กลยุทธ์ที่คิดไว้ปีหน้า มองบวก แบบระมัดระวัง ดอกเบี้ยก็ต่ำ ตลาดหุ้นก็ดีหลายปี สิ่งที่มองเป็นบวกได้อยู่ เพราะตลาดหุ้นที่ผ่านมาขึ้นแบบคนระมัดระวังเหมือนกัน เวลาหุ้นขึ้นมาเจอข่าวร้ายก็ปรับตัวลงในไม่นาน แสดงว่ามีความระมัดระวัง รัฐบาลต่างๆในโลกก็มีความพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ การกู้การลงทุนของบริษัทก็ระมัดระวัง ยุคก่อน 1700 จุด ดอกเบี้ยออมทรัพย์ 5% ฝากประจำ 10% ช่วงปี 35-38 เคยคำนวณกับน้องชาย ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาทเกษียณได้เลย เป็นยุคที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟู ได้คุยกับน้อง เขาบอกว่า หุ้นธนาคารให้ปันผล 2% แต่คนก็ยังซื้อหุ้น แต่ตอนนี้ PE เรายังต่ำกว่า 20 เท่า ฝากประจำได้ 1% แต่ไปซื้อหุ้นเติบโต ที่มั่นคงให้เงินปันผล 1-2% ยังดีกว่าฝากประจำด้วยซ้ำ จึงคิดว่าไม่ได้เป็นฟองสบู่เกินไป เพราะมีความระมัดระวังอยู่เหมือนกัน คุณพ่อเคยสอนขับรถว่า เวลาขับเกียร์ 3 ปล่อยคันเร่งจะชะงักทันที แต่เกียร์ 4 รถจะไม่ชะงัก ดังนั้นใช้เกียร์ 3 จะเป็นอะไรที่ปลอดภัยพอสมควร และรถยังไปได้ดี ขับ 120 km กับ ขับ 90 km ความเหนื่อยก็ต่างกัน สรุปว่า ยังขับรถต่อ ระมัดระวัง ไม่ต้องรีบร้อน เคยอ่านหนังสอ บอกว่า ประวัติศาสตร์จะไม่เหมือนเดิม 100% แต่จะคล้ายเดิม สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของมนุษย์คือการปรับตัว และวิวัฒนาการ เขาเจออะไรที่ทำไม่ดี จะถอยมาทำใหม่ด้วยวิธีการใหม่ ถ้าเราเจอบริษัทที่ผู้บริหารมีการปรับตัว มีการมองว่าลูกค้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะหาข้อมูลได้จาก opportunity day และ money talk weekly ได้เจอผู้บริหารโดยตรง เป็นสิ่งที่ดีมากๆ อย่างดู cnbc จะเชิญผู้บริหารมาออกรายการ 5 นาที เราดูไม่ออกหรอกว่าผู้บริหารบริษัทนี้เป็นอย่างไร แต่แบบ money talk weekly ที่เชิญผู้บริหารมาสัมภาษณ์ เห็นกลยุทธ์ วิธีคิดอันนี้เป็น company visit แบบย่อยๆที่ดีมาก อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ตลาดหุ้นไทยยืนอยู่ได้ VI ที่มีความรู้สมัยนี้ก็เยอะขึ้นมาก เราควรลงทุนในบริษัทที่ management มีการปรับตัวเก่ง หลายๆอย่างในอดีตทำไม่ได้ แต่ถ้าเรามี management เก่งๆ จะแก้ปัญหาหรือปรับตัวได้ เมื่อ 20-30 ปีก่อน เวลาหนังเรื่องไหนสำเร็จจะมีภาคต่อ แต่ภาคสองมักจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาค ปัจจุบันการเขียนบทสามารถทำให้หนังภาคต่อทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแล้วสนุก เป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ อ.ไพบูลย์ เสริม money talk weekly ก็ตั้งใจทำมานาน ช่วงหลังก็มีรายการดีๆ business model, hard topic ก็เป็นรายการที่ดี ดร.นิเวศน์ ภาพใหญ่ตลาดหุ้นมีช่วงเวลาทองแต่ละยุค อเมริกายุค 10 ปี ก่อนปี 2000 หุ้น hi tech ขึ้นเป็นบ้าเป็นหลัง โตมหาศาล คนลงทุนหุ้น hi tech รวย แต่พอผ่านปี 2000 ฟองสบู่แตก ราคาลง 90% รวมถึง amazon, Microsoft อยู่ในยุคนั้น หุ้นไทยตั้งแต่ปี 40 มา กระแสคือหุ้นถูกแบบเบน เกรแฮม ถ้าคนยังเล่นหุ้นถูกต่อก็ไม่ได้เท่าไร เข้าสู่ยุคหุ้น growth โตเร็ว ผลประกอบการดี pe จากเดิม 10 เท่า ก็ปรับขึ้นไป 20,30,40 เท่า บางคนก็ใช้ margin อะไรก็รวยขึ้นมา เวลานี้อาจหมดยุคไปแล้ว อาจเหลือแต่หางๆจะเหนื่อยขึ้นในการหาหุ้น ส่วนตัวก็ปรับกลับมาลงทุนแบบเต่า หุ้นโตเร็วๆ pe สูงๆ ก็พยายามลด กลับมาซื้อ pe ไม่เกิน 10 เท่า pbv ต่ำ ปันผลสูง หุ้นที่แบบ 4-5 ปีที่ผ่านมาไม่ลง แต่ก็ไม่ค่อยขึ้น ถ้าเต่าตัวไหนอายุยืน ไม่ตาย ก็เอามาเลี้ยง มีปันผล และหวังว่าจะมีคนมาเลี้ยงเต่าด้วย อย่างน้อยหุ้นขึ้นซัก 10% ต่อปี ได้มีปันผล 5% ก็ดีแล้ว กลยุทธ์ปีหน้าคือ เลี้ยงเต่า แล้วก็ขายกระต่ายทิ้ง 3. ให้คะแนนตลาดหุ้นไทย ? คุณพีรนาถ เคยให้เป้าปีก่อนราว 1690 มันเกินไปอีก จึงคิดว่าหุ้นเต่าก็น่าสนใจที่จะทำให้ดัชนีขึ้นไป ให้ 8 คะแนน หมอพงษ์ศักดิ์ 2-3 ปีข้างหน้าจะมี correction ไม่รู้ว่าเมื่อไร ให้คะแนนปีหน้าให้ 4 คะแนน คุณโจ ลูกอีสาน ให้ 5 คะแนน คุณประชา ให้ 6 คะแนน ไม่รู้ปัจจัยข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่มองบวกบ้างอย่างระมัดระวัง stay calm and invest ดร.นิเวศน์ ให้ 3 คะแนน ถ้าถูกคนจำได้ แต่ถ้าให้กลางๆ เดี๋ยวจำไม่ได้ ส่วนตัวก็ไม่ได้ขายหุ้น อ.เสน่ห์ กล่าวกลอนปิดรายการ ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ หมอเค และทีมงาน money talk แขกรับเชิญ ทุกท่านที่ทำให้เราได้ความรู้ดีๆ และได้มาพบปะร่วมกัน รวมถึงพี่ๆน้องๆกรรมการสมาคม Thaivi ทุกท่าน ด้วยครับ วันนี้กลับถึงบ้านดึก อาจเบลอๆหน่อยครับ หากข้อมูลที่แชร์บกพร่องไปอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ติดตาม VDO ฉบับเต็มได้ทาง fb live, youtube และช่อง TV ครับ Money talk@SET ครั้งต่อไป 13 ม.ค. 61 เปิดจอง 6 ม.ค. 61 ช่วง 1 แนวโน้มหุ้นไทยปี 61 ดร.ก้องเกียรติ asp, คุณมนตรี mket, คุณไพบูลย์ tisco ช่วง 2 หลากหลายกลยุทธ์ลุ้นหุ้นปี 61 ดร.นิเวศน์, คุณปริญญ์ clsa, คุณประภาส talis, คุณวัชระ (เสี่ยป๋อง)
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ธ.ค. 17, 2017 1:53 am
0
13
Re: MoneyTalk@SET19/8/60
ช่วงสอง มีขาดตอนเป็นช่วงๆ เลยดึงมาเฉพาะที่เนื้อหาพอสรุปได้มาครับ รายการเต็มๆ ติดตามชมได้ทางช่อง TV และ youtube ครับ :D ช่วงที่2 สัมมนาหัวข้อ “New Mega Trend กับอุตสาหกรรม 4.0 และผลกระทบหุ้น" 1. คุณ เจน นำชัยศิริ / ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2. คุณ วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ / นักการเงินอาวุโส 3. คุณ ต่อศักด์ โชติมงคล / ผู้เชี่ยวชาญการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ 4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ผู้เชี่ยวชาญหุ้น ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ Megatrend หลักของโลกเป็นอย่างไร? คุณวิวรรณ กระแสระยะสั้นและระยะยาวใกล้เคียงกันแล้ว มันเป็นโลกดิจิตอลจึงเห็นเทรนด์มากันพรั่งพรู 1.โลกดิจิตอลมาแน่นอน ไร้พรหมแดน จะซื้อของจากที่ไหนของโลกก็ได้ ทำให้การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนแปลง บางคนเกิดมาเป็นประชากรโลก จะไปเรียนที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องผูกกับประเทศหนึ่ง 2.การเข้าสู่สังคมสูงวัย คือคนอายุ 60 ปีขึ้นไป เช่น ญี่ปุ่น เกือบ 30% แล้ว 3.ปัญญาประดิษฐ์ จะทำอะไรได้มากมาย คุณต่อศักดิ์ ได้ร่วมงานเก็บรุ่นลูกหลานเกี่ยวกับ startup ทำเกมด้าน VR – Virtual Reality คือใส่แว่นแล้วมองเห็นเหมือนสภาพจริง กับมีเทคโนโลยีอีกตัวเรียก AR - Augmented Reality นึกถึง โปเกมอน ลอยอยู่บนภาพปกติ เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกได้ อย่างเช่น หมอเรียนหนังสือถ้าใส่แว่นอ่านหนังสือจะเห็นหัวใจลอยออกมาเลย และ AR,VR เข้าไปอยู่ในการศึกษาจะทำให้เรียนรู้เร็วขึ้น 42% ทำเกม VR Arcade จะเปิดเป็นทางการวันที่ 12 ที่ siam one กล้องต่อไปจะเป็น VR มันสามารถเห็นภาพและคลี่เป็นแผ่นได้ ต่อไปกล้องตัวหนึ่งจะนับคนได้เลยว่ามีกี่คน การจำหน้าคนได้เป็นเรื่องปกติ หน้าคนจะจำได้ต้องมี 18 จุด ยิ่งถ่ายได้หลายๆครั้งจะจำแม่น รุ่นใหม่ออกมาจะจำท่าเดินด้วย แล้วคนเล่นหุ้นจะอยู่อย่างไร? อุตสาหกรรมต้องกลับไปคิดว่าเวบไซต์ถ้ายังเป็น pc base ต้องไปเป็น mobile base ได้แล้ว และต่อไป social media ได้ อุตสาหกรรมต้องหันมามองเด็กในแบบที่เราเคยมองไม่ได้เลย เราบอกให้เด็กทำแบบที่เราประสบความสำเร็จไม่ได้ เด็กยุคนี้บอกเราต้องทำตามเขา อุตสาหกรรมต้องคิดใหม่ รับฟังความเห็นเขาก่อน นั่งรับฟังเด็กๆอยู่ปีครึ่ง ทำตรงกันข้ามหมดเลย ต้องเรียนรู้วิธีบริหารจัดการ Backup startup ที่เจ๊ง เพราะไม่มี practice มันต้องผสมผสาน ไม่ใช่ปล่อยอิสระ Startup ที่มีบ้านเรา 100 ดี 10 รอด 1 เพราะไปตายเรื่องง่ายๆ นักอุตสาหกรรมเก่าต้องฟัง และเข้าไปประกบ แล้วปรับให้เข้าไปด้วยกัน คุณเจน ต้องยอมรับว่าเทรนด์ที่มาจะทำให้อุตสาหกรรมหลายๆอย่างปิดตัวเอง ที่เห็นตัวอย่างคนพูดถึงมาก เช่น บริษัท โกดัค อย่าง กล้องดิจิตอล เป็นคนคิดคนแรก แต่เสนอแล้วสรุปว่าไม่น่าสนใจเท่าไร แล้วไปเน้นเรื่องฟิล์ม ทุกวันนี้คนเหลือแค่ฟิล์ม x-ray อุตสาหกรรมจะถูกเทรนด์แบบนี้เข้ามาแทรก มี paper ของ PWC บอกว่า 8 เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบมากกับอุตสาหกรรม 3 อย่าง AI,AR,VR ที่คุณต่อศักดิ์พูดถึงแล้ว อีก 5 อย่าง - Blockchain อาจเข้าไป disrupt วิชาชีพด้วย พวกนิติศาสตร์ ทนาย สามารถทำสัญญาอยู่บนโลกเสมือนได้ เป็นการทำข้อตกลงโดยคนอยู่บนโลก cyber เป็นพยาน -Drone จะ disrupt หลายเรื่อง เช่นการส่งสินค้า โดยเฉพาะ last mile เช่น จากไปรษณีย์ถึงบ้าน, ยังใช้โดรนได้ ในเรื่องการถ่ายภาพ, การทำเกษตร, -IOT internet of things ทุกอย่างติดต่อได้ในอินเตอร์เน็ท พวกมือถือ นาฬิกา ในอนาคต 5 ปีข้างหน้า อุปกรณ์ทั้งโลกจะมี 7 หมื่นล้านชิ้น ประชากรโลก 7 พันล้านคน คนหนึ่งจะมี 10 ชิ้นโดยเฉลี่ย เช่น ตู้เย็น ส่งข้อมูลบอกได้ว่านมจะหมดอายุแล้วซื้อใหม่ด้วย, แอร์ สามารถสั่งเปิดจากที่ไหนก็ได้ -Robotics นอกจากที่ใช้ในอุตสาหกรรม ต่อไปจะมีหุ่นยนต์ที่ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า - 3D printer เมื่อก่อนเรามี printer dot matrix -> ink jet ต่อไปจะมี 3D printer ตามบ้าน สามารถ print ขึ้นรูปชิ้นงานที่ไม่ซับซ้อนเองที่บ้านได้ แล้วจะมีผลกระทบอุตสาหกรรมอะไร บ้าง อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำจะยังอยู่ แต่วิธีการควบคุมจะเปลี่ยนไป ใช้ดิจิตอลและคนเข้าไปเกี่ยวข้องน้อยมาก พื้นที่อันตรายต่างๆคนไม่ต้องเข้าไปแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์จะเปลี่ยนไปเยอะ เพราะเครื่องยนต์สันดาปภายในจะล้าสมัย จะเป็นพวกรถไฟฟ้า อุตสาหกรรมอาหารยังอยู่ ระบบ automation เข้ามา อาหารจะสั่งแบบ Mass customization ไม่ต้องซื้ออาหารกระป๋องสำเร็จ แต่เราเลือกได้แล้วมาส่งให้เรา ตัวอย่าง มี โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง มีวิธีการทำธุรกิจแบบใหม่ ให้เร้านตัดเสื้อในเมืองเป็นเครือข่าย ต่อไปลูกค้าที่จะมาซื้อเสื้อ ไม่ต้องไปลองเสื้อตามร้าน แต่ให้ร้านตัดเสื้อวัดตัวแล้วตัดเสื้อ ส่งให้ถึงบ้าน เป็นการตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย อีกตัวอย่างบริษัทให้บริการลิฟท์ โทรไปแจ้งตึกว่าอีก 3 วันลิฟท์จะพัง จะส่งช่างเข้าไป เขามีการใส่เซนเซอร์ไว้ เพราะสมัยนี้ราคาถูกลง ทำได้หลากหลาย และแม่นยำขึ้น มีการวัดอุณหภูมิและกระแสไฟฟ้าที่เข้าไป ถ้าบริษัทลิฟท์อีกแห่ง ที่รอให้เสียแล้วค่อยไปซ่อม ใครจะขายได้ดีกว่ากัน การนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาจับ เราเรียกอุตสาหกรรม 4.0 หุ่นยนต์นี่แค่ 3.0 ญี่ปุ่นเขาใช้คำใหม่ เรียกว่า connected industry มี professor ท่านหนึ่ง บอกว่า อุตสาหกรรม 4.0 คือ real time enterprise เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นรู้ทันที เคยมีคนมานำเสนองาน ให้เปลี่ยนโรงงานเป็น 4.0 เวลานัดประชุมวันที่เท่าไร? ข้อมูลที่ใช้เวลา 45 วันกว่าจะประชุมแก้ไม่ทัน แล้วปัญหาอีกอย่างข้อมูลนั้นผิด ความสำคัญของข้อมูล อยากฝากนักลงทุน ต้องดูความถูกต้อง ความทันสมัย อุตสาหกรรมต้องเล่นเรื่องนี้ เอาดิจิตอลมาจับ สมัยก่อนขาดเทคนิคที่จะมาทำเรื่องเหล่านี้หรือมีเทคโนโลยีก็แพงมาก big data ไม่มีความหมาย สมัยนี้ประมวลผลได้แล้ว และมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการเสริมกัน พอประมวลผล big data ได้ ai ก็เกิดขึ้น แล้ว vr ar ก็เกิดขึ้นตาม ดร.นิเวศน์ ผลกระทบจาก ai สุดท้ายมนุษย์จะทำอะไร มนุษย์อยู่เป็นหมื่นปี สมองไม่ได้พัฒนาเท่าไร คนยุคเก่า มีสัตว์ที่อาจจะฉลาดพอๆกับมนุษย์ แต่เก่งขึ้นมาได้เพราะมีการร่วมมือกัน ประเด็นอยู่ที่ machine ฉลาดขึ้นทุกวัน โตแบบก้าวกระโดด มนุษย์ก็ได้ประโยชน์ เพราะใช้ machine ช่วยเราเพิ่มประสิทธิภาพ ถึงวันหนึ่งความฉลาดของ machine ถ้ามาเท่าไรและมากกว่าเรา จะตกงานกันหมด เพราะทำทุกอย่างได้ดีกว่าเราทั้งหมด ตำแหน่งงานต่างๆจะหายไป แล้วพอไม่มีงานก็ไม่มีเงินมาซื้อของ แล้วจะผลิตทำไม คุณเจน ต้องมองแบ่งเป็นยุค ในยุคนี้ IOT, 4.0 เรากำลังจะสร้างงาน เพราะคนตกงานตั้งแต่ 3.0 มี Automation แล้ว ยุค 4.0 จะมี อาชีพ 3 กลุ่มเกิดขึ้น 1) system integrator ต้องมีความรู้ digital, programing รู้ process การผลิต 2) คนสร้าง automation คนสร้างระบบ 3) Maintenance ต้องดูแลระบบเหล่านี้ ถัดมาในยุคที่ machine ฉลาดขึ้น คนต้องมา interface กับหุ่นยนต์ กับเครื่องจักร ในช่วงนั้นประชากรโลกจะค่อยๆลดลงด้วย ถัดมาในยุคที่ machine ฉลาดกว่ามนุษย์ คนต้องทำตัวให้น่ารักเหมือนสัตว์เลี้ยงมา entertain หุ่นยนต์ คุณวิวรรณ การลงทุนในอนาคตมอง 2 อย่าง ลงทุนไปตามเทรนด์คือเข้าเร็วออกเร็ว หมดยุคก็ออก กับอีกอย่างคือ มองยาวเลยว่าตัวไหนมีศักยภาพจะผ่านพ้นไปได้ ที่มองเป็นกลุ่มบริการ ต้องดูว่ากิจการมีอะไรที่เป็นจุดแข็งของเรา และเมื่ออยู่ในอนาคตจะยังอยู่ได้หรือไม่ คุณต่อศักดิ์ สินค้ายุคใหม่ที่เป็นแบบ startup หรือ digital ไม่ได้โตแบบ IRR มันไปแบบเท่าๆ อย่าง Lazada ขาดทุน แต่ Alibaba ซื้อในราคาสูงมาก ซึ่งถ้าคิดตามบริบทเดิมจะไม่มีใครซื้อ startup ถ้าทำ 100 ตัว เจ๊ง 90 ตัว สำเร็จ 3 ตัว รวยเละ บริษัทขนาดใหญ่อย่างในสิงคโปร์ หรือ AIS ก็ทำเรื่องพวกนี้ อย่างกลุ่ม ช้าง ก็ทำด้านดิจิตอล ซึ่งให้เร็วสุดก็ต้อง M&A สินค้าพวก Bitcoin โตมาก และไม่ได้มีแค่ bit coin ยังตัวอื่นเต็มไปหมด แล้วจะเข้ามาทดแทนอะไรเต็มไปหมด และตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดร.นิเวศน์ ในการลงทุนยุคนี้ต้องเพิ่มปัจจัยในการคิดอีกอย่างคือ อะไรที่จะ disrupt ซึ่งอาจจะมาเร็วและแรงมาก หุ้นกลายเป็นแย่ได้ เช่น พวกที่เกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ ภายใน 10 ปี เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า และพวกชิ้นส่วนอะไรก็จะเหนื่อย คุณเจน เสริมชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะถูก disrupt คือพวกเครื่องยนต์ เช่น ท่อไอเสีย ชัดเจน แต่พวกล้อ ระบบกันสะเทือน สปริง โช๊คอัพ เบาะ ยังอยู่ ต้องแยกแยะ และชี้ให้ชัด คุณวิวรรณ ในอดีตเมื่อมี Technology disruption จะเกิดจราจล จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มี คนไม่มี และคนที่มีเยอะ อย่างแอฟริกาในอนาคตจะมีประชากรเป็น 25 % ของโลก แต่ไม่มีอะไรเลย ต้องสร้างสังคมที่ลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส
โดย
i-salmon
เสาร์ ส.ค. 19, 2017 7:32 pm
0
8
Re: """งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2"""">>>จอง 16 ส
i-salmon / สมาชิกสมาคม / 1 ที่นั่ง / 1,350.07 บาท / kbank / 16-08-2560 / 10:02
โดย
i-salmon
พุธ ส.ค. 16, 2017 10:04 am
0
0
Re: Money talk@mai Forum 1 July 17
ขอบคุณครับพี่อมร
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ค. 02, 2017 10:51 pm
0
3
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
ขอบคุณครับพี่อมร ขยันมว้ากก
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 10:21 pm
0
2
Re: สรุปสัมมนา VI Knowhow charity#4(Nov2016)
อีกตัวอย่าง Drogba นักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ตอนอายุ 23 ปี เขาเคยเป็นอดีตนักเตะฝึกหัดของ Man UTD ที่ไม่ได้ลงเลย Juventus มาซื้อไป 1 ล้านปอนด์ จนผ่านไป 3 ปี มีแววรุ่ง Man UTD ซื้อกลับจาก Juventus 89 ล้านปอนด์ เรื่องนี้สอนว่า หุ้นเล็ก เหมือนวัยเด็กยังไงก็มีโอกาสสูงขึ้นได้มากกว่าวัยรุ่นหรือผุ้ใหญ่ ซื้อหุ้นเล็ก อาจมีพลาดบ้าง แต่ถ้าถูก 2 จาก 3 ก็เพียงพอให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ จริงๆคือ Paul Pogba ครับ ส่วน Drogba เคยเป็นนักเตะเชลซี 5555 ขอบคุณครับ พี่ newbie_12
โดย
i-salmon
จันทร์ พ.ย. 28, 2016 9:29 pm
0
0
Re: สรุปสัมมนา VI Knowhow charity#4(Nov2016)
ขอบคุณครับพี่อมร ^^ ช่วงนี้งานเข้าจนดึกอีกแล้ว ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ไว้จะเสริมนะครับ
โดย
i-salmon
จันทร์ พ.ย. 28, 2016 9:27 pm
0
0
Re: สรุปสัมมนา VI Knowhow charity#4(Nov2016)
แว้ก พิมพ์ผิด วันนี้มาไม่ทัน**ช่วงพี่มนตรี จดก็ไม่ได้ครบตลอดครับ (ขาดต้นกับท้าย) ไว้มาอัพเดตหัวข้อทุนนิยมไทยครับ
โดย
i-salmon
อาทิตย์ พ.ย. 27, 2016 9:02 pm
0
1
Re: สรุปสัมมนา VI Knowhow charity#4(Nov2016)
วันนี้มาไม่ทันช่วยพี่มนตรี จดก็ไม่ได้ครบตลอดครับ >< ขอแชร์ในส่วนที่ผมจดได้เรียบร้อยก่อนละกันครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ มีใครแชร์เพิ่มเติมไว้จะขออ่านด้วยคน แฮ่ ^^ วันนี้ก็ได้สาระความรู้ ได้ข้อคิด เชื่อมโยงความคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อีกเยอะเลย ขอขอบคุณวิทยากร ผู้ร่วมจัดทุกท่าน อีกครั้งครับ Investment FAQ พี่คเชนทร์ … เป็นการรวบรวมคำถามที่มักมีคนถามเข้ามา โดยจะตอบและถามให้คิดตามด้วย เพราะอยากให้เข้าใจความสำคัญการรู้จักถาม พี่คเชนทร์เล่าฟังรายการวิทยุ อ.สมภพ เล่าถึง คุณมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ในการสอนลูกสาว ว่ามีความตั้งใจเรื่องเดียวเลย ที่ต้องสอนให้มีให้ได้ คือ “อยากรู้อยากเห็น” เป็นคุณสมบัตินำไปสู่การตั้งความถาม ถามจากผู้รู้ ถ้าไม่มีผู้รู้ตอบให้เรา เราก็ต้องหาคำตอบเอง องค์ความรู้ ต่างๆ ที่เราได้เพิ่มหลายอย่างมาจากการตั้งคำถาม คำถามที่ 1 หุ้นไทยยังน่าลงทุนไหม? คำตอบ สมัยก่อนหุ้น PE ต่ำ 10 เยอะมาก จึงเป็นเหมือน Rule of Thumb หุ้นถูกต้อง PE ต่ำ 10 แต่ยุคนี้หาได้น้อยมาก หุ้นธุรกิจดี แข็งแกร่ง PE 20-25 บางตัวไปถึง PE 50, 70 ก็มี แพง ดี แย่ เป็นความเห็น ความรู้สึก เราต้องใช้ ปัจจัย คุณภาพ และปริมาณ ตัวอย่าง ถ้าเราเปิดร้านขายของ แล้วถามว่าสินค้าขายดีไหม? เราอยากได้คำตอบว่า ขายดีเรื่อยๆ กับ ขายได้ 1 หมื่นบาท จากปกติ 6 พันบาทต่อวัน อยากได้คำตอบแบบไหน? จากข้อมูลย้อนหลังจากปี 95 ถึงปี 15 ทุก 5 ปี มาดู ได้แก่ SET PE, SET Earning yield, ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของรัฐบาล จะได้ => Earning yield gap ถ้าสูงคือหุ้นมีแนวโน้มถูก จากปี 2000 11.6% เหลือปี 15 ที่ 1.9% ขณะเดียวกันผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีก็ต่ำมาก PE ตลาดหุ้นสูงขึ้นค่อนข้างมากจึง แต่ยังเห็น Earning yield gap เป็นบวกอยู่ สิ่งที่เราจะเจอก็อาจไม่เห็นหุ้นขึ้นแรงๆ เพราะใกล้เคียง 0 ถ้า earning yield gap ติดลบ การซื้อพันธบัตรอาจจะคุ้มกว่า ภาพที่น่าจะเจอคือตลาด side way โครงสร้างธุรกิจหรือกฏหมายประเทศไทยยังแข่งขันน้อยน้อย กฏหมายป้องกันผูกขาย ผังเมืองไม่เมแข็ง นำไปสู่ winner takes all มีอยู่ในหลายอุตสาหกรรม => Oligopoly ทำให้ ROE สูง ตัวอย่าง ร้านสะดวกซื้อ ศูนย์การค้า Hypermarket รพ. ปูนซีเมนต์ ทำไมถึง ROE สูง เพราะว่า ROE = Net profit / Equity = (Net profit/Sales) x(Sale/Equity) = Net profit margin x Sale/Equity แปลว่า ความสามารถในการขายเทียบกับ Asset สูง ROE ของ sector ดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิน 15% เช่น Cpall 37.4%, Makro 40.2 % ไม่มีคู่แข่งใน sector หรือธุรกิจสื่อสารก็แข่งขันน้อยราย Advanc 80.6% , หรือกลุ่มอื่นๆ เช่น AOT 16.8%, SCC 22.5% เปรียบเทียบกับภูมิภาค ตัวอย่างเช่น ROE รพ. หรือ ค้าปลีก ที่ไทยก็สูงกว่าที่ต่างประเทศ ทำไม GDP จีนโตสูงกว่าไทย แต่ทำไมหุ้นจีนถึงไม่ได้ผลตอบแทนดีเมื่อเทียบกับไทย? คำตอบคือ ความเป็นเจ้าของกิจการคนจีนมีสูง จึงมีการแข่งขันสูง ผลตอบแทนของทุนจึงต่ำ สำนวนไทย “สิบพ่อค้าไม่เท่ากับหนึ่งพญาเลี้ยง” ชี้ให้เห็นว่าค่านิยมคนไทยชอบการอุปถัมภ์ ทำงานบริษัทใหญ่มั่นคง ยังมีกลุ่มที่ได้เปรียบการแข่งขัน? Ans. เราไม่ได้ซื้อตลาด อย่างประเทศ สเปน, ญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจตกต่ำ แต่หุ้นบางตัว อย่าง Zara, Uniqlo ได้ผลตอบแทนมหาศาล ถ้ามองว่าเมืองไทย วันนี้ทำอะไรได้ดีกว่าชาวบ้านบ้าง? 1.การท่องเที่ยว – กรุงเทพ มีต่างชาติมาเยี่ยม อันดับต้นๆ 2-4 ซึ่งดีกว่า โรม หรือปารีส หรือเมืองรองๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา อันดับ 17-18 รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2015 2.23 ล้านบาท GDP 2015 13.5 ล้านล้าน รายได้จากการท่องเที่ยว16.5 % ของ GDP Medical tourism เป็นอาณิสงค์ การจัดลำดับของต่างประเทศก็จะเห็นประเทศไทยติดอันดับ 1 Future trend มองว่า นักศึกษาจีนจะเข้ามาเรียนในไทย มากขึ้น เพราะ นศ.จีนมีที่สอบเข้า มหาวิทยาลัยไม่ติด 5 ล้านคน มีบางส่วนไปเรียนที่ อังกฤษ, อเมริกา แต่ถ้าฐานะที่จ่ายไม่ถึงก็จะเข้ามาเรียนในเมืองไทย เมืองไทย จะเป็น อังกฤษแห่งเอเชียวันออกเฉียงใต้ หรือ มณฑลเสมือนของจีน ต้องเป็นผู้นำในธุรกิจบริการ จะผลิตสินค้าบริการแข่งกับประเทศที่ต้นทุนถูกกว่าคงยาก อีกอย่างเราก็เป็นประเทศที่ใกล้จีนเขาสามารถมาเที่ยวเราได้ง่าย ปีหนึ่งมาเที่ยวเป็น 10 ล้านคน สรุปคือ โอกาสในหุ้นรายตัวยังมีอยู่มาก มีหุ้นที่ขึ้นเกิน 2 -3 เท่ามีหลายตัว ต้องเลือกให้ถูกตัว คำถามที่ 2 เราควรสนใจดัชนี หรือ timing ตลาดไหม? คำตอบ ขอถามกลับว่า… 1.ความแม่นยำในการทำนายตลาดถูกของเรากี่ % ? คนที่แม่นสุดอาจจะ 60% โอกาสผิดก็อาจจะเกือบครึ่งเลย 2. ถ้าตลาดลงแน่ จะขายหมดพอร์ตไหม? แล้วถ้าคิดผิดทำอย่างไร? 3. ถ้าขายบางส่วน จะขายตัวไหน? ส่วนใหญ่จะเลือกขายตัวเขียว เก็บตัวแดง จากสถิติมักพบว่าหุ้นเขียวเป็นตัวที่เราคิดถูก แต่สีแดงเป็นหุ้นที่คิดผิด เข้าข่ายเก็บดอกไม้ รดน้ำวัชพืช 4. เมื่อตลาดกลับตัว แล้วหุ้นขึ้นกลับมาแพงกว่าราคาที่ขายไป? ส่วนใหญ่จะทำใจซื้อไม่ได้ เพราะมันแพง ถ้าตอบ 4 คำถามนี้ได้ และทำตามได้ ก็น่าจะ timing ได้ แต่ถ้าไม่กล้า เราจะเสียหุ้น super stock ในการ panic และเก็บหุ้นไม่ดีไว้ในพอร์ต ในอดีตมีเหตุการณ์ให้ Panic ตลอด การเมือง โรคระบาด มีเหตุให้กลัวตลอดเวลา หุ้นที่ Strong หลายตัว ทำ All time high หลังตลาด Panic เช่น Beauty, BCH, TKN, CBG, MALEE ปีที่หุ้นลงแบบ Subprime มีอยู่เพียง 3 ปี ในรอบ 20 ปี ซึ่งหุ้นลงมากกว่า 40% (ปี 40,43,51) ใน กรณีนั้นคงยากที่จะได้ผลตอบแทนดี แม้จะเลือกหุ้นดีอย่างไร แต่นั่นก็จะทำให้ Market timing ได้เปรียบคือ 3 ปี จาก 20 ปี คิดเป็น 15% คำถามที่ 3 ไหนบอกหุ้น PE ต่ำดี ทำไมหุ้น PE สูงขึ้นเอาๆ ? ตอบ จอห์น เนฟ กล่าวว่า “ซื้อหุ้น pe ต่ำ ต้องแยกให้ออกระหว่างหุ้นที่ไม่มีอนาคต กับหุ้นมีอนาคตแต่ถูกมองข้าม” หุ้นส่วนใหญ่ของหุ้น PE ต่ำเป็นแบบแรก แต่ถ้าเราเจอหุ้น มีอนาคตแต่ถูกมองข้าม เจ๋งเลย แต่ต้องมีศิลปะ ทุกวันนี้มีแต่หุ้น PE สูง สิ่งที่ต้องดูคือ คุณภาพของกำไร 1. ความสม่ำเสมอของรายได้ บางธุรกิจมักเป็นฐานของปีหน้าได้ มี recurring revenue แต่บางธุรกิจต้องเริ่มต้นใหม่ทุกปี เช่น อสังหาฯ ลูกค้าที่ซื้อบ้านปีนี้ โอกาสน้อยมากที่จะซื้อบ้านซ้ำในปีหน้า หรือธุรกิจที่ประมูลงานปีต่อปี หรือ backlog 2-3 ปี 2. ความสม่ำเสมอของ Net profit margin ต้องมี 5 force แข็งแรง อำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง สามารถปรับราคาได้ 3. Cash flow ธุรกิจที่ขายเงินสด มีคุณภาพดีกว่าขายเป็นลูกหนี้ การค้า เพราะมีความเสี่ยงจะเก็บไม่ได้ และเราไม่ได้เงินสด ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงในการเติบโต 4. ต้องลงทุนมากไหมเพื่อให้ได้กำไรเพิ่ม 1 บาท บางธุรกิจลงทุกนิดเดียว สร้างยอดขายหรือกำลังผลิตได้มาก เช่น Cpall 1 สาขา ลงทุนไม่กี่ล้าน หรือให้แฟรนไชส์ลงทุนแทน หรือ โรงกลั่นจะเพิ่มโรงใหม่ลงทุนหลายหมื่นล้านบาทจึงสร้างได้ เปรียบเทียบหุ้น PS กับ BDMS 3 ปีที่เฉลี่ย กำไรใกล้เคียงกันมาก และเติบโตสูงด้วย แต่พบว่า PS PE 8 กับ BDMS PE 37 ปีนี้ PS ราคาลง ทั้งที่ PE 8 ควรจะเสี่ยงน้อยกว่า PE 37 เพราะ กำไรลดลง 13% เป็นสิ่งสะท้อนว่าลูกค้าปีที่แล้วไม่ได้เป็นลูกค้าของปีนี้ ธุรกิจใหม่ของพฤกษา จะปลุกปั้นโรงพยาบาลย่านสะพานควาย Key success คือต้องมีทีมแพทย์ ทีมบริหารที่เพียงพอ คำถามที่น่าสนใจคือ 10 ปีที่ผ่านมา มีโรงพยาลที่เปิดใหม่ โดยมี ทีมใหม่, ทีมแพทย์ใหม่ๆ หรือไม่? คำตอบคือแทบไม่เห็น สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจนี้มี Barrier to Entry สูงพอสมควร ต้องทนขาดทุน 3-5 ปี ผลของบริษัทที่คุณภาพกำไรดี มี dividend payout ratio สูง ทำกำไรเป็นเงินสด และใช้ capex ต่ำ เติบโตโดยไม่ต้องเพิ่มทุน เมื่อ dividend payout สูง Equity ต่ำ เพราะไม่เพิ่มขึ้น ROE ก็สูงตาม ROE ยิ่งสูง ยิ่งดี มีปัจจัยทางธุรกิจสนับสนุนหลายอย่าง ซึ่งไปสะท้อนที่ ROE ทั้งหมด ปัจจัยที่ทำให้ PE สูง หรือต่ำ ได้แก่ การเติบโต,ความเสี่ยงทางการเงิน, DE, ความสม่ำเสมอของรายได้, ธรรมาภิบาล ไม่ได้บอกว่าหุ้น PE สูงต้องดี ใครก็อยากได้หุ้น PE ต่ำ ที่คุณภาพดี สมัยนี้ VI เยอะกว่าสมัยก่อนมาก 15 ปีก่อน หุ้น PE 6-8 เท่ามีเยอะ เหมือนทะเลสาบที่ปลาเยอะ แต่คนตกปลาน้อย ทุกวันนี้ทุกตารางนิ้วมีคนตกปลา ยิ่ง PE สูง ก็ยิ่งต้องระวัง สะท้อนความคาดหวังที่สูงมาก เราเลือกที่จะจัดการความเสี่ยงของเราได้ ต้องมีความรู้ให้มากพอในการลงทุน คำถามที่ 4 การลงทุนให้สำเร็จ ต้องใช้เวลาเยอะไหม? คำตอบ เวลาไม่ได้แปลผันตรงเสมอไป และเราสามารถใช้เวลาในชีวิตศึกษาหุ้นได้ สังเกตตลอดเวลา , หาข้อมูล shopping, ท่องเที่ยว ตั้งคำถามว่า ใน 7-11 มีสินค้าที่เป็น หุ้น บลจ. กี่ตัว? คำตอบ 28 ตัว (จากการสังเกต 15นาที) เช่น CPALL, OISHI, CPF หรืออย่าง JCT(ลูกอมฮัดสัน) มีคำถามให้กลับไปคิดต่อว่าใน Central หรือ the mall มีหุ้นกี่ตัว? ในชีวิตเราจะสามารถเห็นสินค้าบลจ.ได้ไม่ต่ำกว่า 40 บริษัท ลองสำรวจกิจการที่เราสนใจ อยู่ใกล้ตัวเราและใช้เวลาไม่เยอะ นอกจากนี้ Idle time เราบริหารอย่างไร? ใครทำได้ดีกว่าจะชนะ รถแข่งที่แข่งขันตลอด 24 ชม. คันที่ชนะไม่ใช่คันที่เครื่องแรงสุด แต่เป็นคันที่ใช้เวลาอยู่ใน Pitch หรือ service น้อยที่สุด แต่ละวันมี idle time มากมาย เราเลือกจะทำอะไร? สิ่งสำคัญคือ ความสม่ำเสมอ ความมีวินัย ตัวอย่าง Long march คือการเดินทัพของ เหมา เจ๋อ ตุง ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะเจียงไคเช็ค แข็งแกร่งกว่า ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา ต้องหนีไปทางเหนือของจีน เป็น 10,000 km ใช้เวลา 365 วัน เดินวันละเกือบ 30 Km มีคนเหลือรอดไม่ถึงครึ่ง แต่สุดท้ายใช้วิธีป่าล้อมเมืองกลับมาโค่น เจียงไคเช็คได้สำเร็จ การจะทำอะไรสม่ำเสมอได้ ต้องมี Passion มีวินัย อีกตัวอย่าง นักสำรวจกลุ่ม 1 ตั้งใจเดินทุกวัน 20 km กับกลุ่ม 2 ตั้งใจเดินวันที่อากาศดีๆเยอะ อากาศแย่ๆเดินน้อยหน่อย ผลออกมากลุ่มแรกไปถึงก่อน อากาศแย่ๆ นั่นคือ อุปสรรค ความเบื่อ ความขี้เกียจ สิ่งเหล่านั้นมาหยุดยั้งเราหรือเปล่า? คำถามที่ 5 พอร์ตยังเล็ก ควรซื้อหุ้น Blue chip ไหม? คำตอบ ตัวอย่าง คุณเอ ศุภชัย กับ อั้ม พัชราภา งานของคุณเอ คือ หาเพชรในตม มาปั้น และประสบความสำเร็จก็ ได้ส่วนแบ่งค่าตัว ค่าแสดง ซึ่งดาราที่อยู่ใต้คุณเอ เช่น ณเดชน์, มาริโอ้ ถ้าเราเป็น VI ก็อยากทำแบบคุณเอ ได้ ตัวอย่าง เคยไปดู ปลาคาร์ฟ ตันโจ ตัวโต ราคา 3-5 หมื่นบาท สวยมาก จุดเด่น ตัวขาว หัวแดง เกิดคำถามว่า ถ้าจะซื้อปลาราคานี้ ทำไมเราไม่ซื้อ ตัวเล็กๆ 3-4 พันบาท แล้วก็เลี้ยงให้โต จึงซื้อมาเลี้ยง จนมันโต ปรากฏว่า มันไม่มีจุดแดงแค่หัว แต่มันมีจุดแดงเล็กๆเต็มตัวเลย ภรรยาจึงเอากลับไปถามฟาร์มปลา ว่าทำไมโตมาแล้วไม่เหมือนในรูป(ตัวขาว หัวแดง) คำตอบเขาคือ ถ้าอยากได้ในรูปก็ให้ซื้อตอนโตแล้ว จะได้มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนี้แน่ๆ ถ้าซื้อตอนเด็ก มันก็มีความเสี่ยงที่จะโตมาไม่เป็นแบบนี้ หรือตายไปก่อน มันตอบโจทย์ว่า ทำไมเราไม่ซื้อปลาตอนตัวยังเล็ก ราคา 3-4 พันบาทแทน อีกตัวอย่าง Drogba นักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ตอนอายุ 23 ปี เขาเคยเป็นอดีตนักเตะฝึกหัดของ Man UTD ที่ไม่ได้ลงเลย Juventus มาซื้อไป 1 ล้านปอนด์ จนผ่านไป 3 ปี มีแววรุ่ง Man UTD ซื้อกลับจาก Juventus 89 ล้านปอนด์ เรื่องนี้สอนว่า หุ้นเล็ก เหมือนวัยเด็กยังไงก็มีโอกาสสูงขึ้นได้มากกว่าวัยรุ่นหรือผุ้ใหญ่ ซื้อหุ้นเล็ก อาจมีพลาดบ้าง แต่ถ้าถูก 2 จาก 3 ก็เพียงพอให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ ข้อคิดจิตวิทยาลงทุน Man UTD ไม่ได้ยึดว่าเคยขายไปถูก แล้วซื้อกลับมาแพงเพราะมองว่าใช้ก็ยังคุ้ม หรืออย่าง CP ขาย Makro ไปราคาต่ำ แล้วซื้อกลับที่ 188,xxx ล้านบาท (ทั้ง 2 เคสเป็นการทำถูกต้องตามหลักจิตวิทยาลงทุน ส่วนคุ้มหรือไม่คุ้ม เป็นอีกเรื่องไม่เกี่ยวกัน) คำถามที่ 6 อะไรคือตัวบอกว่าเราไม่มั่นใจเกินไป(Over-Confident)? คำตอบ ถ้ามีคนมาถามแล้วเราเข้าใจมันดี สามารถอธิบายเหตุผลได้ เข้าใจความเสี่ยง สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือ Over-Concerned ไม่มั่นใจในหุ้นที่เลือกมา ทางแก้คือ ศึกษาข้อมูลให้มากพอ มั่นใจ มองว่า Confident คือกระจกหน้า คนเราสนใจผลตอบแทน กระจกหลังคือ อดีตหรือความเสี่ยง ต้องมองกระจกหลังด้วย คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าเราขับรถมองกระจกหลังมากกว่ากระจกหน้า เราจะไปถึงที่หมายหรือไม่? มีตัวอย่าง รุ่นน้องคนหนึ่งที่มาปรึกษาว่า หุ้นดีมาก ทำใจซื้อ BH ไม่ลง มีแห่งเดียว เทียบกับ BGH มีหลายแห่ง ถ้าไฟไหม้ BH ทุกอย่างจบ ก็ได้ตอบไปว่าไม่ได้ถือตัวเดียวในพอร์ต ถ้าเสียหายก็ 10-20% พอร์ต สุดท้ายการลงทุน BH ครั้งนั้นก็ได้ผลตอบแทนดี หุ้นทุกตัวมีปัจจัยเสี่ยง หรือมีเหตุทำให้มันแย่ได้หมด แต่มันจะโอกาสเกิดแค่ไหน ข้อดีของรุ่นน้องคนนี้ก็จะเป็นคนที่มอง risk management ได้ดี ทำอย่างนี้มีโอกาสชนะแน่ 1) รู้ข้อมูลหุ้นที่ลงทุนมากกว่านักวิเคราะห์หรือผู้จัดการลงทุน (ผู้จัดการ Focus หุ้น 40 ตัว แต่เรา Focus 10-14 ตัว) 2) หาหุ้นที่ไม่มีบทวิเคราะห์ แต่สุดท้ายนักวิเคราะห์ให้ความสนใจ 3) นักวิเคราะห์หุ้นบางคนวิเคราะห์ แต่ไม่เคยเดินไปสำรวจของจริง หรือไปใช้ผลิตภัณฑ์ จุดเด่นนักลงทุนมี Passion สูง อยากเปลี่ยนหลัก อยากมีอิสรภาพ เพิ่มพอร์ตถึงเป้าหมาย มีความสุขใช่ไหม? วันก่อนอ่าน fb ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นับถือ โพสต์ว่า “เงินไม่ใช่ความสุข แต่คนโพสต์แบบนี้ได้ต้องมีเงินก่อนนะจ๊ะ” ที่พูดก็เป็นจริง มนุษย์มีฮอร์โมนสร้างความสุข 3-4 ตัว ฮอร์โมนจะหลั่งเมื่อเราสร้างความสำเร็จได้ แต่ฮอร์โมนนี้จะหลั่งน้อยลง เมื่อเราได้รับความสำเร็จเดิมๆ เช่น การได้กินหูฉลาม หรือมิชลินสตาร์ ครั้งแรกเราจะมีความสุขมาก เป็นความสำเร็จ แต่พอเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะลดลงจนเป็น 0 มนุษย์จึงต้องหา ความสำเร็จใหม่ หรือใหญ่ขึ้น เพื่อรักษาความสุขต่อไป ถ้าเป้าหมายลงทุนคือ พอร์ต 100 ล้าน ไปถึงแล้วและยังลงทุนต่อไป ถ้า 10 ปีผ่านไป พอร์ตเขาไม่ขาดทุน แต่ยังมี 100 ล้านอยู่เหมือนเดิม เขาจะมีความสุขไหม? สุดท้ายก็ยังไม่เคยเห็นใครบอกว่าได้ 100 ล้านแล้วหยุด ก็ยังอยากให้เพิ่มขึ้นทุกปีต่อไป เศรษฐีระดับหมื่นล้าน แสนล้านทำไมยังทำงานหนัก ยังขยายกิจการอยู่เรื่อง เพราะเขาต้องการให้ฮอร์โมนตรงนี้หลั่งเรื่อยๆ คือ ความสำเร็จ แล้วเมื่อไรจะมีความสุข หรือจะพอ ? ฮอร์โมนความสุขไม่ได้มีตัวเดียว เราเลือกให้ตัวอื่นหลั่งได้ โดยไม่ต้องเป็นเรื่องความสำเร็จ 1. ความสัมพันธ์ที่ดี กับ ครอบครัว กับคนรัก กับเพื่อน ฮอร์โมนที่เกิดจากความรักก็จะหลั่งออกมา 2. ช่วยเหลือคนอื่น ทำให้คนอื่นมีความสุข ก็ทำให้ฮอร์โมนหลั่งได้เหมือนกัน 3. ความสุขสงบในจิตใจ ก็ทำให้ฮอร์โมนสร้างความสุขสร้างได้เหมือนกัน 4. อื่นๆ เช่นการเล่นกีฬา สุดท้ายตอนมีเงิน 10 ล้าน กับมีเงิน 100ล้านอาจจะมีความสุขเท่าเดิมก็ได้ Q&A • ถามความเห็นเกี่ยวกับ ROE,PBV ของ Cpall ? Ans. ROE สูงไม่ได้ดีเสมอไป ต้องดูเป็นแนวโน้มด้วย สูตรระหว่าง PBV PE ROE มีความสัมพันธ์กัน Cpall ROE สูงมานานแล้ว ถ้าซื้อราคานี้คือซื้ออดีต ปัจจุบัน และหวังว่าอนาคตจะขึ้นไปอีก • จากกลุ่ม thaivi สิ้นปี 55 รุ่นแรก ถึงวันนี้มีประสบการณ์แชร์อย่างไร? Ans. สมัยนั้นคนเลือกหุ้นบอกว่าแพง ไม่เคยมีสมัยที่คนบอกว่าตลาดถูกมาก หุ้นน่าซื้อ มีแต่ความรู้สึกว่าหุ้นแพง รู้สึกเกือบๆหมดหวัง แต่ช่วงที่ผ่านมาเห็นหุ้นขึ้น 50-100% เป็นสิบยี่สิบตัว เราต้องอยู่ด้วยความหวัง อย่าเชื่อว่าหุ้นแพงทุกตัว (ไม่นับหุ้นปั่น) แค่เลือกให้ถูก 1-2 ตัวก็ทำให้ผลตอบแทนดีได้ • เลือกอย่างไร ระหว่าง หุ้นโตเร็ว 5 force ไม่แข็งแรง vs หุ้นแข็งแกร่งแต่โตไม่เร็ว? Ans. มีเซียนหุ้นคนหนึ่งบอกว่า หุ้นดีต้องมีตำหนินิดหน่อย ต้องซื้อด้วยความไม่สบายใจบางอย่าง หุ้นหลายตัวที่ Upside เยอะๆ มันจะมี เอ๊ะ หรือจะไหวหรอ ต่างจาก superstock สรุปชอบหุ้นโตเร็ว ระยะยาวราคาหุ้นแปรผันกับกำไร • ถ้ามีเงินสด ถือรอ หรือถือหุ้นปันผลดีๆ จะดีไหม? Ans. หุ้นปันผลดีๆ ต้องระวัง ว่าจะได้หุ้นแบบ AS ไหม? หรือหุ้นปันผลทุกไตรมาส อาจได้แบบ IT, SE-ED อย่าดูแค่ปันผล อยากให้ดูธุรกิจเป็นหลัก ราคาในอนาคต สัมพันธ์กับ Earning growth การปันผลสูงสะท้อน cash flow ที่ดี อย่าเอาหุ้นปันผลดี แต่กำไรลงทุกปี มีคนบอกหุ้นปันผลทุกไตรมาสมักมีอาถรรพ์ เพราะมัก payout 100% แสดงว่าไม่ได้มี investment ที่มีนัยสำคัญ เพื่อปกป้องการแข่งขัน หรือสร้างการเติบโตระยะยาว แสดงว่ากำไรไม่ถูก reinvest • หุ้นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ไม่มีบทวิเคราะห์ มี Case study ที่เราทำในอดีตไหม? หรือความผิดพลาดตรงไหน? Ans. หุ้น รพ. บางตัวไม่มีบทวิเคราะห์ ผบห.ไม่อยากเปิดตัว แต่ธุรกิจเราสามารถหาข้อมูลเองได้ ก็ลงทุนไปช่วง 1-2 ปี โดยไม่มีบทวิเคราะห์หรือกองทุนไปลง กำไรปีนี้โต 80% yoy ข้อดีคือถ้าเราทำการบ้านหนักก็ได้เปรียบ ไม่มีบทวิเคราะห์ช่วยคนอื่น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ขอแค่ผู้บริหารอย่าโกง อย่าไซฟ่อน • ถามมุมมอง PEG ในการเลือกหุ้น ? Ans. ยิ่งต่ำยิ่งดี ปัญหาคือ ตลาดยังไม่แพง บอก PEG ไม่เกิน 1 ทุกวันนี้ หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นดีๆ มี PEG ต่ำ 1 หรือไม่? (ต้องใช้ Growth เฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า ไม่ใช่เอาที่กระโดดปีเดียว) ต้องรู้จัก relax อย่าง PEG 1.5 หรือ 2 ถ้าอนาคตจะโตดีจริง ก็อาจจะกัดฟันซื้อได้ แต่ถ้า PEG 4 อาจจะสูงเกินไป ปิดท้ายเวลาคนไทยแยกจากกันจะชอบพูดว่า โชคดีนะ แต่คนญี่ปุ่นจะพูดว่า จงพยายาม พี่คเชนทร์ขอเอามารวมกัน ก่อนจากขอบอกทุกคนว่า "โชคดี และ จงพยายาม"
โดย
i-salmon
อาทิตย์ พ.ย. 27, 2016 5:11 pm
0
29
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
ขอบคุณพี่ earthcu มากครับ ที่ช่วยถ่ายทอดความรู้แทนคนที่ไม่ได้ไปฟังด้วยครับ เคยเจอกันที่ vi ชลบุรีแว่บๆ ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะแวะไปทักทายกราบไหว้นะครับ ^^
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ย. 11, 2016 2:57 pm
0
1
Re: Money Talk ภาคพิเศษ “ โลกของคนรุ่นใหม่ กับ MBA ยุคดิจิตอ
ขอบคุณครับพี่อมร ^^
โดย
i-salmon
อาทิตย์ พ.ค. 29, 2016 11:19 pm
0
2
Re: สรุป สาระสำคัญ ในการประชุม AGM ปี2559
ขอบคุณครับ พี่อมรไปเยอะมว้ากก สุดยอด
โดย
i-salmon
พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2016 8:35 am
0
2
Re: FROM RAGS TO RICHES
เพิ่งได้อ่าน ขอบคุณครับ :)
โดย
i-salmon
อาทิตย์ มี.ค. 20, 2016 3:44 pm
0
1
Re: แชร์ความรู้งานสังสรรค์ ThaiVI2559_19Mar2016
ขอบคุณ คุณ บิ๊กมากครับ เมื่อวาน เวลาผมน้อยไปนิด เลย เร่งจนลืมพูดว่า จริงๆ ผมอยากชื่นชม คนที่ โพสต์ดีๆหลายคน เลย rank ชื่อ คนที่โพสต์เยอะมา แต่ เอาจรืง ๆ เวลาจำกัด เลยเลือกคนที่ พอจะรู้จัก มาพูดก่อน หวังว่าครั้งหน้าๆ ผมจะมีโอกาส ได้นำเสนอท่านที่โพสต์ดีๆท่านอื่นอีก อีกอย่างที่ ผมไม่ได้พูดถึงคือ การที่ผมแนะนำ คนโพสต์ดีๆ ไม่ได้หมายความว่า ให้ไปลอกหุ้น นะครับ เพราะ การลอกหุ้นโดยปราศจากการคิด นั้นมีโอกาส ที่จะ ขาดทุนสูงมาก สิ่งที่ผมมุ่งเน้นคือ ตัวอย่างของ คนที่โพสต์ เพื่อ เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างสังคม ไทยวีไอที่ดี ในอนาคตครับ ขอบคุณครับพี่หมอเค ผมว่าการที่มีช่วงชื่นชมตัวอย่างที่ดี และพูดเรื่องการใช้เวบบอร์ดเป็นสิ่งที่ดีมากเลยครับ ตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้เข้าบอร์ดเท่าไร บางทีสนใจตัวไหนก็เข้ามาเปิดดูร้อยคนร้อยหุ้น อ่านข้อมูล ดูความเห็น แต่ก็กังวลๆไม่ค่อยที่กล้าโพสต์ข้อมูลหุ้นรายตัวมากนัก คิดว่าคงมีคนเป็นเหมือนกัน การออกมาพูดทำความเข้าใจ มีแนะนำแบบอย่างที่ดี น่าจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นครับ และกลุ่มพวกกะทู้ความรู้ทั้งหลายก็มีเก่าๆใหม่ๆ หลายๆอันลองกลับไปอ่านดูที่แชร์กันไว้ ดีมากๆเลยครับ คิดว่าเป็นประโยชน์ทั้งมือเก่ามือใหม่ที่จะอ่าน นอกจากการดูหุ้นรายตัวอย่างเดียว
โดย
i-salmon
อาทิตย์ มี.ค. 20, 2016 3:07 pm
0
3
Re: แชร์ความรู้งานสังสรรค์ ThaiVI2559_19Mar2016
กราบๆ จริงๆ รอบหน้า เสนอ สัมภาษณ์ คนจดนั้นแหล่ะ (ปีนี้ top form) :D แหม่ๆๆ นี่มันวิธีหนีการสัมภาษณ์ชัดๆ รอบหน้าช่วยกันผลักดันเมพ kongkiti ขึ้นไปแชร์ด้วยนะครับ :mrgreen: :mrgreen:
โดย
i-salmon
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 9:26 pm
0
10
Re: **วันนี้ 10.00 น. เปิดจองงานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559**
I-salmon / สมาชิกสมาคม / muaymahachai / บุคคลทั่วไป / 2 ที่นั่ง / 2,340.01 บาท / kbank / 29-02-2559 / 10:02 ขอแก้ไข **สมาขิกสมาคม 2 ที่นั่งครับ I-salmon / สมาชิกสมาคม / muaymahachai / สมาชิกสมาคม / 2 ที่นั่ง / 2,340.01 บาท / kbank / 29-02-2559 / 10:02
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.พ. 29, 2016 10:24 am
0
0
Re: **วันนี้ 10.00 น. เปิดจองงานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559**
I-salmon / สมาชิกสมาคม / muaymahachai / บุคคลทั่วไป / 2 ที่นั่ง / 2,340.01 บาท / kbank / 29-02-2559 / 10:02
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.พ. 29, 2016 10:03 am
0
0
Re: MoneyTalk@SET13Feb2016โลกมืออาชีพการเงินและนักลงทุนรุ่นใ
ขอบคุณมากเลยจ้า "นิธิวัฒน์" :mrgreen: :B 5555 แหม่ กลัวชื่อผมจำไม่ได้สินะ ขอบคุณครับ "คุณวราพรรณ"
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.พ. 14, 2016 12:32 pm
0
4
Re: MoneyTalk@SET13Feb2016โลกมืออาชีพการเงินและนักลงทุนรุ่นใ
...แชร์เพิ่มเติม... อ.เสน่ห์ มีเรื่องเล่าชาวจีน เกี่ยวกับการสืบทอดแนวคิดรุ่นต่อรุ่น เจ้าสัวกำลังจะเสียชีวิต ได้สั่งเสียให้กับอาตี๋ลูกชาย ในการดูแล ธุรกิจต่อ ให้ทำตาม 4 ข้อ ดังนี้ 1) ไปทำงานอย่าให้โดนแดด 2) กินอาหารต้องกินให้อร่อยๆ 3) ไม่ต้องลงบัญชี 4) ให้กลับบ้านดึกๆ สั่งเสียเสร็จแล้วเจ้าสัวก็เสียชีวิตจากไป อาตี๋ฟังแล้วก็คิดว่า 4 ข้อนี้ ง่าย สบายมาก ก็นำไปปฏิบัติตามทุกวัน ทำงานไม่โดนแดด กินอาหารอร่อย ไม่ลงบัญชี กลับบ้านดึกๆ ปรากฏว่าบริหารธุรกิจไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจก็เจ๊ง อาตี๋ก็เสียใจไลน์ไปคุยกับอาเตี่ยบนสวรรค์ โวยวายว่าทำไมทำตามที่สั่งเสียแล้วธุรกิจจึงเจ๊ง เจ้าสัวจึงอธิบายความหมายที่สั่งเสีย ให้ฟังว่า ข้อ 1 ไปทำงานอย่าให้โดนแดด คือ => ต้องไปแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ข้อ 2 กินอาหารต้องกินให้อร่อยๆ คือ => อย่ารีบกิน รอให้หิวค่อยกิน คนหิวกินอะไรก็อร่อย ไม่ต้องกินอาหารแพงๆก็อร่อย ข้อ 3 ไม่ต้องลงบัญชี => ให้ค้าขายเป็นเงินสด ถ้าซื้อเงินเชื่อ ลงบัญชีไว้ ตลอดก็เจ๊งหมด ข้อ 4 ให้กลับบ้านดึกๆ => อย่ารีบกลับ ให้คนอื่นกลับหมดจะได้ปิดน้ำปิดไฟ (ไม่ใช่ให้ไปเที่ยวเล้าจน์ เที่ยวผับ) ....ข้อคิดสำคัญของเรื่องนี้.... ผมคิดว่าเป็นตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดหรือวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ซึ่งแตกต่างกับคนรุ่นเก่ามาก ที่ไม่ต้องลำบาก ดิ้นรนจากศูนย์ สามารถใช้ชีวิตสบายและมีอิสระ ทำให้มุมมองการรับรู้ด้วยข้อความเดียวกัน แต่ความหมายกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง :D
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.พ. 14, 2016 12:28 pm
0
14
Re: Money Talk @ SET 9 มค 16 หุ้นเด่นปี59 และ กลยุทธ์วีไอปี5
ขอบคุณมากครับพี่อมร :D ขออภัยที่ตามไปช่วงบ่ายไม่ทัน ติดภารกิจครับ
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ม.ค. 10, 2016 7:41 am
0
4
Re: สัมมนา ถอดรหัส The Real Deal 2015 ภาคหุ้นอสังหาริมทรัพย์
ขอบคุณครับพี่ ขยันฝุดๆ
โดย
i-salmon
อาทิตย์ พ.ย. 29, 2015 1:25 am
0
3
Re: สัมมนา อนาคต เศรษฐกิจ และ การลงทุนปี 2016 โดย ดร สมคิด
ขอบคุณมากครับ
โดย
i-salmon
พุธ พ.ย. 04, 2015 9:19 pm
0
0
Re: MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์
เดี๋ยวผมส่งช่วงที่2 มาให้ พักผ่อนกันก่อนนะ ขอบคุณครับ พี่ก็ควรรีบพักผ่อนด้วยครับ ช่วงนี้เค้าฮิตไอแค่กๆกัน
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ต.ค. 18, 2015 12:38 am
0
2
Re: MoneyTalk@SET17Oct15MBAประตูความสำเร็จ?&เลือกหุ้นจัดพอร์
Thank you ja. :D ขอบคุณครับพี่นุช นอนดึกไม่ดีนะฮ๊าฟ พักผ่อนๆ
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ต.ค. 18, 2015 12:26 am
0
1
Re: MoneyTalk@SET19Sep15หุ้นใหม่ipo&เป้าหมายชีวิตพิชิตการลงท
@amornkowa @ลูกหิน ขอบคุณครับ กำลังพยายามหายป่วยอยู่ @Jeng ขอบคุณที่ช่วยแก้ไขครับ @chakapun @theenuch ขอบคุณครับ :D
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2015 6:47 pm
0
2
Re: MoneyTalk@SET19Sep15หุ้นใหม่ipo&เป้าหมายชีวิตพิชิตการลงท
ช่วงที่ 1 หัวข้อ "เจาะลึกหุ้นน้องใหม่ IPO" 1) คุณพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. การบินกรุงเทพ จำกัด - (BA) 2) คุณสุรศักดิ์ เข็มทองคำ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส 11 กรุ๊ป จำกัด - (S11) 3) คุณชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด - (WICE) 4) คุณไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. อาซีฟา จำกัด - (ASEFA) ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช ดำเนินรายการ Intro หุ้น ipo น่าสนใจอย่างไร? หมอเค นักลงทุน vi มีภาษาว่า ipo คือ it’s probability over price แต่ถ้ามองในแง่ธุรกิจมีบางโอกาสที่จะขยายธุรกิจ แม้ช่วงแรกจะมีการเก็งกำไรกันในราคา แต่ระยะเวลาผ่านไปก็อาจจะมีจังหวะที่น่าสนใจในการลงทุน อ.ไพบูลย์ เสริมก่อนซื้อต้องทำความรู้จักบริษัทให้ดี หมอเคแนะนำบริษัท BA ขณะที่สายการบินแข่ง low cost แต่ BA ไม่สน คว้ารางวัล จาก sky track world's best regional airline S11 สินเชื่อ รถจักรยานยนต์น้องใหม่ ภาคตะวันออก แต่ประสบการณ์ไม่ใหม่ ต้องมาดูพัฒนาการหลังเข้าตลาดกัน Asefa การเติบโตของไฟฟ้า บริษัทที่ผลิตและจำหน่าย สวิตซ์ บอร์ดไฟฟ้า Wice logistics เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ การขนส่งสินค้า ให้ผู้ขายผู้ซื้อ ซึ่งทำครบวงจร อ.ไพบูลย์ เสริม ประเทศไทย logistic cost แพงระดับต้นๆของโลก เป็นสัดส่วน 15% ของ GDP สรุปการดำเนินธุรกิจ ผลดำเนินงานและแนวโน้ม BA ประกอบธุรกิจเครื่องบิน ,ให้บริการสนามบิน และ catering บริการภาคพื้นต่างๆ สนามบินมี3 แห่ง สมุย สุโขททัย ตราด โดยสมุย เป็นที่ทำสนามบินเอง อยู่ในกองทุน property fund ให้บริการ จัดอาหาร catering ทำอาหารขึ้นเครื่องบริการสายการบินอื่นๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และมีบริการภาคพื้น รถรับผู้เดินสาย อุปกรณ์ขนส่งของ ดูแลคลังสินค้าได้สัมปทานมา สัดส่วนรายได้หลัก สายการบิน 80% , สนามบิน 3-4%, catering บริการลานจอด คลังสินค้า 13-15% ที่เหลือรายได้เล็กน้อยอื่นๆ เส้นทางบิน หลักการคือสร้างเครือข่ายให้มีความสะดวกในการเดินทาง ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ แสกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย ซึ่งคนเหล่านี้สนใจเดินทางมาไทยหรือประเทศใกล้เคียง เราจึงวางเครือข่ายให้ครอบคลุม กรุงเทพ ไป ย่างกุ้ง,มัณฑเล, เนปิดอว์, เวียงจันทร์, หลวงประบาง, พนมเปญ, เสียมเรียบ วางเส้นทางเป็นจุดเด่นของเรา ในช่วงแรกมีจำนวนสายการบินน้อยที่เข้าไปในเส้นทางเหล่านี้ พอระยะหลังมีความนิยมมากขึ้น อย่างเช่น กัมพูชาเปิดให้มีสายการบินอื่นเข้ามาเพิ่มด้วย เช่น บินตรงมาจากเกาหลี สนามบิน เราเป็นผู้จัดการและซื้อที่เดินเอง ทำการก่อสร้าง และขออนุญาตใช้เอง ไม่ได้มีสัมปทาน รายได้ที่สมุยเข้ากองทุนหมด ซึ่งเราถือกองทุนอยู่ส่วนหนึ่ง ราว 28-29% ได้รับปันผล กองทุน หมดอายุในอีก 20 กว่าปี Catering ให้บริการสายการบินอื่นๆ ด้วยเช่น กาตาร์, เอมิเรตต์ ฯลฯ มี market share ราว 25% market share หลักๆ 70% เป็นการบินไทย ซึ่งมี catering ของตัวเอง รายได้โตตามเที่ยวบินที่เข้าประเทศ ไม่เกี่ยวกับ BA สามารถขยายได้โดยไม่ต้องเกี่ยวกับสายการบินเรา ธุรกิจที่ทำ Profit margin ธุรกิจสายการบินน้อยสุด เนื่องจากการแข่งขัน และใช้อุปกรณ์ราคาสูง เช่น ซีลที่ใส่ในเครื่องบิน 5 เหรียญ ใส่รถยนต์ 5 บาท ทุกวันนี้มีเครื่องบิน 30 ลำ มีทั้งซื้อและเช่า เป็นของเรา 4 ลำ และจะทยอยมีเพิ่มเข้ามาอีก ลำใหม่ล่าสุดเพิ่งเข้ามาถึง เป็นเครื่องบินใบพัด atr 72 รุ่น 600 เป็นรุ่นใหม่สุดของผู้ผลิต จุได้ 70 ท่าน ใช้บินในเส้นทางที่ผู้โดยสารยังไม่เยอะ ต้องการความถี่ เส้นทางสั้นๆ ส่วนเครื่องบินไอพ่น ใช้ในเส้นทางผู้โดยสารมากขึ้น และบินไกลขึ้น เที่ยวบินที่ฮิตที่สุด คือ สมุย เช่น จากกรุงเทพ จากภูเก็ต ฮ่องกง สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ที่เหลือก็เส้นทางในประเทศ ไปภูเก็ต เชียงใหม่ หรือไปเพื่อนบ้าน เช่น ย่างกุ้ง พนมเปญ อายุเฉลี่ย แอร์โอสเตส 30 ต้นๆ รางวัล world's best regional airline จุดเด่นต่างจากสายการบินอื่น เน้นเรื่องการบริการ เอาใจใส่ดูแลผู้โดยสาร ตั้งแต่ เริ่มมาถึง ใช้เลาจน์ สามารถใช้ได้ทุกคน ผู้โดยสารทุกท่านถือว่าเป็น vip แต่ในบางที่พื้นที่น้อย ต้องดูว่าเราจัดได้มากสุดแค่ไหน อาจจะจัดเป็นคีออส หรือรถให้บริการ ในระดับชั้นสูงขึ้น premier เรามีห้องรับรองให้อีกต่างหาก มีความเป็นส่วนตัวขึ้น แนวทางของเรา ไม่แข่งขันเรื่องราคา ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วที่เริ่มมี low cost เข้ามา เราก็มีการหารือกันว่าเราจะเน้น ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการได้ความมั่นใจในการเดินทาง เน้นการให้บริการ Cabin factor จำนวนผู้โดยสารต่อที่นั่ง อัตราการใช้บริการ 65-66% ขึ้นไปก็กำไร สายการบินต้นทุนต่ำ อาจจะ 80-85 ขึ้นไป สายการบิน low cost ที่ลดต้นทุนได้ อาจจะให้ราคาถูก แต่เปลี่ยนไม่ได้ หรือน้ำหนักกระเป๋ามากต้องเพิ่มราคา อาหารต้องซื้อเพิ่ม ถ้าผู้โดยสารบอกไม่รับประทานอาหารก็ได้ ถือกระเป๋าเองก็ได้ไปไม่กี่วัน ระบบเชื่อมโยงก็มีความต่างกัน ของเราเชื่อมโยงกับระบบสายการบินอื่นได้ เหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ เป็นสิ่งที่เราก็คอยติดตามดู ก่อนวันที่ระเบิด ในระบบการจองเราสามารถนับยอดการจอง จากวันนี้ไป 330 วันข้างหน้าได้ จะรู้ว่าผู้โดยสารสนใจจองเข้ามามากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าเทียบกับปลายปีที่แล้ว มียอดอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ถ้าเทียบกับครึ่งปีแรก เราก็มียอดจองอยู่ประมาณ 9 แสน – 1 ล้าน คน แต่จากเหตุการณ์นั้นกระทบบ้างนิดหน่อย ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีเหตุการณ์อะไรตามมา ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวน่าจะกลับมาแล้ว ตัวเลขจากนี้ถึงปลายปีก็มีการเติบโต ไตรมาสแรกของปี 59 โตมากกว่าไตรมาส 4 ของปี 58 โดยปกติไตรมาส 1 กับ 4 เป็นช่วง พีค ผลดำเนินงาน เปรียบเทียบครึ่งปีแรกของปี 57 กับ 58 จากเดิมผู้โดยสาร 2.3 ล้านคน ปี 58 2.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7-8% รายได้ครึ่งปี 57 1.098 หมื่นล้าน ปี 58 1.23 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 12% EBITDA margin ปี 57 19%,ปี 58 22.9% กำไรครึ่งปี 57 187 ล้านบาท ปี 58 1.1 พันล้านบาท เนื่องจากปีก่อนยังมีเรื่องการสวนสนาม ส่งผลกับเรื่องราคา จึงทำให้ yield และราคาไม่สูงเท่าไร ประกอบกับต้นทุนน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สูง อย่างต้นปีก่อนน้ำมันราคายังสูงกว่าระดับ 100 เหรียญ แต่ปีนี้แค่ 40-50 เหรียญ ตอนนี้ 60-70 เหรียญ ปีนี้ทำราคาได้ดี และต้นทุนน้ำมันดีขึ้น ต้นทุนน้ำมันเป็นต้นทุนสูงลำดับแรก คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ครึ่งปีหลัง 58 เห็นจากการจองในระบบ 330 วันข้างหน้า ผู้โดยสาร มียอดราว 9 แสนกว่าคน ซึ่งเลขนี้จะเป็นตัวแทนราว 20% ของวันที่เดินทางจริง เทียบกับปีก่อนช่วงเดียวกันยังไม่ถึง 9 แสนคน เพิ่มขึ้น 10-15% สนามบิน กับ catering ก็แปรตามเที่ยวบินที่มี ครึ่งปีหลังมีแผนจะใช้สนามบินสมุยมากขึ้น และเส้นทางที่เชื่อมต่อกับที่อื่น เส้นทางที่จะเพิ่มคือ ภูเก็ต เชื่อมกับหาดใหญ่ ถ้ารถยนต์เดินทางน่าจะใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง ตรงนี้จะเป็นจุดที่ให้ความสะดวกกับลูกค้ามากขึ้น Asefa สวิตซ์บอร์ดไฟฟ้าเป็นแผงตัดต่อควบคุมไฟฟ้าใช้สำหรับ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และกระจายไฟฟ้าไปสู่ส่วนต่างๆที่ต้องใช้งาน เป็นอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยชีวิตและเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ในทุกบ้านต้องมี สินค้าของ asefa ไม่ได้ทำขนาดเล็ก แต่เป็นสวิตซ์บอร์ดขนาดใหญ่ ใช้สำหรับโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม อาคารสูง อาคารใหญ่ มีทั้งแรงดันปานกลาง 33 kV หรือ 24 kV, 22 kV เป็นระดับแรงดันจากโรงไฟฟ้า อย่างภาคใต้บ้านเราก็ใช้เป็น 33 kV ก่อนเข้าหม้อแปลงต้องมี สวิตซ์บอร์ดไฟฟ้าเพื่อป้องกัน หลังจากมีหม้อแปลงปรับแรงดันลงมา เข้าบ้านเป็น 220V, 380 V มีหม้อแปลงก็จะมีสวิตซ์บอร์ดไฟฟ้า อย่างตึก CTW มีสวิตซ์บอร์ดราว 500 ล้านบาท เพราะมีทั้งโรงแรม ชอปปิ้งมอล หรือ คอนโด 20ชั้น ต้องดูขนาด จำนวนห้อง spec. ที่ใช้ก็รองลงมา มูลค่าน่าจะเป็นหลักสิบล้านบาท เรามีทั้งขายตรงให้ผู้ใช้งาน ขายผู้รับเหมางานก่อสร้าง วางระบบ แบรนด์ของ asefa เอง และมีผลิตภัณฑ์ที่เราได้รับลิขสิทธิ์จาก ชไนเดอร์อิเลกทริค มีหลายแบรนด์เช่น square d อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย อย่างคอนโด สวิตซ์บอร์ด มีทุกชั้น ทุกห้องตั้งแต่ main distribution board ไปแผงจ่ายไฟย่อยแต่ละชั้น และไฟในห้อง ก็มีอีก ส่วนใหญ่เราจะทำแต่ตัว main สัดส่วน ผลิตและจัดจำหน่าย 65% ซื้อมาขายไป 20% (อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทองแดง,รางสายไฟ) ที่เหลืองานบริการ จุดเด่น เราเป็นผู้นำในการผลิต มีครบวงจร หลากหลายรุ่น และสินค้ามีคุณภาพ ที่ได้รับลิขสิทธิ์ มี know how ต่างๆ มีหน่วยวางแผนวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราเอง โรงงานได้ลิขสิทธิ์ชไนเดอร์ มี 4 model มีแบรนด์หนึ่งชื่อ โซโคเมค เป็นของฝรั่งเศสเช่นกัน เป็น ATS bypass ใช้ในโครงการ พวก data center ที่ต้องการความปลอดภัย เป็นการตัดต่อสลับ load ต้องมี generator อย่างพวกโรงไฟฟ้าชีวมวล ก็ต้องใช้งานสวิตซ์บอร์ดแน่นอน ส่วนแบ่งการตลาดราว 10 กว่า % ในประเทศไทย เราเป็นผู้นำเบอร์ 1 ในตลาด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นประเทศไทย มีขายเพื่อนบ้านบ้าง หรือไปถึงดูไบก็มี ปัจจัยในการสร้างรายได้ ขึ้นกับ เศรษฐกิจ การลงทุน ภาครัฐ เอกชน รวมถึงโครงการพลังงานไฟฟ้าทดแทน ธุรกิจ รื้อถอนโรงไฟฟ้า เนื่องจากเราเกี่ยวกับธุรกิจไฟฟ้า และมีพันธมิตร เป็นลูกค้าที่มาชักชวน ธุรกิจที่ยังไม่แข่งขันสูงนัก เป็นการรื้อถอนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้มีการหมดอายุและตัดออกจากระบบ เช่น โรงไฟฟ้า บางปะกง ใหญ่ระดับ 720 MW การไฟฟ้าก็ประกาศขายพร้อมรื้อถอน ซึ่งพวกอุปกรณ์ที่รื้อถอนบางส่วนก็ขายได้ ในอนาคตคงมีการรื้อถอนตามมาเรื่อยๆ 25-30 ปี เสื่อมสภาพก็มีการรื้อถอน ผลดำเนินการ H158 ยอดขาย 1 พันล้านต้นๆ กำไรสุทธิ 71 ล้านบาท โดยปี 55-56 มียอดขายทั้งปีแตะ 2 พันล้าน ซึ่งปี 57 มียอดตกลงมาเหลือ 1.7 พันล้าน ซึ่งผลกระทบจากการเมือง แนวโน้ม H2 58 backlog 1.5 พันล้าน คิดว่ารับรู้ 1.1-1.2 ล้านบาท สูงกว่า H158 นิดหน่อย และ margin น่าจะดีขึ้นบ้าง ต้นทุนหลัก อุปกรณ์ไฟฟ้า circuit breaker 40% งานโลหะ งานสวิตซ์บอร์ด งานอุปกรณ์ประกอบ 30 กว่า % ที่เหลือค่าแรงนิดหน่อย อุปกรณ์หลักจากต่างประเทศต้องนำเข้าจากต่างประเทศ supplier หลักคือชไนเดอร์ ได้เงินตอนเข้าตลาด 555 ล้านบาท - ใช้ขยายโรงงาน 130 ล้าน กำลังผลิตคาดว่าเพิ่ม 50% - การชำระหนี้ ราว 280 ล้านบาท - มีใช้เงินไปลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าที่บางปะกงมารื้อ 295 ล้าน น่าจะขายได้ 400 กว่าล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายอีก 100 กว่าล้าน เป็นรายได้เสริม และแนวธุรกิจใหม่ที่ต้องดูต่อไป อัตราการผลิต เดิมที่ใช้ 70-80% ตอนนี้น่าจะราว 90% เป็นค่าเฉลี่ยของ 2 กะ ทำงานถึง เที่ยงคืน เป็น ยอดขายมีการเติบโต มีแผนขยายไปตามภูมิภาคราว 10 สาขา บางส่วนใกล้ ลาว พม่า เขมร อนาคต 2-3 ปีข้างหน้า แผนที่ตั้งเป้ารายได้จะเติบโต อย่างน้อย 15% ต่อปี ส่วนกำไรหวังว่าจะเติบโตดี เพราะ utilize facilities มากขึ้น S11 สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์อย่างเดียว เป็นรถใหม่ แต่มีสัดส่วนรถเก่าน้อยมาก ราว1% รถบิ๊กไบค์ยังไม่ได้ทำ เน้น รีเทลไฟแนนซ์ อย่างวินมอเตอร์ไซค์ลูกค้าสำคัญ เราให้เช่าซื้อ แล้วลูกค้าเอาไปทำให้เกิดรายได้ เป็นลูกค้าตัวจริง ผ่อนได้สูงสุดไม่เกิน 36 เดือน ผ่อนเฉลี่ยเดือนละ 2500 บาท รถที่ปล่อยกู้ ทำทุกยี่ห้อ market share เยอะก็รับมาเยอะ NPL มีราว 8% วิธีคิดคือไม่ชำระเดิน 90 วันเป็น NPL หนี้เสีย สำคัญต้องดู 6 เดือนแรก ดูการจ่ายเงิน ถ้าจ่ายทุกเดือนเดือนละ 50% ลูกค้าบางรายจ่ายเดือนเว้นเดือน แบบนี้ยัง ok มีเจตนาจ่ายเงิน แต่ถ้าเป็นประเภท3 เดือนไม่จ่ายติดกัน ต้องรีบจัดการ ตัวเลขกู้เงินจากธนาคารห้าม NPL เกิน 15% วิธีวัด NPL ของ leasing วัดเหมือนกัน แต่กลยุทธ์ปล่อยสินเชื่อแต่ละที่ต่างกัน ของ S11 ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ลูกค้าไม่ค่อยรู้จัก S11 แต่เค้ารู้ว่าซื้อรถร้านไหน ก็ไปจ่ายเงินร้านนั้น ซึ่งเราก็มี incentive ให้กับทางร้านค้า ก็มีหลายสินเชื่อหลายเจ้าแข่งขัน ซึ่งจุดหนึ่งร้านจะตัดสินใจว่าชอบ finance เจ้าไหน ซึ่งไม่ใช่ตัดสินแค่ incentive อย่างเดียว ชื่อ S11 S เป็นสัญลักษณ์ ดอลลาร์ $ ลูกค้ามี 2 กลุ่ม มีเงินเดือน และไม่มีเงินเดือน ซึ่งลูกค้าเราส่วนใหญ่ไม่มีเงินเดือน แม่ค้าขายส้มตำ ค้าขายตลาดนัด วินมอเตอร์ไซค์ การควบคุม NPL หน้าด่านสำคัญคือ เจ้าหน้าที่สินเชื่อ สกรีนเบื้องต้น ดูพฤติกรรมลูกค้า ใครซื้อ ใครใช้ ใครผ่อน ทำอาชีพอะไร เก็บเงินไม่ได้ จะไปเอารถที่ไหน ถ้าเสียหายต้องเอารถ กลับมาให้เร็วที่สุด การขอสินเชื่อ ถ้ามนุษย์เงินเดือน บัตรประชาชน+slip เงินเดือน ถ้าไม่มีรายได้ประจำ ใช้บัตรประชนชนอย่างเดียว ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ขึ้นกับเงินดาวน์ ถ้ารถราคา 5 หมื่น ดาวน์ประมาณ 1 หมื่นก็ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน พื้นที่ให้บริการ กรุงเทพ 70% 30% ต่างจังหวัด อยุธยา ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา บริเวณขอบๆกรุงเทพ สำหรับเราไม่ใช้สาขา แต่ไปอยู่ตามหน้าร้าน ราว 130 กว่าแห่ง มีหน้าร้านหลายประเภท ให้เราคนเดียว มีแบ่งๆกันไปกับเจ้าอื่น มีแข่งขันใครจ่ายมากกว่าให้คนนั้นก่อน การซื้อมอเตอร์ไซค์เงินสด อย่างในกรุงเทพ ราว 20% เท่านั้น การยึดรถ มีหลายระดับ หลายขั้นตอน พนักงานที่โทรศัพท์ก็คุยกัน ก่อน ไหวไหม? ลืมอะไรหรือเปล่า? ทีมที่ 2 ก็เริ่มเข้มขึ้น ไปพบกับเจ้าตัว ยึดรถมาก็มาประมูลขายที่บริษัท ขนาดของสินเชื่อ 3,200 ล้านบาท ธุรกิจนี้คู่แข่งมาก แต่อัตรากำไรเราสูงกว่าเจ้าอื่น เรามีอายุ 4 ปีเหมือนยังเด็ก แต่ทำงานมา 20 กว่าปี ทำให้รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ทำ คือเราทำให้สิ่งที่ต้องทำ ปล่อยสินเชื่อได้เร็วไม่สำคัญ เช่น ที่อื่นเจ้าหน้าที่มีรายได้จากสินเชื่อ ได้ แต่ S11 เจ้าหน้าที่สินเชื่อมีรายได้จากปล่อยแล้วเก็บเงินได้ คนที่ทำธุรกิจเดียวกันในตลาด Leasing ที่เห็นอยู่ราว 13 แห่ง ในตลาดมี Tk, gl, s11 S11 ที่แยกมาจากที่เดิม เพราะคิดไม่เหมือนกัน วิถีทางไม่เหมือนกัน โครงสร้าง และลูกค้าจึงไม่เหมือนกัน ผลดำเนินงาน H258 รายได้ 500 ล้านบาท เติบโต 22% กำไร 158 ล้าน โต 53% npm 30 กว่า % ปัญหาธุรกิจนี้คือความสามารถในการเก็บหนี้ เป็นธุรกิจที่ใช้คน ความเข้าใจที่ต้องออกแบบกระบวนการให้น้องทำงาน เช่น เงินเดือน 1 หมื่นบาท ถ้าเก็บหนี้ได้ให้เงิน 2 หมื่นบาท ก็จะลงมือได้เหมาะสม ต้อง balance ความเหมาะสมกับลูกหนี้ ถ้าชำระต่อเนื่องก็ไม่ควรใส่แรงมาก แต่พวกที่ค้างชำระก็ต้องใส่แรงอีกแบบ ไม่ใช่แค่ดู margin ต้องดูกระบวนการด้วย ไม่ใช่ focus แค่จะเอายอดกี่คัน แต่เงินเก็บไม่ได้หายไประหว่างทาง หลายบริษัทมุ่งเน้นไปปล่อยสินเชื่อต่างประเทศ ซึ่งของเราถามบ้านเราก่อนว่าถึงที่สุดหรือยัง ยอดขายบ้านไป 1.6-1.7 ล้านคัน ซึ่งเรามี share 2% พนักงาน 250 คน แต่ส่วนมากอายุงานยังน้อย ยังขาดคนระหว่าง generation น้ำท่วมที่ทางตะวันออก น้ำมาเร็วและไปเร็ว ไม่ได้ใช้เวลานาน เป็นเรื่องที่เฉยๆ การเติบโต ตลาดปี 58 ยอดขายจยย.ประมาณการณ์จะลดลง 5% ปี 58 1.67 ล้านคัน จากปี 57 1.75 ล้านคัน แต่ตัวเราได้ share +10% อีกครึ่งปีที่เหลือ เราคิดว่าเก็บคองอเข่าดีๆ ยังไปได้ Wice ก่อตั้งมา 23 ปีแล้ว logistics กว้างมาก เราเน้น ระหว่างประเทศ ทำในส่วนขนส่ง จากประตูโรงงาน จากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง sea freight, air freight เป็นงานหลัก และรับจัดการ logistics ให้แบบ door to door เป็นงานที่ add value service ให้ลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมรายกลางถึงรายใหญ่ตามนิคมอุตสาหกรรม จะมีการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบ สินค้า ไปทั่วโลก เริ่มทำตั้งแต่วางแผน design logistic routing ให้คำแนะนำ เชคเรื่องสิทธิภาษี สิทธิพิเศษ trade agreement ซึ่งบางทีผู้นำเข้าไม่รู้ว่าจะใช้สิทธิประโยชน์อย่างไรให้ได้สูงสุด ให้บริการลูกค้าสะดวก ประหยัด แข่งขันได้ ลูกค้าล้อไปกับการส่งออกนำเข้าของบ้านเรา สินค้า อิเลคทรอนิกส์, auto part, food, steel construction, ส่วนใหญ่เข้าตู้คอนเทนเนอร์ มีพวก frame aluminium กระจก สินค้าเกษตรไม่ได้ทำ Air freight เป็นลูกค้าพวกนิคมอุตสาหกรรมทางอยุธยา กลุ่ม อิเลคทรอนิกส์ แผงวงจร Sea freight เป็นพวก Auto part, อาหาร, steel construction ให้บริการพวกพิธีการศุลกากร และ land freight ขนส่งในประเทศด้วย ในอนาคต จะทำขนส่งไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย เราเป็น third party logistics เน้น solution ให้ลูกค้า ไม่ได้มี asset ที่ดินหรือเครื่องบินของตัวเอง เยอะ ถ้าไม่รู้วิธีการที่ดีค่าใช้จ่ายจะมาก และป้อนสินค้าไม่ทันเวลา ออฟฟิศอยู่ที่กรุงเทพ ,มีที่สนามบินสุวรรณภูมิ และแหลมฉบัง และมีลานรถ คู่แข่งในอุตสาหกรรมมีเยอะ ผู้เล่นสว่นใหญ่เป็นรายใหญ๋ในต่างประเทศ เช่น DHL เป็นยักษ์ใหญ่ มีการแข่งขัน แต่ลูกค้ากลุ่มของเขา ก็อาจเป็น network ในต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าไม่ใหญ่มาก อาจจะไม่ได้ลงมา focus ผู้ถือหุ้นใหญ่มีจากสิงค์โปร์และฮ่องกง บริษัทลูก sun express Thailand ตั้งปี 2002 ร่วมมือกับ partner ทำ air freight air cargo ซึ่งพอจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงเชิญเขามาถือหุ้น wice ด้วย ราว 10% ผลดำเนินงาน H1 58 เทียบ H157 รายได้โต 4% ซึ่งตลาดนำเข้าส่งออกไทยไม่ค่อยดี แต่เรากระจายหลายตลาด ส่วนใหญ่เป็น US ซึ่งเริ่มฟื้นกลับมา รองมาเป็น จีน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง แต่กำไรลดลง เพราะ US มี strike ใหญ่ตอนต้นปี สินค้า door to door เคลียร์ไม่ได้ เกิดค่าใช้จ่ายที่ท่า จึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม อีกส่วนต้นปี ตลาด air freight air cargo ลดลง ซึ่ง margin ส่วนนี้สูงกว่า แม้ sea freight จะดีขึ้น ทำให้กำไรลดลง ผลดำเนินการ ขึ้นกับการนำเข้าส่งออก ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจโลก buyer ซื้อมากหรือน้อย ส่วน cost ของ air, sea fireght อยู่ที่ 70-75% ของที่ขายให้ลูกค้าอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นเราก็ charge ลูกค้า มีการพูดคุยในการ quote ราคา Contract สายเรือ ระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่ sign เป็นปี มีลูกค้าหลากหลายแล้วแต่ต่อรอง เข้าตลาดปลายเดือน ก.ค. 58 ระดมเงิน 385 ล้านบาท เห็นโอกาสขยาย รายได้ระหว่างประเทศ 80% ในประเทศ 20% ซึ่งจะขยายงานในประเทศมา balance ระดมทุนสร้างคลังสินค้า และทำ distribution ให้ลูกค้า อนาคตอาจเป็น cross border รองรับ aec ที่จะเปิดการขนส่งใน region จะเพิ่ม และมีการขนส่ง land freight ปัจจุบันมี freight รถอยู่แล้ว แต่จะขยายเพิ่ม เป็นลักษณะ milk run เข้าไปผูกกับโรงงานลูกค้าเป็น contract logistics ซึ่งตอนนี้ผู้เล่นเป็นต่างชาติส่วนใหญ่ ลูกค้าตอนนี้ทำ B2B เป็นหลัก ส่วน B2C มีโอกาส ถ้าเข้าไปจัดการในส่วนคลังสินค้า และจัดส่งให้ลูกค้า อาจเป็นโอกาสในอนาคต
โดย
i-salmon
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2015 6:45 pm
0
16
Re: MoneyTalk@SET9Aug15รอบบ่าย-เจาะหุ้นเด่น&รวยแล้วทำอะไร
โห.... ไม่ได้นัดหมาย ไม่หลับไม่นอนกันนะครับ ขอบคุณพี่อมร ด้วยครับที่มาช่วงแบ่งปัน รอบหน้าผมไม่อยู่นะครับ รบกวนด้วย อดทานสาหร่ายเลย >< ขอบคุณพี่นุช พิธีกรสวยสุดในสัมมนาด้วยครับ (หญิงคนเดียว)
โดย
i-salmon
จันทร์ ส.ค. 10, 2015 1:50 am
0
0
Re: สัมมนา "เพราะเป็นเม่าจึงเจ็บปวด 1,000 ครั้งที่หวั่นไหว ก
ขอร่วมแชร์ด้วยคนครับ การสัมมนานี้มีการแบ่งปันกระบวนการคิดในการซื้อการขายหุ้นจากประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละท่าน เป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และเป็นประโยชน์มากครับ ซึ่งในที่นี้คงไม่กล่าวถึงเรื่องหุ้นรายตัว แต่โดยหลักการตัดสินใจอยู่ในสิ่งที่คุณ kongkiti สรุปเอาไว้ @ขอบคุณ คุณนักเดินทาง ด้วยครับที่ช่วยกันแชร์ต่อยอด อยากขอแชร์ช่วงปิดท้ายที่พี่ๆนักลงทุน แบ่งปันในประเด็น "บทเรียนหลักของแต่ละท่าน" คุณคเชนทร์ 1) ไม่ได้อยากให้ถึงกับการลงทุนคือชีวิตแล้วไม่สนใจเรื่องอื่น ที่ผ่านมาเป็นคนเริ่มลงทุนเร็วตั้งแต่อายุราว 20 ปี จึงเกิดคำถามขึ้นว่าใช้เวลากับการลงทุนมากไปหรือเปล่า บางอย่างที่ผ่านไปแล้วย้อนกลับมาทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเรื่องเล็กๆเช่นการเตะฟุตบอล เราไม่ได้ทำในวันที่ทำได้ มาวันนี้เตะไม่ไหวแล้วก็ได้แต่เล่นวินนิ่งกับเพื่อนแทน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆที่ย้อนกลับมาไม่ได้ล่ะ? 2) เงินไม่ได้แปรผันกับความสุข วันหนึ่งที่มีเงินถึงในจุดที่ต้องการ ความสุขมันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมาก มีอิสรภาพทางการเงินอาจจะดีขึ้นหน่อยที่เลือกงานที่อยากทำได้ ได้ทำด้านการศึกษา สอนเยาวชน คุณหมอพงษ์ศักดิ์ ถ้าให้สอนลูกจะบอกว่า อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วจะมีความสุข พอใจและทำให้ได้ตามเป้าหมายตัวเองต้องการก็พอแล้ว จะได้มีความสุขสงบทางใจ ความสุขต้องถามคนรอบข้างด้วย ส่วนตัวเป็นคนใช้จ่ายประหยัด ซึ่งถ้าครอบครัวมีความรู้สึกขัดแย้งกัน เราก็จะไม่เป็นสุขไปด้วย บางทีก็ต้องยอมปรับเราให้ยอมรับได้กับการที่เขาจะใช้เงิน ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศมีความสุขกันมากขึ้น คุณโน๊ต(นัทธี) โชคดีที่มีตลาดหุ้นเป็นทางลัดสู่ความมั่งคั่ง ถ้าทำแต่งานประจำก็ใช้เวลานานมาก ทั้งนี้ต้องอาศัยการศึกษา เรียนรู้ เพื่อยกระดับ เป้าหมายจำนวนเงิน ถ้าเราคิดว่าพอมันก็คือพอ ส่วนตัวคิดจาก ค่าใช้จ่ายต่อวันเราเป็นเท่าไร และถ้าซื้อพันธบัตรได้ 5% ต้องมีเงินต้นเท่าไร เช่น ใช้ 5 พันบาทต่อวัน ต้องมีเงินต้น 36 ล้านบาท พอมีถึงก็ควรมีความสุขพอได้แล้ว ช่วงที่ลงทุน 10 ปีแรกก็แลกความสุข เก็บออมไม่ค่อยใช้เงินเพราะหวังผลตอบแทนทบต้น เมื่อถึงเป้าหมายก็ควรใช้เงินซื้อเวลาที่เหลือในชีวิตแทน คุณชาย ได้เรียนรู้คำว่า ไม่แน่นอน ลงทุนมาได้ผ่านมาหลายอย่างทั้งวิกฤติต่างๆ เครื่องบินชนตึก ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง เปรียบเราเหมือนเป็นชาวประมงออกหาปลา ก็ขึ้นอยู่กับเรือ ทะเล ลมฟ้าอากาศ หลายปัจจัยจึงทำให้มีวันนี้ การเดินเข้าป่าก็มีอันตรายอยู่ตลอด เราต้องเรียนรู้และปรับตัวไปกับสิ่งที่มันเป็น ไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงคนอื่น เราล้วนอยู่ด้วยสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน ถ้าประสบความสำเร็จก็ควรแบ่งปันกลับไปให้สังคม คุณฉัตรชัย เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 33 แต่กว่าจะเริ่มสำเร็จก็ปี 41 เวลาผ่านไปก็มีรู้สึกท้อแท้บ้าง ถ้าจะสอนให้ลูก ซึ่งเห็นตอนที่สำเร็จแล้วก็จะบอกว่า มันต้องใช้ความอดทน การต่อสู้ ต้องมีใจรัก ไม่งั้นคงทนไม่ได้ทั้งที่ผ่านความไม่สำเร็จมานาน พอถึงจุดหนึ่งความสำเร็จก็จะมาถึง ถ้าใจรักอย่าท้อ อย่าล้มเลิก คุณเพนียง 1) เรื่องการลงทุน คิดว่าวินัยสำคัญมาก ชาลีมังเจอร์บอกว่า ถ้ารู้ว่าจะไปตายที่ไหนอย่าไปที่นั่น สิ่งที่ทำให้พัฒนามาตลอดคือการทำผิดเยอะๆแล้วจดหรือจำไว้เพื่อ ครั้งหน้าเราจะไม่ทำผิดอีก ถ้าเราเรียนรู้ที่จะไม่ทำพลาดไปเรื่อยๆต่อให้โง่ก็จะฉลาดเอง หลักการถือหุ้นไม่ได้ขึ้นกับตลาด คิดว่าถ้ายังหาหุ้น undervalue ได้ก็ยังถือเต็มพอร์ตได้ 2) เรื่องชีวิต ที่ผ่านมาลงทุนมา 7 ปีบั่นทอนชีวิตมาก ต้องแลกกับการไม่ค่อยมีเวลาให้คนรอบข้าง ดูหุ้นถึงดึกดื่น เพราะทุ่มเทเพื่อมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้ คิดไว้ว่าถ้าถึงตรงนั้นจะชีวิตดี มีความสุขมากขึ้น สุดท้ายตอนนี้คุณพ่อก็ไม่อยู่แล้ว สุขภาพตา หลัง เข่าก็เริ่มไม่ดี ถึงจุดนี้ก็ยังเป็นทุกข์ ต้องมีอิสรภาพทางใจ ถ้ามีพอกินพอใช้ไม่เดือดร้อนก็ควรมีความสุข ทำอะไรต้องมีความสุขระหว่างทางด้วย เป้าหมายไม่ควร aggressive เกินไป คุณมาริโอ กานต์ มีหลักคิด 4 ข้อใช้ได้กับทุกเรื่อง 1.ใจรักในสิ่งที่ทำ ถึงเป็นงานที่ไม่ชอบหรือไม่ถนัดก็พิจารณา ให้เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองและผู้อื่นถ้างานนั้นสำเร็จได้ 2.ใจสู้อดทน พากเพียร มองงานที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่ท้าทายให้ได้พัฒนาตนเอง ไม่ย่อท้อ ล้มแล้วลุกขึ้นสู้เสมอ 3.ใจจดจ่อมุ่งมั่นทุ่มเท ต่อเนื่องยาวนาน ไม่วอกแวกทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ดีงามในระยะยาว เพียงเพราะหวังผลประโยชน์ระยะสั้น 4.ใจกล้าลงมือทำ ลองผิดลองถูก เรียนรู้จากทั้ง ประสบการณ์ตรงของตัวเอง และของผู้อื่น รวมทั้งคิดปรับปรุงวิธีการให้ดียิ่งๆขึ้น ในพุทธศาสนาเรียก 4 สิ่ง ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันนี้ว่า "อิทธิบาท 4" (ปล. แอบก๊อบมาจากหน้าเฟซพี่มาริโอ้ อิอิ) สุดท้ายขอขอบคุณพี่เว็บ แม่งานใหญ่ที่จัดงาน,พี่ๆนักลงทุนที่สละเวลามาแบ่งปันความรู้ และทีมช่วยจัดงานทุกท่านด้วยครับ งานการสัมมนาการกุศลนี้นอกจากได้เงินเข้าคณะเภสัชแล้ว ยังได้ความรู้กับนักลงทุนอีกมากมาย จนผมรู้สึกเหมือนยังไม่ได้บริจาคการกุศลเท่าไรครับ ได้มาเรียนก็เกินคุ้มแล้วครับ ด้วยเหตุนี้ สัปดาห์หน้าผมจะไปลองเปิดดูข้อมูลองค์กรการกุศลแล้วจะขอบริจาคเงินเพิ่มเติมครับ :D
โดย
i-salmon
จันทร์ พ.ค. 25, 2015 12:42 am
0
74
Re: สัมมนา "เพราะเป็นเม่าจึงเจ็บปวด 1,000 ครั้งที่หวั่นไหว ก
ขอบคุณครับเมพก้อง แก่นเน้นๆ
โดย
i-salmon
อาทิตย์ พ.ค. 24, 2015 11:50 pm
0
3
Re: Money Talk วันที่ 21 กพ สัมมนา หัวข้อ “หุ้นเด่นต้องจับตา
ขอบคุณมากครับพี่อมร ได้ตามมาอ่านแล้ว ดีจัง :D :D :D
โดย
i-salmon
พุธ มี.ค. 04, 2015 10:39 pm
0
1
Re: เปิดจองงานสังสรรค์ VI ปิดงบปี 57 **10.00 โมงเช้านี้ค่ะ**
i-salmon/ สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง / 990.09บาท / kbank/ 03-03-2558 /10:45
โดย
i-salmon
อังคาร มี.ค. 03, 2015 10:48 am
0
0
Re: Moneytalk@SET11Oct14ลงทุนสบาย&บทเรียนจากบัฟเฟตต์
ขอบคุณครับพี่เอิน :D
โดย
i-salmon
เสาร์ ต.ค. 11, 2014 9:46 pm
0
1
Re: Moneytalk@SET14Sep14เจาะหุ้นใหม่&ตรวจสุขภาพการเงิน
@amornkawa ไปครับ ไว้เจอกันทักทายได้ครับ
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.ย. 15, 2014 11:37 am
0
2
Re: Money talk 14 กย 14
ขอบคุณครับพี่ ได้ลอกพอดี :D
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.ย. 15, 2014 11:31 am
0
2
Re: **วันนี้ 10.00 น.** VI สายดำ Charity 4 ตค. 57
โอนเงิน+ยืนยันลงทะเบียนในนี้เรียบร้อยครับ -> http://goo.gl/JLQ8X3 2 ที่ครับผม ลงทะเบียน คอร์ส วีไอสายดำ Charity ระบบจองได้บันทึก รายละเอียดการจองของท่านเรียบร้อยแล้ว
โดย
i-salmon
จันทร์ ก.ย. 08, 2014 10:05 am
0
0
173 โพสต์
of 4
ต่อไป
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
ชื่อล็อกอิน:
i-salmon
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ส.ค. 07, 2012 10:54 am
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ มิ.ย. 10, 2023 9:41 am
โพสต์ทั้งหมด:
293 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Go against and stay alive.
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว