หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
anomaly
การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมาย
Joined: จันทร์ ต.ค. 22, 2012 5:38 pm
1244
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - anomaly
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ถ้าถามว่าใครเก่งการตลาดมากที่สุดนึกถึงใคร
เฉพาะ listed. Company. นะ ผมคิดถึง อิชิ มินต์ เซเว่น ขอแชร์เป็น brand หรือ corporate level ที่ทั้ง listed และไม่ได้ listed ด้วยนะครับพี่ Nevercry.boy เก่าหน่อยแต่ยังมีประโยชน์ top 30 brands (subjective to amex) http://www.amexteam.com/knowledge-detail.php?ref=do:read/id:61 กดโหลด PDF อ่านของแต่ละอันได้เลยครับ ในไฟล์ scroll ลงมาล่างๆหน่อย ข้างบนเป็น foreword
โดย
anomaly
จันทร์ มิ.ย. 09, 2014 11:57 pm
0
1
Re: เคยโกรธตัวเองเพราะการตัดสินใจชั่ววูบไหมครับ
ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายใจ เลยอยากมาขอคำแนะนำและเล่าสู่กันฟังครับ อาจเพราะผมอายุยังไม่มากหรือเพราะยังใหม่กับการลงทุนอย่างไรไม่ทราบ เลยยังทำใจไม่ได้ รอบนี้อดไม่สบายใจไม่ได้จริงๆ เพราะทิ้งหุ้นที่อุตส่ามองมาอย่างดี เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบและความไม่รอบคอบของตัวเอง จนพอกลับมาดูอีกครั้งราคาก็ทิ้งไป จนMOSไม่คุ้มที่จะซื้อกลับมาแล้ว สาเหตุของเรื่องนี้ก็คือพอดีที่ช่วงที่วิกฤติการเมืองกำลังพีค ชีวิตผมก็ยุ่งเข้าจุดพีคเช่นกัน พอกลับมาถึงบ้านเห็นข่าวอ่าวยึดอำนาจแล้ว ก็เลยไม่รู้จะเป็นอย่างไร เลยตั้งเทขายทั้งหมดออก ทั้งๆที่ก็รู้แก่ใจ เมื่อไหร่ตลาด panic นี่คือโอกาสของพวกเรา แต่ก็กลัวเกิดอะไรขึ้นมาเดี๋ยวไม่มีเวลาตามดู (ทั้งๆที่บริษัทที่ผมถือไว้ก็แทบไม่เกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว และผมก็มั่นใจว่าคงค่อยๆโตต่อไปแน่นอน) คือเรียกง่ายๆว่า "พื้นฐานไม่เปลี่ยน แต่อารมณ์เปลี่ยน" โชคยังดีเช้าวันต่อมาตลาดไม่ลง ผมยังขายในราคาที่ไม่ต่ำมาก แต่สักพักทุกอย่างก็ไปด้วยดี ตลาดสดใสและที่เจ็บใจที่สุด "ผลประกอบการออกมาดีอย่างที่คาดไว้" ส่วนผมเหมือนพระเอก MV ยืนมองจากมุมตึก ได้เห็นเธอเป็นสุขฉันก็สุขใจ เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังและขอคำแนะนำจากพี่ๆด้วยครับ ว่าควรทำใจอย่างไรดี เพราะเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกอย่าคิดมาก อย่างน้อยก็กำไรแล้ว (แต่คือถ้าถือต่ออีกแค่สองสัปดาห์ กำไรเพิ่มมาเท่าครึ่ง จากถือมาเกือบปี) บทเรียนที่ได้คุ้มกว่ากำไรระยะสั้นมากโข อย่าไปซีเรียสกับธรรมชาติของมนุษย์ครับ เราสนใจที่วิธีการต่อไป นำข้อมูลที่ได้มาใหม่มาปรับปรุง สู้ๆ
โดย
anomaly
จันทร์ มิ.ย. 09, 2014 4:44 pm
0
3
Re: หั่นเป้าการเติบโตของสินเชื่อ รับมือ npl เพิ่ม
ศก.ไทย "แขวนบนเส้นด้าย" เสี่ยงถดถอย-ว่างงาน-หนี้ NPL พุ่ง สศค.ชี้เศรษฐกิจไทย "แขวนบนเส้นด้าย" เหตุเครื่องยนต์ในประเทศดับหมด ทั้งยอดนักท่องเที่ยวติดลบ เบิกจ่ายภาครัฐสะดุด บริโภคและลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ลุ้นอานิสงส์ "เศรษฐกิจโลก" ฟื้นตัวดัน "ส่งออก" พยุงสถานการณ์ ยอมรับเสี่ยงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยช่วงกลางปี จับตาปัญหา "ว่างงาน" และ "เอ็นพีแอล" ขยับ เผยตั้งบริษัทใหม่หด-ยอดขอยกเลิกกิจการพุ่ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สศค.อยู่ระหว่างประมาณการอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจปี 2557 ใหม่ บนสมมติฐานว่าประเทศจะไม่มีรัฐบาลไปถึงสิ้นปี เนื่องจากขณะนี้ปัญหาการเมืองไม่มีความชัดเจน โดยยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทย "แขวนอยู่บนเส้นด้าย" ผูกไว้กับเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวเป็นหลัก โดยหวังว่าจะช่วยให้การส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเครื่องยนต์ดับหมด หน้าที่ของ สศค.ตอนนี้ก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย เพราะในประเทศทำอะไรมากไม่ได้แล้ว ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร ที่พอหวังได้คือการส่งออกที่จะมาช่วยพยุงได้บ้าง ซึ่ง สศค.มองว่าปีนี้ส่งออกจะโตได้ 6.5% จากปีที่แล้วติดลบ 0.3% ตั้งรับกรณี "ไม่มีรัฐบาล" ถึงสิ้นปี นายเอกนิติกล่าวว่า สศค.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจปีนี้ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี กรณีแรกเป็นการประเมินก่อนจะมีการยุบสภา ซึ่งไม่น่าจะเป็นจริงแล้ว คือเศรษฐกิจจะโตได้ 4% ส่วนกรณีที่สอง เป็นการประเมินบนสมมติฐานว่า การเมืองยืดเยื้อไปครึ่งปี หรือมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้หลังเดือน มิ.ย. ซึ่งเศรษฐกิจจะโตได้3.1% กรณีนี้อยู่บนสมมติฐานว่า ไม่มีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนจากโครงการ 2 ล้านล้านบาท และงบฯลงทุนระบบน้ำ ขณะที่การท่องเที่ยวขยายตัวไม่ถึง 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 28 ล้านคน ปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดว่าจะมีถึง 30-31 ล้านคน และจากสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการเมืองจะจบอย่างไร จึงได้มีการให้ประเมินเศรษฐกิจ บนสมมติฐานที่จะไม่มีรัฐบาลยาวไปถึงสิ้นปี กรณีนี้จะมีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะงบฯลงทุนใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558 เนื่องจากไม่มีงบประมาณใหม่ จะต้องใช้งบฯปี 2557 ไปพลางก่อน กรณีนี้คิดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 3% แต่จะต่ำกว่าเท่าไหร่ยังอยู่ระหว่างให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตัวเลขงบฯผูกพัน และงบฯลงทุนของรัฐวิสาหกิจว่าจะเหลืออยู่เท่าไหร่ เครื่องยนต์ในประเทศดับหมด นายเอกนิติกล่าวว่า จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น สศค.ได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจคือระยะสั้น ที่กระทบอย่างชัดเจนส่วนแรกคือการท่องเที่ยว ซึ่งจากที่เคยขยายตัว 2 หลัก โดยเดือน พ.ย.ก็ลดเหลือ 6-7% เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และเดือน ม.ค. ตัวเลขเบื้องต้นเฉพาะที่ด่านสุวรรณภูมิพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวติดลบไป 6-7% เนื่องจากหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้มี 3 ประเทศที่ห้ามประชาชนเดินทางมาประเทศไทย จากเดิมที่แค่เตือนให้หลีกเลี่ยง ส่วนที่ 2 คือด้านการเบิกจ่ายรัฐ มีปัญหาในทางปฏิบัติค่อนข้างมาก อย่างใส่วนงบฯท้องถิ่นกระจายไปแล้วแต่ก็ยังกองอยู่ รวมทั้งงบฯที่เกิน 1,000 ล้านบาท จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ทำให้ต้องรอรัฐบาลใหม่ ส่วนนี้มีเม็ดเงินประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท "ในภาพใหญ่งบฯลงทุนก็ยังพอเบิกได้ แต่ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายไม่เต็มที่ ตรงนี้ก็ต้องเร่งเบิกจ่ายส่วนที่เบิกได้ ซึ่งตอนนี้กรมบัญชีกลางก็พยายามผ่อนคลายกฎระเบียบให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้สะดวกขึ้น เปิดช่องให้ใช้วิธีพิเศษ" นายเอกนิติกล่าว ผลกระทบส่วนที่ 3 เป็นผลทางอ้อม คือการบริโภคและลงทุนภาคเอกชน ที่ชะลอตัว เห็นได้ชัดเจนจากการที่บริษัทปูนซีเมนต์เริ่มลดเป้าหมายการผลิต เมื่อลงทุนชะลอก็ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชนที่จะตามมา ขณะเดียวกันการบริโภคเอกชนยังมีส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกรณีเกษตรกรยังไม่ได้เงินจำนำข้าว ทำให้เงินไม่ได้ลงไปในระบบเท่าที่ควร ความหวัง "ส่งออก" ก็ยังแกว่ง รองผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า ต้องจับตาดูงบประมาณในระยะปานกลาง โดยเฉพาะงบฯปี 2558 และการท่องเที่ยวในไตรมาส 4 จะกลับมาได้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามครั้งนี้ยังโชคดีที่เหตุการณ์บ้านเมืองครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว จึงหวังว่าภาคการส่งออกจะเติบโตได้ดีขึ้น "ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ประเทศไทยจะหนักกว่านี้ อย่างไรก็ตามแม้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและญี่ปุ่นค่อนข้างชัดเจน แต่ในส่วนของยุโรปก็ยังมีปัจจัยเสี่ยง รวมทั้งจีนที่ถือว่าเป็นคู่ค้ารายสำคัญของประเทศไทยก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังไม่แน่นอน ดังนั้นผมจึงบอกว่าเศรษฐกิจไทยแขวนอยู่บนเส้นด้าย" กลางปีเสี่ยงเจอเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำลังจะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4/2556 สัปดาห์หน้า สศค.ประเมินว่าไม่ถึง 1% แต่ยังไม่ถึงขั้นติดลบ สำหรับช่วงไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ มีโอกาสที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะติดลบ ส่วนหนึ่งเพราะฐานปีก่อนที่สูงด้วย ส่วนจะมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น รองผู้อำนวยการสศค.กล่าวว่า การถดถอยทางเทคนิคคือการที่จีดีพีติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส นั้นขึ้นอยู่กับว่าปัญหาการเมืองยืดเยื้อแค่ไหน หากยืดเยื้อไม่จบ ทำให้ไม่มีีการเบิกจ่ายก็ย่อมมีผลกระทบ จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของรัฐว่าจะทำได้ดีแค่ไหน จับตา "ว่างงาน-เอ็นพีแอล" ขยับ นายเอกนิติกล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เครื่องยนต์ในประเทศดับ ก็ทำให้มีความกังวลผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงปัญหาตัวเลขการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้น แต่โชคดีที่อัตราการว่างงานที่ผ่านมาของประเทศไทยต่ำอยู่แค่ 0.6% แม้จะเพิ่มขึ้นแต่คงไม่ถึง 5% เหมือนตอนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 แต่ภาพที่เกิดขึ้นคือชั่วโมงการทำงานลดลง ซึ่งก็จะทำให้รายได้ของประชาชนลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน จากปกติจะโตที่ระดับ 4% แต่สถานการณ์ปัจจุบันคาดว่าตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนปีนี้จะโตแค่ 2% นอกจากนี้ สิ่งที่ สศค.เห็นสัญญาณเพิ่มขึ้น และเป็นห่วงคือการผิดนัดชำระหนี้ก็กลุ่มคอนซูเมอร์เครดิตก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากปัญหาชาวนาไม่ได้รับเงินจำนำข้าว ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นอีกตัวที่ต้องจับตาคือการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จากปัจจุบันเอ็นพีแอลรวมอยู่ที่ประมาณ 2% แต่จากที่ระบบสถาบันการเงินของไทยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 16 เท่า จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ 8.5 เท่า ทำให้ยากที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ไม่ควรประมาท "วันนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยสามารถรองรับการเกิดวิกฤตได้อย่างสบาย คือ เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังดี ดุลบัญชีเดินสะพัด สศค.คาดว่าจะกลับมาเป็นบวก จากการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่การนำเข้าลดลงตามความต้องการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอ ที่สำคัญทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก เมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น โดยปัจจุบันทุนสำรองสูงกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่หนี้ต่างประเทศระยะสั้นมีแค่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ปัจจัยทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่มูดีส์ หรือเอสแอนด์พี ยังไม่ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย" นายเอกนิติกล่าว "เดิมเราคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลเล็กน้อย แต่ตอนนี้น่าจะเกินดุล ส่วนหนึ่งคือการลงทุนที่น้อยลง มองในแง่เสถียรภาพถือว่าดี แต่มองมิติระยะยาวไม่ค่อยดี เพราะถ้าเราไม่ลงทุนวันนี้ อีกหน่อยก็จะลำบาก" ธปท.ชี้ครึ่งปีแรกขยายตัวต่ำ นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2557 จาก 4% มาอยู่ที่ 3% และจีดีพีปี 2556 เป็นต่ำกว่า 3% สาเหตุสำคัญจากประเด็นการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำ แต่หากก้าวข้ามปัญหาการเมืองได้ ความเชื่อมั่นจะกลับมา เศรษฐกิจจะฟื้นได้เร็ว โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว การบริโภคจะฟื้นได้เร็ว แม้การลงทุนจำเป็นต้องใช้เวลา กสิกรฯชี้กรณีเลวร้ายจีดีพีปีนี้ 0% นายเชาว์ เก่งชน กรรมการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กสิกรไทยได้มีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี"57 แบ่งเป็น 3 กรณี กรณีแรก หากการเมืองคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น การบริโภคการลงทุนของภาครัฐ ภาคเอกชน อาจกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จะส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจเติบโตได้ 3% กรณีที่ 2 หากการเมืองไม่จบในครึ่งปีแรก และยังไม่มีรัฐบาล การเบิกจ่ายงบประมาณ โครงการลงทุนต่าง ๆ ไม่ถูกผลักดันออกมาใช้ เศรษฐกิจไทยก็อาจเติบโตได้ต่ำกว่า 3% ภายใต้การส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตทั้งปีระดับ 5% และสุดท้ายกรณีเลวร้ายที่สุด การเมืองยืดเยื้อไปถึงสิ้นปี ภาครัฐ ภาคเอกชนไม่ลงทุนใหม่ การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว ขณะที่ภาคการส่งออกโตเหลือเพียงระดับ 3% จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตเหลือระดับ 2% อย่างไรก็ตาม หากเกิดการปฏิวัติทางการเมือง แต่คนในประเทศรับได้ กิจกรรมเศรษฐกิจก็อาจกลับมาเดินต่อได้จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ใกล้เคียง 3% ภายใต้ส่งออกเติบโต 3-5% แต่หากเกิดการปฏิวัติ แต่สถานการณ์ยังยืดเยื้อ เกิดเหตุการณ์รุนแรง หรือเริ่มมีอีกฝั่งออกมาชุมนุมทางการเมือง จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ขณะที่การส่งออก ที่ทุกฝ่ายต้องการให้เป็นพระเอก ไม่ได้โตตามที่คาดการณ์ จากเศรษฐกิจโลกไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด จะทำให้ตัวเลขส่งออกโตเหลือ 1% โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเหลือระดับ 1% หรือใกล้ 0% ก็มีโอกาส นายเชาว์ยังกล่าวอีกว่า โอกาสที่ไทยจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่นั้น เชื่อว่าก็มีโอกาสหากเศรษฐกิจไทยติดลบติดต่อกันเกิน 2 ไตรมาส แต่เบื้องต้น ไตรมาสแรกและไตรมาส 2 กสิกรฯยังมองเศรษฐกิจประมาณการเป็นบวก เพราะได้ส่งออกเข้ามาช่วยสนับสนุน "เวิลด์แบงก์" ยังมองไทยบวก ผู้สื่อข่าวรายงานว่างานแถลงเปิดตัวรายงานติดตามเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด ของธนาคารโลก ดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย คาดการณ์ว่าในปี 2557 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอยู่ประมาณ 4% โดยได้อานิสงส์มาจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทำให้การมองว่าการส่งออกที่ขยายตัวในระดับ 6.7% ขณะที่การบริโภคภาครัฐและเอกชนจะขยายตัวที่ 3.5% และ 1.8% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะอยู่ที่ 5.0% ขณะที่การลงทุนภาครัฐอยู่ที่ 1.0% ด้านการส่งออกสินค้าอยู่ที่ 5.6% และภาคบริการ 10% ด้าน ดร.อูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เสริมว่า ธนาคารโลกมองเศรษฐกิจไทยในมุมบวก โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโต 4% แต่หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อก็ต้องปรับตัวเลขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าไทยยังจะมีการลงทุนจากต่างชาติเข้ามามากขึ้น อ้างอิงจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ที่มีการอนุมัติการลงทุนให้กับภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศไปแล้ว สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 1 เท่าตัว "ปัญหาทางการเมืองไม่ได้ส่งผลให้นักลงทุนไม่เข้ามาตลอดไป แต่จะเป็นการชะงักลงชั่วคราว และตราบใดที่ประเทศไทยยังสามารถส่งออกได้ นักลงทุนก็ยังเชื่อมั่นอยู่ นอกจากนี้มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีต่ำมาก โดยอ้างอิงจากตัวเลขประมาณการเติบโตในปีนี้ ที่ 4%" ดร.ซาเกากล่าว ดร.กิริฎาเสริมว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยมี 2 ประเด็นหลัก กรณีปัญหาการเมืองในประเทศลุกลามไปถึงขั้นปิดถนน ปิดท่าเรือ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสินค้าไม่สามารถส่งออกได้ เศรษฐกิจทั้งหมดก็จะได้รับผลกระทบ และกรณีที่สอง หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ก็จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย รวมถึงเรื่องหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความล่าช้าในการดำเนินโครงการภาครัฐ ทั้งนี้ ในรายงานยังระบุถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ว่ามีการขยายตัว 3% ต่ำกว่าในปี 2555 ที่อยู่ในระดับ 6.5% อันเป็นผลมาจากการส่งออกที่ขยายตัวติดลบ 0.4% ไร้บอร์ด BOI อนุมัติลงทุนติดล็อก รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ด BOI หมดวาระ การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนลดน้อยลงเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเดือน ต.ค.อนุมัติส่งเสริมเพียง 205 โครงการ เดือน พ.ย. 123 โครงการ และเดือน ธ.ค. 97 โครงการ รวมอนุมัติส่งเสริมช่วง ม.ค.-ธ.ค. 2556 มี 2,016 โครงการ เทียบกับปี 2555 มี 2,260 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ คือ ญี่ปุ่น, ยุโรป, ไต้หวัน, สหรัฐ, ฮ่องกง และสิงคโปร์ นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ BOI เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อไม่เกิน 6 เดือน เชื่อว่าจะไม่กระทบการลงทุน เพราะถึงขณะนี้ยังไม่พบรายงานว่ามีผู้ประกอบการแจ้งถอนการลงทุน แต่หากยืดเยื้อกว่านั้นต้องประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้โครงการที่สามารถอนุมัติโดยไม่ต้องเข้าบอร์ดคือโครงการที่มีมูลค่าลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่ลงทุนมากกว่านั้นต้องรออนุมัติจากบอร์ด ซึ่งยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง "เราทำหนังสือไปยังคณะกรรมการเลือกตั้งแล้ว ว่าสามารถแต่งตั้งบอร์ดได้หรือไม่ แต่ยังไม่ได้รับพิจารณา การอนุมัติโครงการจึงชะงักอยู่" ตั้งบ.ใหม่หด-ยอดขอยกเลิกพุ่ง ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานสถิติการจดทะเบียนบริษัทช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2556 ซึ่งมีปัญหาด้านการเมืองว่า มีบริษัทจดทะเบียนตั้งใหม่เพียง 12,565 รายเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีบริษัทจดทะเบียนตั้งใหม่ 17,112 ราย ลดลง 4,547 ราย หรือร้อยละ -27 ส่วนการจดทะเบียนเลิกบริษัทมี 7,946 ราย เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 7,221 ราย เพิ่มขึ้น 725 ราย หรือร้อยละ 10 หอการค้าชี้ทำเศรษฐกิจซึมยาวถึงปี"58 ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า คาดการณ์ว่าจากปัญหาการเมืองยืดเยื้อส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยปีนี้ จะขยายตัวเพียง 3-4% และมีผลต่อเนื่องถึงปี 2558 ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวไม่ถึง 5% นอกจากนี้ภายใน 1-2 เดือนเศรษฐกิจจะซึม ประชาชนใช้จ่ายน้อยลง ใช้เงินออมมากขึ้น บัณฑิตจบใหม่จะเข้าตลาดแรงงานน้อยลง มองว่าทางออกในการแก้ไขปัญหา คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว รัฐเร่งจ่ายเงินให้ชาวนา ซึ่งจะพยุงให้เศรษฐกิจช่วงกลางปีขยายตัวได้ "เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้ การใช้จ่ายของประชาชนจะลดลง การลงทุนเอกชนไม่เกิด หอการค้ากังวลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการจ่ายเงินค่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่แนวทางที่เสนอให้โรงสีปล่อยเงินกู้ให้ชาวนา 50% ของมูลค่าใบประทวน รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบ และหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ อาจทำให้เกิดตลาดเงินนอกระบบ 5-6 หมื่นล้านบาท ยากต่อการควบคุมและจะกลายเป็นการปล่อยกู้เงินนอกระบบ" แนวทางที่แก้ปัญหาได้ คือ คณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (บอร์ด ธ.ก.ส.) ให้ชาวนานำใบประทานไปค้ำประกันเงินกู้และคิดดอกเบี้ยผ่อนปรน จะช่วยให้มีเม็ดเงินมาหมุนเวียนในระบบ 3-5 หมื่นล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ และบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนา ลงทุนภาครัฐสะดุด ขณะเดียวกันการเมืองที่ยังยืดเยื้อและเกิดสุญญากาศในการบริหารประเทศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงทำให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่สะดุดเดินหน้าไม่ได้ อาทิ 1.กระทรวงคมนาคม มีโครงการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท 13 โครงการ ต้องรอรัฐบาลใหม่ เป็นงานของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมเจ้าท่า เป็นต้น 2.รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เดือดร้อนหนักสุด เงินลงทุนรถไฟฟ้าสายสีม่วง "บางซื่อ-บางใหญ่" เงินกู้ 2 งวดแรกจะหมดในเดือน ก.พ.นี้ ต้องการเงินกู้งวดที่ 3 วงเงิน 11,000 ล้านบาท จ่ายผู้รับเหมาเพื่อรันงานก่อสร้างต่อเนื่อง 3.การเคหะแห่งชาติ เดือดร้อนหนักรวมถึงบ้านคนจน 2 โครงการ คือ 3.1 แผนงานพัฒนาใหม่ 4.9 หมื่นยูนิตสะดุด ต้องรอรัฐบาลใหม่ (แผนปี 2557-2560) 3.2 แผนลงทุนร่วมกับ รฟม. พัฒนาแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บนที่ดิน 14 ไร่คลองบางไผ่ กับสายสีเขียว 18 ไร่ย่านบางปิ้ง เป็นต้น http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1392360402
โดย
anomaly
อังคาร ก.พ. 18, 2014 11:17 pm
0
1
Re: สอบถามเรื่อง "สินค้าคงเหลือ" ครับ
สินค้าคงเหลือมาก ต้องไปดูว่า Build เพื่อ ซ่อนเรื่องค่าเสื่อมราคาไปที่ต้นทุนการขายหรือเปล่า (ถ้าหากคิดแบบค่าเสื่อมตามจำนวนที่ผลิต) อีกประเด็นจำไม่ได้เดี๋ยวต้องไปเปิดดูก่อนว่า สินค้าคงเหลือมีมาก ทำส่งผลที่อะไรต่อไปครับ :) เท่าที่ผมรู้ การมีสินค้าคงเหลือมากจะทำให้กำไรดูสูง แต่ในงบกระแสเงินสด จะถูกหักออกในกระแสเงินสดจากการดำเนินงานครับ เรื่องซ่อนค่าเสื่อมราคาไป ที่ต้นทุนการขายผมไม่เข้าใจว่าซ่อนยังไงหนะครับ รบกวน คุณ "miracel" ชี้แนะให้ผมด้วยครับ ขอบคุณมากๆครับ...^^) รบกวน k.Plant หรือท่านอื่นๆ ที่เข้าใจว่า การมีสินค้าคงเหลือมากจะทำให้กำไรดูสูง มันส่งผลอย่างไรครับ ผมยังไม่ค่อย get ขอบคุณมากครับ กรณีที่คุณ plant ว่าตามความเข้าใจผมไม่น่าจะทำให้กำไรดูสูงครับ กำไรสุทธิส่วน P&L ก็ของมันตาม transaction การขายที่เกิดขึ้นในรอบบัญชี ถูกแล้ว น่าจะเป็นเรื่องเงินสดรับ-จ่ายจากการดำเนินงานซะมากกว่า ที่อาจจะต่ำหรือสูงกว่ากำไรสุทธิ เพราะต้องปรับปรุงหาเงินสดสุทธิด้วยตัวเลขสินค้าคงเหลือ (สินค้าคงเหลือเป็นแค่ส่วนเดียว) ส่วนของ k.miracle น่าจะพูดถึงการนโยบายการบันทึกทางบัญชีส่วนต้นทุนการขายครับ
โดย
anomaly
พุธ ธ.ค. 11, 2013 12:15 pm
0
0
Re: ในวันที่ SET - 70 จุด
ได้เวลาเสวนาอีกครั้ง สับขาหลอกเท่านั้นครับ :mrgreen:
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ส.ค. 01, 2013 1:56 am
0
1
Re: คุ้มมั้ย กับการเสี่ยงซื้อหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมถดถ
ถดถอยถาวรหรือชะลอตัวชั่วคราวต้องแยกให้ออกนะครับ แบบแรกไม่รอดครับ แต่ถ้าอุตไป แต่บริษัทปรับตัวได้ เปลี่ยนสินค้า biz model etc ได้ก็รอดครับ
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. พ.ค. 30, 2013 7:33 pm
0
4
Re: ==การซื้อ Makro ของ CPall ที่ อจ.นิเวศน์ บอกว่าซื้อไว้เห
^^ ครับ ขอโทษที ผมหมายถึงใน ตปท หนะครับ เค้าจะใช้ชื่อ makro ใช่ไหมครับ ทรัพยสินก็จะอยู่ภายใต้ makro ใช่ไหมครับ ไม่ใช่ cpall
โดย
anomaly
ศุกร์ เม.ย. 26, 2013 2:56 am
0
1
Re: ==การซื้อ Makro ของ CPall ที่ อจ.นิเวศน์ บอกว่าซื้อไว้เห
เงินสด ผถห makro เหลืออะไรถึงมือไหมครับ หรือ เอาไปจ่ายภาระเงินกู้ cpall หมด การพูดลักษณะนี้เหมือน makro เป็นของ cpall 100% เลยหละ 5555+ แต่มี major control ก็กำหนดทิศทางนโยบายได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วการลงทุนเพิ่มของ makro หละครับ จะเอากระแสเงินสดมาหักล้างภาระเงินกู้อย่างเดียว เหมือนจะไม่ค่อยเหลือเงินสดทำอย่างอื่นเลย?
โดย
anomaly
ศุกร์ เม.ย. 26, 2013 1:15 am
0
2
Re: Merkel Losing Allies in $700 Billion Shift to Renewables
จะมีบริษัทใดส่งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องไปขายที่เยอรมันได้บ้าง ไม่น่าจะใช่ของไทยหละครับ มีแต่เรานำเข้าของเค้า
โดย
anomaly
จันทร์ เม.ย. 08, 2013 10:44 pm
0
1
Re: ประเทศไทย : ฐานส่งออกใหญ่รถยนต์ยี่ห้อต่างๆ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี 2556 โดยการผลิตรถยนต์ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,550,000 คัน มากกว่าปี.2555 จำนวน 96,283 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.92 แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 1,100,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,450,000 คัน ส่วนการผลิตรถจักรยานยนต์ในปี 2556 จะอยู่ที่ประมาณ 2,440,000 คัน น้อยกว่าปี 2555 ซึ่งมีจำนวน 2,606,161 คัน ลดลง 166,161 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 6.38 แยกเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 340,000 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 2,100,000 คัน สำหรับการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมกราคม 2556 นั้น นายสุรพงษ์ เปิดเผยว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2556 มีทั้งสิ้น 236,025 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 67.95 และเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2555 ร้อยละ 6.63 ขณะที่การผลิตรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2556 ผลิตได้ทั้งสิ้น 239,147 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 13.31 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 193,143 คัน ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 10.93 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 46,004 คัน ลดลงจากปี 2555 ร้อยละ 22.06 ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 125,817 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 63.36 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการทยอยส่งมอบรถยนต์ให้กับผู้จองรถยนต์ไว้จำนวนมากเมื่อปีที่แล้ว แต่ลดลงจากเดือนธันวาคม 2555 ร้อยละ 13.04 ด้านรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 179,762 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 19.81 และเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2555 ร้อยละ 17.57 การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม 2556 ส่งออกได้ 86,697 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 61.78 และเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2555 ร้อยละ 0.46 โดยมีมูลค่าการส่งออก 39,484.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 58.86 รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม 2556 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 55,711.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 38.57 การส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2556 มีจำนวนส่งออก 69,449 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 18.01 โดยมีมูลค่า 2,733.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 26.76 รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2556 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 3,441.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2555 ร้อยละ 4.73 ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2556 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 59,153.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ร้อยละ 36.01
โดย
anomaly
เสาร์ ก.พ. 23, 2013 12:06 am
0
0
Re: ประเทศไทย : ฐานส่งออกใหญ่รถยนต์ยี่ห้อต่างๆ
ส.อ.ท.เผยยอดขายรถยนต์ทั้งระบบเดือนม.ค.เพิ่ม 63.36% วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 11:03:06 น. ผู้เข้าชม : 69 คน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 63.36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ระดับ 125,817 คัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในเดือนธ.ค.55 อยู่ที่ 1.45 แสนคัน เพิ่มขึ้น 165.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปีนี้ยอดผลิตรถยนต์ของไทยจะทำได้อย่างต่ำ 2.5 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ 1.4 ล้านคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1.1 ล้าน คัน ขณะที่ในปี 55 ไทยมีการผลิตรถยนต์ 2.45 ล้านคัน และมียอดขายในประเทศ 1.44 ล้าน คัน
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ก.พ. 21, 2013 11:31 am
0
0
Re: ขอบคุณผู้บริหาร ก.ล.ต.ครับ
อีกเรื่องครับ หากการเปลี่ยนแปลงผลดำเนินงาน yoy ไม่ถึง 20% ทางบริษัทไม่มี obligation ที่จะต้องชี้แจงหรืออธิบายอะไร ซึ่งผมคิดว่าไม่สมเหตผล ควรจะมีคำอธิบายจากทีมบริหารสำหรับทุกๆรอบการดำเนินงาน อีกอย่างคือส่วน q4 เพราะเป็นการ report รายปี ดังนั้นหาก q4 เปลี่ยนแปลงมากแต่ทั้งปีไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยความที่การ report เป็นราย full year, ทางบริษัทไม่มี obligation ที่จะต้องพูดถึงการดำเนินงานของ q4 ผมว่าต้องเปลี่ยนแล้วหละ ให้ได้มาตรฐาน ทุกไตรมาสทุกรอบการดำเนินงาน ชี้แจงอธิบายให้หมด
โดย
anomaly
ศุกร์ ก.พ. 15, 2013 1:20 pm
0
6
Re: มกรา 56 , ยอดขายรถยังระเบิดดดดด
พาณิชย์ชี้ยอดขายรถในสหรัฐพุ่ง-ยุโรปเพิ่มการผลิต 11 กุมภาพันธ์ 2556 นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(สค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์กถึงยอดขายรถในสหรัฐฯว่า มีสัญญาณเริ่มอย่างสดใสตั้งแต่ต้นปี โดยรถยนต์ใหม่ ในเดือนมกราคม 56 เพิ่มสูงขึ้น 14% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม 55 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้อัตราการว่างงานจะยังไม่ดีขึ้นและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยังเป็นปัญหาของประเทศ ทั้งนี้ผู้ประกอบการไทยอุตสาหกรรมชิ้นส่วน อุปกรณ์ยานยนต์ไทย จำเป็นติดตามข้อมูล เพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งด้านวัตถุดิบการผลิต เทคโนโลยีการผลิตและการออกแบบ รวมถึงเพิ่มการวิจัยและพัฒนา ค้นคว้าเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมกับองค์กรธุรกิจจากประเทศอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ พัฒนาการผลิตสินค้า ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของไทยให้มีคุณภาพ ทันสมัยและเป็นที่รองรับการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ได้เป็นอย่างดีในอนาคต “การเพิ่มขึ้นของยอดขายในสหรัฐฯ นับว่าเกินความคาดหมาย ซึ่งยอดขายรถบรรทุกเพิ่มขึ้นมาก เป็นสัญญาณว่า กลุ่มธุรกิจก่อสร้างเริ่มจะมองเศรษฐกิจในแง่ดี ในปี 2555 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ดีที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมาของการขายรถยนต์ โดยมียอดรวม 14.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ถึง 13% และผู้อยู่ในวงการคาดว่าปี 2556 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 15.5 ล้านคัน ส่วนหนึ่ง เพราะผู้บริโภคมีความต้องการซื้อเพื่อทดแทนรถเก่า ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2555”นางศรีรัตน์ กล่าว อัตราการเพิ่มของยอดขายแบ่งตามค่ายรถยนต์ ดังนี้ จีเอ็มมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดสามารถทำยอด ขายในเดือนมกราคม 2556 ได้ถึง 194,700 คัน หรือ เพิ่มขึ้น 16% โดยรถปิกอัฟ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ส่วนอีก 4 ค่ายรถของเอมริกันเซฟโรแลต, คาดิลแลค, GMC และ บิวอิค ล้วนมีอัตราการขายเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก ส่วนค่ายฟอร์ดมอเตอร์ ค่ายรถใหญ่อันดับสองมียอดขาย 166,500 คัน หรือ เพิ่มขึ้น 22% และ ไครสเลอร์ ค่ายรถที่เล็กที่สุดของดีทรอยต์ มียอดขาย 117,700 คัน เพิ่มขึ้น 16% โตโยต้า ค่ายรถญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา มียอดขาย 157,700 คัน เพิ่มขึ้น 26.6 ฮอนด้ามี ยอดขาย 93,600 คัน หรือ เพิ่มขึ้น12.8% และนิสสันมียอดขาย 80,900 คัน เพิ่มขึ้น 2% ในขณะที่ค่ายรถดังจากเยอรมนี โฟล์คสวาเกน และ ออดิ ซึ่งทำยอดขายได้ดีในปีที่แล้ว รวมกันแล้วเพิ่มขึ้นถึง 30% กลับแผ่วลงในเดือนมกราคม 2556 โดยยอดขายเพิ่มขึ้นเพียง 7.1% สำหรับในยุโรปสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน แจ้งว่า สมาคมยานยนต์เยอรมันเผยแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์นั่งและรถบรรทุกในเยอรมันนีจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 โดยเฉพาะในลาดนอกยุโรป ทั้งในแง่ของการส่งออกและการลงทุนผลิต จากสัญญาณการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจโลกน่าจะดีขึ้น ทั้งนี้การผลิตรถยนต์ในเยอรมนีคาดว่า จะขยายตัวประมาณ 2 % ส่วนการลงทุนนอกประเทศเยอรมนีมุ่งเน้นไปที่ประเทศจีน เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูง ความต้องการรถยนต์ในตลาดจีนขยายตัวอย่างมาก และได้รับผลตอบแทนสูงสุดกว่าตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะรถยนต์จากเยอรมนีสามารถขายได้ราคาแพง และเป็นที่ต้องการ ประกอบกับกรณีที่จีนต่อต้านสินค้าจากญี่ปุ่น จีนจึงหันมาหารถยนต์เยอรมนีเช่น ออดิ, BMW, เมอซิเดส เบนซ์ แทน ในปี 55 เป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคจีนซื้อรถยนต์มากกว่าผู้ซื้อในประเทศยุโรป ในขณะที่ตลาดรถยนต์ยุโรป เช่น ฟอร์ด, เรโนลต์, โอเปิ้ล ประสบกับปัญหาการตลาด เปอร์โย ซีตรอง ต้องปรับลดจำนวนงานลง 10,000 งาน มีจำนวนรถยนต์ใหม่จำนวน 13.2 ล้านคันได้รับการขึ้นทะเบียนในจีน ในยุโรปจำนวนรถจดทะเบียนตกลงจากเดิม 13.6 ล้านคัน เป็น 12.5 ล้านคัน เนื่องจากจำนวนคนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อของจีนมีเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อของคนยุโรปเริ่มลดลง คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ตลาดรถยนต์ในประเทศจีนจะโตกว่าตลาดรถยนต์ในยุโรป บวกตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา และจะเข้ามาถือครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์โลกถึง 23.8%
โดย
anomaly
ศุกร์ ก.พ. 15, 2013 12:07 am
0
1
Re: เตรียมพบ 2 บิ๊กเซอร์ไพร์ส !!! ทนายนักช้อป “วิชัย ทองแตง”
ไม่ทราบว่าตัวหนังสือพิมพ์จริงเนื้อหามากกว่าตัวออนไลน์รึป่าวครับ ขอบคุณครับ
โดย
anomaly
พุธ ก.พ. 13, 2013 12:22 pm
0
0
Re: BOI
http://news.ch7.com/detail/19420/boi_%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 12:58 am
0
0
Re: BOI
ทำไมไม่เหมือนกันครับ หรือของผมไม่อัพเดท นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังกล่าวเปิดงานสัมมนา“ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่: เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน" ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอมีความตั้งใจที่จะรับฟังข้อเสนอและความคิดเห็นจากผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อนำข้อเสนอต่างๆ ทั้งจากการจัดสัมมนาในวันนี้ และจากงานสัมมนาที่จะจัดขึ้นอีก 4 ครั้งในทุกภูมิภาคมาประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์ใหม่ของการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งคาดว่าในเดือนมีนาคมจะสามารถนำเสนอต่อคณะกรรมากรส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลังเป็นประธาน และคาดว่านโยบายส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2556 เป็นต้นไป “ที่ผ่านมาการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ก็รับฟังความเห็นและข้อเสนอจากภาคเอกชน เพราะนโยบายที่จะส่งเสริมการลงทุนต้องตอบสนองความต้องการของนักลงทุน ครั้งนี้เราก็ต้องฟังเสียงจากนักลงทุนเช่นเดียวกัน แต่สถานการณ์ในปัจจุบันและในอนาคตทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย ซึ่งล้วนแต่เป็นเป้าหมายของยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตของภาคอุตสาหกรรม การลดภาระทางการคลังด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในแต่ละภูมิภาคหรือพื้นที่ชายแดนเพื่อกระจายความเจริญ และการเพิ่มบทบาทใหม่ของบีโอไอเพื่อสามารถให้บริการและการอำนวยความสะดวกที่ดีขึ้นทั้งก่อนและหลังการลงทุน ทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ"นายประเสริฐกล่าว ด้านนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่าภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ใหม่ บีโอไอมีแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนจากเดิมที่ให้ส่งเสริมเกือบทุกกิจการมาเป็นส่งเสริมแบบมีเป้าหมายชัดเจน เน้น 10 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ 1. กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและ โลจิสติกส์ (เช่น เขตอุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ น้ำประปาหรือน้ำเพื่ออุตสาหกรรม การขนส่งมวลชนและขนส่งสินค้า สนามบินพาณิชย์ ศูนย์บริการโลจิสติกส์) 2.กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน (เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี เยื่อกระดาษหรือกระดาษ เครื่องจักร) 3. กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (เช่น เครื่องมือแพทย์ ยา อาหารทางการแพทย์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์) 4. กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและบริการด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน กิจการ Recycle การบริการบำบัดน้ำเสียและกำจัดกากอุตสาหกรรม การบริการด้านจัดการพลังงาน (ESCO) 5. กลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม (เช่น R&D, HRD, Engineering Design, Software, บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ บริการสอบเทียบมาตรฐาน กิจการ ROH กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน) 6. กลุ่มเทคโนโลยีพื้นฐานขั้นสูง (เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง) 7. อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูปสินค้าเกษตร (เช่น อาหารแปรรูป วัตถุเจือปนอาหาร สารสกัดจากสมุนไพร การปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์พืช ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ เชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล) 8.อุตสาหกรรม Hospitality & Wellness (เช่น กิจการสนับสนุนการท่องเที่ยวและกีฬา การสร้างภาพยนตร์ไทยและบริการที่เกี่ยวข้อง ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ ศูนย์สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ) 9. อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ (เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถไฟ รถไฟฟ้า อากาศยาน ต่อเรือหรือซ่อมเรือ) 10. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น Electronic Design, Organics & Printed Electronics, HDD & SDD และชิ้นส่วน, เซลล์แสงอาทิตย์, White Goods ) ทั้งนี้ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมที่บีโอไอจะมุ่งเน้นให้การส่งเสริมจะครอบคลุมกิจการประมาณ 130 ประเภท โดยแบ่งเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 100 กิจการ ซึ่งเป็นกิจการที่มีความสำคัญสูงต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและมีความจำเป็นต้องให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ส่วนอีกประมาณ 30 กิจการ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจัก วัตถุดิบ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน การนำเข้าช่างฝีมือและผู้ชำนาญการชาวต่างชาติ ขณะที่กิจการที่เคยให้ส่งเสริมและอยู่ในข่ายที่จะเลิกให้การส่งเสริม มีปัจจัยในการพิจารณาเลิกส่งเสริม คือ เป็นกิจการที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ การใช้เทคโนโลยีอยู่ในระดับต่ำ กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน การเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่างๆ มีน้อย ใช้แรงงานเข้มข้น และสามารถดำเนินกิจการได้เองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม นอกจากนี้ ยังมีกิจการที่บีโอไออาจเลิกส่งเสริมเพราะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก หรือใช้พลังงานสูง รวมถึงกิจการที่เป็นกิจการสัมปทาน หรือกิจการผูกขาดที่รัฐคุ้มครองอยู่แล้ว และกิจการที่ขัดกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง นายอุดม กล่าวต่อว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ จะให้ความสำคัญเพิ่มเติมด้านวิจัยพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยจะเพิ่มระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 1-3 ปี รวมทั้งเปลี่ยนการส่งเสริมตามเขตพื้นที่เป็นการส่งเสริมให้เกิด คลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค อาทิ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยางพารา คลัสเตอร์อุตสาหกรรมแฟชั่น คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอากาศยาน คลัสเตอร์วิทยาศาส ตร์และเทคโนโลยี และคลัสเตอร์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น BOI ลดส่งเสริมเหลือ 124 กิจการ เลิก 3 เขตหันใช้คลัสเตอร์ เอกชนขอเวลา 1-2 ปีปรับตัว BOI เปิดแผนปรับสิทธิประโยชน์ลงทุนใหม่ จัดกลุ่มคลัสเตอร์ ลดจากกว่า 200 เหลือแค่ 124 กิจการใน 10 กลุ่มอุตฯ เน้นโครงสร้างพื้นฐาน-ไฮเทค อีก 3 เดือนประกาศใช้ ส.อ.ท.วอนขอเวลา 1-2 ปีปรับตัว หอการค้า ตปท.ติงต้องรอบคอบ ชี้แบกค่าแรง 300 ไม่อยากลงทุนต่างจังหวัด นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนารับฟังความคิดเห็น "ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ : เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน" ว่าสิทธิประโยชน์การลงทุนใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปี 2556-2660 จะมีประมาณ 124 กิจการ ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ 1. กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ อาทิ กิจการเขตอุตสาหกรรม กิจการสนามบินพาณิชย์ 2. กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน อาทิ กิจการเหล็ก กิจการปิโตรเคมี 3. กลุ่มอุตสาหกรรมแพทย์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ อาทิ เครื่องมือแพทย์ ยา 4. กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและบริการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เชื้อเพลิงชีวภาพ 5. กลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม อาทิ บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ 6. กลุ่มเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน อาทิ เทคโนโลยีชีวภาพ 7. อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูปสินค้าเกษตร อาทิ อาหารแปรรูป สารสกัดจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ 8. กลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพ อาทิ ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ กิจการสนับสนุนการท่องเที่ยวและกีฬา 9. อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ อาทิ รถยนต์ รถไฟ รถไฟฟ้า อากาศยาน 10. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เซลล์แสงอาทิตย์ การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ นายประเสริฐกล่าวว่า การลดประเภทกิจการลงจากเดิมกว่า 200 กิจการ เพราะต้องการส่งเสริมลงทุนแบบมีเป้าหมายชัดเจน และกิจการเหล่านี้จะถูกส่งเสริมให้เกิดขึ้นในรูปการรวมกลุ่ม หรือคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาคด้วย จากเดิมที่ส่งเสริมตามพื้นที่แบ่งเป็น 3 เขต แต่รูปแบบเก่าพบว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะอุตสาหกรรมยังคงกระจุกตัวตามหัวเมืองใหญ่และใกล้กรุงเทพฯ ส่วนการส่งเสริมผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะคงมีอยู่ แต่น้อยลงเหลือ 8 กิจการ ในกิจการที่สำคัญจริง เช่น ผลิตอาหารทางการแพทย์ และจะเน้นเรื่องอำนวยความสะดวกแทน นอกจากนี้จะเน้นส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญกับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น "ส่วนสิทธิประโยชน์เก่าจะยังคงได้สิทธิไป ตลอดอายุแพคเกจไม่มีผลย้อนหลัง เพราะจะเริ่มบังคับใช้กับกิจการที่ขอส่งเสริมเข้ามาใหม่เท่านั้น" นายประเสริฐกล่าว นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ที่เสนอครั้งนี้ยังต้องผ่านการรับฟังความเห็น เสร็จเดือนมีนาคม จากนั้นจะชี้แจงเพื่อประกาศใช้กลางปี เท่ากับว่าเอกชนจะมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 3 เดือนหลังจากนั้น นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไม่อยากให้ BOI กำหนดเวลาการทำยุทธศาสตร์ที่รัดตนเองเกินไป เช่น ปรับตัว 3 เดือน เพราะการทำยุทธศาสตร์แม้จะทำการบ้านมาดี แต่ต้องรอบคอบ และให้เวลาเอกชนปรับตัว ซึ่งการทำยุทธศาสตร์ลักษณะนี้จะใช้เวลาปรับตัว 1-2 ปีทีเดียว นายนันดอร์ วอน เดอ ลู ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้ BOI พิจารณาเรื่องการยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์จากเขตเป็น คลัสเตอร์ใหม่ตามภูมิภาคอย่างรอบคอบ และนำผลจากนโยบายปรับค่าแรง 300 บาท พิจารณาด้วย เพราะนโยบายดังกล่าวได้ลดแรงจูงใจที่เอกชนจะออกไปลงทุนตามภูมิภาคแล้ว นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า BOI ไม่ควรมองยุทธศาสตร์ที่ 5 ปี แต่ควรมองไปถึง 10 ปี ว่าไทยจะไปทิศทางไหนและอุตสาหกรรมที่ควรส่งเสริมเชิงลึก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ควรขยายไปประเภทที่จะมีความต้องการใช้ในภูมิภาคเพิ่มขึ้น เช่น รถบัส เป็นต้น
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 12:55 am
0
2
Re: ่ทะลุ 1.1 ล้านคัน (แรก) แล้ว น่าจะถึง 1.2 ล้านคัน!!!!
^^ ขออนุญาตนำตัวเลขจากข่าวไปลง pie chart
โดย
anomaly
อาทิตย์ ม.ค. 13, 2013 6:44 pm
0
1
Re: แนวทางการริเริ่มสำหรับนักลงทุนมือใหม่
:wink: ลืม http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=1818&Itemid=1561
โดย
anomaly
อาทิตย์ ม.ค. 06, 2013 1:04 pm
0
0
Re: ่ทะลุ 1.1 ล้านคัน (แรก) แล้ว น่าจะถึง 1.2 ล้านคัน!!!!
ประมาณนี้ครับ ปิดฉากรถคันแรก1.25ล้านคันคืนภาษี9หมื่นล. ประชาชนทั่วประเทศแห่ขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกวันสุดท้ายวานนี้คึกคัก อธิบดีกรมสรรพสามิตเผยทั่วประเทศสูงถึง 1.25 ล้านคัน คาดใช้เงินคืนสูง 9.1 หมื่นล้าน ยอมรับสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 เท่าตัว คาดปีงบประมาณ 2556 คืนภาษี 2 หมื่นล้านบาท ส่วนปีงบ 2557 คืนภาษี 3-3.5 หมื่นล้านบาท โครงการนโยบายรถคันแรก โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 ถึงวานนี้ (31 ธ.ค.) โดยผู้ซื้อจะได้รับการลดหย่อนภาษีในวงเงินภาษีจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ในข้อกำหนดที่ว่าต้องเป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/ รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) โดยรัฐบาลมีนโยบายรถคันแรกในเบื้องต้นมีการตั้งเป้าหมายว่าจะให้มีคนซื้อรถภายใต้โครงการนี้จำนวน 500,000 คันและตั้งวงเงินภาษีที่จะคืนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากเปิดโครงการไป ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ยอดรถคันแรกวานนี้พุ่ง 1.25 ล้านคัน หลังสรุปผลวานนี้ (31 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ปรากฏว่ามีประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศได้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดวัน นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกเมื่อวานนี้ (31 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ว่า คาดว่าจะมีผู้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดทั่วประเทศไม่เกิน 5,000 คัน และจนสิ้นสุดการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกและการยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต ยอดรวมน่าจะอยู่ที่ 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรกกว่า 3 เท่าตัว โดยวานนี้ มีจำนวนผู้ยื่นขอคืนภาษี เพียง 3,000-4,000 รายทั่วประเทศ สำหรับการยื่นเอกสารขอคืนภาษีรถคันแรกทั่วประเทศจนถึงเช้าวานนี้ (31 ธ.ค.) มีจำนวน 1,253,500 คัน เป็นรถยนต์นั่ง 737,383 คัน กระบะ 257,590 คัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือ ดับเบิลแค็บ 256,525 คัน ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิและได้รับรถปี 2556 จะต้องคืนภาษีรถยนต์คันแรกรวม 20,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ครั้งแรกรับเงินคืนไปแล้วมีทั้งสิ้น 47,018 ราย คิดเป็นเงิน 3,481 ล้านบาท คาดว่าใช้งบประมาณ 7,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาท ส่วนปีงบ 2557 คาดว่าจะคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 30,000-35,000 ล้านบาท ทั้งนี้ผู้จองซื้อรถจะต้องครอบครองรถยนต์ให้ครบ 1 ปี สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรีและสมุทรปราการ มีจำนวนผู้ยื่นขอคืนภาษี 2 แสนคัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของยอดจองทั้งหมด ขณะที่รถยนต์นั่ง มีสัดส่วนยื่นคืนภาษี 60% อีก 40% เป็นรถกระบะ และ ดับเบิลแค็บ ปัจจุบัน ได้มีการคืนภาษีแล้ว 4 หมื่นราย มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท โดยหลักการคืนเงินภาษีรถคันแรกนั้นต้องครอบครองรถครบ 1 ปี ซึ่งรถบางรุ่น บางยี่ห้อ รับมอบรถในปี 2557 นั่นหมายความว่าต้องครอบครองอีก 1 ปี จะได้รับเงินคืนในปี 2558 นายสมชาย กล่าวว่า โครงการคืนภาษีรถคันแรกเชื่อว่าไม่กระทบต่อรายได้รัฐ เนื่องจากมีการจัดเก็บภาษีไปส่วนหนึ่งแล้วตั้งแต่รถออกจากโรงงาน รูปแบบการจ่ายเป็นการทยอยคืนปีต่อปี ขณะเดียวกันการจัดเก็บภาษีของรัฐช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เกินเป้าหมาย กว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้รัฐยังมีรายได้ชดเชยจากภาษีทางอ้อมอื่นๆ เช่น ภาษีรายได้ ภาษีรายได้นิติบุคคล อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การให้บริการยื่นเอกสารขอคืนภาษีกรมสรรพสามิตได้เปิดรับยื่นเอกสารจนถึงเวลา 16.30 น. ของวานนี้ ก่อนที่จะปิดรับเอกสารขอคืนภาษี นอกจากนี้ยังเปิดให้ประชาชนที่ซื้อรถคันแรกสามารถยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://firstcar.excise.go.th/ ได้จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 2555 แต่เอกสารต้องพร้อมภายใน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นขอใช้สิทธิ เชียงใหม่ยอดจองรถคันแรกเกือบ 4 หมื่นคัน ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่นกัน อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางสรรพสามิตจังหวัด เชียงใหม่ ได้แจ้งยอดการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรก ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2555 (เวลา 16.00 น.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรก ปรากฏว่ามีประชาชนยื่นขอใช้สิทธิทั้งสิ้น 39,690 คัน ยอดเงินคืนภาษีทั้งหมดรวม 3,007,198,851 บาท โดยแยกเป็นรถยนต์เก๋ง 27,739 คัน รถกระบะ 6,466 คัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ 5,485 คัน ส่วนที่จังหวัด ขอนแก่น นายสันติ บุญไทย สรรพสามิตพื้นที่ขอนแก่น กล่าวว่า วานนี้ (31 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นสิทธิคืนภาษีรถคันแรกที่จังหวัดขอนแก่น มีประชาชนเข้ามาใช้สิทธิไม่หนาแน่นนัก เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ผ่านมาในรอบสัปดาห์ ซึ่งบางวันมียอดจองมากกว่า 1,300 คัน โดยยอดล่าสุดมีผู้ใช้สิทธิคืนภาษีรถคันแรกเกินเป้าถึง 35,000 คัน โดยเฉลี่ยจะได้รับเงินคืนที่คันละ 70,000 บาท คิดเป็นเงินที่จะต้องจ่ายคืนเฉพาะที่จังหวัดขอนแก่นไม่น้อยกว่า 2,450 ล้านบาท
โดย
anomaly
ศุกร์ ม.ค. 04, 2013 1:44 am
0
0
Re: สารคดีชีวิตสัตว์โลก :: LTF vs หุ้น
ชอบครับ น่ารักดี 5555+
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 24, 2012 2:28 am
0
0
Re: เคาะซื้อเคาะขายทีละ 100 หุ้น
partial publishing / executing ฝั่งซื้อ ไม่อยากให้รู้ว่าซื้อเยอะ เดี๋ยว mass แย่งซื้อ ฝั่งขายก็เช่นกัน ไม่อยากให้รู้ว่าขายเยอะ เดี๋ยว mass แย่งขาย
โดย
anomaly
ศุกร์ ธ.ค. 21, 2012 12:49 am
0
0
Re: Set ขึ้นเร็วไปหน่อยหรือเปล่าครับ
ถ้าลงทุนกับบริษัทรายตัว ดัชนีขึ้นหรือลงคือแรงเหวี่ยงเหมือนกัน เราเป็นคนไปกำหนดค่าบวกลบแล้วตีความเอง แต่ถ้ามันทำให้ราคาบริษัทที่เราเล็งถูกดันขึ้นไปเร็วมากแล้วเราต่อราคาไม่ค่อยได้นั้นคงอีกเรื่อง อิอิ ถ้า mos ไม่ได้ก็ยอมตกรถครับมั้งครับ :D ท้ายสุดก็ทำเหมือนเดิม หากิจการดีราคาต่ำกว่ามูลค่าระยะยาว
โดย
anomaly
ศุกร์ ธ.ค. 21, 2012 12:47 am
0
1
Re: ใครๆก็ทำกำไรจากหุ้นได้ในช่วงนี้ แล้วคนที่ขาดทุนหายไปไหน
กำไรแต่ ขาด 'ทุน' ครับ ขาดเงินทุน :'O :'O
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 18, 2012 1:24 am
0
2
Re: แรงงาน ยานยนต์ และ ชิ้นส่วน
http://www.thaiautoparts.or.th/download/Article%202.pdf
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 17, 2012 2:22 am
0
0
Re: CP: Thailand will be Detroit of Asia
thai version “ซีพี” เปิดแผนร่วมทุน “จีน” ตั้งบริษัท “ซีพี มอเตอร์ โฮลดิ้ง” เพื่อเป็นฐานผลิตรถยนต์ “เอ็มจี” ป้อนตลาดโลก คาดดันไทยเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย นายนพดล เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจยานยนต์ และอุตสาหกรรม (จีน) เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมทุนกับ บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Shanghai Automotive Industry Corp. - SAIC) ในสัดส่วน 49% ในการจัดตั้งบริษัท ซีพี มอเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ MG ป้อนสู่ตลาดไทยและตลาดโลก โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิตและส่งออกไปยังทุกประเทศทั่วโลก เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชีย หรือดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia) ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน และมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน โดยในเฟสแรกของการลงทุนจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเลือกที่ตั้งโรงงานซึ่งต้องการสร้างโรงงานที่อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบังเพื่อสะดวกในการส่งออกไปต่างประเทศ คาดว่าจะเริ่มทำการตลาดในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งรถยนต์ MG รุ่นแรกที่จะจำหน่ายในไทยนั้นจะเป็น MG 6 MG 3 และ MG 5 ซึ่งในระยะเริ่มต้นจะนำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบในไทย และในช่วงแรกตั้งเป้าหมายผลิต 50,000 คัน/ปี และมีแผนที่จะขยายการผลิตเป็น 200,000 คัน/ปี ในอนาคต “เครือเจริญโภคภัณฑ์เชื่อมั่นในการลงทุนครั้งนี้ มั่นใจว่ารถยนต์ MG ที่จะผลิตในไทยและส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลกจะได้รับความนิยม เนื่องจาก MG รถยนต์มาตรฐานยุโรปที่มีคุณภาพระดับโลก ซึ่งผู้บริโภคไทยรู้จักและยอมรับในคุณภาพมาตรฐาน” นายนพดลกล่าว ทั้งนี้ SAIC เป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในจีน ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ปีละกว่า 4 ล้านคัน และยังเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการร่วมทุนกับบริษัทรถยนต์ระดับโลกอีกหลายแห่งมาเป็นเวลานาน และเมื่อเร็วๆ นี้ SAIC ได้ลงทุนมหาศาลเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาทสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ จะมีการออกแบบ ค้นคว้า วิจัยเพื่อรองรับตลาดในอนาคต โดยมีพนักงานออกแบบกว่า 300 คน และเมื่อ SAIC มีนโยบายที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาเพียงแห่งเดียวเพื่อป้อนตลาดโลก เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงไม่ลังเลที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจลงทุนเปิดตลาดรถยนต์ MG ในประเทศไทย และส่งออกไปทั่วโลก สำหรับ MG เป็นรถยนต์ที่มีประวัติยาวนานเกือบ 100 ปี โดยมีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ SAIC เข้าไปซื้อกิจการ MG ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 และได้ตั้งโรงงานผลิต MG ขึ้นใหม่อีกแห่งที่ประเทศจีน โดยผลิตเป็นรถยนต์พวงมาลัยซ้ายเพื่อรองรับตลาดรถยนต์ในจีน
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2012 6:57 pm
0
0
Re: "ศูนย์วิจัยกสิกร"ชี้อุตฯรถยนต์ กล่องดาวเทียม เคเบิลทีวีม
ปี′56 รถเก๋งเล็กยังมาแรง ′โตโยต้า′ ส่งอีโคคาร์รับมือ ตลาดส่งออกส่อช่วยใน ปท. updated: 11 ธ.ค. 2555 เวลา 11:10:26 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ แหล่งข่าวจากวงการรถยนต์เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2556 คาดว่ารถเก๋งขนาดเล็กจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 1300 ซีซี หรือรถยนต์อีโคคาร์ เพราะค่ายรถยนต์ได้พัฒนาสมรรถนะให้มีกำลังมากขึ้นแต่ก็ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปีหน้า รถอีโคคาร์จากค่ายต่างๆ ยังคงแข่งขันกันรุนแรง และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เช่น ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ อีโคคาร์ซีดาน ที่เพิ่งเปิดตัว กับ นิสสัน อัลเมร่า แชมป์อีโคคาร์ เพราะทั้งสองรุ่นแข่งขันในเรื่องความกว้างขวางของห้องโดยสาร รวมทั้งยังมีอีโคคาร์อีกหลายรุ่นเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ เช่น นิสสัน มาร์ช, ซูซูกิ สวิฟท์, มิตซูบิชิ มิราจ, ฮอนด้า บริโอ้ แต่ละรุ่นเตรียมปรับแต่งจุดด้อยและเสริมจุดเด่นในปีหน้าเพิ่มเติมอย่างแน่นอน นอกจากนี้คงต้องจับตาการเปิดตัวโตโยต้า อีโคคาร์ ประมาณเดือนสิงหาคม จะช่วยกระตุ้นตลาดรถเก๋งเล็กให้คึกคักเพิ่มขึ้นมาก ทางด้านบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "2556 อีกปีแห่งการทำสถิติอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย" ว่า ปี 2555 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยทำตัวเลขสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ทั้งยอดขายในประเทศ ยอดการส่งออก และยอดการผลิต รวมถึงยังมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก จากหลากปัจจัย เช่น ความสามารถในการฟื้นกำลังการผลิตได้อย่างรวดเร็วของค่ายรถหลังต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ช่วงปลายปี 2554 ผลจากนโยบายรถยนต์คันแรก คาดการณ์ว่าอาจจะทำยอดจองได้สูงถึง 7 แสนคัน และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด เป็นต้น ส่วนในปี 2556 แม้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศอาจจะหดตัวลงหลังจาก ตลาดรถยนต์ปี 2555 ได้ดึงความต้องการซื้อล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน แต่คาดว่าตลาดส่งออกจะยังขยายตัวได้ดี ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค รวมทั้งค่ายรถต่างยังคงเดินหน้าลงทุนขยายกำลังการผลิตในประเทศไทย ขณะที่กำลังการผลิตที่เคยถูกดึงไปผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะสามารถโยกกลับมาผลิตเพื่อรองรับการส่งออกได้มากขึ้น ทั้งนี้ ผลของโครงการรถยนต์คันแรก นอกจากจะทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 นี้ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์แล้ว ยังมีผลทำให้เทรนด์ตลาดรถยนต์ในประเทศเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยในช่วงก่อนมีโครงการดังกล่าว รถยนต์นั่งขนาดเล็กต่ำกว่า 1500 ซีซี มีสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของตลาดรถยนต์รวม อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน สัดส่วนตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กได้ขยับขึ้นมาเป็นราว 1 ใน 3 ของตลาดรถยนต์รวม เพราะนอกจากโครงการรถยนต์คันแรกมีผลในการผลักดันแล้ว ยังมาจากการรถรุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กราคาประหยัด ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ทิศทางการขยายความเป็นเมือง (Urbanization) กระจายออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ทำให้รสนิยมการซื้อรถของผู้บริโภคในต่างจังหวัดเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการด้านประโยชน์ใช้สอยที่ต่างไปจากเดิม ส่งผลให้นอกจากรถยนต์นั่งขนาดเล็กทั่วไปแล้ว รถยนต์อีโคคาร์ (ขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1300 ซีซี) ที่มีระดับราคาเริ่มต้นไม่สูงนักกลายมาเป็นรถประเภทที่ได้รับความนิยมในตลาดและมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดรถยนต์ไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งปี 2556 อาจลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,340,000 ถึง 1,410,000 คัน หรือหดตัวเพียงร้อยละ 2 ถึง 7 ก็ยังนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับยอดขายรถยนต์ในอดีตก่อนหน้านี้ของไทย โดยรถยนต์นั่งมีโอกาสจะขยับสัดส่วนขึ้นมาใกล้เคียงหรือเท่ากันกับรถเพื่อการพาณิชย์ ส่วนตลาดส่งออกในปี 2556 นอกจากจะได้รับอานิสงส์จากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว การปรับสัดส่วนกำลังการผลิตรถยนต์ของค่ายรถกลับมาผลิตเพื่อรองรับตลาดส่งออกมากขึ้น คาดว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยปี 2556 น่าจะขยับขึ้นไปแตะระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อที่ระดับ 1,230,000 ถึง 1,290,000 คัน หรือขยายตัวสูงร้อยละ 20 ถึง 26 จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศยังขยายตัวได้ดีและขยับขึ้นไปสู่ระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกปีที่ตัวเลขระหว่าง 2,500,000 ถึง 2,600,000 คัน หรือขยายตัวร้อยละ 5 ถึง 9 ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2012 6:33 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
แถวๆนี้ก็แรงเหมือนกันครับ อินโดฯเผยยอดขายรถปีนี้พุ่ง 1 ล้านคันแล้ว สูงสุดเป็นประวัติการณ์ วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2555 เวลา 16:14:11 น. ผู้เข้าชม : 324 คน รอยเตอร์รายงานว่า สมาคมผู้ผลิตรถยนต์อินโดนีเซีย (GAIKINDO) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในอินโดนีเซียพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1 ล้านคันในปีนี้แล้ว หลังจากมียอดขาย 103,699 คันในเดือนพ.ย.แม้มีการกำหนดให้วางเงินดาวน์เพิ่มขึ้นก็ตาม ยอดขายในเดือนม.ค.-พ.ย.อยู่ที่ 1.02 ล้านคัน และคาดว่าจะพุ่งทะลุเป้าหมายที่ 1.08 ล้านคัน สำหรับปีนี้ ขณะที่ยอดขายในเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 53.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วแต่ลดลง 2.9% จากเดือนต.ค. โดยบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปสามารถทำยอดขายได้มากที่สุด ตามมาด้วยไดฮัทสุ มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ ซึ่งจากยอดขายทั้งหมดในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขาย 24% อยู่ในกรุงจาการ์ตา สำหรับยอดขายรถยนต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการอุปโภคบริโภคในประเทศได้แรงหนุนจากชนชั้นกลางที่มีจำนวนมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ
โดย
anomaly
พุธ ธ.ค. 12, 2012 11:29 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
^^ ข่าวข้างบนมาตอน 6 โมงเย็นครับ motor expo จบ สี่ทุ่ม อยากดูสรุปทั้งหมดจริงๆ
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 10, 2012 8:37 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
ข่าวบอกจอง 80,000 คัน ประมาณ และแค่ 40% จากรถคันแรกจริงหรอ...?? Advance auto orders at Motor Expo 2012 hits record high of 80,000 units BANGKOK, Dec 10 - The number of advance auto orders at Motor Expo 2012 hit a record high at 80,000 units, with Honda ranking first with over 16,000 units ordered during the 10-day event. Motor Expo organiser Kwanchai Prapaspong said the number of visitors reached 1.61 million, surpassing the expected figure at 1.6 million, thanks, he said, to an improved economy resulting higher consumer purchasing power. He said this year’s volume of auto orders volume was forecast at only 50,000 units but it soared to a record high at 80,000, the highest since the event was first begun 29 years ago, counting for over Bt90 billion in circulation. The previous record was in 2010 with the orders volume at 33,000 units. Apart from the improved economy, the government's 'first car' scheme is also a major factor for this year's increased orders, counting for as much as 40 per cent of all orders . The higher orders also resulted from a rebound from falling orders, affected by last year's devastating flood, which hit auto and auto parts plants in Thailand's industrial estates. Mr Kwanchai said eco cars' orders volume counted for 20 per cent of sales , followed by pickup trucks at 10 per cent, while the rest was for sedans and luxury cars, which amounted to 1,300 units. Honda City, Suzuki Swift, and Honda Brio are the top-three models respectively, gaining the best popularity of orders volume in regard to eco cars. Mr Kwanchai however said the automobile reservation this year might slow down the volume next year, which should not exceed 20 per cent. Following Honda's highest orders volume of 16,148 units at this year's Motor Expo, Toyota ranked second at 14,961 units, Nissan at 6,869 units, Isuzu at 5,587 unit, and Mazda at 4,774 units. (MCOT online news)
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 10, 2012 8:36 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
วันนี้เพราะมีเหตุการณ์และปัจจัยหลายอย่างเหลือเกินทำให้ไม่สามารถประเมินความน่าสนใจของสินค้ารถยนต์ในภาวะ normalized ได้อย่างแท้จริง รถนั้นถือเป็น value added product แม้ในแง่ของ disposable income จะนับเป็น item ฟุ่มเฟือยและไม่ได้ซื้อบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะแค่ได้ลดภาษีอย่างเดียว ถ้าของมันห่วย ได้ถูกลง 5 หมื่น 7 หมื่น แสนนึง เพราะแค่นั้นคนไม่ซื้อหรอก นับวันสินค้ารถยิ่งน่าสนใจขึ้น ต้องดูกันหละว่าตัวสินค้าเองจะพัฒนาไปยังไงครับ ปีหน้าก็มีรุ่นใหม่ๆของหลายๆยี่ห้อออกมา อีโคคาร์ของโตโยต้า ก็ยังรอเป็น surprise อยู่ อันนี้ยังไม่ได้พูดถึงส่งออก และการทำตลาด eco car ในประเทศอื่นๆ ส่วนตัวผมว่าควรรอดูไปซักระยะ ในแง่การผลิตและชิ้นส่วน ผมว่าน่าจะมองรวมๆหลายๆปี บางมุมตลาดมองเป็นปีชนปีแล้วพยายามจะหาเทรนด์ทั้งๆทีมี abnormal factor เยอะ ฐานปี 54-55 นั้นเพี้ยนไปเลย คงไม่แม่นหรอก ต้องจับตาดูปี 56-57 ให้ดีเลยการผลิตจะเป็นยังไง (สะท้อนจากขายในปท. + ส่งออก) จาก movement ของ maker ต่างๆ เท่าที่เห็น การเพิ่มกำลังผลิต มีเจ้าใหม่ๆย้ายเข้ามาตั้งฐาน รวมๆดีสำหรับประเทศเราครับ
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 10, 2012 7:24 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
อัพเดทต่อครับ วันอาทิตย์วันเดียวซัดไป 12,115 คัน รวม 69k คัน ปลายๆแล้วครับ ลุ้นยอดพรุ่งนี้ต่อ วันหยุดอีกวัน ตอนนี้ 5 อันดับแรก 1. HONDA 16,148 2. TOYOTA 14,961 3. NISSAN 6,869 4. ISUZU 5,587 5. MAZDA 4,774 เรียกว่าตีเป้ากระจุยทีเดียว
โดย
anomaly
จันทร์ ธ.ค. 10, 2012 12:04 am
0
2
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
update นะครับ ผ่านไป 10 วันยอดจอง 57,367 คัน ยังเหลืองานอีก 2 วัน (รวมวันนี้) เป็นวันหยุดทั้งสองวัน เป้าแตกแน่ครับ
โดย
anomaly
อาทิตย์ ธ.ค. 09, 2012 10:32 am
0
1
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
ครึ่งทาง MOTOR EXPO 2012 คึกคัก โกยยอดจองกระฉูดเกือบ 40,000 คัน ค่าย"ฮอนด้า"สุดฮอต !! วันที่ 06 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:03:55 น. ครึ่งทางงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29” แรงตามคาด ผู้ชมสูงถึง 979,891 คน ยอดจองรถ38,633 คัน ฮอนดาฮอตสุด 9,110 คัน ตามด้วยโตโยตา 8,174 คัน และนิสสัน 3,891 คัน มั่นใจจบงานยอดรวมทะลุเป้าแน่ นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29” เปิดเผยว่ายอดจองรถภายในงานเพียงครึ่งทาง (7 วัน) จำนวนรวมอยู่ที่ 38,633 คัน ทำลายสถิติยอดจองรถตลอดทั้งงานที่เคยทำไว้สูงสุดเมื่อปี 2553 จำนวน 33,053 คัน เพิ่มขึ้นถึง 220% เมื่อเทียบกับจำนวนวันเท่ากันของปีที่ผ่านมา (จำนวน 12,054 คัน) โดยส่วนใหญ่เป็นรถเล็กราว 61% ของยอดจองทั้งหมด “จากที่ตั้งเป้ายอดจองรถในงานไว้อยู่ที่ 50,000 คันแต่ดูจากแนวโน้มครึ่งทางมั่นใจว่าทะลุเป้าแน่นอน สำหรับยอดขายที่ถล่มทลายครั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาลซึ่งประชาชนให้ความสนใจจองรถก่อนสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ธันวาคมศกนี้” ขวัญชัย กล่าว ขวัญชัย กล่าวอีกว่า “ค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่างฮอนดาปีที่แล้วโรงงานได้รับความเสียหายหนักจากมหาอุทกภัยแต่เมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ ฮอนดากลับมาได้รับความนิยมเช่นเคย โดยล่าสุด เพิ่งเปิดตัวรถโฉมใหม่ “บริโอ อเมซ” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนทำให้ฮอนดามียอดจองสูงสุดในขณะนี้ ด้านตลาดรถบิกไบค์ก็ขายดีไม่แพ้กัน ผ่านครึ่งทางมาแล้วทำยอดขายถึง 925 คัน สำหรับค่ายรถยนต์ที่มียอดจองสูงสุด ช่วงครึ่งทาง (29 พฤศจิกายน-5 ธันวาคม) อันดับ1 ได้แก่ ฮอนดา 9,110 คัน ส่วนแบ่งร้อยละ 23.6 อันดับ2 โตโยตา 8,174 คัน ส่วนแบ่งร้อยละ 21.2 อันดับ3 นิสสัน 3,891 คัน ส่วนแบ่งร้อยละ 10.1 อันดับ4 อีซูซุ 3,114 คัน ส่วนแบ่งร้อยละ 8.1 และอันดับ5 มาซดา 2,574 คัน ส่วนแบ่งร้อยละ 6.7 ส่วนรถเก๋งหรูยอดจองก็ยังน่าพอใจ โดยเมร์เซเดส-เบนซ์ มียอด 803 คัน ตามด้วยบีเอมดับเบิลยู 668 คัน ขณะที่รถหรูซึ่งนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระ ล่าสุด มียอดจองกว่า 200 คัน ด้านจักรยานยนต์ระดับพรีเมียม ฮอนดา ขายไปแล้วกว่า 233 คัน คาวาซากิ 231 คัน และดูคาติ 191 คัน สำหรับจำนวนผู้ชมเมื่อผ่านช่วงครึ่งทางของงานซึ่งประกอบด้วยวันทำงาน 4 วัน และวันหยุด 3 วัน มีประชาชนเข้าชมแล้วถึง 979,891 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งทางของปีก่อนถึงร้อยละ23.7 จึงคาดว่ายอดผู้ชมตลอดงานจะทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 1.6 ล้านคนอย่างแน่นอน
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2012 5:09 pm
0
0
Re: แรงซื้อรถใช้สิทธ์ก่อนจบปี motor expo 2012 ทุบสถิติ
วันพ่อวันเดียวจองไปอีกกว่า หมื่น คันครับ :shock:
โดย
anomaly
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2012 2:13 am
0
1
Re: warren buffett ของเมืองไทย
เรื่องการเงินจีน ภาคสินเชื่อ มีความกังวลเรื่องการ understate NPL% นะครับ เหมือนระเบิดที่มองไม่เห็นเลย ถ้าระเบิดทำงานทีก็ล้มกันเป็นแถบครับ ผมว่าการมี exposure ทำให้ความเสี่ยงมีความคลุมเครือเยอะ assess ยาก
โดย
anomaly
พุธ ธ.ค. 05, 2012 1:51 pm
0
0
Re: ช็อก!! ทิ้งผ่อนรถคันแรก
วันนี้ไปทานข้าวกับน้องคนนึง เธอบอกว่าเพิ่งจองรถใหม่เพื่อขอสิทธิ์รถคันแรก ก็ต้องถือว่า program นี้มีผู้ใช้สิทธิ์มากทีเดียวครับ ล่าสุดยอดทะลุ 6 แสนไปแล้วครับ
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 4:27 pm
0
0
Re: ช็อก!! ทิ้งผ่อนรถคันแรก
วันที่ 4 ธันวาคม 2555 16:12 ธปท.ยันไม่เห็นสัญญาณหนี้เน่ารถยนต์พุ่ง โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ แบงก์ชาติยันไม่เห็นสัญญาณหนี้เน่าสินเชื่อรถยนต์พุ่ง เผยเอ็นพีแอลไม่ถึง 2% แบงก์คุมเข้มปล่อยกู้ตามปกติ นางสาลินี วังตาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณการเร่งตัวของหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แต่อย่างใด และจากข้อมูลที่ ธปท. มีในปัจจุบัน พบว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้นมีสัดส่วนของเอ็นพีแอลไม่ถึง 2% ด้วย และไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากในอดีตแต่อย่างใด "สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้น ยืนยันว่าหนี้เสียมีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มาก พวกนี้เวลาดูสินเชื่อรายย่อยไม่ได้ดูแค่เอ็นพีแอลเพียงอย่างเดียว แต่แค่เริ่มค้างตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป เราก็เก็บสถิติแล้ว ซึ่งที่มีข้อมูลอยู่ก็ไม่เห็นการเร่งตัวขึ้นแต่อย่างใด" นางสาลินีกล่าวว่า ในการหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. ก็ได้สอบถามผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ที่มาร่วมประชุมเช่นกันว่า อัตราการเกิดหนี้เสียในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นอย่างไร ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันจากผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ว่า มีไม่มาก และที่ผ่านมา ธปท. เองก็ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบไปสำรวจดูเช่นกันว่า การปล่อยสินเชื่อเหล่านี้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้พบว่ามีการหย่อนยานลงแต่อย่างใด "เรื่องนี้ ผู้ว่าการ ก็มีการสอบถามนอกรอบว่า สถิติหนี้เสียเป็นอย่างไร และคนมากู้เยอะแค่ไหน ให้บริการกันทันหรือไม่ ซึ่งเขาก็ยืนยันว่าไม่ได้มีมาก แต่เราเองก็ไม่ได้เชื่อหมดอย่างน้อยก็ต้องส่งคนไปดูว่าจริงหรือไม่ ซึ่งผู้ตรวจสอบที่เราส่งไปก็บอกว่ายังไม่มีสัญญาณว่าจะมีการปล่อยสินเชื่อหละหลวมใดๆ ส่วนที่เป็นข่าวเราก็เข้าใจว่า เมื่อจำนวนปล่อยกู้มันเพิ่มเป็นพันเป็นหมื่นราย ย่อมต้องมีที่เสียบ้าง แต่จำนวนที่เสียมันไม่ได้มากเมื่อเทียบกับจำนวนที่เพิ่มขึ้น"”นางสาลินีกล่าว
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 4:25 pm
0
0
Re: ช็อก!! ทิ้งผ่อนรถคันแรก
วันที่ 4 ธันวาคม 2555 14:41 รถคันแรกผ่อนไม่ไหว ธนชาตพร้อมอุ้ม แบงก์ธนชาตประกาศงัดแผน 2 อุ้มลูกหนี้รถคันแรก ผ่อนไม่ไหว เชื่ออาจมีหนี้เสียบ้าง แต่ไม่มาก นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการทำแผนธุรกิจในปีหน้า โดยในส่วนของสินเชื่อรถยนต์นั้น ยังมีเป้าหมายเหมือนเดิม คือ การมีส่วนแบ่งตลาดรถใหม่ 20% ซึ่งปีนี้เชื่อว่า ยอดขายรถยนต์จะทำสถิติใหม่ 1.4 ล้าน เนื่องจากโครงการรถคันแรก ส่วนปีหน้านั้น เชื่อว่า ยอดขายรถยนต์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เนื่องจากดีมานด์เทียมจะไม่มีให้เห็น อีกทั้งการส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถคันแรก น่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1 ปีหน้า เชื่อว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว จะทำให้ยอดขายรถยนต์ปีหน้าจะไม่โตร้อนแรงเหมือนปีนี้ ซึ่งธนชาตประเมินว่า ยอดขายรถนยนต์ปีหน้าน่าจะลดลงราว 10-15% เขากล่าวว่า แม้จะมีความกังวลกันว่า โครงการรถยนต์คันแรก จะก่อให้เกิดหนี้เสีย ซึ่งธนาคารเองก็ประเมินว่า น่าจะมีหนี้เสียอยู่บ้าง แต่เป็นจำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากผู้ซื้อที่ยังไม่มีความพร้อมเพียงพอในการชำระหนี้ แต่ไม่อยากเสียสิทธิ์การขอคืนภาษี 1 แสนบาท "เราต้องแยกประเภทผู้ซื้อ 2 ประเภท ประเภทแรก คือ ผู้มีความพร้อมในการซื้อรถและชำระหนี้ และผู้ที่ไม่พร้อม แต่อยากได้รถ เพราะการเคลมภาษี อีกทั้งคนที่ยืมสิทธิ์คนอื่น แต่เชื่อว่า หนี้เสียจะไม่เยอะจนน่าตกใจ เพราะแต่ละสถาบันมีระบบสกอร์ริ่งที่รัดกุม" นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโครงการยืดเทอมการผ่อน หากปีหน้าพบว่าลูกค้าบางคนไม่สามารถผ่อนไหว โดยโปรแกรมนี้มีเจตนาจะช่วยแบ่งเบาภาระลูกค้า เพราะธนาคารไม่ต้องการยึดรถ และไม่อยากเห็นลูกค้าเป็นหนี้เสีย ระบบสกอร์ริ่งเราตรวจแม้กระทั่งแบ็คกราวด์ของผู้ขอกู้ แม้จะมีเงินเดือน 15,000 บาท แต่ถ้าระบบเราตรวจพบว่า เพิ่งจะเริ่มทำงาน เราก็ไม่อนุมัติวงเงินกู้ แต่ถ้าตรวจพบไปอีกว่า ครอบครัวผู้กู้มีฐานะ ก็จะผ่อนปรน เนื่องจากครอบครัวสามารถช่วยเหลือผู้กู้ได้ เป็นต้น กรณีที่ผู้กู้มีรายได้ 15,000 บาท จะมีภาระผ่อนรถประมาณ 8,000 บาท ซึ่งต้องขอให้มีผู้ค้ำประกัน และดาวน์เพิ่มจากปกติเฉลี่ย 20-25% ธนาคารอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนผู้กู้ที่เข้าโครงการรถคันแรก ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะทราบเนื่องจากผู้ขอกู้ที่อยู่ในโครงการรถคันแรก จะต้องกรอกแบบฟอร์มการยินยอมให้มีการโอนกรรมสิทธิแก่ทางไฟแนนซ์ ในกรณีที่ไม่สามารถผ่อนได้ครบกำหนด อย่างไรก็ดี จากการประเมินคร่าวๆ ประมาณ 30% ของยอดขอกู้ น่าจะมาจากโครงการรถคันแรก
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 3:46 pm
0
0
Re: IFRS 4 กับการวัดใจคปภ
ไปนั่งอ่านที่ คปภ ที่ http://www.oic.or.th/th/finan/ งานนี้ต้องทดลองใจ คปภ ว่าจะให้ใช้งาน IFRS 4 ก่อนที่สภานักบัญชีประกาศใช้ปี 2559 หรือไม่ เพราะดูท่าทาง บริษัทประกันภัยและประกันชีวิตไม่พร้อมที่ใช้งานเท่าไร เนื่องจากต้องแยกผลตอบแทนให้ชัดเจนกว่าปัจจุบันว่า ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการลงทุนหรือสัญญา นอกจากนี้ยังมีการทำ Street Test เหมือนของธนาคารอีกต่างหาก ซึ่ง ถ้าหาก คปภ ไม่แข็งแรง ยอมบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตตลอด อุตสาหกรรมนี้ก็ไม่อาจจะดำเนินการอยู่รอดในโลกได้หลังจากเปิดเสรีทางการเงิน ซึ่งครั้งหนึ่ง ธปท ควรจะทำแต่ไม่ทำ ในช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง งานนี้ต้องบอกว่าวัดใจ คปภ พี่หมายถึง Stress test หรอครับ
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 12:35 am
0
0
Re: ช็อก!! ทิ้งผ่อนรถคันแรก
จากข่าวอีกอัน ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเป็นห่วงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนในประเทศนั้น ไม่อยากให้ตื่นตระหนกเกินเหตุ เพราะหนี้ภาคครัวเรือนเกิดจากคนที่มีรายได้ไม่เกิน 1 หมื่นบาท/เดือน และหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากนโยบายบ้านหลังแรก รถคันแรก ถือเป็นการเพิ่มทรัพย์สินให้ประชาชน จึงไม่ใช่สิ่งที่น่าห่วง ทั้งนี้ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ล่าสุดอยู่ที่ 2.4% ของสินเชื่อโดยรวม ส่วนเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินทั้งระบบมีเพียง 1.2% เท่านั้น ต่างจากวิกฤตปี 2540 ที่เอ็นพีแอลสูงถึง 50% นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ยอมรับมีความเป็นห่วงเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท/เดือน และผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น แต่ยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการอะไรมาดูแลเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะออกมาตรการก็มีความเป็นไปได้ที่จะใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้ประกอบการรายย่อยและคนที่มีรายได้น้อย http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNVE13TVRFMU5RPT0=§ionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1pMHhNUzB6TUE9PQ== ปัญหาคือคนไม่รู้ศักยภาพตัวเองว่ารับคชจ ได้มากแค่ไหน เรื่องไฟแนนซ์ปล่อยเชื่อรัดกุมไม่รัดกุมพอ ผมว่าต้องดูเคสบายเคส ตัวเลขตามเกณฑ์เข้าข่ายมีปัญหาน่าจะผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน ดีที่สุดขอให้ทางบริษัทชี้แจงสัดส่วนตัวเลขลูกหนี้ส่อแววมีปัญหาที่มาจากรถคันแรกต่อสินเชื่อรถคันแรกทั้งหมดจะเห็นภาพกว่า ข่าวเขียนลอยมาเป็นคำแบบนี้ไม่รู้ว่าที่ว่าน้อยหรือยังไม่น่ากังวลจริงๆเป็นเท่าไหร่ แต่ ถ้า npl ภาพรวม 2.4% รวมสำรองแล้ว ไม่ได้น่าเกลียดนะครับ
โดย
anomaly
อังคาร ธ.ค. 04, 2012 12:32 am
0
0
Re: คำเตือน ยังมีหุ้นที่รอรับผลกระทบของ 300 ในปีหน้าอยู่อีก
ปีหน้าภาษี 20% ด้วยนะครับ :mrgreen:
โดย
anomaly
ศุกร์ พ.ย. 23, 2012 6:12 pm
0
0
Re: Mega(bad)bangna
credit : คุณ Gunmy จากห้อง SF 24 ตุลาคม 2555 เรื่อง ชี้แจงกรณีอุบัติเหตุไม้ระแนงหล่นใส่ศีรษะลูกค้าเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2555 และ การโพสต์กรณีดังกล่าวในเว็บไซต์ www.pantip.com ในวันที่ 23 ตุลาคม 2555 เรียน ท่านที่เกี่ยวข้อง จากกรณีอุบัติเหตุไม้ระแนงหล่นใส่ศีรษะลูกค้าเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2555 และมีการโพสต์เรื่องราวดังกล่าวในเว็บไซต์ www.pantip.com ในวันที่ 23 ตุลาคม 2555 จนเกิดกระแสความคิดเห็นต่างๆ มากมายนั้น ทางศูนย์การค้าเมกาบางนาขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 1) ในวันเกิดเหตุวันที่ 18 สิงหาคม 2555 ทางผู้บริหารประจำการของศูนย์การค้าเมกาบางนา (Duty Manager) ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือพร้อมกับแพทย์และพยาบาลประจำศูนย์ แต่เนื่องจากผู้บาดเจ็บได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้า ภายหลังเกิดอุบัติเหตุ 10 นาที ผู้บริหารจึงได้ติดตามไปที่โรงพยาบาลปิยะมินทร์ และภายในวันเดียวกันลูกค้าได้ถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และพักรักษาอาการรวมทั้งหมด 2 คืน โดยมีผู้บริหารของศูนย์ฯ เข้าไปเยี่ยมอาการเช่นเดียวกัน 2) ในวันถัดมาวันที่ 19 และ 20 สิงหาคม 2555 ทีมผู้บริหารของศูนย์ฯ ได้เข้าเยี่ยมอาการของลูกค้าทั้ง 2 วัน พร้อมแสดงถึงเจตนาความรับผิดชอบต่อค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นทั้งหมด 3) ในวันที่ 31 สิงหาคม 2555 ลูกค้าเข้ารับการทำ MRI Scan ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ โดยมีผู้บริหารของทางศูนย์ฯเดินทางไปกับลูกค้าด้วย เพื่อให้แพทย์ตรวจเอ็กซ์เรย์ทางคอมพิวเตอร์วินิจฉัยความผิดปกติทางสมองและเดินทางกลับบ้านเพื่อพักรักษาตัว 4) ทางศูนย์ฯ มิได้เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นทั้งหมดจาก 3 โรงพยาบาลเป็นจำนวนเงิน 59,086 บาท 5) จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางศูนย์ฯ ได้แสดงเจตนารับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยการพูดคุยโดยตรงกับลูกค้า ร่วมกับบริษัทประกันภัยเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการ 6) หากแต่ว่า ณ ขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการด้านกฎหมายเพื่อนำมาสู่ค่าชดเชยในกรอบของความเหมาะสม ทางศูนย์ฯ ขอเรียนให้ทราบว่าในวันที่ 18 สิงหาคม 2555 นั้น ทีมงานวิศวกรและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และอุปกรณ์โครงสร้างต่างๆอย่างละเอียด รวมทั้งได้ติดตั้งอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุดังกล่าว ศูนย์การค้าเมกาบางนาขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้ง และขอยืนยันเจตนารมย์ในการแสดงความรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุดังกล่าวตามที่ได้เรียนชี้แจงข้างต้น ขอแสดงความนับถือ ฐิติรัตน์ เจริญยิ่งวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ : บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้บริหาร เมกาบางนา ชลาลัย เวทยะธีรางค์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด – ประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2105 1000 ต่อ 302, 09 0198 5322 อีเมล์:
[email protected]
บริษัท พีอาร์ โฟกัส จำกัด ประภาส จรสรัมย์ โทร. 08 3701 2838 อีเมล์:
[email protected]
โดย
anomaly
พุธ ต.ค. 24, 2012 5:21 pm
0
0
Re: Mega(bad)bangna
ที่ฟิวเจอร์รังสิตก็มีอุบัติเหตุเร็วๆนี้ประมาณต้นกันยา เด็กผมไปพันติดราวบันไดเลื่อนฝั่งที่มีเพดาน ไม่อยากจะนึกภาพ เห็นข่าวว่าบาดเจ็บสาหัสด้วย http://news.tlcthai.com/news/49688.html http://www.dailynews.co.th/crime/154203
โดย
anomaly
พุธ ต.ค. 24, 2012 2:44 am
0
0
Re: Mega(bad)bangna
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ครับ คงไม่มีใครอยากให้เกิดมีแต่เสียหายกับเสียหาย ข้อเท็จจริงไม่ทราบ แต่ฟัง ด้านเดียว ที่จขกท. บอกกล่าวมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการผสมโรงระหว่าง: - ไม้ที่ตกลงมา ไม่ว่าจะจากความบกพร่องในการออกแบบ ก่อสร้าง ติดตั้งหรืออะไร - ลูกค้าบังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี - พนักงานห่วยๆ ที่ความสามารถในการตัดสินใจไม่มี ไม่มีวิจารณญาณที่ดีพอและไม่มีความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นกัน พนักงานห่วยๆ ก็ทำตัวห่วยๆในลูกค้าอารมณ์เสียได้ในหลายสถานการณ์ บังเอิญเป็นสถานการณ์นี้ รุนแรงเลย ถ้าอยากรู้จริงๆอาจจะต้องไปดูเคสฉุกเฉินอื่นๆที่เกิดและทางห้างรับมือ ตอบรับสถานการณ์จนลูกค้าเกิดความพึงพอใจ อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน ท้ายสุด หาก KPI คือรองรับสถานการณ์ให้ลูกค้าพอใจ 100% (ผมไม่รู้เหมือนกัน) โดนไปเคสเดียวก็ถือว่าสอบตก แต่ในเมื่อเรื่องมันเลยจุดนั้นไปแล้ว พนักงานห่วยแตกไปแล้ว ก็คงมาถึงการชดใช้ในแง่เม็ดเงินที่จะเป็นสิ่งเรียกความพึงพอใจและความให้อภัยของผู้เสียหายกลับมาได้ เรื่องบริษัทจ่ายค่าเสียหายจากที่อ่านกระทู้ดูก็เห็นว่าได้ดูแลบ้าง (ความเห็น#23 ของจขกทเอง) แต่ไม่เต็มที่และไม่พอสำหรับทางผู้เสียหาย และดูเหมือน จขกท ไม่ได้สนเรื่องตังค์เท่าไหร่ เรื่องร่างกายก็เรื่องนึง แต่เป็นเรื่องความรู้สึกของจิตใจ การเอาใจใส่ของบริษัท เรื่อง human touch มากกว่า... ค่าชดใช้สำหรับร่างกายคงไม่พอ แต่ต้องครอบคลุมความเสียหายทางความรู้สึกด้วย แต่อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับ พูดกันตามความเป็นไปได้ การตั้งกระทู้ลักษณะนี้ในฐานะคนอ่านเราก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าผู้เสียหายอารมณ์ขึ้น ไม่พอใจ อาจมีการใส่น้ำมันใส่ไฟเพิ่ม ให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ตอนนี้ฟังด้านเดียวควรใช้วิจารณญาณกันมากๆหน่อย เรื่องนโยบายกลางขององค์กรในการจัดการกับเหตุการณ์เหล่านี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเช่นไร ท้ายสุดผมว่าเรื่องนี้น่าจะจบลงอย่างดี บริษัทคงมีการออกมาขอโทษผ่านสื่อ ดำเนินการกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง และชำระค่าเสียหายตามสมควร (หรือตามตกลง ตามที่ผู้เสียหายพอใจ) ผมรู้สึกไม่ดีเหมือนกันและอยากให้ผู้เสียหายได้รับความยุติธรรม........ พนักงานห่วยแตกจริงๆ ยังไงการบริการก็ยังสำคัญสุดๆที่ระดับ micro / touchpoint เคสที่พลาดเพราะพนักงานไม่กี่คนห่วยแตกและสร้างความเสียหายด้านภาพลักษณ์ให้กับองค์กรเห็นมีให้เห็นมาก แต่อย่างว่านี่ก็ส่วนนึงเท่านั้น เป็น requirement.... เวลาองค์กรทำดี ช่วยเหลือสังคมบริจาคนู่นนี่ ไม่ค่อยมีใครออกมาชมหรอกครับ ฮ่าๆ อย่างที่ปู่กล่าวไว้ ไม่มีผิด reputation สร้างเป็นปีๆเป็นทศวรรศ พังได้ในไม่กี่นาที อย่าพลาดเชียว เละเทะ ตอนนี้ที่ผมเสียวจะเป็นเรื่องคือความที่ IKEA เป็นบริษัทต่างชาติ ผมเริ่มเห็นบางคอมเมนท์แยกแยะไม่ได้ โจมตีในประเด็นการที่เป็นบริษัทตปท และไล่ให้เค้ากลับบ้านไป แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ขอให้จบอย่างดีและได้รับความเป็นธรรมทุกฝ่ายครับ
โดย
anomaly
พุธ ต.ค. 24, 2012 12:58 am
0
3
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
anomaly
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ ต.ค. 22, 2012 5:38 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.ย. 11, 2018 5:48 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1244 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.06% จากโพสทั้งหมด / 0.28 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมาย
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว