หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
luangrit
Joined: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 4:27 am
376
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - luangrit
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
เป็นบทความที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผมกดโหวตไปให้แล้ว แต่ก็อดขอบคุณไม่ได้จริงๆครับ
โดย
luangrit
อังคาร ธ.ค. 30, 2014 9:16 am
0
3
Re: สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
ขอแชร์นะครับ ผมได้เริ่มทำการทดลองแล้ว โดยหลักการมีดังนี้ครับ 1. เลือกหุ้น 30 ตัวแรก จากค่า PE+ROE ตามงานวิจัยของ ดร.ไพบูลย์ครับ 2. คัดกรอง โดยการ ตัดหุ้น ที่ - มีกำไรพิเศษ เช่นพวกที่มี %กำไรสุทธิสูงขึ้นอย่างผิดสังเกตุ (ถ้าไม่มั่นใจก็ลองถาม IR หรือ ร้อยคนร้อยหุ้น นะครับ) - กำไรมีความผันผวน โดยดูย้อนหลัง 5ปี จาก set.or.th - หุ้นที่พึ่งเข้าตลาดมาได้ 2-3 ปี เพราะยังพิสูจน์ตัวเองได้ไม่พอ - บริษัทที่เกี่ยวกับการเงิน หุ้นลักษณะนี้ ROE จะสูงมากครับ เพราะหนี้จะเยอะกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น 3. คัดแล้วจะเหลือประมาณ 15 ตัว +- ----------------------------------------------- 4. ข้อนี้จะต่างกับของต้นฉบับนิดนึงครับ - โดยผมจะแบ่งเงินออกเป็น 12 ส่วน ลงทุนเดือนละ 1 ครั้ง ตัวอย่างนะครับ ใช้เงิน 1,200,000 ลงทุนเดือนละ 100,000 บาท ซื้อหุ้น 15 ตัว โดยหุ้น 15 ตัว นี้จะไปซื้อขายอีกทีใน 1 ปี ถัดไป - เดือนที่ 2 ก็ใช้ 100,000 บาท กับหุ้นที่ได้คัดกรองแล้ว ในเดือนนั้นๆ - ทำไปจนครบ 12 เดือนครับ 5. หมายความว่าเราจะมีทั้งหมด 12 พอร์ต ซึ่งเราต้องจดบันทึกเอาไว้เอง เพราะบัญชีในพอร์ตจะเป็นจำนวนรวมของหุ้นทั้งหมด 6. พอร์ตที่ครบ 1 ปี เราก็ซื้อขายใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เรามีงานทำตลอด เพราะต้องวิเคราะห์หุ้นที่อยู่ใน List ทุกๆเดือน 7. ผมจะเพิ่มเงินในทุกๆเดือน(จากเงินออม) ประมาณ 30,000 บาท ตรงนี้แล้วแต่ความสมัครใจครับ เหตุผลที่แบ่งออกเป็น 12 พอร์ตอย่างนี้ เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงในเรื่อง Timing ครับ หวังว่าจะไม่งงกันนะครับ ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป รบกวนชี้แนะด้วยนะครับ
โดย
luangrit
เสาร์ ก.ค. 05, 2014 2:39 am
0
1
Re: อยากถามพี่ๆVI ว่าพี่ๆคิดว่าแนวทางVIจะใช้ได้ต่อไปอีกนานแค
ตราบใดที่ตลาดยังมี ความโลภ ความกลัว หลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็ยังใช้ได้ครับ
โดย
luangrit
อาทิตย์ ส.ค. 11, 2013 9:58 pm
0
5
Re: VI เอ๋ย ความสุขเจ้าอยู่หนใด
ความสุขผมอยู่ที่ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ครับ... รู้สึกดีที่เราเริ่มจะไม่ตระหนกกับภาวะแบบนี้ พอเริ่มเข้าใจแนวทาง VI มากขึ้นเรื่อยๆ ใจก็เริ่มปรับกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าว่าเป็นสิ่งชั่วคราว เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย ไม่แน่ไม่นอน สุดท้าย ก็ต้องขอยกเครดิตให้กับอาจารย์ในแนวทาง VI ทุกๆคน ที่ทำให้ผมได้เข้าใจแนวคิด และทำให้ลงทุนอย่างไม่เป็นทุกข์ครับ
โดย
luangrit
ศุกร์ มิ.ย. 21, 2013 11:47 pm
0
0
Re: Barrier of entry
ถ้าง่ายๆใกล้ตัว ก็แค่ลองถามตัวเองว่าทำไมถึงได้ใช้ สินค้า บริการ ของบริษัทนั้นๆอยู่เสมอ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ง่ายเลยกับการที่บริษัทจะสามารถทำให้ลูกค้าภักดีใน ตัวสินค้า การบริการ ได้ บริษัทต้องมีกลยุทธ์ หรือข้อได้เปรียบอะไรบางอย่างที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง อีกเรื่องนึงก็ลองถามตัวเองว่าถ้ามีทุนสัก 5,000 ถึง 10,000 ล้าน คุณจะสามารถสร้างธุรกิจมาแข่งขันกับจ้าวตลาดได้มั้ย ถ้าไม่...นั่นก็แสดงว่า มี barrier of entry ที่แข็งพอสมควร เพราะแม้นคุณคุณเองก็ยังไม่กล้าแข่งด้วย ทั้งๆที่เป็นเงินสมมุติด้วยซ้ำ คือผมหมายเฉพาะเรื่อง Bussiness model นะครับ เพราะสามารถเข้าใจและเห็นภาพได้ง่าย ส่วนสิ่งอื่น เช่นเรื่องสัมปทาน ความใกล้ชิดกับภาครัฐ จะไม่ขอกล่าวถึง
โดย
luangrit
อาทิตย์ มิ.ย. 16, 2013 10:20 am
0
1
Re: เลือกหุ้นกับการถึงนิพพาน
ทาน หมายถึง การให้ การแบ่งปัน การเสียสละ การเอื้อเฟื้อ การให้ทานนั้น หมายเพื่อสละสิ่งต่างๆออกจากใจ สละสิ่งที่เคยยึดมั่น หวงแหน ว่านี่เป็นของเรา หากว่ามีสิ่งใดเหลือ มีพอที่จะสละเกื้อกูลเพื่อผู้อื่นได้ ก็ฝึกนิสัยการสละนี้เสีย ในอนาคตจะเป็นผลดีต่อการสละสิ่งที่เคยยึดว่าเป็นของๆเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งภายนอก หรือภายใน เช่นสภาวะความทุกข์ต่างๆ ก็จะสามารถสละได้โดยง่าย เราจะกลายเป็นคนที่ไม่หวงความทุกข์ ไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อเพิ่มพูน หรือหวังเอาว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในภายหน้า หากว่าเรายังหวัง ยังทำเพื่อมี เพื่อเป็น ก็อาจจะสวนทางกับความหมายของคำว่าทาน ก่อนให้ทาน ลองถามตัวเองว่าเราทำสิ่งนี้ด้วยเหตุผลอะไร ตอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า เรามีเจตนาใดกับการให้ในครั้งนั้นๆ
โดย
luangrit
จันทร์ มิ.ย. 10, 2013 1:44 am
0
2
Re: คุ้มมั้ย กับการเสี่ยงซื้อหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมถดถ
สำหรับอุตสาหกรรม IT ไม่ใช่ว่าจะถดถอยนะครับ แต่เป็นตัวบริษัทเองต่างหาก ที่ความสามารถในการดำเนินงาน การแข่งขัน ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจาก การบริหาร Bussiness model และอื่นๆ ที่ยังมีจุดอ่อนครับ ที่จริงก็ต้องตอบว่าไม่คุ้มแน่กับการลงทุนในบริษัทที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่จะน่าสนใจมาก ถ้าซื้อหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโต ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เติบโตอะไรมาก แต่พอมีบริษัทที่เสนอ Bussiness model ใหม่ๆ ที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวก พึงพอใจ (เช่นพวก modern trade ต่างๆ) ก็ทำให้กิน Share ในตลาดได้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกที่ปรับตัวไม่ทัน ก็จะค่อยๆ ออกจากธุรกิจไป ถ้าเราโฟกัสไปที่ความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนๆ ก็จะมีบริษัทที่น่าสนใจอยู่เสมอครับ
โดย
luangrit
อาทิตย์ มิ.ย. 02, 2013 2:35 pm
0
7
Re: คิดยังไงครับ คนที่มี100ล้าน
ที่ตั้งกระทู้เพราะไป อ่านกระทู้ พอร์ต 100ล้านแรก เลยมานั่งคิดว่า ถ้ามีเงินร้อยล้านแล้วคนอื่นเขาจะคิดว่าเราเป็นยังไง 100ล้าน หาง่ายๆๆ ใครๆก็ทำได้ ใครๆๆก็มี หรือ 100ล้าน หาโครตยาก เขาทำกันยังไง มองว่าเราเป็นเทพบุตรโครตเก่ง เป็นคนไม่ธรรมดา คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ก็พอ ไม่งั้นมีเงิน 100 ล้าน ก็หาความสงบสุขในชีวิตไม่เจอสักที เพราะมัวแต่ไป กังวล วิ่งตาม ความเห็นของผู้อื่น ใจจะสงบได้อย่างไร? ตอบแบบนี้เพราะคิดว่าหลายคนคิดแบบท่านไม่ได้หรือ ไม่ใช่หรอก ครับ ลองไปอ่านอีกกระทู้ก่อนนะครับ กระทู้อยู่นานแต่เวลาและสถานะการณ์ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้นะครับ ลองดูนะ :D ครับ...ผมขอโทษครับ
โดย
luangrit
ศุกร์ เม.ย. 05, 2013 8:22 pm
0
0
Re: คิดยังไงครับ คนที่มี100ล้าน
ที่ตั้งกระทู้เพราะไป อ่านกระทู้ พอร์ต 100ล้านแรก เลยมานั่งคิดว่า ถ้ามีเงินร้อยล้านแล้วคนอื่นเขาจะคิดว่าเราเป็นยังไง 100ล้าน หาง่ายๆๆ ใครๆก็ทำได้ ใครๆๆก็มี หรือ 100ล้าน หาโครตยาก เขาทำกันยังไง มองว่าเราเป็นเทพบุตรโครตเก่ง เป็นคนไม่ธรรมดา คนอื่นจะคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ก็พอ ไม่งั้นมีเงิน 100 ล้าน ก็หาความสงบสุขในชีวิตไม่เจอสักที เพราะมัวแต่ไป กังวล วิ่งตาม ความเห็นของผู้อื่น ใจจะสงบได้อย่างไร?
โดย
luangrit
ศุกร์ เม.ย. 05, 2013 10:05 am
0
1
Re: สุดท้ายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การแยกความคิดออกจากความเป็นจ
ความคิดนี่แหละครับ เป็นตัวเบี่ยงเบนเราออกจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะสุดโต่งไปทางด้าน + หรือ - ก็มีผลเป็นได้ทั้งความประมาท และความทุกข์ ใครเข้าใจหลักธรรมชาติของจิต ที่คิด นึก ปรุงแต่ง ก็จะได้ประโยชน์จากการลงทุนเต็มๆ
โดย
luangrit
จันทร์ มี.ค. 25, 2013 1:28 pm
0
0
Re: จอง BIGC Company Visit ได้ในกระทู้นี้
จอง 1 ที่ครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2013 3:15 pm
0
0
Re: หุ้นขึ้นแบบไม่สะท้อนพื้นฐานแล้วจริงหรือ แล้วเราควรทำอย่า
ผมขอยกเรื่องการลงทุนของผมมาแชร์นะครับ...^^) ผมซื้อหุ้นมาหนึ่งตัวโดยประเมินราคาไว้แล้วว่าต่ำไปจึงเข้าซื้อพอตลาดวิ่ง หุ้นก็ไม่ได้วิ่งอะไรแถมลงมาประมาน 5%จากต้นทุน แต่หลังจากนั้น ตลาดวิ่งเรื่อยๆตัวหุ้นของผมไม่รู้มีใครมาเห็นค่ามันหรือมีคนปั่นก็มิอาจทราบได้ใช้เวลา 2 วันวิ่งบวกไป 20%กว่าจากต้นทุน ตอนนั้นผมคิดว่าขายดีไหม? เพราะมันเข้ามาถึงราคาที่ผมประเมินไว้แล้ว แต่ลองมานึกถึงหลักการของ Vi ข้อหนึ่ง "เราจะขายหุ้นเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว" ดังนั้น ผมจึงถือต่อไว้ หลังจากวันนั้นก็มีแรงขายทันที ราคาลงมาเหลือบวก 10-12%จากต้นทุน ผมก็คิดในใจว่าคงมีคนคิดเหมือนเรา ขายเอากำไร ก่อน(อิอิอิ) จนมาถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากำไรจากต้นทุน 15%ครับ...^^) ปล. ผมก็ไม่รู้ว่าแนวคิดนี้ถูกหรือผิด "เราจะขายหุ้นเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป" ดังนั้น ผมจึงจะลองพิสูจน์ด้วยตนเองดูครับว่า ไอสิ่งที่ผมเคยได้ยิน ได้อ่าน ได้ศึกษามา มันใช้กับตลาดของจริงได้หรือไม่ครับ...^^) ถ้ามันถึงราคาที่เราประเมินไว้ก็ควรขายครับ ไม่ควรเสียดายว่ามันจะขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เราประเมินได้ มันก็คือขอบเขตความรู้ของเรานั่นเอง เว้นแต่ตอนที่จะขายนั้น บริษัทมีนโยบายการลงทุนใหม่ๆ ที่ทำให้กิจการก้าวหน้ายิ่งขึ้น อันนี้ก็ควรจะประเมินมูลค่ากิจการใหม่อีกครั้ง และยังไม่ต้องรีบขายก็ได้
โดย
luangrit
อังคาร ม.ค. 22, 2013 1:57 pm
0
5
Re: VI อดทนกับความยั่วยวนตอนนี้กันยังไงครับ
เล่นตามเกมส์ของตัวเองเท่านั้นครับ
โดย
luangrit
พุธ ม.ค. 16, 2013 9:52 pm
0
0
Re: สรุป Money talk VI กับหุ้นไทยปี 56@6Jan2013
ขอบคุณมากครับ ช่วยเปิดมุมมองสำหรับปีนี้ได้ดีจริงๆ
โดย
luangrit
อาทิตย์ ม.ค. 13, 2013 8:48 am
0
0
Re: คิดว่า EST จะสู้กับ PEPSI ได้ดีขนาดไหน
ลองชิมดูแล้ว เรื่องรสชาดก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก สามารถทดแทนกันได้
โดย
luangrit
ศุกร์ พ.ย. 09, 2012 1:41 am
0
0
Re: คิดอย่างไรถ้าจะต่อต้านไม่ให้มีการจัด analyst meeting ก่อ
ห้ามยากครับเรื่องแบบนี้ ผมเห็นด้วยกับคุณ KP16 ในเรื่องของการลงทุนระยะยาวไปเลย แบบ 3 ปี 5 ปี ซึ่งควรจะเป็นหุ้นที่สามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างแน่นอนว่า จะโตทุกๆปี เช่น การขยายสาขา มี Barrier of Entry ฐานลูกค้าค่อนข้างเยอะ ไม่กระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้า 4-5 ราย ฯลฯ คือลงทุนลักษณะนี้ ค่อนข้างสบายใจครับ ไม่ค่อยหวือหวา ราคาค่อยเป็นค่อยไปตามผลประกอบการณ์
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2012 5:31 pm
0
0
Re: นักลงทุน VI เตรียมพร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึงในอนาคตอย่
สำหรับเรื่องทรัพย์สิน ถ้าไม่มีภาระอะไรที่ต้องดูแล ก็ปล่อยทิ้งมันไปทั้งอย่างนั้น ความจำเป็นของมัน ก็สิ้นสุดลงแล้ว ณ วันนั้น ไม่ห่วง ไม่ผูก ทิ้งไว้ ปล่อยคืนสู่ที่ๆมันควรจะไป ส่วนตัวแล้ว ผมเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเอาไปได้จริงๆ เท่านั้นครับ อย่างอื่นเอาไว้แค่เลี้ยงชีวิต....
โดย
luangrit
อาทิตย์ ต.ค. 21, 2012 11:51 pm
0
5
Re: "บทเรียน"
ให้1+ คุณluangritด้วยคนครับ บอกได้มั๊ยครับว่าเป็นหุ้นอะไร พอคิดได้ขายทิ้งแล้ว กลับไปดูอีกมั๊ยครับว่าถ้ายังถืออยู่จะเป็นยังไงตอนนี้ :) ตัดขายบางส่วนครับ แล้วเอาไปซื้อหุ้นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นครับ ตอนนี้ยังขาดทุนราว 10 % แต่หุ้นตัวนี้ข้อดีอย่างนึงคือปันผลค่อนข้างมาก และผู้บริหารก็มีธรรมาภิบาลสูงมาก ทำให้เกิดความประทับใจส่วนตัวครับ เลยเก็บเอาไว้ส่วนนึง ถ้ารวมปันผลก็เกือบเสมอตัวครับคุณ thedoc
โดย
luangrit
ศุกร์ ต.ค. 19, 2012 3:26 pm
0
0
Re: "บทเรียน"
ขอร่วมแชร์ประสบการณ์นะครับ -ทำไมถึงเลือกซื้อหุ้นตัวนั้น ณ เวลานั้น 1. มองว่าที่ผลดำเนินงานที่ผ่านมาดี กำไรโตสม่ำเสมอ 2. มีแผนการลงทุน ทำให้รายได้โตในอีก 3-5 ปี 3. ตัวเลขทางการเงินหลักๆ ดี เงินสดในมือมีพอสมควร 4. ปันผลดีมาตลอด 5. รายได้ที่คาดว่าจะโตเท่าตัวในอีก 3-5 ปี เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ลงทุนในหุ้นตัวนี้ -คาดการณ์ผลตอบแทนอย่างไร 1. Upside 100% ในอีก 3-5 ปี -ทำไมถึงไม่เป็นไปตามคาด 1. เราไม่ได้เริ่มจากการดูตัวธุรกิจก่อน ผมเริ่มมาจากดูตัวเลขทางการเงิน แล้วค่อยมาดูว่าธุรกิจคืออะไรเป็นข้อสุดท้าย 2. ธุรกิจที่ได้เลือกลงทุนนั้น เป็นลักษณะรับจ้างผลิต ซึ่งรายได้ค่อนข้างผันผวนตาม Demand ของลูกค้าหลักๆไม่กี่เจ้า ทำให้อำนาจการต่อรองค่อนข้างน้อย และหากลูกค้าเจอผู้ผลิตรายใหม่ที่ให้ราคาถูกกว่าเค้าก็ไป 3. เมื่อถือนานเข้า รู้จักบริษัทมากขึ้น ผมก็เริ่มรู้แล้วว่าเราลงทุนผิดไป คือบริษัทไม่ได้ผิดอะไรนะครับ แต่ผมต่างหากที่ลงทุนอย่างผิดวิธี ไม่ได้ลงทุนตามแนว ดร.นิเวศน์ ซึ่งท่านจะเริ่มจากตัวธุรกิจ >> ผลการดำเนินงาน >> ราคา สรุป (ความเห็นของผมอาจจะผิดนะครับ โปรดไตร่ตรองก่อน) การลงทุนของผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดย 1. ผมจะเริ่มจากตัวธุรกิจคืออะไร มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าแค่ไหน เช่น ค้าปลีก โรงพยาบาล ที่เน้นการบริโภคภายใน คนจำเป็นต้องกิน-ใช้ รายได้ไม่ขึ้นลงหวือหวา 2. มีการเติบโตเป็นอย่างไร โดยดูการเทรนที่จะเกิดในอนาคต เช่นสังคมผู้สูงวัยที่มีมากขึ้น, 3G หรือ เรื่อง Food constrain 3. ตัวบริษัทเองต้องมีการเติบโตอย่างชัดเจน เช่น ขยายสาขา หรือ มีสินค้าใหม่ที่จะทำให้รายได้เพิ่ม เป็นต้น 4. มี DCA (Durable Competitive Advantage) เป็นอย่างไร 5. งบการเงินเป็นอย่างไร 6. ราคาแพงไปหรือไม่
โดย
luangrit
ศุกร์ ต.ค. 19, 2012 12:12 pm
0
17
Re: growth หลอกๆ แต่โตจริงๆ
ก็จริงอยู่ว่าคิดแต่ PE มันหยาบและอาจจะมอง growth ผิดพลาดได้ แต่อย่างที่ตั้งเป็นโจทย์ไว้ ถ้าต้องจ่าย 40 บาทเพื่อซื้อกำไรบาทเดียว มัน make sense ขนาดไหน (ผมจำได้ว่า CPN มันมี PE เยอะๆ อยู่ปีเดียวคือปีที่เซ็นทรัลเวิรลด์ โดนเผา ที่เหลือก็ประมาณ 10-15 เท่านะครับ) ในสถานการณ์ปกติที่ไม่มีกำไรพิเศษ PE ก็เป็นอะไรที่แสดงได้ถึงความถูกแพงระดับนึงนะครับ ถ้าใช้ PEG น่าจะสมเหตุสมผลกว่านะครับ บางตัวจ่าย 40 บาท แล้วได้กำไรบาทเดียวก็จริง แต่ตอนที่เราซื้อ เราก็ไม่ได้มองที่กำไรปัจจุบันนี่ครับ เรามองถึงการเติบโตในอนาคต 3 ปี 5 ปี มากกว่า คือหุ้นบางตัวคุณภาพมันดีมากๆ และก็ไม่เคยถูก บางครั้งเราอยากให้ราคามันตกลงมามากๆ แต่ก็ไม่เคยเป็นอย่างนั้น เพราะตลาดเค้าก็รับรู้สิ่งเดียวกับเราว่า หุ้นตัวนี้มันมีคุณภาพชั้นหนึ่ง บางทีอาจต้องกัดฟันยอมจ่ายค่า Premium ให้มันบ้าง (สำหรับผม PEG ต้องไม่ควรเกิน 1 หรืออาจจะเกินได้ ถ้าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตอย่างชัดเจนจริงๆ) ผมเคยพลาดในหลายๆกรณีครับ ติดกับดักกับค่าความถูกแพง โดยใช้ PE ประเมินมาก็มาก ผลสุดท้ายหุ้นที่ให้ ผลตอบแทนระยะยาวอย่างเป็นกอบเป็นกำ ก็คือหุ้น Growth ที่ตอนซื้อนั้น ราคามันไม่ได้ถูกเลย เมื่อเทียบกับกำไรในตอนนั้น แล้วเราจะให้ peg อย่างไร ในเมื่อตอนนี้มีผสม ลดภาษี เข้าไปใน g ด้วย เรียนพี่ Jeng ผมก็ให้ค่ามันราวกับว่ามันเป็นกำไรพิเศษตัวหนึ่ง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ใช่ครับหลังจากปี 57 กำไรมันก็กลับมาสู่ภาวะปกติ แต่หากตัวบริษัทยังมีการขยายตัว ขยายสาขา กินส่วนแบ่งได้มากขึ้น ผมก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนักครับ แม้ว่าปี 57 กำไรมันจะเหมือนกับว่า เราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แต่ทุกๆบริษัทก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน คู่แข่งเราก็เช่นกัน ดังนั้นผมเองก็จะมองข้ามกำไรพิเศษในช่วงปีสองปีนี้ แล้วไปให้น้ำหนักกับการเติบโตของตัวกิจการจริงๆมากกว่าครับ ส่วนเรื่อง G ในค่า PEG ก็ให้น้ำหนักในเรื่องของการ Growth ของรายได้ครับ เพราะมัน Concern กับการขยายตัวของกิจการจริงๆ ผิดถูกอย่างไรก็ขอให้พี่ Jeng ช่วยชี้แนะ เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ
โดย
luangrit
จันทร์ ต.ค. 08, 2012 1:16 pm
0
1
Re: growth หลอกๆ แต่โตจริงๆ
ก็จริงอยู่ว่าคิดแต่ PE มันหยาบและอาจจะมอง growth ผิดพลาดได้ แต่อย่างที่ตั้งเป็นโจทย์ไว้ ถ้าต้องจ่าย 40 บาทเพื่อซื้อกำไรบาทเดียว มัน make sense ขนาดไหน (ผมจำได้ว่า CPN มันมี PE เยอะๆ อยู่ปีเดียวคือปีที่เซ็นทรัลเวิรลด์ โดนเผา ที่เหลือก็ประมาณ 10-15 เท่านะครับ) ในสถานการณ์ปกติที่ไม่มีกำไรพิเศษ PE ก็เป็นอะไรที่แสดงได้ถึงความถูกแพงระดับนึงนะครับ ถ้าใช้ PEG น่าจะสมเหตุสมผลกว่านะครับ บางตัวจ่าย 40 บาท แล้วได้กำไรบาทเดียวก็จริง แต่ตอนที่เราซื้อ เราก็ไม่ได้มองที่กำไรปัจจุบันนี่ครับ เรามองถึงการเติบโตในอนาคต 3 ปี 5 ปี มากกว่า คือหุ้นบางตัวคุณภาพมันดีมากๆ และก็ไม่เคยถูก บางครั้งเราอยากให้ราคามันตกลงมามากๆ แต่ก็ไม่เคยเป็นอย่างนั้น เพราะตลาดเค้าก็รับรู้สิ่งเดียวกับเราว่า หุ้นตัวนี้มันมีคุณภาพชั้นหนึ่ง บางทีอาจต้องกัดฟันยอมจ่ายค่า Premium ให้มันบ้าง (สำหรับผม PEG ต้องไม่ควรเกิน 1 หรืออาจจะเกินได้ ถ้าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตอย่างชัดเจนจริงๆ) ผมเคยพลาดในหลายๆกรณีครับ ติดกับดักกับค่าความถูกแพง โดยใช้ PE ประเมินมาก็มาก ผลสุดท้ายหุ้นที่ให้ ผลตอบแทนระยะยาวอย่างเป็นกอบเป็นกำ ก็คือหุ้น Growth ที่ตอนซื้อนั้น ราคามันไม่ได้ถูกเลย เมื่อเทียบกับกำไรในตอนนั้น
โดย
luangrit
จันทร์ ต.ค. 08, 2012 12:13 pm
0
2
Re: ซื้อหุ้นง่ายกว่าเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยว ใครก็ทำได้
เพื่อนที่ทำงานหรือเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็สนใจเยอะนะครับสำหรับการลงทุนในหุ้น เวลาที่เราอธิบาย เราก็อธิบายตามหลักการ VI ครับ ซึ่งเค้าค่อนข้างจะเห็นด้วยและคล้อยตามเหตุตามผล แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคนที่เข้าใจเพียงหลักการ แต่ไม่เคยเข้ามาลงทุนเลย คือ ความกลัว ความโลภ กับภาวะตลาดในระยะสั้นๆ ซึ่งมีผลทำให้เขาเหล่านั้นอาจจะทำอะไรชั่ววูบ เช่น การคัตลอสเมื่อเห็นราคาตกลงมา โดยไม่วิเคราะห์ว่าพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เหตุเพราะต้องการเซฟเงินให้ได้มากที่สุด ซึ่งถ้าเข้าใจการลงทุนแนว VI จริงๆแล้ว โอกาสที่จะคัตลอสมีน้อย นอกจากเหตุด้านพื้นฐานจริงๆ รายใหม่ถ้าไม่แม่นหลักการและไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองได้นั้น ผมมองว่าเสี่ยงมากๆ ที่จะได้รับความเสียหายจากตลาดทุน ทั้งยังอาจจะบอกต่อกับผู้อื่นเกี่ยวกับความเลวร้ายของตลาดหุ้น ซึ่งก็น่าเสียดายมาก สำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนจริงๆ แต่ได้รับคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2012 11:46 am
0
0
Re: ความเชื่อผิด ๆ ของ VI คือเชื่อคำแนะนำของกูรูมากไป
นี่คือส่วนนึงของคำแนะนำของกูรูหลายๆคน 1. อย่าซื้อหุ้น OEM 2. หุ้นที่ดีต้องมี ROE ROA สูงๆ 3. PE ต่ำ PB ต่ำไม่ใช่หุ้นที่ถูกเสมอไป (ส่วนมากกูรูจะไม่สนใจหุ้นพวกนี้) 4. เป็นบริษัทที่เราสามารถใช้บริการได้ เช่นร้านหน้าปากซอย 5. มีความอดทนในการรอคอย เพื่อให้เกิด panic sale 6. แนะนำให้ใช้จินตนาการคลาดเดาเหตุการณ์ในอนาคต เช่น AEC Megatrend ฯลฯ 7. แนะนำให้ซื้อหุ้นถือยาวไปเลย 10ปี คนที่เค้าเชื่อ ก็เพราะเขาวิเคราะห์ตามแล้วว่าสิ่งที่กูรูเหล่านี้บอกนั้นมีเหตุมีผล สามารถเชื่อและวิเคราะห์ในแนวทางเดียวกันนี้ได้ อีกส่วนก็เป็นเพราะ บางคนไม่เชื่อตั้งแต่ต้น พยายามคัดค้าน โดยลองหาแนวทางตามที่ตนเชื่อ เมื่อเกิดความผิดพลาดในการลงทุน จึงกลับมามองว่าตนผิดพลาดตรงไหน ถ้าเปิดใจกว้างพอ ก็จะรู้ว่าตนวิเคราะห์ผิดไปจากคำแนะนำต่างๆเหล่านี้ ผมเองก็เคยเชื่อตัวเองมาก โดยวิเคราะห์ผิดไปจากหลักของ VI คือดูที่ financial statement ก่อน โดยที่ไม่สนใจว่าธุรกิจที่จะลงทุนนั้นคืออะไร Bussiness model เป็นอย่างไร ผลคือ ได้ธุรกิจที่มีลักษณะเป็น OEM ซะส่วนมาก ซึ่งผลตอบแทนก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่ยอมเปิดใจให้กว้างขึ้น เชื่อในสิ่งที่กูรูเหล่านั้นพูดมากขึ้น โดยทำตามหลัก 1. ดูตัวธุรกิจ 2. ดูกำไรที่ผ่านมา 3. ดูราคาในตลาด ปรากฏว่าสามารถทำผลตอบแทนได้ดีขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยหรือท้อใจกับการลงทุนเหมือนที่ผ่านมา ข้อสรุปของผมก็คือ มันไม่ผิดอะไรหรอกครับ ถ้าเราจะยอมไม่เชื่อกูรูเหล่านั้นตั้งแต่ต้น ถ้าผลตอนแทนคุณยังดีอยู่ ก็แสดงว่าหลักการคุณถูก แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นกลับข้าง ไม่เป็นดั่งหวัง คุณก็ควรลดทิฐิของตนลง เปิดใจบ้าง มันจะทำให้คุณมองการลงทุนได้กว้างขึ้น เพราะคุณได้ลองผิดลองถูกมาแล้ว ซึ่งนั้นจะเป็นผลดีต่อการลงทุนในระยะยาว
โดย
luangrit
เสาร์ ก.ย. 29, 2012 3:49 pm
0
3
Re: มีหลักการอย่างไรในการกำหนดอัตราเงินปันผลที่เหมาะสม
คงต้องประเมินเอาครับว่าปีนี้ บริษัท จะจ่ายปันผลที่เท่าไหร่ เช่น คำนวณไว้ว่าจ่ายปันผล 2 บาทต่อหุ้น ถ้าต้องการผลตอบแทนระดับ 10% ราคาก็ควรจะซื้อคือ 20 บาท (Note 2/10% = 20 บาท) ซึ่งราคาต่ำขนาดนี้ บางทีเราอาจจะหาซื้อไม่ได้ในช่วงภาวะกระทิงครับ
โดย
luangrit
อาทิตย์ ก.ย. 16, 2012 12:14 pm
0
0
Re: เป็นไปได้ไหม
ที่คนมีตังทุกคนจะต้องมุ่งพาตัวเองไปรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ผมอยากรู้ว่าโรงพยาบาลนี้มีอะไรดี พี่น้องผมทุกคนที่จ.ระยองเจ็บป่วยทีก็ไปรักษาที่รพ.กรุงเทพระยอง หรือเพราะที่ระยองมีรพ.กรุงเทพระยองแห่งเดียวที่เป็นของเอกชน ผมเรียนรู้ว่าคนมีตังทุกคนจะไปรักษาที่รพ.เอกชน เพราะไม่มั่นใจในรพ.รัฐบาล เป็นไปได้ไหมอนาคตข้างหน้ารพ.กรุงเทพจะกินส่วนแบ่งทางการตลาดหมดจนรพ.อื่น ๆ แทบจะเจ็งหรือไม่มีกำไรเลยทีเดียว ไม่ใช่ไม่มั่นใจในรพ.รัฐ นะครับ แต่อยากได้การบริการที่ดีมากกว่า สำหรับผมแล้ว ถ้าคนในบ้านเจ็บป่วย ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องรอการรักษานานครับ ไม่อยากให้ทรมาน ถ้าตัดคำว่ารัฐหรือเอกชนออกไป ปัจจัยที่ผมจะเลือก รพ. คือความสะดวกสบาย เรื่องราคาจะเป็นปัจจัยรองลงมาครับ ซึ่งก็ตรงกับสมติฐานของ จขกท ที่ว่า คนที่มีรายได้ดีพอประมาณ ก็จะมีแนวโน้มที่จะเลือกรักษาใน รพ.เอกชนมากกว่า
โดย
luangrit
อาทิตย์ ก.ย. 16, 2012 12:01 pm
0
1
Re: ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างพอจะเป็น MEGA TREND ได้ไหมครับ
เป็นรอบมากกว่าครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2012 5:44 pm
0
0
Re: ถ้าไม่ประเมินมูลค่าหุ้น จะสามารถลงทุนในระยะยาวได้ดีไหม ?
ขออนุญาตแชร์จากประสบการณ์นะครับ ผมใช้พอร์ตของพี่สาวเป็นพอร์ตทดลองของสมมุติฐานนี้ครับ การเลือกหุ้นในพอร์ตนี้ก็คือ 1. ต้องเป็นบริษัทชั้น 1 และลูกค้าให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ 2. เป็นบริษัทที่ไม่พึ่งพิงลูกค้ารายใดรายหนึ่งมากนัก (พวกรับจ้างผลิตนี่จะตัดออกไป เพราะอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าจะน้อย) 3. มีการเติบโตที่แน่นอน ในกรณีนี้ผมเลือกบริษัทที่ขยายตัวด้วยการขยายสาขา 4. รายได้ที่ผ่านมา ค่อนข้างแน่นอน ไม่ขาดทุน หรือ อาจจะขาดทุน กำไรลด แต่มีเหตุผลที่อธิบายได้ ก็ไม่ว่ากัน 5. ราคา ถ้าเติบโตประมาณ 20% ไปอีก 3-5 ปี ก็จะยอมซื้อที่ราคา Premium เช่น P/E ที่ 20-25 ผลจากการลงทุนในบริษัทลักษณะนี้คือ +75% ใน 3 ปีกว่าๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังประเมินราคาสุดท้ายที่จะขายไม่ได้อยู่ดี เพราะบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น พอร์ตนี้ ค่อนข้างที่จะสอดคล้องกับบทความของ ปีเตอร์ ลินท์ ที่ลองให้นักเรียนเลือกกิจการที่ตนเองชื่นชอบ แล้วลงทุน ซึ่งผลที่ได้คือ ชนะตลาดค่อนข้างมากและทำผลตอบแทนได้ดี (ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยแม่นนะครับ) สำหรับผม ถ้าจะขายหุ้นพวกนี้ ก็จะขายในช่วง ก่อนที่มันจะอิ่มตัว ครับ ซึ่งก็ประเมินได้ยากอีกเช่นกัน
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2012 1:36 am
0
2
Re: เคยไหมครับที่ดีใจเวลาที่เห็นหุ้นที่ตัวเองลงทุนอยู่ ตกเอา
ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานกิจการ 1. ถ้าลงเพราะพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ อันนี้ใจหายครับ 2. ถ้าลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ลงกันทั้งตลาด ลักษณะนี้ไม่เป็นปัญหา กลับรู้สึกดีครับ เพราะว่าของถูก ปันผลสูง กลับมาแล้วอีกครั้ง ถ้ามีเงินพอก็จะซื้อความเป็นเจ้าของกิจการเพิ่ม
โดย
luangrit
พุธ ส.ค. 29, 2012 10:31 pm
0
1
Re: หุ้นโมนาลิซ่า/คนขายของ
[quote="chatchai"]ความซาบซึ้งเชิงธุรกิจนั้น เราต้องมีความเข้าใจในตัวอุตสาหกรรมได้ดีมากๆ ต้องรู้ว่าอะไรเป็นจุดชนะ จุดตาย ของอุตสาหกรรม ถ้าเรารู้แล้ว หน้าที่ต่อไป ก็คือ บริษัทไหนเข้มแข็งที่สุดในจุดชนะ และถ้ายิ่งเป็นจุดที่บริษัทอื่นๆไม่มี และพัฒนาขึ้นยากเย็น และยาวนาน แน่นอนว่า บริษัทนั้นย่อมอาจจะเป็น ผู้ชนะในอุตสาหกรรมนี้ได้ยาวนาน[/quote] เรียนถามพี่ฉัตรชัยสัก 2 ข้อนะครับ 1. ตอนนี้ผมกำลังวางแผนเรียน MBA อยู่ ถ้าผมต้องการที่จะเข้าใจ ศึกษา Bissiness model เพื่อวิเคราะห์ว่า บริษัทไหนมีความสามารถในการแข่งขันดีที่สุด ไม่ทราบว่าผมควรเลือกเรียนสาขาไหนดีครับ? 2. ในเบื้องต้น ผมสนใจด้านการเงินครับ เพราะดูแล้วน่าจะมีประโยชน์ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณต่างๆ แต่หลังจากที่ศึกษาแนว VI นานเข้า ก็เริ่มรู้สึกว่า เราควรจะศึกษาตัวธุรกิจ(ปัจจัยเชิงคุณภาพ) ก่อนที่เข้าไปลงรายละเอียดในเชิงของตัวเลข ไม่ทราบว่าพี่มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ครับ?
โดย
luangrit
พุธ ส.ค. 29, 2012 10:19 pm
0
0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
ขออนุญาตแชร์นะครับ สำหรับหุ้น IT แล้ว ผมในฐานะผู้บริโภค ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปใช้บริการกับ mall แห่งนี้เลย เพราะเมื่อเวลาที่จะซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง ขอแค่มีการประกันที่ดี เชื่อถือได้ ผมก็ตัดสินซื้อสินค้าแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นร้านนี้ร้านเดียว ดังนั้นหุ้นตัวนี้อาจจะไม่มี DCA ที่แข็งแกร่ง Bissiness model อาจจะโตได้ด้วยการขยายสาขา แต่การโตของ IT ก็ยังคงเป็นคำถาม เพราะเท่าที่ไปเดินสำรวจ ก็ไม่พบว่ามีลูกค้าไปใช้บริการมากนัก เรื่องนี้ อย่างที่หลายๆท่านได้กล่าวไว้นะครับ ว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีเกี่ยวกับ DCA ของบริษัท ถ้าบริษัทไหน มีความสามารถที่จะดึงดูดลูกค้าได้น้อย กำไรของบริษัทเหล่าก็จะไม่มั่นคง ผมเองพอจะเข้าใจเรื่องนี้บ้าง ก็เพราะผมเองทำงานในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับจ้างผลิต (และก็อยู่ในตลาดหุ้น) ซึ่งแน่นอนว่าตัวบริษัทนั้นไม่มี DCA ใครจะเข้ามาในธุรกิจก็ได้ ถ้าทุนหนาพอ ดังนั้นลูกค้่าก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะให้บริษัทไหนทำการผลิต แม้ว่าตัวเลข Financial statement ต่างๆจะออกมาดีมาก แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง เพราะทางบริษัทจะปลดคนออกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าไม่มีงาน ไม่มีลูกค้า จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเราลงทุนกับบริษัทที่มีตราสินค้าที่โดดเด่น ผู้บริโภคเลือกใช้อย่างสม่ำเสมอ น่าจะเหมาะสมกว่าในการเลือกลงทุน เพราะรายได้จะมีความแน่นอน สม่ำเสมอ สมัยก่อนผมมักจะให้ความสำคัญกับข้อมูลทางตัวเลข มากกว่าเรื่องของ DCA และ Bissiness model และก็พลาดครับ เพราะไปเลือกลงทุนกับบริษัทที่พึ่งพากับลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้า จริงๆแล้ว บริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงการผลิตอะไรเลย และไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่หลังจากน้ำท่วมบริษัท ลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้านั้น ก็ยกเลิกออเดอร์ไปเยอะมาก ทำให้ราคาหุ้นร่วงจากมาเกือบ 50% ตรงนี้จึงเป็นกรณีศึกของผม ที่อยากให้เพื่อนๆได้รับฟังเอาไว้ เกี่ยวกับการให้น้ำหนักในเลือกวิเคราะห์หุ้น ว่าควรจะเลือกหุ้นในเชิงของคุณภาพก่อนที่จะมาลงเรื่องของตัวเลขต่างๆครับ
โดย
luangrit
เสาร์ ส.ค. 25, 2012 5:03 pm
0
7
Re: อยากให้มีการอัดรายการสัมมนาที่มีประโยชน์ สำหรับผู้ไม่มีโ
เห็นด้วยครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ส.ค. 02, 2012 1:55 pm
0
0
Re: ฝ่าวิกฤติยูโร/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ขอบคุณมากครับ เตือนสติได้ดีมากครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2012 11:57 pm
0
0
Re: สายไปไหมที่จะเริ่มเก็บหุ้นตอนนี้
MOS ที่ดี ควรจะเป็น MOS จากกิจการนะครับ ไม่ใช่ MOS จากราคา ณ ปัจจุบัน
โดย
luangrit
อาทิตย์ พ.ค. 27, 2012 8:31 pm
0
0
Re: สิ่งที่ควรทำเวลาหุ้นตก
ขอแชร์บ้างนะครับ ช่วงที่หุ้นตกสิ่งที่จะทำเลยคือ 1. ดูพื้นฐานว่าหุ้นตกครั้งนี้มีผลต่อกิจการเราแค่ไหน 2. หากว่าไม่มีหรือมีผลน้อย ก็กลับมาดูพอร์ต ถ้าติดลบก็จะถามตัวเองว่า "อยากเพิ่มความเป็นเจ้าของกิจการอีกมั้ย" 3. ระดมทุนซื้อเพิ่มครับ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หุ้นที่อยู่ในพอร์ตต้องมาจากการที่เราวิเคราะห์กิจการมาอย่างดีแล้วเท่านั้น และซื้อในราคาที่มี MOS หรือ Upside พอสมควร เพียงแต่ตลาดมันไม่เอื้อ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกครับมามันจะตกจะขึ้น คือตกก็ตกไปเถิด มันก็เป็นกันทั้งตลาด จะฝืนได้อย่างไร ผมไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ครับ กับสถานการณ์แบบนี้ ที่จะกังวลก็มีแค่เรื่องเดียว คือพื้นฐานกิจการมันไม่เป็นไปอย่างที่เราประเมินเอาไว้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ซื้อถัวครับขายทิ้งอย่างเดียว เพราะไม่อยากเป็นเจ้าของร่วมแล้ว หากว่าเรามีความมั่นคงในหลักการแนวเน้นคุณค่าจริงๆแล้ว เราก็จะมีความรู้สึกคล้ายๆอาจารย์ของพวกเรา ทั้ง ดร. นิเวศน์ หรือกระทั่ง W. Buffett ผมรู้สึกอย่างนั้นนะครับ
โดย
luangrit
ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 11:51 pm
0
2
Re: เมื่อตลาดวาย แต่เงินสดหมดพอร์ท จะทำยังไงกันครับ
ไม่มีใครเดาได้หรอกครับว่าสถานการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ต้องอาศัย MOS อย่างที่คุณ picatos ว่าไว้ และสิ่งนี้ นั้นมีความสำคัญจริงๆในระยะยาว ผมเองก็พึ่งลงทุนไปพอสมควรกับหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งมี Upside มากพอสมควร เพียงแต่อาจจะต้องให้เวลาบริษัทแสดงผลการดำเนินงานซักระยะ ราว 5 ปีขึ้นไป ณ ขณะที่เราซื้อ เราก็ไม่รู้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้ แต่ตอนที่เราซื้อ เราซื้อเพราะเห็นศักยภาพ เห็นการเติบโตของบริษัท หลังที่ซื้อแล้วเพียง 1 วัน ราคาก็ตกลงมา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ออกได้ทั้ง 2 หน้า ไม่เขียวก็แดง เดาไม่ได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ราคามันก็ต้องไปตามผลประกอบการ ถ้าผลดำเนินงานดี ก็เขียว ถ้าไม่ดี ก็แดง ลองกลับไปดูหุ้นที่ผลดำเนินงานดีขึ้นเรื่อยๆ ในหลายๆปีสิครับ ว่ามีตัวไหนบ้างที่ราคามันไม่สัมพันธ์กับผลประกอบการณ์ ดังนั้นจะกังวลไปทำไม หากว่าคุณวิเคราะห์บริษัทมาอย่างดี ถ้าบริษัทมีการเติบโตในระยะยาว ก็แทบจะปิดประตูขาดทุนไปแล้ว
โดย
luangrit
ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 11:20 pm
0
6
Re: ตลาดหุ้นตกหนัก เพื่อนสมาชิกท่านใดยังคงนโยบายลงทุน100%
ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าเศรษฐกิจมหภาคนั้นคาดการณ์ได้ยาก จะรู้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว ไม่มีใครรู้จริงๆว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันไหน ยิ่งเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ ก็ยิ่งเข้าใจเรื่องพื้นฐานกิจการและแนวการลงทุนแบบ Value มากขึ้น หากว่ากิจการยังดำเนินการได้ เราก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ในแง่ของรายได้ อาจจะโดนกระทบบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องชั่วคราว และยากที่จะหลีกเลี่ยง ข้อดีก็ยังมีอยู่ เช่นในแง่ของการหายไปของคู่แข่งบางราย ที่กิจการไม่ได้เข้มแข็งนัก แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า จริงๆแล้วอาจจะมี MOS 2 ตัว 1. MOS ของราคาในตลาด 2. MOS ของตัวพื้นฐานกิจการ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่สามารถเบาใจ และวางใจได้ หากพื้นฐานไม่เปลี่ยนจริงๆ ความเสี่ยงจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ราคาตลาด แต่อยู่ที่ตัวพื้นฐานมากกว่า หากเราวิเคราะห์ไม่เป็น ก็เท่ากับเสี่ยงไปมากกว่า 70%แล้ว ซึ่งถ้าเราลงทุนแนวอื่นนอกเหนือจาก Value investing อาจจะทำให้ตอนนี้เกิดความกังวล และมีการกระทำมากขึ้น เช่นการเทรดบ่อยๆ เพื่อจับจังหวะตลาด ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ ซึ่งต้องขอบคุณอาจารย์ทั้งหลาย อาทิ Buffett , อจ. นิเวศน์ และท่านอื่นๆ ที่นำเสนอแนวคิดนี้
โดย
luangrit
ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 10:33 pm
0
2
Re: R34: ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม
ถ้า E ตามไม่ทัน P ก็แย่เลยนะครับ เพราะหุ้นลักษณะนี้แบกความหวังของนักลงทุนไว้เยอะ ถ้าเราให้ความสำคัญของ E เมื่อเทียบกับ P ผมคิดว่าเราจะเครียดน้อยลงมาก ยิ่งถ้ามองไปถึง D (dividend) เมื่อเทียบกับ P แล้วยิ่งลดความกังวลไปได้มาก เช่น E = 1 บาท D = .8 บาท P = 10 บาท ดังนั้นหุ้นนี้ P/E = 10, yield = 8% ถ้าเราโฟกัสไปที่ E เราจะสนใจตัวกิจการมากขึ้น สนใจคุณภาพของกำไรมากขึ้น สนใจเรื่องของการปันผลมากขึ้น และเมื่อสนใจปันผล ก็หนีไม่พ้นต้องมาตรวจสอบในเรื่องของธรรมภิบาล เห็นมั้ยครับว่าเราจะมีความละเอียดรอบคอบในเรื่องการลงทุนดีมากยิ่งขึ้น ผมมองว่าถ้าสนใจ Capital Gained ก็เท่ากับเราสนใจเอาเงินของนักลงทุนด้วยกันเอง แต่ถ้าสนใจ Earning หรือ Dividend ก็เท่ากับเราสนใจเงินของกิจการ คำถามคือ สองสิ่งนี้ สิ่งไหนเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ง่ายกว่ากันครับ?
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. เม.ย. 05, 2012 1:21 am
0
3
Re: ผู้บริหารปฏิบัติธรรม ทำให้หุ้นน่าศรัทธามากขึ้นหรือไม่
การปฏิบัติธรรม ไม่ได้แสดงว่าเป็นคนดีนะครับ คนที่ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ ก็เนื่องมาจากเห็นความทุกข์ในโลก จึงเสาะแสวงหาทางที่จะพ้นทุกข์ได้จริงๆ ซึ่งทางที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแนะนำสั่งสอนเอาไว้นั้น สามารถทำให้ทุกข์น้อยลง ได้จริง คนที่รู้ที่เห็นตามพระพุทธเจ้า จึงได้เกิดศรัทธา และเพียรพยามเจริญภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์ (ปัญญา ศรัทธา ความเพียร) ทาน ศีล ภาวนา ถ้าคนที่เข้าใจธรรมะจริงๆจะรู้ได้เลยครับว่า สิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่อสละความเห็นแก่ตัว ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้ผู้อื่นยกยอปอปั้น และก็ไม่ได้มีตรงไหนที่บอกเลยนะครับว่า บุคคลท่านนั้นๆเป็นคนดี คนดีหรือไม่ดีนั้นจริงๆแล้ว มันอยู่ที่คนอื่นจะให้ค่า หรือ ตีความเอาเองว่า การมี ทาน ศีล ภาวนา นั้นเป็นคนดี คนที่ปฏิบัติจริงๆ เค้าไม่ได้มุ่งเอาคำชมต่างๆเหล่านี้หรอกครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. เม.ย. 05, 2012 1:01 am
0
0
Re: คิดว่าการลงทุนแนว VI ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ตลาดหุ้นน่าจะมีสเถียรภาพมากขึ้น แต่ความกลัว ความโลภ ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันมากนัก
โดย
luangrit
เสาร์ มี.ค. 17, 2012 11:48 pm
0
1
Re: เวลาท้อแท้ใจกับผลลัพธ์ของการลงทุน ควรทำอย่างไรดีครับ ?
เป็นคำถามที่ดีนะครับ นักลงทุนแนว VI โดยพื้นฐานแล้ว จะสนใจที่ตัวกิจการมากที่สุด ดังนั้นเวลาที่ราคาหุ้นไม่เป็นไปตามคาด เราอาจต้องมาประเมินพื้นฐานของบริษัทจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าพื้นฐานมันเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง อันนี้เราคงวิเคราะห์เอาว่าจะถือหุ้นต่อไปหรือไม่ แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ตลาดเค้าไม่ได้เห็นด้วยกับเรา สิ่งนี้ก็จะทำให้ราคาหุ้น(ในระยะสั้น)ไม่ไปไหน หรืออาจจะแย่ลง ผู้ลงทุนนั้น ควรจะประเมินความเป็นไปของพื้นฐานกิจการอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ตัดอารมณ์ต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจในระยะสั้น จากประสบการณ์ส่วนตัว ยิ่งเห็นตัวเลขแดงๆ ยิ่งทำให้ผมนั้นมีความตื่นตัวในการประเมินหุ้น และวิเคราะห์บริษัทอย่างปลอดภัยมากขึ้น ทั้งยังช่วยในการฝึกจิตใจ ไม่ให้ไหลไปกับภาวะต่างๆของตลาด และสุดท้าย สิ่งที่จะยืนยันการประเมินของเรา ก็คืองบการเงิน ที่ออกมาให้เห็นทุกๆไตรมาสครับ
โดย
luangrit
พุธ มี.ค. 07, 2012 9:52 am
0
2
Re: "จงกลัวตอนที่คนอื่นโลภ" แล้วตอนนี้พี่ๆกลัวกันหรือยังครับ
ไม่น่ากลัวนะครับ วัฏจักรของมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ แค่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ที่จะซื้อครับ ตอนนี้กำลังรอให้ถึงเวลาที่น่าซื้อจริงๆ นานเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีนะครับ ที่จะได้ฝึกจิตใจ ไม่ให้หวั่นไหวกับสีเขียวๆในตลาด
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2012 1:50 pm
0
0
Re: คาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียส
snc ครับ 555 Bias เล็กๆ
โดย
luangrit
อังคาร ก.พ. 28, 2012 11:00 am
0
6
Re: วัฒนธรรมเภท/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าตัดเรื่อง Margin ออกไป ผมคิดว่าการวิเคราะห์บริษัทแบบที่คุณชินได้อธิบาย นั้นมีประโยชน์มากๆ สำหรับนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ส่วนเรื่องของการทำความดี ศึกษาธรรมะนั้น เป็นสิ่งดีอย่างสูงสุด ควรค่าแก่การเกิดมาครั้งหนึ่งๆแล้วครับ สิ่งนี้ (ธรรมะ) ต่างหากครับที่จะช่วยขัดเกลา ให้กิเลส ความอยาก นั้นเบาบางลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าคนเราอาจจะแสดงออกว่าเป็นคน 2 บุคลิก และเหมือนจะขัดๆกัน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากคุณชินเลย ก็คือความพอและต้องการให้ผู้อื่นได้เจอกับสิ่งดีๆอย่างที่ตนได้เจอบ้าง (จำประโยคนึงได้ว่า "เราพอกับใจกับ 30 ล้านแล้ว ถ้าเล่นต่อไปถึง 50 ล้านก็ไม่ต่างกัน") จริงๆมีอีกหลายคำพูด และหลายการกระทำนะครับ ประโยคข้างบนแค่เป็นตัวอย่าง เมื่อคนนึงๆ ได้รับมากพอ และเกินความต้องการของตน ทั้งยังเริ่มคิดถึงการแบ่งปันเพื่อผู้อื่นให้ได้รับสิ่งที่ดี อย่างทีตนเคยได้ ก็นับว่ามีจิตใจที่ดี มีเมตตาเหมาะแก่ธรรมมากแล้วครับ ผมอาจจะอายุยังน้อย (ทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ) แต่ก็พอมองเจตนาของคุณออก อย่างไรก็อย่าท้อกับสิ่งที่คุณตั้งใจทำอยู่นะครับ
โดย
luangrit
จันทร์ ก.พ. 20, 2012 6:54 am
0
8
Re: ปีนี้ผมยังไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มเลย ช้าไปไหม?
ผมก็รอครับ ระหว่างทางก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2012 9:56 am
0
1
Re: ช่วงนี้เศรษฐกิจดีนี้เราควรจะเล่นdefensive stock รีเปล่าค
คุณ cyber-shot ลองเข้าไปถามห้อง cpnrf ดีกว่าครับ น่าจะได้ข้อมูลครบถ้วน
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 9:12 pm
0
0
Re: ถามวิธีการพิจารณาดูผู้บริหารครับ
ดูจากสิ่งที่เคยพูดและสิ่งที่ทำครับ เช่น ในอดีตตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2000 ล้าน ในอีก 3 ข้างหน้า เราก็กลับไปดูว่าทำได้จริงมั้ย จริงๆแล้วมันมีรายละเอียดอีกเยอะมากเลยครับ ถ้าจะดูถึงจริยธรรมของผู้บริหารจริงๆ ต้องใช้ประสบการณ์เข้าช่วย รวมทั้งฟังความเห็นจากเพื่อนนักลงทุน ที่ลงทุนในบริษัทเดียวกัน เสียงจากพนักงานก็สำคัญมากนะครับ ลองตามๆดูใน 100คน 100หุ้น ดูก็ได้ครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 5:36 pm
0
0
Re: เพื่อนๆวางแผนการลงทุนกันอย่างไรในปี 2555
เหมือนทุกปีครับ หาถูกไม่ได้ ก็ไม่ซื้อ หุ้นบางตัวถึงจะถูกแต่ไม่คุ้มค่า ก็ไม่ซื้อ เอาเฉพาะตัวที่มันอยู่ในวงสวิงของเราเท่านั้น ผมรอได้ครับ ระหว่างทางก็เก็บเงิน เก็บความรู้ เก็บข้อมูลบริษัทที่น่าสนใจไปเรื่อยๆ พร้อมกับหาวิธีในการลดความเสี่ยงของตัวเอง ไม่เดาทิศทางของเศรษฐกิจ ใช้ประโยชน์จากปัจจุบันเท่านั้นครับ
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 4:45 pm
0
3
Re: เพื่อนๆ เริ่มต้นค้นหาหุ้นจากอะไร??
สำหรับผมเริ่มต้นที่ห้องสินธร พันทิพย์ครับ จริงๆก็เก็บหุ้นพื้นฐานดีๆไว้ใน list อยู่แล้ว แต่จะสังเกตอารมณ์ของตลาดจากห้องสินธรครับ ส่วนใหญ่จะได้มาจากการบ่นเช่น ทำไมราคาไม่ไปไหนทั้งที่พื้นฐานดี? หรือทำไมตัวนี้ถึงร่วงจัง? เราก็มีหน้าที่ประเมินตามพื้นฐานจริงๆครับว่า มันเกิดจากสาเหตุอะไร
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 1:00 pm
0
0
Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch
จริงๆไม่ต้องคาดเดาอนาคตหรอกครับ อยู่กับปัจจุบันก็พอ ถ้าถูกก็ซื้อ ถ้าแพงก็ไม่ซื้อ เก็บเงินไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาจะถูกและคุ้มค่า ค่อยซื้อก็ไม่สาย เป็นการฝึกอารมณ์ไปในตัวด้วยครับ ไม่ควรปล่อยให้สีเขียวๆในตลาดครอบงำ แล้วคิดเอาเองว่า ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวจะตกรถ การลงทุนควรจะไม่จำกัดเวลานะครับ หมายความว่า เราควรจะรอให้เป็น.....3 ปี 5 ปี ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยเราค่อยๆสะสมกระสุนและความรู้ไปในตัว เมื่อถึงเวลาค่อยซัดเต็มที่
โดย
luangrit
พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 11:03 am
0
19
Re: ช่วงนี้เศรษฐกิจดีนี้เราควรจะเล่นdefensive stock รีเปล่าค
ผมก็คิดเหมือนกันครับ ตอนนี้มองๆไปที่กองทุนอสังหา ที่ปันผลค่อนข้างแน่นอน วิธีการลงทุนอาจจะใช้ Dollar cost averaging หรือ Value cost averaging ทางใดทางหนึ่งครับ ขณะนี้มีกระสุนพร้อมแล้ว แต่ยังหาตัวที่น่าลงทุนชัดๆไม่ได้เลยครับ ผมก็เคยคิดว่าจะใช้ dollar costing average กับหุ้นบ้างตัวเหมือนกัน แต่ผมคิดไปคิดมาเหมือนกับมันมีปัญหาตรงที่ dollar costing average ก็คือการซื้อหุ้น ที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของเดือน ของไตรมาส หรือปี ผมว่าปัญหาของการใช้สูตรนี้คือ ว่า บ้างทีเราก็ซื้อหุ้นได้ที่ ถูกเกินไป หรืออาจจะสูงเกินไป ผมว่าของเสียของสูตรนี้คือประเมินผลตอบแทนได้ยาก ไม่รู้ว่า reward ที่เราจะได้มันจะมีมากแค่ไหน จะคุ้มกับความเสี่ยงที่เราแบกรับลงไปรึเปล่า เห็นด้วยครับ ส่วนนึงผมจึงให้น้ำหนักการลงทุนไปที่กองทุนอสังหาที่มีปันผล เพราะผลดำเนินงานค่อนข้างแน่นอน แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีเกี่ยวกับ คุณภาพของรายได้ และกำไร อันนี้สำคัญมากนะครับ ตัวอย่างเช่น cpnrf เท่าที่ดูมา กองทุนนี้ช่วงตลาดCrash ปี2008 ราคาอยู่ที่ 4.5 - 5 บาท ซึ่งก็ตกไปเยอะเหมือนๆกับหุ้นในตลาดครับ แต่ก็ยังปันผลได้ในระดับคงที่ ประมาณ 0.9 บาทต่อหุ้น Div yield = 0.9/4.75 x 100 = 19% สำหรับ DCA แล้ว ก็จะได้ประโยชน์ตรงที่ ได้หุ้นจำนวนมากหุ้น และราคาเฉลี่ยต่ำลง คือเราอาจจะถามในใจก็ได้นะครับว่า "เอ๊ะแล้วทำไมเราไม่เก็บเงินไว้เยอะๆ แล้วรอช่วง Crash ไม่ดีกว่าเหรอ" ใช่ครับ ถ้าเป็นนักลงทุนแนว VI ก็จะทำอย่างนี้ป็นปกติอยู่แล้ว เพราะกำไรจะงามกว่ามากๆ ดังนั้นผมถึงมองว่า DCA นั้นน่าจะเหมาะกับ 1. กองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และรายได้ค่อนข้างมั่นคง (โดยเฉพาะปันผล) 2. นักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาหุ้นมากนัก และต้องการออมอย่างมีวินัย 3. สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของตลาด คือ ไม่ซื้อหุ้นจำนวนเยอะเกินไปในช่วงที่ตลาดเป็นบวก และจะได้จำนวนหุ้นมากขึ้นในเวลาที่ตลาดเป็นลบ พร้อมๆกับมีปันผลระหว่างทาง
โดย
luangrit
พุธ ก.พ. 08, 2012 1:24 am
0
1
138 โพสต์
of 3
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
luangrit
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 4:27 am
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ พ.ย. 11, 2019 8:41 pm
โพสต์ทั้งหมด:
376 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.06 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว