หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Peter1011
Joined: อังคาร ก.พ. 09, 2021 5:13 pm
288
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Peter1011
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ดัชนีของจริงอยู่ตรงไหน? ถ้าหากจำกัดราคา DELTA
Update ล่าสุดครับ Actual SET = 1523.07 Adjustment coefficient = 0.9350 Adjusted SET = 1424.01 ต่างกันเกือบร้อยจุด
โดย
Peter1011
พุธ ก.ค. 26, 2023 1:23 pm
0
2
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ผลการสำรวจหุ้นญี่ปุ่น ประมาณ 39 ตัวจาก สองพันกว่าตัว: (1) สังคมสูงอายุ เศรษฐกิจโตต่ำ พวกบริษัทค้าขาย กำไรไม่โต ถ้าโตก็เป็นแค่ชั่วคราว และยังเป็น cyclical ด้วย cash flow เข้ามาไม่สม่ำเสมอ (2) เนื่องจากญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะดบ.ต่ำมานาน หลายบริษัทมี leverage ที่สูง ถ้าหากถ้าหากดบ.ขึ้น ก็คงจะ... (3) หุ้นชื่อดังทุกตัวตั้งแต่ปู่เข้าไปซื้อ ราคาขึ้นไปหมดจนผลตอบแทนไม่ดี (คิดง่ายๆ แย่กว่า 4% perp bond ละกัน) ไม่สามารถ compensate กับความเสี่ยงได้ เช่น ภัยธรรมชาติ ดบ.ขึ้น (4) รายงาน/งบส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่น เวลาที่เสียแรงไปแปลนั้นมันไม่คุ้มกับ return ที่ได้ (5) หุ้น deep value (P/B ตำ่มากๆ) เป็นกับดักเนื่องจากไร้ความสามารถในการสร้างกำไร (6) ถ้าปู่เข้าไปซื้อ แล้วราคาไป นั่นหมายความว่ามีคนตามไปและคนกลุ่มนั้นอาจเป็นนักเก็งกำไรหรือพวกกองทุน copy ปู่ ที่ไปดันราคาขึ้นหวังที่จะ unlock value ออกมา จำไว้ว่า สังคมญี่ปุ่น มีวัฒนธรรมต่างกับสังคมตะวันตก พวกเขานิยมสร้าง value เหมือนกัน แต่เป็น value คนละชนิดที่ไม่ใช่ capital value สรุปคือ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ
โดย
Peter1011
เสาร์ ก.ค. 22, 2023 9:31 pm
0
2
Re: 🚩 เปิดลงทะเบียนงานสัมมนา Exclusive Talk "SIS"
ลงทะเบียน
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ก.ค. 13, 2023 10:02 am
0
0
Re: ดัชนีของจริงอยู่ตรงไหน? ถ้าหากจำกัดราคา DELTA
วันนี้ตอนพักเที่ยง ผมทำการคำนวณดัชนีใหม่อีกรอบ ตามสมมุติฐานเดิมได้ดังนี้ I_i = 1488.51 CMV_i = 18.46 x 10^12 P_a = 11.90 P_i = 95.25 S_DELTA = 12.47 x 10^9 จะได้ I_a = 1402.89 นั่นหมายความว่า ดัชนีของจริง กำลังจะหลุดพันสี่ครับ...
โดย
Peter1011
จันทร์ มิ.ย. 26, 2023 12:57 pm
0
7
Re: Tribute สำหรับคุณ yoyo ครับ
ต้องดันกลับมาให้อ่านกันครับ กลโกงจะคล้ายๆ STARK
โดย
Peter1011
พุธ มิ.ย. 21, 2023 8:14 pm
0
1
Re: สัมมนาวีไอภาคใต้ Q1 2566
รายชื่อข้างบน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนาสอบถาม อาจทำให้คนอ่านเข้าใจผิดว่าอาจารย์แนะนำ เห็นเเพร่ไปที่socialแล้ว พี่เห็นว่าไม่ควรมาระบุในกระทู้เพราะ 1.อาจขัดต่อกฏของกลต ถูกฟ้องได้ เพราะเราไม่ใช่นักวิเคราะห์ 2.อาจารย์อาจไม่สบายใจในการตอบในครั้งหน้าครับ ขอร้องอย่าเขียนระบุตัวหุ้นเลย อยากให้เขียนหลักการเพื่อนำไปใช้จะดีกว่าครับ จะได้ใช้หลักการไปหาหุ้นกันครับ ด้วยความหวังดีครับ ขอโทษจริงๆครับ ทั้งคุณโจและขอบคุณ คุณอมรที่ทักท้วง ผมไม่ทราบจริงๆว่าจะมีคนเอาไป abuse ใน social น่ากลัวมากๆ ดีแล้วที่ทางสมาคมรีบลบออกไป
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 1:39 pm
1
3
Re: สัมมนาวีไอภาคใต้ Q1 2566
หุ้นที่มีการพูดถึง COM7 DOHOME EGCO HMPRO HTC IP ITC JMART KK MEGA MTI NETBAY NSL PRAPAT PTG SAPPE SE-ED SINGER SMPC SORKON TNP TU WARRIX XO
โดย
Peter1011
อังคาร พ.ค. 23, 2023 6:19 pm
0
4
Re: ประณามพฤติกรรมของบางคนน่ารังเกียจในสังคมเว็บบอร์ด
ว่าแต่คุณ AnieLee พูดถูกเกี่ยวกับ SINGER นะครับ มันกลับมาตำ่กว่าแล้ว
โดย
Peter1011
เสาร์ พ.ค. 20, 2023 7:31 am
0
0
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2566
เห็นว่าไม่มีคนมาตอบ ซึ่งตอนนี้ผมเป็นรายถัดไป จึงขอตอบรับว่าไปครับ
โดย
Peter1011
อังคาร พ.ค. 16, 2023 6:16 am
0
0
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2566
one space please
โดย
Peter1011
อาทิตย์ เม.ย. 23, 2023 9:39 pm
0
0
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2565
.
โดย
Peter1011
อาทิตย์ เม.ย. 23, 2023 9:01 pm
0
0
Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว
สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ผมคาดว่า (1) มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้นทั้ง VI (สังเกตจากงานที่มีคนจองอย่างล้นหลาม) และสายอื่น และแต่ละคนก็เก่งมาก ทำการบ้านมาอย่างดี (2) ในขณะที่จำนวนหุ้นที่มีคุณภาพลดลงจากที่ประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะลดลง เศรษฐกิจไทยไปต่อไม่ได้เนื่องจากไม่มี innovative products ที่จะไปแข่งกับชาติอื่นได้ แบบนี้มันทำให้เหมือนกับว่าหุ้นมันเป็นทรัพยากรจำกัดที่มีคนหลายๆคนกำลังแย่งกันอยู่ ขอเสริมต่อครับ สำหรับสาเหตุ หรือ สิ่งที่บ่งบอก เรื่องแบบนี้ ที่เขียนมาเอามาจากสิ่งที่เห็นและพบเจอ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันก็ยังจะไม่เหมือนกับสิ่งที่คนอื่นเห็น: (1 ต่อ) รวมถึงข้อมูลดิบที่หาได้อย่างง่ายดาย ทุกอย่างถูกวิเคราะห์ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งงบ ข้อมูลบริษัท ข่าว IR และยังมีเพจการลงทุนที่เกิดใหม่นับไม่ถ้วนที่นำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย VI รุ่นใหม่นั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และที่สำคัญ รอบรู้ ตอนผมไปในงานสังสรรค์ ได้ลองไปแอบฟังหลายๆคนพูดกัน ผมทึ่งจริงๆ แต่ละคนรู้ลึกมาก โดยเฉพาะข้อมูลแนวโน้มอุตสาหกรรมต่างๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าให้ไปแข่งลงทุนผมคงถูกคัดตกรอบก่อนที่จะเข้าไปแข่งอีก (2 ต่อ) ในช่วงผ่านๆมาที่เศรษฐกิจดี เงินไหลมาเทมา ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีการนำกลับไปพัฒนาสร้าง innovation ใหม่ๆ (ไม่งั้นเราก็คงได้เห็น technology ของไทยที่ดังไปทั่วโลกแล้ว) ที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทย แต่ถูกนำไปเก็บไม่ว่าจะเป็นเงินออม กองทุน หุ้นกู้ หุ้น ทำให้เงินล้นระบบ สิ่งนี้ได้ทำให้มูลค่าของหุ้นไทยได้แพงขึ้นและเร็วกว่าอัตราการโตของคุณภาพหุ้นนั้นๆ ยิ่งพวกพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น IPO ที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว เพราะในสภาวะเงินล้นตลาด ดอกเบี้ยต่ำ (Did you know? หุ้นกู้ส่งผลส่วนหนึ่งให้กำไรแบงค์ไม่โต ก็เพราะว่าแทนที่บริษัทพวกนี้จะไปกู้แบงค์ซึ่งมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า ก็มากู้พวกเราไงหล่ะที่มีดอกเบี้ยตำ่กว่า พวกเรามิหนำซำ้ยังโดน management fee ของกองทุน fixed income อีกด้วยทำให้ผลตอบแทนตำ่ลงไปอีก มีต่อข้างล่าง...) ก็เป็นปกติที่ทั้ง กองทุน รายใหญ่ นักลงทุน และ รายย่อย จะแย่งของกัน (3) มีผลิตภัณท์ทางการเงินใหม่ๆที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้น เช่น structure note, unit link, trigger fund ที่บางคนอาจจะไปลงทุนตามการชักชวนของพนักงานแบงค์โดยที่มองแต่ผลตอบแทนอย่างเดียว ผมมองว่า การที่มีผลิตภัณท์ที่มีลูกเล่นซับซ้อนอาจบ่งบอกถึง ผลตอบแทนปัจจุบันในตลาดที่ตำ่มาก (4) มีหนังสือที่เกี่ยวกับ VI และการลงทุน ออกมามากมายทำให้คนรู้จักมันเยอะมากขึ้น และติดภาพว่า การลงทุนแบบ VI นั้นจะทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน หรือพูดง่ายๆว่า "รวยขึ้น" แต่การที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นนั้นใช้วิธีลงทุนแบบ VI มันก็จะทำให้ผลตอบแทนนั้นตำ่ลง ไม่งั้นทุกคนก็คงจะรวยกันหมดแล้ว (5) การปั่นสตอรี่ในตลาดหุ้นที่มีอยู่มากมาย รวมถึงบนเวปนี้ด้วย หลอกลวงคนที่ไม่ยอมทำการบ้าน หรือ ทำการบ้านไม่เต็มที่ ไปติดดอยหุ้นที่ "หุ้น growth ปลอม" รวมถึงการใช้เส้นสาย เล่นพรรคเล่นพวก ในการ corner หุ้น big cap หลายๆตัว ทำให้สภาพตลาดหุ้นไทยไม่ต่างไปจากบ่อน (6) ผมไม่อยากเขียนข้อนี้ครับ เพราะมันค่อนข้างแรง (ต่อเรื่องหุ้นกู้) มีบริษัทหนึ่ง (ไม่ใช่สายการบิน) ที่ออกหุ้นกู้ มีเรทติ้ง A+ investment grade แต่ดันมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้บางตัวอีกที่มีเรทติ้งตำ่กว่า บริษัทนี้ชอบขาดทุนอยู่บ่อยครั้งจนขาดทุนสะสม ทั้งๆที่บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันไม่มีขาดทุนสะสม บริษัทนี้อยู่ได้ด้วยการ roll-over หุ้นกู้ไปเรื่อยๆโดยมีสภาพไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่ ถ้าดอกขึ้นแล้วบริษัทไม่สามารถออกหุ้นกู้ หรือจ่ายดอกเบี้ยต่อไปได้ ก็จะเจ๊ง
โดย
Peter1011
เสาร์ เม.ย. 08, 2023 8:21 pm
0
9
Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว
คิดว่าจริง เพราะคนรุ่นใหม่มีค่านิยมรวยเร็วไม่ทำงานชอบเล่นโซเชียล ตอนแรกผมจะเขียนแบบนี้แล้ว แต่ไม่กล้ากลัวโดนทัวร์ลง ผมเห็นคนรุ่นใหม่หลายๆคนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีเงินจากพ่อแม่เอามาเล่นหุ้นหรือลงทุนแช่ยาวแล้วไม่ทำงานหวังกินเงินปันผล ส่งผลกระทบต่อ real sector อย่างยิ่ง ใครเคยดู series อังกฤษ ที่ย้อนกลับไปในช่วง พ.ศ. 2470-80 เช่น Poirot Jeeves and Wooster และ Downton Abbey ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตที่ดี แต่ไม่ได้ทำงาน แล้วเงินมาจากไหนหล่ะ? ก็เงินลงทุนและมรดกทั้งนั้น นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อังกฤษหมดความเป็นมหาอำนาจแล้วโดนอเมริกาแซง เก็บหลายตัวลดความเสียว ฟลุ๊กได้เยอะก็ใส่ลงไปหุ้นโบราณ(โต้ช้าแข็งแกร่ง)ประกันความเสี่ยงกันไป ซึ่งก็ต้องรอวิกฤตอีก แล้วก็ทำให้หุ้นพวกนี้ราคาเต็ม ผลตอบแทนตำ่มาก
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. มี.ค. 23, 2023 6:48 pm
0
5
Re: แชร์มุมมองส่วนตัวเรื่อง สมัครสมาชิก ThaiVI แล้วได้อะไร แล้วเราใช้งานคุ้มค่าแล้วหรือยัง?
บอกข้อดีมาแล้ว ขอแชร์เรื่องที่ไม่อยากให้ใส่ใจมากในการใช้งาน webboard บ้างแล้วกันนะครับ 1) ด้วยความที่ในนี้ก็มีคนหลากหลาย หุ้นตัวนึง ยังไงก็ต้องมีทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ ยังไง drama ระหว่างความเห็นที่แตกต่างกัน ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายโพส ผมก็รู้สึกมัน toxic จริงๆ แต่อยากให้เพื่อนๆมองเรื่องตัวข้อมูลเป็นหลัก การเกรียนมันห้ามกันยาก แม้จะมี admin แต่บางทีก็อาจจะดูแลกันไม่ทั่วถึง ยิ่งตลาดหุ้นมันมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ Drama ยิ่งเยอะ อันนี้ผมก็พยายาทำใจ อ่านผ่านๆไปบ้าง 2) ด้วยความที่ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของอารมณ์คน ความเครียดจากตลาดก็มากพออยู่แล้ว บางทีมาระบายกันใน board ก็มี เวลามีคนเห็นต่างก็ไปโพสใส่อารมณ์ใส่กัน หลายครั้งก็มี Dunning Kruger Effect อยู่เนืองๆ ยังมีอะไรที่เราอาจจะเข้าใจผิดหรือไม่รู้อีกมาก ก็อยากให้ใจเย็นๆ โพสกันอย่างสร้างสรรค์มีสติครับ 3) เวปนี้ทำให้ตลาด efficient มากขึ้นนะครับ 555 แชร์ข้อมูลมากขึ้น => ราคาสะท้อนมากขึ้น
โดย
Peter1011
จันทร์ ก.พ. 27, 2023 11:48 am
0
2
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2565
1 place for me krub
โดย
Peter1011
เสาร์ ก.พ. 04, 2023 3:08 pm
0
0
Re: ชวนคุย เรื่อง การลงทุนหุ้น ต่างประเทศ กับ หุ้นไทย อันไหน คุ้มค่ากว่ากัน ?
เราต้องอ่านพวก Mentality ของคนพวกนี้มากกว่า เพราะ เหมาะสมไหมกับ Business Life Cycle และสภาพการแข่งขัน ต้องฝึกนานไหมครับ จนกว่าจะอ่านได้
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2023 6:02 pm
0
0
Re: ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จริงหรอครับ? ลองไปเป็นคนโปแลนด์กับฮังการีดูสิครับ และถ้าคุณไปลงทุนในประเทศพวกนี้ในปี 1936 แล้วไม่ได้ขายออกมา คุณจะไม่เหลืออะไรเลย หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ตลาดหุ้นของสองประเทศนี้โดน nationalised โดยกองทัพคอมมิวนิสต์ ใช่ครับ นี่ก็เป็นเรื่องชั่วคราว แต่ยาวมาากว่า 50 ปี
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2023 5:56 pm
0
0
Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี
ฝรั่งส่วนมากพูดเก่งเป็นทุน เห็นใน Twitter แล้วปวดหัวมาก ไม่รู้จะฟังใครดี 5555
โดย
Peter1011
ศุกร์ ม.ค. 06, 2023 8:13 pm
0
1
Re: หุ้นที่มีสินค้าในเซเว่น 2023
ก็ลองเดินไปที่ 7/11 ใกล้บ้านคุณแล้วลองค่อยๆหาดูสิครับ ไม่ต้องรอคำตอบจากที่นี่ ปล. แบลนด์ = BLAND = Bangkok Land ไม่ใช่ แบรนด์นะครับ
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2023 8:21 pm
0
1
Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี
ของอ.ตี่นี่ Timeless article จริงๆครับ อ่านแล้วเดี๋ยวผมก็กลับมาอ่านอีก มีประโยชน์แฝงอยู่มาก และ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ ต้นปีก่อนผมยังไปทะเลาะกับคนหนึ่งในห้องหุ้นเปลี่ยนโลกเลยครับ
โดย
Peter1011
อังคาร ม.ค. 03, 2023 7:46 pm
0
4
Re: สวัสดีปีใหม่ 2566 และตลาดหุ้นปี 2565 ในมุมมองของผม
ขอบคุณที่มีอะไรดีๆ มาให้อ่านครับและสวัสดีปีใหม่เช่นเดียวกันครับ ขออนุญาติเสริมครับ นอกจากเจ้ามือหุ้นปั่นนั้น ยังมีกองเชียร์/แช่งอีกด้วยครับ โดยเฉพาะโบรคหนึ่งซึ่งชอบออกบทวิเคราะห์โดยนักวิจัยชั้นแนวหน้ามาด้อยค่าเศรษฐกิจไทย เหมือนจะอยากให้ไปซื้อกองทุน (fund of fund) ของตนเองที่มีค่าบริหารแพงหูฉี่ สุดท้ายคนที่หลงเชื่อไปซื้อก็ขาดทุนบักโกรกกันไป หวังว่าจะได้มีโอกาสไปหาพี่โจที่หาดใหญ่ครับ 4d73ca108bc4d3acc042426c8498a33d.jpg
โดย
Peter1011
อาทิตย์ ม.ค. 01, 2023 9:54 pm
0
1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ดีใจที่ได้เห็นพี่หลินโพสท์อีกครับ 1. คำว่า "คิดว่า" นั้นเป็นการไม่ทำการบ้าน 2. คำว่า "รอแจ๊กพอต" นั่นคือการพนัน 3. ถ้าคุณเชื่อประโยค "คิดว่าหุ้นต่างประเทศคุณภาพดีกว่า และระยะยาวจะทำให้เราได้ Return ดีกว่าตลาดหุ้นไทยได้" นั้นแปลว่า คุณ อาจจะ ได้ปล่อยให้พวกนักวิแคระห์ นักวิชาเกรียน เซียนหุ้น ทำการบ้านแทนคุณ (พูดกันอยู่ได้ โดยเฉพาะปีที่แล้ว) 4. อย่าซื้อ ETF แม้ว่าจะเป็น passive ก็ตาม แบบมั่วๆ ปล่อยทิ้งไป 5. ผมอยู่ตรงนี้ครับ 1231px-Dunning–Kruger_Effect_01.svg.png ปล. ผมดันไปอ่านประโยคสุดท้ายของพี่ว่า "สิ่งที่อันตรายที่สุดในตลาดหุ้น คือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดครับ"
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2022 4:38 pm
0
4
Re: หาเพื่อนเข้ากลุ่ม discord การลงทุนในต่างประเทศ
ไม่ได้เจอกันนานครับคุณ wj เป็นยังไงบ้างครับ รบกวนช่วยดึงผมกลับเข้ากลุ่มทีครับ
โดย
Peter1011
เสาร์ พ.ย. 26, 2022 7:05 pm
0
0
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
ยินดีที่ได้อ่านโพสท์ของอ.ตี่อีกครับ ตอนนี้ผมสนใจ Fiverr อยู่ครับ เดี๋ยวไว้มาคุยกันครับ
โดย
Peter1011
อังคาร พ.ย. 01, 2022 8:15 pm
0
1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ตลาดโหดดีครับ เอาปลากรอบมาฝากครับ Treasury: Screenshot 2022-09-29 at 17.17.40.png Fixed Income: Screenshot 2022-09-29 at 17.16.09.png S&P500: Screenshot 2022-09-29 at 17.18.15.png China: Screenshot 2022-09-29 at 17.23.23.png Deutschland: Screenshot 2022-09-29 at 17.27.16.png Value: Screenshot 2022-09-29 at 17.22.17.png Tech: Screenshot 2022-09-29 at 17.25.25.png Moat: Screenshot 2022-09-29 at 17.31.23.png จากโพสท์ก่อนมาถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไร.....
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ก.ย. 29, 2022 5:31 pm
0
3
Re: Value investing และการ disruption
Will it ever worked? I adopted Value Investing as my method of making money a few years ago, buying cheap good stocks at bargain price. I started from the usual low P/E low P/BV high %Yield strategies. Then "good" means a company with at least a thin moat (and well known) while generate satisfactory earning growth and having a healthy balance sheet. Now, as I tried to find those stocks I ended up almost nothing on my shopping list. For example, I went to scan the several developed markets for such kind. Those stocks that passed my filter are like cyclical commodities stocks with temporary high profits and the other are in a position of decline (commonly known as sunset business) with extremely bad fundamentals and no moat at all. What a waste of time. At this point, I start to believe that everything are priced in and the market is efficient in itself. I have made several observations, Thinking about stocks as limited resources while there are flux of new investors every year (especially in 2020-21) coming to find good stocks (and hold on for dear life) like me, and of course many of them are much advanced than myself such as using an advance algorithm, having much higher IQ/EQ, have exclusive access to several research papers, can perform scuttlebutt research perfectly etc. Eventually, there are those who get in first at lower valuation and start to fill up to a much higher valuation of such a stock, which may lead to a perfectly priced issue. There's also main players in the market which are institutions and they are armed with best of the best researchers/analysts with the most advanced algorithm (I imagine a computer listen over the Fed's chair Powell speak and using its AI algorithm based on trillions of data points to predict the interest rate sentiment or an algorithm that gets the financial result immediately after its released and funnelled through its DCF algorithm and revalue such a company present value within few seconds). We are no longer living in Graham and Doddsville or Peter Lynch era where there are boring companies at good priced. As Internet connects everything and everyone together, information reaches every investor very quickly when it is released and you can do most of your research at home without going over to the library/company like in the 70's or 80's. The use of DCF model: Although it did not accurately predict the future price but in my opinion, it reduces the chance of being wrong (I don't know by what magnitude, as it can be from 98% to 50% or just 98% to 97%!). The DCF model itself are widely used by several investors, its result shows present value which is an equivalent to intrinsic value in which I assumed that for a good stock like NVIDIA or Tesla, for instance, have no gap or the difference between average DCF values (made by their investors) and its actual price, as those who finds its PV lower than current price will keep buying. Other high-risk-high-return low valuation stocks are classified as gambling. One example I can point out for these observations above is an industry with high return but no moat, those who get in early take large return and eventually new entrants appear, leading to intense price competition and thus shrinking margin. Imagine this situation happens with Value Investing. What's your take?
โดย
Peter1011
พุธ ก.ย. 07, 2022 7:08 pm
0
2
Re: แด่หนุ่มสาวผู้ร้าวราน
Due to lack of Thai keyboard, I’m sorry to post in English. I made a similar observation in a reddit topic here https://www.reddit.com/r/ValueInvesting/comments/wc16z5/will_value_investing_ever_work_in_the_future/ Thinking about stocks as limited resources while there are flux of new investors every year (especially in 2020-21) coming to find good stocks (and hold on for dear life) like me, and of course many of them are much advanced than myself such as using an advance algorithm, having much higher IQ/EQ, have exclusive access to several research papers, can perform scuttlebutt research perfectly etc. Eventually, there are those who get in first at lower valuation and start to fill up to a much higher valuation of such a stock, which may lead to a perfectly priced issue... There's also main players in the market which are institutions and they are armed with best of the best researchers/analysts with the most advanced algorithm (I imagine a computer listen over the Fed's chair Powell speak and using its AI algorithm based on trillions of data points to predict the interest rate sentiment or an algorithm that gets the financial result... One example I can point out for these observations above is an industry with high return but no moat, those who get in early take large return and eventually new entrants appear, leading to intense price competition and thus shrinking margin. Imagine this situation happens with Value Investing. The most painful fact for me is if there are more and more investment communities where people share stocks list, more and more good stocks will eventually priced in and room of return is thus getting smaller.
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 6:11 pm
0
3
Re: ถ้าจะซ์้อหุ้นโรงไฟฟ้าต้องรู้อะไรบ้าง
มีประโยชน์มากครับ กลุ่มราดๆอะไรซักอย่างนี่ผมไม่ซื้อแน่ 5555 เช่นเดียวกันกลับกลุ่มอ่าวๆนั่นแหละครับ และอย่าลืมว่ามันมีบางตัวที่เริ่มไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่รฟฟ.ด้วย พวกนี้ต้องระวังให้ดี พวกชอบ diworsify ใน MD&A ก็จะมีพวกศัพท์ต่างๆเช่น AP EP COD PPA ... ใครสนใจอย่าลืมทำความเข้าใจด้วย บางที่ในตปท. สัญญาขายไฟฟ้าอาจเป็นตลาดเสรีแบบให้ไป bid กันแล้วคนที่ bid ตำ่สุดก็ได้ contract นั้นไป และยังมีหุ้นบางตัวนั้นก็มีหน้าที่ในการจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย (ซื้อมา + ขายไป + ผลิตเอง คล้ายๆกฟผ.)
โดย
Peter1011
เสาร์ ส.ค. 20, 2022 6:42 pm
1
2
Re: "ลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ เน้นมูลค่า แล้วขาดทุน" -
Im sorry to post in English due to lack of a Thai keyboard. ตัดสินใจซื้อหุ้นอะไร: RATCH ซื้อเมื่อไหร่ และ ราคาเท่าไหร่: mid-2019 to mid-2020 around 70-80 baht เหตุผลที่ซื้อ: Think it is a defensive stock with sustainable in profitability and moderate-ish dividend rate of 5%. Utility - electricity business is a trend for future (especially for EV usage). And a fuelled disappointment from bank stocks price performance (due to several reduction in interest rate and NPL scare). Pick RATCH as it has low P/B P/E and highest %Yield among GULF GPSC EGCO RATCH BGRIM blah blah blah. The stock has a reasonable dividend rate and growth in the past. สาเหตุที่ขาดทุน: Follow the hype and pay the f**k**g hype premium for the stock that I never even check for PPA expiration, new investments, and governance risk. Cut loss due to unsustainable cash flows and poor investment management, as RATCH starts to invest outside its area of expertise (diworsification). This was happened in early-2021. Sold at 47-52 while survived the “capital increase” crash later that year, considered myself lucky on that case! บทเรียนที่ได้: Must truly understand the business and its risks before buying any stock including its margin of safety Do not use shortcut in valuation Do not try to trick urself that you understand the business (i.e. thinking that you know everything about it while the amount of homework done is kept to minimal) Past, for heaven’s sake, is not a f**king future!!! Dividend can be a trap Defensive business can sometimes be a defective business if governance isn’t good (like EASTW - not just the authority but the executives too) Lastly, DON’T BUY INTO THE F*****G HYPE. This has truly helped me survived many crazes: leasing, electronics, crypto mining, and most importantly American tech stocks Enough complaining for today
โดย
Peter1011
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2022 9:07 pm
0
5
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
กราบขออภัย หากเข้าใจปัญหาของคุณ Peter1011 ผิด และ ขอโทษด้วยนะครับ หากความเห็นของผมไปกระทบกระทั่งอะไรกับคุณ Peter1011 เข้า ... ความเสี่ยงที่เรากำลังรับอยู่จริงๆ มันคือ อาการเสียวๆ ท้อง มวนๆ ท้องเวลาเห็นหุ้นตก เวลารู้สึกคิดวนอยู่ในหัวจนนอนไม่ค่อยหลับ หรือ อาการใจผวาที่รู้ข่าวว่าเพื่อนเราขายหุ้นไปหมดพอร์ต แล้วเห็นหุ้นตก จนอยากจะกดขายตามให้หมดพอร์ต ถ้าผมจำไม่ผิด เหมือนจะมีคำพูดของบัฟเฟตที่บอกว่าถ้าเข้าไปเล่นหุ้นรายตัว ต้องเตรียมใจที่จะทนเห็นหุ้นตัวเองตกไป 50% ให้ได้ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเรารับความเสี่ยงจริงๆ ได้เท่าไหร่ จนกว่า Asset Allocation ที่เราเชื่อว่าเรารับได้ ได้รับการทดสอบจริง Stress Test ด้วยของจริงที่เกิดขึ้นในตลาด ซึ่งในการทดสอบจริงกับตลาดครั้งนี้ คุณ Peter1011 อาจจะไม่มีปัญหา แต่ผมมีปัญหาครับ ด้วยความคิดในมุมแคบๆ ของผมที่เป็น Tunnel Vision และเหมารวมมี Bias ก็เลยคิดว่าคุณ Peter1011 ก็อาจจะมีปัญหาเหมือนกับผม เลยเป็นที่มาของการโพสต์อะไรที่เผลอไปล่วงเกินคุณ Peter1011 ซึ่งก็ต้องกราบขอโทษคุณ Peter1011 อีกหลายๆ ครั้งที่จุดนี้ ซึ่งก็หวังว่าคุณ Peter1011 จะให้อภัยผมกับความเข้าใจผิดของผมในครั้งนี้นะครับ ความเสี่ยงที่ผมคิดว่าตัวเองรับได้ พอผมเจอการทดสอบครั้งนี้ มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น... ความรู้สึกบีบคั้นที่เกิดขึ้นข้างในมันหนักกว่าที่คิดครับ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผมซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น Valuation ยากขึ้นเข้ามาในพอร์ต ผลกระทบจาก Social Media ที่ทำให้ระดับความผันผวนและความเสี่ยงของหุ้นมีมากขึ้น ในขณะที่ Life Style ในช่วงที่ผ่านมาของผมเอง ที่ใช้ App และ Smartphone ทำให้ระดับความอดทนมีต่ำลง ประกอบกับปริมาณข้อมูลจากสื่อ Social ที่มีมากขึ้น ทำให้ผมรู้สึกว่าความหนัก ความบีบคั้น ในการทนกับความเสี่ยงในครั้งนี้แตกต่างจากในช่วง Subprime ผมรู้สึกว่าครั้งนี้บีบคั้นและหนักกว่ามาก ทั้งๆ ที่ความเสี่ยงในทางสถิติแล้ว ในช่วง Subprime ผม Take ความเสี่ยงหนักกว่าครั้งนี้หลายเท่าตัว มันทำให้ผมตระหนักเลยว่า ความเสี่ยงที่รับจริง ความเสี่ยงที่คิดว่าตัวเองรับได้ กับความเสี่ยงที่รับได้จริงๆ มันเป็นคนละเรื่องกันเลย มันเลยทำให้ผมต้องกลับมาศึกษา และทบทวนหลักการอีกครั้ง เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่า การลงทุนระยะยาวคืออะไร สัดส่วนในการลงทุนที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ ความเสี่ยงคืออะไร การบริหารความเสี่ยงควรทำอย่างไร เราควร Take มุมมอง และจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเองอย่างไร เราจะตัดอิทธิพลของตลาดในระยะสั้นอย่างไร การรับข้อมูลที่เหมาะสมคืออะไร และเท่าไร ฯลฯ ... ที่จริงผมอยากกลับมาตอบตรงนี้ตั้งแต่โพสท์ข้างบน แต่ยังร่างหาคำพูดไม่ได้ซักที บางทีก็อยากละเลงเป็นภาษาอังกฤษเพราะมันพิมพ์ง่ายกว่าแต่กลัวคนหมั่นไส้ ก็เลยรอไปก่อน จากที่คุณ picatos ได้อธิบายเอาไว้ ผมคิดผิดเรื่องความเสี่ยงที่ผมรับได้ แต่เรื่องนี้มันดันไม่ได้มาจากหุ้นตก ซึ่งหุ้นตกหนักๆเคยเจอมาแล้วบ้างและยังพอรับมือได้บ้าง (ที่จริงก็ต้องทำใจเหมือนกับ เวลามันไปตำ่กว่าคาดอีก ซื้อที่ p/b 0.5 แล้วมันลงไป p/b 0.2) ผมไม่ได้ ไม่เคยเจอและไม่เคยมองเรื่อง workload มาก่อน เพราะคิดว่าทำได้ตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่าพอเริ่มลง detail ในหุ้นมากขึ้น ผมต้องยอมรับว่าหุ้นบ.ในต่างประเทศนั้นที่ผมไปลงทุนมันมี detail มากกว่าหุ้นไทยในพอร์ทผม เพราะเป็น multi-national เกือบทุกที่ มี product มากมาย trading update นี่ยาวเป็นว่าเล่นพอๆกับปตท. (เช่น 548 และ GSK) และมีบางที่ๆใส่ metric แปลกๆ เช่น AER CER like-for-like growth book/bill ratio etc... ทำให้ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มและแผนที่ทำทุกอย่างก็ delay ไปหมด แล้วผลร้ายที่ตามมาก็เป็นเรื่อง fatigue สร้างปัญหาต่อร่างกายและจิตใจ อย่าไปทำความเข้าใจทั้งหมด เดี๋ยวหัวก็ระเบิดพอดี สิ่งที่ผมต้อง unlearn ก็คืออดทนสู้ความลำบากทุกอย่างแบบที่บ้านคนจีนส่วนใหญ่มักจะปลูกฝังให้ลูกหลาน และ relearn ก็คือบางสนามรบถ้าเราคิดว่าได้ไม่คุ้มเสียก็ยอมแพ้เก็บแรงไปสู้ที่ๆมีโอกาสดีกว่านี้ครับ และแล้วผมก็ต้องกลับมาทบทวนแผนการลงทุนใหม่ทั้งหมด ด้วยการลด ละ หุ้นที่ไม่สำคัญออก เป็นการตอกย้ำการจัดการความเสี่ยงอีกครับ ผมอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญจากที่คุณ picatos ได้ share เอาไว้ตอนนั้น แต่ผมเชื่อว่านี่เป็น timeless article และซักวันก็จะมีประโยชน์ต่อคนหลายๆ คนรวมถึงตนเองด้วย
โดย
Peter1011
อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 2:27 pm
0
5
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ห้องนี้เงียบขึ้นเยอะ เป็นยังไงบ้างครับ ตลาดก็ผันผวนน่าดู แต่มันก็ไม่ได้กระทบผมมาก สำหรับคนที่จะรอซื้ออย่างเดียว เดือนก่อนผมถือว่าโชคดีที่ได้คุยและฟังท่านอื่นใน discord ทั้งคุณหลิน คุณมานะ คุณเมฆ เกี่ยวกับหุ้นเปลี่ยนโลก ซึ่งก็เข้าใจปนงงๆ บ้างตามประสาคนมือใหม่ ขอบคุณคุณมานะที่ชวนไปห้องนี้ ได้ความรู้ใหม่ๆครับ ========================================================= กลับมาที่หุ้นต่างประเทศ ผมได้มีโอกาสไปประชุมผถห.ของบริษัทหนึ่ง บรรยากาศการประชุมก็คล้ายๆกับในเมืองไทยแต่มีเลี้ยง cocktail ด้วยครับและไม่มีใครใส่หน้ากากเลย โชคดีมากครับที่มีคนแปลเป็นอังกฤษให้ไม่งั้นก็เสียเที่ยว (ผมแอบขำผถห.ท่านหนึ่งที่ดูไม่พอใจกับ share buyback แล้วแอบงอน) นี่เป็นประสบการณ์ที่หาค่อนข้างยาก เพราะว่าต้องส่ง request ไปที่ IBKR เพื่อขอ safekeeping certificate (ต้องไปขุดหา record date อีก ไม่ใช่จะหาง่ายๆนะครับ) แล้วเอาต้องส่งไปให้ registrar อีกให้วุ่นวายไปหมด แต่ก็คุ้มกับประสบการณ์ครับ
โดย
Peter1011
ศุกร์ มิ.ย. 10, 2022 5:09 pm
0
6
Re: ปลดล็อคผลตอบแทนให้สูงขึ้นด้วยการก้าวข้ามกับดักบนเส้นทาง VI
กับดักความคิดที่ 1: "อย่าโลภ อย่าคาดหวังสูง การลงทุนแบบ VI คาดหวังผลตอบแทนอย่างมากแค่ 15-20% ต่อปีก็เก่งแล้ว ขนาดคนเก่งๆระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังทำได้แค่ 19.7% จากปี 1965 ถึงปี 2012 เท่านั้นเอง" ความจริงคือ: สมัยก่อนผมก็มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นนี้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ในระหว่างประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า เขารู้จักเป็นการส่วนตัวกับคน 6 คนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ 50% ต่อปี ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก และถ้าย้อนไปในปี 1999 เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขารับประกันว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 50% ต่อปีแน่นอนหากเขามีเงินทุนเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ตามคำพูดนี้ “If I was running $1 million today, or $10 million for that matter, I’d be fully invested. Anyone who says that size does not hurt investment performance is selling. The highest rates of return I’ve ever achieved were in the 1950s. I killed the Dow. You ought to see the numbers. But I was investing peanuts then. It’s a huge structural advantage not to have a lot of money. I think I could make you 50% a year on $1 million. No, I know I could. I guarantee that.” แน่นอนเพราะในสมัยที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมีพอร์ตไม่ใหญ่นัก ประมาณ 1 ล้านเหรียญ ในตอนที่ยังไม่ได้ตั้งบริษัทขึ้นมา ประมาณทศวรรษที่ 1950 เขาทำผลงานได้สูงถึง 60% ต่อปี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนความคิด อย่าคิดหรือทำอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในปัจจุบันนี้ แต่จงคิดเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงก่อนปี 2000 หรือถ้ามามองในไทย หลายปีก่อนเคยได้ยิน พี่โจ อนุรักษ์ บุญแสวง ให้สัมภาษณ์ว่าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อเนื่องกันนานเกือบสิบปี แสดงว่าการคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแนว VI ให้ได้มากกว่า 50% ต่อปีในขณะที่พอร์ตของเรายังไม่ใหญ่ขนาดหลายร้อยล้าน หลายพันล้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ และเป็นไปได้ อ้างอิง http://basehitinvesting.com/how-buffett-made-50-per-year/ http://www.thebuffett.com/performance.html#.WH2gQ1N96Uk http://www.businessinsider.com/warren-buffett-berkshire-hat… แล้วถ้าผิดหวังละครับ คาดหวังผลตอบแทนซัก 20-40% แต่ทำได้ -30% มันได้ทั้ง ความอับอาย ความเครียด และ ความเศร้า คุณทนได้มั้ย พูดแค่นี้มันสั้นเกินไป การที่คุณจะคาดหวังผลตอบแทนแบบนี้ คุณต้องพิจารณาว่าคุณมีสิ่งต่อไปนี้ด้วยหรือไม่ (cr. พี่หลิน) 1. มีข้อมูล ถูกต้องกว่า เร็วกว่า ครบถ้วนกว่า (ขยัน) 2. มีการวิเคราะห์ ดีกว่า ไกลกว่า ลึกซึ้งกว่า (ชาญฉลาด) 3. มีการตัดสินใจ ที่ไม่มีอคติ เป็นอิสระ และอดทนกว่า (สติ) 4. ยอมรับความพลาดและหาทางแก้ไข ข้อสองและสาม ผมก็เห็นด้วยครับ
โดย
Peter1011
ศุกร์ เม.ย. 22, 2022 2:18 pm
0
4
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ปีนี้เป็นปีที่โหดแท้สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะหุ้นสายเทคเลยครับ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น ยุโรป ทุกทวีปอาการเดียวกันหมด ผมรู้สึกว่าเรียนรู้อะไรเยอะมาก ๆ รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ถ้ามองกลับไปที่ตัวเองตอนต้นปี และตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าจะฉลาดพอที่จะแข่งขันได้ ก็เดินทาง เรียนรู้ กันต่อไปครับ แต่ถึงยังไงโลก digital ก็เดินหน้าแบบไม่หวนกลับ เราก็เลือกได้ว่าจะตามมันไปด้วยการ unlearn และ relearn ใหม่ หรือ ลองหาของเก่าที่ classic ไม่ถูก disrupt ที่ยังใช้ตำราเดิมๆได้ 100% การลงทุนต่างประเทศยังไงก็คือทางสายเอกทางเดียว ที่ทำให้เรามองเห็นว่า เราอยากเลือกทางไหนที่เหมาะกับเราที่สุด ทั้งเวลาที่ใช้ ทั้งผลตอบแทนที่ได้ รวมไปถึงความสุขที่เราจะมีในระหว่างทาง ผมก็ยังยืนยันแบบนี้ เรียนถามประสบการณ์ของพี่หลินครับ (รบกวนดู post ข้างบนด้วยครับ เผื่อมี comment) ผมสงสัยเรื่องของการแข่งขันระหว่างนักลงทุนมาค่อนข้างนานแล้ว เราแข่งขันเรื่องอะไรบ้างที่นอกจากผลตอบแทน (กับตลาดโดยรวม) และ ความเร็วในการรับข่าวสาร ส่วนการแข่งขันในกลุ่มนักลงทุนหุ้นเปลี่ยนโลกและกลุ่มที่ไม่ใช่มันต่างกันยังไงครับ สัดส่วนระหว่างข้อมูลพื้นฐาน (10-K/56-1/URD & financial statements) และข่าวที่มาจากบริษัทเอง และ ข้อมูลเพิ่มเติม (ทั้งแบบ scuttlebutt ที่ทำเองและจากที่อื่นเช่น seekingalpha/wsj/twitter/youtube/analyst coverage/discord) ควรจะมีประมาณ (qualitatively) ไหนสำหรับ หุ้นเปลี่ยนโลกและกลุ่มที่ไม่ใช่หุ้นเปลี่ยนโลก
โดย
Peter1011
เสาร์ เม.ย. 09, 2022 8:46 pm
0
3
Re: ว่าด้วยเรื่องผลตอบแทนทบต้น
ประเด็นคือ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า สาวคนใหม่ จะดีกว่าสาวคนเก่า และไม่ใช่สาวประเภทที่สองด้วยนะครับ 5555555 หุ้นประเภทนี้คือพวก fraud เช่น GL IFEC POLAR CHBT ...
โดย
Peter1011
เสาร์ เม.ย. 09, 2022 5:55 pm
0
1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ขอบคุณอ.ตี่อีกทีครับ ที่ได้มาเล่าอธิบายเรื่องความเสี่ยง และเตือนถึง bias (ขออภัยอย่างสูง หากผมได้เขียนกระทบผู้อื่นในโพสท์นี้) หลายคนอาจจะคิดว่าผม (ซึ่งเป็นสมาชิกหน้าใหม่) บ้า ที่กล้าเสนอความคิดที่อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็เลยอยากมาถามในนี้ เพราะมีหลายๆท่าน (รวมถึงอ.ตี่) ที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ดีกว่าผมหลายเท่า เรื่องของ Circle of Competence นั้นผมเห็นด้วยกับอ.ตี่ครับ ผมไม่ไช่ American ผมเลยไม่คุ้นกับความเป็นอเมริกันและตลาดทุนของอเมริกา แม้ว่ามีความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่ต่ำที่สุด เลยมี familiarity bias กับที่ๆคุ้นกว่าก็คือ SET ตอนเริ่มไปดูหุ้นต่างประเทศแทนที่จะเริ่มที่อเมริกาก่อน ผมดันไปเริ่มในที่ๆมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นไทยและอเมริกาเสียอีกเพราะแค่ relative valuation มันถูกกว่า มันน่าจะเป็นเหตุผลที่แย่ (แม้ว่าผลกระทบมันยังไม่ค่อยจะมีผลมากเท่าไหร่ต่อผมเอง) ถ้าเหตุผลที่ผมไปลงทุนใน S&P 500 ETF คือผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ผมก็ต้องหาต่อไปว่ามันจะยาวไปอีกแค่ไหน มันไม่น่าจะมีคำตอบ มีแค่ debatable topics เท่านั้นเอง ถ้าเหตุผลที่ผมไปลงทุนเปลี่ยนไปเป็น เช่น innovation ใหม่ของหุ้นเปลี่ยนโลก ผมก็ต้องหา supporting reason ในอีกประเด็นที่ต่างกันครับ ผมว่ามันต้องมีประเด็นอะไรซักอย่างที่ผมเข้าใจผิด และผมต้องรีบแก้ก่อนที่จะเป็น black swan ที่คุณหลินเคยพูดถึง
โดย
Peter1011
จันทร์ มี.ค. 14, 2022 1:55 pm
2
6
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
เพราะ ผมเชื่อว่าปัญหาของคุณ Peter 1011 น่าจะอยู่ที่การเข้าใจระดับการรับความเสี่ยงของตัวเองมากกว่า ตลาด หรือ ธุรกิจ ต้องนับถือความรู้ของอ.ตี่ ขอบคุณที่มาตอบให้ทุกโพสท์ครับ เรื่อง asset allocation ผมไม่มีปัญหามาต้องแต่ลงทุนครั้งแรกแล้วครับ ระดับการรับความเสี่ยงของตัวเองผมก็ไม่มีปัญหา หากผมไม่ไปใน uncharted territories หรือพูดง่ายๆว่านอก circle of competence saupload_Chris2_thumb1.jpg WRCurrency.gif ผมสงสัยอย่างหนึ่งตามภาพข้างบนว่า ในอดีตนั้นก็มีมหาอำนาจในช่วงต่างๆ ซึ่งก็ล่มสล่ายหรือลดขนาดเล็กลงเช่น Ottoman Empire และ British Empire สังเกตได้จากการเปลี่ยนไปของ reserve currency ในช่วงนั้นๆ ณ ตอนนี้ US เป็นมหาอำนาจหลักล่วงมาเกือบ 100 ปีแล้ว ผมจะไม่ทำนายหรือ suggest ว่าความเป็นมหาอำนาจและความเป็น land of freedom, free speech, and opportunity ของอเมริกานั้นจะลดทอนลงในอนาคต ผมอยากจะเปิดประเด็นสนทนาในเรื่องของ threat ที่จะมีโอกาสบั่นทอนความเป็น freedom และ opportunity ของอเมริกาและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ earning sustainability ของ Corporate America ที่ผมสังเกตเห็น (เอาคร่าวๆนะครับ ถ้าลงลึกกว่านี้มันจะไม่ใช่การลงทุนแล้ว) สิ่งแรกคือ freedom of speech ที่ถูก abuse ทั้งการพูดด่ากัน การยุยงให้เกลียดกัน การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน หรือ propaganda ที่แฝงมาบน social media platform ต่างๆ อาจทำให้เกิดความเครียดและ productive น้อยลง pricechanges.png Screenshot 2022-03-12 at 21.04.16.png สิ่งที่สองคือ inflation ใน Corporate America โดยเฉพาะ healthcare และ education ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำยิ่งขึ้น ที่มีผลจากการ wage increase rate ที่น้อยกว่ากลุ่มนี้ นักเรียนหลายคนในอเมริกาต้องติดหนี้เพราะต้องการเรียนให้จบเพื่อที่จะหางานได้ (ในยุค 50 นี่เป็นคนละเรื่องกันเลย) ผมสงสัยว่าเรื่องแบบนี้มันส่งผลต่ออัตราอาชญากรรมหรือไม่ และส่งผลต่อ productivity และ innovation หรือไม่ สิ่งที่สามคือบทบาท "ตำรวจโลก" ของอเมริกา โดยมีการทุ่มทุนกับการทำสงคร... (ไม่เขียนต่อครับ เดี๋ยวกระทู้ปลิว) สิ่งที่สี่คือ earning ของ Corporate America นั้น sustainable แค่ไหน โดยปัจจัยของ growth foundation นั้นถูก define ด้วยอะไร เช่นตอบโจทย์ environmental friendly และ shareholder's value ไปพร้อมๆกันได้หรือไม่ (ตาม impact investing model ของ Cohen) ผมเคยเห็นโรงแรมในอเมริกาบางที่ ที่ไป charge ลูกค้าเพิ่มเช่น compulsory resort fee http://killresortfees.com/thestory ใครมีประเด็นอะไรก็มาคุยกันได้ครับ
โดย
Peter1011
เสาร์ มี.ค. 12, 2022 9:33 pm
0
6
Re: กองทุนหุ้นETF ที่ลงทุนตลาดหุ้นประเทศจีน
Here are some tickers, please do your own research to know what you are about to own... 2801.HK 2823.HK 2846.HK
โดย
Peter1011
ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 7:21 pm
0
0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ตามที่หลายๆท่านในนี้ได้พูดถึงความยากที่จะชนะตลาดหุ้นโดยรวมโดยเฉพาะที่ US ในขณะเดียวกันตลาด US นั้นโดยรวมทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในระดับที่น่าพอใจในระยะยาวมากตั้งแต่ยุค 50 ผมเองก็พยายามที่จะเข้าไปซื้อ ETF หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ซื้อซักที Prof. Damodaran เคยพูดในทำนองว่าตลาด US นั้นเป็น survivorship bias ด้วยเหตุผลที่เอาชนะตลาดอื่นๆอีกหลายๆที่ (อ.เค้าไม่ได้เจาะจงว่าเป็นที่ไหน) ซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินมูลค่า... (จำไม่ได้ครับว่าอยู่ในบทไหน) ทำให้ผมสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ที่นี่มีลักษณะที่เป็นผู้ชนะในระยะยาว ปัจจัยสนับสนุน corporate earning เท่าที่พอรู้คือ 1. มีการแข่งขันสูงในทุก sector ทำให้หลายบ. มี R&D department คอยที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ 2. มีการเปิดเสรีทางการค้าในเกือบทุก sector 3. ประชาชนมีการใช้จ่ายสูง มี animal spirit อยากซื้ออะไรก็จ่ายแม้ว่าจะมีหนี้ตามมา (ใครช่วย confirm อีกทีครับ) 4. เป็นแหล่งรวม/หาโอกาสของคนเก่งๆ จากทั่วโลกเช่น Ivy League 5. indefinite optimistic attitude (Zero to One, p76-77) ปัจจัยสนับสนุน index growth เท่าที่พอรู้คือ 1. US-centric books/investment articles ที่ได้รับความสนใจจากนลท. ต่างประเทศที่มากขึ้น 2. US dollar เป็นสกุลเงินที่ได้รับความน่าเชื่อถือมายาวนาน 3. Dividend Tax ที่แพงและส่งผลให้หลายที่เริ่มใช้ share buyback/reinvest ทำให้มี earning growth และราคาอาจปรับขึ้น ความรู้ผมยังน้อยนิด ผมต้องการที่จะเปิดประเด็นในเรื่องพื้นฐานของ US เพื่อที่จะพูดคุยและปรับความเข้าใจก่อนที่ผมจะเข้าไปลงทุนใน ETF ต่างๆไม่ว่าจะเป็น S&P 500/Russell 3000/Dow 30 แม้ว่ามันเป็น ETF แต่เวลามันลงหนักๆจะได้หาที่เกาะให้แน่นโดยใช้เหตุผลพวกนี้ครับ
โดย
Peter1011
อาทิตย์ มี.ค. 06, 2022 5:20 pm
0
6
Re: ชวนคุย เรื่อง การลงทุนหุ้น ต่างประเทศ กับ หุ้นไทย อันไหน คุ้มค่ากว่ากัน ?
บริษัทแบบไหนที่ได้รับผลกระทบหรือบริษัทแบบไหนที่ไม่ได้รับผลกระทบ บริษัทที่มี moat มักจะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น บริษัท high growth ที่ยังไม่มีกำไร แต่มี moat ก็จะไม่ได้รับผลกระทบครับ Why moats matter? เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ Business moats ที่ดีที่สุดใช้ไหมครับ หรือมีเล่มอื่นๆ แนะนำอีกครับ
โดย
Peter1011
อาทิตย์ ก.พ. 06, 2022 4:26 pm
0
0
Re: **เปิดรับ 20 ที่นั่ง CV@ITEL วิสิท 10 ก.พ.65**
จอง 1 ที่นั่ง
โดย
Peter1011
พุธ ก.พ. 02, 2022 11:57 am
0
0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ถ้าจำไม่ผิด ผมได้ยินคนที่บอร์ดนี้พูดว่าเคยซื้อ google ที่ P/E ประมาณ 10 ผมอยากรู้ว่าตอนนั้นบ.โดนอะไรมารึเปล่าครับ
โดย
Peter1011
อังคาร ม.ค. 25, 2022 10:13 pm
0
1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ผมเคยเจอพี่มี่ใน oppday ตอนนั้นทุกคนรุมถามพี่มี่เรื่อง EV หุ้นจีน หุ้น growth มีผมคนเดียวที่ถามไปว่า "ช่วงนี้การลงทุนมันยากกว่าช่วงที่พี่เพิ่งเข้ามาเปล่าครับ" ถ้าผมจำได้พี่เค้าตอบประมาณว่า "มันก็เหมือนๆกันหมดละครับ" ตอนแรกผมก็งงๆ แต่พอเอาเรื่องราวจากทั้งหนังสือของ Dalio Fisher Graham Lynch Malkiel Theil รวมถึง internet articles ต่างๆมาต่อเป็นภาพ ก็เลยเห็นด้วยกับพี่เค้า ผมขอสรุปมาคร่าวๆนะครับ บางทีอาจจะมีบางอย่างขาดหายไปก็ขออภัยด้วยครับ ในช่วง 1920-1929: ไม่มี Buffett ไม่มี Fisher ไม่มี Graham ไม่มี Lynch และที่สำคัญไม่มี SEC! คุณแทบจะไม่รู้ว่าหุ้นบ.ไหนดีหรือไม่ดี คุณหวังพึ่ง data ที่มาจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ และ ticker ของ broker (ที่คุณวิ่งไปดูตอนพักเที่ยง) และคุณจะรู้ได้ยังไงว่า data พวกนี้มัน bias แค่ไหน หลังเลิกงานคุณต้องไปอ่านหนังสือหาความรู้ที่ public library จนดึกดื่น ส่วนคนที่ไม่ออกแรงหาอะไรเลย มัวแต่ไปฟังที่เค้าพูดต่อๆกันมาแล้วก็ไปซื้อตามๆกัน สุดท้ายก็...... ถ้าคุณโชดดีหน่อย เป็นพนักงานของ GE หรือ US Steel คุณอาจจะได้รับรู้ถึงกิจการพวกนี้ดีกว่าคนอื่น ในช่วง 1930-1939: ความยากก็ยังคล้ายๆกับช่วง 1920-1929 บวกกับคนส่วนใหญ่เข็ดกับตลาดหุ้นและไม่มีเงินจากแบงค์ล้ม SEC เพิ่งเริ่มตั้ง financial statements ยังไม่มี standard format ถ้าคุณเป็นคนโปแลนด์ คุณจะยิ่งซวยเข้าไปใหญ่ โดนนาซีบุกทำให้ตลาดหุ้นถูกปิดในปี 1939 พอหลังปี 1945 หุ้นของคุณก็จะโดน nationalised เพราะโดนโซเวียตปกครองจนกว่าปี 1991 ในช่วง 1940-1949: ความยากก็ยังคล้ายๆกับช่วง 1930-1939 บวกกับคนส่วนใหญ่กังวลเรื่องสงคราม น้อยคนนักที่จะรู้จักหนังสือของ Graham ในช่วง 1950-1969: ในยุค 50 คนส่วนใหญ่ยังกังวลเรื่อง second depression คล้ายๆกับช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คุณเริ่มรู้จักหนังสือของ Graham และ Fisher แต่วิธียังไม่แพร่หลาย คุณยังต้องหาข้อมูลต่างๆเองตาม annual report ที่คุณต้องโทรไปหรือส่งจดหมายไปขอ และรอ... หรือถ้าคุณมีเงินมากขึ้นมาหน่อยคุณก็ไปซื้อ analyst report หรือจ้าง investment consultant ก็ได้ การคำนวณต่างๆนั้นต้องใช้เครื่องคิดเลขอันใหญ่ที่ขายในราคา... ยากที่จะเอื้อม ตอนนี้ยังไม่มี Value Line Investment Survey ส่วน broker บางที่เริ่มใช้ quotron แล้วเวลาโทรไปขอหรือถามราคาคุณก็จะรู้ทันทีแทนที่จะรอ ticker tape ทีวีเริ่มเป็นที่แพร่หลาย (ยกเว้นแอฟริกาใต้ที่มีทีวีหลังปี 1976) มีข่าวสารที่เข้าถึงได้เยอะขึ้น แต่คุณยังต้องหาข้อมูลต่างๆเองเช่นหนังสือวิธีการลงทุนจาก public library ที่มีซึ่งอาจจะอยู่ไกลจากบ้านคุณ ในช่วง 1970-1989: เริ่มมีการใช้ computer รวมถึง terminal ที่มาในปี 1982 charts เริ่มแพร่หลาย (ที่ผมเคยเห็นก็เป็น price-eps-dividend chart) มีการ process ข้อมูลที่เร็วมากขึ้น มีการใช้ automatic trading และมีคนเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่คุณยังต้องหาข้อมูลต่างๆเองเช่นวิธีการลงทุน annual report ที่คุณต้องโทรไปหรือส่งจดหมายไปขอหรือไปขอสำเนาจาก broker investment club (ที่เริ่มเป็นที่นิยม) และ public library เพราะยังไม่มี internet ในช่วง 1990-2009: เป็นยุค transition เข้าสู่ internet มี publicly available data ที่มากขึ้นและสามารถหาอ่านได้ที่บ้านผ่านคอม และมีคนเริ่มเข้ามาสนใจในตลาดมากขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจจาก Buffett Fisher Lynch ดร.นิเวศน์ ฯลฯ จากหนังสือที่ขายดิบขายดี เริ่มมี quant investing เกิดขึ้น (และดับไป) เพื่อหาผลตอบแทนที่จะเอาชนะตลาด multiples (P/E P/B %YIELD) ถูกนำมาใช้เป็น benchmark ในการคัดหุ้น ความยากในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นความรวดเร็วของข้อมูล เช่น internet บ้านยังช้าอยู่ทำให้ได้ข้อมูลหรือ trade ลำบากกว่า institutional players และ online trading ยังไม่แพร่หลาย ในช่วง 2009-now: ช่วงนี้ barrier to entry แทบไม่มีเลยเหมือนช่วงที่ผ่านๆมา เช่นบางโบรคไม่มีขั้นตำ่ในการเปิด account และมีการแข่งขันเรื่องค่าคอมกันทำให้ค่าคอมตำ่กว่าแต่ก่อนมาก รวมถึงดอกเบี้ยที่ตำ่มากทำให้คนเป็นจำนวนมากหันมาลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงขึ้น raw data ต่างๆ ถูก processed อย่างรวดเร็ว คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องไปอ่าน 56-1/10K/universal registration document อีกแล้ว คุณแค่อ่านสรุปที่มีบน page ต่างๆที่มีมากจนนับไม่ถ้วน และเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก และยังมี free content ต่างๆอีกมากมายให้อ่านจนเลือกไม่ถูก ส่งผลให้หุ้นเกือบทุกตัวที่มีพฐ.ดีและมี story ที่ดีถูกจับจองไปจนหมดจน multiples (P/E P/B) สูงขึ้น ตลาดในภาพรวมนั้นก็น่าจะสะท้อนข้อมูลและพฐ.ไปเป็นส่วนใหญ่* และมันคือความยาก ณ ตอนนี้ ที่จะหาของที่ดีจริงๆ ผมเคยนึกถึงที่พี่โจเคยพูดถึงกลุ่ม leasing ประมาณว่า "พวกกลุ่ม leasing มี margin ที่สูงทำกำไรได้ดี ก็จะมีผู้เล่นเข้ามามาก" และยังมีอีกกลุ่มที่(เคย)มี margin สูงคือโรงแรมโดยตอนนี้ผมเห็นโรงแรม(หรู)ที่ถูกก่อสร้างขึ้นเยอะมากเช่น 1. Dusit Central Park 2. Chao Phraya Estate (Four Seasons & Capella) 3. Sinthorn Village (Kempinski & Kimpton) 4. North Sathorn Road project (ของ Beyond/PDI) 5. One Bangkok (TCC มีอยู่กี่โรงแรมก็ไม่รู้) พอผู้เล่นเข้ามามากก็เกิดการแข่งขันทางราคา (ถ้า demand จำกัด) ส่งผลให้ margin หด แล้วมันจะเป็นกับตลาดหุ้นเปล่า? ผมกำลังหาคำตอบอยู่ครับ แต่น่าจะมาในรูปของ debatable topics ซะมากกว่า *ผมเคยมองข้ามเรื่องของ meme stock short squeeze hodl ซึ่งก็เป็น market inefficiency อย่างหนึ่ง
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2022 9:19 pm
0
13
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
แต่ก่อนผมเคยเชื่อว่าเข้ามาลงทุนในหุ้นแบบระยะยาว ผมจะไม่ต้องไปแข่งกับใคร แต่สืบเนื่องจาก Thaivi.png และ หนังสือ "หุ้นเปลี่ยนชีวิต 1" ผมขายดิบขายดีติดระดับประเทศแบบมหัศจรรย์ ทำให้รู้สึกว่านี่คือสัญญาณของยุคทองที่กำลังจะผ่านไป และแต่ละปีที่ผ่านไปหลังจากนั้น คือตลาด Sideway ที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย ผมมีโอกาสได้บรรยายในงาน VI 101 รุ่นที่ผ่านมา พบว่าแม้แต่นักลงทุนที่เพิ่มเริ่มต้นระดับ 101 ก็สนใจหุ้นต่างประเทศกันมากทีเดียว คำถามในงานก็เกี่ยวกับหุ้นต่างประเทศมาก จนวิทยากรในงานพูดติดตลกว่าคำถามไม่เหมือนระดับ 101 เลย หุ้น Tech ขนาดใหญ่ เป็นหุ้นที่มีนักลงทุน นักวิเคราะห์ เก่งๆ ทั่วโลกติดตาม โอกาสที่นักลงทุนไทยจะหาแอลฟ่าจากหุ้นเหล่านั้น ถือว่ายากมาก เราไม่น่าจะมีอะไรที่ได้เปรียบนักลงทุนเก่งๆ ที่อยู่ในจีน ในอเมริกาเลย โลกในยุคปัจจุบันโลกหลังยุค Smart Phone Revolution สิ่งที่เกิดขึ้นที่หนึ่งในโลก ถูกแปรและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว รู้พร้อมๆ กันทั่วโลกในภาษาท้องถิ่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง... สมัยก่อนผมไม่ค่อยเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ยิ่งตอนแรกๆ ที่ลงทุนแรกๆ ในไทย ในช่วงปี 2003 เพราะ เรารู้สึกว่าเราเข้าใจพื้นฐานคนไทย ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดไทย ในการลงทุนช่วงนั้น ผมคิดว่าการลงแรง เข้าไปแกะ ไปศึกษา จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการลงทุน และถูกเปลี่ยนมาเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติเหนือตลาดได้ เวลาผ่านไป พอได้ไปลงทุนต่างประเทศ แรกๆ ในช่วงปี 2012-2013 เราก็ไปด้วยความคิดเห็นแบบนี้ คิดว่าถ้าเราลงทุนในกิจการที่เราอิน และ เข้าใจจริงๆ เราจะมีข้อได้เปรียบแบบนี้อยู่ ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน ตลาดที่ US เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าตลาดไทยมาก เท่าที่ผมสัมผัสมา ถ้าเป็นหุ้น big cap ที่คนลงทุนกันเยอะๆ ถ้ามันไม่ใช่จุดเปลี่ยนของกิจการ ที่มี uncertainty สูงๆ จริงๆ มันเป็นเรื่องยากพอสมควร ที่คุณจะชนะตลาดได้มากๆ แบบในไทย บางปีคุณอาจจะชนะบ้าง บางปีคุณอาจจะแพ้บ้าง แต่โดยรวมๆ การที่จะชนะได้อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เครื่องมือ เครื่องไม้ แนวคิดที่มืออาชีพต่างประเทศเค้าใช้กันมันสุดๆ จริงๆ ครับ เค้าใส่ Assumption เอาไว้เลยว่างบแต่บรรทัด ตัวเลขไหน เค้าให้ความสำคัญ พองบออก Feed เข้าระบบอัตโนมัติ ระบบทำการโยนซื้อขายอัตโนมัติตอนงบออก ดังนั้น เกมส์ๆ นี้ คำถาม คือ คุณจะเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณแพ้เรื่องความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์งบแน่ๆ ทำให้ผมฉุดคิดได้ว่าตอนนี้มีคนเข้ามาหรือให้ความสนใจกับตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งนลท.ระยะยาวและเก็งกำไร ซึ่งแต่ละคนนั้นก็ทะเยอทะยานในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของพวกเขา รวมถึงช่อง youtube, line, facebook page, etc. ต่างๆที่เกิดมากมายในช่วงห้าปีย้อนหลัง และที่สำคัญที่สุด ผมได้เห็นนลท.ระยะยาวโดยเฉพาะกองทุนที่เข้าไปถือหุ้นพฐ.ดีเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาได้เต็มหรือเกินมูลค่า DCF ไปแล้ว ราคาหุ้นส่วนใหญ่อาจจะไม่เติบโตแม้ว่าผลประกอบการณ์ยังเติบโตได้ดี เหตุการณ์พวกนี้ทำให้ผมตระหนักว่าผมก็ไม่ได้ต่างไปจากพวกเขาเลยและผมคิดผิดโดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่าผมคงไม่มีโอกาส (is unlikely) ในการเอาชนะตลาดได้หรือทำผลตอบแทนดีๆได้ ผมเริ่มถามตัวเองหลายๆครั้งว่า 1. ผมต้องการอะไรจากตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ 2. ผมมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นๆหรือไม่ 3. ถ้าคนส่วนใหญ่เข้ามาในตลาด จะทำให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่เติบโตหรือไม่ 4. ในเมื่อวิธีการลงทุนของคนดังๆหลายๆคนเช่น Buffett, Dalio, Fisher, Lynch, Munger, Theil ได้ถูกเผยแพร่ออกมา มันจะใช้ได้หรือไม่ ถ้าคนส่วนใหญ่นำไปใช้ แล้วความสำเร็จของคนเหล่านี้เป็น survivalship bias หรือไม่ และล่าสุดมันก็กลายเป็น 5. ผมควรย้ายไป index fund หรือไม่ เพราะแรงที่ลงไปกับความเครียดที่ได้มา มันได้ไม่เท่าผลตอบแทน หรือว่าจะรออีกสามถึงสี่ปีเพราะว่าปีแรกมันเร็วเกินไปที่จะสรุป 6. ตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ/index funds จะยังสามารถให้ผลตอบแทนในภาพรวมสู้ทรัพย์สินอื่น (cryptocurrencies, NFT, ที่ดิน, bonds, ...) ได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่พิมพ์มาไม่ได้เกี่ยวกับคำถาม "ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ?" แต่ผมได้ "คำใบ้" จากในกระทู้ ที่หลายๆท่านเขียนไว้ ที่ผมมองว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคำถามข้างบนเช่น กำไรและความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่น คุณรู้ไม่ต้องมาก คุณแค่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ และโชคดีบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วครับ สุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนอื่นเค้า คุณต้องถามตัวเองต่อว่าคุณมี Money Management และ Risk Management อย่างไร ผมเชื่อแบบเดียวกับ Simon Sinek ว่าเกมส์การลงทุนมันเป็น infinite game ซึ่งการจะไปคิดเรื่องแพ้ชนะสุดท้ายแล้ว มันเหนื่อยและจะทำให้ตัวเราเองเมื่อพลาดจะกลายเป็นคนที่ drop out ออกไปจากเกมส์ ในการเล่น infinite game เราจะมองไปยาวๆ มี just cause ของเรา ที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเรียนเกมส์ไปได้ยาวๆ อย่างมีความสุข ภายใต้ขอบเขตของเวลาที่ไม่จำกัด แต่ถ้าเราออกไปต่างประเทศด้วยมุมมองว่าไม่ได้จะไปแข่งขัน ไม่ได้จะไปเอาชนะอะไรกับใคร แค่สนุกกับการได้เรียนรู้ สนุกกับการลงทุน สนุกกว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ อะไรเจ๋งๆ สนุกกับการที่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราช่างเล็กขนาดไหนกัน ทุกๆ วันของการได้เรียนรู้ที่จะหลงอยู่กลางป่า จะเป็นวันที่มีความหมายกับคุณ ผมว่าเราต้องเข้าไปให้ชำนาญถึงจะหาเงินได้ครับ อยู่ที่ไหนก็ได้ และทั้งสามที่ก็มีโอกาสมากมาย และมีความเสี่ยงมากมายครับ และผมอยากทิ้งท้ายว่ากระทู้นี้แค่กระทู้เดียวเป็นกระทู้ที่มีค่ามากสำหรับผมมากกว่าห้องร้อยคนร้อยหุ้นนะครับ 55555
โดย
Peter1011
อาทิตย์ ธ.ค. 05, 2021 10:37 pm
2
12
Re: หุ้นสหรัฐ ความตาย และ Estate Tax
ขอบคุณอ.picatosมากฮะ ขออนุญาตถามเพิ่มเรื่องprivate bankingเพิ่มนะฮะ ที่สิงคโปร์มีข้อดีข้อด้อยต่างจากไทยกับที่อื่นๆแง่มุมไหนบ้างฮะ อ.มีเฉพาะที่นั้นหรือมีในไทยด้วย หรือทุกทวีปฮะ เท่าที่ผมรู้เกี่ยวกับ private banker ในไทยนะครับ พวกนี้เอาแต่โฆษนากองทุนที่ผมตอบแทนย้อนหลังดีให้กับลูกค้า ช่วงนี้กองตปท.จะเยอะมาก และ ให้ความรู้เกี่ยวกับ macro ที่ไม่ค่อยจะได้ประโยชน์เท่าไหร่ ส่วนพอถามเกี่ยวกับ family office และการตั้ง trust ก็จะโบ้ยให้ไปหา partner private banker ที่ตปท. ซึ่งมี requirement ที่สูงกว่ามาก (10M USD blah blah blah...) แว้วพอจะไปคุยกับ private banker ที่สิงคโปร์ ก็ดันมาเกิดไอ้ virus บ้านี่ซะก่อนครับ
โดย
Peter1011
พุธ พ.ย. 10, 2021 1:09 pm
0
0
Re: วีไอพันธ์ุแท้ตายไปหรือยังกับตลาดหุ้นยุคปัจจุบัน
วีไอพันธ์ุแท้ (หรือวิธีการลงทุนอะไรก็ตาม) อาจใช้ไม่ได้แล้วถ้า คนในตลาดทุนส่วนใหญ่ใช้วิธีนั้น
โดย
Peter1011
เสาร์ พ.ย. 06, 2021 10:56 am
0
0
Re: เหรียญคริปโต SQUID GAME ไปไม่รอด !
Screenshot 2021-11-02 at 15.57.29.png คุณ yoyo เจ้าของ page ครับ
โดย
Peter1011
อังคาร พ.ย. 02, 2021 3:58 pm
0
2
Re: มีหุ้น hk มาแนะนำ
Lenovo ไม่รู้ว่าเป็น accounting fraud หรือเปล่า เห็นแบบนี้ก็กลัวครับ ผมยังเชื่อไม่ได้ แต่คงต้องข้ามไปก่อน รายละเอียดที่ต้องตรวจสอบมันค่อนข้างเยอะ https://www.youtube.com/watch?v=CkICLadrTQA
โดย
Peter1011
จันทร์ พ.ย. 01, 2021 4:29 pm
1
0
Re: สอบถามเรื่องแหล่งข้อมูลพันธบัตรรัฐบาลครับ
thaibma
โดย
Peter1011
จันทร์ พ.ย. 01, 2021 4:19 pm
1
0
Re: SBPF อย่างนี้ก็ได้เหรอ
SHREIT ด้วยครับ
โดย
Peter1011
เสาร์ ต.ค. 30, 2021 12:01 pm
0
0
Re: บทความสำหรับมือใหม่ โดย คุณ ฮง สถาพร
ถ้าคุณเลือกหุ้นเป็นแต่คุณไม่มีจังหวะคุณอาจจะไปซื้อหุ้นที่แม้ว่าจะดีในระยะยาวแต่ระยะสั้นราคาหุ้นไม่ไปไหน เหมือนเข้าไปซื้อหุ้นแล้วอาจจะโดนแช่ระยะยาวกว่าหุ้นจะขึ้น อาจจะต้องถือมาแล้วครึ่งปีหรือหนึ่งปี แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าถูกจังหวะเข้าไปซื้อหุ้นไม่นานแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นเลยคุณจะสามารถที่จะหมุนทำรอบของเงินได้มากกว่าผมยกตัวอย่าง ถ้าคุณซื้อหุ้น xyz แล้วเก้าเดือนแรกราคาไม่ไปไหนสามเดือนสุดท้ายราคาค่อยขึ้น 20% กับเพื่อนของคุณไปซื้อหุ้น xx ได้ผลตอบแทนมาแล้ว 20% ได้หกเดือนแล้วเค้าก็ขายเอาเงินมาซื้อหุ้น xyz อีกหกเดือนเค้าก็จะได้ผลตอบแทน 20% ทบต้นสองครั้ง โดยการรอคอยหุ้น xyz คุณต้องรอหนึ่งปีเพื่อได้ 20% แต่เค้ารอหกเดือนเพื่อได้ 20% ถ้าเป็นแบบนี้ในระยะยาวมากกว่า 10 ปีขึ้นไปผลตอบแทนของเพื่อนคุณจะมากกว่าคุณมหาศาลแบบเทียบกันไม่ได้ จริงๆแล้ว timing มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของ sock selection เพราะการที่เราจะจับจังหวะการซื้อขายหุ้นได้ถูกต้องเราต้องเข้าใจหุ้นตัวนั้นดีมากๆแต่เวลาบริหารพอร์ตเราต้องเข้าใจให้ดีหลายหลายตัวและบริหารเงินก้อนเดียวกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การจับจังหวะให้ถูกนั้นมันยากกว่า การฝึก psychology ผมมองว่ามันเป็นการเล่นเก็งกำไรมากกว่าการลงทุน ถ้าพลาดก็แย่
โดย
Peter1011
พฤหัสฯ. ต.ค. 28, 2021 3:23 pm
0
1
89 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
Peter1011
ระดับ:
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.พ. 09, 2021 5:13 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
262 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.20 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว