กองทุนทองคำแต่ละกองต่างกันอย่างไรครับ เอาเท่าที่ทราบนะครับ มี 3 กองในปัจจุบันที่ขนาดกองทุนเริ่มใหญ่ และซื้อขายได้ง่าย 1. I-Gold ของ บลจ. MFC ลงทุนในกองทุนหลักชื่อ SPDR Gold Trust ซึ่งเป็น ETF อิงกับตลาดฮ่องกง มีนโยบาย Dynamic Hedge กับอัตราแลกเปลี่ยน 2. K-Gold ของ บลจ.กสิกรไทย ลงทุนในกองทุนหลักชื่อ SPDR Gold Trust เช่นเดียวกัน แต่อิงกับตลาดสงค์โปร์ มีนโยบาย Dynamic Hedge กับอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกัน 3. TMBGOLD ของ บลจ.ทหารไทย ถือเป็นกองทุนทองคำเจ้าแรกในประเทศไทย ลงทุนในกองทุนหลักชื่อ SPDR Gold Trust อิงกับอเมริกา มีไม่มีนโญบายป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนครับ ถ้าดูในปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า TMBGOLD นั้น Underperform ที่สุด เมื่อเทียบกับ 2 กองทุนที่เหลือ เนื่องจากค่าเงิน US$ ที่อ่อนค่ามาต่อเนื่อง พอมา 2-3 อาทิตย์หลัง ค่าเงิน US$ แข็งค่า ก็กลายเป็นว่า ราคาทองในตลาดลงปรับฐานลงมา ดังนั้นเลือกได้ ก็แนะนำให้เลี่ยง TMBGOLD ครับ ส่วน K-Gold และ I-Gold นั้น ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ I-Gold ดีกว่าเล็กน้อย เพราะแทบไม่ได้ป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนเลย เลยเป็นผลดี เนื่องจากสกุลเงินฝั่งเอเชีย มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับ US$ -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin อังคาร ธ.ค. 22, 2009 11:16 pm

เทคนิคการซื้อ RMF เห็นด้วยครับ ที่ว่า อย่าทำให้จุดประสงค์ของกฏหมายในการจัดตั้งกองทุน RMF เบี่ยงเบนไป ทุนวันนี้ บ้านเมืองเรามีปัญหา ก็เพราะ ไม่ยอมดูกันที่เจตนา แต่กลับเอากฏหมายมาแปลความเข้าข้างตัวเอง ไม่นึกถึงจริยธรรมกัน ดังนั้น ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง แนะนำให้ลงทุนตามเงื่อนไขครับ ช่องโหว่เล็ก้อย อย่าไปสนใจมันมากครับ -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin อังคาร ธ.ค. 22, 2009 11:09 pm

กองทุนรวมทองคำ รายละเอียดเพิ่มเติม ไปดูในลิงค์นี้นะครับ http://www.tmbam.com/th/mutual_funds/other/goldfund/index.html โดย banklin อังคาร ก.ย. 11, 2007 7:57 am

ช่วงนี้น่าจะ FIF เห็นด้วยหรือไม่ครับ ??? ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว การลงทุนในต่างประเทศ เป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนเท่านั้นนะครับ ตามทฤษฏีการเงินสมัยใหม่ ไม่ว่าตำราเล่มไหน ก็ให้การสนับสนุนว่า นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการเลือกลงทุนสินทรัพย์ประเภทต่างๆมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป (Asset Allocation) เพื่อให้โอกาสที่ผลตอบแทนคาดหวังจะคลาดเคลื่อนนั้นน้อยลง และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก้เห็นด้วยกับหลักการคิดดังกล่าว กลับมาตอบคำถามที่ว่า .... แล้วควรกระจายการลงทุนอย่างไรดี?? สิ่งสำคัญที่สุดคือ วัดระดับความเสี่ยงที่ตัวนักลงทุนรับได้ก่อน จะรบ เราก็ควรรู้ว่า เราถนัดอะไร และไม่ถนัดอะไร ถูกไหมครับ ใครรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถลงทุนใน Risky Asset ได้สูงหน่อย ถ้าได้น้อยลงก็ตามสัดส่วนกันไป สำหรับ Finansa นั้น เคยจัดพอร์ตการลงทุนตามช่วงอายุของคนให้กับนักลงทุนดู ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ระดับหนึ่ง (เมื่ออายุคนเราสูงขึ้น เราจะรับความเสี่ยงได้น้อยลง) ลองดูแล้วกันครับ ว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน สำหรับนักลงทุนในห้อง VI ผมแน่ใจว่าเกินครึ่ง ไม่ได้ลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว เหตุผลก็ไม่ต้องอ้างหลักอะไรข้างต้นมาก้พอจะเข้าใจได้ เพราะนักลงทุนทุกคนมีข้อจำกัดเหมือนกันคือ ยังมีความกลัวความเสี่ยงอยู่ เพราะหากไม่กลัว เราคงลงทุนเหมือนเล่นพนัน และหมดตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FIF จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งตอบไม่ได้ว่า ควรลงทุนหรือยัง เพราะตามความเห็นของผมนั้น ไม่ว่าช่วงไหนของการลงทุน FIF จำเป็นต่อการจัดพอร์ตการลงทุนทั้งสิ้น อยู่ที่ว่า จะเลือกลงทุนในอะไร และมากน้อยแค่ไหน ก็เท่านั้น ลองมองอย่างนี้ไหมครับ ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของ Time Line ในช่วงชีวิต ปัญหาระดับมหภาคนั้นเกิดขึ้นตลอด แรงบ้าง เบาบ้าง แต่เราก็ผ่านมาได้ ทั้งดีบ้าง และพอไปได้บ้าง แต่สรุปเราก็ผ่านมาได้ ปัญหาด้านการเมืองเนี่ย ประเทศ Emerging Market เจอกันหมด ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็เคยมาก่อนทั้งนั้น เราน่าจะผ่านไปได้ หากมองในระยะยาว ปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ ทำอย่างไร ตลาดหุ้นไทยถึงจะมีเสถียรภาพมากกว่าที่เป็นอยู่... พอคิดถึงจุดนี้ เราก็บอกกับตัวเองว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าอย่างนั้น FIF ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสบายใจในการลงทุนให้เรามากขึ้น ส่วนจะลงทุนใน FIF ที่มีกลยุทธ์อะไรบ้างนั้น แล้วแต่จริตนิสัยของนักลงทุนแล้วครับ ยังชอบลงทุนในหุ้น ก็เลือกตามภูมิภาค ว่าจะลงทุนในภูมิภาคไหน หรือถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แต่รับความผันผวนระดับกองทุนหุ้นไม่ได้ ก็คงต้องดูเป็น FIF ลงทุนในตราสารหนี้แทน ส่วนเรื่องประเด็นค่าเงินบาทนั้น เราต้องไปดูอีกทีครับว่า กองทุนที่เราไปลงทุนนั้น หลักๆเป็นสกุลอะไร และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินหรือเปล่า -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin พุธ ก.ค. 25, 2007 12:05 am

กองทุน FIF ไหน ลงทุนที่ ญี่ปุ่นบ้าง ไม่ได้แวะมา thaivi ซะนานเลยครับ ^^ สำหรับกองทุน FIF ที่เน้นลงทุนในประเทศณี่ปุ่นทั้งพอร์ต ณ ตอนนี้ในประเทศไทยมีแค่กองเดียวเท่านั้นล่ะครับ Nippon Growth Fund โดย บลจ.แอสแซทพลัส สาเหตุที่ บลจ. ส่วนใหญ่ และมุมมองของผุ้จัดการกองทุนส่วนมาก หลีกเลี่ยงการลงทุนในตลาดณี่ปุ่น หลักๆก็คือ ยังไม่เห็นทิศทางชัดเจนว่า เศรษฐกิจณี่ปุ่นจะฟื้นตัว เพราะอัตราเงินเฟ้อยังติดลบ อีกทั้งดอกเบี้ยก็ยังต่ำติดดิน ทำให้เกิดการทำ Carry Trade (กู้เงินในณี่ปุ่น แล้วไปลงทุนในประเทศอื่นที่อัตราผลตอบแทนสูงกว่า) แต่ก็มีบางกองทุนเหมือนกันนะครับ ที่ลงทุนในตลาดณี่ปุ่นบางส่วน เพราะยังเห็นโอกาสฟื้นตัวของเศรฐกิจบ้าง เข้าทำนองว่า ในวิกฤต มีโอกาสสำหรับผู้ที่เห็นเสมอ ที่ทำผลการดำเนินงานได้เด่นๆ ก็มี Primavest Oriented Fund หรือ POF โดย บลจ.พรีมาเวสท์นั้นเอง ส่วนกองทุนอื่นที่ลงทุนในทวีปเอเชีย ส่วนใหญ่ จะไม่ลงทุนณี่ปุ่นเพราะรูปแบบ และวงจรเศรษฐกิจไม่เหมือนกันครับ -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:48 pm

พักเงินที่ไหนดีครับ มีแหล่งที่มามั๊ยครับ แล้วเสี่ยงน้อยกว่ากองทุนตราสารเงินกองอื่นๆอย่าง RKTF AYFCASH KPM UOBSD อย่างไรครับ :roll: http://www.tmbam.com/th/mutual_funds/cash_management/treasury_money/index.html โดย banklin พุธ พ.ย. 22, 2006 12:26 pm

พักเงินที่ไหนดีครับ ลองเอามาไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงินสิครับ - ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ - ซื้อ/ขายได้ทุกวันทำการ - ความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากลงทุนในตรสารหนี้ระยะสั้น แนะนำกองทุนทหารไทยธนรัฐ ปัจจุบันผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 4.49%ต่อปี (หรือเทียบเท่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำก่อนหักภาษีที่ 5.16%ต่อปี) กองทุนทหารไทยธนรัฐ เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในประเทศด้วยครับ http://www.tmbam.com ---------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin พฤหัสฯ. พ.ย. 16, 2006 9:32 pm

ระหว่างฝากเงินออมทรัพย์ ฝากประจำ และกองทุนตราสารหนี้ ตอบโจทย์สภาพคล่องดี เสี่ยงต่ำ และย้ำด้วยผลตอบแทนที่สูกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ด้วย "Money Market Fund" ครับ "Money Market Fund" เรียกอีกอย่างว่า กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน ลักษณะกองทุนที่สำคัญก็คือ - มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นภาครัฐบาล ตั๋วเงินคลังอายุไม่เกิน 3 เดือน - มีนโยบายคุ้มครองเงินต้นแก่ผู้ลงทุน - สามารถซื้อ/ขาย ได้ทุกวันทำการ (ถ้าขายคืน ได้รับเงินคืน T+1 หรือ T+2 แล้วแต่ บลจ.แต่ละแห่ง) - ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำของหลายธนาคาร ผมแนะนำให้ลองพิจารณากองทุนทหารไทยธนรัฐ (TMBTM) ของ บลจ.ทหารไทย (TMBAM) ดูนะครับ เนื่องจากเป็นกองทุน MM Fund ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในประเทศ ประกอบกับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 4.4%ต่อปี (ณ วันที่ 29/09/06) โดยผลตอบแทนที่เราได้รับนี้ ไม่เสียภาษีเหมือนเงินฝากธนาคารนะครับ รายละเอียดเพิ่มเติมครับ http://www.tmbam.com/th/mutual_funds/cash_management/treasury_money/index.html โดย banklin อังคาร ต.ค. 03, 2006 4:37 pm

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ T.U.Dome เปิดขายพรุ่งนี้แล้วครับ เข้ามา update ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ จากการสอบถามกับ บลจ.ไอเอ็นจี ตอนนี้มียอดจองซื้อหน่วยลงทุนของ T.U.Dome นี้แล้วเกิน 800 ล้านบาท แล้วครับ ใครที่สนใจลงทุน รีบๆติดต่อเพื่อขอรับทราบคำแนะนำ หรือติดต่อลงทุนนะครับผม โดย banklin พุธ ก.ย. 27, 2006 3:28 pm

อยากหาข้อมูลเกี่ยววิธีการลงทุนในกองทุนรวม ผลงาน วิธีเลือก สิ่งต้องทำก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม 1. จัดสรรเงินลงทุน 2. ตรวจสอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 3. ศึกษาข้อมูลจาก ข้อมูลรายกองทุน (Mutual Fund Profile) ข้อมูลหนังสือชี้ชวน รายงานประจำงวด 6 เดือน และรายงานประจำงวด 1 ปี (MRAP) ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างกองทุนหลายกองทุน (MFIS) 4. ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจาก web site ของบริษัทจัดการ ติดต่อรับฟังคำแนะนำจากผู้ทำหน้าที่ขายหน่วยลงทุน (IP) 5. ประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา ตรวจสอบกับวัตถุประสงค์ เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาที่จะลงทุน ข้อจำกัดของการลงทุนของตนเอง และผลตอบแทนที่คาดหวังไว้อีกครั้งหนึ่งก่อนตัดสินใจลงทุน ข้างบนเป็นวิธีที่นักลงทุนทุกท่านควรทราบนะครับ ถ้าต้องการลงทุนในกองทุนรวม ------------------------------ ส่วนเทคนิดในการลงทุนนั้น แล้วแต่สไตล์การลงทุนครับ เนื่องจากว่า วัตถุประสงค์ของการลงทุนผ่านกองทุนรวมจริงๆคือ สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ไว้ใจได้ ในระยะยาว ครับผม ด้วยคำว่าระยะยาวนี้เอง ทำให้เทคนิคในการซื้อขายหุ้น นำมาใช้กับกองทุนรวมได้ค่อนข้างลำบาก เพราะกองทุนนั้นลงทุนเป็นกลุ่มหุ้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหา timing มากมายอะไร แค่ลงทุนในจังหวะตลาดปรับตัวลดลง เพื่อลดต้นทุนตัวเอง และถือรอซัก ปี 2 ปี น่าจะดีกว่าครับ ปล่อยให้เรื่องยากๆนั้นผู้จัดการกองทุนเข้าบริหารดีกว่าครับ เรื่องผลการดำเนินงานนั้น กลต. มีข้อห้ามในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานครับ เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดได้ เนื่องจากบางทีกองที่มีผลการดำเนินงานดี อาจเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงมาก เพราะฉะนั้นหากนโยบายกองทุนไม่เหมือนกัน ก็ดูลำบากครับว่ากองทุนใดดีกว่ากัน แต่ก็มีเวปบางแห่ง ที่เปรียบเทียบการดำเนินงานย้อนหลังไว้ให้เราดูนะครับ -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin พุธ ก.ย. 27, 2006 3:25 pm

Best LTF in the market วิธีดูง่ายที่สุด ถ้าอยากรู้ว่ากองไหนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนทำผลงานได้ดีที่สุดก็ดูที่ NAV สิ้นวัน ณ ปัจจุบันครับ เพราะกองทุนรวมทุกกอง (ไม่ว่าจะเป็น LTF RMF หรือกองทุนอื่นๆ) เมื่อเริ่มจัดตั้งกองทุน ราคาต่อหน่วยที่เสนอขายครั้งแรกจะเท่ากับ 10 บาท ทุกกอง ถ้ากองไหน ของ บลจ.ไหน ราคาต่อหน่วย มากที่สุด แสดงว่ากองทุนนั้น ทำผลงานได้ดีครับ ---------------------------- แต่วิธีดูผลการดำเนินงานอย่างนี้ ใช้ได้ไม่เสมอไปครับ เป็นการประเมินคร่าวๆเท่านั้น เพราะข้อเสียของวิธีนี้ก็คือ ถ้ากองใดที่จัดตั้งมาเป็นระยะเวลานานกว่ามากๆแล้ว ก็มีแนวโน้มที่ราคาจะสูงกว่ากองทุนที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ขึ้นมา เพราะฉะนั้น วิธีการดูผลการดำเนินงานย้อนหลังเปรียบเทียบที่ถูกต้อง ควรดูเทียบกันในระยะเวลาเดียวกัน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี คราวนี้พูดถึง LTF นะครับ เนื่องจาก กองทุน LTF หรือ RMF เป็นกองทุนที่มีระยะเวลการถือครองนาน อย่างต่ำๆก็ 4 ปีขึ้น เพราะฉะนั้นการดูผลการดำเนินงานแค่ 3 เดือน หรือ 6 เดือน อาจไม่ได้สะท้อนให้เห็นผลการดำเนินงานที่แท้จริงของกองทุน วิธีที่ถูกคือ ควรดูผลการดำเนินงานในระยะยาว ว่าสม่ำเสอมหรือไม่ ดีกว่า bechmark หรือไม่ และมีนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของเราหรือไม่ ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือ ความเสี่ยงนะครับ นักลงทุนทั่วไปสามารถามตัว Beta ของพอร์ตได้จาก บลจ. ที่ขาย LTF ได้โดยตรงครับผม --------------------------- ผลการดำเนินงานโดยเปรียบเทียบที่ทาง Finansa จัดทำก็พอดูเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ดีนะครับ หรืออีกที่หนึ่งก็ http://www.poems.in.th หรือใครสนใจผลการดำเนินงานที่ update กว่าหน่อยก็ลองเข้า blog ผมนะครับ http://mutualfundlover.bloggang.com เข้าที่เมนูผลการดำเนินงานย้อนหลัง สามารถ e-mail มาขอ password ได้ครับ -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin พุธ ส.ค. 30, 2006 6:09 pm

กองทุน ที่ไปลงทุน ต่างประเทศ เอาที่พอหาให้ได้นะครับ จริงๆผมไม่แน่ใจว่ามีอีกหรือเปล่า กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็น Feeder Fund (ไปลงทุนในกองทุนอื่นอีกที) ไม่ได้เรียงตามผลการดำเนินงาน หรือ ความชอบส่วนตัวแต่อย่างใดนะครับ K GLOBAL EQUITY FUND TISCO GLOBAL EQUITY FUND UOB SMART INTERNATIONAL GROWTH FUND ABERDEEN ASIA PACIFIC EQUITY FUND ABERDEEN WORLD OPPORTUNITIES  FUND ING THAI GLOBAL HIGH DIVIDENDED FUND 1A.M. GLOBAL EMERGING MARKET EQUITY FUND MFC GLOBAL ALPHA FUND MFC GLOBAL EQUITY FUND ING THAI ALL ASIA EQUITY FUND BUALUANG GLOBAL FUND RUANGKHAO GLOBAL BALANCED FUND ส่วนตัวแล้ว ลงทุนใน ABERDEEN ASIA PACIFIC EQUITY FUND (ABAPAC) ครับ โดยกองนี้จะลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย (ยกเว้นณี่ปุ่น) ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลักที่ประเทศสิงค์โปร์ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนปี 2540 ถึง เม.ย. 49 สูงถึง 211.29% ครับผม ------------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin อังคาร ก.ค. 25, 2006 12:07 pm

KGLOBE : FIF Fund ที่ KBANK ส่งเข้าประกวดในตลาดกองทุนรวม MSCI Index = Morgan Stanley Capital International Index เป็นดัชนีอ้างอิงที่ทาง Morgan Stanley คิดคำนวนขึ้นมาเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการวัดตลาดหุ้น โดยคร่าวๆแล้วแบ่งตามเกณฑ์ Growth ของ Market Cap. ปรับเป็นฐานเดียวกัน โดย Adjust เอาอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปรวมแล้วครับ ------------------------- วิธีคำนวณอย่างละเอียดลองเข้าไปดูในนี้นะครับ http://www.msci.com/methodology/ ------------------------- ส่วนที่คุณ munata ถามว่ามีกองทุนใดลงทุนใน ณี่ปุ่นกับจีนเป็นหลักเลย ก็มีอยู่ที่เดียวครับที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นณี่ปุ่นอย่างเดียว ของ บลจ.แอสแซทพลัส ส่วนกองทุนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะ เท่าที่หาข้อมูลมา ยังไม่มีการจัดตั้งครับ แต่ที่ใกล้เคียงหน่อยก็คงจะเป็น ABAPAC ของ บลจ.อเบอร์ดีน ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย (ยกเว้นณี่ปุ่น) -------------------------- โชคดีในการลงทุนครับ โดย banklin อาทิตย์ ก.ค. 23, 2006 12:44 pm

KGLOBE : FIF Fund ที่ KBANK ส่งเข้าประกวดในตลาดกองทุนรวม อยากขอความเห็นสัก 2 ข้อครับ 1) ควรเชื่อข้อมูลอันไหนดี (ขอโทษที่จำชื่อและตำแหน่งของผู้ให้ข้อมูลทางวิทยุไม่ได้ แต่จากที่ฟังก็รู้สึกว่าให้ข้อมูลได้ดีครบถ้วนครับ) 2) ระหว่างการให้น้ำหนักที่จีนและญี่ปุ่น กับ อเมริกา พี่ๆคิดว่าอันไหนจะน่าสนใจกว่ากันครับ ยินดีให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่นักลงทุนครับ ขอตอบคำถามของคุณ munata ตามนี้นะครับ 1. ที่ทางผู้ร่วมรายการทางวิทยุตอบว่า ให้น้ำหนักการลงทุนที่ จีนและเอเชียมากกว่าที่อื่นนั้น จากการสอบถามและหาข้อมูลเพิ่มเติมของผม ได้คำตอบอย่างนี้ครับ - การให้น้ำหนักมากกว่าที่อื่น หมายถึง KGLOBE ให้น้ำหนักการลงทุนใน 2 ประเทศดังกล่าว สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานตาม MSCI World Index ตามนี้นะครับ Country Exposure                     % of Port             % MSCI Index Asia-Pac ex Japan                      12.753%                      3.610% Europe ex Euro                          16.180%                    15.790% Latin America                              1.664%                        0.000% Afirica                                          1.122%                      0.080% North America                            37.070%                    53.940% Euro                                         14.060%                     14.890% Japan                                       15.479%                     11.690% จะเห็นได้ว่า Overweight เอเชีย และ ณี่ปุ่น ส่วน อเมริกา Underweight ครับผม 2. ขอตอบจากมุมมองโดยรวมต่อเศรษฐกิจโลกนะครับ สหรัฐ มองว่าเศรษฐกิจยังโตปีหน้าแต่ชะลอตัว เนื่องจากขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และ FED ประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ณี่ปุ่น น่าจะฟื้นตัว หลังจากซบเซามานาน ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจจากมุมมองของต่างชาติ ถือว่าณี่ปุ่นดีขึ้น มีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลดีกับการใช้จ่ายเพื่อบริโภค Consumer Product จึงได้อานิสงค์เต็มๆครับ จีน น่าจะขยายตัวต่อไปอีกอย่างน้อย 8% ในปีหน้า จากภาคเอกชน ตอบเคลียร์ไหมครับ สงสัยอะไรอีกก็ถามมาได้นะครับ ---------------------------- ออมก่อนรวยกว่านะครับ โดย banklin พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 3:43 pm

อยากได้ กองทุน money market ธนชาติให้ผลตอบแทนย้อนหลังต่ำกว่า TMBTM และ SCBFF นะครับ และเมื่อดูไส้ในของ Portfolio ธนชาติก็มีตราสารที่มีความสูงกว่าอีกต่างหาก (TMBTM เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงต่ำสุดในประเทศ และตั๋วเงินคลังครับ Duration ของกองทุนเพียงแค่ 0.24) ทั้งนี้ก็เพราะ Economics of Scales ครับ ทั้ง TMB และ SCB มีขนาดกองทุนที่ค่อนข้างใหญ่กว่าพอสมควรเมื่อเทียบกับธนชาติ กองทุนเหล่านี้ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายนะครับ ส่วนการโอนหน่วยลงทุนไปกองทุนอื่นๆหากเป็นใน บลจ.เดียวกันไม่เสียค่าธรรมเนียมครับ แต่หากอยากย้ายไปนอก บลจ. ก็ขายออกก่อนสิครับ แล้วค่อยไปซื้อใหม่ ไม่น่าจะยากอะไรครับ ทั้งนี้ นักลงทุนบางท่านอาจต้องการความสะดวกในการซื้อขายหน่วยลงทุน เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนผม ตรงนี้จริงๆก็ไม่ต้องกังวลครับ กลต.อนุญาตให้แต่ล่ะบลจ.มีตัวแทนขายหน่วยลงทุน ซึ่งตัวแทนขายหน่วยลงทุนเหล่านี้ (Selling Agent) ก็จะบริการรับ/ส่งเอกสารถึงหน้าบ้าน หรือหน้าที่ทำงานของท่านเลยครับ (รวมทั้งผมด้วยครับ ^^) โดย banklin จันทร์ ก.ค. 10, 2006 10:01 am

ลงทุนดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่เถียงคุณ shanghai ครับ แต่อย่าลืมครับ หุ้น มีความเสี่ยงสูงกว่า ฝากธนาคาร โดย banklin ศุกร์ ก.ค. 07, 2006 3:51 pm

จะซื้อกองทุนฯ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ Lock-in Money Market Fund (กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ได้รับเงินค่าขายคืนเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ) ตอนนี้ปิดไปหลายกองแล้วครับ ที่กำลังจะเปิดกลางๆเดือนถึงปลายเดือน อยู่ก้มี Primavest , KTAM , ING และอื่นๆผมไม่แนใจเหมือนกัน อายุโครงการก็แบ่งเป็น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน ความเสี่ยงของแต่ละกองก็แตกต่างกัน ถ้าชอบเสี่ยงน้อยๆ ก็เลือกกองทุนที่มี Duration ต่ำๆ และลงทุนพันธบัตรรัฐบาลในสัดส่วนที่สูง ก็พอช่วยให้สบายใจระดับหนึ่งครับ ลองปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของ บลจ. แต่ละแห่งดูนะครับ ---------------------------------------------------------- ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม ยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ผลตอบแทนดีกว่าฝากประจำตอนนี้นะครับ โดย banklin พฤหัสฯ. ก.ค. 06, 2006 5:45 pm

อยากได้ กองทุน money market ที่จริงกระทู้นี้น่าจะอยู่ใน Alternative Investing นะครับ ---------------------------------------------------------------- กองทุน Money Market ในตลาดที่ผลประกอบการดีๆตอนนี้มีอยู่หลายกองครับ        ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 3.8-4.4% แล้วแต่นโยบายของแต่ละกองอีก ว่าเค้าจะ Take ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ โดยลงทุนในหุ้นกู้ที่ใกล้จะครบกำหนด หรือตราสารหนี้ของสถาบันการเงิน ที่มีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลในสัดส่วนที่สูงขึ้น (สามารถสอบถามจากตัวแทนขายหน่วยฯ และเจ้าหน้าที่ของแต่ละ บลจ. โดยตรงครับ) กองทุนนี่ต้องดูเรื่องเวลาซื้อขายด้วยว่าเป็น T+0 หรือเปล่า ทุก บลจ.ที่เปิดขายกองทุน MM นี้ ไม่มีกองในสามารถขายคือได้ T+0 ครับ ส่วนใหญ่อยู่ที่ T+1 และ T+2 --------------------------------------------------------------- และเกือบทุก บลจ. สามารถโอนเงินค่าขายหน่วยไปธนาคารไหนก็ได้ (ที่อยู่สำนักหักบัญชีเดียวกัน) โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมครับผม โดย banklin พฤหัสฯ. ก.ค. 06, 2006 5:39 pm

ผลการดำเนินงานล่าสุดของ ABLTF (อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว) 555 โดย banklin พุธ ก.ค. 05, 2006 9:05 am

ผลการดำเนินงานล่าสุดของ ABLTF (อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว) สิทธิในการลงทุนใน Set 50 Future ลืมตอบประเด็นนี้ไปเลยครับ แสดงว่าคุณ Boring Stock Lover ยังไม่ทราบรายละเอียด LTF นะครับ คงไม่อธิบายรายละเอียดลึกๆในบอร์ด แต่ลองไปดูในนี้แทนนะครับ http://www.set.or.th/ltf/ltf.html ถ้าตอบคร่าวๆก็ ไม่ลงทุนใน Set 50 Future แน่นอนครับผม โดย banklin พุธ ก.ค. 05, 2006 12:27 am

ผลการดำเนินงานล่าสุดของ ABLTF (อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว) คุยกันไปคุยกันมา นอกประเด็นไปถึงเบต้าแล้วครับ ตกลงเรื่อง P/E Ratio นี่ ประเด็นที่จะถามคือ Weight P/E ของหุ้นแต่ละตัว ทั้งพอร์ตใช่ไหมครับ อยากทราบประโยชน์จากการใช้ P/E Ratio กับการวัดผลกองทุนรวมเหมือนกันครับ ใครพอแนะนำได้บ้างครับ พอดีเพิ่งเคยมีคนถามมาก็คราวนี้เอง ขอบคุณล่วงหน้าครับ โดย banklin พุธ ก.ค. 05, 2006 12:23 am

ผลการดำเนินงานล่าสุดของ ABLTF (อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว) ตามประเด็นที่คุณ Boring Stock Lover ถามมานะครับ ปกติการวัดผลการดำเนินงานและความเสี่ยงของกองทุน จะไม่ดูที่ P/E ของพอร์ตนะครับ เพราะ Nav ของกองทุนก็คือ Equity ของกองทุน (ราคาของกองทุนไม่ได้เกิดจาก Demand Supply โดยตรง อย่างราคาของหุ้น) หรือผมไม่เข้าใจคำถามคุณ  Boring Stock Lover ก็ไม่ทราบนะครับ -*- ส่วน Yield ของหุ้นที่ อเบอร์ดีนไปลงทุน เฉลี่ยอยู่ที่ 4% และค่าเบต้าของกองทุนอยู่ที่ประมาณ 0.8 กว่าๆครับ ไม่แน่นอน โดย banklin อังคาร ก.ค. 04, 2006 5:08 pm