หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Linsu_th
Joined: พุธ ส.ค. 30, 2006 7:51 am
497
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Linsu_th
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: สินค้ามือสอง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
:D ขอบคุณครับ :) ติดตามอ่านเสนอเพื่อเป็นข้อคิดครับ
โดย
Linsu_th
อังคาร มี.ค. 13, 2012 3:57 pm
0
0
Re: บทสัมภาษณ์บัฟเฟตต์สดๆ ร้อนๆ (21 พ.ย.) จากญี่ปุ่น น่าสนใจ
ขอบคุณครับ :D :roll:
โดย
Linsu_th
ศุกร์ พ.ย. 25, 2011 11:40 am
0
0
Re: เผื่อใครยังไม่ได้ดู
:bow: :bow: :bow: นับถือน้ำใจ
โดย
Linsu_th
พฤหัสฯ. ต.ค. 13, 2011 8:22 pm
0
0
Re: คนแจวเรือ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณของฝากจากยุโรป :D :D
โดย
Linsu_th
พุธ ต.ค. 05, 2011 3:25 am
0
0
Re: ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ชี้ SET มีโอกาสลงไปอยู่ที่ 600 จุดไ
ดร.นิเวศน์ บอกว่า หุ้นดีๆ หลายตัวราคายังลงมาไม่เยอะเท่าไร ถ้าคิดจะถือยาวต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นสามารถอยู่รอดได้แม้ว่าจะเกิดวิกฤติ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยยังมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ถ้าต้องการซื้อหุ้นแบบปลอดภัย ให้ลองดูบริษัทที่มีรายได้จากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ถ้าเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ต้องระวังให้มาก :roll: :idea:
โดย
Linsu_th
พุธ ต.ค. 05, 2011 3:15 am
0
1
Re: นักลงทุนที่ท่านชอบ และยึดเป็นต้นแบบมีใครกันมั่งครับ
นักลงทุนที่เป็นแนว VI. ทั้งหลาย ต้นแบบที่คอยติดตามอ่านและศึกษาแนวคิดก็ ดร.นิเวศน์ฯ ต่างประเทศ ก็ บั๊ปเฟต์ /ปีเตอร์ลินซ์ :D :lol:
โดย
Linsu_th
พุธ ธ.ค. 22, 2010 11:37 am
0
0
Re: สวัสดี ทักทาย จาก ทีมงานชุดใหม่ครับ
ขอขอบคุณทีมงานทุกๆท่านนะครับ ที่อุตส่าห์เสียสละเวลา มา ช่วยกันทำงาน :) :lol: :lol:
โดย
Linsu_th
อังคาร พ.ย. 23, 2010 3:55 pm
0
0
web VI
ขอบคุณครับที่ทีมงานเสียสละ และมาสานต่อให้web VI เจริญยิ่งขึ้นน่ะครับ และขอเป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วย :D :D
โดย
Linsu_th
พฤหัสฯ. พ.ย. 04, 2010 11:31 am
0
0
1000 พอร์ตบุคคล (14/06/13 คุณ ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ 1)
:bow: ดูเพลินดีจริงๆ :bow:
โดย
Linsu_th
พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2010 4:45 am
0
0
ใกล้ครึ่งปีแล้ว เพื่อน ๆ เป็นไงกันบ้างครับ
VI. ส่วนมากในห้องนี้น่าจะ Happy กับช่วงระยะเวลาตอนนี้ ++++++ เกินเป้าหมาย... ดีใจกับแนวทางที่ลงทุนอย่างมีความสุขใจ กับทุกท่านด้วย :D :D :D :lol: :lol:
โดย
Linsu_th
อังคาร มิ.ย. 29, 2010 11:35 am
0
0
สรุปพอร์ต8ปีของ 2นิ+1น ผู้ยิ่งใหญ่>นิติ&นิเวศน์+นริศ
:shock: :D มีความสุขกับปอด VI. 2010 ทุกๆท่าน และไม่อิจฉาเลยครับ ดีใจกับแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
โดย
Linsu_th
พุธ ธ.ค. 30, 2009 9:27 am
0
0
สองวันนี้เกิดไรขึ้น ตกกันกระจาย
[quote="chatchai"]ถ้าเราคิดว่าหุ้นแพงแล้ว
โดย
Linsu_th
ศุกร์ ต.ค. 16, 2009 9:01 am
0
0
มุมมองของ Buffett ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน 22/1/09
วอร์เรน บัฟเฟตต์' สบายดีอยู่หรือ!โดย : วิบูลย์ พึงประเสริฐ ถาม: วิกฤติที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย มีผลกระทบต่อปรัชญาการลงทุนของคุณหรือไม่ บัฟเฟตต์: ไม่เลย เหมือนผมต้องการซื้อฟาร์ม ผมคงไม่เปลี่ยนแนวทางในการซื้อฟาร์มของผม เช่นเดียวกับการซื้อบ้านหรือซื้อธุรกิจ หุ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าผมต้องการซื้อหุ้นในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งในเมืองนี้ ผมคงใช้แนวทางที่เคยใช้เมื่อสองปีที่แล้วและก็เป็นแนวทางที่จะใช้ในอีกสองปีข้างหน้า ผมจะดูว่าผมจะได้อะไรจากเงินที่ลงทุนไป ผู้บริหารเป็นอย่างไร บริษัทนั้นมีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่และฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้าพูดถึง "ตลาดหุ้น" ขอให้คุณลืมมันไปได้เลย สำหรับหุ้นทุกตัวที่ผมมีผมว่าผมคงถือต่อไปอย่างมีความสุข ถึงแม้ตลาดหุ้นจะปิดไปสักห้าปีนับจากวันนี้ พูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผมซื้อธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อหุ้น ผมซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจเหมือนผมซื้อฟาร์ม และมันไม่เคยเปลี่ยน พวกข่าวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถซื้อของได้ถูกกว่าวันนี้ มันอาจถูกลง คำถาม ก็คือตอนซื้อนั้นมันคุ้มค่าเงินที่ลงทุนแล้วหรือยัง
โดย
Linsu_th
พุธ ก.พ. 04, 2009 8:40 pm
0
0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เกือบ2เดือนมานี้ผมก็ยังหาหนังสือการลงทุนใหม่ๆมาอ่านไม่ได้เลย ก็คอยติดตามอ่านแนวคิด Vi จาก ดร.ตลอดเวลา และรอเงินมาลงทุนเพิ่มตามแนว Vi. อยู่ไม่เปลียนแปลง :D
โดย
Linsu_th
อังคาร ก.พ. 03, 2009 5:38 am
0
0
Cash Is King / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นธุรกิจที่ขายเงินสดแต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อ หรือเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูงมาก :?: ผมว่าน่าจะตรงนี้นะ ลองค้นหาดู. :lol: :lol: :D
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 27, 2009 8:23 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
ที่ญี่ปุ่น...บ้าง โตโยต้าจะระงับการผลิตในประเทศ 11 วัน โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เผยวันนี้ว่า จะระงับการผลิตทั้งหมดที่โรงงานในประเทศเป็นเวลา 11 วัน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมนี้ เป็นการขานรับยอดขายที่ลดลง โฆษกโตโยต้า ระบุว่า จะระงับการผลิตที่โรงงาน 12 แห่งในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 11 วัน หลังจากตัดสินใจระงับการผลิตที่โรงงานในประเทศเป็นเวลา 3 วัน ในเดือนนี้ เพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว การลดกำลังการผลิตครั้งล่าสุดมีขึ้น หลังจากเมื่อเดือนก่อน โตโยต้าคาดการณ์ว่าจะประสบปัญหาขาดทุนจากการดำเนินงานรายปีเป็นครั้งแรก จากวิกฤติที่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ก่อนหน้านี้โตโยต้าได้ลดกำลังการผลิตที่โรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐ แคนาดา และฝรั่งเศส ทั้งยังมีแผนจะลดจำนวนพนักงานชั่วคราวในญี่ปุ่นลง 3,000 ตำแหน่ง ปัญหาที่โตโยต้าเผชิญครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ และทำให้ค่ายรถยนต์รายใหญ่ 3 บริษัทของสหรัฐ พยายามขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้รอดพ้นจากการล้มละลาย. http://www.thannews.th.com/view_newstoday.php?id=52000113
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 06, 2009 9:13 pm
0
0
อุตสาหกรรมรถยนต์ น่าสนใจไหมตอนนี้?
ฟันธงยอดผลิตรถปีวัว1.2ล้านคัน ส.ยานยนต์ระบุลดกำลังผลิตลอยแพคนงานทะลุแสนคน ส.ยานยนต์ชี้ปีหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์จ้องปลดพนังงานอีกเฉียดแสน ระบุยอดผลิตวูบเหลือ 1.2 ล้านคัน เหตุค่ายรถยนต์เตรียมปรับลด "สต๊อก" ลง 40% ในไตรมาสแรกหลังตลาดส่งออกลดลง 1.5 แสนคัน เชื่อ ตลาดในประเทศตก 5 หมื่นคัน นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ใน ปี 2552 ว่า เบื้องต้นคาดจะมีปริมาณการผลิตรถยนต์ลดเหลือเพียง 1.2 ล้านคัน โดยปริมาณการผลิตที่ลดลงนั้นแบ่งเป็นตลาดในประเทศจำนวน 50,000 คัน และตลาดส่งออก 150,000 คัน จากเดิมที่คาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคันในปีนี้ และภายในปี 2553 ทั้งนี้ พิจารณาจากผลกระทบจากปริมาณรถยนต์ค้างสต๊อกจะมีผลต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2552 โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะมีการปรับลดการผลิตลง 40% เพื่อปรับสต๊อกสำหรับลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ "จริงๆ ตัวเลขปีที่แล้วเราผลิตมากกว่า ปีก่อนหน้านี้ 4% แต่ตัวเลขขายนั้นขายน้อยกว่า 2% ตลาดในต่างประเทศแม้จะมี คำสั่งซื้อมาล่วงหน้า แต่ต่อไปในอนาคตจะต้องปรับลดคำสั่งซื้อแม้ว่าลูกค้าเราจะไม่ใช่ อเมริกา แต่ประเทศลูกค้าอย่างออสเตรเลีย ยุโรป อเมริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการค้าขายกับอเมริกาอาจทำให้มีสินค้าคงคลังใน สต๊อกมากขึ้น ทำให้การปรับลด สต๊อกลง 40% มีความเป็นไปได้" ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะตามมา คือ 1.การปรับลดการทำงานล่วงเวลา 2.ลดกะเวลาการทำงานซึ่งจะส่งผลให้แรงงานในส่วนของซับคอนแทร็กต์ ที่ปัจจุบันคิดเป็น 30% ของแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือประมาณ 100,000 คนอาจมีปัญหาจนกระทั่งนำไปสู่การปลดพนักงานได้ในอนาคต และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางด้านแรงงาน ครั้งนี้ภาครัฐและเอกชนจะต้องหามาตรการช่วยเหลือหรือกระตุ้นให้อุตสาหกรรมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เช่น การทำให้ระบบสินเชื่อของอุตสาหกรรม ยานยนต์เดินหน้าต่อไปได้ การกระตุ้นตลาดด้วยโครงสร้างภาษีต่างๆ อาทิ รถที่ใช้พลังงานทดแทน และการหามาตรการช่วยเหลือทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สำหรับการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์หลักๆ ในปี 2552 นั้น คาดว่าจะเป็นการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ สำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บางรายที่มีความพร้อม โดยจะเป็นการลงทุนเครื่องจักรและโรงงานบางส่วน นายวัลลภกล่าวอีกว่า หวังเป?นอย่างยิ่งว่าในปี 2552 อุตสาหกรรมยานยนต์และ ชิ้นส่วนของไทยจะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ทั้งสถานการณ์ทางด้านการเมือง และ สถานการณ์ทางด้านแรงงาน สำหรับใน ปี 2551 ยอดการผลิตรถยนต์ 1.4 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 คือ 11% ส่วนยอดในประเทศ 11 เดือนของ ปี 2551 จากเดิมที่มียอดขาย 556,267 คัน เทียบ 11 เดือน ปีที่แล้วลดลง 1.88% ขณะที่ตลาดส่งออก 11 เดือน ปี 2551 มียอด 732,879 คัน http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02car01050152&day=2009-01-05§ionid=0210
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 06, 2009 9:08 pm
0
0
modern trade and household
'จุดเปลี่ยน' โมเดิร์นเทรดสู่ยุคโมโนโพลีจริงหรือ? เมื่อพาณิชย์ เลือกข้าง...โชวห่วย ที่สุดแล้วผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด (modern trade)ก็ต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถต้านแรงดันของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการออกกฎหมายควบคุมการทำธุรกิจของค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ที่ถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อาจจะบอกได้ว่าเป็นพ.ร.บ. ที่คุ้นเคยกับครม.มากที่สุดฉบับหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการล้อมกรอบโมเดิร์นเทรด ที่เดินหน้าเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศอย่างหนาแน่น ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาจนส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (traditional trade) หรือโชวห่วย ซึ่งล้วนเป็นผู้ประกอบการรากหญ้า และเชื่อว่าการมีกฎหมายควบคุมการขยายสาขา และควบคุมการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรด จะช่วยลดความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่บางส่วนมองว่า กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการศึกษามายาวนานเกือบ 10 ปี เมื่อมีผลบังคับใช้จะเข้าตำรา "กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้" หรือไม่... โมเดิร์นเทรดโต โชวห่วยตก จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ในเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของGDP สูงเป็นอันดับ 2 รองจากภาคอุตสาหกรรม มีการจ้างแรงงานมากถึง 6 ล้านคน เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหญ่ที่สุดที่คนไทยต้องพึ่งพา และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บทบาทของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งต้องถูกจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจทำให้เกิดการพัฒนา เติบโตของประเทศ การเข้ามาของโมเดิร์นเทรด ทำให้สัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในเมืองไทย เกือบ 100% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโชวห่วย แต่ปัจจุบันพบว่า เหลือเพียง 60% เท่านั้น ส่วนอีก 40% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์น เทรด ทั้ง 8 ประเภท ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า (department Store) ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (super center) ไฮเปอร์มาร์เก็ต (hypermarket)หรือดิสเคาต์สโตร์ (discount store) ซูเปอร์มาร์เก็ต (supermarket) แคชแอนด์แครี่ (cash & carry) ร้านสะดวกซื้อ (convenience store) ร้านค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) และแคติกอรี่ คิลเลอร์ (category killer) และคาดว่าในอนาคตอันใกล้สัดส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปจนมีตัวเลข 50: 50 ซึ่งเป็นสัญญาณอันเลวร้ายต่อร้านโชวห่วยอย่างที่สุด เร่งพัฒนายกระดับโชวห่วย โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ร้านโชวห่วยเองต่างเร่งปรับตัวให้ทันท่วงที แต่ก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วยข้อจำกัดหลายประการทั้งเรื่องของแนวคิด และเงินลงทุน เมื่อเทียบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของโมเดิร์นเทรด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการในโมเดิร์นเทรดมากขึ้น แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามส่งเสริม สนับสนุน เพื่อยกระดับให้ร้านโชวห่วยมีศักยภาพ ภาพลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าไปใช้บริการ แต่ดูเหมือนโครงการต่างๆ กลับไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาร้านโชวห่วยเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ ไม่ต้องพูดเรื่องของตัวเลขทางบัญชี การเงิน ดังนั้นหากต้องเข้าสู่ระบบที่มีเรื่องของภาษี เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งที่ร้านโชวห่วยระแวง และระวังมากที่สุด การพยายามช่วยเหลือด้วยแนวทางต่างๆ จึงไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ฟากหนึ่งพยายามเร่งพัฒนา ยกระดับร้านโชวห่วย อีกฟากก็พยายามชะลอการขยายตัวของโมเดิร์นเทรด ด้วยการขอความร่วมมือ ออกมาตรการ จนถึงขั้นออกกฎหมายเพื่อจำกัดการขยายพื้นที่การให้บริการ ที่นับวันจะเข้าถึงแหล่งชุมชนเล็กๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำมาหากินของร้านโชวห่วย ทำให้หนึ่งในสาระสำคัญของพ.ร.บ. ฉบับนี้จึงเป็นการกำหนดพื้นที่การให้บริการ เพื่อรักษาสมดุลของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่นั่นเอง พ.ร.บ.ค้าปลีก "จุดเปลี่ยน" การมีพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง จะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างร้านโชวห่วยกับโมเดิร์นเทรด ได้จริงหรือไม่ .. ยังไม่มีใครตอบได้ แต่คนในวงการค้าปลีกล้วนเชื่อว่า "ไม่ได้ อย่างแน่นอน" และหนึ่งในนั้นก็มี นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยด้วย ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัท และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการค้าปลีกมากกว่า 200 ราย กล่าวว่า การมี พ.ร.บ ค้าปลีกค้าส่ง จะส่งผลกระทบด้านลบต่อร้านโชวห่วย และผู้บริโภคมากกว่า เพราะเมื่อพ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้กลไกตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก เมื่อมีการจำกัดการเกิดของค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันที่เปิดเสรี ทำให้เกิดการแข่งขันของร้านค้า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ "ผู้บริโภค" อีกหนึ่งผู้บริหารในวงการค้าปลีก บอกว่า การเปิดโอกาสให้โมเดิร์นเทรด ซึ่งมีความรู้ ความชำนาญเฉพาะในด้านค้าปลีก มาช่วยพัฒนา ยกระดับโชวห่วย เช่นเดียวกับที่ผ่านมาจะทำให้ผู้ประกอบการร้านโชวห่วยเกิดแนวคิดที่ดี และถูกต้องในการกล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะยอมรับ และพัฒนาตัวเอง การจัดอบรมให้ความรู้ จะทำให้ร้านโชวห่วยเข้าใจและเข้าถึง มีกรณีศึกษาหรือตัวอย่างในร้านที่ผ่านประสบการณ์มาบอกเล่า ทำให้เขาไม่กลัว ไม่กังวล และนำไปปรับปรุงใช้กับกิจการของตัวเองได้ ...ไม่ใช่เอาคนที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยทำร้านค้าไปบอกเขา อธิบายกันอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะพูดกันคนละภาษา "สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด "จุดเปลี่ยน" ก็คือการผูกขาด เพราะยิ่งเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่น้อยราย การทำตลาดก็จะตกอยู่กับผู้ที่ใหญ่ที่สุด มีอำนาจต่อรองมากที่สุด การจะเห็นจัดแคมเปญ ลดกระหน่ำ ลดแล้วลดอีกเพื่อแข่งขันกันดึงลูกค้าคงไม่มีให้เห็นอีกต่อไป เพราะถึงเวลานั้น บทบาทจะแตกต่างจากทุกวันนี้ ที่ลูกค้าคนเดียวแต่ถูกรุมทึ้ง รุกเร้าให้เป็นสมาชิกให้มาใช้บริการจากห้างใหญ่ 3-4 ห้าง แต่ในอนาคตที่เหลือเพียง 2-3 ราย คุณต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเขา เพื่อใช้บริการเขาก็ได้ ซึ่งเป็นกลไกตลาดง่ายๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว" แต่ทั้งหมดจะเป็นจริงดังข้างต้นหรือไม่นั้นคงต้องรอดูต่อไป เพราะเวลาเท่านั้นพิสูจน์ได้... http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=M2223721&issue=2372
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ พ.ย. 09, 2008 10:07 pm
0
0
cpall
ราคาเดียวใก้ลๆกับ...Mint ยังไม่ต้องรีบนะ...Wait and see.... :?: :?:
โดย
Linsu_th
พุธ ต.ค. 29, 2008 4:55 pm
0
0
ขอถามนิดนะครับ ว่าควรซื้อ LTF หรือ RMF ดีหรือเปล่าครับ
ลง LTF หรือซื้อหุ้น ดีกว่ากัน??? http://www.thaivi.com/webboard/search.php?search_id=642949902&start=50 ลอง Search " LTF ; RMF" ในเว็บนี้ดูข้อมูลเก่าๆครับ :idea: :idea:
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ ต.ค. 05, 2008 8:59 pm
0
0
Buffett รอคอยโอกาสซื้อหุ้นนานถึง 10 ปี
บัฟเฟตต์" ลงเงิน $3 พันล้านซื้อหุ้น "จีอี" กลางวิกฤตร้ายระดับ "เพิร์ลฮาร์เบอร์" ศก. วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอเจนซี - วอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ประกาศในวันพุธ (1)จะเข้าลงทุนเป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ในบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) นับเป็นความพยายามล่าสุดของนักลงทุนที่ได้รับความยอมรับนับถือมากที่สุดในโลกผู้นี้ ที่จะเข้าไปลงทุนในกิจการซึ่งกำลังมีสถานะย่ำแย่แต่เขาเชื่อว่ายังจะมีอนาคตรุ่งเรืองได้ต่อไป ท่ามกลางวิกฤตการเงินที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก ชนิดที่ตัวบัฟเฟตต์เองยังเรียกว่า "เพิร์ลฮาร์เบอร์ทางเศรษฐกิจ" เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัทการลงทุนและกิจการประกันภัยของบัฟเฟตต์ ประกาศลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์ของจีอี บริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังของสหรัฐฯ ที่มูลค่าหุ้นลดลงราว 1 ใน 3 แล้วในปีนี้ อันเนื่องมาจากปัญหาในกิจการธุรกิจด้านการเงินของบริษัท จนทำให้จีอีต้องประกาศแผนขายหุ้นสามัญเพื่อระดมทุน 12,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เพียง 8 วัน เบิร์กไชร์ได้ลงทุนลักษณะคล้ายคลึงกันมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ในโกลด์แมนแซคส์ ซึ่งเคยเป็นกิจการวาณิชธนกิจวอลล์สตรีทที่มีผลประกอบการดีที่สุด และเพิ่งยอมแปรตัวเองเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ธนาคารธรรมดา หลังเผชิญวิกฤตหนักหนาสาหัสในรอบนี้ บัฟเฟตต์ ยอมรับว่า การลงทุนในบริษัททั้งสองนี้ของเขา อาจจะมีผลกระทบกระเทือนในทางลบ หากว่ารัฐสภาสหรัฐฯ ไม่ผ่านกฏหมายมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการเงินของประเทศที่เต็มไปด้วยหนี้อสังหาริมทรัพย์เน่าเสีย ทั้งนี้ในปัจจุบันเบิร์กไชร์เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งในสหรัฐฯ ที่ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเพื่อมาปิดการซื้อขายมูลค่าสูงระดับนี้ "สิ่งบัพเฟตต์รอมาหลายปี ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ สถานการณ์ที่ตลาดย่ำแย่ลงจนทำให้เขาสามารถเจรจาให้เบิร์กไชร์ซื้อหุ้นบริษัทอื่นได้ในราคาแสนถูก" เจมส์ อาร์มสตรอง ประธานของเฮนรี เอช อาร์มสตรอง แอนด์ แอสโซสิเอตส์ ในเมืองพิตสเบิร์กกล่าว "เขารอเวลาเช่นนี้มาถึง 10 ปีเต็มๆ แล้ว" ภายใต้ข้อตกลงล่าสุดคราวนี้ เบิร์กไชร์จะเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ของจีอีมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะได้รับเงินปันผล 10% ซึ่งเท่ากับว่าจะทำให้เบิร์กไชร์มีรายได้ราว 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี นอกจากนี้เบิร์กไชร์ยัง จะได้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของจีอีอีก 3,000 ล้านดอลลาร์ภายในเวลา 5 ปีที่ราคา 22.25 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคา ณ.ปัจจุบัน และใกล้กับราคาต่ำสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 18 กันยายนปีนี้ "เจเนอรัล อิเล็กทริกเป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมอเมริกัน" บัฟเฟตต์กล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีในวันพุธ "จีอีก็มีปัญหาเหมือนบริษัททุกแห่งที่ต้องกู้ยืมเงินมาเป็นจำนวนมากตลอดเวลา แต่บริษัทก็จะยังสามารถดำรงคงอยู่ไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปีหรืออาจจะ 100 ปีนับจากนี้ไป หากว่าคุณซื้อหุ้นของบริษัทนี้ในเวลาที่เหมาะ คุณก็น่าจะทำเงินได้อยู่" ราคาหุ้นของจีอีปิดเมื่อวันพุธนั้นอยู่ที่ 24.50 เหรียญต่อหุ้น ทำให้เบิร์กไชร์ได้กำไรในกระดาษ 330 ล้านดอลลาร์เมื่อคำนวณจากเงื่อนไขในวอร์แรนท์ (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเข้าซื้อหุ้น) ที่ได้มา และนั่นทำให้หุ้นคลาสเอของเบิร์กไชร์มีราคาเพิ่มขึ้น 64,000 เหรียญ ไปเป็น 137,000 ดอลลาร์ เบิร์กไชร์เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าถึง 213,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีธุรกิจในสังกัดอยู่ 76 แห่งที่ขายตั้งแต่กรมธรรม์ประกันภัย ไอศครีม สี ชุดชั้นใน รวมทั้งไปลงทุนในบริษัทชั้นดีอย่าง โคลาโคล่า และเวลส์ ฟาร์โก บัฟเฟตต์ซึ่งตอนนี้อายุ 78 ปีแล้ว มักจะมองหาช่องทางเข้าไปซื้อหุ้นของพวกบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงและมีการบริหารงานที่เข้มแข็ง เท่าที่ผ่านมาเบิร์กช์ลงทุนในจีอีน้อยมาก โดยเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนเบิร์ไชร์ถือหุ้นสามัญของจีอีเพียง 7.78 ล้านหุ้น ซึ่งมีมูลค่า 207.6 ล้านดอลลาร์ "ดูราวกันว่าเรากำลังอยู่ในช่วงหนักหนาสาหัสที่สุดในวิกฤตการเงินคราวนี้แล้ว เพราะ บัฟเฟตต์ก็พูดอยู่เสมอว่า ในเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังวิตกกันมากที่สุด เขาก็จะเกิดความตื่นเต้นอย่างที่สุดเมื่อมองในแง่การลงทุน" สตีเวน เช็ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของเช็ก แคปปิตอล แมเนจเมนท์ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าว ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาบัฟเฟตต์ใช้เงินสดที่เบิร์กไชร์สะสมไว้ไปไม่น้อย และในปีนี้เงินจำนวนนี้ก็ลดลงฮวบลงมา โดยสิ้นเดือนมิถุนายน เม็ดเงินในบริษัทอยู่ที่ 31,160 ล้านดอลลาร์ จากที่สิ้นปีที่แล้วมีอยู่ 44,330 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนที่แล้ว มิดอเมริกัน เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของเบิร์กไชร์ก็เพิ่งเข้าซื้อคอนเสตลเลชัน เอ็นเนอร์จี กรุ๊ป เป็นเงิน 4,700 ล้านดอลลาร์ และเข้าซื้อหุ้น 10% ของบีวายดี ผู้ผลิตแบตเตอรีจีนเป็นเงิน 230 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้เบิร์กไชร์ก็ยังจะจ่ายเงิน 6,500 ล้านดอลลาร์ให้กับมาร์ส อิงค์ เพื่อซื้อวายเอ็ม ริกลีย์ จูเนียร์ โค ผู้ผลิตหมากฝรั่ง โดยคาดว่าข้อตกลงหลังสุดนี้จะปิดลงได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า :roll: :roll:
โดย
Linsu_th
ศุกร์ ต.ค. 03, 2008 6:05 am
0
0
ขาดทุนหนักทำไงดีครับ
มาเป็นกำลังใจครับ ถ้าเงินเย็นและเป็น Vi. ก็.... 1.แวะอ่าน....คลังกระทู้คุณค่า... 2.หาหนังสือแนว Vi. อ่านหาความรู้เพิ่มเติม 3.อ่านหนังสือจิตวิทยาการลงทุน 4.อ่านหนังสือด้านธรรมะ :lol: :lol: :lol:
โดย
Linsu_th
พุธ ต.ค. 01, 2008 8:21 pm
0
0
คิดถึง ดร.นิเวศน์ ครับ
http://img33.picoodle.com/data/img33/3/9/13/t_T1623562m_0e00425.jpg ปากเซียน ยามนี้ที่ตลาด"หุ้นไทย"เปรียบเหมือนคนป่วยที่ถูกเข็นเข้าห้อง"ไอซียู" ทำให้คิดถึง"เซียน"หุ้นรุ่น"ลายคราม"อย่าง"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ที่ทิ้งอาชีพวาณิชธนากร มานั่งเทรดหุ้นและรับเป็นวิทยากรบรรยายในเวทีการลงทุนจนมี"แฟนคลับ"ทั่วประเทศ อาการของตลาดหุ้นช่วงนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก"วิกฤติการเมือง" อาจารย์นิเวศน์ ให้ความเห็นว่า ทำนายไม่ออกเลยว่าทิศทางตลาดจะเป็นอย่างไร "ตอนนี้มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย" นั่นคือ เสียงสะท้อนจากเซียนหุ้นคุณภาพคับแก้วอย่างดร.นิเวศน์ เมื่อถูกถามว่าได้เข้าเก็บหุ้นหรือเปล่าในฐานะที่เป็นนักลงทุนระยะยาว คำตอบที่ได้คือ "ผมไม่มีตังค์ ตอนนี้เงินอยู่ในหุ้นหมดแล้ว" :lol: :lol: :8)
โดย
Linsu_th
เสาร์ ก.ย. 13, 2008 10:49 pm
0
0
modern trade and household
ถกแก้นิยามธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ปัดฝุ่นร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ใช้"ยอดขาย"อุดช่องโหว่ หนึ่งในภารกิจที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญคือการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นปัญหาที่สั่งสมกัน มานาน โดยเฉพาะการคลอด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ซึ่งหลายรัฐบาลมีความพยายามยกร่างแล้ว ยกร่างอีกนับจากปี 2540 แต่ในที่สุดก็แท้งก่อนคลอดทุกที จนทำให้สถิติการขยายสาขา ของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่พุ่งพรวดมาตลอด ในระยะเวลา 7 ปีขยายไปกว่า 100% จากปี 2542 มี 189,360 สาขา เพิ่มเป็น 490,449 สาขา ในปี 2551 ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ให้มีนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน และกำหนดกรอบเวลาการทำงาน 2 เดือนภายในพฤศจิกายน ทางคณะกรรมการจึงได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฉบับใหม่ โดยกรรมการในที่ประชุมหลายคนได้ให้ความเห็นว่า จำเป็นต้องปรับร่างกฎหมายใหม่ให้แตกต่างไปจากร่างเดิม จึงมีแนวทางที่จะร่างคำนิยามใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนไป เพราะเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวได้ลุกลามไปถึงธุรกิจตลาดสด ซัพพลายเออร์จนเป็นลูกโซ่ เห็นได้ชัดว่า เพียง 7 ปีนับจากปี 2542 ธุรกิจโมเดิร์นเทรดมีการปรับรูปโฉม ชื่อ ขนาดพื้นที่ และหน้าตาจนร่างกฎหมายที่มีอยู่อาจจะตามไม่ทัน ดังนั้นหากให้กำหนดประเภทแบบร่างเดิมอาจจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จึงต้องหาเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ตามทันธุรกิจ ประเด็นแรกที่ต้องปรับปรุง คือ การกำหนดนิยามของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอาจจะต้องระบุให้ชัดเจนลงไปในตัวกฎหมายเลยว่าธุรกิจค้าปลีกที่อยู่ภายใต้บทบัญญัตินี้มีลักษณะอย่างไร และใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด เพราะหากรอให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าเป็นผู้ออกประกาศกระทรวงอย่างเดิม อาจจะต้องใช้เวลานานจน พ.ร.บ.ค้าปลีกจะกลายเป็นแค่เสือ กระดาษไม่มีเขี้ยวเล็บ เบื้องต้นมีกรรมการบางคนเสนอให้ใช้เกณฑ์จาก "ยอดขาย" ซึ่งห้างค้าปลีกบางรายเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะการแข่งขันในระนาบเดียวกันมีความเหลื่อมล้ำ ได้เปรียบเสียเปรียบกันมาก ขณะเดียวกัน ต้องจัดโครงสร้างตลาดของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งใหม่ ทั้งขนาดของธุรกิจ และเงื่อนไขต่างๆ ตามประเภทธุรกิจ เช่น สถานที่ตั้ง ระยะห่างจากชุมชน วันเวลาเปิด-ปิด สถานที่จอดรถ การรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เช่น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อสร้างความเป็นธรรมระหว่างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่กับโชห่วย และผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) การใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการดูแลด้านราคา ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด 1) คณะอนุกรรมการศึกษากฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายยรรยง พวงราชเป็นประธาน 2)คณะอนุกรรมการศึกษาพฤติกรรมการค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายรัตน สุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจ กรรมการองค์การเภสัชกรรม และประธานกรรมการ บริษัท มงคลเศรษฐีเอสเตท จำกัด เป็นประธาน 3)คณะอนุกรรมการศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วยและตลาดสด) โดยมีนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นประธาน และชุดที่ 4)คณะอนุกรรมการศึกษาข้อมูล สถานภาพธุรกิจค้าปลีกค้าส่งซึ่งมีตัวแทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นประธาน http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02inv01110951&day=2008-09-11§ionid=0203
โดย
Linsu_th
เสาร์ ก.ย. 13, 2008 10:19 pm
0
0
การลงทุนในไม้กฤษณา
สินค้าเกษตรเสี่ยงสุดๆ...นะครับ 1.ไม่สามารถควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศได้...อุทกภัย/ภัยแล้ง 2.ต้นไม้ทุกต้น/พื้นที่ปลูกเติบโตได้คุณภาพและปริมาณจริงหรือ 3.กี่ปี คืนทุน 6-7 ปี นานไป หรือเปล่า 4.ศึกษาให้รอบครอบนะครับ...สินค้าเกษตร :?: :?: :?:
โดย
Linsu_th
จันทร์ ก.ย. 08, 2008 5:02 pm
0
0
ช่วงนี้ใครกล้าซื้อบ้าง (2-3 สค)
เลือกไม่ถูกว่าจะช้อนตัวไหม...ตาลายไปหมด.. ดูสถานการณ์แบบนี้ยังมีเวลารอเก็บได้อีกนานแน่ๆ...ต่างชาติขายทุกวัน ... :lol: :lol: :lol:
โดย
Linsu_th
พุธ ก.ย. 03, 2008 7:18 pm
0
0
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
ธุรกิจบัตรเครดิตหืดขึ้นคอ แบงก์หวั่นหนี้เสียเล็ง ผ่อนคลายชำระขั้นต่ำ 5% [18 มิ.ย. 51 - 05:45] นายโชค ณ ระนอง ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ในการประชุมของชมรมฯในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีสมาชิก 3-4 แห่งเสนอให้ชมรมเข้าหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอผ่อนผันเกณฑ์การชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 10% ลงมาอยู่ที่ 5% อีกระยะหนึ่งหลังจากที่ได้เคยผ่อนผันมาแล้ว เนื่องจากการปรับขึ้นเกณฑ์ชำระขั้นต่ำมาอยู่ที่ 10% ในช่วงที่ผ่านมานั้นได้ส่งผลกระทบต่อลูกค้า ทำให้ต้องมีการผ่อนชำระขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และเมื่อเศรษฐกิจต้องเผชิญกับปัจจัยลบมากมายทำให้จำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงน่าจะบรรเทาปัญหาโดยการผ่อนเกณฑ์ให้ชำระขั้นต่ำไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.ยอมผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ธนาคารสมาชิกอาจจะไม่ได้ปรับเกณฑ์มาใช้เกณฑ์ขั้นต่ำที่ 5% ทั้งหมด และเชื่อว่าแต่ละธนาคารคงจะมีการพิจารณาและดูแลถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งการปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำมาที่ 5% ไม่ได้หมายความว่าหนี้ดังกล่าวจะไม่เป็นเอ็นพีแอล ขั้นตอนที่ต้องทำหลังจากการประชุมของชมรมฯ ก็คือต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอให้กับ ธปท.ได้ดูว่าคนที่เคยจ่าย 5% แล้วต้องมาจ่าย 10% มีปัญหาอะไร คาดว่าจะใช้เวลารวบรวมข้อมูลประมาณ 1 เดือนก่อนจะนำเสนอ ธปท. แต่หากได้รับการอนุญาตจาก ธปท. แล้ว ในส่วนของแบงก์กรุงเทพเองคงจะไม่มีการปรับมาคิดที่ 5% แน่นอน เพราะที่ผ่านมาได้ใช้เกณฑ์ชำระขั้นต่ำที่ 10% มาโดยตลอด นายโชคกล่าวว่า ทางชมรมยังได้พูดคุยกันถึงเพดานอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตที่ 20% ซึ่งในขณะนี้ก็เริ่มตรึงตัวเพราะค่าใช้จ่ายมีการเพิ่มขึ้น ซึ่งคงรอเวลาระยะหนึ่งที่จะเข้าหารือกับ ธปท. เพื่อขอให้มีการแข่งขันอัตราดอกเบี้ยกันเอง แต่เชื่อว่า ธปท.คงยังไม่พิจารณาอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ต้องดูแลเรื่องของหนี้ภาคครัวเรือน สำหรับกรณีที่บริษัท มาสเตอร์การ์ดได้ขึ้นค่าธรรมเนียมบัตรต่างประเทศที่นำมาใช้ในประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่าเป็นค่าปรับปรุงระบบ และเป็นการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมทั่วโลก ซึ่งทางชมรมได้ขอให้ทางมาสเตอร์การ์ดพิจารณาว่าจะสามารถผ่อนปรนวิธีไหนได้บ้าง นายโชคกล่าวอีกว่า การทำธุรกิจบัตรเครดิตในตอนนี้คงมีกำไรยาก แต่ธนาคารยังไม่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจลง โดยทุกธนาคารควรระมัดระวัง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกลไกในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งเรื่องของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ลดลงโดยเห็นตัวตัวเลขที่ ธปท.รายงาน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบันทำให้ไม่มีใครอยากจะใช้จ่าย อีกทั้งยังมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งเป็นตัวผลักดันให้ราคาสินค้ามีการเพิ่มขึ้น แม้ปีนี้เป้าหมายค่อนข้างสูง โดยเป้าหมายบัตรใหม่ปีนี้ก็เกิน 200,000 บัตร. http://www.norsorpor.com/go2.php?t=mg&u=http%3A%2F%2Fwww.thairath.co.th%2Fnews.php%3Fsection%3Deconomic%26content%3D93899
โดย
Linsu_th
พุธ มิ.ย. 18, 2008 4:55 pm
0
0
เรียนถามคุณChatchaiครับว่ากรองหุ้นยังไงถึงได้เจอWGครับ
ใครไป พอจะช่วย เก็บเป็นไฟล์เสียงมาให้ฟังที่ได้หรือป่าวคับ จะขอบคุณมากๆๆ เลยคับ ติดงานยังไม่ว่างไปอะคับ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลย เห็นด้วยครับ...เพื่อเด็ก...ตจว. ที่ไปร่วมงานไม่ได้จะได้ไม่พลาดโอกาส :lol: :lol:
โดย
Linsu_th
อังคาร มิ.ย. 17, 2008 4:50 pm
0
0
modern trade and household
วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4008 (3208) ยักษ์ค้าปลีกปูพรม"โมเดลย่อส่วน" คาร์ฟูร์ลุยซูเปอร์ฯไซซ์เล็ก-ท็อปส์โดดชิงทำเลทอง ซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กมาแรง "คาร์ฟูร์" ซุ่มเงียบชิมลางโมเดลย่อส่วน แก้ปมกฎเหล็กโซนนิ่ง-กม.ควบคุมอาคาร ใช้พื้นที่แค่ 1,000-2,000 ตร.ม.เปิดพ่วงไปกับพันธมิตร ด้านเจ้าตลาด "ท็อปส์"ชี้เป็นโกลบอลเทรนด์ เตรียมเปิดอีก 9 สาขา ส่วนยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัสประกาศเดินหน้าขยาย"เอ็กซ์เพรส" ตามแผน เผยเน้นเรื่องทำเลเป็นหลักพร้อมทยอยปรับโหมบริการให้สอดรับความต้องการลูกค้าต่อเนื่อง ค่ายเล็กแม็กซ์แวลู-เก็ตอิททยอยเปิดเพิ่ม จากข้อกำหนดของกฎหมายผังเมืองหรือโซนิ่ง และกฎหมายควบคุมอาคารที่ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ไม่สามารถเปิดสาขาขนาดใหญ่ในเขตตัวเมืองได้ และทำให้หลายๆ รายต้องพยายามปรับตัวด้วยการหาโมเดลใหม่ๆ ของตัวเองมาเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ยังมีความต้องการอยู่มาก คาร์ฟูร์ซุ่มเปิดโมเดลย่อส่วน แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ได้หันมาให้ความสำคัญกับการรุกตลาดด้วยการใช้โมเดลใหม่ ด้วยการย่อส่วนร้านค้าปลีกเพื่อเจาะไปตามย่านชุมชนต่างๆ มากขึ้น นอกจากกรณีของเทสโก้ โลตัสที่นำโมเดลที่เป็นร้านสะดวกซื้อ หรือโลตัส เอ็กซ์เพรส และคอมมิวนิตี้มอลล์ อีกค่ายหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ คาร์ฟูร์ ที่เริ่มใช้รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต ย่อส่วนขยายไปในชุมชนต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ของคาร์ฟูร์จะเป็นการย่อส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์ปกติของคาร์ฟูร์ ใช้พื้นที่ประมาณ 8,000 ตร.ม. ก็ย่อลงมาเหลือเพียง 1,200-2,000 ตร.ม. ด้วยการเปิดพ่วงไปกับมอลล์ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นการเช่าพื้นที่ของผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตร แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตที่ย่านอุดมสุข (สวนหลวง ร.9) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ทยอยเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กนี้ไปบ้างแล้ว เช่น หนองจอก, เกษตร-นวมินทร์ (เปิดในโครงการของสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนต์) และเปิดมาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ก็มีที่ย่านรังสิต คลอง 3 นครนายก ซึ่งเป็นย่านที่หมู่บ้านจัดสรรมาก "นอกจากนี้ คาร์ฟูร์ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับบริษัทพัฒนาอสังหาริทรัพย์ เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์อีก 1-2 โครงการ และหนึ่งในนั้นอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตก็คือ โครงการในซอยสามัคคี" จากการสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้รับคำชี้แจงว่า บริษัทจะมีการเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ จึงยังไม่สามารถจะให้รายละเอียดถึงแนวทางการขยายสาขาดังกล่าวได้ เผยเตรียมเทพัน ล.เปิดเพิ่ม 8 แห่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายฟิลิปส์ โบรยานิโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการขยายสาขาภายใน 3 ปีนี้คาร์ฟูร์มีแผนจะใช้งบฯ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สำหรับปีนี้จะใช้งบฯ 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอีก 6-8 แห่ง หรือมีสาขาครบ 34-35 สาขา จากที่มีอยู่ประมาณ 30 สาขา ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า สำหรับแนวทางของเทสโก้ โลตัสหลักๆ จะยังคงใช้โมเดลโลตัส เอ็กซ์เพรสเพื่อขยายสาขาไปตามย่านชุมชนต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ พร้อมกันนี้ก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบร้านและบริการเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญก็คือการเปิดสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรสนั้นจะเน้นเรื่องของทำเลเป็นหลัก เจ้าตลาด ท็อปส์ รุกต่อเนื่อง นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การปรับตัวของ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่หันมา เปิดไซซ์เล็กมากขึ้นดังกล่าวถือเป็นโกลบอลเทรนด์ และผู้ประกอบการค้าปลีก รายใหญ่จะต้องมีรูปแบบหรือโมเดลที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือนำมาประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศได้ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละประเทศ การที่ค้าปลีกรายใหญ่ในเมืองไทยเริ่มหันมาเปิดสาขาที่เป็นไซซ์เล็กมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปของไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นทำได้ยากขึ้นในแง่ของการหาพื้นที่ หรือพื้นที่ขนาด ใหญ่เริ่มหมด ที่สำคัญคือ ตลาดค้าปลีกเมืองไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่สูง "สำหรับท็อปส์ ตามแผนปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขามากกว่า 100 สาขา และเพิ่งเปิดไป 1 สาขา ดังนั้นอีก 9 สาขาที่เหลือจะทยอยเปิดในช่วงไตรมาสที่ 3-4 นี้ โดยเฉพาะการเปิดพ่วงไปรับศูนย์การค้าของเซ็นทรัล และไม่จำกัดรูปแบบว่าจะเป็นสาขาใหญ่-เล็ก ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ" นางสาวภัทรพรกล่าว รายเล็กจับตาการแข่งขันระอุ ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต แม็กซ์แวลู กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากข้อกำหนดของกฎหมายโซนนิ่งที่ทำให้หาสถานที่ได้ยากขึ้น เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ รายหันมาใช้โมเดลย่อส่วนในการขยายสาขาในลักษณะดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อว่าแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจ ซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะย่านชุมชนหรือหมู่บ้านจัดสรร สำหรับแนวทางการดำเนินงานของแม็กซ์แวลู ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดสาขาเพิ่ม 4 แห่ง ทั้งที่มีขนาด 1,000 ตร.ม. และ 2,000 ตร.ม. จากปัจจุบันที่มีสาขาเดิม 8 แห่ง และจะเน้นในเรื่องของอาหารสด รวมทั้งจะนำสินค้าเฮาส์แบรนด์ชื่อ ท็อปแวลู เข้ามาทำตลาดเพิ่ม และตั้งเป้าว่าภายใน ปี 2553 แม็กซ์แวลูจะมีสาขาไม่น้อยกว่า 26 สาขา ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทหันมาทดลองเปิดมินิซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ซูเปอร์มาร์เก็ต อิน คอมมิวนิตี้มอลล์" ชื่อ "เก็ท อิท" ตั้งตามแหล่งชุมชนชานเมือง 2 สาขา ที่ราชพฤกษ์และสัมมากร ประสบความสำเร็จน่าพอใจเนื่องจากเก็ท อิทมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยมีสินค้าอุปโภคบริโภคครบครัน เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แต่ย่อส่วนยกมาตั้งหน้าหมู่บ้าน และมีทั้งแผนกอาหารประกอบด้วยผักสด ผลไม้ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง สินค้าเทกโฮม ฯลฯ "ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาธนาคารติดตั้งตู้เอทีเอ็ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และภายในไตรมาส 4 นี้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 3-5 สาขา อาทิ สวนหลวง, พัฒนาการ ซอย 20, มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แต่ละแห่งจะมีพื้นที่ประมาณ 1,600 ตร.ม.
โดย
Linsu_th
จันทร์ มิ.ย. 09, 2008 5:26 am
0
0
modern trade and household
ปูพรม"มินิบิ๊กซี"ชนคอนวีเนี่ยนสโตร์ "โลตัส-คาร์ฟูร์"ปั้นโมเดลใหม่รับไลฟ์สไตล์เปลี่ยน ค่ายค้าปลีกเดินหน้าทดลองโมเดลย่อส่วน มุ่งเจาะชุมชน-ชานเมือง รับวิถีชีวิตผู้บริโภคเปลี่ยน "บิ๊กซี" รุกคืบทยอยเปิด"มินิบิ๊กซี" เสียบแทนสาขาเดิมลีดเดอร์ไพรซ์ ส่วน "คาร์ฟูร์" ซุ่มเจรจาพันธมิตรชิมลาง สาขาซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็ก จับตามาเลเซีย เปิดตัว "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" คาดหากเวิร์กมาไทยแน่ ขณะที่ยักษ์ "เทสโก้ โลตัส" ส่งสัญญาณผุดคอมมิวนิตี้มอลล์ยึดชุมชนชานเมืองแหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ นอกจาก เทสโก้ โลตัส ที่หันมาให้การขยายสาขาขนาดเล็กที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นแล้ว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ค่ายอื่นๆ ต่างก็มีความเคลื่อนไหวในการเปิดสาขาขนาดเล็กมากขึ้น ทั้งบิ๊กซี และคาร์ฟูร์ สำหรับบิ๊กซี ขณะนี้ได้เปิดร้านโมเดลใหม่ ที่เรียกว่ามินิบิ๊กซีแล้ว 5 แห่ง จากเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ผู้บริหารบิ๊กซีระบุว่าได้เปิดไปเพียง 2 แห่ง คือ สาขาอุดมสุข และเสนานิคมสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ คือ สาขาบางกะปิ ซึ่งเปิดตรงข้ามกับเดอะมอลล์ บางกะปิ ส่วนอีก 2 สาขาที่ เปิดไปก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย สุขุมวิท และวงเวียนใหญ่ "การเปิดสาขารูปแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลงในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วแล้ว ที่น่าสนใจก็คือ สาขาดังกล่าวจะเป็นช่องทางที่ช่วยเพิ่ม รายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นการแก้ปัญหาในเรื่องการขอใบอนุญาตการเปิดสาขาใหม่ที่มีความยากมากขึ้น"ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกอีกรายหนึ่ง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้คาร์ฟูร์ได้มีความเคลื่อนไหวที่ จะทดลองเปิดให้บริการใหม่ และได้เจรจากับผู้ประกอบการพัฒนาศูนย์การค้ารายหนึ่ง เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในศูนย์การค้าดังกล่าว ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการในย่านถนนงามวงศ์วานดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด กล่าวถึงภาพที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่า ปกติตามธรรมชาติของธุรกิจค้าปลีกนั้นจะมีการปรับตัวตามวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลให้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านชุมชนชานเมืองไม่ต้องการจะเดินทางไกลๆ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในเมือง ซึ่งศูนย์การค้าในรูปแบบที่เรียกว่าคอมมิวนิตี้มอลล์ก็จะเข้ามามีบทบาทและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้"สำหรับเทสโก้ โลตัส นอกจากคอมมิวนิตี้มอลล์ โอเอซิส (ซอยสามัคคี) ที่ถือเป็นโมเดลใหม่ล่าสุดของเราแล้ว เราก็ยังจะมีการทดลองโมเดลค้าปลีกในลักษณะนี้เป็นระยะ โมเดลไหนที่ประสบความสำเร็จ คือเปิดแล้วลูกค้าตอบรับดีก็พร้อมจะเปิดต่อ หรือหากเปิดแล้วไม่เป็นที่พึงพอใจของลูกค้า ก็มีเป้าหมายสำคัญ ก็คือการหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และการที่หลายๆ ค่ายลงมาเล่นมากขึ้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค"ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจมินิบิ๊กซี สาขาเสนานิคม พบว่ารูปแบบการจัดร้าน การจัดวางสินค้า มีลักษณะคล้ายๆ กับร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ทั่วๆ ไป และสินค้าที่มินิบิ๊กซีเน้นหลักๆ จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทั้งสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพูสระผม โฟมล้างหน้า ผ้าอนามัย ฯลฯ นอกจากสินค้าจากซัพพลายเออร์รายต่างๆ แล้ว ร้านดังกล่าวยังมีสินค้าเฮาส์แบรนด์ "บิ๊กซี" อาทิ น้ำยาล้างจาน ขนมปัง ปลาเส้น ถั่วลิสงอบกรอบ รวมทั้งมีอาหารสด อาทิ เนื้อหมู ผักต่างๆ รวมไปถึงอาหารแช่แข็ง วางจำหน่ายด้วยเมื่อเร็วๆ นี้ สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศมาเลเซียรายงานว่า คาร์ฟูร์มาเลเซียกำลังโฟกัสไปที่ธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ ซึ่งเป็น รูปแบบที่ทางการมาเลเซียยังไม่อนุญาตให้ต่างชาติดำเนินการได้ในขณะนี้ บริษัทจึงจะดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์แฟรนไชส์ไปก่อน ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบของกระทรวงพัฒนาผู้ประกอบการและสหกรณ์ ขณะที่ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการค้าภายในและกิจการผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของคาร์ฟูร์ประเทศมาเลเซีย ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยักษ์ค้าปลีกรายนี้ได้รายงานว่า ได้เปิดสาขาในรูปแบบร้านสะดวกซื้อแห่งแรกภายใต้ชื่อ "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" ในย่านวังซา มาจู ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเตรียมจะเปิดสาขาในลักษณะนี้เพิ่มเติมอีกในอนาคตผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ค่ายหนึ่งแสดงความเป็นว่า หากโมเดลดังกล่าวประสบความสำเร็จ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คาร์ฟูร์อาจจะนำโมเดลดังกล่าวเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารบิ๊กซีได้เปิดเผยถึงแผนการลงทุนขยาย สาขาในปี 2551 ว่า บิ๊กซีจะใช้งบฯ อีกประมาณ 6,200 ล้านบาท ในการเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 แห่งในต่างจังหวัด อาทิ ราชบุรี อยุธยา สุโขทัย เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ กระบี่ เป็นต้น และจะทำให้บิ๊กซีมีสาขาเพิ่มจาก 54 สาขาในปีที่ผ่านมาเป็น 62 สาขา ในปีนี้ ส่วนคาร์ฟูร์ก็เตรียมงบฯไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขา เพิ่มอีก 6-7 แห่ง จากเดิมที่มีสาขาอยู่ประมาณ 25 แห่ง http://matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02mar01280451&day=2008-04-28§ionid=0207
โดย
Linsu_th
พุธ เม.ย. 30, 2008 4:34 am
0
0
modern trade and household
ผู้บริโภค"ดื้อยา"ปั่นยอดขายไม่ขึ้นไตรมาสแรกค้าปลีกวูบ"ราคา-ผ่อน0%"กระสุนด้าน ธุรกิจทำใจไตรมาสแรกตัวเลขหลุดเป้าถ้วนหน้า เผยค่าครองชีพพุ่งทำผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่าย ยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" บ่นอุบ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคฝ่ามรสุมกำลังซื้อไม่อยู่ยอดร่วง ด้าน "เครื่องใช้ไฟฟ้า" ยอมรับสภาพลดแลกแจกแถมควบคู่เงินผ่อน 0% ฉุดไม่ขึ้น ห้าง-ศูนย์การค้า ใจดีสู้ สถานการณ์-ปัจจัยลบ คลี่คลาย คาดไตรมาส 2 แนวโน้มกระเตื้อง ไตรมาสแรกที่ผ่านมาแม้ว่าความเชื่อมั่นและอารมณ์การจับจ่ายผู้บริโภคโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยจากราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทยอยปรับขึ้นของสินค้าที่จำเป็นหลายๆ อย่าง ในขณะที่รายได้ผู้บริโภคไม่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง และทำให้สินค้าหลายๆ อย่างมียอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพของปัญหาต่างๆ ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น ทำให้หลายๆ ฝ่ายมีความคาดหวังว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ผลการดำเนินงานน่าจะออกมาดีกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ในแง่ของการแข่งขันอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ค้าปลีก-ของกินของใช้กุมขมับ ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสตริบิวชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกแม้ว่าความมั่นใจผู้บริโภคจะเริ่มมีมากขึ้น แต่จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภค และ ทำให้ผู้บริโภคลดการมาจับจ่ายที่ห้างลง ที่ผ่านมาอาจเคยมาจับจ่ายเดือนละ 3 ครั้ง แต่เดี๋ยวนี้มาเดือนละครั้ง และเฉลี่ยการจับจ่าย แต่ละครั้งไม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการของเทสโก้ โลตัส มีอัตราเติบโตไม่ถึง 5% ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 5-7% สำหรับไตรมาส 2 นี้โดยส่วนตัวมองว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในแง่ของภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งราคาน้ำมันและปัญหาในสหรัฐ ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ปกติช่วงไตรมาสแรกยอดขายสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าส่งค้าปลีกจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากเป็นช่วงการจับจ่ายในเทศกาลสำคัญ ตั้งแต่เทศกาลวันปีใหม่ วันตรุษจีน แต่มีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 10-15% ทั้งนี้ ตัวแปรหลักๆ เกิดจากราคาน้ำมันที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น ราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และผู้บริโภค เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยหันไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีการลดราคา หรือการเพิ่มปริมาณ และจากรายได้ผู้บริโภคที่ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม ขณะที่นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย แสดงความเห็นว่า ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ติดลบน่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงไตรมาสแรกเท่านั้น ไตรมาส 2 สถานการณ์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูง รวมทั้งการอัดเงินเข้าระบบของรัฐบาลน่าจะทำให้กำลังซื้อน่าจะเห็นผลไตรมาส 2 เป็นต้นไป นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจน่าจะไปในทิศทางที่ดี เช่นเดียวกับเป้าหมายช่วงไตรมาส 1 ของสหพัฒน์ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน หากดูจากราคาข้าวที่พุ่งสูง แน่นอนว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคระดับรากหญ้าที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แม้ขณะนี้ยังมีสถานการณ์เผชิญของน้ำมันราคาสูงและเงินบาทแข็งค่าก็ตาม "เกษตรดีทุกอย่างดี เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าปีที่แล้ว" นายบุณยสิทธิ์ย้ำ "ราคา-0%" ปลุกเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ขึ้น ผู้บริหารระดับสูงเครื่องใช้ไฟฟ้ารายหนึ่ง ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมของเครื่องใช้ไฟฟ้าในทุกๆ กลุ่มสินค้าไม่ดีเท่าที่ควรในแง่ของยอดขาย หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ตลาดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งซัพพลายเออร์และช่องทางค้าปลีก ต่างก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดกันเป็นระยะๆ และที่เห็นกันมากก็มีทั้งการลดแลกแจกแถมที่หลากหลายรูปแบบ และเป็นการจัดควบคู่กันกับกลยุทธ์เงินผ่อน 0% แต่ก็ยังไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้า "จากนี้ไปเชื่อว่าการแข่งขันน่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น และแต่ละค่ายก็คงจะมีลูกเล่นทางการตลาดใหม่ๆ ออกมากระตุ้น และมีความหนักหน่วงมากขึ้น ที่คาดว่าจะได้เห็นมาก็คงจะเป็นเรื่องของราคา ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีปัจจัยบวกมากน้อยเพียงใด" นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนที่เพิ่งจบลงยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือสร้างยอดขายที่แตกต่างจากปีก่อนมากนัก แม้ที่ผ่านมานโยบายจากภาครัฐที่ส่งเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อให้เศรษฐกิจตื่นตัวจะออกมาเป็นระยะๆ ต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมหวือหวามากนัก สำหรับเพาเวอร์บายเองก็มียอดขายเติบโตได้เพียง 5% เท่านั้น ขณะที่นายบุญยง ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐบวกกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อยอดขายสินค้าซิงเกอร์ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ดีขึ้น ลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักตามต่างจังหวัดกว่า 90% มีการจับจ่ายซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นเชิงรุกมากขึ้น ทั้งแคมเปญเทรด-อิน หรือการนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ ได้รับการตอบรับดีมาก "นอกจากนี้การปรับสัดส่วนการใช้งบฯการตลาดใหม่จากเดิมกว่า 80% ของงบฯจะเน้นการทำกิจกรรมตามพื้นที่ แต่ปีนี้จะเพิ่มการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้รายได้รวมซิงเกอร์จะเพิ่มขึ้น 20-30%" พลิกคัมภีร์การตลาดกระตุ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลยุทธ์ทางการตลาดที่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคหลายๆ ค่ายนำมาใช้ หลักส่วนใหญ่จะเป็นการลดราคาในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การเพิ่มปริมาณแต่จำหน่ายในราคาเท่าเดิม หรือขายเป็นแพ็กคู่ในราคาประหยัด หรือการขายเป็นแพ็ก 3 ชิ้น ในราคาประหยัดพิเศษ รวมทั้งยังมีสินค้าในหลายๆ กลุ่ม อาทิ แชมพู ครีมนวดผม และโลชั่นบำรุงผิว ที่หันมาให้ความสำคัญกับการนำสินค้าไซซ์เล็กและซองออกมาทำตลาด โดยเน้นไปที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจชองลูกค้าในภาวะที่กำลังซื้อมีจำกัด สำหรับในส่วนของช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่ผ่านมาก็หันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 กับสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหลายๆ อย่าง รวมทั้งมีการแจกคูปองส่วนลดเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อให้นำกลับมาใช้ซื้อสินค้าในครั้งต่อไป หรือในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ช่องทางเหล่านี้ก็ยังมีการลดราคา หรือบางแคมเปญก็จะมีการนำกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 มาใช้ด้วย โดยเฉพาะเครื่องเล่นดีวีดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การนำกลยุทธ์เงินผ่อน 0% มาเป็นตัวกระตุ้น ยอดช็อปเฉลี่ยต่อบิลลด นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านส่งเสริมธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ระบุว่า ไตรมาสแรกมีจำนวนลูกค้าศูนย์ฯเพิ่มขึ้น 15% แต่ในแง่ของยอดซื้อต่อหัวน้อยลง คือมียอดซื้อเฉลี่ยเติบโตเพียง 5% หรือยอดเฉลี่ย 5,500 บาท/บิล จากเดิมยอดซื้อเฉลี่ย 8,000-9,000 บาทสำหรับไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ศูนย์จะใช้งบฯ 25 ล้านบาท จัดกิจกรรมควบคู่กับเซลส์โปรโมชั่นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม คาดว่าจะได้ลูกค้าทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าหลักคือ วัยรุ่นในช่วงปิดเทอม ที่สำคัญ คือ คาดว่าจะช่วยให้ร้านค้าต่างๆ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 20%ขณะที่นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โดยส่วนตัวมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงแข็งแรงอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ที่คลี่คลายมากขึ้นจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในไตรมาส 2
โดย
Linsu_th
ศุกร์ เม.ย. 11, 2008 7:57 am
0
0
modern trade and household
'เทสโก้ โลตัส'หวั่นเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อไตรมาส25 เมษายน พ.ศ. 2551 08:12:00 สตีฟ แฮมเม็ต ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัสเทสโก้ โลตัส ห่วงเงินเฟ้อ ฉุดกำลังซื้อ หลังพบผู้บริโภคลดความถี่เข้าห้างจาก 3 ครั้งเหลือเดือนละครั้ง ส่งผลไตรมาสแรกขยายตัวไม่ถึง 5% ด้าน "สตีฟ แฮมเม็ต" ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัส มั่นใจภาพรวมค้าปลีกไทยยังสดใสกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น จำกัด ผู้บริหารเทสโก้ โลตัส เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยด้านภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมาก เห็นได้จากผลดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งประมาณการว่าจะมีอัตราการขยายตัวไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5-7% เป็นผลมาจากผู้บริโภคลดความถี่ในการจับจ่ายจากเดิมที่เคยเข้าห้างเดือนละ 3 ครั้ง ลดเหลือ 1 ครั้งเท่านั้น แต่การจับจ่ายต่อหัวต่อครั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเฉลี่ย 500 บาทต่อหัวต่อครั้ง "ปัจจัยด้านเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะจะทำให้ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายในห้างน้อยลง มองว่าหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ในไตรมาสที่ 2 คงไม่ดีนัก ประกอบกับปัจจัยภายนอกและทั้งภายใน รวมถึงเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม" ดร.ดามพ์ กล่าว ด้านนายสตีฟ แฮมเม็ต ซึ่งจะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) นับตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.นี้เป็นต้นไป กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทยว่า ธุรกิจของเทสโก้ โลตัสในประเทศไทยมีการเติบโต และดำเนินการไปได้ด้วยดีและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยหลังจากการเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ โลตัสในประเทศไทย ก็จะยังคงยึดหลักและแนวทางการบริหารตามนโยบายเดิมต่อไป โดยเห็นว่าสิ่งที่สำคัญหลังจากการเข้ารับตำแหน่งคือการดูแลความต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างราบรื่น โดยสิ่งที่จะมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านสินค้า บริการ และสถานที่ให้บริการที่ดี สำหรับนายสตีฟ แฮมเม็ต ดำรงตำแหน่งเป็น ซีอีโอ เทสโก้ ในสาธารณรัฐเช็กเป็นเวลา 5 ปี จากนั้นเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ ประเทศตุรกี เป็นระยะเวลา 4 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/05/WW14_1401_news.php?newsid=245750
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ เม.ย. 06, 2008 7:55 pm
0
0
modern trade and household
color=blue] เทสโก้ โลตัส รุกอีกสเต็ป ปั้น "มอลล์" กินรวบค้าปลีก [/color]เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า การขยายตัวของยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" ในอดีตที่ผ่านมา หลักๆ นั้นมี 4 รูปแบบ คือ ไฮเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่มากกว่า 8,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีประมาณ 69 สาขา, โลตัสคุ้มค่า ใช้พื้นที่ 4,000-7,000 ตารางเมตร มีประมาณ 25 สาขา ตลาดโลตัส พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร มี 28 สาขา และโลตัส เอ็กซ์เพรส พื้นที่ 300 ตารางเมตร มี 190 สาขารวมทั้ง 4 รูปแบบ ยักษ์ใหญ่รายนี้มีสาขาทั่วประเทศมากกว่า 310 แห่ง และมีพื้นที่เช่ามากกว่า 700,000 ตารางเมตรแน่นอนว่านอกจากรายได้จากยอดขายของแต่ละสาขาแล้ว เทสโก้ โลตัส ยังมี รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ด้วยอย่างเป็น กอบเป็นกำ แต่วันนี้ การรุกของเทสโก้ โลตัส ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะแค่ 4 รูปแบบนี้เท่านั้น เมื่อใบอนุญาตที่มีอยู่ในมือเริ่มร่อยหรอลงไป เทสโก้ โลตัส ก็ขยับตัวด้วยการปลุกปั้นโมเดลใหม่ๆ ก็เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ ไม่เพียงแต่ยักษ์ใหญ่ค่ายนี้จะใช้โมเดลใหม่ๆ เป็นหัวหอกในการรุกตลาดค้าปลีกแล้ว โมเดลใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขยายฐานลูกค้าเป้าหมายออกไปยังกลุ่มใหม่ๆ ได้อีกทางหนึ่งเริ่มจากปี 2550 ที่ผ่านมา ที่เทสโก้ โลตัส เริ่มชิมลางกับค้าปลีกในรูปใหม่ด้วยการทุ่มเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ซื้อตึก 5 ชั้นของห้างเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า มาปั้นเป็น "ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์" ด้วยพื้นที่รวมร่วมๆ 60,000 ตร.ม.นอกจากสาขานี้จะมีไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 8,000 ตร.ม. ภายในยังอัดแน่นไปด้วย ร้านอาหารแบรนด์ บริการทางการเงิน โรงเรียนกวดวิชา ร้านแฟชั่น ความสวยความงาม และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งมีพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ด้วยถึงวันนี้สาขา "ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์" ได้เปิดเพิ่มอีกที่ ศาลายา จ.นครปฐม และล่าสุดที่กระบี่ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง คือ "คอมมิวนิตี้ มอลล์" โดยเทสโก้ โลตัส เริ่มนำร่องสาขาแรกถนนสามัคคี ทางเข้าหมู่บ้านนิชาดาธานี เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในชื่อของเดอะ โอเอซิส จับกลุ่มลูกค้าบีบวกขึ้นไป โดยสาขานี้มีทั้งโลตัส เอ็กซ์เพรส 300 ตร.ม. และพื้นที่เช่าประมาณ 2,000 ตารางเมตร ที่มีทั้งร้านหนังสือ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสุขภาพ คลินิก ฯลฯนอกจากนี้ เทสโก้ โลตัส ยังมีคอมมิว นิตี้ มอลล์ ภายใต้แบรนด์ เดอะพาร์ค จับกลุ่มลูกค้าระดับบีลงมา และจะเปิดแห่งแรกที่ซอยสุขุมวิท 101/1 ในเดือนกันยายนนี้ ส่วนอีกแบรนด์หนึ่งของสาขาในรูป คอมมิวนิตี้ มอลล์ คือ เดอะ การ์เด้นท์ ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับซีและดี ซึ่งยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษมีเป้าหมายจะขยายคอมมิวนิตี้ มอลล์ ให้ได้ 5-8 สาขา/ปี ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับความต้องการและปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แตกต่างนี่อาจจะเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งของเทสโก้ โลตัส ในการรุกตลาดค้าปลีกเมืองไทย http://matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02mar09200351&day=2008-03-20§ionid=0207
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ มี.ค. 23, 2008 5:54 am
0
0
modern trade and household
กำลังซื้อค้าปลีกฟื้น ไตรมาส1ช็อปสนั่น ทุกห้างยอดโต2หลัก กูรูค้าปลีกฟันธงไตรมาสแรกกำลังซื้อลูกค้าฟื้น "สยามพารากอน" ฟุ้งขาช็อป-นักท่องเที่ยวเฮโลช็อปสนั่นดันยอดโต 2 หลัก "เดอะ มอลล์" โอ่ ลูกค้าควักจ่ายสะพัดกว่า 10% ขณะที่ "ฟิวเจอร์ พาร์ค" แก้มปริหลังรัฐบาลส่งสัญญาเมกะโปรเจ็กต์ ดันกำลังซื้อกลุ่มครอบครัว-นักศึกษาทะลัก ส่วน "เซ็นทรัล" เชื่อปีนี้ค้าปลีกโตเท่าจีดีพี นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ยอมรับว่าภาพรวมของค้าปลีกในไตรมาสแรก โดยเฉพาะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีตัวเลขโตขึ้นกว่า 2 หลัก และเชื่อว่าจะดีต่อเนื่อง ทำให้ในครึ่งปีหลังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยปัจจัยบวกที่ทำให้บรรยากาศการจับจ่าย และกำลังซื้อกลับคืนมาคือ การมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้นทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันสินค้าในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า นาฬิกา เพชร เครื่องประดับต่างๆ มีคอลเลกชันที่ทันสมัย มีขนาด มีสี และราคาไม่แตกต่างจากตลาดต่างประเทศ รวมทั้งห้างและศูนย์เองพยายามจัดกิจกรรม สร้างสีสันและบรรยากาศต่อเนื่องตลอดทั้งปี ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นอารมณ์ และบรรยากาศทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น และไม่จำเป็นต้องบินไปซื้อถึงฮ่องกง สิงคโปร์ด้วย ด้าน เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะ มอลล์ , ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ กำลังซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าประจำของเดอะ มอลล์เอง และอีกส่วนประมาณ 5% มาจากลูกค้าของคู่แข่ง ซึ่งตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทประมาณการณ์ไว้ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดีผิดปกติ เห็นได้ชัดจากช่วงตรุษจีน ที่ปีนี้กำลังซื้อคึกคักมากๆ คนแห่เลือกซื้อสินค้าเยอะมาก นอกจากนี้ตัวเลขการจับจ่ายซื้อสินค้าของลูกค้าที่เฉลี่ย 3,000-5,000 บาทก็เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมที่มีอยู่ 20% นางสาวพิมพ์ผกา หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต กล่าวว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงต้นปีที่ผ่านมาดีมากๆ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์มากขึ้น ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มกลับคืนมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของรถไฟฟ้า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าในอนาคตศูนย์การค้าชานเมืองจะคึกคักขึ้น "บรรยากาศในศูนย์ดีมาก คนเข้ามากขึ้น กำลังซื้อโตขึ้น แต่พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนหันมานิยมเลือกซื้อสินค้าที่ต้องมีโปรโมชัน หากไม่มีก็จะไม่ซื้อ อย่างไรก็ดีคิดว่าในปีนี้เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวมากๆ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ทำให้เชื่อว่าประเทศไทยก็จะดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน" นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในปีนี้เชื่อว่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ใกล้เคียงกับช่วง 3 ปีก่อนที่อุตสาหกรรมค้าปลีกบูม ซึ่งมีการเติบโต 10-20% ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกประสบกับปัญหาต่างๆ และมีการเติบโตเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียว ส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคในไตรมาสแรก มีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น"กำลังซื้อของลูกค้าในไตรมาสแรกของปีนี้ของปีก่อนอย่างชัดเจน โดยลูกค้ามีความกล้าที่จะจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น หากรัฐบาลตั้งเป้าที่จะมีจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปีก่อน เป็น 6% ในปีนี้ เท่ากับว่าเติบโต 50% อุตสาหกรรมค้าปลีกก็คงเติบโตในสัดส่วนเดียวกัน" นายกอบชัยกล่าวขณะที่ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยถึงตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 ปีนี้ว่า อยู่ในเกณฑ์ดีคาดว่าเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเฉลี่ย 5-10% ผลประกอบการที่เติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาร้าน 7 Eleven จำนวน 495 สาขา และการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 4,370 สาขา นอกจากนี้ได้ขยายพื้นที่คูหาที่ 3 ในส่วนของบุคสไมล์และคัทสันมากขึ้น จากปัจจุบันเป็นสัดส่วน 2 คูหาเฉลี่ย 80-90%"มองว่าเศรษฐกิจส่อแววดี เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรดีมีการจ้างงานมากขึ้นอุตสาหกรรมส่งออกดีขึ้น กลุ่มรากหญ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่การเมืองน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ในส่วนของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเรามีการเปลี่ยนสินค้าตลอดเวลา และล่าสุดมีการปรับราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค จำนวน 16 รายการลงเฉลี่ย 5-10 % มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.นี้เป็นต้นไป และปรับลดราคาลงอีก 100 รายการในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ จากปัจจุบันมีจำนวนสินค้าทั้งสิ้น 2,500 รายการ" นายก่อศักดิ์กล่าว อนึ่ง ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven ปี 2550 มีรายได้ทั้งสิ้น 81,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 เทียบกับปีที่ผ่านมา และมีผลกำไรสุทธิ 2,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ทางด้านผู้จัดจำหน่ายสินค้าลักชัวรีนางมณีนุช งามผาติพงศ์ บริษัท มิลเลนเนียม ไดมอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรแบรนด์ โมเดิร์นไดมอนด์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 17-18% เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อ ซึ่งสินค้าเครื่องประดับจะได้รับความนิยมในการหาซื้อเป็นของขวัญ ขณะเดียวกันทางห้างสรรพสินค้าก็มีการจัดรายการส่งเสริมการขายกระตุ้นทำให้ตลาดมีความคึกคักพอสมควร แหล่งข่าวจากบริษัทผู้นำเข้าเครื่องสำอางรายใหญ่ กล่าวว่า ตลาดเครื่องสำอางพรีเมียมที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ในช่วง 2 เดือนแรกมีการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องสำอางพรีเมียม 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการที่มีแบรนด์สินค้าใหม่ๆเข้ามาทำตลาด http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T0123055&issue=2305
โดย
Linsu_th
เสาร์ มี.ค. 15, 2008 8:04 pm
0
0
modern trade and household
กระหน่ำ"คูปองส่วนลด"กระตุ้น ค้าปลีกเพิ่มความแรงมิดไนท์เซล ค้าปลีกรับซัมเมอร์กระหน่ำโปรโมชั่นรับอารมณ์การจับจ่ายดีดกลับ ค่าย"เซ็นทรัล" ชิงธงเพิ่มดีกรีความแรงฉลอง 20 ปี มิดไนท์เซล ย้ำต้นตำรับ พร้อมงัดทีเด็ดแจกคูปองเงินสดกระตุ้น ขณะที่พารากอน-เอ็มโพเรียม ไม่น้อยหน้า ชู "อัลติเมทเซล" ชนหวังตรึงขาช้อปปันใจ ก่อนจัดแคมเปญใหญ่รับปิดเทอม-จับกลุ่มครอบครัวปลายมีนาฯต้นเมษาฯ คาร์ฟูร์-โลตัสไม่ยอมตกขบวนโดดร่วมแจมแม้ว่าแคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับช่วงหน้าร้อนของบรรดาศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จะถือเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ ปี แต่สำหรับหน้าขายทีกำลังจะมาถึงนี้ ประกอบกับในแง่ของอารมย์การจับจ่ายที่เริ่มดีขึ้น ทำให้หลายๆ ค่ายต้องเพิ่มความแรงของแคมเปญและลูกเล่นทางการตลาดทีต้องการจะกระตุ้นตัดสินใจและยอมควักกระเป๋าจับจ่ายมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เซ็นทรัลย้ำจุดแข็งมิดไนท์เซล นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มลงตัวมากขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคซึ่งบริษัทมองว่ามีแนวโน้มเป็นบวก ห้างเซ็นทรัลทั้ง 12 สาขาจึงร่วมกับ ห้างเซน จัดกิจกรรมทางการตลาดครั้งใหญ่ ด้วยแคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้ รวม 5 วัน ซึ่งเป็นการจัดที่ใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการจัดรายการมิดไนท์เซล ครั้งนี้ได้ทุ่มงบฯการตลาดกว่า 50 ล้านบาท จากงบฯการตลาดสำหรับไตรมาสแรก 180 ล้านบาท และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำหนังโฆษณาสำหรับแคมเปญนี้ด้วยโดยเฉพาะ และเป็นการจับมือกับบัตรเครดิตถึง 7 ค่ายใหญ่นางสาวปิยวรรณย้ำว่า แคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ปีนี้มีความยิ่งใหญ่มากกว่าทุกๆ ปี และถือเป็นการคืนกำไรครั้งใหญ่มากถึง 3 ต่อ คือ นอกจาก การลดราคาสินค้า 30-70% แล้วยังมีคูปองชิงโชคเซ็นทรัล กิฟท์ การ์ด มูลค่า 2 ล้านบาท และคะแนนสะสมเดอะวันการ์ด รวม 20 ล้านคะแนน ซึ่งถือว่าสูงมากอย่างไม่เคยทำมาก่อน รวมทั้ง เมื่อลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไข สามารถรับคูปองแทนเงินสด 200-2,500 บาท"มั่นใจว่าแคมเปญนี้จะสร้างยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และยอดขายในช่วงไตรมาสแรกนี้คาดว่าจะมีประมาณ 6,000 ล้านบาท" งัดซีอาร์เอ็มเจาะคอร์ทาร์เก็ต นางสาวปิยวรรณกล่าวว่า ตลอดทั้งปีบริษัทจะใช้งบฯสำหรับซีอาร์เอ็ม เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีผลต่อการซื้อโดยตรง โดยเฉพาะลูกค้าที่ถือบัตรเซ็นทรัลการ์ด, เซ็นทรัล มาสเตอร์การ์ด กว่า 7 แสนราย และลูกค้าที่ถือบัตรเดอะวันการ์ดอีก 1.7 ล้านราย ซึ่งลูกค้าทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มที่มีแบรนด์ลอยัลตี้กับเซ็นทรัล และคาดหวังว่าจากลูกค้ากลุ่มนี้เมื่อมีแคมเปญเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ก็จะทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่า เซ็นทรัล จะเน้นกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด ครบ 5,000 บาท รับบัตรของขวัญ 300 บาท (28 กุมภาฯ-2 มีนาฯ) และ 400 บาท (preview day) และรับเพิ่มคูปองเงินสด เมื่อซื้อทุก 4,000 บาท รับคูปองเงินสด 200 บาท ไปจนถึงซื้อครบ 25,000 บาท รับคูปองเงินสด 2,500 บาท หรือลูกค้าซื้อสินค้าด้วยบัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ ก็จะได้สิทธิพิเศษ เช่น คูปองแทนเงินสดสูงสุด 18% บวกกับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 7% ขณะที่นักการตลาดรายหนึ่งแสดงความเป็นว่า การใช้ลูกเงินในลักษณะคูปองส่วนลดนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลมาก เนื่องจากลูกค้าสามารถใช้แทนเป็นเงินสดได้ และทำใหลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น"นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมในลักษณะของ แอนนิแวร์ซอรี่ อีเวนต์ ซึ่งปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง และคาดว่าการจัดแอนนิแวอร์ซารี่ อีเวนต์ กับมิดไนท์เซล ที่เซ็นทรัล เป็นค่ายแรกที่จัดก็น่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน" เดอะมอลล์งัด "อัลติเมท เซล" ชน แหล่งข่าวจากบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ทั้งในส่วนของศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าอยู่ระหว่างการเตรียมจะจัดแคมเปญสำหรับรับหน้าร้อน รวมทั้งมิดไนท์เซล ซึ่งตามกำหนดการจะเริ่มจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคม และจะคาบเกี่ยวกันไปถึงช่วงเดือนเมษายน โดยหลักๆ จะเป็นกิจกรรมที่รับกับช่วงปิดเทอม และนอกเหนือจากโปรโมชั่นราคาที่จะเป็นการลดราคาทุกชั้นทุกแผนกแล้ว เดอะมอลล์จะเน้นกิจกรรมที่เน้นกลุ่มครอบครัว-การศึกษาเป็นหลักผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่าค่ายเดอะมอลล์จะยังอยู่ระหว่างการเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ ดังกล่าว แต่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในส่วนของ ห้างเดอะมอลล์ทุกสาขาก็ได้จัดแคมเปญเดอะมอลล์ลดกระหน่ำ ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม ทุกชั้นทุกแผนกลดราคาพิเศษ 30-50% และช็อปครบ 500 บาท รับสิทธิแลกซื้อสินค้า Super Shock ในราคาพิเศษ อาทิ บัตรกำนัลห้องพัก บลูทูท เป็นต้นขณะที่พารากอน ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และดิ เอ็มโพเรียม ได้จัดแคมเปญอัลติเมทเซล ในรายการอัลติเมท แบรนด์เนม โดยลดราคา 30-50% (เฉพาะแบรนด์ที่เข้าร่วมรายการ) ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม นอกจากนี้ หากซื้อครบ 1,000 บาท ลุ้นแพ็กเกจห้องพัก เดอะ วิลเลจ รีสอร์ต & สปา 3 วัน 2 คืน จำนวน 22 รางวัล มูลค่ากว่า 8 แสนบาท ขณะที่นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดรีเทลมีทิศทางดีขึ้น สำหรับพารากอน ในส่วนของศูนย์การค้าที่ตนดูแลอยู่มีแผนจะจัดกิจกรรมและอีเวนต์ 150 ครั้ง ด้วยงบฯ 500 ล้านบาท ล่าสุดได้จับมือกับกล้องแคนนอนและแบรนด์ซุปไก่สกัด จัดงาน "เนเชอรัล วันเดอร์ ยัง เอ็กซ์พลอเรอร์ แอท สยามพารากอน" ในช่วง 1-9 มีนาคมนี้ ด้วยการจัดพื้นที่ 1.5 หมื่น บนชั้น 4 สำหรับกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในแคมเปญใหญ่เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาในพารากอนมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ คาดว่าภายในงานจะสามารถดึงคนเข้ามา 5-8 แสนคน จากปกติ 1-1.5 แสนคนต่อวันรายงานข่าวจากห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกล่างเดือนมีนาคม โรบินสันก็ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายในรายการ มาย บิวตี้ เอเชียน บิวตี้ ชิก ด้วยการนำเครื่องสำอางแบรนด์ดัง น้ำหอม มาลดราคาพิเศษ พร้อมกับกิจกรรมสะสมสแตมป์ เพื่อแลกของพรีเมียมต่างๆ โลตัส-คาร์ฟูร์ โดดร่วมแจม ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้โดยภาพรวม หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย และได้แถลงนโยบายไปแล้วในแง่ของอารมณ์การจับจ่ายโดยทั่วๆ ไปก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าดีมาก และสำหรับแนวทางการทำการตลาดของเทสโก้ โลตัสก็คงไม่มีกิจกรรมอะไรขึ้นมารองรับเป็นพิเศษ จะมีบ้างก็เฉพาะกิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่ทำอยู่เป็นปกติ อย่างกรณีของหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง นอกจากในเรื่องของเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์ที่จะมี คอลเล็กชั่นใหม่ๆ แล้ว ก็จะมีสินค้าในส่วนของอุปกรณ์ท่องเที่ยวหรือแคมปิ้งช่วงหน้าร้อนออกมารายงานข่าวจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์-27 มีนาคม คาร์ฟูร์ได้จัดแคมเปญฉลองครบรอบ 12 ปี คาร์ฟูร์ ประเทศไทย ด้วยการมอบส่วนลด โดยเมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท ลุ้นรับคูปองส่วนลด 3%, 5%, 10%, 20% และ 50%
โดย
Linsu_th
เสาร์ มี.ค. 01, 2008 12:03 am
0
0
modern trade and household
ช้าไปแล้ว "พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง" หลังโมเดิร์นเทรด 1,086 สาขารุกทั่วประเทศ ในช่วง 1 ปีของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อาจเรียกได้ว่า เป็นช่วงระยะเวลาแห่งการเสียเปล่า เมื่อกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ในขณะที่ผู้ประกอบการห้าง ค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) เองกลับรีบเร่งรุกขยายสาขาออกไปทั่วประเทศ จนไม่แน่ใจว่า หากรัฐบาลชุดปัจจุบันของ นายสมัคร สุนทรเวช คิดที่จะ "ปัดฝุ่น" ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้แล้ว จะทันต่อสถานการณ์ช่วยรักษาชีวิตของร้านค้าปลีกรายเล็กภายในประเทศหรือไม่ ในเมื่อ "สาขา" ของโมเดิร์นเทรดในปัจจุบันได้รุกครอบคลุมการขายทั่วประเทศไปเรียบร้อยแล้วผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจความเคลื่อนไหวของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) หลังจากผ่านพ้นการทำงานของรัฐบาลชุดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ยังไม่สามารถยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ออกมามีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ปรากฏจากการรวบรวมสถิติการขยายสาขา พบว่ามีห้างค้าปลีกสมัยใหม่ทุกประเภทขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 1,113 สาขา หรือ จาก 5,078 สาขา ในปี 2549 มาเป็น 6,191 สาขา ในปี 2550 โดยประเภท convenience store พบว่า เซเว่นอีเลฟเว่นมีการขยายสาขามากที่สุด 658 แห่ง รองลงมาได้แก่โมเดิร์นเทรดที่ขายสินค้าเฉพาะ (วัตสัน-เพาเวอร์บาย) ขยายสาขาเพิ่มขึ้นจาก 381 สาขา เป็น 751 สาขาขณะที่ modern trade ประเภท hypermarket/supercenter พบว่าเทสโก้ โลตัส มีการขยายสาขามากที่สุด รวมทั้งหมด 112 สาขา โดยเป็นการขยายสาขาของ โลตัส เอ็กซ์เพรส ถึง 98 สาขา, ตลาดโลตัส 8 สาขา, โลตัสแวลู่ 4 สาขา และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา ด้านห้างแม็คโครมีการขยายสาขาเพียง 11 สาขา, คาร์ฟูร์ขยายสาขาเพียง 3 สาขา ส่วนบิ๊กซีไม่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเลย ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า ในปี 2551 ห้างโมเดิร์นเทรดกลุ่ม hypermarket/supermarket ได้แจ้งแผนการขยายสาขาต่อกระทรวงพาณิชย์มาแล้วประมาณ 98 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีเทสโก้ โลตัส คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 72 แห่ง แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 6 แห่ง, ตลาด 8 แห่ง, เอ็กซ์เพรส 52 แห่ง และเทสโก้ แวลู่ 6 แห่ง ขณะที่บิ๊กซีแจ้งแผนการขยาย 13 แห่ง ส่วนคาร์ฟูร์-แม็คโครยังไม่ได้แจ้งแผนการขยายสาขา นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมจะเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งต่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ระดับนโยบายพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการดูแลกลุ่มผู้ประกอบการ รายย่อยในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายค้าปลีกขณะที่กรมการค้าภายในเองก็ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงมาตรการในการดูแลการขยายสาขา โดยเบื้องต้นกรมการค้าภายในเสนอให้ใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ผังเมืองเข้ามาดูแลการขยายสาขา แต่ขอให้แต่ละจังหวัดกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ว่าจะให้ขยายสาขาห่างจากพื้นที่ชุมชนมากน้อยเพียงใด เพราะขณะนี้ในบางจังหวัดไม่มีการกำหนดระยะห่างไว้แล้วอย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องในกระทรวงพาณิชย์ถึงการแก้ไขปัญหาระบบค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง พ.ศ. ...นั้นเชื่อว่า จะไม่ได้รับการพิจารณาในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งคงเป็นเหมือนรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะกฎหมายฉบับนี้มีความสัมพันธ์กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างประเทศ และหากไม่มีการกำหนดกติกาดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งที่ชัดเจนย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอย่างแน่นอนสำหรับความคืบหน้าของการยกร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ได้ยุติถึงขั้นตอนการ พิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานไปแล้ว นั่นหมาย ความว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถส่งร่างเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. วาระ 2 และวาระ 3 ได้ทัน เนื่องจากสิ้นสุดการทำงานของ สนช. หลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทั้งนี้สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เดิมได้กำหนดให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง 3 ประเภทต้องขอ "อนุญาต" ประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งจากกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น กล่าวคือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ได้แก่ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, คาร์ฟูร์, แม็คโคร หรือห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์, ตั้งฮั่วเส็ง จะต้องมาขออนุญาตในการประกอบธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสาขาย่อยของค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส ก็ต้องมาขออนุญาต รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มียอดขายรวมกันเกิน 1,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น, แฟมิลี่มาร์ท, เฟรชมาร์ท เป็นต้น ที่จะต้องมาขออนุญาต โดยรวมไปถึงผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ไปประกอบธุรกิจด้วย ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ กฎหมายได้ "ยกเว้น" ให้ธุรกิจดังต่อไปนี้ไม่ต้องขออนุญาต คือการขายยา, การค้าน้ำมัน, การขายหนังสือหรือหนังสือพิมพ์, การขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว, การขายอัญมณีหรือเครื่องประดับ, การขายอาหารสำเร็จรูป, การขายสินค้าชุมชน ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่จะเป็นผู้กำหนดออกมาว่า จะให้ขออนุญาตหรือไม่ โดยออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลังนอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังได้ตัดคณะ กรรมการควบคุมระดับจังหวัดออกไป โดยให้มีเพียงคณะกรรมการส่วนกลางเพียงชุดเดียว เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ออกระเบียบ การพิจารณาใบอนุญาต การจัดทำกฎกระทรวง เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และยังให้คณะกรรมการฯมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง วันเวลาเปิดปิด การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค และหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เห็นว่าจำเป็น โดยในมาตรา 33 ระบุไว้ชัดเจนว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ก่อนที่กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ ให้ยื่นขออนุญาตภายใน 60 วัน และยังประกอบธุรกิจต่อไปได้ ส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตก่อสร้างหรือขยายสาขาต้องมาแจ้ง และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ แต่ที่ได้รับอนุญาตไปแล้วก็สามารถดำเนินการได้ต่อไป
โดย
Linsu_th
พฤหัสฯ. ก.พ. 21, 2008 5:22 am
0
0
กลุ่มบริการทางการแพทย์
สมิติเวชประกาศตรึงค่าบริการ รับสวนกระแสค่าใช่จ่ายที่สูงขึ้น โรงพยาบาลสมิตเวช ยึดนโยบายพอเพียง ไม่ปรับราคาขึ้น ค่าบริการทางการแพทย์ ชี้ต้นทุนอุปโภค บริโภค ที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเอาใจใส่ดูแลผู้เข้ามาใช้บริการเหมือนเดิม ชี้โรงพยาบาลในเครือ 3 แห่ง ให้บริการที่หลากหลายด้านการแพทย์ต่อเนื่องนายเรมอนด์ ฌอง กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมิตเวช จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงพยาบาล สมิติเวช กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลสมิตเวช ไม่ขึ้นราคา อัตราค่าบริการสำหรับผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการ เนื่องจากต้องการตอบสนองแนวทางพระราชดำริ "เศรษฐกิจพอเพียง" ทั้งนี้ในปัจจุบันค่าครองชีพของประชาชนได้เพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้บริษัทฯ ยังคงให้บริการในอัตราค่าบริการการต่างๆ เท่าเดิม ไม่เพิ่มราคาแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลสมิติเวช มองว่า การรักษาพยาบาลคือเรื่องจำเป็นที่ผู้บริโภคไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงมีผลกระทบกับค่าครองชีพ ดังนั้น จึงเป็นเป็นการแบ่งเบาของลูกค้าอีกทางหนึ่งทั้งนี้ทางโรงพยาบาล ได้รับผลกระทบกับกระแสเศรษฐกิจในประเทศ ที่ยังไม่เติบโตมากนัก แต่ทางโรงพยาบาล ก็ยังเล็งเห็นความสำคัญกับตัวพนักงานของบริษัทฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งในองค์กร ที่ช่วยให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับพนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้พนักงาน มีความสมดุลกับสภาพค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โรงพยาบาล มีต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการบริการแก่ผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย"ท่ามกลางสภาวะความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทางโรงพยาบาลสมิติเวช จึงตรึงราคาค่าบริการทางการแพทย์ไว้ และขอให้ผู้มาใช้บริการมั่นใจว่า จะได้รับการดูแล และการบริการด้านสุขภาพที่ดีเช่นเดิม แม้ว่าองค์ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญหน้ากับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น จากสินค้าอุปโภค บริโภค และค่าน้ำมัน ที่ปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้โรงพยาบาลสมิติเวช เข้าใจผู้บริโภคทุกกลุ่ม" นายเรมอนด์ กล่าวและว่าปัจจุบัน โรงพยาบาลสมิติเวช มีทั้งหมด 3 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท, ศรีนครินทร์ และศรีราชา ถือว่า เน้นการบริการที่ครอบคลุม และความหลากหลายด้านการแพทย์ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยในต่างจังหวัด ซึ่งในต่างจังหวัด โรงพยาบาลต่างๆ เริ่มเข้าไปเปิดตลาดมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงได้เพิ่มห้องผู้ป่วยวิกฤติที่มีเครื่องมือกู้ชีพครบถ้วนสมบูรณ์ 15 ห้อง และห้องผ่าตัดอีก 6 ห้อง พร้อมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่ใส่ใจทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับความไว้วางใจจากชุมชนมาช้านาน โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชามองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเสมอมา และได้ก่อตั้งบริการที่หลากหลาย อาทิเช่น คลินิกเด็ก, บริการทันตกรรม, และศูนย์สุขภาพ เพื่อดูแลสวัสดิภาพให้แก่ชุมชนใกล้เคียงและกลุ่มนักท่องเที่ยวนานาชาตินอกจากนี้ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายกลุ่มสมิติเวช ยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและทักษะความเชี่ยวชาญกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกแขนงในโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท และศรีนครินทร์อีกด้วย การทำงานเป็นเครือข่ายช่วยให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ศรีราชามีความสอดคล้องและต่อเนื่องยิ่งขึ้น http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=M2222945&issue=2294
โดย
Linsu_th
ศุกร์ ก.พ. 08, 2008 9:10 pm
0
0
modern trade and household
ชี้สงครามค้าปลีกปีนี้ยังแข่งรุนแรง [22 ม.ค. 51 - 04:42] นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน เปิดเผยว่า การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกจะยังคงแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต้องพยายามงัดกลยุทธ์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในส่วนของแนวทางการทำตลาดของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในปี 2551 จะใช้การตลาดแบบผสมผสานไม่เน้นการสงครามราคา เนื่องจากเชื่อว่าลูกค้ายังคงมีกำลังซื้อ แต่ต้องกระตุ้นตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ล่าสุดเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ใช้งบประมาณกว่า 80 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต้อนรับเทศกาลตรุษจีนภายใต้ชื่อ เดอะมอลล์ แฮปปี้ ไชนิส นิวเยียร์ ระหว่างวันที่ 24 ม.ค.-17 ก.พ. 2551 โดยลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,000 บาท ลุ้นรับอั่งเปาส่วนลดสูงสุด 50% โดยตั้งเป้ายอดขายช่วงตรุษจีน 3,000 ล้านบาท สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลงในขณะนี้ มองว่าจะส่งผลกระทบ ต่อห้างสรรพสินค้าเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง หรือกลุ่มผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในภาพรวมปี 2551 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 45,000 ล้านบาท นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เทสโก้ โลตัส เปิดเผยถึงกระแสข่าวว่าเทสโก้ โลตัส เพียงเจ้าเดียวที่ยังไม่ให้ความร่วมมือเรื่องธงฟ้าว่า ในฐานะผู้ประกอบการ เราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางราชการในทุกๆเรื่อง แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมด กรณีโครงการมุมธงฟ้าก็เช่นกัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ทางโลตัสได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาพื้นที่ให้กับรถเข็นธงฟ้า โดยปัจจุบันมีสาขาต่างๆ 13 สาขาทั่วประเทศที่มีรถเข็นธงฟ้า นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ศูนย์อาหารในสาขาต่างๆของเทสโก้ โลตัสกว่า 50 สาขาก็ได้รับความร่วมมือจากร้านค้าต่างๆ ในการจัดทำรายการอาหารจานหลักราคา 20-25 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของลูกค้าเพียงแต่ไม่ได้ประดับธงฟ้าเท่านั้น ซึ่งหากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ประดับธงฟ้าก็พร้อมดำเนินการให้.
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 22, 2008 8:13 am
0
0
Re: Tluxe
[quote="hs5zzz"]:oops:
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ ม.ค. 20, 2008 10:56 pm
0
0
VI ท่านใดยังสนใจเหมืองทองคำ thl อยู่บ้างครับ
ลักษณะธุรกิจ : ธุรกิจสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ ในสัมปทานแปลงที่ 4 จังหวัดเลย ประเทศไทย ในเดือนมกราคม 2546 บริษัทฯ ได้รับประทานบัตรชุดแรกจำนวน 6 แปลง ระยะเวลา 25 ปี ปริมาณสินแร่ที่ได้รับรองจากที่ปรึกษาอิสระ 4.49 ล้านตันที่ความสมบูรณ์ของทองคำ 4.14 กรัมต่อสินแร่หนึ่งตัน การดำเนินงานเป็นแบบเหมืองเปิด โดยแหล่งแร่ทองคำมีลักษณะแผ่ขยายออกไปในแนวราบและในแนวลึก **รอหุ้น A*** ที่เหมืองพิจิตร...เข้าตลาดดีกว่า...เป็นสัมปทานของ กลุ่มประเทศออสเตรเลีย..เข้ามาลงทุนเกือบๆ5-6 ปีแล้วและรอแต่งตัวเข้า ตลท.อยู่....ทุกวันนี้ เหมืองที่เลย... มีปัญหาการผลิต...ยังต้องโทรสอบถามวิธีการแก้ปัญหาที่เหมืองพิจิตรเลย...และดูเหมือนจะมีปัญหาค่อนข้างมาก :roll: :roll:
โดย
Linsu_th
พุธ ม.ค. 16, 2008 11:39 am
0
0
7 ปี แห่งการเติบโต
สุขใจที่ได้รับ ... องค์ความรู้ ....ใน...VI.นี้ :bow: :bow: :bow:
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 15, 2008 11:19 am
0
0
เว็บไซต์ set.or.th ปรับโฉมใหม่
หัวข้อราคาหลักทรัพย์เดิมสามารถเลือกหุ้นได้ 10 รายการ ตอนนี้หายไป หรือ ผมหาไม่เจอ มีแต่เลือกดูที่ละกลุ่มหลักทรัพย์ กับ กระดานซื้อขาย ของใหม่ดีกว่าเก่าตรงไหนบ้างเนี่ย...สวยงามขึ้น ? :?:
โดย
Linsu_th
อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:56 am
0
0
ภาพรวมเศรษฐกิจ
น้ำมัน-สินค้า-ดอกเบี้ย พาเหรดขึ้นราคารับปี"51 คนไทยเตรียมใจกระเป๋าฉีก ประเทศไทยปี 2550 ประสบปัญหาที่หนักหนาสาหัส แต่ก็ยังมีหลายคนที่บอกว่านั่นเป็นแค่เผาหลอก แต่เผาจริงคือปี 2551 ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ "มติชน" จึงได้รวบรวมสารพัดปัญหาทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหนูเอาไว้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย - ราคาพลังงานแพง มีแนวโน้มชัดเจนว่า ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน หากเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ในปี 2551 ราคาน้ำมันจะยังคงทรงตัวระดับสูงทั้งในตลาดโลก และราคาขายปลีกในประเทศ โดยราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยน่าจะอยู่ในระดับ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปทั้งเบนซิน และดีเซลในตลาดสิงคโปร์ก็คงเกินระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนราคาขายปลีกนั้น อาจจะมีช่วงขึ้นลงแตกต่างกัน แต่เฉลี่ยแล้วก็ยังแตะระดับ 30 บาทต่อลิตรอยู่ และในช่วงอันใกล้ประมาณวันที่ 2-3 มกราคมนี้ ปตท.อาจจะปรับราคาทุกชนิดขึ้นอีก 40 สตางค์ต่อลิตร หลังจากที่ยอมตรึงราคาในช่วงปีใหม่ให้แล้ว 6 วันนอกจากราคาน้ำมันแล้ว ก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี ก็ต้องปรับขึ้นอีกแน่นอน หลังจากที่ได้ปรับขึ้นไปแล้ว 1.20 บาทต่อลิตร ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามสูตรราคาหน้าโรงกลั่นแบบใหม่ ที่กระทรวงพลังงานกำหนดให้สามารถอิงราคาในตลาดโลกที่สูงกว่าราคาในไทยกว่าเท่าตัวได้ โดยในช่วงไตรมาส 1 นี้สูตรใหม่กำหนดให้อิงราคาตลาดโลกได้ 5% และค่อยๆ ปรับขึ้นไปเรื่อยๆ สูงสุดให้อิงตลาดโลกได้ถึง 40% ซึ่งขณะนี้ราคาตลาดโลกอยู่ที่ระดับประมาณ 850 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาหน้าโรงกลั่นอยู่แค่ 320 เหรียญต่อตันเท่านั้น หากในเดือนมกราคมนี้ราคาใหม่ในตลาดโลกทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นอีก คาดว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี ราคาขายปลีกแอลพีจีอาจจะปรับขึ้นเฉียด 1 บาทต่อกิโลกรัม และโดยรวมทั้งปีหากอิงราคาตลาดโลกถึง 40% ราคาขายปลีกอาจจะต้องปรับขึ้นอีกประมาณ 3-5 บาทต่อกิโลกรัม - สารพัดสินค้าขึ้นราคา ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น มีสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2550 แล้วว่า สินค้าหลายรายการตั้งท่าปรับเพิ่มราคา อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปรับเพิ่มจากซองละ 5 บาท เป็น 6 บาท หรือเพิ่มมาอีกซองละ 1 บาท น้ำมันพืช คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 4-5 บาท นมพร้อมดื่ม ราคาปรับเพิ่มขึ้นอีก 10-15% ปลากระป๋องปรับเพิ่มขึ้นอีกกระป๋องละ 2-3 บาท และยังมีราคา หมู เนื้อ ไก่ ที่คาดว่าปรับเพิ่มขึ้นอย่างถ้วนหน้าผลสืบเนื่องมาจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ประเภทข้าวโพด รำข้าว มันสำปะหลัง ราคาปรับเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ผลิตพลังงานทดแทนประเภทเอทานอล ไบโอดีเซล นอกจากนี้ ยังมีวัตถุดิบสินค้าเกษตรประเภท น้ำมันปาล์ม นมผง ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากปัญหาภาวะโลกร้อนและส่งผลสืบเนื่องต่อน้ำนมดิบซึ่งผู้ประกอบการนมพร้อมดื่มพาสเจอไรซ์ ยูเอชที รับซื้อจากกลุ่มสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 2 ครั้งในรอบ ปี จาก 12.50 บาท มาเป็น 16.50 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้นครั้งละ 2 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ผู้ประกอบการนมพาสเจอไรซ์ ซึ่งใช้ส่วนผสมของน้ำนมดิบ 100% ต้องขอปรับเพิ่มราคาสองครั้ง ในช่วงกลางปีและปลายปีโดยแต่ละครั้งราคาปรับเพิ่มขึ้น 10-15% ตามราคาน้ำนมดิบ - ค่าโดยสารปรับราคา สิ่งที่ประชาชนจะต้องเจอในปี 2551 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของค่าสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าขนส่ง เนื่องจากปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับค่าขนส่ง ก็คือ ราคาน้ำมัน ทำให้ค่าโดยสารรถประจำทาง ทั้งรถ ขสมก. รถ บ.ข.ส. รถร่วม บ.ข.ส. รถร่วม ขสมก. รถไฟ และเรือจะต้องปรับขึ้นอย่างแน่นอนโดยก่อนหน้านี้ ในส่วนของรถร่วม ขสมก.ได้มีการปรับราคาขึ้นไปก่อนแล้ว ขณะที่รถเมล์ ขสมก. บ.ข.ส. ยังไม่ปรับขึ้น แต่วันที่ 15 มกราคมนี้จะปรับขึ้นอีก 50 สตางค์อย่างแน่นอน ขณะที่เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบ ก็จะปรับราคาด้วยเช่นกันนอกจากนี้ ในส่วนของค่าผ่านทางพิเศษจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก โดยทางด่วนดอนเมือง โทลล์เวย์ จะปรับขึ้นเป็น 55 บาท ตลอดเส้นทางในเดือนมกราคม 2551 ขณะที่ทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 จะมีการพิจารณาปรับขึ้นประมาณเดือนมีนาคม 2551 ซึ่งยังไม่รวมถึงค่ารถไฟที่ขณะนี้ยังอั้นราคาอยู่อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นปี 2551 ประชาชนผู้ใช้บริการ คงจะต้องรัดเข็มขัดให้แน่นเข้าไปอีก - ดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาสินค้าและค่าบริการที่ปรับขึ้นจากผลพวงน้ำมันแพงนั้น ย่อมต้องสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหนีไม่พ้นที่ ธปท.จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยสกัดไม่ให้เงินเฟ้อเร่งตัวมากจนเกินไป และแน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่อยู่ในทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ามักจะปรับขึ้นรวดเร็วกว่าในช่วงดอกเบี้ยขาลงอย่างมาก หรือหลายครั้งยังพบว่าธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นไปก่อนที่ ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งหน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งต่างคาดการณ์กันว่า สำหรับวัฏจักรเศรษฐกิจในรอบนี้เราคงได้เห็นอัตราดอกเบี้ยในประเทศเริ่มปรับตัวขึ้นประมาณไตรมาสที่ 2/2551 โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้าดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับขึ้นประมาณ 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.75% ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ก็คงจะปรับขึ้นไม่ต่ำไปกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัวแบบมีระยะเวลาที่คิดกับลูกค้าชั้นดี (MLR) ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยที่ประมาณ 6.8750% เพราะฉะนั้นในปีหน้าคนที่มีภาระผ่อนบ้านอยู่แล้วต้องลำบากขึ้น หรือคนที่คิดจะซื้อบ้าน ซื้อรถ สินค้าคงทนต่างๆ ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังว่าจะสามารถแบกภาระของดอกเบี้ยที่แพงขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะในภาวะที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นในช่วงเศรษฐกิจซบเซาแบบนี้ - คนไทยอาจเสียภาษีเพิ่ม ปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-ก.ย.2550) อาจจะเป็นปีที่ผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลบรรลุผลเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ สามารถจัดเก็บได้ถึง 1,445,600 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการถึง 25,600 ล้านบาท และสูงกว่าปีงบประมาณ 2549 จำนวนถึง 105,912 ล้านบาท เป็นผลทำให้ฐานะเงินคงคลังของประเทศ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2550 มีทั้งสิ้น 132,138 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2,803 ล้านบาท จึงกล่าวได้ว่าฐานะเงินคงคลังของประเทศยังมีความมั่นคงอยู่มากแต่ปี 2551 สถานการณ์อาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะเท่าที่ติดตามข้อมูลนโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ของพรรคการเมืองมารวบรวมและวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อฐานะการคลัง ล้วนแต่มีนโยบายด้านรายจ่ายต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังได้ หากไม่มีแนวทางแสวงหารายได้เพิ่มที่ชัดเจนอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโครงสร้างภาษีทั้งระบบนั้น ภาษีตัวสำคัญที่สุด คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 26.5% ของรายได้รวม ซึ่งจะคงอยู่ที่ระดับ 7% จนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการศึกษาถึงผลกระทบของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงไว้ว่าหากปรับขึ้น หรือลด 1% จะมีผลต่อรายได้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่มีเวลาที่จะตัดสินใจ โดยทางเลือกมีไม่มาก มีแค่ขึ้นเป็น 10% แล้วได้เม็ดเงินทันที 1.2 แสนล้านบาท แต่จะช็อคกำลังซื้อประชาชนที่ได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้ออยู่แล้ว หรือจะทยอยขึ้นปีละ 1% จะทำให้ได้รายได้เข้ามาปีละ 4 หมื่นล้าน แต่ยอมมีรายได้ไม่สูงมากนักขณะที่ภาษีสรรพสามิตซึ่งมีสัดส่วน 18.9% ของรายได้รวมนั้น ยังมีช่องว่างที่จะสามารถดำเนินการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติมได้อีก โดยอาจจะขยายฐานการจัดเก็บไปยังสินค้าและบริการอื่นๆ รวมถึงการจัดเก็บภาษีตัวใหม่ๆ เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีมรดก และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งกระทรวงการคลังได้เตรียมศึกษาประกอบการตัดสินใจของรัฐบาลชุดหน้าไว้แล้วจึงนับว่าเป็นงานหินที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแกะรอยงบประมาณ และบริหารฐานะการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากได้รัฐบาลที่ไม่มีความสามารถเพียงพอ สุดท้ายกรรมคงมาตกที่กระเป๋าประชาชนผ่านการเก็บภาษีไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอนทั้งหมดที่เอ่ยมา ล้วนเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคต้องประสบในปีหนู 2551 เตรียมใจรับกันหรือยัง?? http://www.norsorpor.com/go2.php?t=mg&u=http%3A%2F%2Fwww.matichon.co.th%2Fmatichon%2Fmatichon_detail.php%3Fs_tag%3D01eco01020151%26amp%3Bday%3D2008-01-02%26amp%3Bsectionid%3D0103
โดย
Linsu_th
พุธ ม.ค. 02, 2008 8:25 pm
0
0
modern trade and household
จับตาค้าปลีก เปิดเกมรุกปีหนู-ผุดโมเดลใหม่สู้ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2551 18:38 น. จับตาธุรกิจค้าปลีกปีหนู ค่ายยักษ์เร่งระดมเปิดตัวโมเดลใหม่ชัดเจน หลังชิมลางปีที่แล้วหลายค่าย หลายรูปแบบ ทั้ง ไลฟ์สไตล์มอลล์ คอมมูนิตี้มอลล์ ของเทสโก้โลตัส ขณะที่เซ็นทรัลลงสนามคอมมูนิตี้มอลล์เต็มตัว ด้านบิ๊กซีก็โหมโรงหยั่งขาสู่สเปเชียลตี้สโตร์ ปั้นร้านเพรียว เต็มตัวปีนื้เหมือนกัน ส่วนเซเว่นฯเตรียมรุกหนักร้านขายยาเอ็กซ์ตร้า ธุรกิจค้าปลีกในปี 2551 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามองถึง ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ทั้งของไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรดหรือห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ คอนวีเนียนสโตร์ ที่แต่ละเซ็กเม้นท์ถือว่ามีรายใหญ่ยึดตลาดอยู่แล้วทั้งสิ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ร่างพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ..... ที่ยังไม่สามารถคลอดออกมาใช้ได้ ทั้งๆที่มีการคาดการณ์กันว่าจะสำเร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากมีแรงต่อต้านจากรายใหญ่ในวงการที่หวั่นว่าจะได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.ฯนี้ จึงมีการชะลอกันมาตลอด อีกทั้ง ยังมีเสียงแตกกันเองในคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของ สนช. ชุดก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพการแข่งขันในเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการภาคเอกชน ก็ยังจำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ห้ำหั่นต่อสู้กันไม่หยุด ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การขยายตัวของโมเดลใหม่ๆของยักษ์ใหญ่ที่จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ เหตุผลหนึ่งเนื่องจากว่า ยักษ์ใหญ่ต่างๆเหล่านี้ก็หวั่นเกรงการคุมเข้มจากพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ จึงทำให้ต้องเร่งรีบผุดโมเดลใหม่ๆมาขยายฐานไว้ก่อน และการผุดโมเดลใหม่ๆก็ล้วนแต่เป็นขนาดเล็กๆที่หวังจะเข้าสู่ชุมชนมากขึ้นหากไม่กล่าวถึงรายใหญ่อย่างเทสโก้โลตัสก่อน ก็คงจะดูกระไรอยู่ เพราะค่ายนี้ขยับเขยื้อนทีไร ค้าปลีกพวกหญ้าแพรกก็แหลกลาญทุกครั้งไป ปีนี้ จะเป็นปีที่ค่ายเทสโก้โลตัสจะเคลื่อนทัพเปิดตัวรูปแบบค้าปลีกโมเดลใหม่ๆมากขึ้นแน่นอน ทั้งรูปแบบใหญ่และแบบเล็ก เพื่อหวังที่จะขยายฐานตลาดและรักษาความเป็นผู้นำตลาดให้ได้เทสโก้โลตัสประเดิมเปิดศึกนำร่องเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนที่จะเปิดศักราชใหม่ปี 2551 มี่ก่กี่วันเท่านั้นเอง โดยเปิดตัวโมเดลใหม่ที่เรียกว่า เทสโก้โลตัส ไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้งมอลล์ ที่ถนนปิ่นเกล้า ด้วยการซื้อตึกเก่าเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า และทำการปรับปรุง(รีโนเวต)ให้ใหม่ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และเปิดบริการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2550 โมเดลใหม่นี้ของเทสโกโลตัสครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่ดสดซิงๆในตลาดค้าปลีกเมืองไทยเราก็ตาม แต่ก็ถือว่าใหม่สำหรับเทสโก้โลตัสในไทย ที่จะสร้างความน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยสาขาใหม่ที่ปิ่นเกล้านี้ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกๆของเทสโก้ก็ได้ที่ใช้อาคารเก่าเป็นตึกสูงเกินกว่า 2 ชั้น จากปรกติที่เป็นอาคาร 2 ชั้นเป็นหลักและอยู่ในแนวราบ บนพื้นที่รวมกว่า 60,000 ตารงเมตร(ตร.ม.) แบ่งเป็นพื้นที่ขายของเทสโก้โลตัสเองรวมกับพื้นที่พลาซ่า กว่า 8,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นไซส์ขนาดพอประมาณ ส่วนพื้นที่ร้านค้าเช่าประมาณ 16,000 ตร.ม. (รวมพวก ฟู้ดคอร์ท ร้านอาหารแบรนด์เนม คาราโอเกะ ร้านไอทีและสถาบันการเงิน) ทั้งนี้เทสโก้เองก็เล็งที่จะเปิดไลฟ์สไตล์ชอปปิ้งมอลล์อีกหลายแห่งเหมือนกัน หมากต่อไป เทสโก้โลตัสเตรียมเปิดตัว โมเดล คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็นโมเดลที่มาแรงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเทสโก้เตรียมเปิดที่ และในไตรมาสแรกปีนี้ก็เตรียมเปิด เทสโก้โลตัสซึ่งเป็นแบบกรีนสโตร์สาขาที่ 2 นครปฐม ซึ่งจะเป็นสาขาประหยัดพลังงานสมบูรณ์แบบอย่างไรก็ตาม นายกวิณ สัณฑกุล กรรมการและประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารเทสโก้โลตัส ย้ำว่า รูปแบบใหม่ๆของเทสโก้โลตัส จะเกิดขึ้นแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับทำเลและความเหมาะสมของพื้นที่ที่ได้มา และทำเล รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยว่าต้องการอะไร สังเกตได้ว่า เทสโก้โลตัสพยายามที่จะฉีกหนีตัวเองจากการเป็นเพียงแค่ โมเดิร์นเทรด เพื่อหวังรุกเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัว ในรูปแบบคล้ายๆกับศูนย์การค้ามากขึ้น ในรูปแบบชอปปิ้งมอล์หรือคอมมูนิตี้มอลล์ เช่นเดียวกับค่ายเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เริ่มหันมาเอาดีทางด้านการพัฒนา คอมมูนิตี้มอลล์บ้างแล้ว และปีนี้ก็จะเริ่มบุกหนักหลังจากที่เริ่มปูทางเมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ นายลิขิต ฟ้าปโยชนม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในเครือเซ็นทรัล ได้กล่าวเอาไว้ถึงทิศทางการลงทุนเปิดค้าปลีกแบบใหม่ว่า มีแผนที่จะพัฒนาค้าปลีก 2 โมเดลใหม่ คือ คอมมูนิตี้มอลล์ กับรีเทลเทนเม้นต์ ทั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลเปิดตัวคอมูนิตี้มอลล์แห่งแรกที่อุดมสุข ซึ่งถือว่าเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นและมีกำลังซื้อสูงพอสมควร มีหมู่บ้านอยู่รายล้อมจำนวนมาก เซ็นทรัลวางแผนที่จะเปิดคอมมูนิตี้มอลล์แบบนี้อย่างน้อยๆ ปีละ 3 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นเกมรุกที่น่ากลัวไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าโมเดลคอมมูนิตี้มลอล์นี้เป็นที่ตอบรับของตลาดค้าปลีกในไทยอย่างมาก ไม่เพียงแต่สองค่ายใหญ่ทางด้านโมเดิร์นเทรดอย่างเทสโก้โลตัสกับห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลเท่านั้น แต่พี่เอื้อยแห่งวงการคอนวีเนียนสโตร์อย่าง เซเว่นอีเลฟเว่นก็ใช่ย่อย เพราะหันมาเอาดีทางด้านธุรกิจเฉพาะอย่างมากขึ้น นอกเหนือจากร้านหนังสือบุ๊คสไมล์ ร้านคัดสรร เป็นต้น ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้นส่วนร้านเดิมนั้นอย่างร้านคัดสรรที่เป็นร้านจำหน่ายอาหารเป็นหลักก็มีแผนที่จะขยายต่ออีกเช่นเดียวกับร้านบุ๊คสไมล์ที่จำหน่ายหนังสือ โดยเซเว่นอีเลฟเว่นได้ทดลองเข้าสู่ธุรกิจร้านขายยาในชื่อร้านว่า เอ็กซ์ตร้า ซึ่งประเดิมสาขาแรกเปิดบริการที่ย่านถนนจรัลสนิทวงศ์ไปแล้ว เป็นร้านที่ขายยาโดยเฉพาะ ซึ่งหากเซเว่นฯเอาจริงแล้ว ก็น่ากลัวว่า ร้านเอ็กซ์ตร้า จะสยายปีกอย่างรวดเร็วและกระแทกธุกริจเชนร้านขายยาและร้านหมอตี๋อย่างแน่นอน สำหรับค่ายบิ๊กซี ก็ฉีกแนวออกมาสู่ธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ เป็นครั้งแรกด้วยการปั้นร้าน เพรียว เพื่อรุกธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ ซึ่งประเดิมเปิดสาขาแรกที่ บิ๊กซีสาขาหางดงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยสินค้าที่จำหน่ายในร้านมีทั้ง ยา ผลิตภัณฑ์ความงาม อาหารเสริม เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ สเปเชียลตี้แบบนี้มีคู่แข่งโดยตรงไม่กี่รายเช่น ร้านบู๊ทส์ ร้านวัตสัน ที่เป็นเชนใหญ่ๆระดับอินเตอร์ การที่บิ๊กซีขยายตัวเข้มาในสนามนี้ หากเทียบในแง่ของตัวแบรนด์แล้วยังห่างชั้นกันมาก แต่หากมองไปที่ความพร้อมด้านเงินทุน ประสบการณ์ค้าปลีกแล้ว ยังด่วนที่จะสรุปว่า เพรียว ของบิ๊กซี จะสู้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเปิดเกมรุกที่น่าสนใจกว่าครั้งที่ผ่านๆมาของบิ๊กซีที่พยายามเปิดตัวโมเดลใหม่ๆ ก่อนหน้านี้โมเดลใหม่อย่าง ร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ ก็เกิดขึ้น แต่เป็นร้านที่ขายของเฉพาะเฮาส์แบรนด์ของบิ๊กซีเอง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร กระทั่งมีการปรับตัวหลายครั้ง แต่ในที่สุดบิ๊กซีก็เตรียมที่จะปิดฉากร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ลง และปรับเป็นร้าน มินิบิ๊กซีแทน ซึ่งก็เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง ในการลดขนาดของบิ๊กซีแบบใหญ่ลงมา เน้นการขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่มินิบิ๊กซีสาขาแรกที่เปิดที่อุดมสุข ก็ยังเป็นการทดลอง ส่วนสาขาใหม่ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นตามมาอีก ภาพการแข่งขันในตลาดรวมค้าปลีกปี 2551 นี้ ยังคงแข่งขันกันรุนแรงไม่แพ้ปี 2550 ที่ผ่านมา การขยายตัวโมเดลใหม่ถือเป็นอีกสีสันหนึ่งในการเพิ่มดีกรีการแข่งขัน ขณะที่โมเดลเดิมของแต่ละค่ายก็ยังคงมีการขยายตัวต่อไปแบบไม่หยุดหย่อน http://www.norsorpor.com/go2.php?t=mg&u=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FBusiness%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9500000155705
โดย
Linsu_th
พุธ ม.ค. 02, 2008 7:22 pm
0
0
modern trade and household
ห้างยักษ์โหมเคาต์ดาวน์ปั่นยอดขาย [31 ธ.ค. 50 - 00:17] เทศกาลแห่งความสุข บรรยากาศยังคงคึกคัก ครึกครื้นต่อเนื่อง จากบรรดาห้างสรรพสินค้าน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ในย่านช็อปปิ้งสตรีท ใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งแต่สี่แยกปทุมวัน ลากยาวตลอดถนนพระราม 1 ถึงสี่แยกราชประสงค์ จนถึงห้างดิ เอ็มโพเรียม จัดงานเคาต์ดาวน์ นับถอยหลังสู่ปีหนูทอง พร้อมรายการลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ กระตุ้นกำลังซื้อทั้งคนไทยและชาวต่างชาติกันเต็มสตรีม จุดใหญ่ของการเคาต์ดาวน์ปีนี้ ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก เห็นจะเป็นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ที่บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกในย่านดังกล่าว อาทิ ศูนย์การค้าเกษร เซ็นทรัลเวิลด์ เซน อัมรินทร์เอราวัณแบงค็อก สยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ และสยามเซ็นเตอร์ จัดงานเคาต์ดาวน์ต้อนรับปี 2008 กันอย่างคึกคัก พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักช็อปปิ้ง ด้วยการร่วมกันทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด รวม 65 กล้องในที่สาธารณะจุดต่างๆ ทั่วย่านราชประสงค์ และเตรียมทีมรักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 1,000 คน ให้อยู่ตามจุดต่างๆ หลังสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ พัฒนาปรับปรุงย่านดังกล่าว ที่มีพื้นที่รวมกว่า 1,000,000 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับช็อปปิ้งกว่า 600,000 ตารางเมตร รวมกว่า 900 ร้านค้าต่อเนื่อง เพื่อยกระดับย่านราชประสงค์ให้เทียบเท่ามาตรฐานโลก เป็นศูนย์กลางการค้าและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของภูมิภาค เพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เข้ามาเที่ยวและช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกในประเทศไทย หลังเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในกลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอาหรับ หลังจากที่ชะลอและหยุดเดินทางเข้ามาเที่ยวตั้งแต่ต้นปี 50 ที่เกิดเหตุการณ์วางระเบิดกลางกรุงหลายแห่ง โดยหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทนปัจจุบันจำนวนนักท่อง เที่ยวในย่านราชประสงค์มีประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี ปี 50 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% จากปี 49 เนื่องจากมีการคมนาคมสะดวก มีรถไฟฟ้าบีทีเอส มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และมีแหล่งช็อปปิ้งหลากหลาย นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปี 50 ต้อนรับปี 51 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้ร่วมกับซีเอ็ม อีเว้นท์ ของบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์, ททท.และ กทม. ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท จัดเคาต์ดาวน์รูปแบบใหม่ Hands Bangkok Countdown 2008 @ Central World ที่สะท้อนถึงการหลอมรวมพลังใจ ความสามัคคี และการรวมพลังใจของชาวไทย ถวายพระพรในหลวง เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ โดยปีนี้จัดในรูปแบบเฟสติวัล มีเป้าหมายว่าจะจัดให้เป็นงานเคาต์ดาวน์ดีที่สุดในอาเซียน หรือเดอะเบสต์เคาต์ดาวน์ปาร์ตี้ในอาเซียน คาดว่าวันที่ 31 ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาร่วมงานเคาต์ดาวน์ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และมียอดการใช้จ่ายซื้อสินค้าภายในศูนย์เพิ่มขึ้นต่อคนไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท จาก 2,000-3,000 บาท อีกจุดคือ ที่บริเวณลานพาร์คพารากอน ด้านหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท จัดงานเคาต์ดาวน์ภายใต้ชื่อ สิงค์ พาร์คไลฟ์! 08 บางกอก ฟรีซเคาต์ดาวน์ ในวันที่ 31 ธ.ค. 50 ภายใต้คอนเซปต์ที่ต้องการกระตุ้นจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญ ของภาวะโลกร้อน และรับรู้ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลก สิ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญมากที่สุด สำหรับการจัดงานในปีนี้คือความปลอดภัย จึงได้ใช้งบกว่า 10 ล้านบาท เพิ่มการติดตั้งกล้องซีซีทีวี ซึ่งปัจจุบันมีกล้องทั้งสิ้นกว่า 100 ตัว เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ของรางวัล คือ The River คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา, รถยนต์ Alphard Hybrid, ตั๋วเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์, เพชร และโทรศัพท์มือถือโฟนวัน จากรายการส่งเสริมการขาย 55 Million Thanks ที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมงานได้ร่วมลุ้นจนถึงวันที่ 23 ม.ค. 51นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม-พิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ปีนี้ศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยการทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ตกแต่งศูนย์การค้าทั้งภายในและภายนอก โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ เน้นกระแสลดภาวะโลกร้อน ใช้วัสดุรีไซเคิล อาทิ กระป๋องพลาสติก และกระดาษรีไซเคิลมาทำเป็นต้นคริสต์มาส ขณะที่สยามเซ็นเตอร์ปีนี้ใช้คอนเซปต์ พิงค์ คริสต์มาสพร้อมทำรายการโปรโมชั่น แจกของรางวัลใหญ่ อาทิ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับฮ่องกงพร้อมที่พักฟรี คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นไอพอด ไอทัช และรางวัลจากผู้เช่าในศูนย์ เป็นต้น ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งทุกวัน วันละ 10 รางวัล ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 50-6 ม.ค. 51 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดการซื้อสินค้าของร้านค้าเช่าเติบโตมากกว่า 30% ต่อวัน มีลูกค้าหมุนเวียนเข้า-ออกศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งไม่ต่ำกว่า 100,00 คนต่อวัน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งมากกว่า 6,000-7,000 บาท จาก 4,000 บาทเทศกาลต้อนรับปีใหม่กับสีสัน บรรยากาศ ที่บรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ได้ทุ่มทุนสร้างความยิ่งใหญ่ตระการตา อย่างน้อยก็ทำให้สภาพความหดหู่ ไร้ความหวังของคนไทยกับการแก่งแย่งช่วงชิงการจัดตั้งรัฐบาล ที่น่าเบื่อหน่ายให้มีความคึกคักได้บ้าง.
โดย
Linsu_th
จันทร์ ธ.ค. 31, 2007 1:32 pm
0
0
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
โบรกฯแนะซื้อหุ้น4แบงก์ใหญ่ ชี้กำไรกระฉูดหลังจบกันสำรอง นักวิเคราะห์มองทะลุกำไรแบงก์ปี51 ปรับตัวดีขึ้นแน่ หลังหมดภาระกันสำรอง IAS 39 คาดแบงก์บางแห่งกำไรอาจโตถึง 500% แนะลงทุนหุ้น KBANK-SCB-BBL-BAY ชี้ครึ่งแรก สินเชื่อ SMEs และรายย่อย ขยายตัวดี ส่วนสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่ที่อ้างอิงการลงทุนภาครัฐต้องรอครึ่งปีหลัง เผยปัจจัยที่ต้องจับตามองและสร้างผลกระทบทางลบต่อแบงก์ การเมืองไม่สงบ-การลงทุนไม่เกิด-ซับไพรมเลวร้ายลงนายธนัท รังษีธนานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งใน ปี 2551 จะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะภาระการกันสำรองตามมาตรฐานบัญชี IAS 39 ที่ได้ทำจบสิ้นและหมดภาระไปแล้ว จึงคาดว่าผลกำไรโดยรวมของธนาคารบางแห่งน่าจะขยายตัวได้ถึง 400-500% จากปี 2550 ที่หดตัวประมาณ 76% นอกจากนี้ จากปัจจัยด้านการเมืองหลังการเลือกตั้ง บนสมมติฐานไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในกรอบที่ดีกว่าปีนี้ตามการขยายตัวของการลงทุนและการบริโภค ซึ่งจะส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวได้ถึง 8% จากปีนี้ที่เติบโตเฉลี่ยประมาณ 5%อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานกลุ่มแบงก์ในปี 2551 โดยประเด็นแรกที่ต้องจับตา คือ การเมือง ที่หากไปได้ด้วยดี การลงทุนโครงการต่างๆ คงจะเดินหน้าไปได้ ส่วนปัจจัยนอกประเทศที่สิ่งสำคัญ คือ เรื่องปัญหาซับไพรมในสหรัฐอเมริกาที่จะเลวร้ายลงหรือดีขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ขณะที่ราคาน้ำมัน หากยังปรับตัวสูงขึ้นอีก จะต้องกระทบอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นต่อไป รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นายธนัทกล่าวว่า สำหรับส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ เพราะแม้จะมีแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2551 ที่ 0.50% แต่ก็น่าจะปรับขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าธนาคารที่จะยังสามารถรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยไว้ได้ดี คือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ที่ 4% รองลงมา คือ ไทยพาณิชย์ (SCB) 3.7% กรุงเทพ (BBL) 3.2% และนครหลวงไทย (SCIB) 3.2% สำหรับธนาคารทหารไทย (TMB) ที่ปีนี้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ ING Bank ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน แต่จะยังไม่มีการเติบโตที่โดดเด่น เนื่องจากต้องใช้เวลาในการจัดโครงสร้างภายในและวางกลยุทธ์ธุรกิจร่วมกัน สำหรับหุ้นที่แนะนำซื้อลงทุน คือ BBL ราคาเป้าหมาย 147 บาท, KBANK ราคาเป้าหมาย 98 บาท, SCB ราคาเป้าหมาย 91 บาท ส่วนธนาคารกรุงไทย (KTB) ให้ราคาเป้าหมายที่ 12.55 บาท โดยอาจจะต้องรอดูนโยบายการกันสำรองหนี้ในปีหน้าประกอบด้วย และ SCIB ราคาเป้าหมายที่ 18 บาท นางสาวกิตติมา สัตยพันธ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สินเชื่อปี 2551 เฉลี่ยของทั้งกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 8-9% หลักๆ จะเป็นการขยายตัวในกลุ่มสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสินเชื่อรายย่อย (retail) โดยรายได้โดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นตามภาระกันสำรองหนี้ ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ (normal provision) สำหรับหุ้นที่แนะนำซื้อลงทุน คือ BBL และ KBANK รวมถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ด้านนายณาศิส ประเสริฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ บล.ฟาร์อีส กล่าวว่า หุ้นธนาคารที่แนะนำซื้อลงทุน คือ KBANK ราคาเป้าหมาย 102 บาท, SCB ราคาเป้าหมาย 98.50 บาท และ BAY ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท โดยให้มุมมองที่เป็นบวกในกลุ่มธนาคาร เพราะจะเป็นปีที่กลับมาขยายตัวมากอีกครั้งตามการลงทุนจากภาครัฐที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่ภาคเอกชน การนำเข้าในช่วงไตรมาส 3 และ 4/50 ที่ขยายตัว ชี้ให้เห็นว่าปี 2551 จะมีการลงทุนสูงขึ้น สอดคล้องกับกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ขณะนี้อยู่ในระดับสูงแล้วช่วงครึ่งแรกของปี กลุ่มที่ขยายตัวดีคงเป็น SMEs และรายย่อย ส่วนสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่ ที่อ้างอิงกับการลงทุนของภาครัฐจะชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อย และ SMEs จะยังรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ดี เช่น KBANK และ SCB ที่ไตรมาส 3/50 NIM อยู่ที่ 4.7% และ 4.2% ตามลำดับ ซึ่งปีหน้า BAY จะโดดเด่นขึ้นจากการมีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อมากขึ้น ทำให้จากที่มี NIM ณ ไตรมาส 3/50 ที่ 3.23% ขยับขึ้นใกล้ 4% นายณาศิสกล่าว แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ช่วงปลายปี 2551 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มปรับใช้เกณฑ์ Basel 2 กับธนาคารพาณิชย์เอกชนทุกแห่ง ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารธนาคารหลายแห่ง ส่วนใหญ่เห็นว่าธนาคารพร้อมกับการใช้เกณฑ์ใหม่นี้ โดยประเมินว่าเงินกองทุนของแต่ละธนาคารจะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน แต่เฉลี่ยจะเกิดการลดลงของเงินกองทุน 1-1.5% จากการวิเคราะห์แต่ละแห่งแล้วไม่น่ามีปัญหาโดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ยกเว้นไทยธนาคาร ที่แม้จะเพิ่มทุนแล้วและมีเงินกองทุน 9.5-10% แต่กลับมีสินทรัพย์เสี่ยงจากที่ได้ไปลงทุนในตราสาร CDO ไว้จำนวนมาก จึงอาจยังมีปัญหาเรื่องเงินกองทุนอยู่ ขณะทหารไทยหลังการเพิ่มทุนแล้วมีเงินกองทุนอยู่ 11-12% และได้สำรองหนี้ไปเกือบหมดแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอีกสำหรับผลกระทบจาก IAS 39 น่าจะเหลือน้อย ซึ่งแม้ว่าตามแผนของ ธปท. คาดว่าจะมีการนำมาปรับใช้ทั้งฉบับในปี 2552 แต่ได้มีการปรับใช้มาตรฐานบัญชีนี้ในส่วนสินเชื่อ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของธนาคารไปแล้ว ดังนั้นแม้จะปรับใช้ทั้งฉบับ อาจต้องมีการสำรองสำหรับสินทรัพย์เสี่ยงที่ได้มีการไปลงทุนไว้ เช่น ตราสารอนุพันธ์ต่างๆ ก็ไม่น่าจะเกิดผลกระทบต่อธนาคารมากนัก http://matichon.co.th/prachachat/news_title.php?id=995
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ ธ.ค. 30, 2007 4:24 pm
0
0
EGCO นิ่งสนิท
...EGCO... ...Defensive Stock... http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=5158&postdays=0&postorder=asc&start=180 :roll:
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ ธ.ค. 30, 2007 1:09 pm
0
0
กลุ่มบริการทางการแพทย์
รพ.เอกชนกำไรพุงปลิ้นยอดผู้ป่วยพุ่ง 48 ล้านคน รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนประจำปี 50 ว่า ในปี 49 โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนมีรายรับ 80,654.7 ล้านบาท สูงกว่าปี 43 ที่มีรายรับเพียง 48,117.5 ล้านบาท โดยมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยาบาล 48 ล้านคนเพิ่มขึ้น 47.3% เนื่องจากมีการขยายขอบข่ายการบังคับใช้กองทุนประกันสังคมกับสถานประกอบการที่มีคนทำงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ทำให้มีผู้ประกันตนมาใช้บริการเพิ่มขึ้น สำหรับปริมาณโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนมีจำนวน 249 แห่ง เพิ่มจากปี 43 ถึง 1.2% แบ่งเป็นขนาดเล็กที่มีเตียงต่ำกว่า 31 เตียง มี 163 แห่ง หรือ 38% ขนาด 31-100 เตียง มี 170 แห่ง หรือ 39.6% และขนาดใหญ่มีมากกว่า 100 เตียง มี 96 แห่ง คิดเป็น 22.4% ส่วนผู้ป่วย 48 ล้านคนแบ่งเป็นผู้ป่วยภายนอก 45.3 ล้านคนเพิ่มขึ้น 48.2% และผู้ป่วยภายใน 2.6 ล้านคนเพิ่ม 33% ก่อนหน้านี้มีการสำรวจจำนวนประชากรที่ป่วย 11.4 ล้านคนพบว่ามีการหาซื้อยากินเอง 26.7% รองลงมาไปคลินิกเอกชน 21.7%, ไปสถานีอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข และศูนย์สุขภาพชุมชน 16.2%, โรงพยาบาลชุมชน 16%, โรงพยาบาลทั่วไป 7.8%, โรงพยาบาลเอกชน 4.8% เป็นต้น โดยทั้งหมดมีการจ่ายค่ารักษาเฉลี่ยคนละ 162.1 บาท http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=150063&NewsType=1&Template=1 :roll:
โดย
Linsu_th
อาทิตย์ ธ.ค. 30, 2007 1:02 pm
0
0
สวัสดีปีใหม่ครับ
http://img02.picoodle.com/img/img02/5/12/28/t_Budhatataatm_45510b2.jpg Happy New Year....All...VI. :D :D :D
โดย
Linsu_th
ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 3:50 pm
0
0
modern trade and household
ได้ประโยชน์จากแนวโน้มฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยและ พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่งที่ถูกเลื่อน พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ถูกเลื่อนไปไม่มีกำหนด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดหลังจากที่พิจารณาไม่ทันในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลเป็นบวกต่อกลุ่มพาณิชย์ โดยร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ยังสามารถขยายสาขาและเปิด-ปิดได้ตามปกติโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจฯ ซึ่งให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป (อาจมีการแก้ไขเป็น 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป) 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (อาจแก้ไขเป็น 2,000 ล้านบาทขึ้นไป) และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น โดยจะมีการกำหนดนิยามสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง รวมไปถึงกำหนดที่ตั้งและระยะเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท เช่น ดีสเคาท์สโตร์ แคชแอนด์แครี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น โดยจะมีคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกค.) ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง และวันเวลาเปิด-ปิด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ในปี 2550 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) ปรับตัวลดลงมาโดยตลอดจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคในประเทศจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นรวมทั้งการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ในปี 2551 มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก เรามีความเห็นเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกเนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในปี 2251 และการที่ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไป โดยหุ้นที่เราแนะนำ ได้แก่ CPALL ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมของร้านเซเว่นอิเลฟเว่นที่มีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศถึง 4,199 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 และการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา/ปี ประกอบกับการขายธุรกิจค้าปลีกคือโลตัสที่ประเทศจีนซึ่งมีผลขาดทุนออกไปซึ่งจะส่งผลให้ CPALL มีกำไรเติบโตก้าวกระโดดในปี 2551 สำหรับ HMPRO ก็เป็นหุ้นที่เราแนะนำเนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การเปิดสาขาใหม่ 4-5 สาขาในปี 2551 มีรายได้เพิ่มเติมจากการจัดงาน Home Pro Expo และรายได้ค่าเช่า ส่วน BIGC ก็จะได้ประโยชน์จากการเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 4 สาขาในปี 2551 รวมทั้งการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมซึ่งจะได้รับการผลักดันจากเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น
โดย
Linsu_th
ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 8:18 am
0
0
170 โพสต์
of 4
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
Linsu_th
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
อ่านหนังสือ / ปลูกต้นไม้
ความถนัด:
Employee / Investment
ที่อยู่:
Phitsanulok
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ส.ค. 30, 2006 7:51 am
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 8:58 pm
โพสต์ทั้งหมด:
497 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.03% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว