หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
macarian
แมนยู โรม่า ลิสบอน เคี๊ยฟ
หมาป่าสู้สู้
Joined: เสาร์ ก.พ. 10, 2007 11:21 pm
384
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - macarian
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
คิดยังไงกับการเพิ่มทุน snc
เข้ามาฮา sunrise effect :lovl:
โดย
macarian
พุธ ก.ย. 05, 2007 11:35 am
0
0
GC - Company Visit
ไปด้วยคนครับ
โดย
macarian
ศุกร์ ส.ค. 10, 2007 9:43 pm
0
0
น้าบิลเกตโดนแซงแล้ววว
เมื่อคืนก็นั่งดูครับ เห็นว่ารวยมาจาก การเข้าซื้อหุ้นตอนช่วงที่เศรษฐกิจเม็กซิโกมีปัญหา แล้วก็ซื้อบริษัทต่างๆมา จัดการใหม่ ปรับโครงสร้างใหม่ พอเศรษฐกิจดี ราคาหุ้นขึ้นก็เลยรวยขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อวันแล้ว จิ๊บๆครับ 918 ล้านบาทต่อวัน
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ส.ค. 09, 2007 12:34 am
0
0
ทำอย่างไรให้ลืมราคาทุนที่ซื้อมาดีครับ
เขาบอกว่า if someone makes you mad, forgive him. if you cant forgive, then forget. if you cant forget, then dont remember it. สรุปว่า คราวหน้าไม่ต้องไปจำมัน พูดเหมือนง่ายเนอะ
โดย
macarian
พุธ ส.ค. 01, 2007 11:17 pm
0
0
ไม่ล้าสมัย.. เขามีการซื้อขายความกลัวในตลาดหุ้นด้วยนะเออ
Volatility นี่อยู่ในออฟชั่นครับ การคิดออฟชั่นตาม แบล็กโชล์ ราคาจะเท่ากับ function ของ variables 5 ตัว หนึ่งในนั้นคือ volatility แต่ในความจริงแล้ว volatility มันหาไม่ได้ (unobservable) ในขณะที่ราคาหุ้นที่จะหามันกลับ observable แทนที่จะหา ราคาหุ้น เลยกลายเป็นหา implied volatility แทน ตัว VIX นี่ที่ผมทราบ แตกต่างจากของคุณ mprandy นะครับ คือถ้า VIX สูง แปลว่าคนกำลังกลัว ถ้าต่ำ แปว่าคนกำลังมั่นใจ ตอนเหตุการณ์ 9/11 มันอยู่ที่ 44 ซึ่งเฉลี่ยย้อนไปสิบปีก่อนหน้านั้น มันเคลื่อนไหวอยู่ที่ 20-45 เพราะฉะนั้นตัว volatility ก็ถูกใช้ในการอ่าน sentiment ตลาดบ้าง แต่ โว เดียวมันไม่สะใจพอมั๊งครับ ในการลงทุนบางคนเขาดู โว ออฟ โว ครับ Volatility of volatility แปลเป็นไทยว่า ความผันผวนของความผันผวน (เอาให้งงเข้าไว้) ถ้าความผันผวนของความผันผวนมันเกิดแบบทันที (sudden vo of vo) แสดงว่าเกิดจา shock บางอย่าง เช่น ในเหตุการณ์ 9/11 VIX อยู่ในระดับสูง และควรมี VoV สูงเช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้า VoV ต่ำ คือไม่ผันผวนรุนแรง และตัว VIX ค่อยๆต่ำลง แปลได้ว่า ผู้ลงทุนค่อยๆมีความมั่นใจมากขึ้นๆ ว่าตลาดในอนาคตจะดี ก็อาจแปลได้ว่า มีมาตรการหรืออะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็น shock ในระยะสั้น ที่จะทำให้คนค่อยๆมั่นใจมากขึ้นๆเรื่อยๆ ช่างสรรหาวิธีคิดกันดีไหมครับคนเรา ฮ่าฮ่า
โดย
macarian
เสาร์ ก.ค. 28, 2007 1:09 am
0
0
ทำไมนักลงทุนถึงมองอนาคต ไม่อยู่กับปัจจุบัน
because future is an inescapable result of what present is มั้งครับ ถ้าคิดงี้ก็มองสองอย่างพร้อมกันเปล่าครับ เอ๊ะ ชักงงๆ
โดย
macarian
พุธ ก.ค. 18, 2007 9:51 pm
0
0
สกุลเงินของโลก ควรมีสกุลเดียวหรือไม่
ตอนนี้บ้านเราเป็นประเทศเปิด ต้องการเงินทุนจากต่างประเทศ การส่งออกเป็นรายได้หลัก ไม่ fix อัตราแลกเปลี่ยน อาจมีการแทรกแซงเพื่อชะลอหรือลดความรุนแรงบ้าง แต่ยังปล่อยให้เป็นไปตามกลไก ก็เท่ากับแบงค์ชาติ ยังมีเครื่องมือในการแก้ปัญหาต่างๆ คือ นโยบายทางการเงิน ถ้าจะแก้เรื่องบาทแข็งตอนนี้ โดยผ่าน นโยบายทางการเงิน ก็คงต้องลดดอกเบี้ย เริ่มมีคำแนะนำให้ลดดอกเบี้ยบ้างแล้ว ถ้าลดดอกเบี้ย ก็ไม่รู้จะกระทบเศรษฐกิจระยะยาวอย่างไร เงินเฟ้อ?? แต่ถ้าไม่ลด เพราะมันต่ำมากแล้ว เกรงว่าจะมีเสียงไม่พอใจอีก ก็เท่ากับว่า กำลังต้องการทั้งสามอย่าง ซึ่งมัน impossible แบงค์ชาติจะตัดสินใจอย่างไรหว่า ไม่รู้รอดูดีกว่า
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 17, 2007 2:22 pm
0
0
สกุลเงินของโลก ควรมีสกุลเดียวหรือไม่
Impossible trinity having all three - free mobility of capital - independent monetary policy - exchange rate managed is impossible ถ้าต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั่วโลก ก็ต้องเตรียมระบบเศรษฐกิจ การเงินให้พร้อม แล้วก็ต้องยอมรับเรื่องการไม่สามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้ ถ้าอยากควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน (การมีสกุลเดียวคือการ fix rate) และสนับสนุนให้มีการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอย่างอิสระ ก็ต้องยอมเสียความอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน เขาให้เลือกเอาได้ สองในสามอย่าง
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 17, 2007 1:42 am
0
0
ทำไงดี ถ้ารู้สึกว่าหุ้นที่เราถือ ขึ้นมาแรงเกินไป
สำเร็จโคตรวิชาของพี่พอใจหรือยังล่ะครับ "รู้อะไรไม่สู้....รู้งี้" ถ้ายัง ก็ "อย่าโลภเกินความรู้" เดี๋ยวมันขึ้นสวนไม่ยอมลงแล้วจะยิ่งยุ่ง
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 6:10 pm
0
0
น้องใหม่พึ่งสมัคร ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
"ฝัน" นะที่ขาย ไม่ใช่หุ้น
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 1:32 pm
0
0
น้องใหม่พึ่งสมัคร ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
มาเปิดเพลงให้ฟังครับ เร่ขาย....(ฝัน) :welcome:
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 1:26 pm
0
0
Re: ตอนนี้มีหุ้นอะไรน่าซื้อบ้าง
[quote="ปรัชญา"][quote="supphaat"]ตอนนี้มีหุ้นอะไรน่าซื้อบ้าง
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 11:42 am
0
0
นักวิชาการแนะบี้ภาษีกำไรหุ้นจากรายใหญ่
ผมคิดว่า ถ้าจะแก้เรื่องการเอาเปรียบในตลาดหุ้น ต้องทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากกว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ คือตลาดที่ใหญ่พอ จนไม่มีนักลงทุนรายไหนหรือกลุ่มไหนมีอิทธิพลต่อตลาด ถ้าทำได้ในระดับบริษัทก็จะดี เผยแพร่ข้อมูลอย่างเท่าเทียม รวดเร็วเท่ากันให้มากที่สุด ถ้ามีการ manipulate ราคา หรือ ใช้ อินไซด์ ก็ต้องลงโทษ มากกว่า มาเก็บภาษีนา เก็บภาษีมันหว่านแหจังเลย ถ้าคนถือหุ้นนานๆ มันดีขึ้นราคาเลยเพิ่มขึ้น แต่ทุกปีบริษัทก็จ่ายภาษีแล้ว เขาก็ไมควรโดนเก็บอีก ถ้าจะลดการเก็งกำไร ไปเอามาตรการ 30% มาใช้ยังดีกว่า
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 11:38 am
0
0
ค่าเงินบาทจะไปไหนในทิศทางไหน ตามความเห็นชาว Thaivi
มองว่าดอลล่าน่าจะค่อยๆอ่อนไปเรื่อยๆ
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 12, 2007 10:21 am
0
0
ราคาซื้อทื่เหมาะสม หาได้ยังไงครับ
หลักในการคำนวณมี สองหลักครับ หนึ่ง คำนวณหามูลค่าสินทรัพย์ สอง ความสามารถในการทำกำไร สมมติว่าจะซื้ออพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง ราคา 1 ล้าน ก็ต้องไปดูว่า พื้นที่กี่ตารางวา อยู่แถวไหน ตึกสร้างมานานไหม อะไรประมาณนี้ ตรงนี้ก็คือการประเมิณ Book value ตรงนี้เราควรประเมิณเองเพราะบางอย่างที่ลงในนั้น อาจจะเว่อร์หรือไม่มีประโยชน์สำหรับเราเท่าไหร่ เช่น เจ้าของอพาร์ทเมนท์ อาจบอกว่า นอกจากที่ดินสุดหรู และตึกสุดสวยที่คุณเห็น ยังมีโต๊ะ ตู้ เตียง หมอน ผ้าปูที่นอน อีก แสนแปด แต่เราไปดูแล้ว อาจบอกว่าพี่ยกของพี่ออกไปเหอะ แล้วลดให้ผมแสนแปดแล้วกัน ตรงนี้เราก็ประเมิณเอาว่าทรัพย์สินมันสักเท่าไหร่ แล้วก็ต้องดูเรื่องศักยภาพการทำกำไร ซึ่งสำคัญกว่า ก็ดูว่ากิจการมันทำอะไร อะไรเป็นตัวสร้างรายได้ รายได้มั่นคงแน่นอนไหม ถ้าแน่นอนการใช้ DCF หรือ P/E ก็เหมาะสม แล้วก็ดูว่ามันจะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้รายได้มั่นคง เพิ่มขึ้น หรือลดลงในอนาคต ถ้าดูแล้วคุ้มกับราคาและระยะเวลาที่เราจะลงทุน ก็ว่ากันไป
โดย
macarian
พุธ ก.ค. 11, 2007 11:05 am
0
0
ทราบตัวย่อหุ้นเหล่านี้ไหมครับ
ขอบคุณคร๊าบ
โดย
macarian
จันทร์ ก.ค. 09, 2007 11:49 am
0
0
@@ สนใจเรื่องหุ้นที่มีการปันผลดี ว่าจะต้องดูจากปัจจัยอะไร@@
ลองศึกษาลักษณะธุรกิจแต่ละกลุ่มก่อนก็ได้ครับ เช่นกลุ่มสื่อสารมีลักษณะหลักๆอย่างไร กลุ่มนี้อาจจะทำกำไรได้สูงแต่ก็ต้องลงทุนเพิ่มสูง กลุ่มรับเหมาหลักๆเป็นอย่างไร รายได้มั่นคงหรือไม่ กลุ่มอื่นๆมีลักษณะเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยมาหาหุ้นในลุ่มที่เราคิดว่าดี แนะนำข้อมูลของพี่ครรชิตครับ เหลือเฟือครับ สามารถดูย้อนหลังได้ถึงสิบกว่าปี เรียกว่าทั้งร้อนทั้งหนาวบริษัทเป็นอย่างไรเราพอดูได้หมด จุดที่ให้ดูคร่าวๆก็ eps ครับ ดูว่า stable แค่ไหน เรื่องงบกระแสเงินสด ก็อย่างที่คุณ saran ว่าไว้ครับแบ่งเป็น สามกิจกรรมว่าเงินมาจากไหน ลองไปดูงบ n-park สิครับ จะเห็นว่าเพิ่มทุนเยอะมาก อันนี้ถึงมีกำไรก็มาจากกิจกรรมการจัดหาเงินครับ ไม่ใช่มาจากกิจกรรมดำเนินงาน มันเป็นไปได้ครับที่ค้าขายขาดทุน แต่ออกหุ้นเพิ่มได้กำไรมา อย่างนี้ eps ก็เป็นบวกครับ (เหมือนแชร์แม่ชม้อยไงไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไรแน่ รู้แต่ว่าขายน้ำมันเป็นล้อๆ กำไรขาดทุนก็ไม่ชัวร์ แต่มีเงินมาจ่ายให้ตลอด คนก็แห่มาๆ สุดท้าย....) อย่างปูนใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ก็ไม่เคยเพิ่มทุนครับ 1,200ล้าน ตลอด อย่างนี้ก็พอจะพูดได้ว่า ขอตังค์ไปตั้งตัวตอนแรกครั้งเดียวแล้วก็ไม่เคยมาขออีกเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ดำเนินธุรกิจไปได้ ส่วนกิจกรรมลงทุน ก็จะบอกเกี่ยวกับเงินที่ได้มาหรือเสียไปในกิจกรรมลงทุนครับ เช่นถ้าเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ หรือพวกสัมปทาน พวกนี้เงินที่ทำมาหาได้ก็ต้องไปลงทุนเพิ่ม หรือถ้าขายทรัพย์สินบางอย่างออกไปเช่น ที่ดิน หริอ โรงงาน ก็จะมาโผล่ที่นี่ครับ ก็ต้องเข้าใจว่า eps ในไตรมาสนั้นๆมันมีรายได้เสริมเข้ามาซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นตามปกติ ตรงกำไรสะสม จะเป็นตัวบอกว่าที่ผ่านมามีกำไรเหลือขนาดไหน ส่วนจะเก็บเป็นอะไรก็ต้องไปดูในสินทรัพย์ บางบริษัทอาจนำไปลงทุนเพิ่มในพวกเครื่องจักร ที่ดิน หรืออะไรพวกนี้ แต่บางบริษัทที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มก็จะอยู่ในรูปเงินสด หรือนำไปลงทุนในหุ้น หรือให้กู้
โดย
macarian
ศุกร์ ก.ค. 06, 2007 3:26 pm
0
0
อยากจะเริ่มคับลงทุนคับ?
ผมควรแบ่งเงินมาลงหุ้นเท่าไรดี 10% - 25% ของรายได้ ควรเก็บไว้เพื่อนำไปลงทุน ปล. ต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับฉุกเฉินแล้วนะ หรือมีอะไรแนะนำผมอย่างอื่นมั่งมั้ยคับ active income ทำไปเถิดครับ แล้วเอาส่วนหนึ่งมาลงทุนหา passive income แล้วก็ ใจเย็นเย็น
โดย
macarian
ศุกร์ ก.ค. 06, 2007 2:33 pm
0
0
จุดจบจะเป็นอย่างไร
รู้จัก derivative ไหมครับ ผมเดาว่า เขาแนะนำให้ ถือหุ้นแล้ว short index นะครับ คือเป็นการ hedge ป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากความกลัวความไม่แน่ใจ มากกว่า ถ้าถือหุ้น Big cap + long index อืม ไม่รวยก็ดอยล่ะครับ ปล. โจทย์พี่กุหลาบ เป็นหุ้น big cap ก็โอเค แต่คนถือหุ้น VI นี่จะไป short index คงไม่มีประโยชน์
โดย
macarian
พฤหัสฯ. ก.ค. 05, 2007 3:07 pm
0
0
วันนี้ผู้โดยสารเต็มรถ คนขับเหยียบเต็มที่ รอจอดป้ายก่อนดีกว่า
โอ้โห ถ้าหนุ่มชุดน้ำเงินที่โหนประตูอยู่เกิดท้องเสีย อาบังเสื้อขาวจะทำไงเนี่ย
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 03, 2007 1:17 pm
0
0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
ผมคิดว่าการเกิดขึ้นของกองทุนต่างๆมากกว่าครับ คนนิยมให้กองทุนลงทุนให้ ทำให้กองทุนมีเยอะขึ้นแล้วแต่ละแห่งก็มีเม็ดเงินเยอะขึ้น แล้วกองทุนพวกนี้ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย แต่ยังไงก็ตาม ผมจำได้ว่ายอดซื้อขายสุทธิแต่ละวันของต่างชาติมันเชื่อไม่ได้มากไม่ใช่เหรอครับ ตอนวันที่มีดีล SHIN เจ็ดหมื่นกว่าล้าน ปรากฎว่าต่างชาติซื้อแค่นิดเดียวเอง
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 03, 2007 1:13 pm
0
0
สูตรนี้มีข้อยกเว้นหรือไม่ ???
Ben Graham เป็นคนซื้อหุ้นเน้น "ถูก" ครับ ไม่ค่อยได้สนใจคุณภาพ จากสูตรก็จะเห็นได้ว่าแกเน้นซื้อของถูกกว่ามูลค่าสินทรัพย์ขณะนั้นคือให้แค่2/3 เข้าใจว่า สูตรนี้ Graham ใช้ตอนที่ตลาดตกต่ำมากๆแล้วก็ซื้อกระจายๆไป พอเศรษฐกิจกลับมาดี ก็มีตัวที่ฟื้นกลับมาได้บ้าง แต่ก็คงมีตัวที่ล้มหายตายจากไปบ้าง แต่รวมๆแล้วก็กำไร ประเด็นคือ สูตรนี้ มันวัด net asset value ครับ มันไม่ได้วัด profitability หรือประสิทธิภาพการทำกำไร
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 03, 2007 1:00 pm
0
0
วันนี้ผู้โดยสารเต็มรถ คนขับเหยียบเต็มที่ รอจอดป้ายก่อนดีกว่า
เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย ซอย แปดร้อยสิบกว่า มันตรงไหนวะเนี่ย ตื่นมาดูแว่บที่แล้ว มันเพิ่งซอย เจ็ดร้อยหกสิบเจ็ดสิบเองนี่หว่า ตายๆๆ ขนาดได้นั่งยังเครียดเลย ถ้าเพิ่งขึ้นมาต้องยืนนะ..โห...
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 03, 2007 12:06 pm
0
0
วันนี้ผู้โดยสารเต็มรถ คนขับเหยียบเต็มที่ รอจอดป้ายก่อนดีกว่า
โอ๊ย...(ลูกตระกร้อใครมาจากไหนเนี่ย กำลังฝันเลย) เอ...ว่าแต่ มันแถวไหนแล้วหว่าเนี่ย ดันหลับๆตื่นๆ ไม่ค่อยได้ดูทาง
โดย
macarian
อังคาร ก.ค. 03, 2007 11:58 am
0
0
มูลค่าหุ้นตามบัญชีสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกัน
book value ตามหลักแล้วเป็นราคาที่ใช้วัดว่า ถ้าเลิกธุรกิจแล้วขายทุกอย่างจะได้เงินเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วก็เป็นไปได้สูงว่าจะได้เงินต่ำกว่าที่ book ไว้ เพราะพวกสินค้า เครื่องจักร โรงงาน คงหาคนเอายากราคาก็ต้องต่ำลงไปอีก พวกintangible asset ก็ไม่น่าจะได้ ถ้า book ไว้สูงก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรมากนัก โดยทั่วไปแล้วธุรกิจคงไม่ได้เลิกกันในเร็ววัน จึงควรมอง book value ว่าเป็นตัววัดว่าผู้ถือหุ้นได้ใส่อะไรเข้าไปในธุรกิจบ้าง(รวมถึงกำไรสะสมที่ยังไม่จ่ายออกมา) มากกว่าจะมองว่าเขาสามารถเอาอะไรออกมาได้บ้าง สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมันคือ ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของ book value กับ earnings ที่ generated ได้ เป็นเรื่องปกติที่บริษัทที่มีbook value น้อยแต่สามารถสร้าง earning ได้สูง จะน่าสนใจลงทุนมากกว่าบริษัทที่มี book value สูง แต่สร้างรายได้ได้น้อย อย่างไรก็ตามการที่ธุรกิจใดสามารถสร้างรายได้ได้มากโดยมี Book value ที่น้อย ก็แปลว่ามันสามารถดึง compeitior เข้ามาได้ง่ายกว่า ในขณะที่ธุรกิจที่มี book value สูง อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างรายได้ได้สูงๆในช่วงเวลานั้นๆ แต่อาจจะสามารถสร้างรายได้ได้สูงในอนาคต ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ
โดย
macarian
พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 12:27 pm
0
0
การแตกพาร์คืออะไรค่ะ
การแตกพาร์เป็นการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นน่ะครับ ทำให้กระจายหุ้นสู่รายย่อยรายยิบรายละเอียดได้มากขึ้น เช่น PTTEP เมื่อก่อนไม่แตกพาร์ก็หุ้นละสามร้อยโดยประมาณ ซื้ออย่างน้อยต้องร้อยหุ้น ก็สามหมื่นกว่า รายละเอียดเป็นผง (รายย่อยมากๆ) อย่างผมก็หมดสิทธิ์ พอแตกพาร์มาเหลือหุ้นละร้อยซื้อร้อยหุ้นก็หมื่นนิดๆก็ซื้อได้ง่ายขึ้น
โดย
macarian
พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 12:13 am
0
0
การอ่านงบการเงิน
[quote="chatchai"]ลองหาตำราของมหาวิทยาลัยที่ใช้สอนนิสิตนักศึกษาอ่านดูครับ เพราะผมว่าต้องเขียนแบบมีขั้นตอนและครบถ้วน
โดย
macarian
พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 12:00 am
0
0
นักลงทุนแนว vi มีโอกาสหมดมุข ไม๊
ถ้าไม่มีที่ถูกใจ ผมก็เอาตัวที่ถือๆอยู่นั่นแหละ
โดย
macarian
พุธ มิ.ย. 27, 2007 12:18 pm
0
0
มีใครยังถือ wg ไหมครับ
มาย๊กมือคร๊าบ ถือมาตั้งแต่26บาท เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนอยู่ดีๆที่บ้านเดินเข้ามาบอกขายไปให้แล้ว :shock: เห็นหุ้นมันขึ้นเยอะ เมื่อสักอาทิตย์แล้วเองผมเพิ่งซื้อกลับมา แพงกว่าตอนขายตั้งบาทนึง
โดย
macarian
พุธ มิ.ย. 27, 2007 12:09 pm
0
0
อะไรสำคัญกับ VI กว่ากันระหว่าง...
ขอตอบใจแล้วกันครับ
โดย
macarian
อังคาร มิ.ย. 26, 2007 4:35 pm
0
0
Re: ถามคุณ macarian อีกที่
[quote="dinnn"]ถามคุณ macarian ยังไงเขาก็ต้องขายทำกำไรก่อน ประเด็นมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ อ่านใจเขาออกไหมล่ะ
โดย
macarian
อังคาร มิ.ย. 26, 2007 4:06 pm
0
0
ราคา ATO ATC หมายถึงยังไงครับ
ATO at open ATC at close ครับ ถ้าจะซื้อก็บอกมาร์ไปตามปกติแหละครับ แต่ถ้าไม่เกี่ยงราคาก็บอกไปว่า ซื้อปิด ซื้อเปิด ขายปิด ขายเปิด เดี๋ยวแกจัดให้เองครับ ราคาที่โชว์ ATO ATC เป็นราคาที่คาดว่าจะเปิดหรือปิดราคานั้นครับ เป็นราคาที่ทำให้เกิดมูลค่าการื้อขายสูงสุด
โดย
macarian
จันทร์ มิ.ย. 25, 2007 9:56 pm
0
0
ช่วยตอบหน่อยเหอะไหว้ล่ะ
สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นคือเมื่อโซรอสเห็นเทรนด์เขาไม่ได้ค่อยๆเข้าไปเก็บหุ้นเพราะกระแสตามแห่ยังไม่มา หรือรอให้กระแสตามแห่มาแล้วและหุ้นเริ่มขึ้นแล้วจึงซื้อ แต่เขาจะทุ่มสุดตัว เพราะเชื่อว่า"ความคิด"เปลี่ยนตลาดได้ พูดง่ายๆคือเขาเป็นคนสร้างกระแส หรือ "ความคิด" ของคนให้กับตลาดนั่นเอง ขอเน้นตรงนี้อีกทีนะครับเพราะเห็นว่าเคยถามว่าถ้าเป็นรายย่อยไปตามรายใหญ่จะเป็นไง ก็ลองคิดดูครับ สมมติถ้าเราเก็งว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะขึ้นเพราะหน้าหนาวปีนี้จะยาวขึ้นหรืออะไรก็แล้วแต่ โซรอสหรือรายใหญ่ในที่นี้ ก็คิดเหมือนกัน เขาก็เข้าซื้อเพื่อเร่งกระแส สร้างหรืออย่างน้อยก็สนับสนุน "ความคิด" พอหุ้นขึ้นถ้าเราเป็นแนวนี้อยู่เราก็ต้องตามสิครับเพราะมันเหมือนที่เราคิดเป๊ะ แต่อย่างที่บอกครับโซรอสแกเก็งระยะสั้น ยังไงเขาก็ต้องขายทำกำไรก่อน ประเด็นมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ อ่านใจเขาออกไหมล่ะ ถ้าจะเล่นแนวนี้ต้องเก่งจิตวิทยาครับ
โดย
macarian
เสาร์ มิ.ย. 23, 2007 2:29 am
0
0
ช่วยตอบหน่อยเหอะไหว้ล่ะ
กลยุทธ์การลงทุนมีหลายวิธีครับ แต่ละวิธีก็มีแนวคิดที่ต่างออกไป คำแนะนำจึงแตกต่างและอาจขัดแย้งกันได้ buy and hold ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ warren buffet ก็เป็นวิธีหนึ่ง ถ้าคิดจะ buy and hold แล้ว สิ่งที่ต้องการจริงๆคือ ผลกำไรที่บริษัทนั้นๆทำได้ รวมถึงเงินปันผล เมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุน เพราะฉะนั้นการซื้อตามเมื่อเขาแห่ซื้อกันจนราคาขึ้นไปสูงนั้นจะไม่สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนที่สูงได้เมื่อเทียบกับเงินลงทุนได้ การขายเมื่อตลาดตกใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร และถ้าเรามองว่าการขึ้น ลง ของราคาหุ้นนั้นหลายๆครั้งก็ไมได้เกี่ยวข้องอะไรกับผลกำไรที่บริษัทจะทำได้สักเท่าไหร่ การซื้อเมื่อเขาแห่ขายเพราะข่าวร้ายชั่วคราว และขายเมื่อตลาดดีใจเกินเหตุ ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า การ buy and hold นี้ เชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาย่อมสะท้อนมูลค่าพื้นฐานเข้าสักวัน (พูดให้ยากก็คือ ราคาวิ่งเข้าหาจุดดุลยภาพ ซึ่งก็คือมูลค่าพื้นฐาน หรือ intrinsic value) การขึ้นๆลงๆของราคาในระยะสั้นที่มาจากข่าวดีหรือร้ายชั่วคราวต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปดีใจหรือตกใจตาม แต่เป็นช่วงเวลาที่ให้โอกาสซื้อของได้ถูกขึ้น หรือขายของได้ราคาต่างหาก การลงทุนแบบ momentum ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งหมายถึง การเลือกลงทุนโดยดูผลตอบแทนจากราคาหลักทรัพย์เป็นหลัก (Buy past winners and sell past losers) ถ้าลงทุนแนวนี้ก็ไม่ควรฝืนตลาด George Soros เป็นนักเก็งกำไรระยะสั้นคนนึงที่ลงทุนในลักษณะนี้ โซรอส เชื่อว่าการรู้จังหวะและขบวนการปรับตัวของราคาหุ้น ดีกว่าการรู้จุดดุลยภาพ (การต้องนั่งแกะงบเพื่อหามูลค่าที่แท้จริง) ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรราคาหุ้นจะไปถึง และก็ไม่รู้ด้วยว่ามูลค่าที่หามาได้มันจะถูกหรือไม่ โซรอสเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแต่อาจต้องถือไปจนตายแล้วมันก็ยังไม่สะท้อน (เพื่อแก้ปัญหานี้ พวกวีไอชั้นเซียนแถวนี้ เขาจะดูด้วยว่าหุ้นที่เขาจะเอา มันมี catalyst หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ปล่อยไว้ก่อน จะว่าไป วอเรนเองก็น่าจะเป็น catalsyt ที่ดีเพราะซื้อในระดับเข้าไปบริหารได้) โซรอสจึงนิยมการซื้อตามแห่มากกว่าการสวนตลาด สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นคือเมื่อโซรอสเห็นเทรนด์เขาไม่ได้ค่อยๆเข้าไปเก็บหุ้นเพราะกระแสตามแห่ยังไม่มา หรือรอให้กระแสตามแห่มาแล้วและหุ้นเริ่มขึ้นแล้วจึงซื้อ แต่เขาจะทุ่มสุดตัว เพราะเชื่อว่า"ความคิด"เปลี่ยนตลาดได้ พูดง่ายๆคือเขาเป็นคนสร้างกระแส หรือ "ความคิด" ของคนให้กับตลาดนั่นเอง (ในขณะที่การลงทุนแนว VI คือการเน้นให้ยึดที่ "ความจริง")
โดย
macarian
เสาร์ มิ.ย. 23, 2007 1:51 am
0
0
โครงการ visit company
เป็นโครงการที่ยอดเยี่ยมครับ มาลงชื่อสะดวก วันธรรมดา
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 22, 2007 2:16 pm
0
0
The good signs have beginned.
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตาหกรม พฤษภาคม เอาภาษาไทยมาให้อ่าน อันนี้ของเดือนก่อน (เมษา) ดัชนีต่างๆไว้อ่านเล่นๆ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม รายงานดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจ ไตรมาสที่ 2/2550 ดัชนีวัฏจักรธุรกิจเดือนเมษายน 2550 inflation cycle index april2007 รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ เดือนเมษายน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤษภาคม ไอ ออนโซ ซี เมนี่ กู๊ด ซายน์ส บัท เมบี อิน ดิฟฟาเร้น ไซด์ อิท สะ แครช อิทสะ แครช no just kidding because i dont really know whether the set index is dependent on any of these indices, or how much it depends on. what the set index really driven by?? external funds, internal politics, dow jones, greenspan words, interest rates, exchange rate? โอ้ มายก๊อด ปายตีแบดดีกั่ว
โดย
macarian
พุธ มิ.ย. 20, 2007 4:44 pm
0
0
Re: ทิงแท้ หรือ ทิงเทียม
ดูยากจริงๆ กะว่าจะตายไปแล้ว นี่ฟื้นคืนชีพ หรือว่า เป็นกระทิงตัวใหม่ ตัวแท้ๆ กันเนี่ย - -'' ใครมีประสบการณ์ คิดว่ายังไงกันครับ ดูยากอย่างนี้ สงสัยจะเป็น กระทิงเทยแท้ๆครับ บางทีก็ออกอาการ บางทีก็ต้องเก็บอาการ
โดย
macarian
จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 7:16 pm
0
0
น้องใหม่ครับ มาพร้อมกับคำถาม
ขอบอกก่อนว่าเป็นแนวเทพ โพธิงามนาครับ แล้วก็ไม่ขอยุ่งการเมืองนาครับ แนวคิดเคนส์ แนวคิดนี้ตรงข้ามกับ แนวคิดของพวก adam smith กล่าวคือ adam smith เชื่อว่า โดยปกติระบบเศรษฐกิจจะอยู่ในจุดดุลยภาพเสมอ ถ้าไม่อยู่ก็จะมี invisible hand เป็นตัวดึงกลับมาสู่จุดดุลยภาพ invisible hand ก็คือ กลไกตลาด demand supply นั่นเอง เพราะฉะนั้นระบบนี้จึงเน้นให้เกิดการแขงขันเสรี ให้ระบบ demand supply ทำงานเต็มที่โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ในปี 1930 เศรษฐกิจโลกประสบปัญหา กิจกรรมการผลิตหยุดนิ่ง คนว่างง่านตรึม ซึ่งแนวคิดด้านบน (neoclassical) ตอบโจทย์นี้ไมได้ แนวคิดเคนส์ คือ เชื่อว่า โดยปกติ ระบบเศษฐกิจนั้นไม่มีเสถียรภาพ ไม่อยู่ในดุลยภาพ จึงมีความจำเป็นทีจะต้องเข้าไปจัดการ ให้มีดุลยภาพ การพึ่งกลไกตลาดอย่างเดียว จะทำให้ demand รวมขอระบบเศรษฐกิจมีไม่พอ (หรือไม่ก็มากเกินไป) และทำให้เกิดการว่างงาน (หรือ ภาวะราคาเฟ้อ inflation) เพราะงั้น รัฐบาลจึงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่งั้นระบบจะไม่เดินและล่มสลายได้ในที่สุด ลักษณะพิเศษของเคนส์คือ 1. ยืนยันให้รัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างเสถียรภาพ (ตรงข้ามกับพวก classical ที่ไม่แนะนำให้ยุ่งเกี่ยว) 2. การเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างเต็มี่นี้ ออกมาในรูปการใช้นโยบายการคลังเป็นหลักในการควบคุมด้าน demand side กล่าวคือ สมมติให้ด้าน supply ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นการวิเคราะห์ความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจจากด้าน demand ว่ามากหรือน้อยไป เมือ supply ถูกจับให้คงที่ 3. มีแนวโน้มที่มุ่งวิเคราะห์สเถียรภาพในระยะสั้น คือสนแค่การปรับปริมาณดีมานด์ให้เข้ากับซัพพลาย เพราะในระยะสั้นปัจจัยด้านอุปทาน พวกวัตถุดิบ เทคโนโลยีต่างๆ จะมีลักษณะคงที่ 4. เศรษฐศาสตร์เคนส์ คือทฤษฎีเศรษฐกิจมหภาค คือสนใจเรื่องความสัมพันธ์มหภาค พวก gdp การออม การลงทุน มากกว่าที่จะศึกษาถึงพฤติกรรมย่อยๆของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจ (แบบจุลภาค) การยอมรับ เคนส์ เท่ากับยอมรับการเป็น big goverment ว่าเป็นสิ่งดี สนับสนุนการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในจำนวนาก การขยายระบบราชการ การลงทุนเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนแต่การเน้น รัฐบาลใหญ่ อย่างเกินขอบเขต ก็จะเป็นการสร้าง illusion ให้กับประชาชน ทำให้หวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียว แนวโน้มอีกอย่างของเคนส์คือ การไม่ปฎิเสธภาวะ เงินเฟ้อ โดยเด็ดขาด เพราะจุดเริ่มอยู่ที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาและการว่างงาน จึงให้ความสำคัญกับการว่างงานมากกว่าเงินเฟ้อ ในสมัยรัฐบาลเคเนดี้ ช่วงปี1960 อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 1% แต่การว่างงานสูงเกือบ 7% จึงมีการใช้นโยบายขยายอุปสงค์รวเพื่อเพิ่มกาจ้างงาน ซึ่งเน้นที่การลดภาษีขนานใหญ่เพื่อกระตุ้นการบริโภค ผลลัพธ์คือ การว่างงานลดเหลือ 3.5 ซึ่งเป็นระดับใกล้ภาวะการจ้างงานเต็มที่ แต่อัตราเฟ้อพุ่งเป็น 5% ในช่วงปลาย 1960 ความสำเร็จนี้ ทำให้ผู้คนยอมรับการเป็นรัฐบาลใหญ่ว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ทว่าลัทธิเคนส์ที่สนับสนุนใมการขยายรายจ่ายการคลังเพื่อสร้างสัคมสวัสดิการนั้น ได้กลายเป็นอุปสรรคต่อนโยบายเสถียรภาพแบบเคนส์เอง เพราะโดยทั่วไป การขยายรายจ่ายการคลังจะช่วยเพิ่มอุปสงค์รวม แต่ในกรณีที่อุปสงค์รวมถูกกระตุ้นมากเกินไป ก็จะทำให้ระดับราคาสูงขึ้น ในกรณีเช่นี้ การจะลดอุปสงค์รวมจะมี 3 มาตรการ กือ การบีบรัดการเงิน การตัดทอนรายจ่ายการคลัง และการเพิ่มภาษี ถ้ามองจากจุดยืนเคนส์ การตัดทอนรายจ่ายการคลัง เป็นการขัดแย้งต่อตัวเอง ส่วนอีกสองมาตรการมีข้อจำกัดทางการเมืองและสังคม ซึ่งไม่เอื้อต่อการตัดสินใจให้เลือกใช้ ผลคือต้องจำใจใช้นโยบายขยายอุปสงค์รวมต่อไป หรือ การจำใจยอมรับอัตราเฟ้อนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้นโยบายแบบเคนส์ จึง มีผลเฉพาะใน่วงที่ซบเซาที่เกิด deflationary gap เท่านั้น แต่ไม่อาจมีผลในกรณี inflationary gap เมื่อเศรษฐกิจได้เฟื่องฟู ผลกลับกลายว่า ความสำเร็จของลัทธิเคนส์ในทศวรรษ 1960 ทำให้อเมริกาในทศวรรษ 1970 ต้องอยู่ในยุคของราคาเฟ้อ อย่างไม่มีทางเลือก ในปี 1980 อเมริกาอยู่ในภาวะ stagflation มีการเติบโตในระดับต่ำ ราคาเฟ้อสูงขึ้น และการขยายตัวท่าเดียวของราจ่ายรัฐบาลที่ทำให้เกิดภาวะการคลังขาดดุล และภายใต้การขาดดุล ลัทธิเคนส์ไม่อาจต่อสู้กับภาวะราคาเฟ้อได้ วิกฤตการณ์ได้มาเยือน เคนส์ เสียแล้ว ของเมืองไทย รัฐบาลเก่าหรือรัฐบาลไหนทำอย่างไรผมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว ไม่เอา ไม่ทราบ ไม่มีความเห็นนะครับ
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 6:58 pm
0
0
ถามเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นครับ
คิดว่าน่าจะหมายถึง ตัว CCI นะครับ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในนั้นจะมีบอกวิธีคิดครับ
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 5:39 pm
0
0
ถามเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นครับ
www.price.moc.go.th
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 5:36 pm
0
0
Re: ดาวจรัสแสง แห่ง TVI Meeting
[quote="por_jai"][quote="Newbee"]จากงาน meeting ผมว่าเราได้ดาวจรัสแสงดวงใหม่จากงานนี้ ผมเห็นพิธีกรในงาน (คุณตั๋ง) มีลูกล่อลูกชน มุขแพรวพราว ทั้งสาระและเนื้อหา ขอชมด้วยความจริงใจ
โดย
macarian
พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 1:31 am
0
0
รูปงาน TVI Meeting #2 วิทยากร
[quote="por_jai"]8) ยังไม่ได้ชมเจ้าตั๋งเลย
โดย
macarian
พุธ มิ.ย. 13, 2007 1:13 am
0
0
ราคาหุ้น 10 ตัวจาก 10 กลุ่ม เอาไว้ดู 1 ปีผ่านไปจะเป็นไง
ดร.นิเวศน์ ให้ comment ของ Sport ไว้ว่า เป้นแนวเกร็งกำไร หากวัดกันระยะสั้นๆ ตัวนี้ best proformanceได้ หากถือยาวนี้ ท่าทางคนถือตายก่อนน่าครับ ส่วน tusco commentไว้ว่า เกี่ยวกับการเมืองด้วย และเป็นหุ้นวัฏจักร หุ้น Tasco นอกจากได้รับ comment ว่าเป็นหุ้นการเมือง ขึ้นอยู่กับโครงการต่างๆแล้ว เรื่องการประมูล ท่านดร.ก็ไม่แน่ใจในเรื่องความโปร่งใสในการประมูล อาจต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี BOL comment ไว้เกี่ยวกับคู่แข่งและข้อมูลที่ได้มาจากกระทรวงพาณิชย์ ว่ายอมในระยะยาวหรือเปล่า ข้อมูลไม่ใช่ของตัวเอง และไม่รู้ว่าเป็นลักษณะเหมือนสัมปทานหรือไม่ คือพอหมดอายุก็ต้องประมูลกันใหม่ ลงทุนกันใหม่ TNH comment เรื่องการเพิ่มราคาค่ารักษา สามารถเพิ่มได้หรือไม่ เป็นผู้นำโดดเด่นหรือเปล่า หรือเป็นโรงพยาบาลขนาดกลางเท่านั้น Se-Ed comment ผู้บริหารดีน่าครับ (แต่ดร.ขายแล้ว) Cp7-11 hmpro ดร.มีพูดยาวหน่อย Pttep โดนเรื่องเป็นหุ้นวัฏจักรตามน้ำมัน เป็นหุ้น commodity ที่คาดการณ์ลำบาก ปัจจุบันราคาน้ำมันถูกมองว่าจะสูงไปเรื่อยๆเพราะความขาดแคลน แต่ถ้าใครเคยผ่านช่วง oil crisis ที่ราคาน้ำมันขึ้นสูงมาก และกลับไปต่ำเหมือนเดิมก็คงจะเห็นว่ามันก็เอาแน่ไม่ได้เหมือนกัน และราคาน้ำมันไม่สามารถ pricing เองได้ ต้องอิงกับราคาโลก ticon อันนี้โดนเรื่องการเช่า ไทคอน ก็คือธุรกิจให้เช่า เหมือนอพาร์ทเม้น เราชอบอพาร์ทเม้นเพราะคิดว่าได้กินยาวๆ ให้ลูกให้หลาน จะเห็นว่าพวกอพาร์ทเม้นนี่แรกๆไม่ค่อยจะได้กำไรหรอก... หลังๆ...ก็ไม่ค่อยได้เหมือนกัน(ฮา) มีแค่นี้ล่ะครับที่จดมาและจำได้ครับ :)
โดย
macarian
อังคาร มิ.ย. 12, 2007 2:10 pm
0
0
การเสนอหุ้น เมื่อ...งานมีตติ้ง
กลุ่ม 8 ส่ง TNH เข้าประกวด ผู้เสนอคือคุณกุหลาบงามหลังฝน จากหุ้นทั้งหมด 4 ตัวที่เข้าแข่งขัน APRINT, KTC, SNC, และ TNH เท่าที่ผมดู ผมคิดว่า TNH ชนะโหวตเพราะถูกมองว่าเป็นหุ้น growth ที่ยังเติบโตได้อีกมาก ทั้งทางด้านพื้นฐานและราคา (จากที่ผมสังเกตุจากงานนี้ สมาชิกVI ส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนในหุ้น growth, ส่วนตัวผมโหวตให้ APRINT ที่เป็นหุ้นแข็งแกร่ง) หุ้น TNH ได้รับผลดีจากการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ความหนาแน่นของประชากรเทียบต่อหน่วยแล้วหนาแน่นกว่าพื้นที่ในกรุงเทพ ในระดับ P/E ปัจจุบัน ที่ 18 กว่าๆ ถูกมองว่าไม่แพง เนื่องจาก E ยังเติบโตได้อีกเยอะ จากการที่ปัจจุบันใช้เตียงไปเพียง 55 เปอร์เซนต์เท่านั้น อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาโรงพยาบาลจากโรงพยาบาลขั้นต้นไปสู่โรงพยาบาลแบบครบวงจร ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้ได้มากขึ้น หลังจากการโชว์ตัวไป สาวงามของเราได้รับคอมเม้นท์จาก ท่านดร. ว่า (ปล. ตามที่ผมจับใจความได้) "ข้ออ้าง บางทีเราชอบหาข้ออ้างมาให้หุ้น สุวรรณภูมิเปิดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับโรงพยาบาล" (เห็นด้วยเลยครับ ใกล้สุวรรณภูมิแต่ถ้าไม่สามารถเรียกลูกค้าต่างชาติได้อย่าง BH BGH ก็ไม่มีประโยชน์) TNH เป็นเพียงโรงพยาบาลระดับกลาง สำหรับคนระดับกลางๆ ซึ่งต่างจากคนมีตังค์ คนมีตังค์เขาเข้า บำรุงราษฎ์ เข้ากรุงเทพ เขาเต็มใจจ่าย ไม่ได้คิดอะไร บางทีการรักษาก็คล้ายๆกันแต่เขาจ่ายได้ไม่ได้คิดอะไร เหมือนคนรวยเข้าไปกินน้ำส้มโรงแรม แก้วละ สองร้อย ก็จ่ายได้ ไม่ได้คิดอะไร ทั้งๆที่ต้นทุนส้มมันก็คือๆกัน ถ้า TNH จะขึ้นราคาแพงๆแล้ว คนจะไม่บ่นเหรอ เรื่อง growth ก็คงจะมีบ้างตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้น แล้วยังติดเรื่อง หมอเรื่องพยาบาล ว่าจะมีเพียงพอหรือเปล่า หลายๆโรงพยาบาล ขยายไปเปิดต่างจังหวัดก็มีปัญหาเรื่องนี้ ต้องส่งหมอบินไปบินมา TNH ที่ P/E เทียบกับตัวอื่นที่ P/E ใกล้เคียงกันเช่น เซเว่น แล้ว TNH น่าสนใจน้อยกว่าไหม หรือถ้าจะเทียบในกลุ่มโรงพยาบาล เราซื้อ BH หรือ BGH เลยดีกว่าไหม จ่ายแพงกว่าแต่ "คุณภาพ" ก็คับแก้วกว่า มันเหมือน TNH น่าสนใจขึ้นมาเพราะหุ้นสุดยอดในกลุ่มราคามันแพงมากแล้ว เลยมามองหุ้นที่ราคายังไม่แพง แล้วพยายามหาคุณภาพมาใส่ให้ (ขาดตกบกพร่องตรงไหน ขออภัย และช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ)
โดย
macarian
อังคาร มิ.ย. 12, 2007 1:41 pm
0
0
ราคาหุ้น 10 ตัวจาก 10 กลุ่ม เอาไว้ดู 1 ปีผ่านไปจะเป็นไง
ข้อดีของ SPORT ที่จำได้คือ Hi เก่าอยู่ที่ 5 บาท ตอนนี้หุ้น 2 บาทกว่า และกำลังจะมีบอลยุโรป :lol: SF ข้อดีคือตัวธุริกจน่าสนใจ มีการสร้างกลุ่มลูกค้าของตัวเอง แต่ ท่านดร.ทักว่า ตัวโมเดลยังไม่ proven ว่าถ้าขยายแล้วจะสำเร็จแน่ๆ เช่น ถ้าไปเปิด J avenue ตามต่างจังหวัด ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะดีเหมือนกรุงเทพใ ม่ายเหมือน เซเว่น เปิดที่ไหน โอกาสเจ๊งน้อยเหลือเกิน
โดย
macarian
อาทิตย์ มิ.ย. 10, 2007 1:05 am
0
0
หุ้นขึ้นกันขนาดนี้มีใครทำอะไรไปบ้างครับ ?
ได้ขายบ้างนิโหน่ย
โดย
macarian
อังคาร มิ.ย. 05, 2007 11:42 am
0
0
อะไรทำให้หุ้นขึ้น
so does overconfidence?
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 01, 2007 4:26 pm
0
0
อะไรทำให้หุ้นขึ้น
อะไรทำให้หุ้นขึ้นหรือลง ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคือปัจจัยพื้นฐานบริษัท อีกส่วนหนึ่งคืออารมณ์ของนักลงทุนหรือตลาด ทั้งสองตัวนี้ บางทีอาจจะไปตรงกัน บางทีอาจจะไปคนละทาง กลยุทธ์การลงทุนคงขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดอะไร ถ้าถนัดอ่านอารมณ์ตลาด การลงทุนแบบโมเมนตั้ม หรือการใช้เครื่องมือทางเทคนิคก็คงเป็นเรื่องเหมาะสม และน่าสนุกสนาน แต่ถ้าไม่ถนัด ไม่มีเวลา หรือมีก็ไม่ได้สนใจ ไปเที่ยวดีกว่า การลงทุนระยะยาวที่โพกัสพื้นฐานก็ดูจะเหมาะสมและทำให้มีความสุขมากกว่า ผมคิดว่าอารมณ์เป็นเรื่องระยะสั้นเป็นเรื่องของความผันผวน ในขณะที่ตัวธุรกิจเป็นเรื่องของแนวโน้มในระยะยาว (เหมือนพี่นริศเลย ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาวตามผลกำไร)
โดย
macarian
ศุกร์ มิ.ย. 01, 2007 3:39 pm
0
0
ขอถามเรื่อง constant-growth DDM
DDM เกิดขึ้นในยุคที่สองของการคิดหาราคาหุ้น ยุคแรกเป็นการใช้ technical เช่น mean ของราคาหุ้นในอดีต, ทฤษีดาวส์ ในยุคนี้ไม่ค่อยสนใจ fundamental กัน ยุคที่สอง เริ่มสนใจ fundamental คนเริ่มคิดว่าถ้าเรามีเงินเหลือจะนำไปฝากแบงค์เพื่อดอกเบี้ย การถือหุ้นก็เช่นกัน เราต้องการดอกเบี้ยจากการถือหุ้นซึ่งก็คือเงินปันผล สูตรง่ายสุดของ DDM ก็คือ D/r หรือ (D/k) สำหรับ zero growth rate case ยุคที่สามเป็นพวก CAPM, APT ข้อเสียของการใช้ DDM คือ ต้อง"เดา"สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในระยะยาวมากซึ่งอาจผิดพลาดได้ง่าย ในบางกรณีถ้าผู้บริหารตัดสินใจไม่ปันผลเพราะต้องการจะให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากการมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น DDM ก็หาค่าไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามการมีนโยบายการจ่ายปันผลก็ช่วยได้มาก และค่า r ที่นำมาคิดลดต้องเหมาะสมเพราะเป็นค่าคงที่ การใช้อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันซึ่งขึ้นๆลงๆจึงไม่เหมาะสม การใช้อัตราดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เช่น 10 ปี จึงน่าจะเหมาะสมกว่า ในปี 1990 มีคนเคยวิจัยความแม่นยำของราคาหุ้นจริง เทียบกับราคาที่คิดโดย DDM พบว่ามีความผิดพลาดถึง 88% :shock:
โดย
macarian
จันทร์ พ.ค. 28, 2007 3:00 pm
0
0
Re: รบกวนถามต่อหน่อยนะคะ
คืออยากรู้ว่า ถ้าจะใช้ GDP growth หรือ nominal growth rate ในเชิง macroeconomic มาอธิบายจะได้มั้ยคะ ก็ไม่น่าจะมีปัญหานี่ครับ จะประเมิณยอดขายในอนาคตใช่ไหมครับ แต่ข้อมูลก็ให้มันใช้ได้แล้วกันครับ เช่น ธุรกิจนี้มีสัดส่วนการเติบโตที่ผ่านมาเทียบกับ GDP แล้วเป็นอย่างไร แล้วบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเท่าไหร่ ถ้า GDP โตเท่านี้ น่าจะเป็นอย่างนี้ๆ ก็คิดว่าพอได้นะครับ ถ้าให้แนะนำก็แบ่งเป็น worst case, normal case, best case ของ GDPก็จะดูดีนะครับ
โดย
macarian
อาทิตย์ พ.ค. 27, 2007 11:20 pm
0
0
72 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
macarian
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
ลาดพร้าว
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ ก.พ. 10, 2007 11:21 pm
ใช้งานล่าสุด:
ศุกร์ มี.ค. 22, 2013 12:55 pm
โพสต์ทั้งหมด:
384 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.06 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
แมนยู โรม่า ลิสบอน เคี๊ยฟ
หมาป่าสู้สู้
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว