หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Alastor
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
Joined: พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2007 2:48 pm
2590
โพสต์
|
กำลังติดตาม
|
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Alastor
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: รณรงค์ช่วยกันกด "-1" ในห้องร้อยคนร้อยหุ้น
ผมใช้บริการ TVI มานานมากแล้วครับ เท่าที่เห็นมา feature ที่เพิ่งมีไม่นานนี้ ที่ให้ user สามารถ report Post ที่ผิดกฏได้นี่ถือว่าให้อำนาจแก่ user พอสมควรเลยนะ แค่นั้นยังไม่พอทางทีมงานยังให้อำนาจเพิ่มเติมในการ Vote +/- เพื่อให้ user ตรวจสอบและสร้างสังคมที่ตนเองอย่างให้ TVI เป็นได้อีก ผมคิดว่าเป็น feature ที่ดีที่สุดในรอบหลายๆปีนี้เลยนะ อยากให้ใช้กันเยอะๆครับ เหมือนเราเชื่อว่าประชาธิปไตยให้สิทธิคนทุกชนชั้นในการออกเสียง เรื่อง Voting นี่ก็เหมือนกันคือ ต่อให้เป็น Mod ก็ Vote ได้คะแนนเดียวต่อ post ผมคิดว่า user น่าจะเอาอำนาจนี้ไปใช้ให้คุ้มค่ากับที่ได้มานะครับ ส่วนตัวเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากให้ TVI เป็นบ้านที่น่าอยู่ น่าหาความรู้ และจะช่วยกัน Vote out ความเห็นที่ไม่พึงประสงค์ออกไปทีละน้อยทีละน้อย เวลามี post ที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่หรือไร้สาระ Mod เองก็ลำบากใจที่จะลบเหมือนกัน Mod แต่ละคนก็มี standard ไม่เท่ากับ ไม่ว่าจะลบหรือไม่ลบก็โดนต่อว่าจากคนดูที่เห็นว่า หย่อนยานไปบ้าง/เข้มงวดไปบ้าง การให้ user ลงคะแนนก็เป็นอีกแนวทางนึงที่จะวัดได้จริงๆว่าสมาชิกส่วนใหญ่อยากให้บ้านหลังนี้ต้อนรับหรือไม่ต้อนรัับคนแบบไหนนะ ซึ่งผมอยากเห็นเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่า feature นี้อาจจะมีข้อด้อย ผมขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ ถ้ามันไม่ work มันก็จะหายไปเองครับ หรือ ถ้ามีคนตั้ง gang ช่วยกัน Vote - กับความเห็นแง่ลบต่อหุ้นที่กำลัง promote ผมเชื่อว่าไม่นาน user แบบนั้นจะถูกทำให้หายไปเองครับ ไม่ยากหรอก ส่วนเรื่องการเป็นเผด็จการนี่ค่อนข้างสะดุดตาผมนะ ถ้านับวันไม่ผิดผมเองก็ได้รับเกียรติเป็น Mod มาไม่ถึง 1 ปีนะ แต่ที่สังเกตดู การบริหารจัดการ web นี้สามารถที่จะทำัเยี่ยงเผด็จการได้ทุกเมื่อที่้ต้องการ แต่ผู้ใหญ่ใน TVI มีความอดทนอดกลั้นสูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมนับถือจากใจจริงและต้องเรียนรู้อยู่ครับ การจะกำจัดคนที่เราไม่ชอบหน้านั้นไม่ยากหรอกครับ 1-2 อาทิตย์ก็เตะออกไปได้หมดแล้ว แต่แบบนั้นคงไม่ใช่วิสัยของ TVI การเปิดใช้ feature ลงคะแนนก็น่าจะแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าที่นี่เปิดโอกาสให้ user สามารถออกความเห็นได้ โดยไม่ได้ปิดกั้นว่า ใครมาใหม่ ใครลงทุนเก่งกว่า ถึงจะมีสิทธิ นี่เป็นสิทธิของ user ทุกคน ถ้าจะหา web หุ้นอื่นๆที่มีข้อมูลจำนวนมาก มีคนเก่งๆรวมตัวกันมากมาย ไม่มีค่าสมาชิก และ ใช้งานได้อย่างสุขกายสบายใจกว่าที่นี่ รบกวนช่วยบอกกันด้วยครับ ผมจะได้ออกจากการเป็น Mod แล้วไปใช้งาน free ที่นั่นซะเลย ของฟรีคุณภาพดีใครๆก็อยากได้นะครับ แต่ผมว่าจะให้ถูกใจมันต้องลงมือสร้างด้วยตัวเองครับ
โดย
Alastor
อังคาร ก.ย. 20, 2011 10:30 pm
0
9
Re: ทศวรรษแห่ง VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แต่ยุคแห่งความรุ่งเรืองนั้น วันหนึ่งก็จะต้องผ่านไป ชีวิตที่ได้เงินมามากและง่ายนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะคนใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาทำบ้าง และในกระบวนการนั้นก็ทำให้วิธีการหาเงินแบบนั้นไร้ผล ผมไม่รู้ว่า “ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองของ VI” จบสิ้นแล้วหรือยัง เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า บางทีการเป็น “VI” แบบไม่ค่อยได้ศึกษาหรือลงแรงอย่างจริงจังนั้นแทนที่จะกำไรอาจจะขาดทุนอย่างหนักได้ แต่ไม่ว่ายุคสมัยจะเป็นอย่างไร VI ก็ยังเป็นแนวคิดและวิธีการที่ดีเสมอตราบที่เราใช้มันอย่างถูกต้อง เป็นการปิดท้ายที่ยอดเยี่ยมมากครับ
โดย
Alastor
เสาร์ ก.ย. 03, 2011 9:52 pm
0
0
Re: ออกมาลงทุนเต็มเวลา
ตอนที่คุณ sunrise ลาออกจากงานไปลงทุนเต็มตัวแล้วเกิด Hamberger Crisis พอดี ก็มีคนหลายคนเป็นห่วงนะ ดีใจด้วยที่ผ่านมาได้อย่างงดงาม (เป็นผมคงเละไปแล้ว) แต่ความเป็นจริงก็คือ หลายๆคนกลับมาไม่ได้ ผมสังเกตว่าหลายคนหายหน้าไปเลย หวังว่าจะมาจากเหตุผลอื่นไม่ใช่หมดตัว ผมคิดว่า พอเืบื่องานแล้วลงทุนได้ผล ก็เลยจะลาออกมาลงทุนอย่างเดียวเนี่ย ไม่ได้แก้ปัญหาหรอกนะ เป็นการหนีปัญหามากกว่า นักลงทุนเต็มเวลามีข้อได้เปรียบนักลงทุน part-time หลายประการ แต่เค้าเองก็ไม่ได้ทำทุกอย่างที่ใจอยากทำได้หรอกครับ ผมเห็น นักลงทุนเต็มเวลา แทนที่จะทะเลาะกันในห้องประชุมหรือ office ก็ทะเลาะกันใน webboard แทน แทนที่จะนินทาผู้ใหญ่ในบริษัทหรือเพื่อนร่วมงาน ก็นินทาผู้บริหาร บมจ.หรือนักลงทุนด้วยกันแทน แทนที่จะพูดจาดีกับผู้ร่วมงานที่ไม่ชอบหน้าเพื่อให้งานเดินหน้า ก็พูดดีกับ IR เพื่อให้ได้ข้อมูลแทน มีปัญหาตรงไหน แก้มันตรงนั้นดีกว่า ผมเองก็เคยเบื่องานนะ เคยอยากลาออกมาลงทุนอย่างเดียวเหมือนกัน ดีที่ตอนนั้น (ปลายปี 2007) มีภาระรับผิดชอบเลยไม่สามารถออกมาลงทุนเต็มตัวได้ เลยแก้ปัญหาตรงจุดแทน ตอนนั้นไม่ชอบลักษณะงานสายวิศวกรที่เติบโตไปก็ต้องบริหารคน บริหาร Project เป็นหลัก ก็เลยย้ายมาทำสายการเงิน ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ เพราะงานสายการเงินต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ และความคิดวิเคราะห์อย่างมาก ทำแล้วรู้สึกมีคุณค่า ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาอะไรใหม่ๆอยู่บ่อยๆ ผมว่าก็เป็นทางออกนึงที่ไม่เลวเลยนะ เงินเดือนประจำทำให้มีสภาีพคล่องอีกด้วย ตอนย้ายสายงานก็พยายามอย่าให้โดนลดเงินเดือนลงก็ละกันครับ อีกอย่างคือ การมีงานทำ ทำให้เรามี Option จะออกจากงานไปลงทุน ก็ทำได้ถ้ามีเงินพอ แต่ออกจากงานไปแล้ว ถ้าเลย 2-3 ปี มันคงยากที่จะหางานใหม่ทำนะครับ หรือไม่ก็ต้องทำงานเงินเดือนเท่ากับรุ่นน้อง ซึ่งคงน่าอึดอัดเล็กน้อย ถ้าสนใจจะออกจากงานมาลงทุนจริง ลองเทียบ เงินเดือนที่ได้ กับ ขนาด Port ดีกว่าครับ หลักการคือใช้ Discounted Cash Flow คิดว่า เงินเื่ดือนที่จะได้ในอนาคต เทียบเป็นสินทรัพย์ได้กี่บาท ถ้าขนาดมันเล็กกว่า ขนาด Port มากๆ ก็เป็นไปได้ที่จะออกมาครับ ขอให้ทุกคนหาความสุขในชีวิตได้ครับ ไม่รีบร้อนเกินไปก็จะพบเจอเองครับ
โดย
Alastor
พุธ ส.ค. 24, 2011 10:06 pm
0
7
Re: ออกมาลงทุนเต็มเวลา
ถูกใจมากครับ โดยเฉพาะ ความสุขเหมือนเสื้อผ้าสั่งตัด ปกติ สั่งตัดจะแพงกว่าสำเร็จรูปนะครับ :mrgreen: สั่งตัดตัวนึง 800++ ผมว่าคุ้มค่านะ ซื้อมาราคาก็ถูกกว่านิดเดียว
โดย
Alastor
พุธ ส.ค. 24, 2011 7:00 am
0
0
Re: งานเข้าแล้ว S&P downgrades U.S. credit rating
ผมว่าประเด็นที่น่ากังวลของการ downgrade ไม่ใช่เรื่องของ Market Impact ใน 1 week ข้างหน้า แต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ US ในช่วง 1 ปีข้างหน้ามากกว่า เพราะก่อนโดนลดก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว ตอนนี้โดนเตะเข้าไปใกล้หน้าผาอีก อาจจะไม่ร่วงลงหน้าผา แต่ก็ใกล้กว่าเดิมครับ
โดย
Alastor
อาทิตย์ ส.ค. 07, 2011 2:49 pm
0
1
Re: งานเข้าแล้ว S&P downgrades U.S. credit rating
เพิ่มเติมอีกนิดครับ พันธบัตรทั้งของรัฐและเอกชนที่ออกเป็นสกุลเงินดอลล่าร์ ก็จะถูกลดเรตติ้งเช่นกัน ไม่ว่าคนที่ออกจะเป็นชาติไหน เนื่องจากสกุลเงินของประเทศใดๆ จะอิงกับเรตติ้งของประเทศนั้นๆ ที่ผ่านมามีหลายประเทศมากมายที่ออกพันธบัตรเป็นสกุลเงินดอลลาร์ เพราะเรตติ้งจะดีกว่าออกเป็นสกุลเงินตัวเอง อย่างประเทศไทยช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ออกพันธบัตรเป็นดอลล่าร์ถึง 2หมื่นล้านดอลล่าร์ (6 แสนล้านบาท) เมื่อพันธบัตรเหล่านี้ถูกลดเรตติ้ง ก็จะทำให้พันธบัตรที่จะออกใหม่ต้องเสียดอกมากขึ้น ส่วนพันธบัตรเก่า ก็จะถูกเทขายจากทั้งนโยบายลงทุนของเหล่ากองทุน และเพื่อปรับ Yield ให้เท่ากับตัวใหม่ ผลกระทบกว้างจริงๆ ครับ แถมทั้งโลกมีเอี่ยวโดนลูกหลงด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง :| ปกติ Rating สกุลเงิน local ของประเทศเล็กๆอย่างไทยจะดีกว่า Rating สกุลต่างประเทศนะครับ เพราะ รบ ไทยก็สามารถพิมพ์เงินบาทมาใช้หนี้ได้เช่นกัน แต่พิมพ์ USD ไม่ได้ครับ ไม่งั้นทุกประเทศก็จะออก bond เป็น USD หมดสิ Rating ดีกว่า ดอกเบี้ยดีกว่าด้วย ซึ่งไม่จริงครับ Foreign Currency rating ของประเทศต่างๆขึ้นกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นสกุลเงินของตราสารหนี้ที่ออกครับ ถ้าจะโดนลดก็เพราะ econ ไม่ดีจนประเทศเหล่านั้นโดนกระทบจาก US Downgrade ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโดน downgrade ของ US หรอกครับ
โดย
Alastor
อาทิตย์ ส.ค. 07, 2011 2:47 pm
0
0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
อ้อ เพื่อการเตรียมอารมณ์ที่ดี ถ้าใครคิดว่าหุ้นตกนี่ ไม่น่ากลัวมาก ทำใจได้ ลองไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ "มาตรการกันสำรอง 30%" ของหม่อมอุ๋ยดูนะครับ ว่าวันที่เกือบมี 2nd circuit breaker มันเป็นยังไง
โดย
Alastor
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 10:24 pm
0
2
Re: งานเข้าแล้ว S&P downgrades U.S. credit rating
ในทางทฤษฎีในหนังสือบอกไว้ว่า อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เป็น Risk Free Rate แต่เมื่อคืน S&P เค้าลดอันดับเครดิตของรัฐบาลอเมริกาลงจาก AAA มาเป็น AA+ แถมยังพ่วง Nagative Outlook อีกครับ แสดงว่าการลดอันดับเครดิตในครั้งนี้จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไม่ใช่ Risk Free Rate อีกต่อไปใช่ไหมครับ แล้วเราจะหา Risk Free Rate ได้จากที่ไหนครับพี่ (ถามเพราะว่าอยากรู้จริงๆนะครับ) ไปอ่านเวปอื่นมา เขาเขียนอย่างนี้ ผมไม่มีความรู้เลย พี่ๆช่วยวิจารณ์ให้ฟังหน่อยครับ ใช้อัตราเงินเฟ้อในประเทศของผู้ลงทุนเองก็ได้ครับ แบบว่าแทนที่จะออมมาลงทุน สู้บริโภคเลยดีกว่าถ้าลงทุนได้ไม่เท่าอัตราเงินเฟ้อ
โดย
Alastor
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 1:32 pm
0
0
Re: อึดอัดกันบ้างไหม?
ขอบคุณ picatos ครับ ส่วนเรื่องจ้าง mod นี่ ถ้าให้เงินผมคงไม่เอาอ่ะครับ คนเราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเงินตลอดเวลา
โดย
Alastor
อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 8:35 am
0
0
Re: หุ้นสถาบันการเงิน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ระดับ CFA มาให้ความรู้ น้อมรับไว้ครับพ่ี Pbv ไม่ค่อยมีประโยชน์จริงๆ ผมเคยยึด Pbv มาหลายปี ใครไม่เชื่อต้องลองเองครับ ยังไม่ได้ certificate ครับ พอดีก่อนสอบรอบที่ผ่านมานอน ICU ซะก่อน วันสอบยังให้น้ำเกลืออยู่เลยครับ ไว้ปีหน้าพยายามใหม่ T-T
โดย
Alastor
พุธ มิ.ย. 29, 2011 7:26 pm
0
0
Re: ถามเรื่องการคำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพื่อคำนวณWACCครั
ถ้าจะใช้ wacc จริงๆน่าจะคัดมาแค่หนี้ที่มาจากการกู้ยืมนะครับ ตัดพวก เจ้าหนี้การค้า กับ เจ้าหนี้อื่นๆออก เพราะไม่ทราบต้นทุนทางการเงินของเจ้าหนี้ประเภทนี้ครับ เช่น ซื้อที่ดินมา 150 ล้าน แต่ชำระค่าที่ดินอีก 6 เดือนข้างหน้า ขืนเอามารวมด้วยคงได้ wacc แปลกๆนะครับ จำได้ว่า D/E ratio ที่ใช้ ควรเป็นค่าที่เรียกว่า ค่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัท ว่าบริษัทนี้จะมี D/E ratio เท่านี้แหละ แบบว่าค่าปัจจุบันอาจจะต่ำหรือสูงไปตามวงจรธุรกิจ แต่ผมว่านะ ใช้ค่าปัจจุบันไปเฮอะ เอาให้รอดก่อนค่อยใช้วิธีที่ซับซ้อนกว่าเดิม ส่วนตัวผมคิดง่ายๆกว่านี้นะ เช่นหุ้นเสี่ยงมาก ให้ Ke =20% เสี่ยงกลางๆ 15% เสี่ยงน้อย 10% ฯลฯ เพราะไม่รู้จำคิด wacc ละเอียดมากๆไปทำไม สุดท้าย growth กับความยั่งยืนของ growth สำคัญกว่าอยู่ดี
โดย
Alastor
อังคาร มิ.ย. 28, 2011 10:50 pm
0
0
Re: หุ้นสถาบันการเงิน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอเสริมหน่อยครับ จบที่ pbv บางที มันทำให้เราพลาดหุ้นดีๆหลายๆตัว Cpall ก็ pbv สูงตลอด ถัาไม่นับช่วงวิกฤต Asset of Bank and insurance firm are reflect in current value than trader firm. That why bank and insurance can use price to book value to valuation. Dr. Is correct laew krub. การใช้ PB ratio ในการประเมินราคา มันเป็นเรื่องทางทฤษฎีที่เก่าแล้วมากครับ ผมว่ามันมี fraud นะ เพราะในฝั่ง Asset นั้น มิได้ถูกบันทึกตาม fair value แต่อย่างใด เช่น BLA บันทึกเงินลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเป็น Held-to-maturity ซึ่งแสดงตามราคาทุน ยิ่งฝั่ง Liability นี่จบกันเลยไม่รู้ว่า fair value เป็นเท่าไหร่ ดังนั้น Equity ซึ่งเท่ากับ Asset - Liability ก็ไม่ใช่ค่าที่สะท้อนมูลค่ายุติธรรมได้ จะใช้ PB Ratio วัดได้อย่างไรละครับ? ผมว่านะ หุ้น bank ที่ยากจริงๆคือการอ่านงบการเงิน เพราะวัด ratio ต่างๆ ไม่เหมือนบริษัทผลิตสินค้าหรือให้บริการอื่นๆเลย ใช้รายได้เป็นตัวตั้งไม่ได้ต้องใช้สินเชื่อ มีเรื่องการสำรองหนี้เสีย การสำรองมูลค่าหลักทรัพย์ยึดคืน การขายทอดตลาด ในด้านของกระแสเงินสดก็นับการฝากเงินกับการปล่อยกู้ใน OCF ด้วย ทำให้คนที่อ่านงบไม่เป็นออกทะเลได้ง่ายๆ ฐานลูกค้าของ bank เองก็หลากหลาย รวมๆแล้วเหมือนภาคธุรกิจโดยรวมของประเทศไทยมากกว่า แถมหุ้น bank ส่วนใหญ่เป็น Big-cap ซึ่งมี beta ใกล้ๆ 1 ทำให้เวลา SET Index ลดลง หุ้นก็ลงไปด้วย ทั้งอ่านงบยาก แถมราคายังไปตาม SET Index ซะมากด้วย แบบนี้ไม่รู้จะวิเคราะห์โดยละเอียดอย่างไร และ ไม่รู้จะทำไปให้เหนื่อยทำไมด้วย ที่ผมมองไว้มี 2 วิธีลงทุนใน bank คือ เดินตามผู้ใหญ่ กับ ซื้อกระจายตัว ซึ่งคิดๆดูก็ไม่ได้เหมาะกับตัวผมเองเท่าไหร่นะ แต่ว่านะกิจการธนาคารเนี่ยน่าเป็นเจ้าของมากๆครับ ลองไม่ใช้ 7-11 ซัก 1 ปี กับไม่ใช้ bank ซัก 1 ปีสิครับ แบบว่าเงินเดือนก็ให้เจ้านายจ่ายมาเป็นธนบัตรเลยนะ ผมว่าอย่างหลังชีวิตจะลำบากกว่าเยอะ bank เดี๋ยวนี้ไม่ใช้แค่ Saving&Loan แล้วครับ มันเป็นเครื่องจักรทางการเงินที่ครบวงจร คือคุณขาดมันไม่ได้อ่ะ ไม่เชื่อทดลองได้ครับ อนาคตคุณจะเห็น bank ที่มั่นคงมากๆและรายได้ก้อนใหญ่จะมาจาก fee ทำให้การใช้ PB ratio ไม่เหมาะอีกต่อไป (ก็สินทรัพย์มันไม่ได้สร้างรายได้หลักแล้วนิ) ส่วนตัวผมก็ปวดหัวอยู่เพราะอยากได้แต่ไม่รู้จะซื้อตอนไหนดี -_-' ในทางตรงข้าม Leasing วิเคราะห์ง่ายกว่า โดยเฉพาะกิจการที่ขายสินทรัพย์ที่ยึดมาเร็วๆ โอกาสการแต่งงบจะน้อยเพราะสำรองโน่นนี่ไม่ค่อยได้ผล สินค้าที่เป็นหลักประกันก็ติดตามได้ค่อนข้างง่ายว่าสภาพตลาดเป็นยังไง เรื่องโดนเจ้าของโกงนี่ ผมว่ามันก็ต้องระวังกันทุกบริษัทแหละครับ ส่วนตัวผมเน้นที่มี related party transaction น้อยๆไว้ก่อน แต่ก็เหมือนกลุ่ม bank ที่งบจะอ่านยากกว่า บริษัทผลิต/บริการ แต่ยังไงก็อ่านง่ายกว่า bank ครับ ประกันภัย/ประกันชีวิตนี่ ผมว่าปีนี้น่าจะเป็นปีทองของประกันภัยนะนะ เพราะรายได้จะมาจากสองทางคือธุรกิจประกัน กับ เงินลงทุน ปีนี้ดอกเบี้ยขึ้นหลังจากที่ yield ต่ำมากๆมานาน ตอนนี้ที่เห็นคือบางบริษัทมีการรอจังหวะว่าถ้าดอกเบี้ยขึ้นถึง peak เมื่อไหร่ เงินลงทุนที่แต่เดิมเป็นเงินฝาก/ตราสารหนี้อายุสั้นมากๆ จะโดนโยกไปเป็นตราสารหนี้ระยะยาวที่มี yield สูงกว่ามาก บริษัทประกันจะมีรายได้จากการลงทุนเพิ่มอย่างมากเลย การประกันภัยรถยนต์เท่าที่ดูก็ทำกำไรกันได้นะครับ อย่าไปเลือกบริษัทที่เบี้ยประกันไม่โตก็พอแล้วเพราะการที่เบี้ยโตจะทำให้สินทรัพย์ลงทุนเพิ่มตามไปด้วย มีโอกาสได้กำไรเพิ่มจากเงินลงทุนเข้าไปอีก ผมเคยถือหุ้นบริษัทประกันที่เบี้ยไม่โตนี่ รอปีสองปีหุ้นยังไม่ขึ้นเลยครับ แบบว่า PB ratio ต่ำจริง แต่มันต่ำยาวเลย (ตอนนั้นผมก็เลือกเพราะ PB ratio มันต่ำนี่แหละ ตามตำราๆ) ใครจะมาลงทุนถ้ารู้ว่าเพดานราคามันแค่ Book value หล่ะครับ เดี๋ยวซวยเป็นไม้สุดท้ายพอดี ฝั่งประกันชีวิต ผมคิดว่าบริษัทพวกนี้มี growth สูงเลยน่าลงทุน ผมเลยไม่เห็นด้วยที่ใช้ PB ratio ด้วยเหตุผลข้างต้นว่าวิธีนี้ fraud และ PB ratio หรือจะวิธี EV ก็ไม่ได้คำนึงถึง Growth ในอนาคตด้วย ซึ่งค่อนข้างแปลกที่มีคนใช้นะ เพราะเหตุผลที่ลงทุนในหุ้นประกันชีวิตคือ "เชื่อว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตอย่างรวดเร็ว" แต่ PB กับ EV ไม่คำนึงถึง Growth ในอนาคต แล้วเอามาใช้ทำไมหว่า??? มัน ลักหลั่นย้อนแย้ง นะผมว่า (ยืมคำมาจาก หงสาจอมราชัน :P) ส่วนตัวผมใช้ FWD PE กับ DCF (FCF-to-firm) คุ้นๆว่ามี Justified-PB ratio อีกวิธีนึงที่คิด growth ด้วย แต่จำได้ว่า growth ต้อง mature แล้ว เลยใช้กับประกันชีวิตคงไม่ได้ครับ ส่วนพวก broker นี่ผมเห็นด้วยกับ ดร.เลยครับ ผมยอมแพ้กลุ่มนี้ +_+
โดย
Alastor
อังคาร มิ.ย. 28, 2011 10:41 pm
0
0
Re: งบการเงิน พร้อม หมายเหตุประกอบงบ ใน USA
ขอบคุณครับ
โดย
Alastor
เสาร์ มิ.ย. 25, 2011 7:31 pm
0
0
Re: เขาว่ากันว่า ถ้าธนาคารแข็งแกร่ง โอกาสที่จะเกิด crisis เป
ถ้าเป็นธนาคารไทย ผมว่าแข็งแกร่งพอสมควรเลยนะ ธุรกิจนี้ต้องดูที่ CAR Ratio ครับ ถ้า Tier 1 Capital มีมากพอ ก็จะรองรับความเสียหายได้ ปกติธนาคารต้องทำให้ตัวเองอยู่ใน Virtue Cycle ครับ คือ ปล่อยกู้ไปแล้วได้กำไร กำไรไปสะสมใน Tier 1 Capital ทำให้ปล่อยกู้ได้มากขึ้นเพราะมีฐานทุนสูงกว่าเดิม ปล่อยกู้แล้วก็ได้กำไร ไปเรื่อยๆ ถ้ากลัวว่าธนาคารจะเจ็ง ก็ต้องดูว่าจะเจ็งได้ยังไง อย่างแรกคือ ความเสียหายโดยตรง เช่น ลงทุนในสินทรัพย์ที่จะด้อยมูลค่าลง ตอนนี้ไม่ค่อยเห็นนะเพราะ Gov Bond Greece นี่ไม่น่าจะมี bank ไหนถือนะ อันต่อมาก็คือ ลูกค้า(ซื้อปล่อยกู้ให้)ล้ม เลยเกิดหนี้เสียขึ้นเยอะๆ แต่ทุกวันนี้ผมมองว่า Large Corporate ในไทย ยังจำฝันร้ายปี 40 ได้ ก็ยังไม่ leverage กันขนาดนั้น และสุดท้ายคือ Off Balance Sheet พวกไปค้ำประกันโน่นนี้แล้วคนถูกค้ำชักดาบ เท่าที่ดู Off Balance Sheet ธนาคารไทย จะเป็นพวก LG Bid Bond Performance Bond ค้ำค่าไฟฟ้า L/C ซะมากกว่า FWD Contract ก็ต้อง offset กันด้วย ไม่เห็นอะไรที่จะระเบิดใส่หน้านะ แบบ bank ใน US คงไม่มีหรอกครับ เพราะบ้านเราไม่มีตลาด Mortgage แบบนั้น อีกอย่างคือ NIM ราว 3% เนี่ย ธนาคารไทยหากินกับการปล่อยสินเชื่อได้อยู่ ไม่ต้องดิ้นรนไปทำ Investment Banking กันแบบที่โน่นนะครับ ส่วนตัวผมว่า bank ที่คุณ picatos เคยทำงานเนี่ย มั่นคงที่สุดแล้ว อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว :P ที่ดีอีกอย่างคือ BOT ค่อนข้างเข้มงวดในการ oversee ธนาคารนะ อย่างมีบางธนาคารถือตราสารสกุลเงินตราต่างประเทศมากๆก็โดนสั่งให้ offset position ซะ การเก็งกำไรโน่นนี่เลยเกิดไม่ค่อยได้ครับ ผมว่า วางใจฝากเงินกับธนาคารไทยเนี่ย ดอกเยอะไหมไม่รู้ แต่เงินต้นคงไม่หายหรอกครับ ถ้าจะห่วงหน่อยก็พวกที่ปล่อยให้กับ SME เยอะๆ สินเชื่อโตไวๆ แบบนี้น่าสงสัยว่า หลักประกันพอไหม และ ตอนปล่อยสินเชื่อนี่ หวังทำเป้ามากกว่าความแน่นอนในการได้เงินคืนหรือเปล่า ผมว่าตอนนี้ที่น่าเสียวๆคือ bank ใน Eurozone มากกว่า ตอนนี้ CDS ของ greece 5y ราคาราว 2000 basis point เยอะกว่า Venezuela ซะอีก ถ้าถือไว้เยอะกว่า Tier 1 Capital นี่ มีสิทธิจูบพื้นแน่ๆเลย
โดย
Alastor
เสาร์ มิ.ย. 25, 2011 11:18 am
0
0
Re: ขอบคุณทีมงาน tvi สำหรับงาน เฮฮามากๆเลยครับ
วันนี้สนุกมากเลยครับ คราวหน้า จะเอาปืนเลเซอร์ไปด้วย จะได้อ่าน Barcode ได้ :P
โดย
Alastor
เสาร์ มิ.ย. 18, 2011 9:39 pm
0
0
Re: ERAWAN >> ERW
ขอบคุณครับผม :D
โดย
Alastor
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 3:16 pm
0
0
Re: Set Market Cap เทียบกับ GDP
อีกอย่างนึง GDP เขาเอามูลค่า import มาหัก คนส่วนใหญ่ใช้ของในประเทศกับซื้อของนำเข้า โอกาส export งานของตัวเองน้อยครับ หัก import ก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะไทยก็ import มาเพื่อผลิตแล้ว export เยอะนะครับ คนส่วนใหญ่ก็ใช้น้ำมัน ทุกคนใช้ไฟฟ้า ซึ่งก็นำเข้ามานะครับ
โดย
Alastor
อาทิตย์ เม.ย. 10, 2011 9:41 am
0
1
Re: มารวบรวมเครดิตภาษีสำหรับเงินปันผลปี 2554 กันดีกว่าครับ :
แต่ละปี แต่ละบริษัทอาจปันผลจาก กำไรสุทธิที่มี่อัตราภาษีต่างๆกันนะครับ เช่นปีนึง 50% เป็น tax 25% อีก 50% เป็น tax 30% แต่ปีต่อมาอาจจะเป็น 20:80 หรือ 70:30 ก็ได้
โดย
Alastor
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 10:35 pm
0
0
Re: ตราสารหนี้รัฐบาล ที่ประสบปัญหาการเงิน นี้น่าลงทุนมั้ยครั
จะไปซื้อได้ไงครับ?
โดย
Alastor
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 10:33 pm
0
0
Re: เราควรพิจารณาให้ค่าตอบแทนกรรมการ กี่เปอร์เซ็นจากกำไรสุทธ
ปกติผมจะเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้ๆกัน ลองเทียบกับ รายได้ จะดีกว่ากำไรครับ เพราะกำไรขึ้นกับสมมุติฐานด้านบัญชี โครงสร้างภาษีและเงินทุนด้วย ดูด้วยว่าแต่ละปีเพิ่มเท่าไหร่ก็ดีนะครับ
โดย
Alastor
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 10:31 pm
0
0
Re: บัญชีบริษัทประกัน ...
หมายถึงในงบดุลหรือครับ? ถ้าลูกค้าจ่ายมาแล้วก็จะเป็นเงินสด แต่ก็จะถูกนำไปจ่ายเป็นค่าดำเนินการ หรือ ไม่ก็เอาไปลงทุนครับ ผมว่าลองศึกษาโครงสร้างงบการเงินว่ามีอะไรบ้างดูก่อนดีกว่าครับ อีกอย่างคือ งบบริษัทการเงิน อ่านยาก ถ้าเริ่มศึกษาเริ่มจาก บริษัทผลิตสินค้า จะง่ายกว่าครับ
โดย
Alastor
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 10:29 pm
0
0
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
ขอบคุณสำหรับความเสียสละของพี่ CK ครับ นับถือเสมอมาครับ
โดย
Alastor
จันทร์ พ.ย. 15, 2010 8:20 pm
0
0
Re: ถามเกี่ยวกับ EQUITY หน่อยครับ
เลยสงสัยว่า สมการนี้ถูกหรือเปล่า EquityQ3 = EquityQ2+NetProfitQ3 ถ้าบริษัทมีสินทรัพย์ประเภท Available-for-Sale การเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์ เช่น หุ้นขึ้นลง Asset จะเปลี่ยน แต่ใน equity จะไม่นับเป็นกำไรครับ โดยจะบันทึกเป็น การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ เป็นส่วนหนึ่งของ Equity เลย เพื่อให้งบดุลเกิดดุลยภาพ จนกว่าจะมีการขายถึงจะนับเป็นกำไรครับ BLA เป็นบริษัทประกันซึ่งมีสินทรัพย์ลงทุนเยอะอยู่แล้ว ถ้าบันทึกเป็น trading จะรับรู้กำไรตามราคาที่เปลี่ยนไป แต่ถ้า Available for sale ก็จะเกิดรายการแบบที่ผมว่าขึ้นเป็นประจำครับ เมื่อก่อนนี้ถ้าที่ดินที่ถือมีมูลค่าเพิ่มก็จะไปเพิ่มที่ Equity โดยตรง แต่ไม่รับรู้เป็นกำไร เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ดิน แต่ได้ยินแว่วๆว่าปีหน้าจะรับรู้เป็นกำไรแล้ว ซึ่งผมว่า ออกจะ bullshit เล็กน้อย แต่ถ้ามีคนดูแต่ Net Profit บรรทัดเดียวเยอะๆ ก็น่าจะทำกำไรกันได้นะ
โดย
Alastor
เสาร์ พ.ย. 13, 2010 9:55 pm
0
0
Re: หนี้ยาวไปหนี้สั้น
1.ทำไมถึงเฉพาะหนี้ยาวครับ หนี้สั้นได้ไหม? ถามโง่ๆ เพราะไม่เข้าใจหลักกายภาพของหนี้ยาวกลายเป็นAssetได้ครับ 2.แล้วพอโรงงานเปิดดำเนินงานค่อยตัดค่าเสื่อมต่อไป การ capitalize จะทำให้ระหว่างสร้างมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่พอสร้างเสร็จแล้วจะมี depreciation รายปีสูงกว่าครับ - -ยังงงนิดหน่อยครับ -ผมเข้าใจถูกไหมว่านำเอาดอกเบี้ยไปอยู่ในสินทรัพย์ เป็นต้นทุนสินทรัพย์นั้น เวลาอยู่ในสินทรัพย์ก็ตัดออกเป็นค่าเสื่อมในภายหลัง เมื่อสร้างเสร็จ -การCapitalize คำว่าต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า ต่ำกว่าคือ ต่ำกว่ากู้คนอื่น? หรือต่ำกว่าอะไรครับ หรือการกู้เงินเป็นส่วนลดภาษี? 1. ผมอาจจะสร้างความสับสนเอง หนี้ที่บอกได้ว่ากู้มาเพื่อสร้างสินทรัพย์ถาวรนั้น บริษัทสามารถ capitalized ได้ครับผม แต่พี่จะสร้างโรงงานทั้งที คิดจะกู้ O/D หรือ ตั๋วแลกเงินใบเดียว รึ? O/D ก็สะดวกดีนะ แต่ผมเห็นเค้ากู้ยาวกันอ่ะครับ 2. yes ถูกแล้ว ก็ระหว่างสร้างไม่รับรู้การชำระดอกเบี้ยเป็นรายจ่ายไงครับ รับรู้เป็น Asset
โดย
Alastor
เสาร์ พ.ย. 13, 2010 9:48 pm
0
0
หนี้ยาวไปหนี้สั้น
เห็นแย้งอ่ะ เพราะว่า หนี้ระยะสั้น เป็นตัวที่ทำให้ฝ่ายบริหารจัดการยากมาก ทั้งคืนเงินต้นและคืนหนี้ หากวางแผนไม่ดีพอทำให้ การดำเนินการกิจการมีปัญหาได้เลย แถมดอกเบี้ยมันก็อยู่ใน RATE ของ MRR MLR พวกนี้ ไม่มีส่วนลดด้วย แต่ถ้าเป็นหนี้ระยะยาว ยังมีโอกาสที่ลดดอกเบี้ยค่าได้ และสามารถ FIX Rate ของดอกเบี้ยได้ด้วย จุดนี้ทำให้ต้นทุนมันลดลงได้ มิได้กล่าวถึงความยากง่ายในการบริหารแต่อย่างใดหนิครับ? ปกติ Yield Curve จะชันขึ้นเป็นลักษณะปกติ เหมือนฝากประจำ 24 เดือน ได้ดอกมากว่า 6 เดือน ทำให้ธนาคารมีต้นทุนจากเงินฝากระยะยาวมากกว่าระยะสั้น จะไปปล่อยกู้ระยะยาวด้วยราคาถูกกว่ากู้สั้นได้อย่างใดเล่าครับ? เงินกู้สั้นที่ดอกแพงกว่ายาวอันเดียวคือ Overdraft เพราะมีประเด็นเรื่อง Liquidity ลูกค้าได้วงเงินแล้วเบิกได้ตลอดไม่ต้องขออนุมัติทุกๆรายการ นอกจากนี้การกู้สั้นนั้น มีส่วนลดจาก MLR/MRR ได้สิครับ บริษัทใหญ่ๆยังกู้ตาม BIBOR +small basis point ได้เลย bank ก็เอา เพราะดีกว่าไปฝากกับ BOT คงได้ยินมาผิดแล้วหล่ะครับ
โดย
Alastor
ศุกร์ พ.ย. 12, 2010 1:22 pm
0
0
Re: หนี้ยาวไปหนี้สั้น
1.บริษัทที่ใช้เงินกู้ระยะยาว Stock สินค้า(สินทรัพย์หมุนเวียน) และใช้การกู้ยืมระยะสั้น Stockสินค้าเช่นกัน ในแง่การเงิน ที่ผมทราบมาคือหนี้สั้นห้ามไปจ่ายหนี้ยาว แต่หนี้ยาวไปสั้นได้ แต่อยากรู้ข้อเสียของมันบ้างว่าจะให้ผลอย่างไร 2.ในส่วนลงทุนโรงงานก็มีการลงทุนโดยเจียดหนี้ยาว+ส่วนทุน บริษัทใช้ระบบการรับรู้รายได้แบบเกณฑ์ทางบัญชี ในส่วนการดึงการกู้ระยะยาวจากข้อ 1 กระทบข้อ 2 อย่างไร 1. ปกติหนี้ระยะยาวจะมีดอกเบี้ยแพงกว่าหนี้ระยะสั้น ดังนั้นถ้ากู้มาเพื่อซื้อสินทรัพย์หมุนเวียน กู้เป็นระยะสั้นดีกว่า หนี้ระยะยาวมีข้อดีคือได้เงินมาแน่ในขณะที่หนี้สั้นต้องขอต่อวงเงินทุกๆปี 2. การรับรู้รายได้ไม่เกี่ยวว่า ลงทุนโดยหนี้ยาว หรือ ส่วนทุน แต่ถ้าใช้หนี้ยาวสามารถนับดอกเบี้ยที่จ่ายเป็น asset ประเภทโรงงานที่กู้เงินไปสร้างได้ เรียกว่า Interest Capitalization ครับ แล้วพอโรงงานเปิดดำเนินงานค่อยตัดค่าเสื่อมต่อไป การ capitalize จะทำให้ระหว่างสร้างมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่พอสร้างเสร็จแล้วจะมี depreciation รายปีสูงกว่าครับ ข้อ 1 กับ 2 ไม่เกี่ยวข้องกันครับ หนี้สั้นห้ามไปจ่ายหนี้ยาว แต่หนี้ยาวไปสั้นได้ ไม่จริงในทุกๆวโรกาศครับ
โดย
Alastor
ศุกร์ พ.ย. 12, 2010 8:10 am
0
0
สิ่งที่ควรระวัง --- >ค่าเสื่อมราคา --> FCF --> DCF
แต่ปกติใน CFI ก็จะมีการลงทุนในอุปกรณ์สำนักงานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วนะครับ ผมว่าปกติ FCF จะผันผวนจาก Working Capital Change มากที่สุดนะ ผมใช้ model นี้กับ service industry มากกว่า
โดย
Alastor
เสาร์ ต.ค. 23, 2010 2:36 pm
0
0
แวลูอินเวสเตอร์ มาถูกทาง และเป็นกลุ่มที่ทรงพลังในตลาดหุ้น
:cool: ชื่นชมคนเก่ง ไม่ขี้โม้ ไม่อวดร่ำอวดรวย
โดย
Alastor
พุธ ต.ค. 20, 2010 8:13 am
0
0
DCFหามูลค่าหุ้นเมื่อ Growth rate มากกว่า discounted rate?
ต้องใช้ Multistage DCF ครับ
โดย
Alastor
จันทร์ ต.ค. 18, 2010 8:40 am
0
0
วิธีคิดผลตอบแทน แบบเงินต้นไม่เท่าเดิม คิดอย่างไงครับ
XIRR โลดครับพี่ โอ๊ยๆ ผมใช้แต่ Excel 2003 อ่ะ ตกยุคไหมเนี่ย จะให้ upgrade ก็กลัว analysis file เป็นร้อยๆจะมีที่เจ๊งครับ เคยลองใช้ 2007 เป็น Excel 2003 file ที่ใหญ่มากๆแล้ว hang นะ
โดย
Alastor
ศุกร์ ต.ค. 08, 2010 8:16 am
0
0
วิธีคิดผลตอบแทน แบบเงินต้นไม่เท่าเดิม คิดอย่างไงครับ
การใช้ time-weighted average จะติดความไม่สะดวกที่ต้องคำนวณบ่อยๆเนื่องจากมีปันผลครับ เพราะถ้ามีกระแสเงินสดจากปันผลเข้ามาก็ต้องคำนวณผลตอบแทนทีนึง ส่วน IRR function นั้น ถ้ามีกระแสเงินสดเข้าออกมากๆระหว่างปี ผมไม่แน่ใจว่า Excel จะคำนวณออกนะ ถ้าจะให้ถูกต้อง ต้องกรอกว่าแต่ละวันมีกระแสเงินสดเข้าออกเท่าใด วันไหนไม่มีก็ต้องใส่เป็น 0 แล้วค่อยยกกำลัง return rate ที่ได้ด้วยจำนวนวันอีกทีเพื่อให้เป็นผลตอบแทนรายปี มันไม่ง่ายนะครับ วิธีง่ายสุดที่ผมใช้อยู่คือ Avg.Outstanding อ่ะครับ NAV พอดีคิดวิธีผูกสูตรไม่ออก
โดย
Alastor
พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2010 10:43 pm
0
0
Re: วิธีคิดผลตอบแทน แบบเงินต้นไม่เท่าเดิม คิดอย่างไงครับ
จริงๆควรคิดทุกสิ้นปีนะครับจะได้returnต่อปี คิดเป็นReturnต่อปี=112*1/ 1.67 =67%ต่อปีครับ 1.67 นี้มาจากไหนครับ[/quote] น่าจะต้องถอด root มากกว่าหารนะครับ
โดย
Alastor
พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2010 10:35 pm
0
0
วิธีคิดผลตอบแทน แบบเงินต้นไม่เท่าเดิม คิดอย่างไงครับ
มีอยู่ 2 วิธีที่ผมคิดว่า ok นะ 1. NAV คิดว่าตอนลงทุนครั้งแรกมีหน่วยลงทุนหน่วยละ 10 บาท ต่อมาถ้าใส่เงินเพิ่มหรือเอาเงินออกให้คิด NAV ณ วันนั้นแล้วทำเหมือนซื้อขาย หน่วยลงทุน 2. Avg. Outstanding คิดกว่าในแต่ละปีมีเงินที่ลงทุนไปเท่าไหร่ในแต่ละวันแล้วคิดค่าเฉลี่ยรายวันออกมาก
โดย
Alastor
พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2010 10:06 am
0
0
วงจรการหมุนเวียนของเงินสดและจำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับหมุนเวียน
ทีนี้ผมสงสัยต่อว่า ตัวเลขเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินการนี้ จะเอามาใช้ประโยชน์ต่ออย่างไรได้บ้างครับ เช่นว่า เงินก้อนนี้ควรมากกว่า เงินทุนหมุนเวียน (สินทรัพย์หมุนเวียน ลบ หนี้สินหมุนเวียน)หรือ แค่มากกว่า สินทรัพย์หมุนเวียนก็พอ จึงจะดีกับบริษัท วานผู้รู้ช่วยเฉลยหรือช่วยคิดวิจารณ์ให้ด้วยครับเพราะในหนังสือมันไม่มีต่อแล้วมันจบบทแค่นี้ ปกติผมจะใช้สัดส่วนระหว่าง เงินทุนหมุนเวียน ต่อ ยอดขาย เพื่อใช้ทำนายว่า ในกรณีที่ยอดขายเพิ่ม บริษัทจะต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเท่าใด เอาไว้ทำนายความพอเพียงของเงินสด ต่อเนื่องไปถึงทำนายเงินปันผลครับ BTW, Good Question!
โดย
Alastor
พุธ ต.ค. 06, 2010 12:11 pm
0
0
Re: For Your Information
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F9708784/F9708784.html อืม กระทู้นี้บอกอะไรเราบ้างครับ โลกนี้ยังมีคนอีกมากที่คิดว่า หุ้น VI มีอยู่จริง
โดย
Alastor
อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 3:14 pm
0
0
CLSA - Thai Banks !!!!
ได้กำไรขนาดนั้นถูกด่าแน่ๆเลย ถ้าupsideมากขนาดนี้ โดนด่าก้อยอมครับ :ep: ว่าแต่ว่าใครจะด่าครับคุณ Alastor ไม่เกี่ยวกับราคาหุ้นครับแต่เกี่ยวกับการทำกำไรของธนาคาร เห็นธนาคารประกาศกำไรเพิ่มทีไรโดนด่าทุกทีว่าขูดเลือด
โดย
Alastor
อังคาร ก.ย. 14, 2010 9:26 pm
0
0
CLSA - Thai Banks !!!!
ได้กำไรขนาดนั้นถูกด่าแน่ๆเลย
โดย
Alastor
จันทร์ ก.ย. 13, 2010 10:29 pm
0
0
วิธีบริหารจัดการอารมณ์
:cheers: ช่วงนี้ก็สู้กับอารมณ์เป็นระยะๆครับ ยากจริงๆ -_-'
โดย
Alastor
พฤหัสฯ. ก.ย. 09, 2010 10:48 pm
0
0
ถ้าเกิดเหตุการณ์ปี 40 อีกครั้ง ชาว VI จะรอดมั๊ย
ลองอ่านการ์ตูน เรื่อง "ต้องรอด" ดูครับ... สนุกดี... แล้วจะรู้ว่ารอดหรือไม่รอดครับ... แบบการ์ตูนเรื่องนี้ผมไม่รอดแน่ๆอ่ะ +_+
โดย
Alastor
จันทร์ ก.ย. 06, 2010 8:04 am
0
0
คนโง่เห็นคำเตือนเป็นที่ระคายหู
รับทราบครับ ขออนุญาตออกความเห็นเพิ่มเติมเล็กน้อย.... ถ้าเราคิดว่าตัวเราเป็นผู้เดียวที่มีเหตุมีผล เราเป็นผู้เดียวที่ถือครองความจริง เราก็จะมองว่าคนอื่นไม่มีเหตุผลไปซะหมด มีแต่เราเท่านั้นที่ถูกต้องส่วนผู้อื่นนั้นไม่โง่ก็ชั่ว แต่ถ้าเรายอมรับความจริงว่าในสังคมไหนๆก็มีคนหลากหลาย แต่ละคนก็มีความเห็นของตนเอง และตัวเราเองก็มิได้ถูกต้องเสมอไป เราก็จะยอมรับการที่ผู้อื่นมีความเห็นต่างจากเราและปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างให้เกียรติเท่าเทียมกัน สังคมก็จะสงบสุขได้ครับ
โดย
Alastor
อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 3:10 pm
0
0
IAS 19 employee benefit
น่าจะกระทบมากกรณีที่บริษัท ให้ผลตอบแทนหลังเกษียณเยอะ นะครับ เพราะแทนที่จะไปรับรู้วันที่พนักงานเกษียณกลับต้องมารับรู้ระหว่างที่พนักงานทำงาน คงต้องจับตาดูบริษัทที่ค่าใช้จ่ายพนักงานเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ๆ
โดย
Alastor
ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 8:29 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นบริษัทประกันภัยน่าจะได้กำไรเพิ่มจากเงินลงทุนนะครับ เพราะส่วนใหญ่มี Asset เป็นเงินลงทุนใน Fixed Income security ผมเคยถามบริษัทหนึ่ง ก็ยืนยันเช่นนั้นและก็มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวกว่าเดิมเพื่อให้ได้ yield สูงขึ้นด้วย ส่วนตัวผมเลือกบริษัทจาก operation cashflow เพื่อรอจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นนี้อ่ะครับ
โดย
Alastor
อังคาร ส.ค. 31, 2010 8:17 am
0
0
หุ้นเกี่ยวกับโรงพยาบาลจะสนไหม
เท่าที่ผมลอง review งบดูบางตัว SG&A เพิ่มตามรายได้ทำให้ Net Profit เพิ่มช้ามากๆทั้งๆที่ลูกค้าก็เยอะ คนที่รวยคือผู้บริหารมากกว่านักลงทุน จนต้องโยนบริษัทนี้ออกจาก list บางตัวปีที่แล้วได้รับประโยชน์จากหวัด 2009 ไปในช่วงเดียวกันกับปีนี้ ทำให้กำไรเทียบ YoY ไม่น่าจะเพิ่มมากอะไร ผมเลยเฉยๆกับข่าวบอกว่าคนไข้เยอะมากๆ ที่มีหลายๆท่านมาเล่า จริงๆก่อนลงทุนน่าจะตรวจสอบก่อนว่า การคิดค่ารักษามี promotion หรือเปล่าทำให้คนไข้เยอะกว่าปกติ เพราะก็เคยมีมาแล้วที่คนไข้เยอะมากจากโรคระบาด แต่ GPM ต่ำ กำไรก็เลยมิได้เพิ่มมโหฬารดังที่ forecast กัน
โดย
Alastor
จันทร์ ส.ค. 30, 2010 9:36 pm
0
0
+++ช่วยรักษาเวปไซต์คุณภาพให้ยั่งยืนหน่อยครับ+++
[quote="โว้กว้าก"] โต้ตอบกระทู้กัน ลงเอยด้วย "เจ้า" ซะส่วนใหญ่ :lol:
โดย
Alastor
อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 8:11 am
0
0
เบื่องานจะลาออกมาลงทุนหุ้นคุณค่าแต่กลัว....
ลงทุน 3 ปี แรก ผมได้ผลตอบแทนแต่ละปี 7% > 25% > 125% มันช่างเป็นแนวโน้มที่สวยงามมากแบบว่าต้นปีที่ 4 คิดว่าน่าจะได้ซัก 200% :lol: ตอนนั้นก็คิดอะไรแบบ จขกท เลยครับ ดีที่มีเงินไม่เยอะเลยทำไม่ได้ เพราะสุดท้ายปีนั้นก็แพ้ SET ไป ทำให้เลิกดูถูกตลาดหุ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเรื่องงานตอนนั้นก็เบื่องานเหมือนกันทั้งๆที่บริษัทมั่งคงดี เพื่อนร่วมงานก็ดี แต่คิดว่าตัวเองชอบทำด้านการลงทุนมากกว่า ทางออกของผมคือ ตัดสินใจเปลี่ยนสายงาน โดยเริ่มเรียน MBA พร้อมๆกับย้ายไปทำบริษัทที่ "ใกล้การลงทุน" มากกว่าเดิม คือทำธุรกิจ financial data provider พอเรียนจบก็โชคดีมีคนรับเข้าทำงานในธนาคาร แล้วก็สอบ CFA เอาไว้เป็น pedigree เพิ่มต่างหาก (นี่โดดอ่านหนังสือมาเล่น tvi นะเนี่ย -_-') ผมคิดว่าคนเราไม่สายเกินที่จะทำสิ่งที่ชอบ ตั้งแต่ 4 ปีที่ออกจากงานวิศวกรมาผมว่าชีวิตลำบากขึ้นเยอะ เวลาว่างไม่ค่อยมีเพราะต้องมีเรื่องเรียนบ้าง สอบบ้าง แทนที่จะไปกินข้าว ไป karaoke แบบเมื่อก่อน แต่ก็มีความสุขกับชีวิตการทำงานมากกว่าเดิมเยอะเลยครับ ถึงแม้งานที่ทำไม่ใช่ Asset Mgt ซะทีเดียว แต่ก็ได้มีโอกาสศึกษาอะไรหลายๆอย่างที่คงนำมาใช้ติดตัวได้ตลอดชีวิตการลงทุน ยังไงก็ลองหาดูว่าอยากทำอะไร แล้วพยายามมุ่งไปทางนั้น ผมคิดว่ามันคุ้มค่ากับความลำบากเสมอครับ
โดย
Alastor
ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 10:30 pm
0
0
แท็กซี่แนะนำหุ้นผมอีกแล้ว จะทำให้กลัวถึงไหน
เป็นอาชีพในฝันของผมเลยนะพี่นัน... ผมเคยคิดว่า... อาชีพคนขับรถ โดยเฉพาะ ขับรถให้ผู้บริหารนั่งนี่ เหมาะกับอาชีพนักลงทุนแบบเน้นคุณค่ามาก... พอผู้บริหารลงจากรถไปทำธุระ เราก็นั่งเจาะหุ้น โทรหา IR นั่งฟัง Oppday... พอผู้บริหารขึ้นมา เราก็นั่ง discuss หุ้นกับผู้บริหารได้... เป็นอาชีพที่ดีมากมาย... แบบนี้ปรับ port ที่ก็ต้องเปลี่ยนเจ้านายทีอ่ะจิ
โดย
Alastor
จันทร์ ส.ค. 09, 2010 8:41 pm
0
0
งบการเงิน ไตรมาส 2/2553
[quote="chotipat"]MAKRO
โดย
Alastor
ศุกร์ ส.ค. 06, 2010 11:52 pm
0
0
เวลาขายหุ้นเพิ่มทุน ส่วนต่างราคาจาก BV บันทึกเป็นอะไรครับ
[quote="harn"]เวลาบริษัทตั้งโครงการซื้อหุ้นคื่นจากตลาดฯ อย่าง DSGT แล้วขายคืน หุ้นที่ซื้อมา กำไรจากส่วนต่างของราคา ก้อบันทึกในส่วนเกินมูลค่าหุ้นครับ ไม่ถือเป็นกำไรสะสม เอามาปันผลไม่ได้
โดย
Alastor
ศุกร์ ส.ค. 06, 2010 9:27 pm
0
0
รวม บ. Net import
TWFP นำเข้าถั่วเขียว สินค้ามี export ไปญี่ปุ่นบ้างเล็กน้อย net แล้ว เป็น Importer
โดย
Alastor
ศุกร์ ส.ค. 06, 2010 8:19 am
0
0
โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงหุ้นไทยปีนี้แตะ 1000 จุด
รอ ดร.ก้อง ประกาศ เท่านั้นครับ มาเมื่อไหร่หนีโลด :P
โดย
Alastor
ศุกร์ ส.ค. 06, 2010 8:18 am
0
0
638 โพสต์
of 13
ต่อไป
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
Alastor
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
Freshwater Aquarium
ความถนัด:
Frontline Manager
ที่อยู่:
City of Angles
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2007 2:48 pm
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. ม.ค. 03, 2013 1:27 pm
โพสต์ทั้งหมด:
2590 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.13% จากโพสทั้งหมด / 0.40 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ Value Investing
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ThaiVI GO Series
↳ Oppday Transcript
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
↳ หลักสูตรออนไลน์
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว