เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย่างไ
- MissViolet
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย่างไ
โพสต์ที่ 1
หลายคนคงผ่านวิฤติมาแล้วอย่างๆ น้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะซับไพรม์
อยากทราบว่า
1.แต่ละท่านผ่านมาได้ด้วยวิธีไหน
2.ในระยะนี้ ดูเหมือนตลาดจะเริ่มเดินซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ที่จะเกิด แต่ถ้ามันตกจนใกล้ถึงทุน (ที่มี MOS แล้ว) ที่ถืออยู่ คุณจะทยอยขายก่อนหรือไม่ เพราะเชื่อว่าหนก่อนที่ลงไปลึกมากหลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่า "รู้งี้"
หรือมีอะไรอยากเพิ่มเติมเชิญได้เลยนะคะ อยากทราบทัศนะค่ะ
อยากทราบว่า
1.แต่ละท่านผ่านมาได้ด้วยวิธีไหน
2.ในระยะนี้ ดูเหมือนตลาดจะเริ่มเดินซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ที่จะเกิด แต่ถ้ามันตกจนใกล้ถึงทุน (ที่มี MOS แล้ว) ที่ถืออยู่ คุณจะทยอยขายก่อนหรือไม่ เพราะเชื่อว่าหนก่อนที่ลงไปลึกมากหลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่า "รู้งี้"
หรือมีอะไรอยากเพิ่มเติมเชิญได้เลยนะคะ อยากทราบทัศนะค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 2
MOS หมายถึงส่วนเผื่อความปลอดภัยระหว่างราคาที่เข้าลงทุนกับมูลค่ากิจการที่วิเคราะห์ได้
หุ้นที่กิจการผันแปรตามปัจจัยเศรษฐกิจง่าย รายได้-กำไรผันผวนไม่แน่นอน ผู้บริหารธรรมดา หนี้สินมาก
อาจต้องเผื่อ MOS มากหน่อย
หุ้นที่กิจการมั่นคง เข้มแข็ง มีความสามารถเหนือคู่แข่งมาก ๆ MOS อาจน้อยหน่อยก็ได้
MOS .....
ไม่ใช่ส่วนต่างราคาตลาด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งของหุ้นกับราคาทุนที่ซื้อหุ้นมานั้น
หุ้นที่กิจการผันแปรตามปัจจัยเศรษฐกิจง่าย รายได้-กำไรผันผวนไม่แน่นอน ผู้บริหารธรรมดา หนี้สินมาก
อาจต้องเผื่อ MOS มากหน่อย
หุ้นที่กิจการมั่นคง เข้มแข็ง มีความสามารถเหนือคู่แข่งมาก ๆ MOS อาจน้อยหน่อยก็ได้
MOS .....
ไม่ใช่ส่วนต่างราคาตลาด ณ เวลาใดเวลาหนึ่งของหุ้นกับราคาทุนที่ซื้อหุ้นมานั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 3
จะกั๊กเงินจำนวนหนึ่งไว้รอเก็บของราคาถูกเสมอครับ
รอจังหวะนักลงทุนขี้ตกใจขายของดีราคาถูก
รอจังหวะนักลงทุนขี้ตกใจขายของดีราคาถูก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2603
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 5
บทเรียนจากซับไพร์ม
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ปัญหาซับ ไพร์มหรือลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ อเมริกามีผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นตกทั่วโลก สำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้นกับผลกระทบของซับไพร์ม โดยเฉพาะการขายหุ้นทั่วโลกของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงจากต้นปีกว่า 10% นักลงทุนรายย่อยต่างขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรดีเมื่อหุ้นตก
ในเวปไซค์ของ Thaivi.com มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้ชื่อว่าคุณ Invisible Hand ได้เขียนถึงบทเรียนของปัญหาซับไพร์มได้อย่างสนใจ จึงนำมาให้อ่านกัน
“สิ่งที่เรา ได้เรียนรู้หลังเหตุการณ์หุ้นลงอันเนื่องจากปัญหาซับไพร์ม และเหตุการณ์การลงทุนอื่นๆ จะเห็นว่าไม่ได้เน้นข้อสังเกตเป็นวิชาการอะไรนัก เป็นข้อสังเกตเอาไว้อ่านสนุกๆกันนะครับ
1. เวลาหุ้นลงก็จะมีข่าวร้ายเต็มตลาด แต่ถ้าหุ้นขึ้นกลับมานักลงทุนก็พร้อมจะลืมข่าวร้ายนั้นไป
2. นักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย 30-40% ของตลาด แต่ก็สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ ตัวเลขการซื้อขายต่างชาติครึ่งวันเป็นตัวเลขที่สำคัญกว่าตัวเลข GDP ตัวเลขเศรษฐกิจ ธปท. ทุกสิ้นเดือน หรือการเพิ่มขึ้นการส่งออกของประเทศในแต่ละเดือนไปเสียแล้ว เพราะอย่างหลังมันไม่เคยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แต่อย่างไร การซื้อขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ ก็ทำให้เราซื้อหุ้นบางตัวได้ถูกกว่าที่คิดได้ หรือขายหุ้นบางตัวแพงกว่าที่คิดได้
3. การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไป หรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท
4. การดู bid offer นานเกินไปบางครั้งอาจจะทำให้เราไม่กล้าซื้อหรือขายได้ หุ้นขาลง bid-offer และการเคาะแต่ละไม้ชวนให้เคาะขายตามอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ในหุ้นขาขึ้นก็เช่นกัน
5. หุ้นบางตัวเมื่อตลาดปรับลงมา เมื่อตลาดขึ้นกลับอาจจะขึ้นได้สูงกว่าเดิม แต่หุ้นบางตัวลงแล้วลงเลยไม่กลับมา การเลือกซื้อหุ้นในตลาดขาลงนอกจากจะพิจารณาหุ้นที่ลงมาเยอะเป็นพิเศษ แต่เราจะต้องเลือกพื้นฐานของหุ้นด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญหรือเกรงว่าทำได้ไม่ดี การซื้อ TDEX ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
6. บางครั้งความคิดที่รอต่างชาติหยุดขายแล้วค่อยซื้อหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้ผลทุก ครั้งไป หลายๆ ครั้งหุ้นจะใกล้ๆ จุดต่ำสุดเมื่อต่างชาติเพลาการขายลง
7. นักลงทุนในประเทศหลายๆ คนที่ขายหุ้นเพราะกลัว subprime จริงๆ แล้วไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกว่าปัญหา subprime มันเป็นยังไง แต่การบอกคนอื่นๆ ว่าขายหุ้นเพราะ subprime นั้นย่อมดูดีกว่าการขายหุ้นเพราะตกใจกลัวแน่นอน
8. การที่เราฟังนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ถ้าหลุด 10 บาทจะมีสิทธิลงไป 9.5 บาท ถ้ายืนเหนือ 10 บาทได้แปลว่าจะไม่ลงแล้ว หรือถ้าทะลุ 5 บาทมีสิทธิไปทดสอบ 5.5 บาทนั้น เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็นและดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมหรือ fact มากกว่าการคาดการณ์
9. นักวิเคราะห์บางคนเริ่มบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งครั้งแรกโดยแนะนำว่า sell เมื่อพื้นฐานดีขึ้นจึงปรับเป็น hold แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อนักลงทุนขายหุ้นหมดไปแล้วตามคำแนะนำจะเอาหุ้นที่ไหนมา ถือ ดังนั้นการปรับจาก sell เป็น hold แปลว่าให้หาหุ้นมาถือ ก็คือให้ซื้อนั่นเอง แต่การปรับจาก sell เป็น buy นั้นจะทำให้โดนเจ้านายและลูกค้าด่า ในทางกลับกัน การปรับจาก strong buy เป็น hold ก็มีนัยคล้ายๆ กัน
10. การซื้อขายทาง internet เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึง internet ได้เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าจุดประสงค์เพื่อประหยัดค่าคอมฯ บางครั้งการเติม 0 เกินไป 1 ตัวหรือ ซื้อเป็นขาย ขายเป็นซื้อ มันอาจจะมากกว่าค่าคอมฯ ที่ประหยัดได้ทั้งปี คล้ายๆ กับการซื้อบริการอะไรล่วงหน้าได้ส่วนลดเยอะแต่ท้ายสุดแล้วไม่ค่อยได้ไป
11. นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ถูก 100% ทุกครั้งนั้นไม่มีแน่นอน ที่เห็นส่วนมากนั้นถูกครึ่งผิดครึ่งซึ่งไม่ช่วยอะไรได้มากนักเหมือนเล่นปั่น แปะ แต่คนที่มี value add ที่สุดคือคนที่ผิดเกือบทุกครั้งเพราะเราเพียงแค่ทำตรงข้ามก็ถูกแล้ว จึงเป็นเหตุให้บางคนจึงมีชื่อเสียงเพราะตลาดรู้ว่าคนนี้ออกมาฟันธงว่าเป็นขา ขึ้นเมื่อไหร่ต้องให้ขายหุ้นทุกทีไป
12. หุ้นลงมากๆ หรือขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่า VI จะต้องไม่กลัวหรือเสียดายไม่เป็นเพราะเรายังมีชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ซื้อกลัวลงต่อมั้ยผมคิดว่าคงต้องมีความรู้สึกนี้กันบ้าง หรือหุ้นขึ้นแรงๆ ขายแล้วกลัวขึ้นต่อมั้ย ก็กลัวเพราะมันก็เกิดประจำ การซื้อแล้วลงหรือขายแล้วขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ๆ หากเรายังเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับ ดังนั้นการซื้อหรือขายแต่ละครั้งต้องคิดให้ถี่ถ้วนและวินัยการลงทุนเป็น เรื่องสำคัญเช่นกัน”
http://www.thaivi.com/2010/02/430/
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ปัญหาซับ ไพร์มหรือลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ อเมริกามีผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นตกทั่วโลก สำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้นกับผลกระทบของซับไพร์ม โดยเฉพาะการขายหุ้นทั่วโลกของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงจากต้นปีกว่า 10% นักลงทุนรายย่อยต่างขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรดีเมื่อหุ้นตก
ในเวปไซค์ของ Thaivi.com มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้ชื่อว่าคุณ Invisible Hand ได้เขียนถึงบทเรียนของปัญหาซับไพร์มได้อย่างสนใจ จึงนำมาให้อ่านกัน
“สิ่งที่เรา ได้เรียนรู้หลังเหตุการณ์หุ้นลงอันเนื่องจากปัญหาซับไพร์ม และเหตุการณ์การลงทุนอื่นๆ จะเห็นว่าไม่ได้เน้นข้อสังเกตเป็นวิชาการอะไรนัก เป็นข้อสังเกตเอาไว้อ่านสนุกๆกันนะครับ
1. เวลาหุ้นลงก็จะมีข่าวร้ายเต็มตลาด แต่ถ้าหุ้นขึ้นกลับมานักลงทุนก็พร้อมจะลืมข่าวร้ายนั้นไป
2. นักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย 30-40% ของตลาด แต่ก็สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ ตัวเลขการซื้อขายต่างชาติครึ่งวันเป็นตัวเลขที่สำคัญกว่าตัวเลข GDP ตัวเลขเศรษฐกิจ ธปท. ทุกสิ้นเดือน หรือการเพิ่มขึ้นการส่งออกของประเทศในแต่ละเดือนไปเสียแล้ว เพราะอย่างหลังมันไม่เคยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แต่อย่างไร การซื้อขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ ก็ทำให้เราซื้อหุ้นบางตัวได้ถูกกว่าที่คิดได้ หรือขายหุ้นบางตัวแพงกว่าที่คิดได้
3. การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไป หรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท
4. การดู bid offer นานเกินไปบางครั้งอาจจะทำให้เราไม่กล้าซื้อหรือขายได้ หุ้นขาลง bid-offer และการเคาะแต่ละไม้ชวนให้เคาะขายตามอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ในหุ้นขาขึ้นก็เช่นกัน
5. หุ้นบางตัวเมื่อตลาดปรับลงมา เมื่อตลาดขึ้นกลับอาจจะขึ้นได้สูงกว่าเดิม แต่หุ้นบางตัวลงแล้วลงเลยไม่กลับมา การเลือกซื้อหุ้นในตลาดขาลงนอกจากจะพิจารณาหุ้นที่ลงมาเยอะเป็นพิเศษ แต่เราจะต้องเลือกพื้นฐานของหุ้นด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญหรือเกรงว่าทำได้ไม่ดี การซื้อ TDEX ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
6. บางครั้งความคิดที่รอต่างชาติหยุดขายแล้วค่อยซื้อหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้ผลทุก ครั้งไป หลายๆ ครั้งหุ้นจะใกล้ๆ จุดต่ำสุดเมื่อต่างชาติเพลาการขายลง
7. นักลงทุนในประเทศหลายๆ คนที่ขายหุ้นเพราะกลัว subprime จริงๆ แล้วไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกว่าปัญหา subprime มันเป็นยังไง แต่การบอกคนอื่นๆ ว่าขายหุ้นเพราะ subprime นั้นย่อมดูดีกว่าการขายหุ้นเพราะตกใจกลัวแน่นอน
8. การที่เราฟังนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ถ้าหลุด 10 บาทจะมีสิทธิลงไป 9.5 บาท ถ้ายืนเหนือ 10 บาทได้แปลว่าจะไม่ลงแล้ว หรือถ้าทะลุ 5 บาทมีสิทธิไปทดสอบ 5.5 บาทนั้น เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็นและดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมหรือ fact มากกว่าการคาดการณ์
9. นักวิเคราะห์บางคนเริ่มบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งครั้งแรกโดยแนะนำว่า sell เมื่อพื้นฐานดีขึ้นจึงปรับเป็น hold แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อนักลงทุนขายหุ้นหมดไปแล้วตามคำแนะนำจะเอาหุ้นที่ไหนมา ถือ ดังนั้นการปรับจาก sell เป็น hold แปลว่าให้หาหุ้นมาถือ ก็คือให้ซื้อนั่นเอง แต่การปรับจาก sell เป็น buy นั้นจะทำให้โดนเจ้านายและลูกค้าด่า ในทางกลับกัน การปรับจาก strong buy เป็น hold ก็มีนัยคล้ายๆ กัน
10. การซื้อขายทาง internet เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึง internet ได้เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าจุดประสงค์เพื่อประหยัดค่าคอมฯ บางครั้งการเติม 0 เกินไป 1 ตัวหรือ ซื้อเป็นขาย ขายเป็นซื้อ มันอาจจะมากกว่าค่าคอมฯ ที่ประหยัดได้ทั้งปี คล้ายๆ กับการซื้อบริการอะไรล่วงหน้าได้ส่วนลดเยอะแต่ท้ายสุดแล้วไม่ค่อยได้ไป
11. นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ถูก 100% ทุกครั้งนั้นไม่มีแน่นอน ที่เห็นส่วนมากนั้นถูกครึ่งผิดครึ่งซึ่งไม่ช่วยอะไรได้มากนักเหมือนเล่นปั่น แปะ แต่คนที่มี value add ที่สุดคือคนที่ผิดเกือบทุกครั้งเพราะเราเพียงแค่ทำตรงข้ามก็ถูกแล้ว จึงเป็นเหตุให้บางคนจึงมีชื่อเสียงเพราะตลาดรู้ว่าคนนี้ออกมาฟันธงว่าเป็นขา ขึ้นเมื่อไหร่ต้องให้ขายหุ้นทุกทีไป
12. หุ้นลงมากๆ หรือขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่า VI จะต้องไม่กลัวหรือเสียดายไม่เป็นเพราะเรายังมีชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ซื้อกลัวลงต่อมั้ยผมคิดว่าคงต้องมีความรู้สึกนี้กันบ้าง หรือหุ้นขึ้นแรงๆ ขายแล้วกลัวขึ้นต่อมั้ย ก็กลัวเพราะมันก็เกิดประจำ การซื้อแล้วลงหรือขายแล้วขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ๆ หากเรายังเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับ ดังนั้นการซื้อหรือขายแต่ละครั้งต้องคิดให้ถี่ถ้วนและวินัยการลงทุนเป็น เรื่องสำคัญเช่นกัน”
http://www.thaivi.com/2010/02/430/
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 6
1. ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ไม่ได้ขาย ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เพราะไม่เคยเหลือเงินสดเลยMissViolet เขียน:หลายคนคงผ่านวิฤติมาแล้วอย่างๆ น้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะซับไพรม์
อยากทราบว่า
1.แต่ละท่านผ่านมาได้ด้วยวิธีไหน
2.ในระยะนี้ ดูเหมือนตลาดจะเริ่มเดินซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ที่จะเกิด แต่ถ้ามันตกจนใกล้ถึงทุน (ที่มี MOS แล้ว) ที่ถืออยู่ คุณจะทยอยขายก่อนหรือไม่ เพราะเชื่อว่าหนก่อนที่ลงไปลึกมากหลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่า "รู้งี้"
หรือมีอะไรอยากเพิ่มเติมเชิญได้เลยนะคะ อยากทราบทัศนะค่ะ
2. สำหรับผมแล้ว ผมจะเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์ธุรกิจของบริษัทมากกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะมัวไปสนใจราคาหุ้น เพราะยังห่างจากราคาพื้นฐานที่ผมคำนวณไว้อีกมาก หุ้นตกลงมา ก็อย่างที่ผมบอกว่าไม่มีเงินสดเหลือที่จะซื้อเพิ่ม ในเมื่อไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขาย ก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลากับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆในแต่ละวันทำไม
ผมเองก็เข้าใจ หลายคนอาจจะคิด Short Against Port เพื่อลดต้นทุน หรือ เพิ่มจำนวนหุ้น ซึ่งบางคนอาจจะประสบความสำเร็จ แต่หลายคนก็พลาด คนที่คิดจะทำ ต้องมีจิตใจกล้าได้กล้าเสียพอสมควร
ลองคิดดูว่า หุ้นบริษัท A ราคา 10 บาท เรามีราคาพื้นฐาน 25 บาท ถ้าเราขายไปวันนี้ แล้วราคาไม่ลง ขึ้นไปที่ 10.50 บาทในวันจันทร์ เราจะเครียดมาก จะซื้อที่ราคาแพงกว่าที่ขาย เราก็จะขาดทุนและเป็นการยอมรับตัวเองว่าพลาด แต่ถ้าเราไม่ซื้อกลับ ราคาอาจจะลงมาที่ 10.30 บาท วันพุธไปที่ 11 บาท และก็ไม่ลงมาที่ 10 บาทอีกเลย หลังจากนั้นราคาก็ไปที่ราคาพื้นฐานที่เราคำนวณไว้ที่ 25 บาท โอ เราพลาดกำไรไปมหาศาล เพียงเพื่อขอกำไรเล็กๆน้อยๆระหว่างทาง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 483
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 7
เวลาเราเครียด ก็อ่านหนังสือพระ
เวลาหุ้นตก ก็เอาหนังสือ VI เล่มเก่าๆมาอ่าน
ปิดจอ ไม่ต้องไปดูมันทุกวัน (เลือกหุ้นมาดีแล้ว)
รอผลประกอบการไตรมาศหน้าออกคับ
เดียวมันก็จะผ่านไป เหมือนที่ ดร.นิเวศน์ บอก
เวลาหุ้นตก ก็เอาหนังสือ VI เล่มเก่าๆมาอ่าน
ปิดจอ ไม่ต้องไปดูมันทุกวัน (เลือกหุ้นมาดีแล้ว)
รอผลประกอบการไตรมาศหน้าออกคับ
เดียวมันก็จะผ่านไป เหมือนที่ ดร.นิเวศน์ บอก
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 8
เมืองไทยไม่ค่อยกระทบจาก ยุโรปเท่าไร
เมืองไทย เป็นฐานในการผลิตสินค้าให้ยุโรปหลากหลายอย่าง
เมืองไทยก็นำเข้าสินค้าที่ผลิตที่ยุโรป
แต่ทั้งนำเข้าและส่งออกนั้น ตลาด US เป็นตลาดใหญ่
ตอน Sub Prime นักธุรกิจก็เปิดตลาดหันมาซื้อขายด้านเอเชีย และ ที่อื่นๆแทน
ทำให้ผลกระทบน้อย เป็นผลกระทบทางอ้อม
แต่ด้านการเงินนั้น เงินมันวิ่งได้เร็วกว่าสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการขนย้ายสินค้า
โดยใช้รถ เรือ เครื่องบิน รถไฟ ในการขนย้าย
สินค้าต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต เตรียมการต่างๆ ทำให้กินเวลานานกว่า
เงินนั้น แค่กดปุ่มบนโปรแกรมทที่ทำงานบนเครื่องพกพา เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (notebook) หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือบนโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ เราก็สามารถซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน ซื้อสินค้าบนที่ต่างๆในโลกได้
ดังนั้นเงินมันเร็วกว่าสินค้า ทำให้พวกเราที่ใช้เงินในแสวงหาผลตอบแทนโดยใช้เงินซื้อสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เจอสิ่งที่ทำให้สินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มขึ้นและลดลง อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆ
เมืองไทย เป็นฐานในการผลิตสินค้าให้ยุโรปหลากหลายอย่าง
เมืองไทยก็นำเข้าสินค้าที่ผลิตที่ยุโรป
แต่ทั้งนำเข้าและส่งออกนั้น ตลาด US เป็นตลาดใหญ่
ตอน Sub Prime นักธุรกิจก็เปิดตลาดหันมาซื้อขายด้านเอเชีย และ ที่อื่นๆแทน
ทำให้ผลกระทบน้อย เป็นผลกระทบทางอ้อม
แต่ด้านการเงินนั้น เงินมันวิ่งได้เร็วกว่าสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการขนย้ายสินค้า
โดยใช้รถ เรือ เครื่องบิน รถไฟ ในการขนย้าย
สินค้าต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต เตรียมการต่างๆ ทำให้กินเวลานานกว่า
เงินนั้น แค่กดปุ่มบนโปรแกรมทที่ทำงานบนเครื่องพกพา เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (notebook) หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือบนโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ เราก็สามารถซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน ซื้อสินค้าบนที่ต่างๆในโลกได้
ดังนั้นเงินมันเร็วกว่าสินค้า ทำให้พวกเราที่ใช้เงินในแสวงหาผลตอบแทนโดยใช้เงินซื้อสินทรัพย์ทางการเงินนั้น เจอสิ่งที่ทำให้สินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มขึ้นและลดลง อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 10
ตอน Sub prime ผมทำทุกวิถีทางที่จะหาเงินสดมาเก็บหุ้นเพิ่ม
หนึ่งในหลายๆวิธีคือตัดสินใจแต่งงานและเอาเงินสินสอดทุ่มซื้อหุ้นทั้งหมด
(แฮ่...แต่วิธีนี้คงไม่กล้าเอาประสบการณ์มาใช้ใหม่ครับ )
ตอนนั้นใช้วิธีมองไปข้างหน้าหลายๆปีครับ ว่ายังไงวิกฤตก็ต้องฟื้น
แล้วก็ความศรัทธาต่อหลักการลงทุนแนววีไอ อย่างหมดใจ
อีกอย่างคือเงินที่ลงทุนทั้งหมดเป็นเงินเย็น ไม่ว่าวิกฤตจะยาวนานกี่ปีก็ไม่มีปัญหาครับ
ส่วนตัวแล้วกลับรู้สึกดีใจที่มีวิกฤตในครั้งนั้นครับ
หนึ่งในหลายๆวิธีคือตัดสินใจแต่งงานและเอาเงินสินสอดทุ่มซื้อหุ้นทั้งหมด
(แฮ่...แต่วิธีนี้คงไม่กล้าเอาประสบการณ์มาใช้ใหม่ครับ )
ตอนนั้นใช้วิธีมองไปข้างหน้าหลายๆปีครับ ว่ายังไงวิกฤตก็ต้องฟื้น
แล้วก็ความศรัทธาต่อหลักการลงทุนแนววีไอ อย่างหมดใจ
อีกอย่างคือเงินที่ลงทุนทั้งหมดเป็นเงินเย็น ไม่ว่าวิกฤตจะยาวนานกี่ปีก็ไม่มีปัญหาครับ
ส่วนตัวแล้วกลับรู้สึกดีใจที่มีวิกฤตในครั้งนั้นครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 11
รู้อะไรไม่สู้....รู้งี๊ 55555+
ผมคิดว่า ถ้ามองว่าวิกฤติเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด
สำหรับคนที่ลงทุน50%ตลอด และเตรียมอีก50%เข้าหลังวิกฤติ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปครับ^^
สำหรับคนที่ลงทุน100%ตลอด ก็ไม่ต้องทำอะไร^^ ผมเคยทำWorkSheetสำหรับนักลงทุนที่ทำผลตอบแทนทบต้นต่อเนื่อง พบว่าพอร์ทที่ถือ100%ในระยะยาวโตมากกว่าพอร์ทที่ถือ50%แล้วสามารถเข้าเพิ่มอีก50%หลังวิกฤติได้ราคาLowพอดีอีกครับ^^
(ปล.แต่ขึ้นอยู่กับสมมุติฐาน %กำไรทบต้น,จำนวนรอบปีที่เกิดวิกฤติ,ความแรงวิกฤติ ค่าต่างกันผลอาจจะต่างกัน)
สำหรับคนที่ลงทุนเกิน100% อาจจะต้องวางแผนการบริหารมาร์จิ้นที่มีให้ดีๆ เพราะหลายคนไม่รอดกลับมาเล่าก็เยอะครับ
สำหรับคนที่หวังเล่นรอบ....ก็คำตอบของพี่ฉัตรเลยครับ ผมว่าชัดเจนมากครับ
ผมคิดว่า ถ้ามองว่าวิกฤติเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด
สำหรับคนที่ลงทุน50%ตลอด และเตรียมอีก50%เข้าหลังวิกฤติ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปครับ^^
สำหรับคนที่ลงทุน100%ตลอด ก็ไม่ต้องทำอะไร^^ ผมเคยทำWorkSheetสำหรับนักลงทุนที่ทำผลตอบแทนทบต้นต่อเนื่อง พบว่าพอร์ทที่ถือ100%ในระยะยาวโตมากกว่าพอร์ทที่ถือ50%แล้วสามารถเข้าเพิ่มอีก50%หลังวิกฤติได้ราคาLowพอดีอีกครับ^^
(ปล.แต่ขึ้นอยู่กับสมมุติฐาน %กำไรทบต้น,จำนวนรอบปีที่เกิดวิกฤติ,ความแรงวิกฤติ ค่าต่างกันผลอาจจะต่างกัน)
สำหรับคนที่ลงทุนเกิน100% อาจจะต้องวางแผนการบริหารมาร์จิ้นที่มีให้ดีๆ เพราะหลายคนไม่รอดกลับมาเล่าก็เยอะครับ
สำหรับคนที่หวังเล่นรอบ....ก็คำตอบของพี่ฉัตรเลยครับ ผมว่าชัดเจนมากครับ
chatchai เขียน: 2. สำหรับผมแล้ว ผมจะเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์ธุรกิจของบริษัทมากกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะมัวไปสนใจราคาหุ้น เพราะยังห่างจากราคาพื้นฐานที่ผมคำนวณไว้อีกมาก หุ้นตกลงมา ก็อย่างที่ผมบอกว่าไม่มีเงินสดเหลือที่จะซื้อเพิ่ม ในเมื่อไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขาย ก็ไม่รู้ว่าจะเสียเวลากับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆในแต่ละวันทำไม
ผมเองก็เข้าใจ หลายคนอาจจะคิด Short Against Port เพื่อลดต้นทุน หรือ เพิ่มจำนวนหุ้น ซึ่งบางคนอาจจะประสบความสำเร็จ แต่หลายคนก็พลาด คนที่คิดจะทำ ต้องมีจิตใจกล้าได้กล้าเสียพอสมควร
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อยุโรปวิกฤติ ชาว VI จะนำบทเรียนจาก Sub prime มาใช้อย
โพสต์ที่ 12
ปล.เป็นIdeaนะครับผมกำลังคิดว่า
การคาดเดาหุ้นที่เราหามาดีว่าจะราคาลงนั้นยากมาก(ในเคสที่คิดถูกนะครับ:P)
เพราะต้องเดา3ชั้นคือ
1.วิกฤติเกิดจริงตลาดโลกลงแรง 2.ตลาดไทยลงตาม 3.หุ้นเราลงตาม
ในเคสนี้ถ้าเทียบกับการ แบ่งเงินออกไป10% แล้วShortFutureไว้ เป็นการทำประกัน
ถ้าตลาดลงหุ้นลง พอร์ทก็ไม่กระทบมากนัก แต่ถ้าตลาดลงแต่หุ้นไม่ค่อยลง อาจจะกระทบน้อยมากๆ แต่ผมว่าก็น่าอย่างน้อยเราก็เดาน้อยลงชั้นหนึ่งปะครับ
ปล.ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้นะครับ ลองตั้งข้อสังเกตุเป็นidea
การคาดเดาหุ้นที่เราหามาดีว่าจะราคาลงนั้นยากมาก(ในเคสที่คิดถูกนะครับ:P)
เพราะต้องเดา3ชั้นคือ
1.วิกฤติเกิดจริงตลาดโลกลงแรง 2.ตลาดไทยลงตาม 3.หุ้นเราลงตาม
ในเคสนี้ถ้าเทียบกับการ แบ่งเงินออกไป10% แล้วShortFutureไว้ เป็นการทำประกัน
ถ้าตลาดลงหุ้นลง พอร์ทก็ไม่กระทบมากนัก แต่ถ้าตลาดลงแต่หุ้นไม่ค่อยลง อาจจะกระทบน้อยมากๆ แต่ผมว่าก็น่าอย่างน้อยเราก็เดาน้อยลงชั้นหนึ่งปะครับ
ปล.ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้นะครับ ลองตั้งข้อสังเกตุเป็นidea
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ