K.hongvalue ถาม ,พี่ IH ตอบ ภาค24-25
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
K.hongvalue ถาม ,พี่ IH ตอบ ภาค24-25
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยได้อ่านเนื้อหาที่คุณ hongvalue ถามพี่ Invisible hand ใน web กระทิงเขียว จึงขออนุญาตินำมา share เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่านครับ ขอขอบคุณ web กระทิงเขียวสำหรับแหล่งที่มาของข้อมูล และขอขอบคุณ K.hongvalue และพี่ Invisible hand เป็นอย่างสูงครับสำหรับความรู้ในการลงทุนที่นำมาฝากเพื่อนๆท่านอื่นครับ
ภาค 24
K.Hong ถาม : 1.บทวิเคราะห์บางแห่งมองหุ้นเรือในแง่ของ insured value หรือมูลค่าประกันภัยของกองเรือทั้งหมดว่ามีมากกว่า ev หรือไม่ โดยส่วนตัวผมคิดว่าวิธีนี้ไม่น่าจะ make sense เท่าไหร่เพราะถ้าค่าระวางเรือตกต่ำบริษัทเรือคงไม่ได้เผาเรือทิ้งเอาค่าประกันแล้วเอาเงินมาจ่ายปันผลแน่นอน มูลค่าประกันน่าจะได้เมื่อบริษัทเสียหายแต่ไม่ใช่ asset ที่บริษัทมีอย่างการขายเรือไปเป็นเศษเหล็กแล้วดูว่ามีมูลค่าเท่าไหร่น่าจะใช้ได้มากกว่า
P’IH ตอบ : ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ ถ้าเปรียบเทียบกับประกันรถยนต์ก็อาจจะเห็นได้ว่าวงเงินประกันรถยนต์จะใกล้เคียงกับราคารถหากขายออกไปมั้งครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 2.rcl ดูจะเป็นหุ้นเรือที่ได้ pbv น้อยกว่า psl tta น่าจะเป็นเพราะอุตสาหกรรมเรือคอนเทนเนอร์นั้นควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองไมได้เท่าไหร่ในแง่ของต้นทุนดำเนินงานคือ bunker oil ที่เรือตู้ต้องใช้ แต่เรือเทกองไม่มีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน ไม่ทราบว่าน่าจะเกี่ยวกันไหมครับ
P’IH ตอบ : ครับ ก็น่าจะเกี่ยวครับ RCL มีความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันแต่ PSL กับ TTA ลูกค้าเป็นคนจ่ายค่าน้ำมัน นอกจากนี้ RCL ถือว่าเป็นรายเล็กในอุตสาหกรรม ในขณะที่ PSL ถือว่าค่อนข้างจะเป็นรายใหญ่ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 3. uvan ,upoic แม้เป็นหุ้นต้นน้ำของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแต่ว่าผลกำไรกลับขึ้นอยู่ที่สภาพอากาศค่อนข้างสูงเนื่องจากสภาพอากาศที่เหมาะสมจะทำให้เวลาบีบปาล์มได้ cpo มากขึ้น ถ้ามองในมุมนี้หุ้นปาล์มไม่ควรจะมี pe สูงเท่าไหร่หรือไม่เนื่องจากอากาศเป็นสิ่งที่บริษัทควบคุมไม่ได้ ในทางกลับกันหุ้นกลางน้ำอย่าง lst ก็ไม่น่ามี pe สูงมากเช่นกันเนื่องจากราคาขายถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุม
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ นอกนี้ผลผลิตปาล์มของ UVAN และ UPOIC จากสวนตัวเองคิดเป็นสัดส่วนไม่มากของกำลังการบีบสกัดน้ำมันปาล์มด้วย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 4.apco เป็นหุ้นที่ดูเหมือนถ้าสินค้าสามารถเข้า modern trade ได้ก็น่าจะมี upside อีกเยอะ แต่สินค้าของบริษัทไม่สามารถใช้คำว่ารักษาได้เนื่องจากไม่ใช่ยาก็ไม่แน่ใจว่าถ้า boot และ วัตสัน แล้วจะทำตลาดอย่างไร ประเด็นที่ผมมองคือถ้าเข้าไปแล้วราคาสินค้าจะสามารถขายราคาปกติได้หรือไม่เพราะค่อนข้างแพงมาก และถ้าต้องลดราคาลงต้องให้เข้า modern trade ไปได้ก็ไม่น่าจะดีอย่างที่คิดหรือไม่
P’IH ตอบ : ผมคิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ครับคงจะต้องรอดูว่า apco จะนำ product ตัวไหนเข้าไปขายครับ และจะประชาสัมพันธ์อย่างไร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 5.การที่บริษัทมี gross margin สูงถึง 80% ขึ้นไป โดยที่บริษัทไม่น่าจะมี know how อะไรลึกซึ้งมาก เนื่องจากยารักษาบางอย่างก็นำมาจากเปลือกมังคุคโดย gm ที่สูงขนาดนี้บริษัทจะสามารถ enjoy กำไรระดับนี้ไปได้นานหรือไม่ จะเข้าข่าย too good to be true ไม่ มีโอกาสเป็นเหมือนอย่างหุ้นอิฐมวลเบาที่เข้าตลาด gm สูงมากแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสูงได้นานระดับนั้น ดูเหมือนกำแพงป้องกันของบริษัทจะเป็นการจดสิทธิบัตรสินค้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะช่วยป้องกันการเข้ามาของคู่แข่งได้แค่ไหน
P’IH ตอบ : ที่ผมเคยดูงบของบริษัทที่ทำเครื่องสำอางในต่างประเทศ ก็จะมี gross margin สูงมากเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายตัวที่สูงๆ ก็เป็นใช้จ่ายทางการตลาดและการขายครับ ผมคิดว่ากรณีของ APCO คงคล้ายๆ กันครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 6.หุ้นประกันอย่าง bla มี pe สูงเพราะมีการ growth สูงเนื่องจากเบี้ยที่ได้รับต่อเนื่องจากปีก่อนๆ และบริษัทยังไม่ต้องมีเงินลงทุนสูงเพื่อ growth เพราะขายกระดาษไม่ได้ต้องลงทุนใน fix asset ในมุมนี้ bla ยังมีภาษีดีกว่าหุ้นค้าปลีกที่ต้องลงทุนใน fix asset สูงๆเช่น hmpro bigc ด้วยซ้ำแต่ข้อเสีย คือตัวธุรกิจของ bla มี d/e สูงกว่าค้าปลีกเยอะมากทำให้เสี่ยงสูงกว่า ดังนั้นโดยรวมๆแล้ว bla น่าจะถือเป็นหุ้น mega trend ที่น่าจะมี pe สูงสู้กับหุ้นค้าปลีกได้เพราะมี cash flow สูง และ growth สูง ความแน่นอนของรายได้ก็สูง ไม่ทราบว่าคุณ ih มองตัวธุรกิจประกันชีวิตเทียบกับค้าปลีกแล้วอย่างไหนมีจุดดีจุดด้อยที่ควรได้ pe สูงหรืออีกไหมครับ
P’IH ตอบ : จุดที่ประกันชีวิตแบบ bancassurance ด้อยกว่าค้าปลีกคงเป็นความต่อเนื่องของรายได้เพราะอายุของกรมธรรม์อยู่ที่ 7 ปีโดยเฉลี่ยครับ และถ้าตลาดอิ่มตัวแล้วรายได้อาจจะลดลงได้ครับ แต่คงจะใช้เวลาอีกซักพักใหญ่ๆ จนกว่าตลาดในประเทศไทยจะอิ่มตัวครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 7.หุ้นประกันนั้นถ้ามองผ่าน model 4 p place ถือว่าสำคัญที่สุดใช่หรือไม่ เพราะสินค้าคงยากที่จะหาความแตกต่าง และก็ไม่ค่อยมีการแข่งขันทางราคาซึ่งทำให้ประเด็นสำคัญอยู่ที่ใครมีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายกว่าก็เป็นผู้ชนะกรณีของ scnyl กับ bla คือมี bancassurance มองในอีกมุม bancassurance ก็คล้ายๆ modern trade เพราะมีสาขาเต็มไปหมดตามห้างและสถานที่ต่างๆซึ่งก็คือ counter ธนาคาร ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลังๆ BLA โตได้มากกว่า SCNYL เพราะมีจุดขายมากกว่า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม :
8.ถ้าเราใช้เกณฑ์ในการบอกคุณภาพของหุ้นผ่าน roe ว่าถ้าสูงสม่ำเสมอน่าจะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพชั้นดี แบบนี้น่าจะเป็นเกณฑ์การกรองที่ดีอย่างนึงหรือไม่ เช่น ถ้าหุ้น z มีทุน 10000 ล้านและมีกำไร 2000 ล้านก็จะมี roe 20% ถ้าหุ้น z ไม่ปันผลเลยแล้วหุ้น z สามารถมี roe 20% ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าแสดงว่าหุ้น z ก็จะต้องกำไรโตปีละ 20% เช่นกัน ดังนั้นหุ้นที่ roe สูงๆจึงสะท้อนถึงการสร้าง wealth ให้ผู้ถือหุ้นได้ดี
9.ในทางกลับกันถ้าหุ้น z จากข้อ 8 จ่ายปันผลออกมาทั้งหมดของกำไร ถ้าหุ้น z pe 13.3 เราก็จะได้ yield ปีละ 7.5% แต่ว่าหุ้น z ถ้าหุ้น z มีกำไรเท่าเดิมไปเรื่อยๆหุ้น z ก็จะมี roe 20% เนื่องจากกำไรเท่าเดิมและส่วนของผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้หุ้น z maintain roe 20% ไปได้เรื่อยๆแต่ wealth ของผู้ถือหุ้นก็กลับไม่มากเท่ากรณีของข้อ 8 เนื่องจากข้อ 8 ผู้ถือหุ้นได้ wealth ปีละ 20% จากการ growth ผมคิดว่ากรณีนี้คล้ายกับหุ้นสิ่งพิมพ์ตัวนึงที่มี roe 30% ปันผลปีละ 4 ครั้งปีละ 7-8% ถือว่าดีถ้าเทียบกับการฝากแบงค์แต่ถ้าเทียบกับหุ้นที่ roe ไม่ได้มากถึง 30% หลายๆตัวที่ไม่ต้องปันผลออกมาทั้งหมดดูแล้วหุ้นที่มี roe 20% หลายตัวที่มีการ growth ของกำไรยังได้ capital gain สูงกว่าเยอะทีเดียว แบบนี้เราจะพูดได้ไหมว่า แม้ roe จะสูงแต่ถ้าบริษัทปันผลออกมา 100% และมี growth น้อยการถือหุ้นแบบนี้ระยะยาว wealth สู้หุ้นที่ roe สูงต่อเนื่องแต่ปันผลน้อยยังไม่ได้เลย
P’IH ตอบ : ตอบข้อ 8 และ 9 ผมคิดว่าทั้ง 2 กรณีก็นับว่าหุ้นตัวนี้ยังไม่เป็นหุ้นเกรด A นะครับ แบบแรกแสดงว่าต้องลงทุนสูงเพื่อการเติบโตจึงไม่สามารถปันผลออกมาได้ ส่วนแบบที่ 2 ก็คงรู้ข้อเสียแล้วคือไม่มีการเติบโตครับ ถ้าลงทุนจะเหมือนการถือ bond มากกว่า ดังนั้นหุ้นที่เป็นเกรด A น่าจะเป็นหุ้นที่ปันผลจากกำไรได้ในระดับหนึ่งและกำไรเติบโตได้เรื่อยๆ ซึ่งกรณีนี้ ROE ควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาค 25
K.Hong ถาม : 1.หุ้นประกันชีวิตเราจะสามารถใช้ roe เป็นตัวบอกคุณภาพของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหนเนื่องจากว่าธุรกิจจะมีธรรมชาติของ d/e ที่สูงซึ่งคล้ายกับหุ้นแบงค์ซึ่งคุณ ih เคยบอกว่าธุรกิจที่มี d/e 9-10 เท่า แม้จะมี roe สูงก็อาจจะไม่น่าลงทุนเพราะ roe ที่สูงเกิดจากทุนที่ต่ำ ดังนั้นความเสี่ยงจึงสูงเช่นกัน ในกรณีนี้ธุรกิจประกันเราจะมองว่า roe สูงต่อเนื่องทำให้น่าลงทุนได้หรือไม่ครับ
P’IH ตอบ : Debt ของกลุ่มประกันเป็นเบี้ยประกันที่ได้รับมาเพื่อรอจ่ายในอนาคต ไม่ได้เป็นเงินกู้ ดังนั้นแม้ D/E จะสูงแต่ก็จะไม่เสี่ยงเท่ากลุ่มสถาบันการเงินประเภทธนาคารครับ แต่อย่างไรก็ตามการที่ D/E ของกลุ่มประกันชีวิตสูงนั้นก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน หากมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ Equity ลดลงมากๆ เช่น ขาดทุนเงินลงทุน หรือการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 2.เหตุผลที่รัฐให้มีการนำประกันชีวิตมาลดหย่อนภาษีได้มาจากที่มาว่า ถ้าคนหันไปทำประกันชีวิตมากขึ้นรัฐก็น่าจะเสียเงินมาดูแลคนที่สูงอายุน้อยลงถูกไหมครับเพราะคนสูงอายุเวลาเจ็บป่วยก็ใช้ประกันรักษาแทน
P’IH ตอบ : เท่าที่ทราบช่วงหลังรัฐจะให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เฉพาะประกันชีวิตที่เป็นแบบ saving แต่ประกันสุขภาพไม่สามารถลดหย่อนได้ครับ ดังนั้นจุดประสงค์ของการลดหย่อนภาษีน่าจะเป็นเรื่องการส่งเสริมการออมครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 3. ผมอ่าน research broker เห็นหลายโบรกชอบใช้ ev/ebitda ในการทำ valuation หุ้น mint สำหรับธุรกิจโรงแรม และใช้ pe สำหรับธุรกิจอาหาร อยากถามว่าคุณ ih คิดว่า make sense ไหมสำหรับธุรกิจโรงแรม เหตุผลที่โบรกให้มาคือโรงแรมเป็นธุรกิจ capital intensive และมีค่าเสื่อมเยอะจึงใช้ ev-ebitda ส่วนตัวผมไม่ค่อยแน่ใจว่าว่าวิธีการนี้สมเหตุสมผลไหมเนื่องจากบริษัทต้องจ่าย tax อยู่ดีก่อนเงินจะถึงมือผู้ถือหุ้นแต่ถ้าใช้ pe ก็ดูไม่ค่อย make sense อย่างที่โบรกว่า และถ้าโรงแรมในส่วนที่ mint รับจ้างบริหารโดยใช้แบรน อนันตรา เราก็ควรจะ valuation คนละแบบกับโรงแรมของ mint เองใช่หรือไม่เนื่องจากรับจ้างบริหาร margin สูงมากและไม่ต้องลงทุนอาจจะใช้ pe ได้และให้ pe ที่สูงด้วย ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : การใช้ EV/EBITDA ดีสำหรับการเปรียบเทียบความถูกแพงกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันโดยเฉพาะหุ้นที่เป็น asset base เพราะอาจจะมีนโยบายจำนวนปีการตัดค่าเสื่อมราคาหรืออัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ EV/EBITDA ในการหา target price ครับ ผมเห็นด้วยว่าหาก break ออกมา ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมควรจะได้ p/e สูงกว่า เพราะไม่ต้องใช้ capex เท่าที่ผมเคยดู หุ้นโรงแรมในต่างประเทศที่เป็น chain ที่เน้นการรับบริหารโรงแรมก็มี p/e ค่อนข้างสูงครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 4.ในส่วนธุรกิจอาหารของ mint กับ centel เราควรจะให้ pe ของ mint สูงกว่า centel หรือไม่เนื่องจาก mint มีการไปเปิดตลาดต่างประเทศด้วยแบรน the pizza ซึ่งดูแล้วดำเนินธุรกิจ aggressive กว่า centel แต่ centel เองช่วงหลังๆก็มี movement ที่ดีขึ้นเช่นการ take ootoya และ centel น่าจะได้เปรียบ mint เนื่องจากเป็นเครือ central ซึ่งเวลาเช่าสถานที่น่าจะได้ค่าเช่าถูกกว่าและทำเลที่ดีกว่า
ผมดูรวมๆแล้วอาจจะออกมา pe ใกล้เคียงกันสำหรับธุรกิจอาหารของทั้งสองตัวนี้
P’IH ตอบ : เมื่อก่อนผมคิดว่า p/e ของ mint น่าจะสูงกว่า แต่ปัจจุบันนั้น centel ก็มีพัฒนาการหลายๆ อย่างที่ดีขึ้นมาโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหาร ทำให้ผมคิดว่า p/e ของหุ้น 2 ตัวนี้ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากครับ ส่วนการทำ brand The Pizza ไปเปิดในประเทศจีนนั้นก็ยังนับว่าไม่ประสบความสำเร็จครับเพราะขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 5.ธุรกิจโรงแรมของ centel จะได้เปรียบกว่า mint ไหมเพราะนักท่องเที่ยวช่วงหลังนี้โตจากฝั่งประเทศกำลังพัฒนามากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ centel ที่มีโรงแรมที่ไม่แพงเท่าคือ 3-5 ดาว mint น่าจะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากกว่าเนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไม่ค่อยพักโรงแรม 5 ดาวหรือ luxury ของ mint ทำให้ธุรกิจของ centel ดูน่าจะ growth มากกว่า mint ในสภาวะนี้
P’IH ตอบ : หลังๆ MINT เพิ่มพอร์ตโรงแรมระดับสูง คือ St Regis ก็เลยทำให้ระดับของโรงแรมเฉลี่ยของ MINT สูงกว่า Centel ซึ่งตามที่คุณ Hongvalue พูดมาก็ถูกต้องครับเพราะตลาดโรงแรมระดับบนๆ ช่วงนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ครับ โรงแรมระดับ 3-4 ดาวน่าจะไปได้ดีกว่าครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 6.นโยบายของ bh คือการไม่มีสาขาเพราะจะได้ใช้เครื่องมือให้คุ้มค่าเพราะมีหลายสาขาแล้วคนไข้น้อยก็ไม่คุ้มกับการลงทุนเครื่องมือแต่ bgh นั้นต่างกันคือทำการ take over ตลอดเวลา ในสมัยก่อนหลายคนมองว่า bh นั้นน่าจะดีกว่าเนื่องจากสามารถใช้เครื่องมือได้คุ้มค่ามากกว่าเพราะมีสาขาเดียวแต่ bgh ซื้อเครื่องมือมาก็ต้องกระจายไปหลายสาขา แต่ดูจากราคาหุ้นในปัจจุบันรู้สึกว่า movement ของ bgh น่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องมากกว่าคือพยายามยึดหัวหาดให้ได้มากๆและในทางกลับกันการสั่งยาน่าจะได้ต้นทุนถูกกว่า bh เพราะมียอดขายมากกว่ามีอำนาจต่อรองสูงกว่า ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ ในช่วงก่อนหน้านี้การที่ BGH มี รพ. ในเครือจำนวนมากและหลายแห่งยังทำกำไรได้ไม่ค่อยดีจึงทำให้ net profit margin ของ BGH ต่ำกว่า BH แต่หลังๆ ตลาดต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองและจังหวัดท่องเที่ยวมีการเติบโตของการรักษาพยาบาลสูงมากครับทำให้รายได้ของ รพ. ต่างจังหวัดของ BGH โตขึ้นมาก และผมเดาว่าการใช้เครื่องมือก็เป็นไปได้ว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัดของ BGH สามารถใช้เครื่องมือบางอย่างต่อจากสาขาในกรุงเทพฯ ได้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.hikari ถาม : ขอถามเพิ่มเติมครับ ผมรู้สึกว่าราคาปัจจุบันของ BGH รู้สึกจะ overvalue มากหน่อยมั้ยครับ เนื่องจากราคาที่ขึ้นมาเหมือนจะเป็นผลจากความพยายามการช่วงชิงกันเป็น ผถห ใหญ่ระหว่าง คุณหมอ และ ทนาย ไม่ได้มาจากพิ้นฐานล้วนๆ
P’IH ตอบ : BGH ปัจจุบัน ราคา 85 บาท p/e อยู่ที่ 30 กว่าเท่าของกำไรปกติของปี 2011 ซึ่งปัจจุบันเป็นระดับ p/e ที่ใกล้เคียงกับหุ้นค้าปลีกที่มีการเติบโตสูงอย่าง CPALL HMPRO หรือ ROBINS ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ BGH มีราคาเพิ่มขึ้นมานั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ผมมองว่าไม่ใช่เหตุผลเดียวทั้งหมด อย่างไรก็ตาม p/e ratio ของหุ้นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เช่น รพ. Apollo ของอินเดียก็มี p/e 30-40 เท่าเช่นกันครับ ราคาระดับนี้สำหรับคนที่มีหุ้นในต้นทุนต่ำอยู่แล้วก็น่าจะพอถือไปได้เรื่อยๆ แต่สำหรับการเข้าลงทุนนั้นก็คงจะต้องหาจังหวะดีๆ รวมถึงการประเมินศักยภาพในการเติบโตในอนาคตเทียบกับ valuation ของหุ้นด้วยครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา web กระทิงเขียว ห้องกระทิงคุณค่า
http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
ภาค 24
K.Hong ถาม : 1.บทวิเคราะห์บางแห่งมองหุ้นเรือในแง่ของ insured value หรือมูลค่าประกันภัยของกองเรือทั้งหมดว่ามีมากกว่า ev หรือไม่ โดยส่วนตัวผมคิดว่าวิธีนี้ไม่น่าจะ make sense เท่าไหร่เพราะถ้าค่าระวางเรือตกต่ำบริษัทเรือคงไม่ได้เผาเรือทิ้งเอาค่าประกันแล้วเอาเงินมาจ่ายปันผลแน่นอน มูลค่าประกันน่าจะได้เมื่อบริษัทเสียหายแต่ไม่ใช่ asset ที่บริษัทมีอย่างการขายเรือไปเป็นเศษเหล็กแล้วดูว่ามีมูลค่าเท่าไหร่น่าจะใช้ได้มากกว่า
P’IH ตอบ : ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ ถ้าเปรียบเทียบกับประกันรถยนต์ก็อาจจะเห็นได้ว่าวงเงินประกันรถยนต์จะใกล้เคียงกับราคารถหากขายออกไปมั้งครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 2.rcl ดูจะเป็นหุ้นเรือที่ได้ pbv น้อยกว่า psl tta น่าจะเป็นเพราะอุตสาหกรรมเรือคอนเทนเนอร์นั้นควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองไมได้เท่าไหร่ในแง่ของต้นทุนดำเนินงานคือ bunker oil ที่เรือตู้ต้องใช้ แต่เรือเทกองไม่มีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน ไม่ทราบว่าน่าจะเกี่ยวกันไหมครับ
P’IH ตอบ : ครับ ก็น่าจะเกี่ยวครับ RCL มีความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันแต่ PSL กับ TTA ลูกค้าเป็นคนจ่ายค่าน้ำมัน นอกจากนี้ RCL ถือว่าเป็นรายเล็กในอุตสาหกรรม ในขณะที่ PSL ถือว่าค่อนข้างจะเป็นรายใหญ่ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 3. uvan ,upoic แม้เป็นหุ้นต้นน้ำของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแต่ว่าผลกำไรกลับขึ้นอยู่ที่สภาพอากาศค่อนข้างสูงเนื่องจากสภาพอากาศที่เหมาะสมจะทำให้เวลาบีบปาล์มได้ cpo มากขึ้น ถ้ามองในมุมนี้หุ้นปาล์มไม่ควรจะมี pe สูงเท่าไหร่หรือไม่เนื่องจากอากาศเป็นสิ่งที่บริษัทควบคุมไม่ได้ ในทางกลับกันหุ้นกลางน้ำอย่าง lst ก็ไม่น่ามี pe สูงมากเช่นกันเนื่องจากราคาขายถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุม
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ นอกนี้ผลผลิตปาล์มของ UVAN และ UPOIC จากสวนตัวเองคิดเป็นสัดส่วนไม่มากของกำลังการบีบสกัดน้ำมันปาล์มด้วย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 4.apco เป็นหุ้นที่ดูเหมือนถ้าสินค้าสามารถเข้า modern trade ได้ก็น่าจะมี upside อีกเยอะ แต่สินค้าของบริษัทไม่สามารถใช้คำว่ารักษาได้เนื่องจากไม่ใช่ยาก็ไม่แน่ใจว่าถ้า boot และ วัตสัน แล้วจะทำตลาดอย่างไร ประเด็นที่ผมมองคือถ้าเข้าไปแล้วราคาสินค้าจะสามารถขายราคาปกติได้หรือไม่เพราะค่อนข้างแพงมาก และถ้าต้องลดราคาลงต้องให้เข้า modern trade ไปได้ก็ไม่น่าจะดีอย่างที่คิดหรือไม่
P’IH ตอบ : ผมคิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ครับคงจะต้องรอดูว่า apco จะนำ product ตัวไหนเข้าไปขายครับ และจะประชาสัมพันธ์อย่างไร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 5.การที่บริษัทมี gross margin สูงถึง 80% ขึ้นไป โดยที่บริษัทไม่น่าจะมี know how อะไรลึกซึ้งมาก เนื่องจากยารักษาบางอย่างก็นำมาจากเปลือกมังคุคโดย gm ที่สูงขนาดนี้บริษัทจะสามารถ enjoy กำไรระดับนี้ไปได้นานหรือไม่ จะเข้าข่าย too good to be true ไม่ มีโอกาสเป็นเหมือนอย่างหุ้นอิฐมวลเบาที่เข้าตลาด gm สูงมากแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสูงได้นานระดับนั้น ดูเหมือนกำแพงป้องกันของบริษัทจะเป็นการจดสิทธิบัตรสินค้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะช่วยป้องกันการเข้ามาของคู่แข่งได้แค่ไหน
P’IH ตอบ : ที่ผมเคยดูงบของบริษัทที่ทำเครื่องสำอางในต่างประเทศ ก็จะมี gross margin สูงมากเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายตัวที่สูงๆ ก็เป็นใช้จ่ายทางการตลาดและการขายครับ ผมคิดว่ากรณีของ APCO คงคล้ายๆ กันครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 6.หุ้นประกันอย่าง bla มี pe สูงเพราะมีการ growth สูงเนื่องจากเบี้ยที่ได้รับต่อเนื่องจากปีก่อนๆ และบริษัทยังไม่ต้องมีเงินลงทุนสูงเพื่อ growth เพราะขายกระดาษไม่ได้ต้องลงทุนใน fix asset ในมุมนี้ bla ยังมีภาษีดีกว่าหุ้นค้าปลีกที่ต้องลงทุนใน fix asset สูงๆเช่น hmpro bigc ด้วยซ้ำแต่ข้อเสีย คือตัวธุรกิจของ bla มี d/e สูงกว่าค้าปลีกเยอะมากทำให้เสี่ยงสูงกว่า ดังนั้นโดยรวมๆแล้ว bla น่าจะถือเป็นหุ้น mega trend ที่น่าจะมี pe สูงสู้กับหุ้นค้าปลีกได้เพราะมี cash flow สูง และ growth สูง ความแน่นอนของรายได้ก็สูง ไม่ทราบว่าคุณ ih มองตัวธุรกิจประกันชีวิตเทียบกับค้าปลีกแล้วอย่างไหนมีจุดดีจุดด้อยที่ควรได้ pe สูงหรืออีกไหมครับ
P’IH ตอบ : จุดที่ประกันชีวิตแบบ bancassurance ด้อยกว่าค้าปลีกคงเป็นความต่อเนื่องของรายได้เพราะอายุของกรมธรรม์อยู่ที่ 7 ปีโดยเฉลี่ยครับ และถ้าตลาดอิ่มตัวแล้วรายได้อาจจะลดลงได้ครับ แต่คงจะใช้เวลาอีกซักพักใหญ่ๆ จนกว่าตลาดในประเทศไทยจะอิ่มตัวครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 7.หุ้นประกันนั้นถ้ามองผ่าน model 4 p place ถือว่าสำคัญที่สุดใช่หรือไม่ เพราะสินค้าคงยากที่จะหาความแตกต่าง และก็ไม่ค่อยมีการแข่งขันทางราคาซึ่งทำให้ประเด็นสำคัญอยู่ที่ใครมีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายกว่าก็เป็นผู้ชนะกรณีของ scnyl กับ bla คือมี bancassurance มองในอีกมุม bancassurance ก็คล้ายๆ modern trade เพราะมีสาขาเต็มไปหมดตามห้างและสถานที่ต่างๆซึ่งก็คือ counter ธนาคาร ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลังๆ BLA โตได้มากกว่า SCNYL เพราะมีจุดขายมากกว่า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม :
8.ถ้าเราใช้เกณฑ์ในการบอกคุณภาพของหุ้นผ่าน roe ว่าถ้าสูงสม่ำเสมอน่าจะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพชั้นดี แบบนี้น่าจะเป็นเกณฑ์การกรองที่ดีอย่างนึงหรือไม่ เช่น ถ้าหุ้น z มีทุน 10000 ล้านและมีกำไร 2000 ล้านก็จะมี roe 20% ถ้าหุ้น z ไม่ปันผลเลยแล้วหุ้น z สามารถมี roe 20% ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าแสดงว่าหุ้น z ก็จะต้องกำไรโตปีละ 20% เช่นกัน ดังนั้นหุ้นที่ roe สูงๆจึงสะท้อนถึงการสร้าง wealth ให้ผู้ถือหุ้นได้ดี
9.ในทางกลับกันถ้าหุ้น z จากข้อ 8 จ่ายปันผลออกมาทั้งหมดของกำไร ถ้าหุ้น z pe 13.3 เราก็จะได้ yield ปีละ 7.5% แต่ว่าหุ้น z ถ้าหุ้น z มีกำไรเท่าเดิมไปเรื่อยๆหุ้น z ก็จะมี roe 20% เนื่องจากกำไรเท่าเดิมและส่วนของผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้หุ้น z maintain roe 20% ไปได้เรื่อยๆแต่ wealth ของผู้ถือหุ้นก็กลับไม่มากเท่ากรณีของข้อ 8 เนื่องจากข้อ 8 ผู้ถือหุ้นได้ wealth ปีละ 20% จากการ growth ผมคิดว่ากรณีนี้คล้ายกับหุ้นสิ่งพิมพ์ตัวนึงที่มี roe 30% ปันผลปีละ 4 ครั้งปีละ 7-8% ถือว่าดีถ้าเทียบกับการฝากแบงค์แต่ถ้าเทียบกับหุ้นที่ roe ไม่ได้มากถึง 30% หลายๆตัวที่ไม่ต้องปันผลออกมาทั้งหมดดูแล้วหุ้นที่มี roe 20% หลายตัวที่มีการ growth ของกำไรยังได้ capital gain สูงกว่าเยอะทีเดียว แบบนี้เราจะพูดได้ไหมว่า แม้ roe จะสูงแต่ถ้าบริษัทปันผลออกมา 100% และมี growth น้อยการถือหุ้นแบบนี้ระยะยาว wealth สู้หุ้นที่ roe สูงต่อเนื่องแต่ปันผลน้อยยังไม่ได้เลย
P’IH ตอบ : ตอบข้อ 8 และ 9 ผมคิดว่าทั้ง 2 กรณีก็นับว่าหุ้นตัวนี้ยังไม่เป็นหุ้นเกรด A นะครับ แบบแรกแสดงว่าต้องลงทุนสูงเพื่อการเติบโตจึงไม่สามารถปันผลออกมาได้ ส่วนแบบที่ 2 ก็คงรู้ข้อเสียแล้วคือไม่มีการเติบโตครับ ถ้าลงทุนจะเหมือนการถือ bond มากกว่า ดังนั้นหุ้นที่เป็นเกรด A น่าจะเป็นหุ้นที่ปันผลจากกำไรได้ในระดับหนึ่งและกำไรเติบโตได้เรื่อยๆ ซึ่งกรณีนี้ ROE ควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาค 25
K.Hong ถาม : 1.หุ้นประกันชีวิตเราจะสามารถใช้ roe เป็นตัวบอกคุณภาพของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหนเนื่องจากว่าธุรกิจจะมีธรรมชาติของ d/e ที่สูงซึ่งคล้ายกับหุ้นแบงค์ซึ่งคุณ ih เคยบอกว่าธุรกิจที่มี d/e 9-10 เท่า แม้จะมี roe สูงก็อาจจะไม่น่าลงทุนเพราะ roe ที่สูงเกิดจากทุนที่ต่ำ ดังนั้นความเสี่ยงจึงสูงเช่นกัน ในกรณีนี้ธุรกิจประกันเราจะมองว่า roe สูงต่อเนื่องทำให้น่าลงทุนได้หรือไม่ครับ
P’IH ตอบ : Debt ของกลุ่มประกันเป็นเบี้ยประกันที่ได้รับมาเพื่อรอจ่ายในอนาคต ไม่ได้เป็นเงินกู้ ดังนั้นแม้ D/E จะสูงแต่ก็จะไม่เสี่ยงเท่ากลุ่มสถาบันการเงินประเภทธนาคารครับ แต่อย่างไรก็ตามการที่ D/E ของกลุ่มประกันชีวิตสูงนั้นก็มีความเสี่ยงอยู่เช่นกัน หากมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ Equity ลดลงมากๆ เช่น ขาดทุนเงินลงทุน หรือการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 2.เหตุผลที่รัฐให้มีการนำประกันชีวิตมาลดหย่อนภาษีได้มาจากที่มาว่า ถ้าคนหันไปทำประกันชีวิตมากขึ้นรัฐก็น่าจะเสียเงินมาดูแลคนที่สูงอายุน้อยลงถูกไหมครับเพราะคนสูงอายุเวลาเจ็บป่วยก็ใช้ประกันรักษาแทน
P’IH ตอบ : เท่าที่ทราบช่วงหลังรัฐจะให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เฉพาะประกันชีวิตที่เป็นแบบ saving แต่ประกันสุขภาพไม่สามารถลดหย่อนได้ครับ ดังนั้นจุดประสงค์ของการลดหย่อนภาษีน่าจะเป็นเรื่องการส่งเสริมการออมครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 3. ผมอ่าน research broker เห็นหลายโบรกชอบใช้ ev/ebitda ในการทำ valuation หุ้น mint สำหรับธุรกิจโรงแรม และใช้ pe สำหรับธุรกิจอาหาร อยากถามว่าคุณ ih คิดว่า make sense ไหมสำหรับธุรกิจโรงแรม เหตุผลที่โบรกให้มาคือโรงแรมเป็นธุรกิจ capital intensive และมีค่าเสื่อมเยอะจึงใช้ ev-ebitda ส่วนตัวผมไม่ค่อยแน่ใจว่าว่าวิธีการนี้สมเหตุสมผลไหมเนื่องจากบริษัทต้องจ่าย tax อยู่ดีก่อนเงินจะถึงมือผู้ถือหุ้นแต่ถ้าใช้ pe ก็ดูไม่ค่อย make sense อย่างที่โบรกว่า และถ้าโรงแรมในส่วนที่ mint รับจ้างบริหารโดยใช้แบรน อนันตรา เราก็ควรจะ valuation คนละแบบกับโรงแรมของ mint เองใช่หรือไม่เนื่องจากรับจ้างบริหาร margin สูงมากและไม่ต้องลงทุนอาจจะใช้ pe ได้และให้ pe ที่สูงด้วย ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : การใช้ EV/EBITDA ดีสำหรับการเปรียบเทียบความถูกแพงกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันโดยเฉพาะหุ้นที่เป็น asset base เพราะอาจจะมีนโยบายจำนวนปีการตัดค่าเสื่อมราคาหรืออัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ EV/EBITDA ในการหา target price ครับ ผมเห็นด้วยว่าหาก break ออกมา ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมควรจะได้ p/e สูงกว่า เพราะไม่ต้องใช้ capex เท่าที่ผมเคยดู หุ้นโรงแรมในต่างประเทศที่เป็น chain ที่เน้นการรับบริหารโรงแรมก็มี p/e ค่อนข้างสูงครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 4.ในส่วนธุรกิจอาหารของ mint กับ centel เราควรจะให้ pe ของ mint สูงกว่า centel หรือไม่เนื่องจาก mint มีการไปเปิดตลาดต่างประเทศด้วยแบรน the pizza ซึ่งดูแล้วดำเนินธุรกิจ aggressive กว่า centel แต่ centel เองช่วงหลังๆก็มี movement ที่ดีขึ้นเช่นการ take ootoya และ centel น่าจะได้เปรียบ mint เนื่องจากเป็นเครือ central ซึ่งเวลาเช่าสถานที่น่าจะได้ค่าเช่าถูกกว่าและทำเลที่ดีกว่า
ผมดูรวมๆแล้วอาจจะออกมา pe ใกล้เคียงกันสำหรับธุรกิจอาหารของทั้งสองตัวนี้
P’IH ตอบ : เมื่อก่อนผมคิดว่า p/e ของ mint น่าจะสูงกว่า แต่ปัจจุบันนั้น centel ก็มีพัฒนาการหลายๆ อย่างที่ดีขึ้นมาโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหาร ทำให้ผมคิดว่า p/e ของหุ้น 2 ตัวนี้ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากครับ ส่วนการทำ brand The Pizza ไปเปิดในประเทศจีนนั้นก็ยังนับว่าไม่ประสบความสำเร็จครับเพราะขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 5.ธุรกิจโรงแรมของ centel จะได้เปรียบกว่า mint ไหมเพราะนักท่องเที่ยวช่วงหลังนี้โตจากฝั่งประเทศกำลังพัฒนามากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ centel ที่มีโรงแรมที่ไม่แพงเท่าคือ 3-5 ดาว mint น่าจะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากกว่าเนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไม่ค่อยพักโรงแรม 5 ดาวหรือ luxury ของ mint ทำให้ธุรกิจของ centel ดูน่าจะ growth มากกว่า mint ในสภาวะนี้
P’IH ตอบ : หลังๆ MINT เพิ่มพอร์ตโรงแรมระดับสูง คือ St Regis ก็เลยทำให้ระดับของโรงแรมเฉลี่ยของ MINT สูงกว่า Centel ซึ่งตามที่คุณ Hongvalue พูดมาก็ถูกต้องครับเพราะตลาดโรงแรมระดับบนๆ ช่วงนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ครับ โรงแรมระดับ 3-4 ดาวน่าจะไปได้ดีกว่าครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.Hong ถาม : 6.นโยบายของ bh คือการไม่มีสาขาเพราะจะได้ใช้เครื่องมือให้คุ้มค่าเพราะมีหลายสาขาแล้วคนไข้น้อยก็ไม่คุ้มกับการลงทุนเครื่องมือแต่ bgh นั้นต่างกันคือทำการ take over ตลอดเวลา ในสมัยก่อนหลายคนมองว่า bh นั้นน่าจะดีกว่าเนื่องจากสามารถใช้เครื่องมือได้คุ้มค่ามากกว่าเพราะมีสาขาเดียวแต่ bgh ซื้อเครื่องมือมาก็ต้องกระจายไปหลายสาขา แต่ดูจากราคาหุ้นในปัจจุบันรู้สึกว่า movement ของ bgh น่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องมากกว่าคือพยายามยึดหัวหาดให้ได้มากๆและในทางกลับกันการสั่งยาน่าจะได้ต้นทุนถูกกว่า bh เพราะมียอดขายมากกว่ามีอำนาจต่อรองสูงกว่า ไม่ทราบว่าคุณ ih มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
P’IH ตอบ : เห็นด้วยครับ ในช่วงก่อนหน้านี้การที่ BGH มี รพ. ในเครือจำนวนมากและหลายแห่งยังทำกำไรได้ไม่ค่อยดีจึงทำให้ net profit margin ของ BGH ต่ำกว่า BH แต่หลังๆ ตลาดต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองและจังหวัดท่องเที่ยวมีการเติบโตของการรักษาพยาบาลสูงมากครับทำให้รายได้ของ รพ. ต่างจังหวัดของ BGH โตขึ้นมาก และผมเดาว่าการใช้เครื่องมือก็เป็นไปได้ว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัดของ BGH สามารถใช้เครื่องมือบางอย่างต่อจากสาขาในกรุงเทพฯ ได้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
K.hikari ถาม : ขอถามเพิ่มเติมครับ ผมรู้สึกว่าราคาปัจจุบันของ BGH รู้สึกจะ overvalue มากหน่อยมั้ยครับ เนื่องจากราคาที่ขึ้นมาเหมือนจะเป็นผลจากความพยายามการช่วงชิงกันเป็น ผถห ใหญ่ระหว่าง คุณหมอ และ ทนาย ไม่ได้มาจากพิ้นฐานล้วนๆ
P’IH ตอบ : BGH ปัจจุบัน ราคา 85 บาท p/e อยู่ที่ 30 กว่าเท่าของกำไรปกติของปี 2011 ซึ่งปัจจุบันเป็นระดับ p/e ที่ใกล้เคียงกับหุ้นค้าปลีกที่มีการเติบโตสูงอย่าง CPALL HMPRO หรือ ROBINS ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ BGH มีราคาเพิ่มขึ้นมานั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ผมมองว่าไม่ใช่เหตุผลเดียวทั้งหมด อย่างไรก็ตาม p/e ratio ของหุ้นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เช่น รพ. Apollo ของอินเดียก็มี p/e 30-40 เท่าเช่นกันครับ ราคาระดับนี้สำหรับคนที่มีหุ้นในต้นทุนต่ำอยู่แล้วก็น่าจะพอถือไปได้เรื่อยๆ แต่สำหรับการเข้าลงทุนนั้นก็คงจะต้องหาจังหวะดีๆ รวมถึงการประเมินศักยภาพในการเติบโตในอนาคตเทียบกับ valuation ของหุ้นด้วยครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา web กระทิงเขียว ห้องกระทิงคุณค่า
http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
http://bbznet.pukpik.com/scripts3/view. ... r=numtopic
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
Re: K.hongvalue ถาม ,พี่ IH ตอบ ภาค24-25
โพสต์ที่ 4
หุ้นที่จ่ายปันผล 100% หรือใกล้เคียงของกำไรสุทธิ จะบอกว่าไม่สามารถเติบโตนั้น แสดงว่ายังไม่เข้าใจธุรกิจนั้นจริงๆ
หุ้นสิ่งพิมพ์ที่กล่าวถึงนั้นเค้ายังไม่ต้องรีบจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้การค้า บวกด้วยค่าเสื่อมราคาที่พอมีอยู่ ก็ทำให้มีเงินสดมากพอสำหรับการขยายธุรกิจตามลักษณะเฉพาะของธุรกิจของเค้า จึงยังสามารถเติบโตได้ แต่จะคาดหวังสูงนั้นก็ไม่แน่ แต่ผมว่าถ้าผู้บริหารเกิดได้ไอเดียอะไรใหม่ๆโดนๆ แล้วก็ใช้เงินไม่มาก ก็มีแวว
หุ้นสิ่งพิมพ์ที่กล่าวถึงนั้นเค้ายังไม่ต้องรีบจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้การค้า บวกด้วยค่าเสื่อมราคาที่พอมีอยู่ ก็ทำให้มีเงินสดมากพอสำหรับการขยายธุรกิจตามลักษณะเฉพาะของธุรกิจของเค้า จึงยังสามารถเติบโตได้ แต่จะคาดหวังสูงนั้นก็ไม่แน่ แต่ผมว่าถ้าผู้บริหารเกิดได้ไอเดียอะไรใหม่ๆโดนๆ แล้วก็ใช้เงินไม่มาก ก็มีแวว