เริ่มต้นควรถือหุ้นกี่ตัวดีครับ

[valueboy]

สวัสดีครับพี่ๆชาววีไอ ผมเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มเปิดพอร์ต จึงอยากทราบว่า ผมมีเงินเริ่มต้นหนึ่งแสนควรจะมีหุ้นกี่ตัวในพอร์ตจึงจะเหมาะสมที่สุดครับ ตอนนี้มีหุ้นในลิสท์ประมาณสิบตัวพื้นฐานดีหมดเลยเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อตัวไหนดี เพราะชอบหมดเลย เคยอ่านบทความท่านเซียนหลายๆคนแล้วแนะนำว่า เงินน้อยๆควรมีหุ้นไม่เกินห้าตัว จึงอยากถามว่าถ้าผมซื้อทีเดียวซักแปดตัวเลยจะเหมาะมั้ยครับ. มือใหม่จริงๆ อ่านหนังสือลงทุนมาบ้างของดร.นิเวศน์ ปต่ก็ยังไม่ค่อยมีความรู้เม่าไหร่ครับ

ขอบคุณมากครับ

[valueboy]

เพิ่มเติมนิดนึงครับ หุ้นที่ผมเลือกไว้ในลิสท์ คือ siri cpall cpf tuf jas bts jmart bgh ait snc pylon preb ผมสนใจหุ้น siri jmart และก็ bts ตัดสินใจยากมากเลยครับว่าจะเลือกตัวไหนดีอยากได้หมดเลย แต่เงินน้อย

ป.ล. ผมไม่ได้ตั้งใจจะใบ้หุ้นหรือเชียร์หุ้นรายตัวแต่ประการใดนะครับ ถ้าหากกระทู้นี้ไม่เไมาะสมประการใดต้องขออภยด้วยครับ

ขอบคุณครับ

[Suysak]

ปกติผมไม่ชอบถือหุ้นเยอะเพราะมันงง เวลาจัดพอร์ท ผมจะจัดพอร์ทที่มีหุ้นเป็นเรือธง หนึ่งตัว คือเป็นหุ้นที่เรารู้จักดีที่สุด

มีการเติบโตและจ่ายปันผลทุกปี เพื่อจะได้เอาเงินปันผลไปลงทุนต่อ

ที่เหลือก็ต้องดูตามความสนใจ แนะนำให้ไปดูการแบ่งประเภทหุ้นของปีเตอร์ลิ้นซ์ อาจจะมีหุ้นเติบโตสักตัว แล้วก็หุ้นเทรินอะราวสักตัว

พอร์ทเล็กผมว่าอย่าแบ่งกระจายเยอะ มีสักสองตัวหรือตัวเดียวพอแล้ว ไม่งั้นเป็นเบี้ยหัวแตก งงเสียปล่าวๆ

[o-bo-ja-ma]

เพิ่มเติมนิดนึงครับ หุ้นที่ผมเลือกไว้ในลิสท์ คือ siri cpall cpf tuf jas bts jmart bgh ait snc pylon preb ผมสนใจหุ้น siri jmart และก็ bts ตัดสินใจยากมากเลยครับว่าจะเลือกตัวไหนดีอยากได้หมดเลย แต่เงินน้อย

ป.ล. ผมไม่ได้ตั้งใจจะใบ้หุ้นหรือเชียร์หุ้นรายตัวแต่ประการใดนะครับ ถ้าหากกระทู้นี้ไม่เไมาะสมประการใดต้องขออภยด้วยครับ

ขอบคุณครับ

เรียงได้ไหมครับ ว่าตัวไหน under value มากสุด และตัวไหนควรมีผลประกอบการดีที่สุด สมมติให้ตัวเองถือกี่ปี หรือถือตลอดชีวิต จากนั้นคำตอบของหุ้นว่ากี่ตัวก็จะมาเอง ถ้าคิดว่าทุกตัวผลตอบแทน มูลค่าของมันมากพอ ๆ กัน ระยะยาวผลตอบแทนพอ ๆ กันก็ถือได้หมดครับ แต่ถ้าไม่เท่ากันมันก็คือการกระจายความเสี่ยงสิ่งที่ได้คือผลตอบแทนทึ่เป็น average

[Noonino]

2-4 ตัวน่าจะกำลังดี แนะนำว่าควรเลือกหุ้นที่คุณเข้าใจในธุรกิจดีที่สุด สามารถไปดู,สังเกต กิจการได้ง่ายๆ

เนื่องจากคุณเป็นมือใหม่ ผมไม่เน้นในคุณรีบประเมิณราคาในตอนนี้เพราะการประเมิณมูลค่านั้นใช้มากกว่าสูตรสำเร็จในหนังสือ คุณจึงควรมีความเข้าใจในธุรกิจให้มากๆก่อน ดูว่าบริษัทที่คุณลงทุนนั้นมีความแข็งแกร่งในด้านใด คู่แข่งคือใคร กำไรมาจากไหน สภาพตลาดเป็นยังไง เอางบการเงินมาลองอ่านดู โอ๊ย เยอะแยะมากมาย อย่างมาก 4 บริษัทคุณก็ศึกษาและติดตามไม่ไหวแล้วครับ

แต่ถ้าหากว่าคุณอายุยังน้อย สามารถหาเงินมาลงทุนเพิ่มได้อีก ลงทุนแค่1-2 ตัวก็พอครับ ค่อยๆศึกษา ประสบการณ์จะบอกคุณเองครับ

อยากบอกว่า มือใหม่ลงทุนนั้น เริ่มต้น เป้าหมายไม่ใช่การทำกำไรมากๆ แต่เป็นการเอาตัวให้รอดต่างหากครับ ตลาด 2-3 ปีหลังนี่ยังไม่ค่อยมีเหตุการณ์ให้เจ็บหนักๆนะครับ

[valueboy]

ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ

สรุปแล้วผมควรจะเริ่มถือหุ้นในปริมาณที่น้อยๆก่อนใช่มัั้ยครับ ไม่ควรโลภเก็บทีเดียวหลายตัว
อย่างที่ทุกท่านว่า ถ้าหลายตัวเกินไปการดูแลติดตามข้อมูลคงลำบาก ผมควรจะต้องกลับไปทำการบ้านก่อนแล้วเลือกหุ้นที่ดีที่สุดซักสามตัวครับ ผมอยากจะถือให้ได้อย่างต่ำปีนึงก่อนแล้วรอดูสถานะการณ์อีกทีว่าจะซื้อหรือขายหุ้นตัวใหม่ครับ

คงต้องศึกษางบและการดำเนินธุรกิจของแต่ละบริษัทอีกทีให้มั่นใจครับ กะว่าถือยาวแล้วไม่ต้องไปดูมันบ่อยๆ จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นและจะได้ไม่เครียดด้วยครับ

[sipoonya]

อนุมานว่า ท่านมีเป้าหมายที่จะลงทุนระยะยาวในหุ้นนะครับ
เรื่องนี้ขึ้นกับความรู้กับความเสี่ยงครับ
ถ้ารู้จักหุ้นที่จะถือเป็นอย่างดี ก็สามารถถือได้น้อยตัว
แต่ถ้าไม่มีความรู้ก็สามารถไปซื้อ set index fund แทนจะดีกว่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การถือหุ้นน้อยตัว ก็ไม่ควรน้อยจนเกินไป
เพราะการลงทุนย่อมสามารถผิดพลาดได้ มันมีสิ่งที่เราไม่รู้อยู่ด้วยเสมอ
ไม่มีอะไรรับประกันว่า หุ้นพื้นฐานดีแล้วราคาจะตกมา 50% แล้วไม่ไปไหนอีกหลายปี ไม่ได้
อย่างลินซ์ ยังบอก เลือกหุ้น 5ตัว จะมี 1 ตัวแย่กว่าที่ คาดไว้เลยครับ

นอกจากนั้น ก็มีเรื่อง การถือในsecterเดียวกันเยอะแค่ไหนด้วย
แล้วก็ กรณี ตลาดกลายเป็นตลาดหมีขึ้นมา การมีหุ้นหลายตัวจะสวิตซ์ง่ายกว่าครับ
ถ้าเกิดวิกฤต ถึงจะไม่มีตัวที่ยังเขียวอยู่ อย่างน้อยก็มีตัวตกน้อยตกมากไม่เท่ากันนะ

แต่ก็คงบอกไม่ได้ว่าจะถือหุ้นกี่ตัว แต่ลองคิดเล่นๆอย่างนี้ดูนะครับ
ถือหุ้น 1 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 50%
ถือหุ้น 2 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 25%
ถือหุ้น 3 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 16.67%
ถือหุ้น 4 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 12.5%
ถือหุ้น 5 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 10%
ถือหุ้น 10 ตัว ขาดทุน 1 ตัว 50% พอร์ตลดลงไป 5%
แต่ในทางเดียวกันกับผลตอบแทนก็จะกระจายด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น นอกจากความรู้ที่เรามีแล้ว ก็ต้องนึกถึงความเสี่ยงที่เราอยากจะรับด้วยครับ

[ปรัชญา]

เป็นความเห็นอีกความเห็นหนึ่งจากผมครับ

เงิน1แสนบาท กับการลงทุนครั้งแรก

ควรถือหุ้นไม่เกิน3ตัว
น้ำหนัก ตัวหลักของพอท์ต 50เปอร์เซ็นต์
ตัวรอง30เปอร์เซ็นต์
ตัวสุดท้าย20เปอร์เซ็นต์

เลือกแบบกลัวเจ๊ง
ควรเลือกหุ้นที่เคยจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
ควรเลือกหุ้นที่มีทิศทางแนวโน้มธุรกิจไปทางเติบโต
ควรเลือกหุ้นที่ ผุ้บริหารโปร่งใส บัญชีแข็งแรงพอสมควร
20เปอร์เซ้นต์ ถ้าไม่เกินความสามารถถือหุ้นเทรินอะราวค์
บางครั้งผมโพท์สแล้วอาจไม่ได้เข้าไปในกระทู้ที่ตอบสักระยะ
อ่านไม่ไหวจริงๆเยอะจัดครับ

[vim]

ในสมัยแรกๆผมเริ่มจากลงทุนใน 4-5 ตัวที่ PE ต่ำสุดในกลุ่มที่สนใจ ถือในสัดส่วนเท่าๆกัน และกระจายในหลายๆอุตสาหกรรมเพื่อให้เสี่ยงจากความไม่รู้น้อยที่สุด

พอเริ่มมีประสบการ์ณแล้วจะเห็นว่าตัวไหนมีการเติบโตที่ดี ตัวไหนเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ผมเลยปรับธุรกิจที่คาดเดายากๆออกไป เพิ่มธุรกิจที่มีการเติบโตเข้ามา กระจายสัดส่วนการลงทุนตามความเข้าใจในธุรกิจนั้นๆ

พอมาช่วงหลังๆผมสังเกตว่าพอร์ทผมนั้นจะกำไรมากๆจากหุ้นแค่ไม่กี่ตัว แต่ก็มากพอที่จะทำให้พอร์ทโดยรวมดูดีได้ การลงทุนในช่วงหลังจึงเน้นไปที่หุ้นที่มั่นคงและเข้าใจธุรกิจมันมากๆ 70-80% และที่เหลือเป็นการค้นหาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ไว ทำให้พอร์ทโดยรวมแล้วมีหุ้นเพิ่มเป็น 8-10 ตัว (แต่หลักๆแค่ 3-4 ตัว)

สุดท้าย ถ้าเริ่มด้วยวงเงินหนึ่งแสน ผมแนะนำว่าเริ่มจาก 3-4 ตัว อย่างแรกเลยเพราะว่าถ้ามากเกินไปก็จะไม่คุ้มค่าโบรกเกอร์ขั้นต่ำ สองเพราะทำให้เรามีเวลาศึกษาพอร์ทให้เข้าใจได้เพียงพอ มีการฝึกการชั่งใจจะซื้อหรือขาย และมีที่ว่างหาหุ้นใหม่ๆในอนาคต พอเริ่มเข้าที่แล้วจะขยับขยายยังไงก็แล้วแต่ความถนัดที่พัฒนาขึ้นมา

[Green]

แนะนำว่า ซื้อหุ้นทุกตัวที่เราสนใจครับ เริ่มใหม่ๆ ติดตามมากๆ หน่อย ก็ดีครับ แต่เวลาจัดสรรพอร์ต ให้ เลือกตัวที่เราคิดว่า เจ๋งๆ ซัก 3-4 ตัวลงเงินส่วนใหญ่ไว้ตัวหลักๆนี้

ส่วนตัวที่เหลือให้เราถือไว้นิดหน่อยเป็นน้ำจิ้มพอ เวลาเราเจอตัวใหม่ๆ ที่คิดว่าสนใจ ก็ให้ซื้อติดไว้อีกนิดหน่อยครับ อย่างน้อยเราจะได้คึกคักตื่นเต้น ติดตามหุ้นพวกนี้และเราจะมีความรู้มากยิ่งขึ้นในหลายๆอุตสาหกรรมครับ

[นพพร]

3-4 ตัวก็พอครับ ตัวอื่นๆ ก็ติดตามเฉยๆ ยังไม่ต้องรีบซื้อ

[charonp]

ประสบการณ์ตรงของผมเลยครับ จากปีที่แล้ว

เริ่มต้น หนึ่งแสน บาท ลงไป 4 ตัว

ปัญหาคือ มันกำไรครับ แต่กำไร นี่มันชั่งน้อยนิด

ตัวนึงประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ท กำไรมา 30 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินแล้ว แค่หมื่นกว่าบาท ครับ

ดังนั้นผมมองว่า พอร์ท เล็ก ลงตัวเดียวไปเลยครับ เต็มที่สองตัว

แต่พยามยามศึกษาให้เยอะ มองให้ขาด มันจะได้คุ้มค่าเหนื่อยครับ

[โอ@]

ต้องลองดูก่อนครับว่าเราต้องการอะไร

ถ้าต้องการรวยจากการลงทุน
ต้องซื้อหุ้นน้อยตัวแต่มั่นใจว่าจะได้เยอะ ผมว่า 2 ตัวก็พอครับถ้าเงินยังไม่เยอะ
แต่ถ้าต้องการแค่ออมเงิน เน้นเงินต้นไม่หาย คงต้องกระจายเยอะหน่อยซัก 5-10 ตัว

[crazyrisk]

เพิ่มเติมนิดนึงครับ หุ้นที่ผมเลือกไว้ในลิสท์ คือ siri cpall cpf tuf jas bts jmart bgh ait snc pylon preb ผมสนใจหุ้น siri jmart และก็ bts ตัดสินใจยากมากเลยขอบคุณครับ

ผมว่า โจทย์ตั้งต้น มันแปลกๆนะครับ
คำถามคือ

1. ควรถือหุ้นกี่ตัว
2. คือ มีหุ้นพวกนี้ บลา บลา บลา .. มา

ผมว่า คำตอบที่คุณต้องการคือ อยากให้คนบอกว่า
ควรจะลดตัวไหน ถือตัวไหนกี่ % ใช่ไหมครับ

ถ้าใช่ ผมว่า คุณคงจะได้คำตอบจากสมาชิกเวปไทยวีไอจริงๆ
ยากกกกกกมากกกกกกกครับ ไม่ใช่ว่า ผมเองไม่อยากบอกนะครับ
แต่เห็นกระทู้ทำนองนี้ หลายรอบแล้ว
มักจะได้คำตอบทางอื่นเสมอๆ



คำถามนี้ ผมขออนุญาตตั้งคำถามกลับนะครับ

หุ้นที่อยู่ใน list มีที่มาที่ไปอย่างไร
เหตุผลในการเลือกเข้า list คืออะไรครับ

[disposable]

ผมก็มือใหม่ครับ
แค่ 3-4 ตัว ก็ปวด หัวจะแย่ ตัวนึงขึ้น อีก 2ตัวลง
ดูสรุปประจำวันยังพอมีกำไรหลอกตัวเอง
เห็นด้วยกับข้างบนครับ เฉพาะตัวที่ศึกษามาครับ
แต่ อย่าขาดทุนครับ
โชคดีครับ

[Linzhi]

1. อย่าถือน้อยตัวเกินไป อย่าโลภครับ มือใหม่ควรจะปกป้องทุนเราให้ดีก่อนในช่วงปีแรก ๆ

2. ถือเฉพาะตัวที่เข้าใจมันเป็นอย่างดีครับ

3. ช่วงแรกถือไม่ครบก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเราจะต้องรั้นซื้อให้ครบจำนวนตัวที่เราอยากถือ
ถ้ามีแค่ 2 ตัวก็ถือสองตัวก่อน ที่เหลือแบ่งเป็นเงินสดไว้ รอทำการบ้านเสร็จครับ

[kongkiti]

ชอบสูตรของพี่ปรัชญาครับ นอกจากคำถามว่าถือกี่ตัวแล้ว อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ %(สัดส่วน) ในการถือด้วย
ส่วนเรื่องบริษัทใน list ลองทำตามที่พี่ๆหลายๆท่านแนะนำ และลองเข้าไปอ่านในคลังกระทู้ทรงคุณค่า ครับ

[chatchai]

ผมไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นเลยครับ ในเมื่อคุณยังมีความรู้น้อยอยู่ แล้วทำไมถึงต้องรีบซื้อหุ้นด้วยครับ หาความรู้ให้มากๆก่อนครับ

ถ้าเราประเมินราคาไม่เป็น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นของบริษัท... น่าซื้อ

รถยนต์ TOYOTA CAMRY เป็นรถที่ดี ใครๆก็รู้

ถ้ามีคนเสนอขายรถป้ายแดง ราคา 3.0 ล้านบาท ยังจะน่าซื้อไหมครับ

และถ้ามีคนเสนอขาย TOYATA ALTIS ป้ายแดง ราคา 1.0 แสนบาท

คันไหนน่าซื้อกว่ากัน

โอเค รถใหม่ป้ายแดง เรามีราคากลางในใจ คือราคาที่โชว์รูมเสนอขาย

แต่มูลค่าพื้นฐานของกิจการไม่มีราคากลางให้เราไว้ช่วยตัดสินใจ อีกทั้งพื้นฐานของบริษัทก็ต่างกัน

เหมือนการซื้อรถยนต์มือสอง เราต้องมีความรู้ในการตรวจสอบสภาพรถ ต้องประเมินราคาเป็น

ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้น โดยวิเคราะห์กิจการไม่เป็น ประเมินมูลค่าของบริษัทไม่ได้ ก็เปรียบเสมือนคุณซื้อรถมือสอง จากเต๊นท์รถมือสอง โดยที่คุณไม่มีความรู้เรื่องรถยนต์เลย การจะได้รถดีในราคาที่เหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับโชคเท่านั้นแหละครับ

แต่เมื่อคุณซื้อๆขายๆหุ้นอยู่บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าคุณก็เข้าเต๊นท์รถมือสองเพื่อซื้อๆขายๆรถบ่อยๆ แล้วคุณคิดว่าจะโชคดีบ่อยครั้งแค่ไหนครับ

[miracle]

การออกสงครามแต่ละครั้ง สงครามแต่ละสงครามไม่เคยมีหน้าตาเหมือนเดิม
กำลังไพล่พลของแต่ละฝ่ายก็ไม่เท่าเดิม ทหารในแต่ละฝ่ายก็มีประสบการณ์ไม่เท่ากัน
หากไม่รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็แพ้ 100 ครั้ง

อาวุธยังไม่พร้อมก็อย่าออกรบ
เมื่ออาวุธพร้อมแต่ไม่มีพิชัยสงครามที่แตกฉานก็แพ้อยู่ดี
แม้นอาวุธพร้อม พิชัยสงครามก็แตกฉาน ก็ต้องมีดวงเ้ข้าเสริมด้วย
สุดท้าย แม่ทัีพเก่ง ทหารในกองทัพเก่ง มีวินัย แถมพกดวงไปด้วยก็ชนะครับ

[kraikria]

ผมคิดว่า 3-4 ตัว น่าจะเหมาะกับมือใหม่ที่หัดวิเคราะห์ธุรกิจและติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เห็นด้วยกับคำแนะนำที่ให้ศึกษาให้มากๆก่อน หรืออาจจะลงทุนน้อยๆก่อน เพื่อเป็นแรงจูงใจในการติดตามบริษัทที่เราลงทุน และได้สิทธิ์ในการประชุมประจำปีของธุรกิจที่ลงทุนด้วยครับ

ขอให้คิดว่าลงทุนในธุรกิจนะครับ...ไม่ใช่การเล่นหุ้น...โชคดีนะครับ

[yakjabon]

ส่วนตัวผมคิดว่า การลงทุนในหุ้นเหมือนการเป็นเจ้าของบริษัทอะครับ .. ถ้าเป็นเจ้าของหลายบริษัท มันก็เหนื่อยที่จะต้องคอยตามศึกษาหาข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารพอร์ต ถ้าเราเลือกหุ้นที่มันใจที่สุด (โดยเราคิดว่าให้ผลตอบแทนสูงสุด เสี่ยงน้อยสุด เข้าใจในธุรกิจมากสุด) มาสักตัว .. มันก็ไม่มีความหมายที่เราจะต้องแบ่งเงินไปลงทุนในธุรกิจอีกอันที่เรามั่นใจรองลงมา เข้าใจน้อยกว่า เสี่ยงมากกว่า

ผมเคยเริ่มจากพอร์ตคล้ายๆกันแต่ถือตัวเดียวอะครับ .. เพราะเรียงจากหุ้นทั้งหมดในตะแกรงแล้วมันโดดสุด .. ที่นี้ก็ขึ้นกับ tactic แล้วว่ามันมีตัวที่เรามั่นใจโดดมากๆตัวหนึ่งหรือเปล่า หรือมีที่ใกล้เคียงสัก 2-3 ตัวให้กระจายความเสี่ยง

สุดท้าย ท้ายสุด .. ถือกี่ตัวก็ได้ครับ ... แต่ย้ำว่าเราต้องมีเวลาที่จะทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง "ทุกตัว"

[Guiman]

ผมไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นเลยครับ ในเมื่อคุณยังมีความรู้น้อยอยู่ แล้วทำไมถึงต้องรีบซื้อหุ้นด้วยครับ หาความรู้ให้มากๆก่อนครับ

ผมเห็นต่างกับพี่ฉัตรชัยครับ ผมชอบวิธีการ Learning by Doing - เรียนรู้จากการลงมือทำ
ผมคิดว่าการเล่นหุ้นมันเหมือนการปั่นจักรยานมากๆ ถ้าไม่เคยปั่น อ่านหนังสือ ฟังคนเล่าให้ตาย ก็ทำไม่ได้
เผลอๆจะเบื่อเอาด้วยครับ

แต่ถ้าได้ลองปั่น ถึงมันจะล้ม จะหน้าแหกบ้าง แต่มันจะรู้สึกถึงความมันส์ แล้วก็อยากปั่นให้เป็น ปั่นให้เก่งมากขึ้นๆ

อย่างผม นั่งอ่านหนังสือเปล่าๆ(อยู่นอกตลาด)มา 2-3 ปี จับฉ่ายมากครับ แทบจะไม่ได้อะไรเลย เหมือนมันไม่ได้หยิบได้จับ เลยไม่รู้จักของจริง ไม่มีแรงกระตุ้น
แต่พอได้เข้าตลาดมา 1 ปี ผมว่าผมไปได้ค่อนข้างเร็ว เจ็บไป 2 รอบ ฟลุคกำไรมาสองรอบ (ถัวเฉลี่ยแล้วพอเท่าทุน) ผมได้รู้จัก 5 forces, swot (อันนี้เรียนน่ะเคย แต่ไม่รู้ว่ามันวิเคราะห์หุ้นได้ด้วย), dcf, fcf, canslim ฯลฯ อีกเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ความรู้รอบตัวผมก็กว้างกว่าเพื่อนผมรุ่นเดียวกันไปเยอะละครับ ทั้งหมดนี้ทำได้แค่ในเวลาประมาณ 1 ปี

ตอนนี้พอเห็นคนรุ่นเดียวกันในบอร์ดเค้าไปไหนต่อไหนแล้ว รู้สึกเสียดายเวลา 2-3 ปีนั้นไปมาก
แต่ช่างหัวมันครับ เพราะผมโชคดีที่ได้เริ่มตอนนี้ ไม่ใช่อีก 10 ปีข้างหน้า

แต่ผมไม่ได้บอกให้เล่นหมด 1 แสน นะครับ
เพราะเริ่มต้น ไงๆโอกาสเจ๊งมันก็ 50/50 อยู่ละ ถึงจะกำไร ก็ไม่รู้กำไรเพราะอะไร
(ที่จริง ดูหุ้น จขกท แล้วก็เสียวอยู่ แต่ละตัวหุ้นร้อน หุ้นยากทั้งน้านน)
ตอนแรก ให้ใส่ไม่เกิน 20000 หรือน้อยกว่านั้น ลองซื้อลองขายตามสูตรที่เราอ่านมา แล้วก็ติดตามผล แก้ไขปรับปรุงไปเรื่อยๆ ผ่านไป 1 ปี แล้วลองมาเปรียบเทียบความเมพกับกระทู้เก่าตัวเองดูครับ (เซฟ/บุ๊คมาร์ค ไว้ดู)

[thaloengsak]

ถือกี่ตัวก็ได้ที่เราสบายใจครับ

[tum_H]

ส่วนตัวผมจะเน้นหลักการกระจายความเสี่ยงครับ พอร์ตโตขึ้น ก็จะเพิ่มจำนวนหุ้นตาม
โดยพยายามเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน(%)และจะกันสำรองเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อใช้ในภาวะที่ตลาดผันผวน

จากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง บางครั้งเรามั่นใจมากๆก็มักมีเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย ทำให้ผมไม่ค่อยมี
ความสุข เลยเน้นการกระจายตามขนาดของพอร์ตเป็นหลัก ซึ่งแบบของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามความถนัด

สิ่งสำคัญที่สุดคือเป้าหมายในการลงทุนครับ

การกำหนดเป้าหมายจะทำให้เรารู้ว่า เราควรจะเริ่มจากตรงไหนและควรพอใจเมื่อไหร่

[pingzzz]

ถือทุกตัวที่ เข้าใจ มั่นใจ และสบายใจ

[นักดูดาว]

ผมเห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัยครับ

[เบี้ยว]

คำตอบ คือ ไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุด ขั้นแรกเลยคือหาความรู้ ผมใช้เวลาประมาณเกือบปีก่อนลงทุนจริง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการลงทุน 56-1 เวปบอร์ดต่างๆ หลังจากเริ่มมีความรู้บ้างแล้ว ก็เริ่มทะยอยเงินน้อยๆ ในกิจการง่ายๆไม่ซับซ้อน ถ้าเป็นจิ๊กซอว์ก็มีไม่กี่ชิ้น ถามตัวเองว่าเราเข้าใจบริษัทมากแค่ไหน จำนวนเงินที่ลงเอาความสบายใจเป็นหลัก ประสบการณ์มากขึ้นค่อยเพิ่มเงิน ไม่มีคำว่าสาย ไม่มีคำว่าตกรถ มีแต่คำว่าเข้าเมื่อพร้อมครับ แบบไหนเรียกว่าพร้อม ตัวเราเท่านั้นที่จะรู้ จำนวนหุ้นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลัก คือ เราเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำแค่ไหนครับ

[sci]

ลองลงน้อยๆก่อน สัก 10-20% บางทีอาจรู้ว่าไม่ชอบหุ้นก็ได้
เจ็บก็ไม่เยอะ

[crazyrisk]

ขอลองตอบให้ตรงคำถามของกระทู้บ้างครับ

แรกๆ เมื่อก่อน ผมถือ หุ้น ค่อนข้างหลายตัว แต่ละตัว อาศัย กราฟบ้าง พื้นฐานบ้าง

พอผิดทาง ก็ไม่ค่อยรู้สึกตัว ว่า ตัวเองเลือกถูกหรือเลือกผิด คิดแค่ว่า จังหวะ ผิดเฉยๆ
เพราะ เวลาซื้อมักจะขึ้น แต่ไม่ได้ขาย พอลงมาจนขาดทุนค่อยยอมขาย
เล่นไปเล่นมา ผลตอบแทน ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ซึ่ง เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โทษดวง โทษ เจ้า โทษ กราฟ โทษ เพื่อน


หลังๆ ผมถือหุ้นเน้นน้ำหนักมากขึ้น ตามสูตร พี่ปรัชญา คือ มุ่่งเน้น ตัวที่ดีที่สุด
ประมาณ 50%ขึ้นไป ศึกษาพื้นฐานให้ละเอียด มาก ขึ้น ที่เหลือ ถือ อีก ไม่เกิน 2-3 ตัว
ประเด็นคือ ผมขาดทุนค่อนข้างหนักมาก ในครั้งแรกๆ เพราะ ตัวที่ถือเยอะสุด กลับมีผลทางจิตใจมากสุด

แต่ขณะเดียวกัน มันทำให้ เราหยุดคิด และ นั่งพิเคราะห์ความผิดพลาดได้ดีที่สุดเช่นกัน
เพราะ เรารู้เลยว่า เราวิเคราะห์แบบนี้ ไม่ถูก อย่าไปยึดติด และเรียนรู้ว่า
การเลือกในครั้งๆนั้นๆ มันผิดอย่างไร



ตอนหลัง ผมจึง นำความรู้ที่ได้ มาปรับปรุงการลงทุนให้ดีขึ้น
และนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ในเวลาต่อมา

[saichon]

ผมเป็นอีกคนที่เริ่มลงทุนโดยการถือหุ้นหลายตัว(10-15ตัว)แบบคุณหมอเคครับ
เพราะตอนนั้นจุดประสงค์ในการลงทุนของผมคือ ต้องการให้ตัวเองรู้จักหุ้น รู้จักธุรกิจให้หลากหลาย
ถ้าผมถือหุ้นด้วยจะทำให้ผมสนใจศึกษาธุรกิจนั้นๆมากกว่าปกติ

หลังจากพอมีประสบการณ์เมื่อเจอหุ้นที่ คิดว่าใช่ ก็จะตีแตกไปเลยครับ
ช่วงนี้ผมเลยถือหุ้นน้อยตัวกว่าแต่ก่อน

ผมว่าความเห็นที่พี่ๆแต่ละท่านแนะนำ ดีๆทั้งนั้นเลยครับ
ให้ยึดที่ตัวเราเป็นหลักว่าเป้าหมายหรือจริตในการลงทุนของเราเป็นอย่างไร
แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับสิ่งใหนก็ใช้สูตรมาตรฐานคือ5-7ตัวไปพลางๆก็ได้ครับ