มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
โพสต์ที่ 1
มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
Source - ข่าวหุ้น (Th)
Monday, August 06, 2012 04:08
กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--ข่าวหุ้น
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากสุดของโลก เราต้องฟังเกือบทุกอย่างที่เขาพูดอย่างจริงจัง แต่การที่เขาไม่ชอบลงทุนในทองคำนั้นอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซีอีโอและประธานกรรมการบริหารของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ได้เคยแสดงความเห็นที่ไม่พอใจต่อโลหะสีเหลืองนี้ได้อย่างหลักแหลม โดยล่าสุดเขาได้พูดถึงเรื่องนี้ในรายงานประจำปีที่ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยบัฟเฟตต์ตั้งข้อสังเกตว่า หากเราเป็นเจ้าของทองคำ 170,000 ตันในขณะนี้ ในเวลา100 ปีต่อมา ขนาดของทองคำนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง และยังไม่สามารถให้ผลใดๆ ได้ แถมยังบอกว่า เราสามารถเชยชมทองคำนั้นได้ แต่มันจะไม่ตอบสนอง
บัฟเฟตต์ชอบเล่นหุ้นมากกว่าทองคำและโภคภัณฑ์อื่นๆ เพราะบริษัทมหาชนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นตัวเป็นตนได้ และบริษัทเหล่านี้มักจ่ายปันผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีโตเต็มที่แล้วและมีความระมัดระวังมากกว่าที่บริษัทเบิร์กเชียร์ตั้งใจจะเป็นเจ้าของ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดผล แต่ทองคำไม่ใช่
แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าความเห็นของบัฟเฟตต์ผิดพลาด ?
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ทองคำมีราคาสูงกว่า 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ และกลับมาอยู่ในแดนบวกตลอดปีนี้
แน่นอนว่า ทองยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลที่อยู่ใกล้ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์อยู่ประมาณ 15% และทองมีผลงานแย่กว่าตลาดหุ้นในปีนี้ แม้ว่ามีการดีดตัวเมื่อเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ทองได้วิ่งอย่างคึกคักจนดีกว่าหุ้นมานานกว่า 10 ปีแล้ว และมันไม่ใช่แสงวับๆ แวมๆ แค่ชั่วครู่ แต่นักวิเคราะห์บางคนคิดว่าทองจะสุกสว่างกว่าหุ้นอีกครั้งในเร็วๆ นี้
เนื่องจากทั้งธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางยุโรปได้ประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากจึงคาดการณ์ว่า อย่างน้อย เฟดและธนาคารกลางยุโรปจะเปิดประตูเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม หากว่าไม่ประกาศแผนการผ่อนคลายนโยบายใหม่ๆ ด้วยความจำเป็น
ทุกสิ่งที่เบน เบอร์นันเก้ และมาริโอ ดรากี ทำหรือพูดที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณว่าพวกเขาเต็มใจที่จะทำให้สภาพคล่องท่วมตลาดอีกครั้งน่าจะเป็นผลดีแก่ทองคำ นโยบายเงินที่ผ่อนคลายมีแนวโน้ม ที่จะเป็นข่าวร้ายสำหรับสกุลเงินต่างๆ และในกรณีนี้ เป็นข่าวร้ายสำหรับดอลลาร์และเงินยูโร และเนื่องจากเรามักถือว่าทองคำเป็นสกุลเงินทางเลือกหนึ่งเหมือนที่มันเป็นโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่ง การผ่อนคลายนโยบายมากขึ้นควรจะทำให้ทองปรับตัวสูงขึ้น
เจฟฟรีย์ นิโคลส์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของบริษัทโรสแลนด์ แคปิตอล กล่าวว่า หากทองดีดตัวขึ้นในระยะสั้น จะเป็นเพราะว่า เฟดและธนาคารกลางสหรัฐเร่งดำเนินการ
นักวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมั่นในทองคำกล่าวว่า กำลังจะมีการผ่อนคลายนโยบายออกไปอีกระยะหนึ่งเนื่องจากเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าทองอาจกลับมาอยู่ที่ระดับสถิติของปีนี้ หรือในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีหน้า
ถ้าอย่างนั้น ที่วอเรนต์บัฟเฟตต์ว่าไว้ล่ะ?
สตีฟ เฟลด์แมน ซีอีโอบริษัท โกลด์ บูลเลียน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า เขาชอบที่จะโต้เถียงกับบัฟเฟตต์เกี่ยวกับทองคำ เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทองคำในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่และหัวสมัยใหม่
เฟลด์แมน กล่าวว่า คาถาต่อต้านทองคำค่อนข้างจะเป็นปรากฏการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนักลงทุนรายย่อยและธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย และจีน มีแนวโน้มที่จะมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย หากคนจำนวนมากในจีนและอินเดียต้องการซื้อทองคำต่อไป ราคาทองก็น่าจะสูงขึ้น ไม่ว่าคนอเมริกันจะคิดยังไง
เฟลด์แมนยังกล่าวว่า ในสหรัฐ ชอบลงทุนที่อยู่อาศัย หุ้น และพันธบัตรมาก แต่นั่นคือท่าทีในการลงทุนที่เป็นอเมริกันมากและต่างกับทั่วโลก กฎง่ายๆ ของดีมานด์และซัพพลายทำให้ทองคำเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ซัพพลายมีจำกัดและยากที่จะสกัด จึงยิ่งเพิ่มมูลค่าในฐานะที่เป็นของหายาก
เฟลด์แมนยังกล่าวว่า ดูเหมือนไม่มีวิธีแยกทองคำที่จะเป็นเทคโนโลยีในการทำเหมืองทองคำได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นที่มีการแยกน้ำมันและก๊าซในอุตสาหกรรมพลังงาน ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีในระยะสั้นและเหตุผลที่ดีในระยะยาวแก่ทองคำ
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องเร่งนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในทองคำ และเป็นการบ้าบิ่นมากที่ไปถือทองคำมากเกินไปเนื่องจากจะต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้าน
เฟลด์แมน กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ มีทองอยู่ในพอร์ต 5-10% ก็น่าจะพอ และการซื้อเหรียญทองก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลมากที่สุดที่จะต้องทำเพราะจะได้มีฮาร์ด แอสเซ็ต
พูดง่ายๆ ก็คือ มักเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเดิมพันทองคำโดยผ่านบริษัทชั้นนำอย่างเช่น นิวมองค์ ไมนนิ่ง, บาร์ริค โกลด์ หรือ โกลด์คอร์ป และกองทุนอีทีเอฟที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ เช่น มาร์เก็ต เวคเตอร์ โกลด์ ไมเนอร์ หรือบริษัทที่ซื้อทองโดยตรงเช่น SPDR Gold Shares และ iShares Gold Trust
อย่างไรก็ดี แฟนๆ ทองคำไม่คาดว่าพวกที่ชอบโจมตีทองคำจะยอมอ่อนข้อลงในเร็วๆ นี้
“คนที่ใช้ชีวิตมองแต่หุ้นและพันธบัตรจะคิดว่าทองเป็นโลหะป่าเถื่อน วอลล์สตรีทไม่เคยให้ความเคารพต่อทองคำ และทองคำมักจะถูกพินิจพิเคราะห์ตลอดเวลา“ เจฟฟ์ ซิก้า ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทซิก้า เวลธ์ แมเนจเมนต์ กล่าว
อย่างไรตาม ซิก้า คิดว่าทองคำน่าจะสูงถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนที่ปีนี้จะจบลง และไม่วิตกเกี่ยวกับสิ่งที่บัฟเฟตต์คิดเกี่ยวกับทองคำ และคุณก็ไม่ควรจะวิตกเช่นกัน--จบ--
Source - ข่าวหุ้น (Th)
Monday, August 06, 2012 04:08
กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--ข่าวหุ้น
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากสุดของโลก เราต้องฟังเกือบทุกอย่างที่เขาพูดอย่างจริงจัง แต่การที่เขาไม่ชอบลงทุนในทองคำนั้นอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซีอีโอและประธานกรรมการบริหารของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ได้เคยแสดงความเห็นที่ไม่พอใจต่อโลหะสีเหลืองนี้ได้อย่างหลักแหลม โดยล่าสุดเขาได้พูดถึงเรื่องนี้ในรายงานประจำปีที่ส่งให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยบัฟเฟตต์ตั้งข้อสังเกตว่า หากเราเป็นเจ้าของทองคำ 170,000 ตันในขณะนี้ ในเวลา100 ปีต่อมา ขนาดของทองคำนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง และยังไม่สามารถให้ผลใดๆ ได้ แถมยังบอกว่า เราสามารถเชยชมทองคำนั้นได้ แต่มันจะไม่ตอบสนอง
บัฟเฟตต์ชอบเล่นหุ้นมากกว่าทองคำและโภคภัณฑ์อื่นๆ เพราะบริษัทมหาชนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นตัวเป็นตนได้ และบริษัทเหล่านี้มักจ่ายปันผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีโตเต็มที่แล้วและมีความระมัดระวังมากกว่าที่บริษัทเบิร์กเชียร์ตั้งใจจะเป็นเจ้าของ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดผล แต่ทองคำไม่ใช่
แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าความเห็นของบัฟเฟตต์ผิดพลาด ?
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ทองคำมีราคาสูงกว่า 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ และกลับมาอยู่ในแดนบวกตลอดปีนี้
แน่นอนว่า ทองยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลที่อยู่ใกล้ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์อยู่ประมาณ 15% และทองมีผลงานแย่กว่าตลาดหุ้นในปีนี้ แม้ว่ามีการดีดตัวเมื่อเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ทองได้วิ่งอย่างคึกคักจนดีกว่าหุ้นมานานกว่า 10 ปีแล้ว และมันไม่ใช่แสงวับๆ แวมๆ แค่ชั่วครู่ แต่นักวิเคราะห์บางคนคิดว่าทองจะสุกสว่างกว่าหุ้นอีกครั้งในเร็วๆ นี้
เนื่องจากทั้งธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางยุโรปได้ประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากจึงคาดการณ์ว่า อย่างน้อย เฟดและธนาคารกลางยุโรปจะเปิดประตูเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม หากว่าไม่ประกาศแผนการผ่อนคลายนโยบายใหม่ๆ ด้วยความจำเป็น
ทุกสิ่งที่เบน เบอร์นันเก้ และมาริโอ ดรากี ทำหรือพูดที่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณว่าพวกเขาเต็มใจที่จะทำให้สภาพคล่องท่วมตลาดอีกครั้งน่าจะเป็นผลดีแก่ทองคำ นโยบายเงินที่ผ่อนคลายมีแนวโน้ม ที่จะเป็นข่าวร้ายสำหรับสกุลเงินต่างๆ และในกรณีนี้ เป็นข่าวร้ายสำหรับดอลลาร์และเงินยูโร และเนื่องจากเรามักถือว่าทองคำเป็นสกุลเงินทางเลือกหนึ่งเหมือนที่มันเป็นโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่ง การผ่อนคลายนโยบายมากขึ้นควรจะทำให้ทองปรับตัวสูงขึ้น
เจฟฟรีย์ นิโคลส์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของบริษัทโรสแลนด์ แคปิตอล กล่าวว่า หากทองดีดตัวขึ้นในระยะสั้น จะเป็นเพราะว่า เฟดและธนาคารกลางสหรัฐเร่งดำเนินการ
นักวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมั่นในทองคำกล่าวว่า กำลังจะมีการผ่อนคลายนโยบายออกไปอีกระยะหนึ่งเนื่องจากเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าทองอาจกลับมาอยู่ที่ระดับสถิติของปีนี้ หรือในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีหน้า
ถ้าอย่างนั้น ที่วอเรนต์บัฟเฟตต์ว่าไว้ล่ะ?
สตีฟ เฟลด์แมน ซีอีโอบริษัท โกลด์ บูลเลียน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า เขาชอบที่จะโต้เถียงกับบัฟเฟตต์เกี่ยวกับทองคำ เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทองคำในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่และหัวสมัยใหม่
เฟลด์แมน กล่าวว่า คาถาต่อต้านทองคำค่อนข้างจะเป็นปรากฏการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนักลงทุนรายย่อยและธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย และจีน มีแนวโน้มที่จะมองว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย หากคนจำนวนมากในจีนและอินเดียต้องการซื้อทองคำต่อไป ราคาทองก็น่าจะสูงขึ้น ไม่ว่าคนอเมริกันจะคิดยังไง
เฟลด์แมนยังกล่าวว่า ในสหรัฐ ชอบลงทุนที่อยู่อาศัย หุ้น และพันธบัตรมาก แต่นั่นคือท่าทีในการลงทุนที่เป็นอเมริกันมากและต่างกับทั่วโลก กฎง่ายๆ ของดีมานด์และซัพพลายทำให้ทองคำเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ซัพพลายมีจำกัดและยากที่จะสกัด จึงยิ่งเพิ่มมูลค่าในฐานะที่เป็นของหายาก
เฟลด์แมนยังกล่าวว่า ดูเหมือนไม่มีวิธีแยกทองคำที่จะเป็นเทคโนโลยีในการทำเหมืองทองคำได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นที่มีการแยกน้ำมันและก๊าซในอุตสาหกรรมพลังงาน ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีในระยะสั้นและเหตุผลที่ดีในระยะยาวแก่ทองคำ
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องเร่งนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในทองคำ และเป็นการบ้าบิ่นมากที่ไปถือทองคำมากเกินไปเนื่องจากจะต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้าน
เฟลด์แมน กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ มีทองอยู่ในพอร์ต 5-10% ก็น่าจะพอ และการซื้อเหรียญทองก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลมากที่สุดที่จะต้องทำเพราะจะได้มีฮาร์ด แอสเซ็ต
พูดง่ายๆ ก็คือ มักเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเดิมพันทองคำโดยผ่านบริษัทชั้นนำอย่างเช่น นิวมองค์ ไมนนิ่ง, บาร์ริค โกลด์ หรือ โกลด์คอร์ป และกองทุนอีทีเอฟที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ เช่น มาร์เก็ต เวคเตอร์ โกลด์ ไมเนอร์ หรือบริษัทที่ซื้อทองโดยตรงเช่น SPDR Gold Shares และ iShares Gold Trust
อย่างไรก็ดี แฟนๆ ทองคำไม่คาดว่าพวกที่ชอบโจมตีทองคำจะยอมอ่อนข้อลงในเร็วๆ นี้
“คนที่ใช้ชีวิตมองแต่หุ้นและพันธบัตรจะคิดว่าทองเป็นโลหะป่าเถื่อน วอลล์สตรีทไม่เคยให้ความเคารพต่อทองคำ และทองคำมักจะถูกพินิจพิเคราะห์ตลอดเวลา“ เจฟฟ์ ซิก้า ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทซิก้า เวลธ์ แมเนจเมนต์ กล่าว
อย่างไรตาม ซิก้า คิดว่าทองคำน่าจะสูงถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนที่ปีนี้จะจบลง และไม่วิตกเกี่ยวกับสิ่งที่บัฟเฟตต์คิดเกี่ยวกับทองคำ และคุณก็ไม่ควรจะวิตกเช่นกัน--จบ--
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณ คุณ pakapong_u มากครับ สำหรับบทความครับ
สตีฟ เฟลด์แมน ซีอีโอบริษัท โกลด์ บูลเลียน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า เขาชอบที่จะโต้เถียงกับบัฟเฟตต์เกี่ยวกับทองคำ เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทองคำในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่และหัวสมัยใหม่
เท่าที่อ่านบทความข้างต้น ผมไม่เห็นว่า ท่านปู่ วอเรน บัฟเฟตต์ จะออกมาพูดเลยนะครับ
มีเพียงแต่ นายสตีฟ เฟลด์แมน ออกมาพูดเท่านั้น แต่จั่วหัวบทความซะเหมือนกับว่า ท่านปูวอเรน ฯ ออกมาพูดซะเองครับ
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ทองคำมีราคาสูงกว่า 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ และกลับมาอยู่ในแดนบวกตลอดปีนี้
แน่นอนว่า ทองยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลที่อยู่ใกล้ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์อยู่ประมาณ 15% และทองมีผลงานแย่กว่าตลาดหุ้นในปีนี้ แม้ว่ามีการดีดตัวเมื่อเร็วๆ นี้
สิ่งนี้เป็นการคาดการณ์ ในกรณีที่ สหรัฐ ฯ ออก QE3 เมื่อไหร่ เพราะเมื่อมีการพิมพ์เงิน USD เข้ามาในระบบมากขึ้น ก็จะเกิดเงินเฟ้อ และไปสะท้อนที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ น้ำมัน รวมไปถึง หุ้น ด้วยครับ
พูดง่ายๆ ก็คือ มักเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเดิมพันทองคำโดยผ่านบริษัทชั้นนำอย่างเช่น นิวมองค์ ไมนนิ่ง, บาร์ริค โกลด์ หรือ โกลด์คอร์ป และกองทุนอีทีเอฟที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ เช่น มาร์เก็ต เวคเตอร์ โกลด์ ไมเนอร์ หรือบริษัทที่ซื้อทองโดยตรงเช่น SPDR Gold Shares และ iShares Gold Trust
นี่ซิถึงจะเป็น วัตถุประสงค์หลัก ของบทความนี้ คือ ชักชวนให้คนมาลงทุนทองคำ ผ่านบริษัท ฯ หรือ กองทุนต่าง ๆ นั่นเองครับ
สตีฟ เฟลด์แมน ซีอีโอบริษัท โกลด์ บูลเลียน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า เขาชอบที่จะโต้เถียงกับบัฟเฟตต์เกี่ยวกับทองคำ เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทองคำในหมู่นักลงทุนหน้าใหม่และหัวสมัยใหม่
เท่าที่อ่านบทความข้างต้น ผมไม่เห็นว่า ท่านปู่ วอเรน บัฟเฟตต์ จะออกมาพูดเลยนะครับ
มีเพียงแต่ นายสตีฟ เฟลด์แมน ออกมาพูดเท่านั้น แต่จั่วหัวบทความซะเหมือนกับว่า ท่านปูวอเรน ฯ ออกมาพูดซะเองครับ
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ทองคำมีราคาสูงกว่า 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ และกลับมาอยู่ในแดนบวกตลอดปีนี้
แน่นอนว่า ทองยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลที่อยู่ใกล้ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์อยู่ประมาณ 15% และทองมีผลงานแย่กว่าตลาดหุ้นในปีนี้ แม้ว่ามีการดีดตัวเมื่อเร็วๆ นี้
สิ่งนี้เป็นการคาดการณ์ ในกรณีที่ สหรัฐ ฯ ออก QE3 เมื่อไหร่ เพราะเมื่อมีการพิมพ์เงิน USD เข้ามาในระบบมากขึ้น ก็จะเกิดเงินเฟ้อ และไปสะท้อนที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ น้ำมัน รวมไปถึง หุ้น ด้วยครับ
พูดง่ายๆ ก็คือ มักเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเดิมพันทองคำโดยผ่านบริษัทชั้นนำอย่างเช่น นิวมองค์ ไมนนิ่ง, บาร์ริค โกลด์ หรือ โกลด์คอร์ป และกองทุนอีทีเอฟที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่ เช่น มาร์เก็ต เวคเตอร์ โกลด์ ไมเนอร์ หรือบริษัทที่ซื้อทองโดยตรงเช่น SPDR Gold Shares และ iShares Gold Trust
นี่ซิถึงจะเป็น วัตถุประสงค์หลัก ของบทความนี้ คือ ชักชวนให้คนมาลงทุนทองคำ ผ่านบริษัท ฯ หรือ กองทุนต่าง ๆ นั่นเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
โพสต์ที่ 3
ความเห็นส่วนตัวนะครับ .. ทองคำมันเหมือนกับซื้อสิ่งของหายาก หรือ วัตถุสะสม ที่หลายๆคนในโลกยอมรับว่ายังมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้น .. ต่างกับหุ้นในบริษัทที่ไม่ใช่วัตถุอยู่กับที่แต่เป็นเสมือนเครื่องจักรที่โดยตัวของมันเองแล้ว ถ้าตั้งไว้เฉยๆก็ไม่มีค่า ไม่มีใครอยากได้ แต่สิ่งที่มันผลิตออกมานี่สิทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม
ที่นี้ .. การวิเคราะห์มันก็ต่างกันละ .. ทองก็อาจวิเคราะห์ว่า perception ของคนที่จะให้มูลค่ามันจะยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆหรือเปล่า .. ในขณะที่หุ้น (เครื่องจักรทำเงิน) ก็อาจสามารถวิเคราะห์จากความสามารถของเครื่องจักร (ผู้บริหาร, ระบบการจัดการ, กลยุทธ์, ตัวสินค้า, 5-Force, อื่นๆ) แล้วก็บวกกับ perception ของคนที่จะให้มูลค่าสินค้าที่ถูกผลิตออกมา
สรุปแล้ว .. ผมรู้สึกว่าหุ้นมันมีข้อมูลและเครื่องมือมากกว่าที่จะมาใช้ในการวิเคราะห์เพิ่อให้เรามั่นใจและลดความเสี่ยงในการลงทุน ในขณะที่ทองมันมีคาดเดายากกว่า .. แต่อันนี้ก็ต้องลองถามเซียนทองนะครับ เพราะเขาอาจมีความเข้าใจ ความถนัดในการวิเคราะห์มากกว่านักลงทุนในหุ้นก็ได้
ที่นี้ .. การวิเคราะห์มันก็ต่างกันละ .. ทองก็อาจวิเคราะห์ว่า perception ของคนที่จะให้มูลค่ามันจะยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆหรือเปล่า .. ในขณะที่หุ้น (เครื่องจักรทำเงิน) ก็อาจสามารถวิเคราะห์จากความสามารถของเครื่องจักร (ผู้บริหาร, ระบบการจัดการ, กลยุทธ์, ตัวสินค้า, 5-Force, อื่นๆ) แล้วก็บวกกับ perception ของคนที่จะให้มูลค่าสินค้าที่ถูกผลิตออกมา
สรุปแล้ว .. ผมรู้สึกว่าหุ้นมันมีข้อมูลและเครื่องมือมากกว่าที่จะมาใช้ในการวิเคราะห์เพิ่อให้เรามั่นใจและลดความเสี่ยงในการลงทุน ในขณะที่ทองมันมีคาดเดายากกว่า .. แต่อันนี้ก็ต้องลองถามเซียนทองนะครับ เพราะเขาอาจมีความเข้าใจ ความถนัดในการวิเคราะห์มากกว่านักลงทุนในหุ้นก็ได้
Invincible MOS is knowing what you're doing
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มุมมองของบัฟเฟตต์เกี่ยวกับ ”ทองคำ” ...อาจผิดพลาดได้...
โพสต์ที่ 6
ผมว่า เค้าคงเลือกลงทุนในสิ่งที่เค้าเข้าใจมากที่สุดครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ