หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 1
หุ้นตัวไหนนักลงทุนแบบ VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหม
vi อมหุ้นไว้ไม่ขาย +เหมือนซื้อขายกันด้วยราคาในอนาคต +ความคาดหวัง ราคาปัจจุบันเลยแพงเกินจริง
คิดยังไงกับเรื่องนี้กันบ้างครับ
vi อมหุ้นไว้ไม่ขาย +เหมือนซื้อขายกันด้วยราคาในอนาคต +ความคาดหวัง ราคาปัจจุบันเลยแพงเกินจริง
คิดยังไงกับเรื่องนี้กันบ้างครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 2
เหมือนเราลอกการบ้านของเซียน VI แล้วอะครับ พอประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือพอไปCOMPANY VISIT รู้ว่าจะมีเซียนหุ้น VI ก็ไปดักซื้อ ดักรอล่วงหน้า เราเหมือนเดินตามเขานะครับ และเราก็ไม่รู้ว่า ต้นทุนที่แท้จริงเขาเท่าไหร่ มันอาจจะกลายเป็นหุ้นปั่น หุ้นเก็งกำไร รวมทั้งตอนนี้นักลงทุนที่เรียกตัวเองว่า VI มีมากเหลือเกิน บางคนก็ตัวจริง (อย่างดร.นิเวศ หรือหลายคนในห้องนี้) แต่บางคนก็อ้างว่าเป็น VI แต่เป็น VI เทียมก็มี ดังนั้นเราเองต้องทำการบ้านและพิจารณาการตัดสินใจการลงทุนของเราเองประกอบด้วยครับ เพราะมันคือเงินของเราใช่ไหมละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 483
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 3
มีเม่าผสมโรงด้วยครับ
พอรู้ว่า vi นิยมตัวไหน ก็แห่ตาม
พอรู้ว่า vi นิยมตัวไหน ก็แห่ตาม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 4
หลักการของวีไอ คือถือหุ้นตัวที่ราคายังไม่สะท้อนมูลค่า
ฉะนั้น ผมว่าหุ้นที่วีไอส่วนใหญ่ถือราคาน่าจะยังไม่แพงเกินจริงครับ
ฉะนั้น ผมว่าหุ้นที่วีไอส่วนใหญ่ถือราคาน่าจะยังไม่แพงเกินจริงครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 6
[
อันนี้ผมไม่สามารถสรุปได้ มีเหตุผลหลายๆแบบครับ แต่ผมเคยวิเคราะห์กับเำพื่อน
เรื่องราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นในตลาด มีปัจจัยนึงที่เกี่ยวกับ VI นั่นคือ เมื่อมันราคาถูกกว่ามูลค่า
VI ก็จะเข้าซื้อ---->เมื่อเทคนิคเห็นกราฟเริ่มขึ้นวอลุ่มเริ่มมีก็จะเข้าตามเพราะเห็นเป็น
ขาขึ้น---->เมื่อขึ้นแรงๆโบรคเริ่มเห็นคราวนี้ก็เชียร์เม่าซื้อตามๆกันไป....^^)
ปล.เป็นเพียงการวิเคราะห์ของผม+เพื่อนนะครับ ไม่มีงานวิจัยใดๆมายืนยัน
ผมลองสังเกตุจากพวกหุ้น IPO ครับ...^^)
ผมขออกความคิดเห็นนะครับ หุ้นที่ VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริงuntrataro25 เขียน: หุ้นตัวไหนนักลงทุนแบบ VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหม
อันนี้ผมไม่สามารถสรุปได้ มีเหตุผลหลายๆแบบครับ แต่ผมเคยวิเคราะห์กับเำพื่อน
เรื่องราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นในตลาด มีปัจจัยนึงที่เกี่ยวกับ VI นั่นคือ เมื่อมันราคาถูกกว่ามูลค่า
VI ก็จะเข้าซื้อ---->เมื่อเทคนิคเห็นกราฟเริ่มขึ้นวอลุ่มเริ่มมีก็จะเข้าตามเพราะเห็นเป็น
ขาขึ้น---->เมื่อขึ้นแรงๆโบรคเริ่มเห็นคราวนี้ก็เชียร์เม่าซื้อตามๆกันไป....^^)
ปล.เป็นเพียงการวิเคราะห์ของผม+เพื่อนนะครับ ไม่มีงานวิจัยใดๆมายืนยัน
ผมลองสังเกตุจากพวกหุ้น IPO ครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 8
ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ หุ้นบางตัวซื้อขายกันราคาในอนาคตหลายปี ทั้งที่ปันผลนิดเดียว
พื้นฐานดี >vi ซื้อ >ความคาดหวัง >คนอื่นๆรู้ซื้อตาม >ราคาขึ้น >กราฟสวย สายเทคนิคเข้า >ราคาขึ้นอีก >ความคาดหวัง >ราคาขึ้น=พื้นฐานดี >โบรคเข้าเชียร์ >พื้นฐานดี >ซื้ออีก >ราคาขึ้นอีก.............................ประมาณนี้หรือครับคุณ Plant
ตกลงราคาตอนนี้ถูกหรือแพง แพงสำหรับอีกคน อาจถูกสำหรับอีกคน เราคิดว่าตอนนี้แพงเราขาย อีกคนคิดว่าตอนนี้มันถูกก็เลยมาซื้อจากเราไป ตกลงตอนนี้มันถูกหรือแพง ใครคิดผิด ใครคิดถูก กาลเวลาจะพิสูจน์ได้จริงหรือ เพราะบางตัวแพงไปเรื่อยๆ หรือว่ามันคือ super stock เอ๊ะ ใช่หรือ ไม่น่าใช่นะ ตกลงยังไงแน่ อืม เป็นเม่าต่อไปดีกว่าเรา ^^
พื้นฐานดี >vi ซื้อ >ความคาดหวัง >คนอื่นๆรู้ซื้อตาม >ราคาขึ้น >กราฟสวย สายเทคนิคเข้า >ราคาขึ้นอีก >ความคาดหวัง >ราคาขึ้น=พื้นฐานดี >โบรคเข้าเชียร์ >พื้นฐานดี >ซื้ออีก >ราคาขึ้นอีก.............................ประมาณนี้หรือครับคุณ Plant
ตกลงราคาตอนนี้ถูกหรือแพง แพงสำหรับอีกคน อาจถูกสำหรับอีกคน เราคิดว่าตอนนี้แพงเราขาย อีกคนคิดว่าตอนนี้มันถูกก็เลยมาซื้อจากเราไป ตกลงตอนนี้มันถูกหรือแพง ใครคิดผิด ใครคิดถูก กาลเวลาจะพิสูจน์ได้จริงหรือ เพราะบางตัวแพงไปเรื่อยๆ หรือว่ามันคือ super stock เอ๊ะ ใช่หรือ ไม่น่าใช่นะ ตกลงยังไงแน่ อืม เป็นเม่าต่อไปดีกว่าเรา ^^
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 9
คอลัมน์: โลกในมุมมอง ของVALUE INVESTOR: ความเชื่อที่อันตรายของ VI
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, September 25, 2012 05:16
10882 XTHAI XECON XFINSEC ZSTOCK XCORP XBANK XFINMKT DAS V%NETNEWS P%WKT
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
[email protected]
VI จำนวนไม่น้อยที่ผมได้พบเห็น โดยเฉพาะตามเว็บไซต์ต่างๆ มักมีศรัทธา หรือVความเชื่อที่ยึดมั่นใน "แนวทาง VI" อย่างมั่นคง จนผมรู้สึกว่า "มากเกินไป" ส่วนหนึ่งของความเชื่อนี้ อาจเป็นเพราะ "ความสำเร็จของ VI" ทั้งในระดับโลก อย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ และ "เซียน VI ไทย" จำนวนมากในช่วงเร็วๆ นี้ ที่เสนอแนวทางแบบ VI อย่างกว้างขวางและภาคภูมิ จนทำให้แนวทางอื่นในเรื่องการลงทุนกลายเป็นเรื่องที่อาจไร้สาระ หรือตลกในสายตาของ VI ที่ติดตามศึกษาทฤษฎี VI อย่างเข้มข้น และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
แน่นอน ความเชื่อเหล่านี้ เป็นสิ่งดีที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้เราไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้ายึดมั่นเกินไป บางครั้งอาจเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะจะไม่ยืดหยุ่น และถ้าเกิดความผิดพลาด ความเสียหายจะมากกว่าปกติ ลองดูว่าความเชื่อ หรือศรัทธาเรื่องไหนที่ผมเห็นว่าเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เรื่องแรกคือ เชื่อว่าเราสามารถคำนวณ Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้แม่นยำ และผิดพลาดมากในระดับทศนิยม และถ้าราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ทำให้เรามี Margin Of Safety (MOS) มากพอ เราก็จะซื้อหรือถือหุ้นไว้ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร หลายคนพร้อม "ตีแตก" ถ้า MOS สูงลิ่วประเด็นคือ มูลค่าที่แท้จริง ถ้าจะคำนวณจริงๆ ต้องมีสมมุติฐานสำคัญคือ ต้องรู้ว่า กำไรของบริษัทในอนาคตระยะยาวมากเป็นอย่างไร เงินสดหรือปันผลที่เราจะได้เท่าไร และจะโตอย่างไร นอกจากนั้น ต้องรู้ถึงต้นทุนของเงินทุนในตลาดด้วย ทั้งหมดนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงผิดจากที่คาดไว้ แม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลง ไปมากมาย
หลายคนอาจใช้สูตรง่ายๆ แบบหยาบๆ เช่น ใช้ค่า PE ว่า กิจการควรมีค่า PE 15 เท่า ถ้ารู้ว่ากำไรปีนี้จะเป็นเท่าไร ก็หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ แต่นี่ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงแน่ๆ ยกเว้นว่า กำไรของบริษัทปีต่อๆ ไปอีกยาวนาน ในอนาคตไม่ลดลง และค่า PE ยังเป็น 15 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า
ในความคิดของผม มูลค่าที่แท้จริงที่เราคิดไว้ จะเป็นช่วงที่กว้างไม่ใช่เลขตัวเดียว ที่จริงผมสนใจเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ต่ำที่สุดที่ผมคำนวณได้ ส่วนมูลค่าหุ้นที่สูงที่สุด ผมแทบไม่สนใจที่จะคำนวณ เหนือสิ่งอื่นใด มูลค่าหุ้นเติบโตและลดลงได้ตามเวลาที่ผ่านไป
เรื่องที่สองคือ VI จำนวนมากไม่เชื่อเรื่อง Efficient Market หรือตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาคิดว่า "นายตลาด" ผิดพลาดเสมอ นายตลาดเป็นคนที่ "คุ้มดีคุ้มร้าย" ตามที่เบน เกรแฮม บอกไว้ เขาให้ราคาหุ้นที่ไม่มีเหตุผล บางครั้งก็สูงเกินพื้นฐานมาก บางครั้งก็ต่ำกว่าพื้นฐาน เราสามารถฉกฉวยประโยชน์โดยซื้อหุ้นที่มีราคา "ถูมากๆ" หรือขายหุ้นที่มีราคา "แพงมากๆ" ได้ผมก็เชื่อว่าหุ้นบางตัว และตลาดหุ้นบางสถานการณ์ มีหุ้นที่มีราคาแตกต่างจากมูลค่าพื้นฐานจริงๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ถูกละเลยไม่มีคนสนใจ และเป็นหุ้นขนาดเล็ก แต่หุ้นที่มีขนาดใหญ่ หรือหุ้นที่มีคนซื้อขายและติดตามมากๆ หรือเป็นหุ้น "ยอดนิยม" ราคาหุ้นอาจจะสะท้อนพื้นฐานได้ใกล้เคียง
พูดง่ายๆ ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยเหมาะสม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกำไรได้สูงมากๆ แบบง่ายๆ ได้ ดังนั้น "นายตลาด" ก็คือคนทุกคนที่มาเล่นหุ้นตัวที่เรากำลังเล่นอยู่ บางครั้งอาจจะเห็นว่าคนอื่น รู้น้อยกว่าเรา จำนวนมากเล่นหุ้นโดยไม่เคยวิเคราะห์ด้วยซ้ำไป
แต่อย่าลืมว่า มีคนอื่นอีกหลายคน ที่อาจรู้มากกว่าเรา ที่สำคัญ พวกเขามี "น้ำหนัก" หรือเม็ดเงินสูงมาก ถ้าคำนวณแล้ว อาจมีฝีมือ หรือความรู้ในตัวหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ถ่วง น้ำหนักแล้ว ผลคือ ที่คิดว่าเรา "แน่" นั้น ที่จริงเราเป็น "หมู" อย่าลืมว่าแม้แต่ เบน เกรแฮม ก่อนตายยังยอมรับว่า ตลาดหุ้นอเมริกาได้พัฒนาจน "มีประสิทธิภาพ" ไม่เหมือนสมัยที่เขาเสนอแนวการลงทุนแบบ VI ย้อนหลังไปหลายสิบปี
เรื่องที่สามคือ ความเชื่อที่ว่า ถ้าต้องการทำผลตอบแทนการลงทุนที่สูงต่อเนื่องยาวนานได้ ต้องซื้อหุ้นที่ Undervalue หรือหุ้นถูก และขายหุ้นที่ Overvalue หรือ Fair Value หรือหุ้นที่แพง หรือเต็มมูลค่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ได้ผลตอบแทนปีละ 30-40% หรืออาจมากกว่านั้นได้ในระยะยาวอาจเป็นสิบๆ ปี ด้วยวิธีนี้ เราอาจถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยไม่เกินหนึ่งปี
การที่ได้ผลตอบแทนสูงแบบนี้ได้ เพราะหุ้นแต่ละตัว เมื่อมีราคาถูก เป็นหุ้น VI จะมีโอกาสมี Rerate หรือการปรับราคาใหม่ คือมีช่วงที่หุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วๆ บางทีเป็นเท่าตัว หรือหลายเท่าตัว เมื่อมีคนมาพบและ "แห่" เข้ามาซื้อ ทำให้ราคาขึ้นไปแรงมาก ทำให้หุ้นอาจไม่ Undervalue ต่อไป จึงต้องขายทำกำไรไปหาหุ้นตัวอื่น พวกเขาคิดว่า การซื้อแล้วถือไว้ยาวนาน จะไม่มีทางทำกำไรได้มาก เพราะระยะยาว แม้แต่หุ้นระดับ "ซุปเปอร์สต็อก" มักมีกำไรเติบโตไม่เกิน15-20% ต่อปี ซึ่งราคาหุ้นจะวิ่งไปตามผลกำไร คือปีละประมาณไม่เกิน 15-20%
เหตุที่ผมคิดว่า ความเชื่อนี้อันตรายอยู่ที่ว่า ทำให้เรามีแนวโน้มเป็น Trader หรือนักเก็งกำไรแทนจะเป็นนักลงทุน ในระยะสั้นๆ ช่วงตลาดหุ้นบูม การเทรดหุ้นอาจ ทำกำไรได้ดีปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันบางที 3-4 ปี แต่ระยะยาว ถ้าช่วงตลาด ไม่ได้เอื้อ การทำกำไรแบบนั้นเป็นเรื่องยาก การที่ถือหุ้นที่เป็นบริษัทยอดเยี่ยมและทำ กำไรปีละ 15-20% ต่อเนื่องยาวนานจะปลอดภัยกว่า และผมเชื่อว่าโดยรวมจะให้ผล ตอบแทนดีกว่า
สุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงคือ ความเชื่อที่ว่า หุ้นที่มีค่า PE และ PB ต่ำมาก คือหุ้นที่มีราคาถูกและเป็นหุ้น VI แน่นอนโดยไม่ได้พิจารณาลึกซึ้งถึงพื้นฐานของกิจการ อันตรายของความเชื่อคือ ประการแรก ค่า B หรือมูลค่าทางบัญชีของบริษัท เป็นมูลค่าอดีตที่บริษัทลงทุนไปในรูปการซื้อทรัพย์สินเช่น โรงงาน อุปกรณ์ แต่มูลค่าที่แท้จริง หรือราคาตลาดของทรัพย์สิน อาจน้อยกว่ามาก
ตัวอย่างคือมูลค่าโรงงานและเครื่องจักรสิ่งทอของบริษัทเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์ ตอนที่ต้องปิดกิจการ ราคาขายเท่ากับเศษเหล็ก ดังนั้น PB ที่ต่ำต่อเนื่องจึงอาจไม่มีความหมาย ต่อมาเมื่อค่า PE ลดลงต่ำมากเช่นกัน แต่นี่อาจเป็นเพราะกำไรในปีนั้นดีขึ้นมาก เพราะภาวะอุตสาหกรรม เช่น ราคาสินค้า หรือวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น หรือลงชั่วคราวที่ทำให้กำไรของบริษัทกระโดดขึ้นเพียงปีหรือสองปี
หลังจากนั้นค่า PE อาจกลับมาสูงอย่างเดิม ดังนั้น ค่า PE ที่เห็นว่าต่ำ ก็ไม่มีความหมายเช่นเดียวกัน สรุปแล้ว แม้หุ้นจะมีทั้งค่า PE และ PB ที่ต่ำมาก ก็ไม่ได้เป็นหุ้นถูก ถ้าเราเข้าไปลงทุน และคิดว่าเรากำลังเจอหุ้นที่เป็นสุดยอด VI เราอาจขาดทุนได้มาก อย่างไม่น่าเชื่อได้--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Tuesday, September 25, 2012 05:16
10882 XTHAI XECON XFINSEC ZSTOCK XCORP XBANK XFINMKT DAS V%NETNEWS P%WKT
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
[email protected]
VI จำนวนไม่น้อยที่ผมได้พบเห็น โดยเฉพาะตามเว็บไซต์ต่างๆ มักมีศรัทธา หรือVความเชื่อที่ยึดมั่นใน "แนวทาง VI" อย่างมั่นคง จนผมรู้สึกว่า "มากเกินไป" ส่วนหนึ่งของความเชื่อนี้ อาจเป็นเพราะ "ความสำเร็จของ VI" ทั้งในระดับโลก อย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ และ "เซียน VI ไทย" จำนวนมากในช่วงเร็วๆ นี้ ที่เสนอแนวทางแบบ VI อย่างกว้างขวางและภาคภูมิ จนทำให้แนวทางอื่นในเรื่องการลงทุนกลายเป็นเรื่องที่อาจไร้สาระ หรือตลกในสายตาของ VI ที่ติดตามศึกษาทฤษฎี VI อย่างเข้มข้น และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
แน่นอน ความเชื่อเหล่านี้ เป็นสิ่งดีที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้เราไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้ายึดมั่นเกินไป บางครั้งอาจเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะจะไม่ยืดหยุ่น และถ้าเกิดความผิดพลาด ความเสียหายจะมากกว่าปกติ ลองดูว่าความเชื่อ หรือศรัทธาเรื่องไหนที่ผมเห็นว่าเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เรื่องแรกคือ เชื่อว่าเราสามารถคำนวณ Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้แม่นยำ และผิดพลาดมากในระดับทศนิยม และถ้าราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ทำให้เรามี Margin Of Safety (MOS) มากพอ เราก็จะซื้อหรือถือหุ้นไว้ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร หลายคนพร้อม "ตีแตก" ถ้า MOS สูงลิ่วประเด็นคือ มูลค่าที่แท้จริง ถ้าจะคำนวณจริงๆ ต้องมีสมมุติฐานสำคัญคือ ต้องรู้ว่า กำไรของบริษัทในอนาคตระยะยาวมากเป็นอย่างไร เงินสดหรือปันผลที่เราจะได้เท่าไร และจะโตอย่างไร นอกจากนั้น ต้องรู้ถึงต้นทุนของเงินทุนในตลาดด้วย ทั้งหมดนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงผิดจากที่คาดไว้ แม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลง ไปมากมาย
หลายคนอาจใช้สูตรง่ายๆ แบบหยาบๆ เช่น ใช้ค่า PE ว่า กิจการควรมีค่า PE 15 เท่า ถ้ารู้ว่ากำไรปีนี้จะเป็นเท่าไร ก็หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ แต่นี่ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงแน่ๆ ยกเว้นว่า กำไรของบริษัทปีต่อๆ ไปอีกยาวนาน ในอนาคตไม่ลดลง และค่า PE ยังเป็น 15 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า
ในความคิดของผม มูลค่าที่แท้จริงที่เราคิดไว้ จะเป็นช่วงที่กว้างไม่ใช่เลขตัวเดียว ที่จริงผมสนใจเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ต่ำที่สุดที่ผมคำนวณได้ ส่วนมูลค่าหุ้นที่สูงที่สุด ผมแทบไม่สนใจที่จะคำนวณ เหนือสิ่งอื่นใด มูลค่าหุ้นเติบโตและลดลงได้ตามเวลาที่ผ่านไป
เรื่องที่สองคือ VI จำนวนมากไม่เชื่อเรื่อง Efficient Market หรือตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาคิดว่า "นายตลาด" ผิดพลาดเสมอ นายตลาดเป็นคนที่ "คุ้มดีคุ้มร้าย" ตามที่เบน เกรแฮม บอกไว้ เขาให้ราคาหุ้นที่ไม่มีเหตุผล บางครั้งก็สูงเกินพื้นฐานมาก บางครั้งก็ต่ำกว่าพื้นฐาน เราสามารถฉกฉวยประโยชน์โดยซื้อหุ้นที่มีราคา "ถูมากๆ" หรือขายหุ้นที่มีราคา "แพงมากๆ" ได้ผมก็เชื่อว่าหุ้นบางตัว และตลาดหุ้นบางสถานการณ์ มีหุ้นที่มีราคาแตกต่างจากมูลค่าพื้นฐานจริงๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ถูกละเลยไม่มีคนสนใจ และเป็นหุ้นขนาดเล็ก แต่หุ้นที่มีขนาดใหญ่ หรือหุ้นที่มีคนซื้อขายและติดตามมากๆ หรือเป็นหุ้น "ยอดนิยม" ราคาหุ้นอาจจะสะท้อนพื้นฐานได้ใกล้เคียง
พูดง่ายๆ ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยเหมาะสม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกำไรได้สูงมากๆ แบบง่ายๆ ได้ ดังนั้น "นายตลาด" ก็คือคนทุกคนที่มาเล่นหุ้นตัวที่เรากำลังเล่นอยู่ บางครั้งอาจจะเห็นว่าคนอื่น รู้น้อยกว่าเรา จำนวนมากเล่นหุ้นโดยไม่เคยวิเคราะห์ด้วยซ้ำไป
แต่อย่าลืมว่า มีคนอื่นอีกหลายคน ที่อาจรู้มากกว่าเรา ที่สำคัญ พวกเขามี "น้ำหนัก" หรือเม็ดเงินสูงมาก ถ้าคำนวณแล้ว อาจมีฝีมือ หรือความรู้ในตัวหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ถ่วง น้ำหนักแล้ว ผลคือ ที่คิดว่าเรา "แน่" นั้น ที่จริงเราเป็น "หมู" อย่าลืมว่าแม้แต่ เบน เกรแฮม ก่อนตายยังยอมรับว่า ตลาดหุ้นอเมริกาได้พัฒนาจน "มีประสิทธิภาพ" ไม่เหมือนสมัยที่เขาเสนอแนวการลงทุนแบบ VI ย้อนหลังไปหลายสิบปี
เรื่องที่สามคือ ความเชื่อที่ว่า ถ้าต้องการทำผลตอบแทนการลงทุนที่สูงต่อเนื่องยาวนานได้ ต้องซื้อหุ้นที่ Undervalue หรือหุ้นถูก และขายหุ้นที่ Overvalue หรือ Fair Value หรือหุ้นที่แพง หรือเต็มมูลค่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ได้ผลตอบแทนปีละ 30-40% หรืออาจมากกว่านั้นได้ในระยะยาวอาจเป็นสิบๆ ปี ด้วยวิธีนี้ เราอาจถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยไม่เกินหนึ่งปี
การที่ได้ผลตอบแทนสูงแบบนี้ได้ เพราะหุ้นแต่ละตัว เมื่อมีราคาถูก เป็นหุ้น VI จะมีโอกาสมี Rerate หรือการปรับราคาใหม่ คือมีช่วงที่หุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วๆ บางทีเป็นเท่าตัว หรือหลายเท่าตัว เมื่อมีคนมาพบและ "แห่" เข้ามาซื้อ ทำให้ราคาขึ้นไปแรงมาก ทำให้หุ้นอาจไม่ Undervalue ต่อไป จึงต้องขายทำกำไรไปหาหุ้นตัวอื่น พวกเขาคิดว่า การซื้อแล้วถือไว้ยาวนาน จะไม่มีทางทำกำไรได้มาก เพราะระยะยาว แม้แต่หุ้นระดับ "ซุปเปอร์สต็อก" มักมีกำไรเติบโตไม่เกิน15-20% ต่อปี ซึ่งราคาหุ้นจะวิ่งไปตามผลกำไร คือปีละประมาณไม่เกิน 15-20%
เหตุที่ผมคิดว่า ความเชื่อนี้อันตรายอยู่ที่ว่า ทำให้เรามีแนวโน้มเป็น Trader หรือนักเก็งกำไรแทนจะเป็นนักลงทุน ในระยะสั้นๆ ช่วงตลาดหุ้นบูม การเทรดหุ้นอาจ ทำกำไรได้ดีปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันบางที 3-4 ปี แต่ระยะยาว ถ้าช่วงตลาด ไม่ได้เอื้อ การทำกำไรแบบนั้นเป็นเรื่องยาก การที่ถือหุ้นที่เป็นบริษัทยอดเยี่ยมและทำ กำไรปีละ 15-20% ต่อเนื่องยาวนานจะปลอดภัยกว่า และผมเชื่อว่าโดยรวมจะให้ผล ตอบแทนดีกว่า
สุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงคือ ความเชื่อที่ว่า หุ้นที่มีค่า PE และ PB ต่ำมาก คือหุ้นที่มีราคาถูกและเป็นหุ้น VI แน่นอนโดยไม่ได้พิจารณาลึกซึ้งถึงพื้นฐานของกิจการ อันตรายของความเชื่อคือ ประการแรก ค่า B หรือมูลค่าทางบัญชีของบริษัท เป็นมูลค่าอดีตที่บริษัทลงทุนไปในรูปการซื้อทรัพย์สินเช่น โรงงาน อุปกรณ์ แต่มูลค่าที่แท้จริง หรือราคาตลาดของทรัพย์สิน อาจน้อยกว่ามาก
ตัวอย่างคือมูลค่าโรงงานและเครื่องจักรสิ่งทอของบริษัทเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์ ตอนที่ต้องปิดกิจการ ราคาขายเท่ากับเศษเหล็ก ดังนั้น PB ที่ต่ำต่อเนื่องจึงอาจไม่มีความหมาย ต่อมาเมื่อค่า PE ลดลงต่ำมากเช่นกัน แต่นี่อาจเป็นเพราะกำไรในปีนั้นดีขึ้นมาก เพราะภาวะอุตสาหกรรม เช่น ราคาสินค้า หรือวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น หรือลงชั่วคราวที่ทำให้กำไรของบริษัทกระโดดขึ้นเพียงปีหรือสองปี
หลังจากนั้นค่า PE อาจกลับมาสูงอย่างเดิม ดังนั้น ค่า PE ที่เห็นว่าต่ำ ก็ไม่มีความหมายเช่นเดียวกัน สรุปแล้ว แม้หุ้นจะมีทั้งค่า PE และ PB ที่ต่ำมาก ก็ไม่ได้เป็นหุ้นถูก ถ้าเราเข้าไปลงทุน และคิดว่าเรากำลังเจอหุ้นที่เป็นสุดยอด VI เราอาจขาดทุนได้มาก อย่างไม่น่าเชื่อได้--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 10
ผมว่าหุ้นที่ VI ไม่ถือต่างหากที่แพงเกินจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 11
แก้นิดนึงครับ สายเทคนิคเข้า>ราคาขึ้นอีก>ความคาดหวัง***ตอนนี้จะไม่คาดหวังแล้วครับ แต่จะเป็นการuntrataro25 เขียน:พื้นฐานดี >vi ซื้อ >ความคาดหวัง >คนอื่นๆรู้ซื้อตาม >ราคาขึ้น >กราฟสวย สายเทคนิคเข้า >ราคาขึ้นอีก >ความคาดหวัง >ราคาขึ้น=พื้นฐานดี >โบรคเข้าเชียร์ >พื้นฐานดี >ซื้ออีก >ราคาขึ้นอีก.............................ประมาณนี้หรือครับคุณ Plant
พิจารณาทางเทคนิค เช่น ดู Indicator ตัวต่างๆ ดูคลื่น(WAVE) ตีtrend line ฯลฯ*****
ราคาขึ้น=พื้นฐานดี***ตอนนี้จะไม่ใช่พื้นฐานดีแล้วครับ เพราะพื้นฐานดีเกิดตั้งแต่ตอนVI
เข้าแล้วครับ****>โบรคเข้าเชียร์***เพราะสัญญาณกราฟสวย+มีข่าวเข้ามามาก ทำให้โบรคเห็น
แล้วเข้ามาสนใจหุ้นตัวนั้นครับ***>พื้นฐานดี***ตอนนี้จะเป็นเชียร์เม่าให้ซื้อเพราะกราฟกำลังสวยครับ
ไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน***....^^)
ปล.ไว้ผมจะไปนั่งวิเคราะห์กับเพื่อนว่าถ้ามันขึ้นแบบนี้ แล้วมันจะลงมายังไงต่อนะครับ....^^)
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หุ้นตัวไหน VI ถือกันเยอะ ราคาจะแพงเกินจริง จริงไหมครับ
โพสต์ที่ 12
คิดไงเหรอครับ ไม่เคยคิดเลยครับ
ใครจะซื้อ ถือ ขาย เป็นเรื่องเฉพาะคน
และไม่จำเป็นว่าต้องเป็น vi หรือไม่
แทนที่จะไปสนใจว่าใครทำอะไร
เอาเวลาไปแกะวิแคะกิจการที่เราสนใจ
ยังได้ประโยชน์กว่า
ใครจะซื้อ ถือ ขาย เป็นเรื่องเฉพาะคน
และไม่จำเป็นว่าต้องเป็น vi หรือไม่
แทนที่จะไปสนใจว่าใครทำอะไร
เอาเวลาไปแกะวิแคะกิจการที่เราสนใจ
ยังได้ประโยชน์กว่า
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...