พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
- เดชณรงค์ เมธีวุฒิกร
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 1
ผมสังเกตเห็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มนี้บางตัวมีราคาต่ำกว่า Par Value และมีแนวโน้มค่อนข้างดี อาจจะได้ออกจากกลุ่มRehabในปีนี้ ผมว่าถ้าต่อไปบริษัทนี้ได้ออกไปซื้อขายที่กระดานหลัก ราคาน่าจะขึ้นมาอย่างน้อยๆก็ที่ราคาPar ซึ่งก็น่าจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาประมาณ40%
ตรงนี้ผมรู้ว่ามันผิดหลักการลงทุนแบบ VI แต่ผมก็อยากจะทดลองดูครับ (ผมว่าจะถือยาวสัก 6เดือน) พี่ๆว่ามันเสี่ยงมากมั๊ยครับ
รบกวนพี่ๆช่วยออกความเห็นด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ตรงนี้ผมรู้ว่ามันผิดหลักการลงทุนแบบ VI แต่ผมก็อยากจะทดลองดูครับ (ผมว่าจะถือยาวสัก 6เดือน) พี่ๆว่ามันเสี่ยงมากมั๊ยครับ
รบกวนพี่ๆช่วยออกความเห็นด้วยครับ
ขอบคุณครับ
What Life Would Be
If We Had No Courage
To Attempt Anything?
If We Had No Courage
To Attempt Anything?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 2
แล้วแต่คิดครับ ถ้าคิดว่าดีก็ต้องลองครับ ส่วนตัวพี่แล้ว ไม่ค่อยได้ยุ่ง กับ rehab เท่าไร
พี่ยังจำเรื่อง เรื่องเล่นกอร์ฟระหว่างวอเรนกับเพื่อนๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ถ้าวอเรนตีโฮลอินวันได้ เพื่อนๆจะชนะพนัน และวอเรนต้องจ่าย 1 เหรียญ
แต่ถ้าวอเรน ไม่สามารถทำโฮลอินวันได้ เพื่อนๆจะเสียพนัน และต้องจ่ายให้วอเรน 1 หมื่นเหรียญ
วอเรนไม่ยอมเล่นครับ เพราะวอเรนกลัวตีพลาด ไปโฮลอินวัน แล้วทำให้วอเรน ต้องจ่าย 1 เหรียญ
ฟังดูแปลกดีนะครับ
เรื่อง rehab จริงๆแล้ว ก็อาจจะได้กำไรระยะสั้นครับ ก็ลองพิจารณา เมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงให้ดี
ส่วนตัวพี่แล้ว
ยึดหลัก
1. รักษาเงินต้น
2. กลับไปดูข้อ 1.
หลายๆคนทำกำไรได้เป็น ร้อย สอง ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีใครทำกำไรได้มากเท่าวอเรน ทั้งๆที่วอเรนกำไรต่อปี เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง
ข้อแตกต่างระหว่างวอเรน กับคนทั่วไปคือ
คนทั่วไปมองหาการทำกำไร
แต่วอเรนมองหาธุรกิจที่ดี และหาวิธีเข้าเป็นเจ้าของในราคาที่เหมาะสม
เมื่อซื้อแล้วก็ถือยาว ให้ผลประกอบการณ์ เป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น
ใครก็ตามที่ขายหุ้นไปหมดแล้วในปีนี้ แล้วได้กำไร 200 -300 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถึงปีหน้า อาจจะหาธุรกิจดีๆ ในราคาที่เหมาะสมยากขึ้นทุกวัน
สุดท้ายแล้วก็สู้วอเรน ไม่ได้อยู่ดี
กำไรน้อย ไม่น้อย
พี่ยังจำเรื่อง เรื่องเล่นกอร์ฟระหว่างวอเรนกับเพื่อนๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ถ้าวอเรนตีโฮลอินวันได้ เพื่อนๆจะชนะพนัน และวอเรนต้องจ่าย 1 เหรียญ
แต่ถ้าวอเรน ไม่สามารถทำโฮลอินวันได้ เพื่อนๆจะเสียพนัน และต้องจ่ายให้วอเรน 1 หมื่นเหรียญ
วอเรนไม่ยอมเล่นครับ เพราะวอเรนกลัวตีพลาด ไปโฮลอินวัน แล้วทำให้วอเรน ต้องจ่าย 1 เหรียญ
ฟังดูแปลกดีนะครับ
เรื่อง rehab จริงๆแล้ว ก็อาจจะได้กำไรระยะสั้นครับ ก็ลองพิจารณา เมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงให้ดี
ส่วนตัวพี่แล้ว
ยึดหลัก
1. รักษาเงินต้น
2. กลับไปดูข้อ 1.
หลายๆคนทำกำไรได้เป็น ร้อย สอง ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีใครทำกำไรได้มากเท่าวอเรน ทั้งๆที่วอเรนกำไรต่อปี เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง
ข้อแตกต่างระหว่างวอเรน กับคนทั่วไปคือ
คนทั่วไปมองหาการทำกำไร
แต่วอเรนมองหาธุรกิจที่ดี และหาวิธีเข้าเป็นเจ้าของในราคาที่เหมาะสม
เมื่อซื้อแล้วก็ถือยาว ให้ผลประกอบการณ์ เป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น
ใครก็ตามที่ขายหุ้นไปหมดแล้วในปีนี้ แล้วได้กำไร 200 -300 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถึงปีหน้า อาจจะหาธุรกิจดีๆ ในราคาที่เหมาะสมยากขึ้นทุกวัน
สุดท้ายแล้วก็สู้วอเรน ไม่ได้อยู่ดี
กำไรน้อย ไม่น้อย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 3
ผมเห็นด้วยกับพี่เจ๋งครับ
ผมมักมองโลกในแง่ร้ายครับ จะเห็นว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอน ผมจะลงทุนในบริษัทที่มีราคาถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินในปัจจุบัน
เมื่อราคาขึ้นถึงราคาที่ผมประเมินไว้ ก็ขายออกและเริ่มหาบริษัทที่จะลงทุนใหม่ เป็นแบบนี้เรื่อยไป
ปัจจุบันหุ้นมีราคาสูงขึ้นมาก การหาบริษัทที่มีราคาถูกๆแบบเก่านั้นยากมากขึ้น จนผมเคยมีความคิดที่ว่าเราควรเลิกการลงทุนชั่วคราวจนกว่าจะหาบริษัทราคาถูกๆตามหลักการเดิมพบหรือไม่
แต่จากการอ่านกระทู้ของ คุณ Mon น้อง VIB007 และพี่เจ๋ง ทำให้ผมมีความรู้กว้างขึ้น ถึงแม้ผมเคยอ่านหนังสือของ Lynch Buffett แต่ก็เป็นการอ่านที่ไม่ได้ละเอียดมากนัก
ปัจจุบันผมจึงเริ่มที่จะศึกษา อ่านหนังสือของ Buffett และ Fisher เพื่อที่จะได้ลงทุนในอีกแนวหนึ่ง
ผมมักมองโลกในแง่ร้ายครับ จะเห็นว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอน ผมจะลงทุนในบริษัทที่มีราคาถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินในปัจจุบัน
เมื่อราคาขึ้นถึงราคาที่ผมประเมินไว้ ก็ขายออกและเริ่มหาบริษัทที่จะลงทุนใหม่ เป็นแบบนี้เรื่อยไป
ปัจจุบันหุ้นมีราคาสูงขึ้นมาก การหาบริษัทที่มีราคาถูกๆแบบเก่านั้นยากมากขึ้น จนผมเคยมีความคิดที่ว่าเราควรเลิกการลงทุนชั่วคราวจนกว่าจะหาบริษัทราคาถูกๆตามหลักการเดิมพบหรือไม่
แต่จากการอ่านกระทู้ของ คุณ Mon น้อง VIB007 และพี่เจ๋ง ทำให้ผมมีความรู้กว้างขึ้น ถึงแม้ผมเคยอ่านหนังสือของ Lynch Buffett แต่ก็เป็นการอ่านที่ไม่ได้ละเอียดมากนัก
ปัจจุบันผมจึงเริ่มที่จะศึกษา อ่านหนังสือของ Buffett และ Fisher เพื่อที่จะได้ลงทุนในอีกแนวหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 127
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 4
ผมมีความเห็นขัดแย้งบ้างหวังว่าคงไม่ว่ากัน จริงๆแล้ว ผมชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับหุ้นให้มากที่สุดถ้าเป็นไปได้ แต่ผมไม่ยึดติดกับว่าต้องเหมือนใคร ต้องเหมือน บัฟเฟต เหมือน ปีเตอร์ ลินซ์ เหมือนหมอยรรยง เหมือน ดร. นิเวศ ผมมองว่า เราเพียงแต่นำประสบการณ์ แนวคิด มาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องไปเลียนแบบหรือเหมือนใคร เหมือนกับไทเกอร์ ที่นำรูปแบบของ ยอดนักกอล์ฟในอดีตหลายๆคน มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตน บางอย่างสุดยอดนักกอล์ฟในอดีตบอกว่าต้องทำอย่างนี้ ทำอย่างอื่นแล้วไม่ดี แต่ไทเกอร์ก็นำมาพลิกรูปแบบวงสวิงโดยทำในสิ่งที่นักกอล์ฟสมัยก่อนห้ามไม่ให้ทำ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือไทเกอร์กำลังลบสถิตินักกอล์ฟเหล่านั้น ถ้าไทเกอร์ลอกเลียนแบบหลักการของสุดยอดนักกอล์ฟในอดีตโดยไม่คิดปรับปรุงหลักการอะไรเลย วันนี้ไทเกอร์คงเป็นได้เพียงนักกอล์ฟเล่นเก่งคนหนึ่งโดยเลียนแบบนักกอล์ฟที่เก่งกาจในอดีตเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถลบสถิติของนักกอล์ฟยอดฝีมือในอดีตได้ เพราะคนทุกคนต้องมีจุดบกพร่อง ไม่มีใครเป็น perfect man ดังนั้นถ้าเราลอกเลียนแบบวิธีการของคนในอดีตโดยไม่คิดจะปรับปรุงอะไรเลยเต็มที่ของเราก็คือได้แค่ใกล้เคียงกับคนที่เราเลียนแบบ ผมจึงเชื่อว่า การที่เราเอาหลักการของคนที่เล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จในอดีตหลายๆคน นำหลักการเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเรา น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ขอให้มีเหตุผลหลักการประกอบ อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะ เห็นหุ้นมันกำลังวิ่ง ก็เลยคิดว่าน่าจะวิ่งต่อก็เลยซื้อ เหมือนสมัยผมเรียน MBA เวลา present case หรืออะไรก็ตาม อาจารย์บางท่านชอบอ้างอิงตามหนังสือตลอด โดยมากหลักวิชาการตามทฤษฏีของฝรั่งก็โอเค ยอดเยี่ยม แต่มีบางครั้งซึ่งผมว่ามันใช้ไม่ได้กับทุกเคส ผมเสนอความเห็นค้าน แต่อาจารย์บอกว่า ฝรั่งเค้าคิดมาดีแล้ว คุณไม่เชื่อตำราได้ไง พอผมนำเสนอโดยเปรียบเทียบเป็นเรื่องราวกับธุรกิจจริงๆแล้วถามปัญหา ให้อาจารย์ลองใช้ทฤษฏีที่กล่าวอ้างมา อาจารย์ก็อึ้งไปเลยตอบไม่ได้ ผมมองว่าที่คุณ เดชณรงค์ คิดจะซื้อ ต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมถึงเชื่อว่ามันจะขึ้นได้อีก 40% มีเหตุผลอะไร ประกอบ แล้วโอกาสที่มันจะไม่เป็นไปตามคาดมีเยอะมั๊ย ถือแล้วเกิดมันตก มีผลทำให้อารมณ์หงุดหงิดหรือกินไม่ได้นอนไม่หลับมั๊ย ผมมองว่าถ้าตอบตัวเองได้ ก็น่าจะตัดสินใจได้ อย่างตอนนี้ผมมีหุ้นกลุ่ม rehab ตัวนึง ก่อนซื้อ ผมต้องทำการบ้านมาก่อน ผมนั่งวิเคราะห์ว่าทำไมเราถึงต้องซื้อตัวนี้ มันมีดีอะไรกว่าหุ้นตัวอื่นถึงต้องซื้อ ความเสี่ยงสูงมั๊ย ถ้าผิดพลาดไม่เป็นไปตามคาด มันมี story อื่นให้แก้ตัวมั๊ย แล้วโอกาสที่มันจะพลาดเกิดได้จากอะไรบ้าง หลังจากวิเคราะห์เสร็จ ก็ไปบรีฟกับเพื่อนคู่หู ซึ่งเค้าเก่งเรื่องการวิเคราะห์งบมาก บรีฟกันเสร็จ เค้าก็เช็คบทวิเคราะห์ทุกโบรก ที่ออกมาเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ เสร็จแล้วเค้าก็โทรมาออกความเห็นกับผมบอกว่าบทวิเคราะห์ของโบรก A ถูกอยู่เจ้าเดียว อีกสองโบรกผิด เสร็จแล้วเค้าก็โทรไปหานักวิเคราะห์ของทั้งสองโบรกที่คิดว่าบทวิเคราะห์ผิด คุยจนนักวิเคราะห์สองโบรกนั้นยอมรับว่าตัวเองวิเคราะห์คลาดเคลื่อน จากนั้นก็โทรไปเช็คกับบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ในหุ้นตัวนั้น เนื่องจากที่เราวิเคราะห์กันไว้ มองว่าโอกาสที่เราคาดการผิดมีกรณีนึงคือถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ทำการในลักษณะหนึ่งแล้ว จะทำให้มันไม่เป็นไปตามที่คาด แต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไรนัก แต่เพื่อนผมก็บอกต้องโทรไปคุยกับบริษัทนั้นเลยให้รู้แนวโน้มว่าเค้าจะทำการในลักษณะที่ทำให้เราคาดการณ์ผิดมั๊ย พอได้ข้อมูลแล้ว ก็มาบรีฟกันอีกครั้ง ก็สรุปเลยว่าซื้อ โดยเราจะมี price story และ timing ของหุ้นตัวนี้เสร็จสรรพ เราจะคาดการณ์เป็นฉากๆของหุ้นตัวนี้เลย โดยคาดการณ์เป็นช่วงเวลาเลย ว่าหุ้นตัวนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงราคายังไง ราคาควรจะวิ่งขึ้นไปถึงประมาณไหนในช่วงเวลานึง จากนั้นมันจะทรงๆ ไปถึงตอนไหน แล้วมันควรจะวิ่งขึ้นตอนไหนเพราะอะไร สุดท้ายจุดที่ถึง finally ของหุ้นตัวนี้ที่เราคาดการณ์ได้ถึงคือตอนไหน เช่นหุ้นตัวนี้ เราจะประมาณการ การเคลื่อนไหวมันถึงแค่ สิ้น Q1 ปีหน้า จากนั้นถ้าจะถือต่อก็มาวิเคราะห์กันอีกที ดังนั้นผมจึงมองว่าทำอะไรที่เราคิดว่าทำแล้วสบายใจ มีเหตุผลตอบตัวเองได้ ทำแล้วเราแฮปปี้ ไม่มีใครเดือดร้อน คิดว่าเหมาะกับเราก็ทำครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 5
คุณ milkshaq ตอบได้ถูกใจผมมากครับ
ผมมีหุ้น rehabco อยู่ตัวนึง ถือมาสองเดือนกว่าๆ แล้ว กำไร 100% ครับ
อันที่จริงไม่มีใครบังคับให้เราถือหุ้นที่มีความเสี่ยงตัวเดียวทั้ง port หรือบังคับให้เล่นตัวที่ปลอดภัยตัวเดียวทั้ง port
เราสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนตาม % เพื่อให้ระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้สนุกกับการลงทุน
อย่าถึงกับโยนความสนุกของชีวิตบางส่วนทิ้งไปเพราะเสียดายตัง 1 เหรียญที่ไม่ได้มากมายเลยเมื่อเทียบกับที่มีเลยครับ ไม่งั้นชีวิตคงน่าเบื่อน่าดู
ผมมีหุ้น rehabco อยู่ตัวนึง ถือมาสองเดือนกว่าๆ แล้ว กำไร 100% ครับ
อันที่จริงไม่มีใครบังคับให้เราถือหุ้นที่มีความเสี่ยงตัวเดียวทั้ง port หรือบังคับให้เล่นตัวที่ปลอดภัยตัวเดียวทั้ง port
เราสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนตาม % เพื่อให้ระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้สนุกกับการลงทุน
อย่าถึงกับโยนความสนุกของชีวิตบางส่วนทิ้งไปเพราะเสียดายตัง 1 เหรียญที่ไม่ได้มากมายเลยเมื่อเทียบกับที่มีเลยครับ ไม่งั้นชีวิตคงน่าเบื่อน่าดู
-
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 7
เป็น RCI นะครับคุณ milkshaq
คุณ milkshaq รบกวน email หาผมหน่อยได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยครับ
[email protected]
คุณ milkshaq รบกวน email หาผมหน่อยได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยครับ
[email protected]
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 9
ผมขอชื่นชมคุณ milkshaq มากครับ คุณวิเคราะห์เจาะลึกมากครับ ส่วนผมมักจะวิเคราะห์เองคนเดียว
ผมก็มีความเห็นว่า การลงทุนในแนวไหนนั้นก็แล้วแต่ความสามารถและโอกาสของแต่ละบุคคลครับ
ถ้าเราทราบดีว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผมว่าก็โอเคครับ
สำหรับผมอาจจะถนัดทางงบมากกว่าด้านอื่น ก็เลยใช้การวิเคราะห์งบมากหน่อย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์งบเก่งมากนักนะครับ เพียงแต่ว่าดีกว่าความถนัดด้านอื่นของตัวเอง และพอที่จะใช้งานได้ครับ
ผมเองก็ไม่ได้สนใจว่าจะยึดหลักของใครเป็นต้นแบบ
แต่ผมก็เริ่มที่จะสนใจแนวทางอื่นเพิ่มเติมด้วย
ผมก็มีความเห็นว่า การลงทุนในแนวไหนนั้นก็แล้วแต่ความสามารถและโอกาสของแต่ละบุคคลครับ
ถ้าเราทราบดีว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผมว่าก็โอเคครับ
สำหรับผมอาจจะถนัดทางงบมากกว่าด้านอื่น ก็เลยใช้การวิเคราะห์งบมากหน่อย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าวิเคราะห์งบเก่งมากนักนะครับ เพียงแต่ว่าดีกว่าความถนัดด้านอื่นของตัวเอง และพอที่จะใช้งานได้ครับ
ผมเองก็ไม่ได้สนใจว่าจะยึดหลักของใครเป็นต้นแบบ
แต่ผมก็เริ่มที่จะสนใจแนวทางอื่นเพิ่มเติมด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 127
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 10
พอดีผมมีความถนัดในเรื่องการมองแนวโน้มธุรกิจ และจิตวิทยา
มวลชน แล้วพอดีคู่หูผมเค้าถนัดในเรื่องวิเคราะห์งบมาก ส่วนผมก็
วิเคราะห์พอได้ แต่ไม่ถึงกับเก่งมาก อย่างที่บอกครับ คู่หูผมเค้า
โทรไปเถียงกับนักวิเคราะห์หลายครั้ง แล้วส่วนมากนักวิเคราะห์จะยอม
รับซะด้วย ก็เลยให้เค้าทำหน้าที่วิเคราะห์ให้ ส่วนผมมีหน้าที่นำ
เสนอหุ้นและให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ พอมีเพื่อนมาถกกัน
อย่างงี้ก็ทำให้เวลาเราซื้อหุ้น ก็อุ่นใจขึ้นมากครับ
มวลชน แล้วพอดีคู่หูผมเค้าถนัดในเรื่องวิเคราะห์งบมาก ส่วนผมก็
วิเคราะห์พอได้ แต่ไม่ถึงกับเก่งมาก อย่างที่บอกครับ คู่หูผมเค้า
โทรไปเถียงกับนักวิเคราะห์หลายครั้ง แล้วส่วนมากนักวิเคราะห์จะยอม
รับซะด้วย ก็เลยให้เค้าทำหน้าที่วิเคราะห์ให้ ส่วนผมมีหน้าที่นำ
เสนอหุ้นและให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ พอมีเพื่อนมาถกกัน
อย่างงี้ก็ทำให้เวลาเราซื้อหุ้น ก็อุ่นใจขึ้นมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 12
คุณ ปีเตอร์ครับ RCI ยังเข้าทันไหมครับตอนนี้ เล็งมาตั้งแต่ 17 บาท 31 บาท ตอนนี้ก็ 37 บาทแล้ว สงสัยจะเป็นสไตล์เสียดายเงินหนึ่งเหรียญจริงๆ เพราะเข้าไปบิดราคาตำไปสลึงนึงทุกที เลยไมเคยได้ของเลย หรือดวงจะไม่ได้ไม่เสียกับหุ้นตัวนี้
ขอแซวพี่เจ๋งหน่อยนะครับว่าทำไมถึงลงทุนในหุ้นล่ะครับ ถ้าต้องการรักษาเงินต้นน่ะธนาคารออมสินเขาทำได้นะครับ และถ้าจะเอาแบบมีลุ้นรางวัล ก็สลากออมสินไงครับ หวังว่าคงไม่โกรธ เพราะผมรู้ว่าที่พี่เจ๋งเขียนเพราะหวังดีลดดีกรีความโลภของคน
ขอแซวพี่เจ๋งหน่อยนะครับว่าทำไมถึงลงทุนในหุ้นล่ะครับ ถ้าต้องการรักษาเงินต้นน่ะธนาคารออมสินเขาทำได้นะครับ และถ้าจะเอาแบบมีลุ้นรางวัล ก็สลากออมสินไงครับ หวังว่าคงไม่โกรธ เพราะผมรู้ว่าที่พี่เจ๋งเขียนเพราะหวังดีลดดีกรีความโลภของคน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 13
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ขอแซวพี่เจ๋งหน่อยนะครับว่าทำไมถึงลงทุนในหุ้นล่ะครับ ถ้าต้องการรักษาเงินต้นน่ะธนาคารออมสินเขาทำได้นะครับ และถ้าจะเอาแบบมีลุ้นรางวัล ก็สลากออมสินไงครับ หวังว่าคงไม่โกรธ เพราะผมรู้ว่าที่พี่เจ๋งเขียนเพราะหวังดีลดดีกรีความโลภของคน
ขอบตอบว่า
1. ถ้าเราเน้นการทำกำไร เราจะมีโอกาสเสี่ยงในการขาดทุน ถึงจุดๆหนึ่ง เราจะเริ่มยอมรับว่า การลงทุนเป็นความเสี่ยง และ hight risk hight return
2. ถ้าเราเน้นการไม่ขาดทุน เราก็จะไม่ต้องไปนั่งกลุ้มอก กลุ้มใจเมื่อเห็นหุ้นตัวอื่นๆ วิ่งขึ้นไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของ
การเน้นไม่ขาดทุน เป็นแนวความคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่เคยได้ยินมาเลย ในตลอดอายุ 40 ปี ของพี่
การเน้นไม่ขาดทุน วอเรนเขาเน้น
1. ต้องรู้จริงในหุ้นที่เราจะลงทุน ยิ่งกระจายความเสี่ยงยิ่งเสี่ยงในความเห็นของวอเรน เพราะยิ่งกระจายในหุ้นหลายตัว ยิ่งไม่รู้ และเจ้าตัวความไม่รู้นี่แหละคือความเสี่ยง
2. หุ้นพื้นฐานดี่เท่านั้นถึงจะใช้วิธีการเน้นไม่ขาดทุนได้ และในที่สุดผลประกอบการของกิจการนั้นๆ จะเป็นตัวผลักดันในมูลค่าของกิจการนั้นๆขึ้นมาเอง
หมายเหตุ
1. ไม่ฝากแบงค์เพราะ ขาดทุนชัดๆ อัตราดอกเบี้ย .75 เงินเฟ้อ 1.9
2. ไม่ซื้อสลากออมสิน เพราะคาดการณ์ ผลลัพท์จากการลงทุนไม่ได้
ถ้าฝากแล้วตอนนี้ได้ 15 เปอร์เซ็นต์ พี่จะขายหุ้นให้หมดเลย แล้วเอาไปฝากไว้ก่อน เพื่อรอให้ตลาดปรับฐานแล้วค่อยว่ากัน
ปล.
คนไม่เคยขาดทุนจะไม่รู้ว่า เจ็บปวดขนาดไหน
และโอกาสดีๆในชีวิต ก็ไม่ได้เข้ามาบ่อยๆ
การเน้นรักษาเงินต้น หรือการเน้นไม่ขาดทุน เปรียบเสมือนเราพร้อมเสมอ ที่จะได้ใช้โอกาสดีๆที่เข้ามา ให้เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บ่อยครั้งที่โอกาสมาแล้วแต่เราไม่มีเงิน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 15
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์น่าจะคิดนะครับ ว่าจะทำอย่างไรให้นักลงทุนที่กำลังลงทุนในขณะนี้มีการวิเคราะห์ก่อนการลงทุนแบบคุณ milkshaq นะครับ
ดีกว่าที่จะชักชวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยมีความรู้เข้ามาลงทุนให้มากเข้าไว้
ผมว่าถ้านักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนบ้างประมาณซักครึ่งหนึ่ง มีการวิเคราะห์ก่อนการลงทุนแบบคุณ milkshaq เศรษฐกิจประเทศเราคงจะดีกว่านี้มากเลยครับ
เราคงไม่ต้องทนเห็นดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน ในเมื่อคนจำนวนมากมีความสามารถที่จะนำเงินไปลงทุนได้ สภาพคล่องส่วนเกินก็คงจะไม่มี ส่วนผู้ที่ไม่มีความสามารถในการลงทุนก็จะได้รับดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย
ปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นก็คงจะไม่เกิด หรือถ้าเกิดก็เป็นเพียงฟองเล็กๆ เพราะถ้าราคาหุ้นขึ้นสูงเกิน นักลงทุนก็จะทยอยขาย
นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ผู้คนภายนอกก็จะมีความเข้าใจการลงทุนมากขึ้น เยาวชนก็จะสนใจในเรื่องการลงทุนมากขึ้น การใช้เงินก็จะมีเหตุผลมากขึ้น
คุณลองคิดดูซิประเทศเราจะดีขนาดไหน ผมฝันไปจริงๆละ
ดีกว่าที่จะชักชวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยมีความรู้เข้ามาลงทุนให้มากเข้าไว้
ผมว่าถ้านักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนบ้างประมาณซักครึ่งหนึ่ง มีการวิเคราะห์ก่อนการลงทุนแบบคุณ milkshaq เศรษฐกิจประเทศเราคงจะดีกว่านี้มากเลยครับ
เราคงไม่ต้องทนเห็นดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน ในเมื่อคนจำนวนมากมีความสามารถที่จะนำเงินไปลงทุนได้ สภาพคล่องส่วนเกินก็คงจะไม่มี ส่วนผู้ที่ไม่มีความสามารถในการลงทุนก็จะได้รับดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย
ปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นก็คงจะไม่เกิด หรือถ้าเกิดก็เป็นเพียงฟองเล็กๆ เพราะถ้าราคาหุ้นขึ้นสูงเกิน นักลงทุนก็จะทยอยขาย
นักลงทุนส่วนใหญ่ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ผู้คนภายนอกก็จะมีความเข้าใจการลงทุนมากขึ้น เยาวชนก็จะสนใจในเรื่องการลงทุนมากขึ้น การใช้เงินก็จะมีเหตุผลมากขึ้น
คุณลองคิดดูซิประเทศเราจะดีขนาดไหน ผมฝันไปจริงๆละ
-
- Verified User
- โพสต์: 127
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 16
คุณ chatchai ชมผมซะตัวลอยเลยครับ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ขอบคุณมากครับ
ที่ท่านเจ๋งพูดถึงการยึดหลักไม่ขาดทุนของวอเรนต์ ตรงใจผมเต็มๆเลยครับ เวลาผมลงทุนผมจะยึดหลักกำไรน้อยไม่เป็นไรแต่ต้องไม่ขาดทุน ดังนั้นหุ้นที่ผม cut loss จึงมีน้อยมาก ยกเว้นมีเหตุภายนอกมากระทบเช่นสงคราม ผมมีความรู้สึกว่าถ้าเรากำไร 30% แล้วเรามาขาดทุน 30% เงินเราก็เหลือไม่ถึง 100% เช่นเดียวกัน ถ้าเราขาดทุน 30% แล้วมากำไรจากเงินที่เหลือ 30% เราก็เหลือเงินไม่ถึง 100% อยู่ดี ดังนั้นการลงทุนจึงต้องหาทางลดความเสี่ยงให้มากที่สุด กรณีของผม
1. ผมจะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ อย่างที่บอกว่าถ้าราคาหล่นลงมา ผมยังต้องยิ้มได้ แล้วถ้าถึงจุดที่คิดไว้ก็รีบรับเพิ่ม ไม่ใช่หุ้นร่วงแล้วหน้าเหี่ยว
2. หุ้นทั้งตลาดมี 400 กว่าตัว จะหาหุ้นที่ดีอยู่ในกลุ่มสุดยอดมาสัก 3-5 ตัวไม่ได้เชียวเหรอ
ผมจะเล่นหุ้นไม่เกินครั้งละ 3-5 ตัว ถ้าเผอิญไปพบหุ้นตัวที่ดี
มากๆ ประเภทไม่ซื้อไม่ได้ ผมก็ต้องมาเทียบกับหุ้นที่มีอยู่เดิมว่ามันดี
กว่าเดิมมั๊ย ถ้าห่วยกว่า ผมก็ไม่ซื้อ ถ้าดีกว่าก็ขายตัวที่คิดว่า
ด้อยที่สุดหรือ timing ตรงนั้นเหมาะที่สุดที่จะขายหุ้นตัวนั้น แล้วจึงมา
รับตัวใหม่ สาเหตุที่ต้องเล่นหุ้นไม่เยอะเพราะ ถ้าเล่นเยอะ
ตัว มันดูไม่ทันจริงๆ เนื่องจากปีนี้ผมมีเวลามานั่งห้องค้าทุกวัน ก็
เลยได้นั่งเฝ้าหน้าจอ อีกทั้งถือหุ้นไม่กี่ตัว ทำให้พอที่จะมองลักษณะ
การเล่นของหุ้นที่เรา FOCUS ออก (ผมคิดเอาเองนะครับว่า
มองออก) ก่อนที่จะมานั่งเฝ้า ผมก็ไม่อยากเชื่อว่ามีการมองออก
ด้วยเหรอว่าจะซื้อเมื่อไหร่ขายเมื่อไหร่ แต่พอมานั่งดูมันบ่อยๆ
จับลักษณะการเล่นของหุ้นตัวนั้นๆ ผมพบว่าการเล่นโดยดูจังหวะและ
ศึกษามาก่อนให้ดี มีการดูลักษณะการเล่นในแต่ละวัน ดู
ประวัติการเล่นย้อนหลัง ผมจับจังหวะได้หลายตัว อย่าง LPN-
W1 ผมเข้ามาเล่นครั้งแรกตอนมัน ราคากำลังขึ้นมาที่ 16 บาท
ปลายๆ ล่าสุดผมขายไปเมื่อวันศุกร์ ที่ 34.5 ถ้าคิดว่าถือยาวมา
เลยก็จะได้กำไรตีว่าหักค่าคอมด้วยก็ประมาณ 100% ของเงินลงทุนใน
หุ้นตัวนี้ แต่เท่าที่เล่นมาจากเงินที่ลงกับหุ้นตัวนี้ แล้วสังเกตจังหวะ
การเล่นเข้าออกเป็นรอบ ซึ่งผมเข้าออกได้ถูกรอบเกือบตลอด ถ้าผิด
พลาดก็สามารถเฉลี่ยแล้วทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจากการเล่นเป็นรอบ
ผมทำได้ประมาณ 170% ขณะที่ VNG ผมเล่นกับมันตั้งแต่ มัน
หล่นจาก 14 บาทลงมา ก็ได้กำไรกับมันตลอด พอมาเป็นขาขึ้นก็
กำไรกับมันตลอดอีกเช่นกัน ตัวนี้เวลามาร์จะไปแนะนำลูกค้ายังต้อง
มาถามผมเลยว่าเล่นได้ยัง จะซื้อราคาไหน ขายเมื่อไหร่ ซึ่ง
ส่วนมากก็คาดการณ์ถูกต้องเกือบตลอด หุ้นบางตัวเล่นแล้วขาดทุนซึ่ง
ก็มีตัวเดียว คือ sattel ผมก็เลิกเล่นมันอีกเลย เพราะผมไม่สามารถ
พยากรณ์ธุรกิจตัวนี้ได้ ตอนที่มันขึ้นในช่วงพฤษภา ผมยังมองไม่
ออกเลยว่ามันขึ้นด้วยสาเหตุใด แล้วเมื่อไหร่มันจะขึ้นอีก
แล้วอยู่ๆวันดีคืนดีบริษัทประกาศมาว่าดาวเทียมเสีย ผมยังมองไม่ออก
เลยว่าเค้าจะขึ้นไปซ่อมยังไง ดังนั้นผมก็จะวนเล่นหุ้นที่ถนัดและเล่น
แล้วได้กำไรตลอด มาเล่นเป็นรอบๆ ถ้าช่วงไหนผมไม่มี
เวลา ก็จะถือยาวจนกว่าจะมีเวลามาดู
3. ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมถึงซื้อหุ้นตัวนี้ มันมีดีกว่าหุ้นตัวอื่นในท้องตลาดยังไง ถ้าในหุ้นที่ผมมั่นใจมากๆ ข้อดีจะต้องมีมาก ขณะที่เหตุผลที่เป็นข้อเสีย หรือข้อแย้งในการลงทุนหุ้นตัวนี้ แทบจะไม่มีเลย บางครั้งผมจะเดินไปถามมาร์เก็ตติ้งหรือถามนักลงทุนในห้องค้าว่าคุณว่าหุ้นตัวนี้มีข้อเสียอะไรบ้าง พบว่าตัวที่มั่นใจ แทบจะหาข้อเสียอะไรไม่ได้เลย
4. หุ้นที่เล่นต้องมี story ประกอบ อย่างตอนที่ผมซื้อ tnity ผมมองว่าการเทรดของโบรกมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมากๆเกือบ 4 เท่าของปีที่แล้ว ขณะที่ราคายังขึ้นมาไม่เท่าไหร่ แล้วถ้าซื้อแล้วในระยะสั้นมันไม่เป็นไปตามคาด โอกาสที่หุ้นจะกลับมาเล่นมีอีกมั๊ย ผมก็เช็คดูพบว่ามันมีข่าวรออีกสองข่าวที่อาจจะกลับมาเล่นอีกคือ tnity จะนำ TK เข้าตลาด ถ้างานนี้ราคาไม่ผ่านอีก ก็ยังมีอีกงานคือจะนำ TOC เข้าตลาด ซึ่ง TOC มีปริมาณเงินลงทุนเยอะมาก น่าจะสร้างผลกำไรให้ tnity ได้เยอะพอควร
5. หุ้นที่เล่นต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องพอสมควร ถามว่าถ้าไม่มีไม่ได้เหรอ ผมก็ตอบว่าได้ แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน แล้วมีสภาพคล่องไม่ดีกว่าเหรอ ผมคิดว่าดีกว่าแน่ เพราะอยากซื้อก็ซื้อได้ อยากขายก็มีคนซื้อ ผมว่าดีกว่าเวลาซื้อแทบจะต้องไปขอร้องวิงวอนแถมยังต้องกระโดดขึ้นไปซื้อที่ราคาสูง แต่เวลาขาย ต้องทั้งลดทั้งแถม ทิ้งลงกับพื้น ยังกะของไร้ค่า กว่าจะหาคนมาซื้อได้ ดังนั้นผมจึงมองว่าถ้า factor ทุกอย่างเหมือนกัน ผมเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องดีกว่า ซึ่งผมคิดว่าหุ้นทั้งตลาด 400 กว่าตัว ผมหาหุ้นที่ดีมากๆและมีสภาพคล่องน่าจะได้
ยังมีหลักอีกสองสามข้อครับ แต่ผมคีย์ยาวแล้วครับ เดี๋ยวจะเปลืองพื้นที่เปล่าๆครับ ขอนำเสนอแค่นี้แล้วก้นครับ
ที่ท่านเจ๋งพูดถึงการยึดหลักไม่ขาดทุนของวอเรนต์ ตรงใจผมเต็มๆเลยครับ เวลาผมลงทุนผมจะยึดหลักกำไรน้อยไม่เป็นไรแต่ต้องไม่ขาดทุน ดังนั้นหุ้นที่ผม cut loss จึงมีน้อยมาก ยกเว้นมีเหตุภายนอกมากระทบเช่นสงคราม ผมมีความรู้สึกว่าถ้าเรากำไร 30% แล้วเรามาขาดทุน 30% เงินเราก็เหลือไม่ถึง 100% เช่นเดียวกัน ถ้าเราขาดทุน 30% แล้วมากำไรจากเงินที่เหลือ 30% เราก็เหลือเงินไม่ถึง 100% อยู่ดี ดังนั้นการลงทุนจึงต้องหาทางลดความเสี่ยงให้มากที่สุด กรณีของผม
1. ผมจะเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ อย่างที่บอกว่าถ้าราคาหล่นลงมา ผมยังต้องยิ้มได้ แล้วถ้าถึงจุดที่คิดไว้ก็รีบรับเพิ่ม ไม่ใช่หุ้นร่วงแล้วหน้าเหี่ยว
2. หุ้นทั้งตลาดมี 400 กว่าตัว จะหาหุ้นที่ดีอยู่ในกลุ่มสุดยอดมาสัก 3-5 ตัวไม่ได้เชียวเหรอ
ผมจะเล่นหุ้นไม่เกินครั้งละ 3-5 ตัว ถ้าเผอิญไปพบหุ้นตัวที่ดี
มากๆ ประเภทไม่ซื้อไม่ได้ ผมก็ต้องมาเทียบกับหุ้นที่มีอยู่เดิมว่ามันดี
กว่าเดิมมั๊ย ถ้าห่วยกว่า ผมก็ไม่ซื้อ ถ้าดีกว่าก็ขายตัวที่คิดว่า
ด้อยที่สุดหรือ timing ตรงนั้นเหมาะที่สุดที่จะขายหุ้นตัวนั้น แล้วจึงมา
รับตัวใหม่ สาเหตุที่ต้องเล่นหุ้นไม่เยอะเพราะ ถ้าเล่นเยอะ
ตัว มันดูไม่ทันจริงๆ เนื่องจากปีนี้ผมมีเวลามานั่งห้องค้าทุกวัน ก็
เลยได้นั่งเฝ้าหน้าจอ อีกทั้งถือหุ้นไม่กี่ตัว ทำให้พอที่จะมองลักษณะ
การเล่นของหุ้นที่เรา FOCUS ออก (ผมคิดเอาเองนะครับว่า
มองออก) ก่อนที่จะมานั่งเฝ้า ผมก็ไม่อยากเชื่อว่ามีการมองออก
ด้วยเหรอว่าจะซื้อเมื่อไหร่ขายเมื่อไหร่ แต่พอมานั่งดูมันบ่อยๆ
จับลักษณะการเล่นของหุ้นตัวนั้นๆ ผมพบว่าการเล่นโดยดูจังหวะและ
ศึกษามาก่อนให้ดี มีการดูลักษณะการเล่นในแต่ละวัน ดู
ประวัติการเล่นย้อนหลัง ผมจับจังหวะได้หลายตัว อย่าง LPN-
W1 ผมเข้ามาเล่นครั้งแรกตอนมัน ราคากำลังขึ้นมาที่ 16 บาท
ปลายๆ ล่าสุดผมขายไปเมื่อวันศุกร์ ที่ 34.5 ถ้าคิดว่าถือยาวมา
เลยก็จะได้กำไรตีว่าหักค่าคอมด้วยก็ประมาณ 100% ของเงินลงทุนใน
หุ้นตัวนี้ แต่เท่าที่เล่นมาจากเงินที่ลงกับหุ้นตัวนี้ แล้วสังเกตจังหวะ
การเล่นเข้าออกเป็นรอบ ซึ่งผมเข้าออกได้ถูกรอบเกือบตลอด ถ้าผิด
พลาดก็สามารถเฉลี่ยแล้วทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจากการเล่นเป็นรอบ
ผมทำได้ประมาณ 170% ขณะที่ VNG ผมเล่นกับมันตั้งแต่ มัน
หล่นจาก 14 บาทลงมา ก็ได้กำไรกับมันตลอด พอมาเป็นขาขึ้นก็
กำไรกับมันตลอดอีกเช่นกัน ตัวนี้เวลามาร์จะไปแนะนำลูกค้ายังต้อง
มาถามผมเลยว่าเล่นได้ยัง จะซื้อราคาไหน ขายเมื่อไหร่ ซึ่ง
ส่วนมากก็คาดการณ์ถูกต้องเกือบตลอด หุ้นบางตัวเล่นแล้วขาดทุนซึ่ง
ก็มีตัวเดียว คือ sattel ผมก็เลิกเล่นมันอีกเลย เพราะผมไม่สามารถ
พยากรณ์ธุรกิจตัวนี้ได้ ตอนที่มันขึ้นในช่วงพฤษภา ผมยังมองไม่
ออกเลยว่ามันขึ้นด้วยสาเหตุใด แล้วเมื่อไหร่มันจะขึ้นอีก
แล้วอยู่ๆวันดีคืนดีบริษัทประกาศมาว่าดาวเทียมเสีย ผมยังมองไม่ออก
เลยว่าเค้าจะขึ้นไปซ่อมยังไง ดังนั้นผมก็จะวนเล่นหุ้นที่ถนัดและเล่น
แล้วได้กำไรตลอด มาเล่นเป็นรอบๆ ถ้าช่วงไหนผมไม่มี
เวลา ก็จะถือยาวจนกว่าจะมีเวลามาดู
3. ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมถึงซื้อหุ้นตัวนี้ มันมีดีกว่าหุ้นตัวอื่นในท้องตลาดยังไง ถ้าในหุ้นที่ผมมั่นใจมากๆ ข้อดีจะต้องมีมาก ขณะที่เหตุผลที่เป็นข้อเสีย หรือข้อแย้งในการลงทุนหุ้นตัวนี้ แทบจะไม่มีเลย บางครั้งผมจะเดินไปถามมาร์เก็ตติ้งหรือถามนักลงทุนในห้องค้าว่าคุณว่าหุ้นตัวนี้มีข้อเสียอะไรบ้าง พบว่าตัวที่มั่นใจ แทบจะหาข้อเสียอะไรไม่ได้เลย
4. หุ้นที่เล่นต้องมี story ประกอบ อย่างตอนที่ผมซื้อ tnity ผมมองว่าการเทรดของโบรกมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมากๆเกือบ 4 เท่าของปีที่แล้ว ขณะที่ราคายังขึ้นมาไม่เท่าไหร่ แล้วถ้าซื้อแล้วในระยะสั้นมันไม่เป็นไปตามคาด โอกาสที่หุ้นจะกลับมาเล่นมีอีกมั๊ย ผมก็เช็คดูพบว่ามันมีข่าวรออีกสองข่าวที่อาจจะกลับมาเล่นอีกคือ tnity จะนำ TK เข้าตลาด ถ้างานนี้ราคาไม่ผ่านอีก ก็ยังมีอีกงานคือจะนำ TOC เข้าตลาด ซึ่ง TOC มีปริมาณเงินลงทุนเยอะมาก น่าจะสร้างผลกำไรให้ tnity ได้เยอะพอควร
5. หุ้นที่เล่นต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องพอสมควร ถามว่าถ้าไม่มีไม่ได้เหรอ ผมก็ตอบว่าได้ แต่ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน แล้วมีสภาพคล่องไม่ดีกว่าเหรอ ผมคิดว่าดีกว่าแน่ เพราะอยากซื้อก็ซื้อได้ อยากขายก็มีคนซื้อ ผมว่าดีกว่าเวลาซื้อแทบจะต้องไปขอร้องวิงวอนแถมยังต้องกระโดดขึ้นไปซื้อที่ราคาสูง แต่เวลาขาย ต้องทั้งลดทั้งแถม ทิ้งลงกับพื้น ยังกะของไร้ค่า กว่าจะหาคนมาซื้อได้ ดังนั้นผมจึงมองว่าถ้า factor ทุกอย่างเหมือนกัน ผมเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องดีกว่า ซึ่งผมคิดว่าหุ้นทั้งตลาด 400 กว่าตัว ผมหาหุ้นที่ดีมากๆและมีสภาพคล่องน่าจะได้
ยังมีหลักอีกสองสามข้อครับ แต่ผมคีย์ยาวแล้วครับ เดี๋ยวจะเปลืองพื้นที่เปล่าๆครับ ขอนำเสนอแค่นี้แล้วก้นครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
พี่ๆครับ ขอถามเรื่องหุ้นRehabcoครับ
โพสต์ที่ 17
จริงๆหุ้นตัวนี้ ผมว่าเป็นตัวที่ดีที่สุดของ rehabco นะครับ (ในทัศนะของผม ไม่รวมหุ้นแทงไฮโลแบบทุ่งคาร์นาครับ) จะโตตามอสังหาริมทรัพย์ แล้วยอดขายเขาโตโดยไม่เพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งผมชอบนะครับ ใช้การสั่งเข้ามาขายแทนดีกว่า เพราะขยายกำลังการผลิตให้เยอะๆ ก็ต้องก่อหนี้ เดี๋ยวฟองสบู่อสังหาแตกอีก จะกลับไปที่ราคาไม่กี่สตางค์แบบที่คุณ ฉัตรชัย เคยซื้อไว้ ผมยังคิดเลย ถ้าไปซื้อตอนนั้นไว้ ตอนนี้กำไร 37 เท่าเนี่ย ซื้อแค่ 3 ล้าน ก็กลายเป็นร้อยล้านได้เลยstockms เขียน:คุณ ปีเตอร์ครับ RCI ยังเข้าทันไหมครับตอนนี้ เล็งมาตั้งแต่ 17 บาท 31 บาท ตอนนี้ก็ 37 บาทแล้ว สงสัยจะเป็นสไตล์เสียดายเงินหนึ่งเหรียญจริงๆ เพราะเข้าไปบิดราคาตำไปสลึงนึงทุกที เลยไมเคยได้ของเลย หรือดวงจะไม่ได้ไม่เสียกับหุ้นตัวนี้
ผมตอบไม่ถูกเหมือนกันนะครับ ว่ายังเข้าได้หรือเปล่า แต่ ASSET เขาให้เป้าหมายไว้ที่ 45 ปีนี้ และ 67 ปีหน้า ซึ่ง broker เราก็รู้ๆอยู่ว่าบางแห่งก็ให้เป้า over ไว้ก่อนครับ
ผมซื้อไว้ตอน 18 บาท คงถือไปเรื่อยๆแหละครับ ตั้งท่าขายหลายทีแล้วเหมือนกัน แต่นึกไปนึกมา ขายแล้วไม่รู้จะไปซื้อตัวไหนครับ