คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 1
สมมุติว่า คุณคัดเลือกหุ้นมาแล้ว ได้มา 1 ตัวพื้นฐานดี ราคาถูก ง่ายๆ คือดีทุกอย่าง
คุณจึงซื้อหุ้นตัวนั้นในช่วงเวลาที่มันเหมาะสม สมมุติ หุ้นละ 50 บาท
และคุณคำนวณไว้ว่าอีก 2 ปี หุ้นจะโตจนราคาถึง 100 บาท และคิดว่าจะเป็นจุดอิ่มตัวของหุ้นตัวนั้น
คำถามที่ 1 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 120 บาท คุณจะขายหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ขาย/ไม่ขาย เพราะอะไร ?
คำถามที่ 2 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 98 บาท และปรากฏว่า หุ้นมันราคาตกลงเรื่อยๆ (สุดท้ายจะไปอยู่ที่ 50 บาทเหมือนเดิมแต่คุณไม่รู้) อาจเพราะปัญหาทางการเมืองหรืออื่นๆ ทั้งที่บริษัทก็ยังดีอยู่ คุณจะขายหุ้นไหม และขายตอนไหน เพราะอะไร ?
เป็นข้อสงสัยอย่างมากสำหรับตัวผมเองครับ
คุณจึงซื้อหุ้นตัวนั้นในช่วงเวลาที่มันเหมาะสม สมมุติ หุ้นละ 50 บาท
และคุณคำนวณไว้ว่าอีก 2 ปี หุ้นจะโตจนราคาถึง 100 บาท และคิดว่าจะเป็นจุดอิ่มตัวของหุ้นตัวนั้น
คำถามที่ 1 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 120 บาท คุณจะขายหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ขาย/ไม่ขาย เพราะอะไร ?
คำถามที่ 2 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 98 บาท และปรากฏว่า หุ้นมันราคาตกลงเรื่อยๆ (สุดท้ายจะไปอยู่ที่ 50 บาทเหมือนเดิมแต่คุณไม่รู้) อาจเพราะปัญหาทางการเมืองหรืออื่นๆ ทั้งที่บริษัทก็ยังดีอยู่ คุณจะขายหุ้นไหม และขายตอนไหน เพราะอะไร ?
เป็นข้อสงสัยอย่างมากสำหรับตัวผมเองครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 2
ผมก็มือใหม่ครับ แต่จะทำแบบนี้ครับ..
ข้อ1 ถ้าเป็นผม ผมคงขายไปตั้งแต่ 95 บาทแล้วครับ ฮ่า...
หลักคิดก็เหมือนพี่จขกท.ครับ คือ ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าและขายที่ราคาเหมาะสมที่เราประเมินได้
ยิ่งถ้าหุ้นที่กำไรจะไม่โตต่อผมจะขายหลังราคาขึ้นมาใกล้เคียงมูลค่าเลยครับ
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่โตต่อ ก็จะประเมินราคาเหมาะสมต่อไปอีก2ปีครับ
ส่วนข้อ2 เมื่อเราถือไป2ปี แสดงว่าอาจมีคนที่คิดแบบผมที่ขายโดยใช้เหตุผลข้อ1
(หรือเหตุผลอื่นตามที่พี่จขกท.สมมุติ)
หลักที่ผมยึดไว้ปฏิบัติคือ ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าในอนาคต ฉะนั้นถ้าเราประเมินว่าอีก2ปี(ปี58) ราคาเหมาะสม100บาท
เมื่อถึงปี58 ผมก็จะประเมินมูลค่าไปข้างหน้าอีก1-2ปี(คือปี59-60)
ถ้ามูลค่าเหมาะสมปี59-60 เหลือ 50 บาท
และราคาหุ้นในปี58เริ่มร่วงลงมาอยู่ที่50บาทแล้ว ผมคงไม่ถือต่อแม้ที่หุ้นลง จะมีเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจก็ตาม
เพราะผมมองมูลค่าในอนาคตเป็นหลักในการลงทุนครับ
แต่ถ้าประเมินมูลค่าในปี59-60แล้วยังได้100บาทอยู่ อาจเพราะแม้หุ้นไม่โตแต่กำไรจะคงที่ไปอีกหลายปีและปันผลดีมาก
แล้วก็เราไม่มีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจกว่าตัวนี้ ผมก็จะถือต่อครับ
ข้อ1 ถ้าเป็นผม ผมคงขายไปตั้งแต่ 95 บาทแล้วครับ ฮ่า...
หลักคิดก็เหมือนพี่จขกท.ครับ คือ ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าและขายที่ราคาเหมาะสมที่เราประเมินได้
ยิ่งถ้าหุ้นที่กำไรจะไม่โตต่อผมจะขายหลังราคาขึ้นมาใกล้เคียงมูลค่าเลยครับ
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่โตต่อ ก็จะประเมินราคาเหมาะสมต่อไปอีก2ปีครับ
ส่วนข้อ2 เมื่อเราถือไป2ปี แสดงว่าอาจมีคนที่คิดแบบผมที่ขายโดยใช้เหตุผลข้อ1
(หรือเหตุผลอื่นตามที่พี่จขกท.สมมุติ)
หลักที่ผมยึดไว้ปฏิบัติคือ ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าในอนาคต ฉะนั้นถ้าเราประเมินว่าอีก2ปี(ปี58) ราคาเหมาะสม100บาท
เมื่อถึงปี58 ผมก็จะประเมินมูลค่าไปข้างหน้าอีก1-2ปี(คือปี59-60)
ถ้ามูลค่าเหมาะสมปี59-60 เหลือ 50 บาท
และราคาหุ้นในปี58เริ่มร่วงลงมาอยู่ที่50บาทแล้ว ผมคงไม่ถือต่อแม้ที่หุ้นลง จะมีเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจก็ตาม
เพราะผมมองมูลค่าในอนาคตเป็นหลักในการลงทุนครับ
แต่ถ้าประเมินมูลค่าในปี59-60แล้วยังได้100บาทอยู่ อาจเพราะแม้หุ้นไม่โตแต่กำไรจะคงที่ไปอีกหลายปีและปันผลดีมาก
แล้วก็เราไม่มีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจกว่าตัวนี้ ผมก็จะถือต่อครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 3
ผมตั้งข้อสังเกต (ก่อนจะออกไปกินข้าวเที่ยว)
เรื่องแรก...
ผมคิดว่าไม่มีบริษัทไหน จะดีไปหมดทุกอย่าง
ถ้าวันนึงผมเจอเหตุการณ์ทำนองนี้
ผมจะเพิ่มความระมัดระวัง
และจะเตือนตัวเองว่า บริษัทต้องมีข้อเสีย
หรือจุดอ่อนอะไรบ้าง
และจะต้องพยายามหามันให้เจอ
หรือถ้ายังหาไม่เจอ...
ผมมักจะเข้าไปใช้ประโยชน์
จากห้องร้อยคนร้อยหุ้นครับ
(และนี่คือเหตุผลที่ผมเป็นสมาชิกสมาคม )
เรื่องที่สอง...
แม้ว่าเราจะวิเคราะห์กิจการได้อย่างแม่นยำ
และถูกต้อง
แต่ราคาหุ้นในตลาดมันเป็นคนละเรื่องเลยครับ
และผมคิดว่ามันเป็น uncontrol factor ด้วยซ้ำ
เพียงแต่.. เราต้องลงทุนด้วยเหตุผล
ใช้สติ และไม่เป็นนายตลาดซะเอง
เรื่องแรก...
ผมคิดว่าไม่มีบริษัทไหน จะดีไปหมดทุกอย่าง
ถ้าวันนึงผมเจอเหตุการณ์ทำนองนี้
ผมจะเพิ่มความระมัดระวัง
และจะเตือนตัวเองว่า บริษัทต้องมีข้อเสีย
หรือจุดอ่อนอะไรบ้าง
และจะต้องพยายามหามันให้เจอ
หรือถ้ายังหาไม่เจอ...
ผมมักจะเข้าไปใช้ประโยชน์
จากห้องร้อยคนร้อยหุ้นครับ
(และนี่คือเหตุผลที่ผมเป็นสมาชิกสมาคม )
เรื่องที่สอง...
แม้ว่าเราจะวิเคราะห์กิจการได้อย่างแม่นยำ
และถูกต้อง
แต่ราคาหุ้นในตลาดมันเป็นคนละเรื่องเลยครับ
และผมคิดว่ามันเป็น uncontrol factor ด้วยซ้ำ
เพียงแต่.. เราต้องลงทุนด้วยเหตุผล
ใช้สติ และไม่เป็นนายตลาดซะเอง
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
-
- Verified User
- โพสต์: 114
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 4
ถ้าประเมินกิจการข้างหน้า 2 ปี ได้ ก็น่าจะประเมินกิจการใหม่ทุก 3 เดือนได้
ถ้าไม่เป็นตามที่คิด ก็ปรับเป้าใหม่ ซึ่งก็ทั้ง + และ - และก็จะพิจารณาว่าขาย-ถือ-ซื้อเพิ่ม
ซึ่งระหว่างทางเราอาจเจอตัวใหม่ (ที่ดีกว่าก็ได้)
ปล.ผมก็มือใหม่
ถ้าไม่เป็นตามที่คิด ก็ปรับเป้าใหม่ ซึ่งก็ทั้ง + และ - และก็จะพิจารณาว่าขาย-ถือ-ซื้อเพิ่ม
ซึ่งระหว่างทางเราอาจเจอตัวใหม่ (ที่ดีกว่าก็ได้)
ปล.ผมก็มือใหม่
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 6
จากโจทย์นี้กับประสบการณ์จริงที่เพิ่งผ่านมา(ประมาน 2เดือนที่ผ่านมา) ผมประเมินราคาหุ้นว่าปัจจุบันควรKETKURU เขียน:สมมุติว่า คุณคัดเลือกหุ้นมาแล้ว ได้มา 1 ตัวพื้นฐานดี ราคาถูก ง่ายๆ คือดีทุกอย่าง
คุณจึงซื้อหุ้นตัวนั้นในช่วงเวลาที่มันเหมาะสม สมมุติ หุ้นละ 50 บาท
และคุณคำนวณไว้ว่าอีก 2 ปี หุ้นจะโตจนราคาถึง 100 บาท และคิดว่าจะเป็นจุดอิ่มตัวของหุ้นตัวนั้น
คำถามที่ 1 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 120 บาท คุณจะขายหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ขาย/ไม่ขาย เพราะอะไร ?
คำถามที่ 2 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 98 บาท และปรากฏว่า หุ้นมันราคาตกลงเรื่อยๆ (สุดท้ายจะไปอยู่ที่ 50 บาทเหมือนเดิมแต่คุณไม่รู้) อาจเพราะปัญหาทางการเมืองหรืออื่นๆ ทั้งที่บริษัทก็ยังดีอยู่ คุณจะขายหุ้นไหม และขายตอนไหน เพราะอะไร ?
เป็นข้อสงสัยอย่างมากสำหรับตัวผมเองครับ
จะเท่าไร แล้วตอนนี้มันขายอยู่เท่าไร พอดูแล้วราคาต่ำกว่าที่ประเมินอยู่ 30% จึงซื้อแล้วปัจจุบันมันวิ่งไป
ที่ 40%-50% แล้วครับ...^^)
ตอบคำถาม ข้อ1.เวลากับราคาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เราจะขายหรือไม่ขายหุ้นครับ สิ่งสำคัญคืออนาคตของกิจการ
ยังสดใสอยู่หรือไม่???
ข้อ 2. ไม่ขายครับ!!! (อาจซื้อเพิ่มด้วยครับ...^^) ในกรณีที่บริษัทยังดีอยู่และมีอนาคตนะครับ
เพราะจากโจทย์นี้คุณคิดว่าเราควรจะขายไปก่อนในช่วง 80- 90 บาทแล้วค่อยกลับไปซื้อใหม่ที่
50 บาทก็ได้ใช่ไหมครับ
คำถาม??
1.เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะตกลงมาแรงก่อนที่มันจะวิ่งขึ้นไปอีก ในโจทย์คุณตั้งสมมติฐานว่ามัน
จะลงไปที่ 50 บาทแน่นอน แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือบริษัทยังเติบโตดีอยู่ครับ(จากโจทย์)
2.แล้วถ้าเราถือหุ้นของบริษัทที่การดำเนินงานดี มีการเติบโต แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องขายด้วยครับ
ถ้าคุณขายนั่นแปลว่าคุณจะต้องนำเงินที่ได้รับมาไปหาหุ้นตัวใหม่ต่อ โดยต้องดีกว่าหุ้นตัวเก่า+เงินปันผลของ
หุ้นตัวเก่าด้วยนะครับ ไม่งั้นคุณจะขายแล้วถือเงินสดไว้แทนทำไม นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่ขายครับ
ปล.ต้องย้ำว่าบริษัทยังมีอนาคตที่สดใสอยู่นะครับ...^^)
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 7
ถ้าเป็นผมนะครับ ผมต้องถามตัวเองก่อนว่าผมมีศึกษาตัวอื่นอยู่อีกไหม ถ้าผมไม่ได้ทำอะไร ก็ต้องดูว่าต่อจากนี้ไป บริษัทนี้จะโตไปอีกเท่าไหร่ โดยที่ผมหวัง return ต่อปีเท่าไหร่ ครับ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมหวัง return ที่ 20% ต่อปี ก็ประมาณการณ์ได้ว่าจาก fair value ที่ 100 ของปีนี้ ถ้าราคาอยู่ที่ 120 แปลว่า upside gain สำหรับปีหน้าผมหมดไปแล้ว อย่างไรก็ตามผมก็ต้องทบทวนตัวธุรกิจว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง และผมมีหุ้นอื่นที่ให้ผมตอบแทนมากกว่าผมจะขายครับ ในทั้ง 2 กรณี
ปกติผมไม่ได้ยึดติดกับราคาทุนนะครับ ดูไว้เล่นขำๆ ที่ดูคือราคาปัจจุบันกับ potential upside ครับ ถ้ายังมี upside อยู่เยอะก็ยังสามารถถือลงทุนต่อได้ ในทางกลับกันราคาลงเพราะพื้นฐานเปลี่่ยน ก็ขายได้โดยไม่ต้องดูต้นทุนครับ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมหวัง return ที่ 20% ต่อปี ก็ประมาณการณ์ได้ว่าจาก fair value ที่ 100 ของปีนี้ ถ้าราคาอยู่ที่ 120 แปลว่า upside gain สำหรับปีหน้าผมหมดไปแล้ว อย่างไรก็ตามผมก็ต้องทบทวนตัวธุรกิจว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง และผมมีหุ้นอื่นที่ให้ผมตอบแทนมากกว่าผมจะขายครับ ในทั้ง 2 กรณี
ปกติผมไม่ได้ยึดติดกับราคาทุนนะครับ ดูไว้เล่นขำๆ ที่ดูคือราคาปัจจุบันกับ potential upside ครับ ถ้ายังมี upside อยู่เยอะก็ยังสามารถถือลงทุนต่อได้ ในทางกลับกันราคาลงเพราะพื้นฐานเปลี่่ยน ก็ขายได้โดยไม่ต้องดูต้นทุนครับ
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
-
- Verified User
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 8
ส่วนตัวผม ประเมินทุกไตรมาส ครับ
เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน กับเป้าหมายของบริษัทที่วางไว้
ถ้ายังคงทำได้ตามเป้าหมายที่ผมพอใจ ก็ถือไปเรื่อยๆ
ทำอย่างนี้เหมือนเดิมทุกไตรมาส
จนกว่าบริษัทไม่สามารถทำตามเป้าที่คิดไว้
หรือเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
หรือคิดว่าพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ
หรือเจอหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่า
ค่อยพิจารณาขายครับ
การขายไม่มีเรื่องราคาเข้ามาเกี่ยวข้องครับ
ถ้าต้องขาย ราคาเท่าไรก็ขายครับ
เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน กับเป้าหมายของบริษัทที่วางไว้
ถ้ายังคงทำได้ตามเป้าหมายที่ผมพอใจ ก็ถือไปเรื่อยๆ
ทำอย่างนี้เหมือนเดิมทุกไตรมาส
จนกว่าบริษัทไม่สามารถทำตามเป้าที่คิดไว้
หรือเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
หรือคิดว่าพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ
หรือเจอหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่า
ค่อยพิจารณาขายครับ
การขายไม่มีเรื่องราคาเข้ามาเกี่ยวข้องครับ
ถ้าต้องขาย ราคาเท่าไรก็ขายครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 9
-ส่วนผมถ้ากรณีที่1คงคลายเครียดเรโชก่อน50เปอร์อีก50ถือไว้ไงเราก็ได้ทุนคืนละที่เหลือก็เหมือนถือหุ้นไม่มีทุนอิอิถ้ามันจะวิ่งต่อก็ปล่อยกำไรวิ่งไปเรื่อยๆถ้ากิจการยังดี
-ส่วนกรณีที่2ก็เช่นกันพอราคาเริ่มร่วงยืนไม่อยู่เช่นจาก50ขึ้นไปเกือบร้อยลงมา80แบบนี้ก็จะขายทิ้งไปก่อน50เปอร์เหมือนกันกำเงินสดเอาไว้ก่อนอีก50เปอร์ที่เหลือก็รอดูอีกทีว่าราคาลงเพราะกิจการแย่รึเพราะตลาดอารมณ์เสียถ้ากิจการยังดีก็รอซื้อใหม่ที่ราคาต่ำ..ผมว่าลึกๆแล้วทุกคนก็กลัวขาดทุนเพื่อความสบายใจก็ชักทุนคืนไว้ก่อน วอเรนยังบอกเลยอย่าขาดทุนอิอิ..
-ส่วนกรณีที่2ก็เช่นกันพอราคาเริ่มร่วงยืนไม่อยู่เช่นจาก50ขึ้นไปเกือบร้อยลงมา80แบบนี้ก็จะขายทิ้งไปก่อน50เปอร์เหมือนกันกำเงินสดเอาไว้ก่อนอีก50เปอร์ที่เหลือก็รอดูอีกทีว่าราคาลงเพราะกิจการแย่รึเพราะตลาดอารมณ์เสียถ้ากิจการยังดีก็รอซื้อใหม่ที่ราคาต่ำ..ผมว่าลึกๆแล้วทุกคนก็กลัวขาดทุนเพื่อความสบายใจก็ชักทุนคืนไว้ก่อน วอเรนยังบอกเลยอย่าขาดทุนอิอิ..
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 10
ถ้าเป็นผม ประมาณหุ้นได้ 2 ปี ได้แค่นั้นและไม่คิดว่าธุรกิจของบริษัทจะดีในอนาคต แต่สามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า value มากๆ แสดงว่าศัพท์ที่เค้าใช้กันคือ หุ้นก้นบุหรี่ ผมว่าผมขายไปตั้งแต่ 80-90 บาทแล้วครับ
แต่ถ้าคิดว่าธุรกิจดีต่อเนื่อง ซื้อได้ในราคาต่ำ ผมจะไม่มีวันขายตราบใดที่ธุรกิจยังดีอยู่ (หุ้น super stock!!!) แม้ว่าจะมีปัจจัยการเมือง ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำให้ภาพของธุรกิจเปลี่ยนไป ผมจะอดทนครับ คุณสามารถได้มากกว่า 2 เด้ง 3 เด้ง ได้ด้วยเวลาครับ
ขอให้จำไว้ ซื้อเพราะอะไร ก็ขายเพราะอย่างนั้นครับ (ซื้อเพราะธุรกิจดี ขายเพราะธุรกิจไม่ดี ซื้อเพราะถูก ขายเพราะแพง เป็นต้น)
ผมไม่มือใหม่ แต่ผมมืออ่อนครับ
แต่ถ้าคิดว่าธุรกิจดีต่อเนื่อง ซื้อได้ในราคาต่ำ ผมจะไม่มีวันขายตราบใดที่ธุรกิจยังดีอยู่ (หุ้น super stock!!!) แม้ว่าจะมีปัจจัยการเมือง ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำให้ภาพของธุรกิจเปลี่ยนไป ผมจะอดทนครับ คุณสามารถได้มากกว่า 2 เด้ง 3 เด้ง ได้ด้วยเวลาครับ
ขอให้จำไว้ ซื้อเพราะอะไร ก็ขายเพราะอย่างนั้นครับ (ซื้อเพราะธุรกิจดี ขายเพราะธุรกิจไม่ดี ซื้อเพราะถูก ขายเพราะแพง เป็นต้น)
ผมไม่มือใหม่ แต่ผมมืออ่อนครับ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 11
คุณ "ayethebing" จะมือไม้อ่อนเป็นบางเวลาหรือเปล่าครับ...^^)ayethebing เขียน:ถ้าเป็นผม ประมาณหุ้นได้ 2 ปี ได้แค่นั้นและไม่คิดว่าธุรกิจของบริษัทจะดีในอนาคต แต่สามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่า value มากๆ แสดงว่าศัพท์ที่เค้าใช้กันคือ หุ้นก้นบุหรี่ ผมว่าผมขายไปตั้งแต่ 80-90 บาทแล้วครับ
แต่ถ้าคิดว่าธุรกิจดีต่อเนื่อง ซื้อได้ในราคาต่ำ ผมจะไม่มีวันขายตราบใดที่ธุรกิจยังดีอยู่ (หุ้น super stock!!!) แม้ว่าจะมีปัจจัยการเมือง ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำให้ภาพของธุรกิจเปลี่ยนไป ผมจะอดทนครับ คุณสามารถได้มากกว่า 2 เด้ง 3 เด้ง ได้ด้วยเวลาครับ
ขอให้จำไว้ ซื้อเพราะอะไร ก็ขายเพราะอย่างนั้นครับ (ซื้อเพราะธุรกิจดี ขายเพราะธุรกิจไม่ดี ซื้อเพราะถูก ขายเพราะแพง เป็นต้น)
ผมไม่มือใหม่ แต่ผมมืออ่อนครับ
ปล.แซวเล่นนะครับ...^o^)
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 12
ตอบ#1 -- ประเมินมูลค่าเพิ่มในปี 3,4,5,.. แล้วเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ถ้ามีตัวที่ดีกว่า (เช่น MOS มากกว่า, growth มากกว่า, เข้ากับ Mega Trend ขณะนั้นๆมากกว่า, ฯลฯ) ก็ขายไปซื้อตัวอื่นครับ เหมือนเอาหุ้นที่เราถือไปตัดเกรดอิงกลุ่ม ไม่ได้ใช้หลักอิงเกณฑ์อะครับKETKURU เขียน: คำถามที่ 1 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 120 บาท คุณจะขายหุ้นตัวนั้นหรือไม่ ขาย/ไม่ขาย เพราะอะไร ?
คำถามที่ 2 เวลาผ่านไป 2 ปี คุณพบว่าหุ้นตัวนั้นราคาอยู่ที่ 98 บาท และปรากฏว่า หุ้นมันราคาตกลงเรื่อยๆ (สุดท้ายจะไปอยู่ที่ 50 บาทเหมือนเดิมแต่คุณไม่รู้) อาจเพราะปัญหาทางการเมืองหรืออื่นๆ ทั้งที่บริษัทก็ยังดีอยู่ คุณจะขายหุ้นไหม และขายตอนไหน เพราะอะไร ?
ตอบ#2 -- ก่อนซื้อผมต้องแน่ใจก่อนว่าผมคิดว่าผมรู้จักบริษัทนั้นๆมากพอสมควร ... ถ้าราคาตกและตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วว่าพื้นฐานเหมือนเดิม หรือไม่มีข้อด้อยอะไรที่ขัดแย้งกับเหตุผลที่เราซื้อ ณ ตอนแรกซึ่งยังเป็น "จริง" อยู่ .. ยิ่งถ้า 2 ปีผ่านไปพบว่าผลประกอบการเข้าเป้าที่ดีตามคาดแล้ว .. ผมขอให้ราคาตกเยอะๆเลย จะขายบ้านขายรถไปซื้อครับ
Invincible MOS is knowing what you're doing
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 13
vi ในความคิดของผม คือการซื้อเงิน 1 บาท
ในราคา 50 สตางค์ ครับ
และตราบใดที่มันยังเป็น
การลงทุนที่ดีอยู่
หมายความว่าผมไม่มีทางเลือกอื่น
ที่น่าสนใจกว่า
ผมก็จะถือหุ้นต่อไปครับ
แต่ถ้าเจอทางเลือกอื่นที่ดีกว่าก็ปรับพอร์ตครับ
ในกรณีที่ซื้อหุ้นแล้ว ราคาหุ้นลดลงมามาก
ปกติผมจะสำรวจก่อนว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเราไม่ได้วิเคราะห์ผิด
และประเมินมูลค่าผิดพลาด
วิธีสังเกตง่ายๆ เบื้องต้น คือ
สังเกตจากภาวะตลาด
เช่น การที่หุ้นเราราคาลดลงมามาก
สวนทางกับภาวะตลาด
อันนี้เราก็อาจจะเข้าข่ายวิเคราะห์ผิด
แต่มันก็ไม่ได้ตายตัวขนาดนั้น
บางทีบริษัทประสบปัญหาแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
ก็กลับจะเป็นโอกาสให้เราได้ซื้อหุ้น
ในราคาถูก ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
ในอนาคตได้
ถัดมา คือหุ้นเราลงตามภาวะตลาด
หมายความว่าหุ้นเราไม่ได้ลงอยู่ตัวเดียว
แต่ตัวอื่นๆ ในตลาดราคาก็ลดลงเหมือนกัน
อันนี้ไม่ได้เกิดจากการวิเคราะห์ผิด
แต่เป็นภาวะตลาด ที่ผ่านมา
ผมจะมองหาโอกาสอื่นๆ เพิ่ม
เช่น อาจจะมีทางเลือกอื่น เช่น
หุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า ถ้าผมมั่นใจมากๆ
ก็อาจจะเปลี่ยนตัวหุ้นที่ถือยู่
หรือถ้ามั่นใจน้อยกว่า ก็อาจจะแบ่งขาย
จัดพอร์ตเพื่อแบ่งมาถือตัวนั้นบ้าง
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิธีประเมินมูลค่่า
ความขยันหาโอกาสในทางเลือกครับ
แล้วที่ขาดไม่ได้
อย่าลงทุนนอกขอบเขตความรู้
และเราต้องใช้ประโยชน์จากนายตลาด
ไม่ใช่ไปเป็นนายตลาดเสียเองครับ
ในราคา 50 สตางค์ ครับ
และตราบใดที่มันยังเป็น
การลงทุนที่ดีอยู่
หมายความว่าผมไม่มีทางเลือกอื่น
ที่น่าสนใจกว่า
ผมก็จะถือหุ้นต่อไปครับ
แต่ถ้าเจอทางเลือกอื่นที่ดีกว่าก็ปรับพอร์ตครับ
ในกรณีที่ซื้อหุ้นแล้ว ราคาหุ้นลดลงมามาก
ปกติผมจะสำรวจก่อนว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเราไม่ได้วิเคราะห์ผิด
และประเมินมูลค่าผิดพลาด
วิธีสังเกตง่ายๆ เบื้องต้น คือ
สังเกตจากภาวะตลาด
เช่น การที่หุ้นเราราคาลดลงมามาก
สวนทางกับภาวะตลาด
อันนี้เราก็อาจจะเข้าข่ายวิเคราะห์ผิด
แต่มันก็ไม่ได้ตายตัวขนาดนั้น
บางทีบริษัทประสบปัญหาแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
ก็กลับจะเป็นโอกาสให้เราได้ซื้อหุ้น
ในราคาถูก ทำให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
ในอนาคตได้
ถัดมา คือหุ้นเราลงตามภาวะตลาด
หมายความว่าหุ้นเราไม่ได้ลงอยู่ตัวเดียว
แต่ตัวอื่นๆ ในตลาดราคาก็ลดลงเหมือนกัน
อันนี้ไม่ได้เกิดจากการวิเคราะห์ผิด
แต่เป็นภาวะตลาด ที่ผ่านมา
ผมจะมองหาโอกาสอื่นๆ เพิ่ม
เช่น อาจจะมีทางเลือกอื่น เช่น
หุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า ถ้าผมมั่นใจมากๆ
ก็อาจจะเปลี่ยนตัวหุ้นที่ถือยู่
หรือถ้ามั่นใจน้อยกว่า ก็อาจจะแบ่งขาย
จัดพอร์ตเพื่อแบ่งมาถือตัวนั้นบ้าง
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิธีประเมินมูลค่่า
ความขยันหาโอกาสในทางเลือกครับ
แล้วที่ขาดไม่ได้
อย่าลงทุนนอกขอบเขตความรู้
และเราต้องใช้ประโยชน์จากนายตลาด
ไม่ใช่ไปเป็นนายตลาดเสียเองครับ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 14
ทำอย่างไรก็ได้ที่เราสบายใจครับ
ปัญหาที่เราทำไม่ค่อยจะได้กันคือ เราขายไป 50 บาท แล้วหลังจากนั้นหุ้นขึ้นมา 60 บาท เราไม่กล้าซื้อกลับ
แม้เราจะพบว่า ทุกอย่างดีหมด
p/e ต่ำมาก
ปัญหาแบบนี้ ผมเคยเจอกับหุ้นค้าปลีกบางตัวครับ
ผมว่ามันขึ้นอยู่กับ
ระยะเวลาการลงทุนของเรา
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ
และกระสุน(= เงินสดที่เรามีเหลือ เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ ทั้งใช้จ่าย และซื้อหุ้นเพิ่ม)
ประมาณนี้น่ะครับ
ที่ผมทำคือ เขียนบันทึกการซื้อ ขายทุกครั้ง
เขียนเหตุผลการซื้อขายไปด้วย
แล้วเรียนรู้ไปกับการลงทุนของเราครับ
ข้อสำคัญอย่าเบลมตัวเองครับฯ
แม้แต่ Peter Lynch เค้ายังเคยขายหมู ติดดอย ฯ เลยครับ
ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องสนุก และเป็นการรู้จักตนเองครับ
ปัญหาที่เราทำไม่ค่อยจะได้กันคือ เราขายไป 50 บาท แล้วหลังจากนั้นหุ้นขึ้นมา 60 บาท เราไม่กล้าซื้อกลับ
แม้เราจะพบว่า ทุกอย่างดีหมด
p/e ต่ำมาก
ปัญหาแบบนี้ ผมเคยเจอกับหุ้นค้าปลีกบางตัวครับ
ผมว่ามันขึ้นอยู่กับ
ระยะเวลาการลงทุนของเรา
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ
และกระสุน(= เงินสดที่เรามีเหลือ เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ ทั้งใช้จ่าย และซื้อหุ้นเพิ่ม)
ประมาณนี้น่ะครับ
ที่ผมทำคือ เขียนบันทึกการซื้อ ขายทุกครั้ง
เขียนเหตุผลการซื้อขายไปด้วย
แล้วเรียนรู้ไปกับการลงทุนของเราครับ
ข้อสำคัญอย่าเบลมตัวเองครับฯ
แม้แต่ Peter Lynch เค้ายังเคยขายหมู ติดดอย ฯ เลยครับ
ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องสนุก และเป็นการรู้จักตนเองครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 950
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 15
ผมก็เป็นครับ ก็เพราะเรามีราคาอ้างอิงอยู่ในใจ เช่นเราซื้อมา 30 บาท ต่อมา ราคาไปที่ 50 บาท เราคิดว่าเกินมูลค่าnoooon010 เขียน:ทำอย่างไรก็ได้ที่เราสบายใจครับ
ปัญหาที่เราทำไม่ค่อยจะได้กันคือ เราขายไป 50 บาท แล้วหลังจากนั้นหุ้นขึ้นมา 60 บาท เราไม่กล้าซื้อกลับ
แม้เราจะพบว่า ทุกอย่างดีหมด
p/e ต่ำมาก
ปัญหาแบบนี้ ผมเคยเจอกับหุ้นค้าปลีกบางตัวครับ
ผมว่ามันขึ้นอยู่กับ
ระยะเวลาการลงทุนของเรา
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นๆ
และกระสุน(= เงินสดที่เรามีเหลือ เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ ทั้งใช้จ่าย และซื้อหุ้นเพิ่ม)
ประมาณนี้น่ะครับ
ที่ผมทำคือ เขียนบันทึกการซื้อ ขายทุกครั้ง
เขียนเหตุผลการซื้อขายไปด้วย
แล้วเรียนรู้ไปกับการลงทุนของเราครับ
ข้อสำคัญอย่าเบลมตัวเองครับฯ
แม้แต่ Peter Lynch เค้ายังเคยขายหมู ติดดอย ฯ เลยครับ
ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องสนุก และเป็นการรู้จักตนเองครับ
จึงขายไป ต่อมาพื้นฐานเปลี่ยนทำให้ราคากระโดดไป 60 บาท แต่ถ้าเราวัดมูลค่าหุ้นได้ที่ 100 คือมี Upside เกินกว่า 50% อย่างนี้ผมก็ว่าสมควรซื้อ
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คำถามที่สงสัยผมเป็นมือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 17
ราคาในอดีต ไม่เกี่ยวกับการตัดสินซื้อหรือขายหุ้นครับ
มิฉะนั้นเราจะพลาดหุ้น 2 เด้ง 3 เด้ง หรือแม้แต่ 10 เด้งครับ
ตอนแรกที่ซื้อถ้าพิจารณาแล้วว่า undervalue มี MOS พอเพียงก็ควรซื้อ
2 ปีผ่านไป ราคาในอดีต ไม่เกี่ยวแล้วครับ เกี่ยวกับว่า อนาคตของหุ้นในอีก 1-2 ปี หรือ หลายๆปีเป็นอย่างไรครับ เมื่อ 2 ปีผ่านไปและหุ้นขึ้นมา 100 แล้วยิ่งต้องทำการบ้านใหม่ดีๆครับ ว่าบริษัทที่เคยประเมิณว่าอิ่มตัวแล้วจริงหรือไม่ อาจมีการขยายกิจการ หรือ สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นอีกใน 2-3 ปีต่อไปอีก ถ้าไม่มีหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่านี้ก็ควรถือต่อครับ
ถ้าราคาตกลงมาก็ขึ้นกับเราประเมินว่า ยัง undervalue ก็ถือต่อ ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนก็จำเป็นต้องขายทิ้งครับ
มิฉะนั้นเราจะพลาดหุ้น 2 เด้ง 3 เด้ง หรือแม้แต่ 10 เด้งครับ
ตอนแรกที่ซื้อถ้าพิจารณาแล้วว่า undervalue มี MOS พอเพียงก็ควรซื้อ
2 ปีผ่านไป ราคาในอดีต ไม่เกี่ยวแล้วครับ เกี่ยวกับว่า อนาคตของหุ้นในอีก 1-2 ปี หรือ หลายๆปีเป็นอย่างไรครับ เมื่อ 2 ปีผ่านไปและหุ้นขึ้นมา 100 แล้วยิ่งต้องทำการบ้านใหม่ดีๆครับ ว่าบริษัทที่เคยประเมิณว่าอิ่มตัวแล้วจริงหรือไม่ อาจมีการขยายกิจการ หรือ สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นอีกใน 2-3 ปีต่อไปอีก ถ้าไม่มีหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่านี้ก็ควรถือต่อครับ
ถ้าราคาตกลงมาก็ขึ้นกับเราประเมินว่า ยัง undervalue ก็ถือต่อ ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนก็จำเป็นต้องขายทิ้งครับ