ใกล้ฟองสบู่ ?

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
แมวตัวกลมๆ
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 91

โพสต์

ขอบคุณทุกความเห็นเลยค่ะ
บทความดร.นิเวศน์ วันนี้เหมือนตอบข้อสงสัยที่คาใจอยู่ :D
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 92

โพสต์

http://pantip.com/topic/30275003

บทความการวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้น จาก กูรูหุ้นรุ่นใหญ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ครับ :D
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง

http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html



http://goo.gl/VjQ4cG
chung_me
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 31
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 93

โพสต์

picatos เขียน:
skyearth เขียน:
picatos เขียน:อ้าว... นี่เราไม่ได้อยู่ในฟองสบู่หรอกเหรอ?

ผมเข้าใจว่าตลาดแบบนี้แหละที่เรียกว่าฟองสบู่ เป็นฟองสบู่ที่ drive ด้วยสภาพคล่องที่ถูกอัดฉีดเข้ามาล้นโลก ส่วนจะแตกเมื่อไหร่นี่ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ก่อนแตกนี่สนุ้กสนุก แต่หลังแตกนี่เซ็งเป็ดมากมาย
ถามพี่ picatos หน่อยครับ ทำไมถึงพี่คิดว่าเป็นฟองสบู่เหรอครับ (ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ)
พี่เอาอะไรเป็นตัววัดเหรอครับ ความรู้สึก, เงินนอก (เป็นเงินระยะสั้น หรือ ระยะยาว), รายรับ/รายจ่าย หรือ เอา p/e ตลาดเป็นเกณฑ์ครับ
และทำไมตลาดถึงกล้าให้ p/e รวมที่สูงขึ้น เป็นเพราะความคาดหวังใน growth ที่ดีขึ้น หรือ ถ้าเป็นเพราะเงินมันไม่มีที่ไปจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีราคาที่สูงขึ้นตามรึปล่าว ไม่เว้นแม้แต่สภาพคล่องในตลาด หรือไม่, แล้วอสังหา, สินค้าอุปโภค บริโภค ตลอดจนปัจบัยที่ 6 เช่น รถยนต์ มือถือ. etc รวมทั้ง เงินเดือน

และ หุ้นที่ตลาดคาดการณ์ว่ามี growth สูงๆ และก็ให้ p/e ที่สูงตาม แบบนี้ควรเรียกว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ครับ

ปล. ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ แค่อยากถามความเห็นความรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์ คือ คืออยากจะได้ความชัดเจนในการวิเคราะห์นะครับ เพื่อจะได้เตรียมการและเตรียมใจได้ว่าเมื่อไหร่ ควรจะระวังๆไว้ครับ ขอบคุณครับ
เอาเรื่องใกล้ตัวง่ายๆ ก็เป็นความรู้สึกที่เห็นคนรอบๆ ตัวเล่นหุ้นมากขึ้น คิดจะออกจากงานประจำมาลงทุนเต็มตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่พอร์ตเล็กนิดเดียว (วีไอสมัยก่อนออกมาลงทุนเต็มตัวตอนมีเงิน 10 ล้านบาทนี่ก็ถือว่าเร็วมาก และเสี่ยงมากแล้วนะครับ) ความคาดหวังว่าจะหาเงินได้ง่ายๆ สูงมาก ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ความรู้มีน้อยนิด หนังสือหุ้นเต็มไปหมด งานสัมมนาหุ้นคนจองเต็มเร็วมาก ฯลฯ อีกมากมายที่ดูแค่นี้ก็รู้ว่ากระทิงตัวนี้ไม่ธรรมดา น่าจะอยู่ในระดับฟองสบู่

ข้อสังเกตแรกมาจากประสบการณ์ในตลาดประมาณ 10 ปี กับที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเกี่ยวกับบรรยากาศและสภาวะตลาดว่าคนในช่วงฟองสบู่เป็นอย่างไร? Irrational Exuberance เป็นอย่างไร? Herding Behaviour เป็นอย่างไร? Wealth Effect เป็นอย่างไร?... ซึ่งเหล่านี้จะเป็นศาสตร์เกี่ยวกับพวกเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม


มาทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหน่อยละกัน... อันนี่น่าจะเข้าถึงง่าย และไม่ค่อยเป็นปัจจัตตัง เท่ากับพวก Behavioural Economics... ตามปกติ ธรรมชาติของธุรกิจ และเศรษฐกิจ จะเป็น Cycle ของมันอยู่แล้ว... ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหาหนัก ธนาคารกลาง และรัฐบาลจึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ด้วยการอัดเงินเข้าระบบ และ ใช้งบประมาณแบบขาดดุล ซึ่งความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถทำได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะพังหนัก จึงเดาได้เลยว่า ดอกเบี้ยที่ extremely low และ การขาดดุลงบประมาณวันหนึ่งจะต้องจบลงอย่างแน่นอน จึงอาจกล่าวได้ว่า นี้เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจดี

การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เป้าหมายของรัฐฯ คือ ต้องการให้อัตราการว่างงานลดลง ให้อยู่ในสภาวะที่กลับเข้าไปสู่ full employment อย่างไรก็ตามภายใต้กระบวนการดังกล่าว เงินที่อัดเข้ามาจะไปอยู่ในกระเป๋าคนรวย เข้าไปเป็น asset bubble ซะส่วนใหญ่ อันนี้มีทฤษฎีรองรับมากมาย หาอ่านได้ง่ายๆ ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์... รัฐฯ รู้ว่าเงินไปอยู่ผิดที่ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐฯ จำเป็นต้องทำอยู่ดี พยายามอย่างถึงที่สุดให้เงินถูกส่งผ่านเจ้าของกิจการ ไปสู่อัตราการว่างงานที่ต่ำลง ผลก็คือ เกิด asset bubble ปูดออกมาในทางใดก็ทางหนึ่ง... ลองไปหาอ่านพวก Wealth Effect ในทางเศรษฐศาสตร์ละกันนะครับ ถ้าจำไม่ผิด

ที่นี้ช่วงที่ผ่านมา เราก็เห็นว่ากำไรของกิจการในไทย โตขึ้นเพราะ มาตรการรัฐหลายๆ อย่าง การลดภาษี ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินจริง ซึ่งวันหนึ่งต้องสูงขึ้น เพราะ มันจะไปทำให้เงินเฟ้อในระยะยาวมันสูงขึ้น... สิ่งนี้เรามั่นใจได้ว่า มันเป็นปัจจัยชั่วคราว... วันหนึ่งมันจะหมดไปอย่างแน่นอน

แต่ตลาดกลับสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการให้ P/E ที่สูงขึ้นมากกว่ากำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก กำไรสูงขึ้นนิดเดียว แต่ให้ P/E สูงขึ้นมากๆ แถมกำไรที่ดีขึ้นก็เกิดจากปัจจัยชั่วคราวทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าเรามองภาพได้ครบ เราก็จะรู้ว่ากำไรในอนาคตจะลดลง ดังนั้น ในการทำ valuation เราควรที่จะไม่เพิ่ม P/E แต่ควรที่จะให้ P/E ที่ต่ำลงด้วยซ้ำ หากเรามองเห็นภาพของพื้นฐานหลายๆ อย่างได้ครบถ้วน... แต่ทำไมมันถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ล่ะ... ทำไม P/E ถึงเพิ่ม ทั้งๆ ที่ growth ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น sustainable growth... สำหรับผม ความโลภ ความสำคัญผิด ความไม่รู้ น่าจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นฟองสบู่ และเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ


สำคัญที่สุด... สิ่งที่ผมรู้สึก คือ ผมไม่ค่อยกล้าทำ valuation แบบละเอียดสักเท่าไหร่ ช่วงนี้เวลาทำทีไร ผมอยากขายหุ้นทุกที เพราะ เวลาผมทำ valuation ผมจะมองไปที่อัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งก็คือ การคำนวณหา Cost of Capital ที่สะท้อนกลับออกมาผ่านทางโมเดล DCF ซึ่งพอทำออกมาทีไร จะรู้สึกว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าสักเท่าไหร่... ซึ่งก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ... ฟองสบู่เป็นช่วงที่ทำให้เรารวยเร็วสุดๆ มันเป็นการดึงความเป็นไปดีๆ ในอนาคตทั้งหมดมา realize ในปัจจุบัน อย่างผมซื้อหุ้น ตามปกติผมต้องการอัตราผลตอบแทนระยะยาวสัก 15-20% วันดีคืนดีคนยอมซื้อมันแพงขึ้นๆ จนอัตราผลตอบแทนระยะยาวลดลงๆ เหลือ 10% 5% 3% 2% 1% จนผลตอบแทนติดลบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีคนที่บ้าพอที่จะยอมซื้อของที่เราถือในราคาที่ชาตินี้เราจะไม่มีวันยอมซื้อ ถึงแม้จะเอาปืนมาจ่อหัวก็เถอะ...

ดังนั้นในช่วงฟองสบู่... เป็นช่วงที่วีไอควรที่จะ enjoy extraordinary gain ให้มาก ควรที่จะอดทนไม่ขาย ถึงแม้จะมีคนบ้าขนาดไหนมาเสนอซื้อหุ้นของเราในราคาที่ชาตินี้เราไม่เคยฝันว่าจะมีคนบ้าขนาดไหนมาขอซื้อเราสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า พรุ่งนี้มันอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้...

แต่ผมจะไปขายตอนที่ อัตราผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไปเป็น 2% ไปเป็น 3% ซึ่งอาจจะหมายถึงหุ้นตกลง 20-30% ก็ได้ แต่สิ่งที่ผมได้คือ ผม realize ผลตอบแทนในอนาคตที่ผมไม่อาจจะหาได้หากผมลงทุนระยะยาวและไม่มีความบ้าคลั่งของตลาด... ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมพร้อมที่จะโยนซ้าย ขายที่ floor แบบชิวๆ เพราะ ผมกำไรเยอะมากแล้ว และรู้ว่าถึงแม้จะขายที่ floor กำไรที่ผมได้ก็ยังเป็นกำไรในอนาคต ที่ผมจะไม่มีวันได้หากไม่เกิดฟองสบู่


สุดท้าย... ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานเลี้ยงอันสุดแสนจะมันอย่างสุดเหวี่ยงนี้นะครับ... สำหรับผม ผมยินดีที่จะอยู่เกินเที่ยงคืนนิดหน่อย ช่วยล้างจานสักใบสองใบ แต่คงจะไม่อยู่จนถึงเช้า ล้างจานไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่า พรุ่งนี้เช้าจะมีงานเลี้ยงรอบใหม่
ขอโอกาสถามพี่ picatos เรื่องที่พี่บอกว่าจะไปขายตอนที่ผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไป 2% 3% ครับ อยากรบกวนพี่ช่วยขยายความให้คนเขลาเช่นผมด้วยครับว่าคิดอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 94

โพสต์

ตอนนี้ฟองสบู่แตกหริอยังครับ
หุ้นตกมาสามวันผมอังไม่ได้ขายเลย555
prichar s.
Verified User
โพสต์: 1426
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 95

โพสต์

ไม่ใช่ฟองสบู่แตกหรอกครับ
แค่รถซิ่ง(หลาย ๆ คัน)เกิดชนกันบนทางด่วนเท่านั้น
รอสักครู่ หน่วยฉุกเฉินกำลังลำเลียงคนเจ็บส่งเข้ารพ.
เดี๋ยวเคลียร์ซากรถบนถนนเสร็จ
พวกที่เหลือก็จัดขบวนวิ่งกันต่อได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
6666666v
Verified User
โพสต์: 1089
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 96

โพสต์

prichar s. เขียน:ไม่ใช่ฟองสบู่แตกหรอกครับ
แค่รถซิ่ง(หลาย ๆ คัน)เกิดชนกันบนทางด่วนเท่านั้น
รอสักครู่ หน่วยฉุกเฉินกำลังลำเลียงคนเจ็บส่งเข้ารพ.
เดี๋ยวเคลียร์ซากรถบนถนนเสร็จ
พวกที่เหลือก็จัดขบวนวิ่งกันต่อได้
ชอบ
I Like To Invest.
แมวตัวกลมๆ
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 97

โพสต์

บทความศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2546 เรื่องบทเรียนภาวะฟองสบู่ช่วงปี 2532-2538

อธิบายลักษณะฟองสบู่ช่วงปี 2532-2538

-การปรับเพิ่มมูลค่าทำธุรกรรมซื้อขายที่ดิน โดยระหว่างปี 2532-2533 มูลค่าซื้อขายที่ดินในประเทศเพิ่มถึง 44.5% และ 54.1% ตามลำดับ

-สินเชื่อของระบบที่ปล่อยให้ทั้งผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผู้ซื้อ สูงถึง 96.5% ปี 2533 นอกจากกิจกรรมภาคอสังหาริมทรัพย์

-ระหว่างปี 2534-2536 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ปลายปี 2536 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นถึง 1,682.85 จุด เพิ่มถึงประมาณ 186% จากปลายปี 2533

- การขยายตัวต่อเนื่องการใช้จ่ายในประเทศ ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดไทย ขาดดุลต่อเนื่อง เฉลี่ยถึง 6.1% ของ GDP เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบขาดดุลเพียง 1.5% ของ GDP ช่วงปี 2530-2531

-เงินเฟ้อสูง การขยายตัวการใช้จ่ายในประเทศช่วงฟองสบู่ ส่งผลระหว่างปี 2532- 2538 เงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) เฉลี่ยสูงถึง 5.2% เมื่อเทียบ 2.9% ปี 2530-2531

อ่านรายละเอียดใน http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2003q ... ep16p2.htm
sci
Verified User
โพสต์: 678
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 98

โพสต์

chung_me เขียน:
picatos เขียน:
skyearth เขียน:
picatos เขียน:อ้าว... นี่เราไม่ได้อยู่ในฟองสบู่หรอกเหรอ?

ผมเข้าใจว่าตลาดแบบนี้แหละที่เรียกว่าฟองสบู่ เป็นฟองสบู่ที่ drive ด้วยสภาพคล่องที่ถูกอัดฉีดเข้ามาล้นโลก ส่วนจะแตกเมื่อไหร่นี่ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ก่อนแตกนี่สนุ้กสนุก แต่หลังแตกนี่เซ็งเป็ดมากมาย
ถามพี่ picatos หน่อยครับ ทำไมถึงพี่คิดว่าเป็นฟองสบู่เหรอครับ (ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ)
พี่เอาอะไรเป็นตัววัดเหรอครับ ความรู้สึก, เงินนอก (เป็นเงินระยะสั้น หรือ ระยะยาว), รายรับ/รายจ่าย หรือ เอา p/e ตลาดเป็นเกณฑ์ครับ
และทำไมตลาดถึงกล้าให้ p/e รวมที่สูงขึ้น เป็นเพราะความคาดหวังใน growth ที่ดีขึ้น หรือ ถ้าเป็นเพราะเงินมันไม่มีที่ไปจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีราคาที่สูงขึ้นตามรึปล่าว ไม่เว้นแม้แต่สภาพคล่องในตลาด หรือไม่, แล้วอสังหา, สินค้าอุปโภค บริโภค ตลอดจนปัจบัยที่ 6 เช่น รถยนต์ มือถือ. etc รวมทั้ง เงินเดือน

และ หุ้นที่ตลาดคาดการณ์ว่ามี growth สูงๆ และก็ให้ p/e ที่สูงตาม แบบนี้ควรเรียกว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ครับ

ปล. ไม่ได้มีเจตนากวนนะครับ แค่อยากถามความเห็นความรู้จากพี่ๆที่มีประสบการณ์ คือ คืออยากจะได้ความชัดเจนในการวิเคราะห์นะครับ เพื่อจะได้เตรียมการและเตรียมใจได้ว่าเมื่อไหร่ ควรจะระวังๆไว้ครับ ขอบคุณครับ
เอาเรื่องใกล้ตัวง่ายๆ ก็เป็นความรู้สึกที่เห็นคนรอบๆ ตัวเล่นหุ้นมากขึ้น คิดจะออกจากงานประจำมาลงทุนเต็มตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่พอร์ตเล็กนิดเดียว (วีไอสมัยก่อนออกมาลงทุนเต็มตัวตอนมีเงิน 10 ล้านบาทนี่ก็ถือว่าเร็วมาก และเสี่ยงมากแล้วนะครับ) ความคาดหวังว่าจะหาเงินได้ง่ายๆ สูงมาก ทั้งๆ ที่ประสบการณ์ความรู้มีน้อยนิด หนังสือหุ้นเต็มไปหมด งานสัมมนาหุ้นคนจองเต็มเร็วมาก ฯลฯ อีกมากมายที่ดูแค่นี้ก็รู้ว่ากระทิงตัวนี้ไม่ธรรมดา น่าจะอยู่ในระดับฟองสบู่

ข้อสังเกตแรกมาจากประสบการณ์ในตลาดประมาณ 10 ปี กับที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเกี่ยวกับบรรยากาศและสภาวะตลาดว่าคนในช่วงฟองสบู่เป็นอย่างไร? Irrational Exuberance เป็นอย่างไร? Herding Behaviour เป็นอย่างไร? Wealth Effect เป็นอย่างไร?... ซึ่งเหล่านี้จะเป็นศาสตร์เกี่ยวกับพวกเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม


มาทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหน่อยละกัน... อันนี่น่าจะเข้าถึงง่าย และไม่ค่อยเป็นปัจจัตตัง เท่ากับพวก Behavioural Economics... ตามปกติ ธรรมชาติของธุรกิจ และเศรษฐกิจ จะเป็น Cycle ของมันอยู่แล้ว... ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหาหนัก ธนาคารกลาง และรัฐบาลจึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ด้วยการอัดเงินเข้าระบบ และ ใช้งบประมาณแบบขาดดุล ซึ่งความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถทำได้ถึงแค่จุดหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะพังหนัก จึงเดาได้เลยว่า ดอกเบี้ยที่ extremely low และ การขาดดุลงบประมาณวันหนึ่งจะต้องจบลงอย่างแน่นอน จึงอาจกล่าวได้ว่า นี้เป็นปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้ผลประกอบการของธุรกิจดี

การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เป้าหมายของรัฐฯ คือ ต้องการให้อัตราการว่างงานลดลง ให้อยู่ในสภาวะที่กลับเข้าไปสู่ full employment อย่างไรก็ตามภายใต้กระบวนการดังกล่าว เงินที่อัดเข้ามาจะไปอยู่ในกระเป๋าคนรวย เข้าไปเป็น asset bubble ซะส่วนใหญ่ อันนี้มีทฤษฎีรองรับมากมาย หาอ่านได้ง่ายๆ ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์... รัฐฯ รู้ว่าเงินไปอยู่ผิดที่ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐฯ จำเป็นต้องทำอยู่ดี พยายามอย่างถึงที่สุดให้เงินถูกส่งผ่านเจ้าของกิจการ ไปสู่อัตราการว่างงานที่ต่ำลง ผลก็คือ เกิด asset bubble ปูดออกมาในทางใดก็ทางหนึ่ง... ลองไปหาอ่านพวก Wealth Effect ในทางเศรษฐศาสตร์ละกันนะครับ ถ้าจำไม่ผิด

ที่นี้ช่วงที่ผ่านมา เราก็เห็นว่ากำไรของกิจการในไทย โตขึ้นเพราะ มาตรการรัฐหลายๆ อย่าง การลดภาษี ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินจริง ซึ่งวันหนึ่งต้องสูงขึ้น เพราะ มันจะไปทำให้เงินเฟ้อในระยะยาวมันสูงขึ้น... สิ่งนี้เรามั่นใจได้ว่า มันเป็นปัจจัยชั่วคราว... วันหนึ่งมันจะหมดไปอย่างแน่นอน

แต่ตลาดกลับสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการให้ P/E ที่สูงขึ้นมากกว่ากำไรที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก กำไรสูงขึ้นนิดเดียว แต่ให้ P/E สูงขึ้นมากๆ แถมกำไรที่ดีขึ้นก็เกิดจากปัจจัยชั่วคราวทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าเรามองภาพได้ครบ เราก็จะรู้ว่ากำไรในอนาคตจะลดลง ดังนั้น ในการทำ valuation เราควรที่จะไม่เพิ่ม P/E แต่ควรที่จะให้ P/E ที่ต่ำลงด้วยซ้ำ หากเรามองเห็นภาพของพื้นฐานหลายๆ อย่างได้ครบถ้วน... แต่ทำไมมันถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ล่ะ... ทำไม P/E ถึงเพิ่ม ทั้งๆ ที่ growth ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็น sustainable growth... สำหรับผม ความโลภ ความสำคัญผิด ความไม่รู้ น่าจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นฟองสบู่ และเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ


สำคัญที่สุด... สิ่งที่ผมรู้สึก คือ ผมไม่ค่อยกล้าทำ valuation แบบละเอียดสักเท่าไหร่ ช่วงนี้เวลาทำทีไร ผมอยากขายหุ้นทุกที เพราะ เวลาผมทำ valuation ผมจะมองไปที่อัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งก็คือ การคำนวณหา Cost of Capital ที่สะท้อนกลับออกมาผ่านทางโมเดล DCF ซึ่งพอทำออกมาทีไร จะรู้สึกว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่าสักเท่าไหร่... ซึ่งก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ... ฟองสบู่เป็นช่วงที่ทำให้เรารวยเร็วสุดๆ มันเป็นการดึงความเป็นไปดีๆ ในอนาคตทั้งหมดมา realize ในปัจจุบัน อย่างผมซื้อหุ้น ตามปกติผมต้องการอัตราผลตอบแทนระยะยาวสัก 15-20% วันดีคืนดีคนยอมซื้อมันแพงขึ้นๆ จนอัตราผลตอบแทนระยะยาวลดลงๆ เหลือ 10% 5% 3% 2% 1% จนผลตอบแทนติดลบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีคนที่บ้าพอที่จะยอมซื้อของที่เราถือในราคาที่ชาตินี้เราจะไม่มีวันยอมซื้อ ถึงแม้จะเอาปืนมาจ่อหัวก็เถอะ...

ดังนั้นในช่วงฟองสบู่... เป็นช่วงที่วีไอควรที่จะ enjoy extraordinary gain ให้มาก ควรที่จะอดทนไม่ขาย ถึงแม้จะมีคนบ้าขนาดไหนมาเสนอซื้อหุ้นของเราในราคาที่ชาตินี้เราไม่เคยฝันว่าจะมีคนบ้าขนาดไหนมาขอซื้อเราสูงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า พรุ่งนี้มันอาจจะสูงกว่านี้ก็ได้...

แต่ผมจะไปขายตอนที่ อัตราผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไปเป็น 2% ไปเป็น 3% ซึ่งอาจจะหมายถึงหุ้นตกลง 20-30% ก็ได้ แต่สิ่งที่ผมได้คือ ผม realize ผลตอบแทนในอนาคตที่ผมไม่อาจจะหาได้หากผมลงทุนระยะยาวและไม่มีความบ้าคลั่งของตลาด... ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมพร้อมที่จะโยนซ้าย ขายที่ floor แบบชิวๆ เพราะ ผมกำไรเยอะมากแล้ว และรู้ว่าถึงแม้จะขายที่ floor กำไรที่ผมได้ก็ยังเป็นกำไรในอนาคต ที่ผมจะไม่มีวันได้หากไม่เกิดฟองสบู่


สุดท้าย... ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานเลี้ยงอันสุดแสนจะมันอย่างสุดเหวี่ยงนี้นะครับ... สำหรับผม ผมยินดีที่จะอยู่เกินเที่ยงคืนนิดหน่อย ช่วยล้างจานสักใบสองใบ แต่คงจะไม่อยู่จนถึงเช้า ล้างจานไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่า พรุ่งนี้เช้าจะมีงานเลี้ยงรอบใหม่
ขอโอกาสถามพี่ picatos เรื่องที่พี่บอกว่าจะไปขายตอนที่ผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นจาก 1% ไป 2% 3% ครับ อยากรบกวนพี่ช่วยขยายความให้คนเขลาเช่นผมด้วยครับว่าคิดอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
ระวังเค้าปิดประตูจนต้องล้างถึงเช้านะครับ คริๆ แซวเล่นนะครับ
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 99

โพสต์

prichar s. เขียน:ไม่ใช่ฟองสบู่แตกหรอกครับ
แค่รถซิ่ง(หลาย ๆ คัน)เกิดชนกันบนทางด่วนเท่านั้น
รอสักครู่ หน่วยฉุกเฉินกำลังลำเลียงคนเจ็บส่งเข้ารพ.
เดี๋ยวเคลียร์ซากรถบนถนนเสร็จ
พวกที่เหลือก็จัดขบวนวิ่งกันต่อได้
หน่วยฉุกเฉินโปรดทราบ ช่วยเพิ่มสัญญาณไฟฉุกเฉินหน่อยครับ ตอนนี้ทัศนวิสัยไม่ดี เกรงว่าทั้งรถที่ซิ่งและไม่ซิ่งจะวิ่งเข้าไปชนซากรถซ้ำครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 100

โพสต์

ขายกันใหญ่เลย ปรับฐานดีมากเลยครับ555
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 101

โพสต์

คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ

ซื้อขายโปรดตัดสินใจโดยดูที่พื้นฐานของบ.กันด้วยนะครับ MOS[/size] ครับ อย่าลืมเด็ดขาด อย่ามองเพียงว่าวันก่อนมันราคาเท่านี้แต่วันนี้มันราคาถูกกว่าวันก่อนนะครับ แต่มองด้วยว่าราคาในวันนี้มันขึ้นมาจากที่เท่าไหร่อย่ามองเพียงว่ามันลงมาจากเท่าไหร่ โชคดีทุก ๆ ท่านครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
prichar s.
Verified User
โพสต์: 1426
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 102

โพสต์

leky เขียน:คลื่นลมแรงจริง ๆ ครับ

ซื้อขายโปรดตัดสินใจโดยดูที่พื้นฐานของบ.กันด้วยนะครับ MOS[/size] ครับ อย่าลืมเด็ดขาด อย่ามองเพียงว่าวันก่อนมันราคาเท่านี้แต่วันนี้มันราคาถูกกว่าวันก่อนนะครับ แต่มองด้วยว่าราคาในวันนี้มันขึ้นมาจากที่เท่าไหร่อย่ามองเพียงว่ามันลงมาจากเท่าไหร่ โชคดีทุก ๆ ท่านครับ


แรงแบบนี้ผมเรียก"พายุ"
มือเก่า-มือใหม่ขวัญกระเจิงหมดแล้ว
ผมอยู่มาตั้งนาน ก็ยังไม่ชินซะที

เกาะพื้นฐานกิจการไว้แน่น ๆ ครับ
พายุมันมาเรื่อยแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ....เหมือนทุกครั้ง
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 103

โพสต์

prichar s. เขียน: แรงแบบนี้ผมเรียก"พายุ"
มือเก่า-มือใหม่ขวัญกระเจิงหมดแล้ว
ผมอยู่มาตั้งนาน ก็ยังไม่ชินซะที

เกาะพื้นฐานกิจการไว้แน่น ๆ ครับ
พายุมันมาเรื่อยแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ....เหมือนทุกครั้ง
ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ

สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
"Become a risk taker, not a risk maker"
prichar s.
Verified User
โพสต์: 1426
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 104

โพสต์

leky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ

สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับ
เห็นหุ้นซิ่งมาตั้งแต่ปีใหม่ กลัวครับ
เลยปรับพอร์ตเข้าโซนปลอดภัยรอไว้แล้ว

วันสองวันนี้เกิดอาการน้ำลายไหลไม่หยุด(แพ้ภัยความโลภ)
เพิ่มหุ้นเข้าพอร์ตอีกจนได้

..............................................................................
ลงทุนระยะยาว ข่าวก็แค่ข่าว ราคาผันผวนก็แค่ชั่วคราว
ของจริงคือผลประกอบการ
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 105

โพสต์

prichar s. เขียน:
leky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ

สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับ
เห็นหุ้นซิ่งมาตั้งแต่ปีใหม่ กลัวครับ
เลยปรับพอร์ตเข้าโซนปลอดภัยรอไว้แล้ว

วันสองวันนี้เกิดอาการน้ำลายไหลไม่หยุด(แพ้ภัยความโลภ)
เพิ่มหุ้นเข้าพอร์ตอีกจนได้

..............................................................................
ลงทุนระยะยาว ข่าวก็แค่ข่าว ราคาผันผวนก็แค่ชั่วคราว
ของจริงคือผลประกอบการ
ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มมากนะครับ ปกติผมจะถือหุ้น 100% มาหลายปีแล้ว และทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงจะอะไรก็แล้วแต่มันทำให้ขยับตัวได้ลำบากมาก และก็อย่างที่เคยบอกไป ข่าวร้ายบางทีก็มาตอนที่ทุก ๆ อย่างดูดีไปซะหมด

สองปีก่อน ๆ ที่จะมีข่าว S&P ลดอันดับบอนด์ของอเมริกา ตลาดก็ขึ้นแล้วก็มีแต่ข่าวดี พอมีข่าวร้ายมันก็มาเป็นชุด ตามมาด้วยน้ำท่วม ในปีนั้นกำไรที่ผมทำได้ตั้งแต่ต้นปี "หายไปกับสายน้ำ" เกือบหมด

รอบนี้ตลาดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ช่วงหลังผมพยายามไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม แต่พยายามประเมินมูลค่าหุ้น หลังจากงบออก ตัวไหนที่คิดว่าแพงก็ขายออกไป ถือไว้แต่เพียงตัวที่ยังมีอนาคตและราคาหุ้นยังไม่แพงนักและเผื่อไว้ว่าถ้าตลาดลงก็น่าจะยัน ๆ ไว้ได้ ถือเงินสดมากขึ้นแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในรอบหลาย ๆ ปี

การที่เราจะเดินออกจากงานเลี้ยงก่อน ตอนที่เค้ายังสนุกกันอยู่ ไม่ทันอยู่ช่วง "แจกของรางวัล" มันทำใจยากลำบากไม่น้อยครับ เพราะหุ้นที่ขายไปมันก็ไปต่อบ้าง บางตัวก็มากบางตัวก็ไม่มาก แต่ความรู้สึกเวลาตั้งเข้าไปตรง offer แล้วขายได้ง่าย ๆ มันต่างกับตอนที่ต้องแย่งขายตรง bid มากครับ จนถึงตอนนี้หุ้นที่ขายออกไปบางตัวก็ลงไปต่ำกว่าที่ขาย บางตัวก็ยังสูงกว่าอยู่ปะปนกันไปครับ แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะ "เพ่งเล็ง" ว่าต้องซื้อให้ต่ำที่สุดหรือจะต้องขายให้สูงที่สุด มันก็ทำให้สบายใจขึ้นครับ และก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าผมก็ต้องขอบคุณคนที่มาเคาะขวาหุ้นที่ผมตั้งราคาไว้ ราคาที่มันขึ้นไปอีกไม่มากก็น้อยก็ให้เค้าได้กำไรไปสมกับที่เค้าอุตส่าห์มาเสี่ยงรับหุ้นราคาสูงไปจากผม

มาถึงตรงจุดนี้ผมพยายามจะไม่มองว่าหุ้นที่ผมสนใจมัน "ลงมาเท่าไหร่" แต่จะพยายามมองว่า "มันขึ้นมาเท่าไหร่" เพราะผมเชื่อว่ามุมมองที่มองลงจาก "ดอย" กับมองจาก "ก้นเหว" มันต่างกันครับ :D

ลงทุนให้มีความสุขถือวัตถุประสงค์หลักของผมครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
prichar s.
Verified User
โพสต์: 1426
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 106

โพสต์

[quote="leky"]
มาถึงตรงจุดนี้ผมพยายามจะไม่มองว่าหุ้นที่ผมสนใจมัน "ลงมาเท่าไหร่" แต่จะพยายามมองว่า "มันขึ้นมาเท่าไหร่" เพราะผมเชื่อว่ามุมมองที่มองลงจาก "ดอย" กับมองจาก "ก้นเหว" มันต่างกันครับ :D


ช่วงนี้ถ้าดูที่ราคาที่ขึ้นไปหรือราคาที่ลงมา-- หรือดู bid-offer คงไม่กล้าทำอะไรหรอกครับ (เห็นแล้วสยอง)
ผมมีหุ้น ใน watch list อยู่จำนวนหนึ่ง ตามศึกษามานานพอควร

ตลาดหุ้นไทย over react ครับ ของดีมีคุณภาพอาจถูกนำมาแบขายกะดินถูก ๆ
ไม่ได้หมายความว่าหุ้นลงแรง ๆ เก็บเข้าพอร์ตได้เลยนะ มีอีกหลายปัจจัยที่ต้องตอบก่อนลงมือ
หนึ่งนั้นคือ ผมสายตายาว มอง(หุ้น)แต่ละทีข้ามปีไปเลย

..........................................................................
ฝากอนาคตไว้กับหุ้น เลยต้องค้นหาหุ้นแห่งอนาคต
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 107

โพสต์

เวลาหุ้นตก จิตก็จะตกด้วย
มันขึ้นอยูกับเงินที่หายไป ผมหายไปลล
แต่เราต้องทนกับมันเพราะเราเชื่อมั่นในกิจการว่าเขายังคงดีอยู่และอนาคตดีกว่าวันนี้
วันนี้ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่ฟองสบู่แตกแต่เป็นเพียงปรับฐานเท่านั้น


:8) :8) :8) :8) :8)
greenman
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 532
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 108

โพสต์

leky เขียน:
prichar s. เขียน:
leky เขียน: ถ้าเตรียมตัวรับมือไว้บ้าง ขวัญจะไม่กระเจิงครับ

สิ่งที่ยากคือ ขายในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องดี ๆ ซื้อในยามที่ตลาดมีแต่เรื่องร้าย ๆ เพราะมันจะต้องฝืนความรู้สึกของเราเสมอ
ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับ
เห็นหุ้นซิ่งมาตั้งแต่ปีใหม่ กลัวครับ
เลยปรับพอร์ตเข้าโซนปลอดภัยรอไว้แล้ว

วันสองวันนี้เกิดอาการน้ำลายไหลไม่หยุด(แพ้ภัยความโลภ)
เพิ่มหุ้นเข้าพอร์ตอีกจนได้

..............................................................................
ลงทุนระยะยาว ข่าวก็แค่ข่าว ราคาผันผวนก็แค่ชั่วคราว
ของจริงคือผลประกอบการ
ผมไม่แน่ใจว่าผมเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มมากนะครับ ปกติผมจะถือหุ้น 100% มาหลายปีแล้ว และทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงจะอะไรก็แล้วแต่มันทำให้ขยับตัวได้ลำบากมาก และก็อย่างที่เคยบอกไป ข่าวร้ายบางทีก็มาตอนที่ทุก ๆ อย่างดูดีไปซะหมด

สองปีก่อน ๆ ที่จะมีข่าว S&P ลดอันดับบอนด์ของอเมริกา ตลาดก็ขึ้นแล้วก็มีแต่ข่าวดี พอมีข่าวร้ายมันก็มาเป็นชุด ตามมาด้วยน้ำท่วม ในปีนั้นกำไรที่ผมทำได้ตั้งแต่ต้นปี "หายไปกับสายน้ำ" เกือบหมด

รอบนี้ตลาดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ช่วงหลังผมพยายามไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม แต่พยายามประเมินมูลค่าหุ้น หลังจากงบออก ตัวไหนที่คิดว่าแพงก็ขายออกไป ถือไว้แต่เพียงตัวที่ยังมีอนาคตและราคาหุ้นยังไม่แพงนักและเผื่อไว้ว่าถ้าตลาดลงก็น่าจะยัน ๆ ไว้ได้ ถือเงินสดมากขึ้นแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในรอบหลาย ๆ ปี

การที่เราจะเดินออกจากงานเลี้ยงก่อน ตอนที่เค้ายังสนุกกันอยู่ ไม่ทันอยู่ช่วง "แจกของรางวัล" มันทำใจยากลำบากไม่น้อยครับ เพราะหุ้นที่ขายไปมันก็ไปต่อบ้าง บางตัวก็มากบางตัวก็ไม่มาก แต่ความรู้สึกเวลาตั้งเข้าไปตรง offer แล้วขายได้ง่าย ๆ มันต่างกับตอนที่ต้องแย่งขายตรง bid มากครับ จนถึงตอนนี้หุ้นที่ขายออกไปบางตัวก็ลงไปต่ำกว่าที่ขาย บางตัวก็ยังสูงกว่าอยู่ปะปนกันไปครับ แต่ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะ "เพ่งเล็ง" ว่าต้องซื้อให้ต่ำที่สุดหรือจะต้องขายให้สูงที่สุด มันก็ทำให้สบายใจขึ้นครับ และก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าผมก็ต้องขอบคุณคนที่มาเคาะขวาหุ้นที่ผมตั้งราคาไว้ ราคาที่มันขึ้นไปอีกไม่มากก็น้อยก็ให้เค้าได้กำไรไปสมกับที่เค้าอุตส่าห์มาเสี่ยงรับหุ้นราคาสูงไปจากผม

มาถึงตรงจุดนี้ผมพยายามจะไม่มองว่าหุ้นที่ผมสนใจมัน "ลงมาเท่าไหร่" แต่จะพยายามมองว่า "มันขึ้นมาเท่าไหร่" เพราะผมเชื่อว่ามุมมองที่มองลงจาก "ดอย" กับมองจาก "ก้นเหว" มันต่างกันครับ :D

ลงทุนให้มีความสุขถือวัตถุประสงค์หลักของผมครับ :D
ต่างกันตรงที่ผมถือหุ้นใกล้ 100 % 0จากการเร่งผลตอบแทนมากไปหน่อยแหกโค้งไปบ้าง โชคดีตัวที่ลงทุนลงนิดหน่อยแต่อดเสียดายไม่ได้ ปล.ผมลงทุนหุ้นมาหลายปีก็อย่างนี้ช่วงต้มยำอเมริกาผมยังรอดมาได้ VI ทุกท่านก็รอดได้ อย่างดีด้วยขอบอกและเป็นกำลังใจให้ สาธุ สาธุ
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 109

โพสต์

"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ส.สลึง
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3750
ผู้ติดตาม: 1

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 110

โพสต์

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมอยากจะบอกว่า...
ตลาดหลักทรัพย์ กับ หัวใจของเรา
มันอยู่ไกลกันมากครับ
หุ้นจะขึ้นก็ได้ หรือหุ้นจะลงก็ดี
แต่ใจเรามันอยู่กับเราครับ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <⁠(⁠ ̄⁠︶⁠ ̄⁠)⁠> ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 111

โพสต์

Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิ :D :D :D
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 112

โพสต์

บูรพาไม่แพ้ เขียน:
Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิ :D :D :D
ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 113

โพสต์

chatchai เขียน:
บูรพาไม่แพ้ เขียน:
Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิ :D :D :D
ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้

แล้วผมก็จะเห็นพี่ฉัตรชัย ออกมาเม้นท์ลักษณะนี้ เพื่อเตือนสติ อิ อิ

คนที่ขายทันก็ดีไปครับ (ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่ขายไป หรือยังลงต่อ)

คนที่ขายไม่ทัน หรือเข้าไปรับมีดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแย่ (ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายขาดทุนออกมา แล้วเดินออกจากตลาดไปถาวร)

ราคาหุ้นที่ผันผวนมันไม่แน่หรอกครับว่าใครจะได้หัวเราะทีหลัง แล้วมันก็จะวนเวียนแบบนี้ต่อไปจนกว่าเราจะลุกออกจากเกมไปเด็ดขาด

ถามตัวเองดีกว่าครับ ว่าเราจะอยู่กับเกมนี้ยังไงให้มีความสุขในระยะยาว
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 114

โพสต์

chatchai เขียน:
บูรพาไม่แพ้ เขียน:
Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^
เหมือนกันครับ เคยมาแล้วเจ็บมาแล้ว จนเข้าใจคำว่า อย่าเก็บเหรียญบาทบนทางด่วน เลยครับ ใจเย็นๆโอกาสมีอยู่ทุกเมื่อไม่มีสายหรอกครับ เสียดายดีกว่าเสียใจนะ อิอิอิ :D :D :D
ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ

ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน

มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ

การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 115

โพสต์

Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^)
อ้าว!!...กลายเป็นประเด็นไปเลย 555+ ขออธิบายแต่ละท่านดังนี้ครับ...^^)
chatchai เขียน:ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
ตรงนี้ของคุณ "chatchai" จะรู้ได้ก็หลังจากเกิดวิกฤตแล้วครับ แต่สถานการณ์
ตอนนี้ผมมองว่ายังไม่ชัวร์ครับว่าเป็นวิกฤตหรือเปล่าครับ ผมจึงคิดว่ายังไม่ควร
ไปรับมีดนะตอนนี้ครับ...^^)
ดำ เขียน:ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้

แล้วผมก็จะเห็นพี่ฉัตรชัย ออกมาเม้นท์ลักษณะนี้ เพื่อเตือนสติ อิ อิ

คนที่ขายทันก็ดีไปครับ (ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่ขายไป หรือยังลงต่อ)

คนที่ขายไม่ทัน หรือเข้าไปรับมีดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแย่ (ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายขาดทุนออกมา แล้วเดินออกจากตลาดไปถาวร)

ราคาหุ้นที่ผันผวนมันไม่แน่หรอกครับว่าใครจะได้หัวเราะทีหลัง แล้วมันก็จะวนเวียนแบบนี้ต่อไปจนกว่าเราจะลุกออกจากเกมไปเด็ดขาด
สำหรับผมตอนนี้เงินยังอยู่ในหุ้น 99% ครับ(เฉพาะเงินที่ไว้ลงทุนในหุ้นนะครับ
ไม่ใช่เงินเก็บทั้งหมด) เพราะผมยึดคติเดียวตั้งแต่เริ่มลงทุนมาครับ ว่า
"ถ้าเงินในพอร์ตเหลือ 0 บาท!!! จะต้องไม่กระทบต่อชีวิตของเราและครอบครัวครับ"
....^^)

ปล. หุ้นในพอร์ตยังถืออยู่ 7 ตัวครับ...^^)
leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ

ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน

มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ

การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)

ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)

ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
jeatsada
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 362
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 116

โพสต์

ของผม ยังไม่ขาย เพราะเท่าที่ดูที่ผ่านมา ถ้าวิกฤตจริง ๆ 1 ปีหรือ 1 ปีกว่าราคาอย่างน้อยน่าจะมาเท่าเดิม ผมว่าวิกฤตจริง น่าจะเริ่มราว 2559 - 2560 ช่วงนั้นอาจจะขายบ้างหน่อย ...
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 117

โพสต์

Plant เขียน:
Plant เขียน:"อย่ารีบรับมีดที่ตกลงมาจากฟ้า รอให้ปักดินก่อนแล้วค่อยเก็บ"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แค่นี้ครับ เหอๆๆ....^^)
อ้าว!!...กลายเป็นประเด็นไปเลย 555+ ขออธิบายแต่ละท่านดังนี้ครับ...^^)
chatchai เขียน:ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปักดินแล้ว
ตรงนี้ของคุณ "chatchai" จะรู้ได้ก็หลังจากเกิดวิกฤตแล้วครับ แต่สถานการณ์
ตอนนี้ผมมองว่ายังไม่ชัวร์ครับว่าเป็นวิกฤตหรือเปล่าครับ ผมจึงคิดว่ายังไม่ควร
ไปรับมีดนะตอนนี้ครับ...^^)
ดำ เขียน:ช่วงที่หุ้นลง ก็จะมีบางคนที่หนีทัน หรือมีเงินสดอยู่เพราะเชื่อว่าจะลงไปอีก มาโพสต์ลักษณะนี้

แล้วผมก็จะเห็นพี่ฉัตรชัย ออกมาเม้นท์ลักษณะนี้ เพื่อเตือนสติ อิ อิ

คนที่ขายทันก็ดีไปครับ (ตราบใดที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าที่ขายไป หรือยังลงต่อ)

คนที่ขายไม่ทัน หรือเข้าไปรับมีดแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าแย่ (ตราบใดที่ยังไม่ได้ขายขาดทุนออกมา แล้วเดินออกจากตลาดไปถาวร)

ราคาหุ้นที่ผันผวนมันไม่แน่หรอกครับว่าใครจะได้หัวเราะทีหลัง แล้วมันก็จะวนเวียนแบบนี้ต่อไปจนกว่าเราจะลุกออกจากเกมไปเด็ดขาด
สำหรับผมตอนนี้เงินยังอยู่ในหุ้น 99% ครับ(เฉพาะเงินที่ไว้ลงทุนในหุ้นนะครับ
ไม่ใช่เงินเก็บทั้งหมด) เพราะผมยึดคติเดียวตั้งแต่เริ่มลงทุนมาครับ ว่า
"ถ้าเงินในพอร์ตเหลือ 0 บาท!!! จะต้องไม่กระทบต่อชีวิตของเราและครอบครัวครับ"
....^^)

ปล. หุ้นในพอร์ตยังถืออยู่ 7 ตัวครับ...^^)
leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ

ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน

มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ

การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)

ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)

ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บ

การรับมีดที่ผมบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้มีดมันปักกับพื้นดิน เพราะถ้าเราประเมินหุ้นที่เราจะซื้อแบบมองอย่างปลอดภัยจริง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรับมีดไม่ให้บาดมือโดยจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ถึงหุ้นมันจะลงไปบ้าง แต่ด้วยคุณค่าของหุ้นตัวนั้นกับการให้ MOS ที่เหมาะสม สุดท้ายหุ้นมันต้องกลับมาครับ ถ้าคุณยิ่งให้ MOS มากโอกาสที่เราจะบาดเจ็บก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ถึงแม้ตลาดจะเล่นตลกกับเราบ้าง แต่ถ้าตัวหุ้นยังดี ซื้อได้ในราคาถูก สุดท้ายตลาดก็คงเล่นตลกได้ไม่นานครับ

ทำไมไม่มองแบบนี้บ้างครับ ถ้าทุกคนต่างต้องการเก็บ "มีดชั้นดี" ที่ปักลงที่พื้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ณ เวลาที่มีดมันปักลงกับพื้น จะมีคนที่คิดแบบเราอีกกี่คนที่คิดเหมือนเราจะเตรียมที่จะวิ่งออกไปพร้อม ๆ กันเพื่อที่จะเก็บมีดเล่มนั้น ผมกลัวกว่าถึงเวลานั้น เราจะโดน "สุนัขคาบไปรับประทาน" ครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 118

โพสต์

leky เขียน:
leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ

ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน

มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ

การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)

ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)

ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บ

การรับมีดที่ผมบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้มีดมันปักกับพื้นดิน เพราะถ้าเราประเมินหุ้นที่เราจะซื้อแบบมองอย่างปลอดภัยจริง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรับมีดไม่ให้บาดมือโดยจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ถึงหุ้นมันจะลงไปบ้าง แต่ด้วยคุณค่าของหุ้นตัวนั้นกับการให้ MOS ที่เหมาะสม สุดท้ายหุ้นมันต้องกลับมาครับ ถ้าคุณยิ่งให้ MOS มากโอกาสที่เราจะบาดเจ็บก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ถึงแม้ตลาดจะเล่นตลกกับเราบ้าง แต่ถ้าตัวหุ้นยังดี ซื้อได้ในราคาถูก สุดท้ายตลาดก็คงเล่นตลกได้ไม่นานครับ

ทำไมไม่มองแบบนี้บ้างครับ ถ้าทุกคนต่างต้องการเก็บ "มีดชั้นดี" ที่ปักลงที่พื้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ณ เวลาที่มีดมันปักลงกับพื้น จะมีคนที่คิดแบบเราอีกกี่คนที่คิดเหมือนเราจะเตรียมที่จะวิ่งออกไปพร้อม ๆ กันเพื่อที่จะเก็บมีดเล่มนั้น ผมกลัวกว่าถึงเวลานั้น เราจะโดน "สุนัขคาบไปรับประทาน" ครับ :D[/quote]

ยกตัวอย่างง่าย ๆ แล้วกันนะครับ เอาแบบสุดโต่งเห็นภาพชัด ๆ แล้วกันนะครับ สมมติว่าวันจันทร์หุ้นลงไปอีก 50 จุด แต่ PTT เหลือ 200 บาท CPALL เหลือ 25 บาท (สมมติ) เราควรจะมองว่าตลาดมันจะตกลงไปอีกหรือควรจะรีบซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 119

โพสต์

leky เขียน:
leky เขียน:
leky เขียน:สำหรับผมนะครับ มีดปักดินหรือไม่ปัก มันอยู่ที่ "ใจ" ทั้งนั้นครับ

ถ้าเรากลัวมีด ถึงมันจะปักดินแล้วเราก็ยังคงกลัว ถ้าเราไม่กลัวมีดถึงมันจะกำลังลงมาจากฝากฟ้า แต่ถ้าเราคิดว่าเรารับมีดนั้นได้เราก็ไม่กลัวมันบาดมือเช่นกัน

มองกลับมาที่หุ้น ถ้าเราประเมินในแง่กิจการแล้วถ้าคิดว่าราคาหุ้นมันถูกถึงจะรับหุ้นตัวนั้นเข้ามาประหนึ่งเหมือนรับมีดเล่มนั้น ไยต้องไปกลัวว่ามันจะอยู่กลางอากาศหรือปักไปที่พื้น เพราะคุณค่าของการเข้าไปรับคือ "ตัวมีด" มิใช่เพราะมีดมันอยู่กลางอากาศหรือปักลงไปที่ดินครับ

การเข้าไปรับมีดให้มีดไม่บาดมือเปรียบเสมือนการประเมินบ.ในพื้นฐานของความเป็นจริง ถ้าคุณค่าของมีดเล่มหนึ่งคือ "ความคม" ที่มีไว้ตัด แต่ถ้ามีดที่เราไปดึงออกมาจากพื้นดินเป็นมีดที่เป็นสนิมหมดสภาพของ "ความเป็นมีด" เปรียบเสมือนกิจการที่พื้นฐานไม่ดี มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันที่จะไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากพื้นดินครับ
เอ่อ...อันนี้คิดลึกซึ้งครับ ผมเข้าใจได้ไม่หมด ต้องขอโทษด้วยครับ...T-T)
ผมมองแบบนี้ครับ ถ้าเรารับก่อนแล้วตลาดยังลงไปอีกก็แปลว่ารับของมาแพง
และก็ยังไม่รู้ว่านี่คือวิกฤตหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเราไปรับช่วงเริ่มของวิกฤตโดยคิดว่าตัวที่
เรารับไว้วิเคราะห์ไว้ดีแล้ว แต่มันเกิดวิกฤตจริงซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อธุรกิจที่เราลงทุนไป
นั่นจะไม่ใช่ว่าเราแค่รับของมาแพงแล้วครับ แต่เราคงต้องขายขาดทุนเป็นแน่ เพราะถ้า
เกิดวิกฤตจริงก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะฟื้นได้เมื่อไร แล้วถ้าธุรกิจสามารถฟื้นได้จริงก็มามองเรื่อง
ค่าของเงินที่ลงทุนไปแล้วต้องเสียเวลารอให้บริษัทฟื้น กับการที่เรานำเงินก้อนนั้นไปลง
ทุนในเรื่องอื่นซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือที่เรียกกันว่า "ค่าเสียโอกาส" หนะครับ...^^)

ในมุมมองของผม ณ ปัจจุบัน ผมยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤตชัดเจนเลย ผมจึงสรุปไม่ได้
ว่าที่ตลาดลงนี่เกิดจากงานปาตี้เลิกกันแล้ว หรือแค่ไฟดับในงานเพราะเหตุขัดข้องกันแน่
สิ่งที่ผมทำอยู่ก็คือรอดูสถานการณ์ต่อไปครับ...^^)

ปล.เรื่องสัญญาณของวิกฤตมันอาจจะยังไม่มี หรือผมอาจมองข้ามบางเรื่องไปก็ได้ครับ
ต้องขอให้ผู้เห็นสัญญาณช่วยชี้ทางให้แล้วหละครับ ขอบคุณครับ...^^)
ขยายความอีกหน่อยครับ "รับมีดที่หล่นจากฟ้า" ใครเป็นผู้กำหนดว่าต้องใช้ "มือ" รับมีด ถ้าใช้ "มือ" รับมีดก็ย่อมเสี่ยงที่จะโดนมีดบาด ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือในการรับมีดที่ตกลงมา การรับมีดเพื่อไม่ให้โดนมีดบาด ย่อมมีอยู่หลายวิธี แบ่งง่าย ๆ เป็นสองอย่าง อย่างแรก รับด้วยมือจริง ๆ และคนที่รับมีความชำนาญในการรับ อย่างที่สอง "ใช้อุปกรณ์อื่น" เช่นเอาถังเหล็กมารับกลางอากาศ แต่ก็ยังคงได้มีดและไม่บาดเจ็บ

การรับมีดที่ผมบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้มีดมันปักกับพื้นดิน เพราะถ้าเราประเมินหุ้นที่เราจะซื้อแบบมองอย่างปลอดภัยจริง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรับมีดไม่ให้บาดมือโดยจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ถึงหุ้นมันจะลงไปบ้าง แต่ด้วยคุณค่าของหุ้นตัวนั้นกับการให้ MOS ที่เหมาะสม สุดท้ายหุ้นมันต้องกลับมาครับ ถ้าคุณยิ่งให้ MOS มากโอกาสที่เราจะบาดเจ็บก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ถึงแม้ตลาดจะเล่นตลกกับเราบ้าง แต่ถ้าตัวหุ้นยังดี ซื้อได้ในราคาถูก สุดท้ายตลาดก็คงเล่นตลกได้ไม่นานครับ

ทำไมไม่มองแบบนี้บ้างครับ ถ้าทุกคนต่างต้องการเก็บ "มีดชั้นดี" ที่ปักลงที่พื้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ณ เวลาที่มีดมันปักลงกับพื้น จะมีคนที่คิดแบบเราอีกกี่คนที่คิดเหมือนเราจะเตรียมที่จะวิ่งออกไปพร้อม ๆ กันเพื่อที่จะเก็บมีดเล่มนั้น ผมกลัวกว่าถึงเวลานั้น เราจะโดน "สุนัขคาบไปรับประทาน" ครับ :D
ยกตัวอย่างง่าย ๆ แล้วกันนะครับ เอาแบบสุดโต่งเห็นภาพชัด ๆ แล้วกันนะครับ สมมติว่าวันจันทร์หุ้นลงไปอีก 50 จุด แต่ PTT เหลือ 200 บาท CPALL เหลือ 25 บาท (สมมติ) เราควรจะมองว่าตลาดมันจะตกลงไปอีกหรือควรจะรีบซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: ใกล้ฟองสบู่ ?

โพสต์ที่ 120

โพสต์

ขอบคุณ คุณ "leky" ที่ได้ขยายความให้เห็นภาพมากขึ้นครับ...^^)