เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอสแอน
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอสแอน
โพสต์ที่ 1
บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอสแอนด์พี"
29 เม.ย. 2556, 01:54 น.
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
“แมรี บัฟเฟตต์” อดีตสะใภ้คนเล็ก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนหุ้นคุณค่าเศรษฐีโลกได้เดินทางมาไทย เพื่อพูดเรื่องค้นหาปรัชญาของ “บัฟเฟตต์” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามคำเชิญของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี
เธอเป็นนักเขียนหนังสือติดอันดับขายดีที่สุดของโลก และนักพูดเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์ วัตถุดิบในการเขียนนั้นเป็นประสบการณ์ในช่วงเวลาที่สมรสกับ “ปีเตอร์” บุตรชายของบัฟเฟตต์เป็นเวลา 12 ปี เธอจึงเป็นทั้งนักเขียนและนักพูดที่มีความสามารถอธิบายโลกการลงทุนที่ซับซ้อนให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ตั้งแต่ทั่วสหรัฐจนถึงกรุงลอนดอน หรือปักกิ่งที่จีน และล่าสุดที่กรุงเทพฯ
12 ปีระหว่างเป็นสะใภ้ของบัฟเฟตต์ เรื่องของบัฟเฟตต์ไม่เคยเล็ดลอดออกมาให้โลกรู้ จนกระทั่งแมรีได้ร่วมกับ เดวิด คลาร์ก ออกหนังสือ BUFFETTOLOGY หรือกลยุทธ์ชัยชนะการลงทุนออกมาเป็นเล่มแรก ที่เฉลยว่าผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จ ทำให้สถานะติดอันดับเศรษฐีโลก และทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันถึง 8 เล่ม ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลกและออกรายการทีวีมากมายทั้งซีเอ็นเอ็นและบลูมเบิร์ก
ในจำนวนนี้ โพสต์บุคส์ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยออกมาทั้งหมด 4 เล่ม
แมรี กล่าวว่า คนส่วนใหญ่รู้จักบัฟเฟตต์ว่าเป็นอัจฉริยะในการลงทุน แต่มีน้อยคนที่รู้ว่าเขาปราดเปรื่องในการบริหารจัดการชีวิตและธุรกิจและผู้บริหารพนักงานมากกว่า โดยบริษัทส่วนตัวของเขา “เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์” มีพนักงานทั้งหมด 2.33 แสนคนทั่วโลก มีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 88 คน รายงานโดยตรงหรือในทางอ้อม ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นดีกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน
เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ทำรายได้สุทธิจากการเติบโตจาก 18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในปี 2522 เป็น 4,093 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ในปี 2550 หรือเติบโตปีละ 21.39% กำไรสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ตการลงทุนของบริษัทเองที่เติบโตเพียงปีละ 19.78%
เอ.แอล.อูเอลท์สคี ผู้ก่อตั้งและประธานของไฟลท์เซฟตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ บริษัทชั้นนำด้านการฝึกอบรมการบิน กล่าวแก่โรเบิร์ต พี. ไมล์ส เกี่ยวกับบัฟเฟตต์ ผู้เป็นนาย ว่า “ความเป็นผู้นำ คือ ทุกสิ่งในการเป็นผู้บริหารที่ดี” แต่ละอักษรของคำคำนี้ คือคุณสมบัติที่ผู้บริหารจะต้องมี คือ ความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ความกระตือรือร้น ทัศนคติ วินัย ตัวอย่าง คุณต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ความรอบรู้ ซื่อสัตย์ มีศีลธรรม และความภาคภูมิใจ ที่บัฟเฟตต์มีคุณสมบัติครบถ้วน
ในความเป็นนักลงทุนเขาเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม โดยการซื้อหุ้นได้ถูกที่ถูกเวลา เขาทำอย่างไร
แมรี เล่าว่า ช่วงเวลา 12 ปี ที่มีประสบการณ์ร่วมกับ “บัฟเฟตต์” ระหว่างที่พักผ่อนในงานเลี้ยงและคุยเรื่องธุรกิจ บัฟเฟตต์แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นลง เพราะมองว่าเป็นโอกาส เราจะซื้อหุ้นเสมือนเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัท เข้าไปเมื่อบริษัทนั้นมีปัญหา
เคล็ดลับในการลงทุนของ “บัฟเฟตต์” คือ ก่อนเข้าซื้อหุ้นบริษัทจะมีการวิเคราะห์ คาดการณ์สินค้า และคาดการณ์อนาคตที่ต้องพิจารณาทั้งสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) กระแสเงินสด และการบริหารจัดการ
“ผมจะมองหาธุรกิจที่คิดว่าสามารถทำนายได้ว่ามันจะเป็นอย่างไรในอีก 10-15 ปีข้างหน้า”
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน ก่อนการลงทุนจะมีการคาดการณ์สินค้า ทำความเข้าใจบริษัทว่ามีการบริหารจัดการดีหรือไม่ ผู้บริหารมีสไตล์การบริหารเช่นไร
แนวทางในการลงทุนบริษัทนั้น อันดับแรก ต้องพิจารณาคือ ศักยภาพการแข่งขัน ตัวบริษัทและราคา
เธอกล่าวว่า นักลงทุนระยะยาวจะไม่มีความเสี่ยงเพราะคาดหวังกำไรในอนาคต
สำหรับหุ้นไทย ในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น เปรียบเสมือนหญิงสาววัยรุ่นที่สวยและมีเจ้าของแล้ว บัฟเฟตต์ได้แต่มองด้วยสายตาที่มีแต่ความหวังเท่านั้น
บลูมเบิร์กคาดว่า เศรษฐกิจประเทศไทยจะเติบโตเป็นอันดับสามในบรรดาประเทศเกิดใหม่ รองจากจีนและเกาหลีใต้ โดยกองทุนเอเชีย กรุ๊ป ของ “มาร์ค โมเบียส” เข้ามาลงทุนสูงถึง 21% ของพอร์ต
นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย กล่าวว่า สไตล์การลงทุนของ “บัฟเฟตต์” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอัตราเติบโตที่มั่นคง ถึงมีวิกฤตก็อยู่ได้
“จรัมพร โชติกเสถียร” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความเข้าใจในการลงทุนอย่างแท้จริงเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนของบัพเฟตต์
29 เม.ย. 2556, 01:54 น.
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
“แมรี บัฟเฟตต์” อดีตสะใภ้คนเล็ก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนหุ้นคุณค่าเศรษฐีโลกได้เดินทางมาไทย เพื่อพูดเรื่องค้นหาปรัชญาของ “บัฟเฟตต์” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามคำเชิญของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี
เธอเป็นนักเขียนหนังสือติดอันดับขายดีที่สุดของโลก และนักพูดเกี่ยวกับวิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์ วัตถุดิบในการเขียนนั้นเป็นประสบการณ์ในช่วงเวลาที่สมรสกับ “ปีเตอร์” บุตรชายของบัฟเฟตต์เป็นเวลา 12 ปี เธอจึงเป็นทั้งนักเขียนและนักพูดที่มีความสามารถอธิบายโลกการลงทุนที่ซับซ้อนให้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ตั้งแต่ทั่วสหรัฐจนถึงกรุงลอนดอน หรือปักกิ่งที่จีน และล่าสุดที่กรุงเทพฯ
12 ปีระหว่างเป็นสะใภ้ของบัฟเฟตต์ เรื่องของบัฟเฟตต์ไม่เคยเล็ดลอดออกมาให้โลกรู้ จนกระทั่งแมรีได้ร่วมกับ เดวิด คลาร์ก ออกหนังสือ BUFFETTOLOGY หรือกลยุทธ์ชัยชนะการลงทุนออกมาเป็นเล่มแรก ที่เฉลยว่าผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จ ทำให้สถานะติดอันดับเศรษฐีโลก และทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปัจจุบันถึง 8 เล่ม ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลกและออกรายการทีวีมากมายทั้งซีเอ็นเอ็นและบลูมเบิร์ก
ในจำนวนนี้ โพสต์บุคส์ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยออกมาทั้งหมด 4 เล่ม
แมรี กล่าวว่า คนส่วนใหญ่รู้จักบัฟเฟตต์ว่าเป็นอัจฉริยะในการลงทุน แต่มีน้อยคนที่รู้ว่าเขาปราดเปรื่องในการบริหารจัดการชีวิตและธุรกิจและผู้บริหารพนักงานมากกว่า โดยบริษัทส่วนตัวของเขา “เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์” มีพนักงานทั้งหมด 2.33 แสนคนทั่วโลก มีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 88 คน รายงานโดยตรงหรือในทางอ้อม ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นดีกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน
เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ทำรายได้สุทธิจากการเติบโตจาก 18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในปี 2522 เป็น 4,093 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ในปี 2550 หรือเติบโตปีละ 21.39% กำไรสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ตการลงทุนของบริษัทเองที่เติบโตเพียงปีละ 19.78%
เอ.แอล.อูเอลท์สคี ผู้ก่อตั้งและประธานของไฟลท์เซฟตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ บริษัทชั้นนำด้านการฝึกอบรมการบิน กล่าวแก่โรเบิร์ต พี. ไมล์ส เกี่ยวกับบัฟเฟตต์ ผู้เป็นนาย ว่า “ความเป็นผู้นำ คือ ทุกสิ่งในการเป็นผู้บริหารที่ดี” แต่ละอักษรของคำคำนี้ คือคุณสมบัติที่ผู้บริหารจะต้องมี คือ ความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ความกระตือรือร้น ทัศนคติ วินัย ตัวอย่าง คุณต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ความรอบรู้ ซื่อสัตย์ มีศีลธรรม และความภาคภูมิใจ ที่บัฟเฟตต์มีคุณสมบัติครบถ้วน
ในความเป็นนักลงทุนเขาเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม โดยการซื้อหุ้นได้ถูกที่ถูกเวลา เขาทำอย่างไร
แมรี เล่าว่า ช่วงเวลา 12 ปี ที่มีประสบการณ์ร่วมกับ “บัฟเฟตต์” ระหว่างที่พักผ่อนในงานเลี้ยงและคุยเรื่องธุรกิจ บัฟเฟตต์แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นลง เพราะมองว่าเป็นโอกาส เราจะซื้อหุ้นเสมือนเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัท เข้าไปเมื่อบริษัทนั้นมีปัญหา
เคล็ดลับในการลงทุนของ “บัฟเฟตต์” คือ ก่อนเข้าซื้อหุ้นบริษัทจะมีการวิเคราะห์ คาดการณ์สินค้า และคาดการณ์อนาคตที่ต้องพิจารณาทั้งสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) กระแสเงินสด และการบริหารจัดการ
“ผมจะมองหาธุรกิจที่คิดว่าสามารถทำนายได้ว่ามันจะเป็นอย่างไรในอีก 10-15 ปีข้างหน้า”
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน ก่อนการลงทุนจะมีการคาดการณ์สินค้า ทำความเข้าใจบริษัทว่ามีการบริหารจัดการดีหรือไม่ ผู้บริหารมีสไตล์การบริหารเช่นไร
แนวทางในการลงทุนบริษัทนั้น อันดับแรก ต้องพิจารณาคือ ศักยภาพการแข่งขัน ตัวบริษัทและราคา
เธอกล่าวว่า นักลงทุนระยะยาวจะไม่มีความเสี่ยงเพราะคาดหวังกำไรในอนาคต
สำหรับหุ้นไทย ในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น เปรียบเสมือนหญิงสาววัยรุ่นที่สวยและมีเจ้าของแล้ว บัฟเฟตต์ได้แต่มองด้วยสายตาที่มีแต่ความหวังเท่านั้น
บลูมเบิร์กคาดว่า เศรษฐกิจประเทศไทยจะเติบโตเป็นอันดับสามในบรรดาประเทศเกิดใหม่ รองจากจีนและเกาหลีใต้ โดยกองทุนเอเชีย กรุ๊ป ของ “มาร์ค โมเบียส” เข้ามาลงทุนสูงถึง 21% ของพอร์ต
นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย กล่าวว่า สไตล์การลงทุนของ “บัฟเฟตต์” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอัตราเติบโตที่มั่นคง ถึงมีวิกฤตก็อยู่ได้
“จรัมพร โชติกเสถียร” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความเข้าใจในการลงทุนอย่างแท้จริงเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนของบัพเฟตต์
-
- Verified User
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 2
"สำหรับหุ้นไทย ในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น เปรียบเสมือนหญิงสาววัยรุ่นที่สวยและมีเจ้าของแล้ว บัฟเฟตต์ได้แต่มองด้วยสายตาที่มีแต่ความหวังเท่านั้น"
ขอบคุณมาครับท่าน pakapong_u
ได้แนวคิดดีๆเลยครับ
ขอบคุณมาครับท่าน pakapong_u
ได้แนวคิดดีๆเลยครับ
เราจะรวยแร้วววววววววว
-
- Verified User
- โพสต์: 164
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 3
หวังว่าเค้าเลิกกัน แล้วเราได้มีโอกาศเสียบแทน.sorawitch เขียน:"สำหรับหุ้นไทย ในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น เปรียบเสมือนหญิงสาววัยรุ่นที่สวยและมีเจ้าของแล้ว บัฟเฟตต์ได้แต่มองด้วยสายตาที่มีแต่ความหวังเท่านั้น"
ขอบคุณมาครับท่าน pakapong_u
ได้แนวคิดดีๆเลยครับ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 4
ชัดเจนในมุมมองครับ
แสดงว่าปู่บัฟฟ์ นอกจากชอบโค้ก ยังชอบ อาหารไทย
แต่มี MINT จองตัวไว้แล้วอ่ะนะ เขาคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ
แสดงว่าปู่บัฟฟ์ นอกจากชอบโค้ก ยังชอบ อาหารไทย
แต่มี MINT จองตัวไว้แล้วอ่ะนะ เขาคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 385
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 5
Buffett Steals Coke’s Show Telling CEO to Study Failure
http://www.bloomberg.com/news/2013-04-2 ... cency.html
http://www.bloomberg.com/news/2013-04-2 ... cency.html
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณ ท่านเจ้าของกระทู้ และ ท่านเจ้าของบทความ มากครับ
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน ก่อนการลงทุนจะมีการคาดการณ์สินค้า ทำความเข้าใจบริษัทว่ามีการบริหารจัดการดีหรือไม่ ผู้บริหารมีสไตล์การบริหารเช่นไร
ไม่ทราบว่า ประโยคข้างต้น เป็นความคิดเห็นของ ท่านบัฟเฟตต์ จริง ๆ หรือเป็นมุมมองของ ท่านแมรี่ ครับ
ขอบคุณครับ
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน ก่อนการลงทุนจะมีการคาดการณ์สินค้า ทำความเข้าใจบริษัทว่ามีการบริหารจัดการดีหรือไม่ ผู้บริหารมีสไตล์การบริหารเช่นไร
ไม่ทราบว่า ประโยคข้างต้น เป็นความคิดเห็นของ ท่านบัฟเฟตต์ จริง ๆ หรือเป็นมุมมองของ ท่านแมรี่ ครับ
ขอบคุณครับ
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 7
ขอสงสัยด้วยคนคับ ผมว่าแนวคิดของผู้เขียนนั้นน่าจะมีส่วนเชื่อถือได้บ้าง เพราะส่วนนึงได้มาจากการใกล้ชิดกับบัฟเฟตต์จริงๆtigerroad197 เขียน:ขอบคุณ ท่านเจ้าของกระทู้ และ ท่านเจ้าของบทความ มากครับ
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน ก่อนการลงทุนจะมีการคาดการณ์สินค้า ทำความเข้าใจบริษัทว่ามีการบริหารจัดการดีหรือไม่ ผู้บริหารมีสไตล์การบริหารเช่นไร
ไม่ทราบว่า ประโยคข้างต้น เป็นความคิดเห็นของ ท่านบัฟเฟตต์ จริง ๆ หรือเป็นมุมมองของ ท่านแมรี่ ครับ
ขอบคุณครับ
แต่เรื่องแนวคิดในการเขียนนี่ ผมไม่รู้คิดเองหรือเปล่า หรือเป็นความคิดที่ได้สอบถามกับบัฟเฟตต์แล้ว อย่างเช่นว่า
“บัฟเฟตต์” ชอบหุ้นบริษัท โคคา-โคล่า หรือถ้าเปรียบเป็นหุ้นไทยคงเป็นบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคด (SNP) ที่อย่างไรคนก็ไม่หยุดดื่มและรับประทาน
ผมก็ไม่แน่ใจว่าบัฟเฟตต์จะเคยทานเค๊ก SNP หรือเปล่า 55 หรือเคยได้ยินชื่อหรือเปล่า หรือบัฟเฟตต์ชอบทานอาหารไทยคับ
"สำหรับหุ้นไทย ในมุมมองของบัฟเฟตต์นั้น เปรียบเสมือนหญิงสาววัยรุ่นที่สวยและมีเจ้าของแล้ว บัฟเฟตต์ได้แต่มองด้วยสายตาที่มีแต่ความหวังเท่านั้น"
อันนี้ยิ่งน่าสงสัยใหญ่ 55 ว่าเป็นคำพูดจากบัฟเฟตต์เอง หรือผู้เขียนคิดให้กันแน่
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 8
ต้องให้ผู้ำปร่วมฟังเสวนามาถ่ายทอดให้ฟังเพ่ิมเติมด้วยแล้วละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 9
คอลัมน์: Money Pro: แนวคิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, April 29, 2013 06:16
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP TM
[email protected]
ดิฉันขอสารภาพว่าไม่เคยอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เลย แต่ได้ติดตามเรื่องราวของเขา ได้อ่านปรัชญาในการลงทุนของเขาที่มีผู้นำมา เล่าขานต่อ ซึ่งรู้สึกชอบและยังชื่นชมกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย รวมถึง ความใจกว้างที่ยกเงินให้เป็นประโยชน์กับสาธารณะหรือที่เรียกกันว่าการลงทุน เพื่อเพื่อนร่วมโลก (Philanthropy Investment) ที่ดิฉันเลยเขียนถึงไปแล้วเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2553
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง Money Channel ได้กรุณาเชิญดิฉันไปฟังคุณแมรี่ บัฟเฟตต์ อดีตลูกสะใภ้ของวอร์เรน และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรนและวิธีการลงทุน รวมถึงแนวปรัชญาของเขาไว้หลายเล่ม งานสัมมนาชื่อ Exploring Buffettology with Mary Buffett
งานนี้ทำให้ดิฉันได้จับหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์มาศึกษาเป็นครั้งแรก และอยากจะแสดงความคิดเห็นต่อแนวคิดและวิธีการของวอร์เรนบางส่วน แนวทางในการลงทุนของดิฉันมีบางส่วนที่ คล้ายกับวอร์เรน แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน แต่แนวคิดในการใช้เงิน ออมเงินและลงทุนคล้ายกันมาก ขอยกตัวอย่างมาพอสังเขปดังนี้
วอร์เรน เลือกที่จะ นั่งรถเก่า แล้วเอาเงินไปลงทุนมากกว่าที่จะเอาเงินมาซื้อรถใหม่นั่ง แล้วไม่มีโอกาสลงทุน โดยให้เหตุผลว่า ยิ่งเรามีเงินก้อนตอนอายุน้อย เรายิ่งสามารถทำให้มันเติบโตเพิ่มขึ้นได้มาก เขานำเงินประมาณ 100,000 เหรียญ ที่คนทั่วไปจะใช้ซื้อรถใหม่ไปลงทุน และยอมนั่งรถคันเก่าๆ จนบัดนี้เงินลงทุนนั้นเติบโตเป็น สามหมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่คนที่นำเงินไปซื้อรถใหม่ขับในตอนนั้น คงได้เงินจากการขายเศษเหล็กไม่มากนัก
สมัยที่ดิฉันกับสามีเริ่มออมและลงทุนใหม่ๆก็เช่นกัน เราใช้รถเก่าๆ อยู่บ้านเล็กๆ กินอยู่อย่างธรรมดามากๆ เพื่อเอาเงินไปลงทุน จากเงินลงทุน 30,000 บาท เติบโตเป็น 3 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี สมัยนั้นเงินหนึ่งล้านบาทถือว่าเยอะมาก การได้จับเงินล้าน (ที่หามาเอง) ก่อนอายุ 30 ปีถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง
การประหยัดกลายเป็นนิสัย เราไม่ได้ประหยัดทรัพยากรของตัวเองเท่านั้น เราประหยัดทรัพยากรของประเทศและของโลกด้วย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและใช้เท่าที่จำเป็นตลอดเวลา หลายคนทราบว่านาฬิกาประดับเพชรเรือนแรกของดิฉันเป็นนาฬิกามือสอง ซื้อตอนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซื้อเพราะเห็นว่าจะได้ใช้ของถูก และยังเป็นโอกาสใน การลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะมองว่าหลังเกิดการไหลออกของเงินทุน ค่าเงินบาทอาจจะ อ่อนลงไปอีก ช่วงนั้นมีคนเอาทรัพย์สมบัติออกมาขายกันเยอะที่ราคาครึ่งหนึ่งของ ที่ซื้อมา และอาจจะเป็นเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของราคาใหม่เมื่อคิดตามค่าเงินบาท ที่อ่อนมากในสมัยนั้น
เหตุที่เราสามารถทำเงินเพิ่มได้เยอะเมื่อมีเวลาลงทุนนานเนื่องจากผลของ การทบต้นค่ะ เงินออม 1,000 บาทต่อเดือน หากได้ผลตอบแทนที่ 5% ต่อปี ครบ 30 ปี จะเติบโตเป็น 832,258 บาท แต่หากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 10% เงินจะ เติบโตงอกงามเป็น 2,260,488 บาท เพราะฉะนั้น "อย่าหมิ่นเงินน้อย"เป็นคำกล่าว ที่ถูกต้องค่ะ
อีกตัวอย่างหนึ่ง วอร์เรนชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในตัวเอง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด อันนี้ดิฉันเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ การศึกษาหาความรู้และการฝึกฝนให้ ชำนาญในสิ่งที่เราทำ เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีใครสามารถเอาไปจากเราได้ ยกเว้นความตาย และที่ดีมากก็คือเรายังสามารถเพาะต้นกล้าความรู้นี้ให้กับคนอื่นๆได้โดยการถ่ายทอดต่อ ทำให้ความรู้ไม่ตายจาก แม้เราจะจากไปตัวเราคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด การลงทุนในตัวเราเองรวมถึงการดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ดูแลสุขภาพจิตให้ดี การทำจิตใจให้ปลอดโปร่งสบาย มองโลกในแง่ดี มีความหวัง ใฝ่หาความรู้ ความชำนาญ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำให้เราสดชื่น เพราะฉะนั้นจึงควรเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
ปัญหาหนึ่งของผู้บริหารที่มีตำแหน่งสูงเมื่ออายุยังน้อยคือ ไม่มีหัวหน้ามาดูแล ส่งไปอบรม สัมมนา แนะนำว่าต้องดูแลตัวเองค่ะ ถ้าเห็นมีการอบรมสัมมนาที่มีประโยชน์ ควรจะไป แม้จะใช้เวลาขององค์กร แต่ก็จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับองค์กร หลายครั้งที่ความคิดดีๆในธุรกิจเกิดขึ้นจากการไปดูงานและเข้าสัมมนา หรือพบปะกับบุคคลไม่ว่าจะเป็นในแวดวงเดียวกันหรือต่างธุรกิจกัน โดยเฉพาะในโลกตะวันออก การรู้จักกันเป็นเพื่อนกันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ
สำหรับสัมมนาที่เสียเงิน หรือต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเข้าร่วมสูง ผู้บริหารอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะส่งตัวเองไปร่วม วิธีการแก้ไขง่ายนิดเดียว ลาพักร้อนไปเรียนเองค่ะ เพราะเมื่อเป็นผู้บริหาร รายได้ก็จะสูงพอสมควร สามารถจ่ายค่าฝึกอบรมด้วยตนเองได้อยู่แล้ว สมัยทำงานดิฉันก็เคยใช้วิธีนี้ และ หากเป็นความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรโดยตรงก็สามารถขออนุมัติจากกรรมการของบริษัทได้
สำหรับแนวคิดในการลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะนำว่าไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ ไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ เรื่องนี้เห็นด้วย หลายครั้งที่ฝรั่งเอาตราสารแปลกๆ มาเสนอขายให้ เช่น พวกหนี้เกรดสองหรือซับไพร์ม โดยเฉพาะช่วงก่อนเกิดวิกฤติ หากมีความสงสัยหรือไม่สบายใจ ไม่ควรลงทุนค่ะ และผู้ลงทุนไทยก็โชคดีที่ไม่ได้ลง เพราะทางก.ล.ต.ไม่อนุมัติให้เป็นสินทรัพย์ที่กองทุนหรือผู้ลงทุนบุคคลลงทุนได้
วอร์เรน บัฟเฟตต์เลือกลงทุนระยะยาว ไม่สนใจการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่สำหรับดิฉัน จะเลือกวิธีไหนต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเป็นช่วงที่แนวโน้ม ขาขึ้นชัดเจน จะเลือกวิธีการ "Buy and Hold" คือซื้อแล้วถือไว้ รอจนเต็มมูลค่าแล้วจึงขายออก แต่อาจจะมีบางหลักทรัพย์ที่เรามักจะมีติดพอร์ตตลอดไป คือธุรกิจดีตลอด ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ซึ่งหาค่อนข้างยาก
หากสถานการณ์มีความผันผวน เช่นเป็นช่วงเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวซึ่งจะมีความไม่แน่นอนสูง มีความเห็นต่างมุมมองกัน เช่นในช่วงปี 2553-2556 ช่วงเวลาแบบนี้ต้องมีการซื้อขายบ้าง ถือเอาไว้อย่างเดียวอาจจะเสียโอกาส
ดิฉันเชื่อว่าการจับจังหวะลงทุนโดยซื้อและขายเป็นระยะๆ (Trading) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อแล้วถือค่ะ แต่ก็ต้องจับจังหวะให้ถูกด้วยซึ่งต้องอาศัย การศึกษาและประสบการณ์
เขียนไปเขียนมาหมดพื้นที่แล้ว ดิฉันคงต้องเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ และนำมาให้ความเห็นเพิ่มหลังจากได้อ่านแล้วนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์ หน้าค่ะข้อคิดวันนี้ : การถ่ายทอดความรู้ ทำให้ความรู้ไม่ตายจาก แม้เราจะจากไป การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำให้เราสดชื่น
ตัวเราคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด
บรรยายใต้ภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, April 29, 2013 06:16
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP TM
[email protected]
ดิฉันขอสารภาพว่าไม่เคยอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เลย แต่ได้ติดตามเรื่องราวของเขา ได้อ่านปรัชญาในการลงทุนของเขาที่มีผู้นำมา เล่าขานต่อ ซึ่งรู้สึกชอบและยังชื่นชมกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย รวมถึง ความใจกว้างที่ยกเงินให้เป็นประโยชน์กับสาธารณะหรือที่เรียกกันว่าการลงทุน เพื่อเพื่อนร่วมโลก (Philanthropy Investment) ที่ดิฉันเลยเขียนถึงไปแล้วเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2553
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง Money Channel ได้กรุณาเชิญดิฉันไปฟังคุณแมรี่ บัฟเฟตต์ อดีตลูกสะใภ้ของวอร์เรน และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรนและวิธีการลงทุน รวมถึงแนวปรัชญาของเขาไว้หลายเล่ม งานสัมมนาชื่อ Exploring Buffettology with Mary Buffett
งานนี้ทำให้ดิฉันได้จับหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์มาศึกษาเป็นครั้งแรก และอยากจะแสดงความคิดเห็นต่อแนวคิดและวิธีการของวอร์เรนบางส่วน แนวทางในการลงทุนของดิฉันมีบางส่วนที่ คล้ายกับวอร์เรน แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน แต่แนวคิดในการใช้เงิน ออมเงินและลงทุนคล้ายกันมาก ขอยกตัวอย่างมาพอสังเขปดังนี้
วอร์เรน เลือกที่จะ นั่งรถเก่า แล้วเอาเงินไปลงทุนมากกว่าที่จะเอาเงินมาซื้อรถใหม่นั่ง แล้วไม่มีโอกาสลงทุน โดยให้เหตุผลว่า ยิ่งเรามีเงินก้อนตอนอายุน้อย เรายิ่งสามารถทำให้มันเติบโตเพิ่มขึ้นได้มาก เขานำเงินประมาณ 100,000 เหรียญ ที่คนทั่วไปจะใช้ซื้อรถใหม่ไปลงทุน และยอมนั่งรถคันเก่าๆ จนบัดนี้เงินลงทุนนั้นเติบโตเป็น สามหมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่คนที่นำเงินไปซื้อรถใหม่ขับในตอนนั้น คงได้เงินจากการขายเศษเหล็กไม่มากนัก
สมัยที่ดิฉันกับสามีเริ่มออมและลงทุนใหม่ๆก็เช่นกัน เราใช้รถเก่าๆ อยู่บ้านเล็กๆ กินอยู่อย่างธรรมดามากๆ เพื่อเอาเงินไปลงทุน จากเงินลงทุน 30,000 บาท เติบโตเป็น 3 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี สมัยนั้นเงินหนึ่งล้านบาทถือว่าเยอะมาก การได้จับเงินล้าน (ที่หามาเอง) ก่อนอายุ 30 ปีถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง
การประหยัดกลายเป็นนิสัย เราไม่ได้ประหยัดทรัพยากรของตัวเองเท่านั้น เราประหยัดทรัพยากรของประเทศและของโลกด้วย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและใช้เท่าที่จำเป็นตลอดเวลา หลายคนทราบว่านาฬิกาประดับเพชรเรือนแรกของดิฉันเป็นนาฬิกามือสอง ซื้อตอนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซื้อเพราะเห็นว่าจะได้ใช้ของถูก และยังเป็นโอกาสใน การลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะมองว่าหลังเกิดการไหลออกของเงินทุน ค่าเงินบาทอาจจะ อ่อนลงไปอีก ช่วงนั้นมีคนเอาทรัพย์สมบัติออกมาขายกันเยอะที่ราคาครึ่งหนึ่งของ ที่ซื้อมา และอาจจะเป็นเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของราคาใหม่เมื่อคิดตามค่าเงินบาท ที่อ่อนมากในสมัยนั้น
เหตุที่เราสามารถทำเงินเพิ่มได้เยอะเมื่อมีเวลาลงทุนนานเนื่องจากผลของ การทบต้นค่ะ เงินออม 1,000 บาทต่อเดือน หากได้ผลตอบแทนที่ 5% ต่อปี ครบ 30 ปี จะเติบโตเป็น 832,258 บาท แต่หากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 10% เงินจะ เติบโตงอกงามเป็น 2,260,488 บาท เพราะฉะนั้น "อย่าหมิ่นเงินน้อย"เป็นคำกล่าว ที่ถูกต้องค่ะ
อีกตัวอย่างหนึ่ง วอร์เรนชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในตัวเอง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด อันนี้ดิฉันเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ การศึกษาหาความรู้และการฝึกฝนให้ ชำนาญในสิ่งที่เราทำ เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีใครสามารถเอาไปจากเราได้ ยกเว้นความตาย และที่ดีมากก็คือเรายังสามารถเพาะต้นกล้าความรู้นี้ให้กับคนอื่นๆได้โดยการถ่ายทอดต่อ ทำให้ความรู้ไม่ตายจาก แม้เราจะจากไปตัวเราคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด การลงทุนในตัวเราเองรวมถึงการดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ดูแลสุขภาพจิตให้ดี การทำจิตใจให้ปลอดโปร่งสบาย มองโลกในแง่ดี มีความหวัง ใฝ่หาความรู้ ความชำนาญ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำให้เราสดชื่น เพราะฉะนั้นจึงควรเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
ปัญหาหนึ่งของผู้บริหารที่มีตำแหน่งสูงเมื่ออายุยังน้อยคือ ไม่มีหัวหน้ามาดูแล ส่งไปอบรม สัมมนา แนะนำว่าต้องดูแลตัวเองค่ะ ถ้าเห็นมีการอบรมสัมมนาที่มีประโยชน์ ควรจะไป แม้จะใช้เวลาขององค์กร แต่ก็จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับองค์กร หลายครั้งที่ความคิดดีๆในธุรกิจเกิดขึ้นจากการไปดูงานและเข้าสัมมนา หรือพบปะกับบุคคลไม่ว่าจะเป็นในแวดวงเดียวกันหรือต่างธุรกิจกัน โดยเฉพาะในโลกตะวันออก การรู้จักกันเป็นเพื่อนกันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ
สำหรับสัมมนาที่เสียเงิน หรือต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเข้าร่วมสูง ผู้บริหารอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะส่งตัวเองไปร่วม วิธีการแก้ไขง่ายนิดเดียว ลาพักร้อนไปเรียนเองค่ะ เพราะเมื่อเป็นผู้บริหาร รายได้ก็จะสูงพอสมควร สามารถจ่ายค่าฝึกอบรมด้วยตนเองได้อยู่แล้ว สมัยทำงานดิฉันก็เคยใช้วิธีนี้ และ หากเป็นความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรโดยตรงก็สามารถขออนุมัติจากกรรมการของบริษัทได้
สำหรับแนวคิดในการลงทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะนำว่าไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ ไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ เรื่องนี้เห็นด้วย หลายครั้งที่ฝรั่งเอาตราสารแปลกๆ มาเสนอขายให้ เช่น พวกหนี้เกรดสองหรือซับไพร์ม โดยเฉพาะช่วงก่อนเกิดวิกฤติ หากมีความสงสัยหรือไม่สบายใจ ไม่ควรลงทุนค่ะ และผู้ลงทุนไทยก็โชคดีที่ไม่ได้ลง เพราะทางก.ล.ต.ไม่อนุมัติให้เป็นสินทรัพย์ที่กองทุนหรือผู้ลงทุนบุคคลลงทุนได้
วอร์เรน บัฟเฟตต์เลือกลงทุนระยะยาว ไม่สนใจการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่สำหรับดิฉัน จะเลือกวิธีไหนต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเป็นช่วงที่แนวโน้ม ขาขึ้นชัดเจน จะเลือกวิธีการ "Buy and Hold" คือซื้อแล้วถือไว้ รอจนเต็มมูลค่าแล้วจึงขายออก แต่อาจจะมีบางหลักทรัพย์ที่เรามักจะมีติดพอร์ตตลอดไป คือธุรกิจดีตลอด ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ซึ่งหาค่อนข้างยาก
หากสถานการณ์มีความผันผวน เช่นเป็นช่วงเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวซึ่งจะมีความไม่แน่นอนสูง มีความเห็นต่างมุมมองกัน เช่นในช่วงปี 2553-2556 ช่วงเวลาแบบนี้ต้องมีการซื้อขายบ้าง ถือเอาไว้อย่างเดียวอาจจะเสียโอกาส
ดิฉันเชื่อว่าการจับจังหวะลงทุนโดยซื้อและขายเป็นระยะๆ (Trading) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อแล้วถือค่ะ แต่ก็ต้องจับจังหวะให้ถูกด้วยซึ่งต้องอาศัย การศึกษาและประสบการณ์
เขียนไปเขียนมาหมดพื้นที่แล้ว ดิฉันคงต้องเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ และนำมาให้ความเห็นเพิ่มหลังจากได้อ่านแล้วนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์ หน้าค่ะข้อคิดวันนี้ : การถ่ายทอดความรู้ ทำให้ความรู้ไม่ตายจาก แม้เราจะจากไป การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำให้เราสดชื่น
ตัวเราคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด
บรรยายใต้ภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 10
"โค้ก" โละบอร์ดบริหารรุ่นดึก ดึง "คนรุ่นใหม่" สู้ศึกน้ำอัดลม
updated: 30 เม.ย 2556 เวลา 12:34:51 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ คอลัมน์ Market Mover
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=1103
"โคคา-โคลา" บริษัทเก่าแก่ของโลก เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนี้ บริษัทเตรียมส่งคนรุ่นใหม่เข้าไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารของบริษัทมากขึ้น
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า กว่าทศวรรษที่ผ่านมา คณะกรรมการหรือบอร์ดบริหารของโค้กนั้นได้กลายเป็นกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงบรรดากลุ่มผู้บริหารระดับสูงในครั้งนี้จึงส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์โดยรวมของโค้ก
นอกจากนี้ อาจจะกระทบไปถึงสัญญาข้อตกลงจำนวนหลายพันล้านเหรียญมากมายที่อยู่ระหว่างการเจรจา
ปัจจุบัน 9 ใน 17 คนของคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งในปี 2555 แต่ละคนมีอายุไม่ต่ำกว่า 70 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งอย่างเป๊ปซี่ที่ไม่มีผู้บริหารในช่วงอายุดังกล่าว ขณะที่โคคา-โคลา มีช่วงอายุเฉลี่ยของคณะกรรมการอยู่ที่ 67 ปี มากกว่าปีที่แล้วซึ่งที่ 62.6 ปี รวมทั้งผู้บริหารถึง 6 คนนั้นได้อยู่ในตำแหน่งของคณะกรรมการมามากกว่า 20 ปีแล้ว
คณะกรรมการบริหารที่มีอายุมากที่สุดสองคนของโค้ก คือ นาย Keough อายุ 86 ปี อดีตประธานของโคคา-โคลา และประธานของบริษัท Allen&Co และ นายเจมส์ วิลเลียม อดีตประธานกรรมการของ Sun Trust Bank เลือกที่จะเกษียณตัวเอง แทนที่จะสมัครรับเลือกตั้งสู่บอร์ดอีกครั้ง จากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของโคคา-โคลาเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ Helene Gayle ซีอีโอของ CARE Group ซึ่งมีอายุ 57 ปี ได้ถูกเสนอชื่อเป็นบอร์ดบริหารของบริษัทเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ บรรดากลุ่มผู้บริหารอาวุโสคนอื่น ๆ ของโค้กที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรมาอย่างยาวนาน คาดว่าจะพากันลงจากตำแหน่งภายในปี 2558 ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของบริษัทเก่าแก่แห่งนี้ ที่ต้องปรับเพื่อดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 18-30 ปี
หน้าตาสมาชิกของคณะกรรมการโคคา-โคลาชุดใหม่นี้ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และมีอายุที่น้อยกว่าเดิม อาจจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางของบริษัท จากเดิมที่เน้นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดมหาศาล ก็อาจผันงบฯไปลงในธุรกิจที่มีไซซ์ตลาดเล็กลง แต่เป็นแคทิกอรี่เครื่องดื่มที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วแทน รวมไปมองไปที่การควบรวมกิจการต่าง ๆ มากขึ้น ท่ามกลางเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันไปสู่เครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แทนเครื่องดื่มประเภทอัดลม โดยเฉพาะน้ำโคล่า
"ทอม เพอร์โค" หัวหน้าของบริษัท Bevmark บริษัทที่ปรึกษาระบุว่า คำถามคือคุณจะใส่งบประมาณลงไปสำหรับแบรนด์โคคา-โคลาเป็นจำนวนเงินเท่าไร สิ่งนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญของบอร์ดบริหารอย่างแท้จริง เพราะเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้า"
ที่ผ่านมา การบริโภคเครื่องดื่มประเภทอัดลมในสหรัฐนั้นตกต่ำลงต่อเนื่องถึง 8 ปีติดกัน ซึ่งโค้กชี้ว่า หากเทียบกันกับคู่แข่ง "เป๊ปซี่-โค" นั้น การชะลอตัวในกลุ่มเครื่องดื่มอัดลมของตนนั้นน้อยกว่าเป๊ปซี่-โค ที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปพอสมควร โดยปริมาณขายของโค้กในตลาดสหรัฐนั้นตกลง 1.4% ในปีที่ผ่านมา ตามรายงานของบริษัท "เบเวอเรจ ไดเจสท์" โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 60% ของบริษัทยังมาจากกลุ่มน้ำอัดลมเป็นหลัก
-จบ-
updated: 30 เม.ย 2556 เวลา 12:34:51 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ คอลัมน์ Market Mover
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=1103
"โคคา-โคลา" บริษัทเก่าแก่ของโลก เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนี้ บริษัทเตรียมส่งคนรุ่นใหม่เข้าไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารของบริษัทมากขึ้น
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า กว่าทศวรรษที่ผ่านมา คณะกรรมการหรือบอร์ดบริหารของโค้กนั้นได้กลายเป็นกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงบรรดากลุ่มผู้บริหารระดับสูงในครั้งนี้จึงส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์โดยรวมของโค้ก
นอกจากนี้ อาจจะกระทบไปถึงสัญญาข้อตกลงจำนวนหลายพันล้านเหรียญมากมายที่อยู่ระหว่างการเจรจา
ปัจจุบัน 9 ใน 17 คนของคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งในปี 2555 แต่ละคนมีอายุไม่ต่ำกว่า 70 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งอย่างเป๊ปซี่ที่ไม่มีผู้บริหารในช่วงอายุดังกล่าว ขณะที่โคคา-โคลา มีช่วงอายุเฉลี่ยของคณะกรรมการอยู่ที่ 67 ปี มากกว่าปีที่แล้วซึ่งที่ 62.6 ปี รวมทั้งผู้บริหารถึง 6 คนนั้นได้อยู่ในตำแหน่งของคณะกรรมการมามากกว่า 20 ปีแล้ว
คณะกรรมการบริหารที่มีอายุมากที่สุดสองคนของโค้ก คือ นาย Keough อายุ 86 ปี อดีตประธานของโคคา-โคลา และประธานของบริษัท Allen&Co และ นายเจมส์ วิลเลียม อดีตประธานกรรมการของ Sun Trust Bank เลือกที่จะเกษียณตัวเอง แทนที่จะสมัครรับเลือกตั้งสู่บอร์ดอีกครั้ง จากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของโคคา-โคลาเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ Helene Gayle ซีอีโอของ CARE Group ซึ่งมีอายุ 57 ปี ได้ถูกเสนอชื่อเป็นบอร์ดบริหารของบริษัทเป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ บรรดากลุ่มผู้บริหารอาวุโสคนอื่น ๆ ของโค้กที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรมาอย่างยาวนาน คาดว่าจะพากันลงจากตำแหน่งภายในปี 2558 ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของบริษัทเก่าแก่แห่งนี้ ที่ต้องปรับเพื่อดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 18-30 ปี
หน้าตาสมาชิกของคณะกรรมการโคคา-โคลาชุดใหม่นี้ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และมีอายุที่น้อยกว่าเดิม อาจจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางของบริษัท จากเดิมที่เน้นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดมหาศาล ก็อาจผันงบฯไปลงในธุรกิจที่มีไซซ์ตลาดเล็กลง แต่เป็นแคทิกอรี่เครื่องดื่มที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วแทน รวมไปมองไปที่การควบรวมกิจการต่าง ๆ มากขึ้น ท่ามกลางเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันไปสู่เครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แทนเครื่องดื่มประเภทอัดลม โดยเฉพาะน้ำโคล่า
"ทอม เพอร์โค" หัวหน้าของบริษัท Bevmark บริษัทที่ปรึกษาระบุว่า คำถามคือคุณจะใส่งบประมาณลงไปสำหรับแบรนด์โคคา-โคลาเป็นจำนวนเงินเท่าไร สิ่งนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญของบอร์ดบริหารอย่างแท้จริง เพราะเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้า"
ที่ผ่านมา การบริโภคเครื่องดื่มประเภทอัดลมในสหรัฐนั้นตกต่ำลงต่อเนื่องถึง 8 ปีติดกัน ซึ่งโค้กชี้ว่า หากเทียบกันกับคู่แข่ง "เป๊ปซี่-โค" นั้น การชะลอตัวในกลุ่มเครื่องดื่มอัดลมของตนนั้นน้อยกว่าเป๊ปซี่-โค ที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปพอสมควร โดยปริมาณขายของโค้กในตลาดสหรัฐนั้นตกลง 1.4% ในปีที่ผ่านมา ตามรายงานของบริษัท "เบเวอเรจ ไดเจสท์" โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 60% ของบริษัทยังมาจากกลุ่มน้ำอัดลมเป็นหลัก
-จบ-
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 12
สูตรรวยของบัฟเฟตต์
Source - เว็บไซต์ไทยรัฐ (Th)
Saturday, April 27, 2013 05:15
วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยกันเรื่อง “สูตรสร้างความร่ำรวย” ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกในปีนี้กันดีกว่านะครับ เมื่อวานนี้ สถานีโทรทัศน์มันนี่ แชนแนล ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ และ ธนาคารกรุงศรี เชิญผมไปฟังการสัมมนาหัวข้อ Exploring Buffettology with Marry Buffett โดยมี คุณแมรี่ บัฟเฟตต์ ผู้เขียนหนังสือ Buffettology เป็นวิทยากร
สูตรรวยของบัฟเฟตต์ที่ แมรี่ บัฟเฟตต์ เขียนถึงเป็นยังไงผมยังไม่ได้ไปฟัง
แต่ “สูตรรวย” ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้มาจากปากของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีวัย 82 ปี เจ้าของ บริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ที่มีราคาหุ้นแพงที่สุดในโลก ราคาหุ้นคลาสเอ ปิดตลาดเมื่อวันที่ 24 เมษายน อยู่ที่ หุ้นละ 159,950 เหรียญ เอาเหรียญละ 29 บาทคูณ ก็ตกหุ้นละ 4,638,550 บาท ใครมีหุ้นเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ 1 หุ้น ก็รวยเป็นเศรษฐีเมืองไทยไปแล้ว
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เพิ่งสร้างความฮือฮาให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัทโคคา โคลา สหรัฐฯ เมื่อวันพุธ 24 ที่ผ่านมา ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 400 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 17,000 ล้านเหรียญ ประมาณ 493,000 ล้านบาท นอกจากจะไปปรากฏตัวประชุมร่วมกับผู้ถือหุ้นรายย่อยแล้ว บัฟเฟตต์ ยังขึ้นเวทีให้ มูห์ทาร์ เคนท์ ซีอีโอของโคคา โคลา สหรัฐฯ สัมภาษณ์สดต่อหน้าผู้ถือหุ้นอีกด้วย
บัฟเฟตต์ ให้คำแนะนำแก่ เคนท์ บนเวทีว่า ให้พยายามยืนอยู่ข้างหน้าของคู่แข่งขัน โดยการศึกษาถึงความล้มเหลวของธุรกิจต่างๆ
“ผมชอบศึกษาความล้มเหลว” บัฟเฟตต์บอกบนเวที “ผมต้องการเห็นว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจย่ำแย่ และสิ่งที่ทำลายพวกเขาก็คือความอิ่มอกอิ่มใจ คุณจะต้องรู้สึกร้อนใจอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังอยู่ข้างหลังคุณ ทำให้คุณต้องวิ่งไปอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา”
นี่คือ ทฤษฎีความร่ำรวย ของ บัฟเฟตต์ ที่บอกกับผู้ถือหุ้นโคคา โคลา จะเหมือนกับ ทฤษฎีบัฟเฟตโตโลยี ของ คุณแมรี่ บัฟเฟตต์ หรือเปล่าผมไม่ทราบ
ใครอยากรวยเหมือนบัฟเฟตต์ ก็ต้องทำงานหนักอย่างบัฟเฟตต์ ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ยอมให้ใครแซง ที่น่าสงสารก็คือ บัฟเฟตต์ ไม่รู้จัก ใช้เงินเพื่อเสพสุขเหมือนเศรษฐีทั้งหลาย แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ้านก็อยู่หลังเก่า ไม่ใช่คฤหาสน์หรูเหมือนเศรษฐีใหม่ทั้งหลาย มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ รู้จักแต่หาเงิน สุขกับตัวเลข แม้จะอายุ 82 แล้วก็ยังไล่ล่าหาเงินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า
คนชอบสุขนิยมแบบผม ขอไม่รวยแบบบัฟเฟตต์ดีกว่า
“คนอย่างผม ชอบพนันในสิ่งที่ชัวร์ป๊าบแน่นอน” บัฟเฟตต์ บอกกับเคนท์ “ถ้าคุณได้ครอบครองแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ มันจะเป็นของคุณตลอดไป นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ”
เคนท์ ถาม บัฟเฟตต์ ถึงการบริหารธรุกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ ท่ามกลางการโยกย้ายความมั่งคั่งของเศรษฐกิจโลก สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีแต่ความไม่แน่นอน
บัฟเฟตต์ ตอบว่า โดยหลักการพื้นฐาน คุณจะต้องยอมรับประเทศ ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก และนำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นไปมอบให้เขา ถ้าคุณสามารถทำได้ในราคาที่ทุกคนรับได้ คุณก็สามารถเข้าถึงประชาชนทั้งโลก และคุณก็สามารถพูดได้ว่า คุณมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะผมมาอยู่ที่นี่ แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น คุณก็จะได้ “สูตรแห่งชัยชนะ” แน่นอนเหมือน “สูตรประชานิยมทางการเมือง” เปี๊ยบเลย
ผมฟัง คุณบัฟเฟตต์สอนเคนท์ แล้ว ก็นึกถึง เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพีขึ้นมาทันที เจ้าสัวธนินท์ เพิ่งใช้เงินกว่า 180,000 ล้านบาทซื้อ ห้างขายส่งแม็คโคร จากฝรั่งเนเธอร์แลนด์มาไว้ในเครือ
ทุกครั้งที่มีโอกาสคุยกันสบายๆ เจ้าสัวธนินท์ จะเล่าถึงการค้าขายกับคนทั้งโลกที่มีอยู่กว่า 7,000 ล้านคน โดยเฉพาะ ประเทศจีน ที่มีประชากร 1,300 กว่าล้านคน เจ้าสัวธนินท์ มักพูดเสมอว่า ค้าขายอะไรในเมืองจีนก็มีสิทธิร่ำรวยเพราะมีลูกค้า 1,300 กว่าล้านคน ต้มน้ำเก๊กฮวยขาย ก็ยังรวยไม่รู้เรื่อง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
ที่มา: http://www.thairath.co.th
Source - เว็บไซต์ไทยรัฐ (Th)
Saturday, April 27, 2013 05:15
วันเสาร์สบายๆวันนี้มาคุยกันเรื่อง “สูตรสร้างความร่ำรวย” ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกในปีนี้กันดีกว่านะครับ เมื่อวานนี้ สถานีโทรทัศน์มันนี่ แชนแนล ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ และ ธนาคารกรุงศรี เชิญผมไปฟังการสัมมนาหัวข้อ Exploring Buffettology with Marry Buffett โดยมี คุณแมรี่ บัฟเฟตต์ ผู้เขียนหนังสือ Buffettology เป็นวิทยากร
สูตรรวยของบัฟเฟตต์ที่ แมรี่ บัฟเฟตต์ เขียนถึงเป็นยังไงผมยังไม่ได้ไปฟัง
แต่ “สูตรรวย” ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้มาจากปากของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีวัย 82 ปี เจ้าของ บริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ที่มีราคาหุ้นแพงที่สุดในโลก ราคาหุ้นคลาสเอ ปิดตลาดเมื่อวันที่ 24 เมษายน อยู่ที่ หุ้นละ 159,950 เหรียญ เอาเหรียญละ 29 บาทคูณ ก็ตกหุ้นละ 4,638,550 บาท ใครมีหุ้นเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ 1 หุ้น ก็รวยเป็นเศรษฐีเมืองไทยไปแล้ว
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เพิ่งสร้างความฮือฮาให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัทโคคา โคลา สหรัฐฯ เมื่อวันพุธ 24 ที่ผ่านมา ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 400 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 17,000 ล้านเหรียญ ประมาณ 493,000 ล้านบาท นอกจากจะไปปรากฏตัวประชุมร่วมกับผู้ถือหุ้นรายย่อยแล้ว บัฟเฟตต์ ยังขึ้นเวทีให้ มูห์ทาร์ เคนท์ ซีอีโอของโคคา โคลา สหรัฐฯ สัมภาษณ์สดต่อหน้าผู้ถือหุ้นอีกด้วย
บัฟเฟตต์ ให้คำแนะนำแก่ เคนท์ บนเวทีว่า ให้พยายามยืนอยู่ข้างหน้าของคู่แข่งขัน โดยการศึกษาถึงความล้มเหลวของธุรกิจต่างๆ
“ผมชอบศึกษาความล้มเหลว” บัฟเฟตต์บอกบนเวที “ผมต้องการเห็นว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจย่ำแย่ และสิ่งที่ทำลายพวกเขาก็คือความอิ่มอกอิ่มใจ คุณจะต้องรู้สึกร้อนใจอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังอยู่ข้างหลังคุณ ทำให้คุณต้องวิ่งไปอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา”
นี่คือ ทฤษฎีความร่ำรวย ของ บัฟเฟตต์ ที่บอกกับผู้ถือหุ้นโคคา โคลา จะเหมือนกับ ทฤษฎีบัฟเฟตโตโลยี ของ คุณแมรี่ บัฟเฟตต์ หรือเปล่าผมไม่ทราบ
ใครอยากรวยเหมือนบัฟเฟตต์ ก็ต้องทำงานหนักอย่างบัฟเฟตต์ ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ยอมให้ใครแซง ที่น่าสงสารก็คือ บัฟเฟตต์ ไม่รู้จัก ใช้เงินเพื่อเสพสุขเหมือนเศรษฐีทั้งหลาย แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ้านก็อยู่หลังเก่า ไม่ใช่คฤหาสน์หรูเหมือนเศรษฐีใหม่ทั้งหลาย มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ รู้จักแต่หาเงิน สุขกับตัวเลข แม้จะอายุ 82 แล้วก็ยังไล่ล่าหาเงินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า
คนชอบสุขนิยมแบบผม ขอไม่รวยแบบบัฟเฟตต์ดีกว่า
“คนอย่างผม ชอบพนันในสิ่งที่ชัวร์ป๊าบแน่นอน” บัฟเฟตต์ บอกกับเคนท์ “ถ้าคุณได้ครอบครองแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ มันจะเป็นของคุณตลอดไป นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ”
เคนท์ ถาม บัฟเฟตต์ ถึงการบริหารธรุกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ ท่ามกลางการโยกย้ายความมั่งคั่งของเศรษฐกิจโลก สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีแต่ความไม่แน่นอน
บัฟเฟตต์ ตอบว่า โดยหลักการพื้นฐาน คุณจะต้องยอมรับประเทศ ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก และนำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นไปมอบให้เขา ถ้าคุณสามารถทำได้ในราคาที่ทุกคนรับได้ คุณก็สามารถเข้าถึงประชาชนทั้งโลก และคุณก็สามารถพูดได้ว่า คุณมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะผมมาอยู่ที่นี่ แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น คุณก็จะได้ “สูตรแห่งชัยชนะ” แน่นอนเหมือน “สูตรประชานิยมทางการเมือง” เปี๊ยบเลย
ผมฟัง คุณบัฟเฟตต์สอนเคนท์ แล้ว ก็นึกถึง เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพีขึ้นมาทันที เจ้าสัวธนินท์ เพิ่งใช้เงินกว่า 180,000 ล้านบาทซื้อ ห้างขายส่งแม็คโคร จากฝรั่งเนเธอร์แลนด์มาไว้ในเครือ
ทุกครั้งที่มีโอกาสคุยกันสบายๆ เจ้าสัวธนินท์ จะเล่าถึงการค้าขายกับคนทั้งโลกที่มีอยู่กว่า 7,000 ล้านคน โดยเฉพาะ ประเทศจีน ที่มีประชากร 1,300 กว่าล้านคน เจ้าสัวธนินท์ มักพูดเสมอว่า ค้าขายอะไรในเมืองจีนก็มีสิทธิร่ำรวยเพราะมีลูกค้า 1,300 กว่าล้านคน ต้มน้ำเก๊กฮวยขาย ก็ยังรวยไม่รู้เรื่อง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
ที่มา: http://www.thairath.co.th
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 13
เบื่อผู้เขียนคอลัมน์นี้มากเลย มุมมองก็แคบ คิดเองเออเอง แต่ทำไมได้เขียนคอลัมน์อยู่ได้pakapong_u เขียน: ใครอยากรวยเหมือนบัฟเฟตต์ ก็ต้องทำงานหนักอย่างบัฟเฟตต์ ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ยอมให้ใครแซง ที่น่าสงสารก็คือ บัฟเฟตต์ ไม่รู้จักใช้เงินเพื่อเสพสุขเหมือนเศรษฐีทั้งหลาย แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ้านก็อยู่หลังเก่า ไม่ใช่คฤหาสน์หรูเหมือนเศรษฐีใหม่ทั้งหลาย มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ รู้จักแต่หาเงิน สุขกับตัวเลข แม้จะอายุ 82 แล้วก็ยังไล่ล่าหาเงินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า
คนชอบสุขนิยมแบบผม ขอไม่รวยแบบบัฟเฟตต์ดีกว่า
ที่ว่าไปสงสารบัฟเฟตต์ ไม่รู้จักใช้เงินเพื่อเสพสุข ซึ่งว่าไปก็แปลกที่คนระดับบัฟเฟตต์
ที่มีความรู้ ความสามารถลึกซึ้ง ไม่รู้จักใช้เงิน 55 ไปเดาว่าบัฟเฟตต์รู้จักแต่หาเงิน สุขกันตัวเลข
รู้ได้ไหงหว่า รู้จักบัฟเฟตต์เป็นการส่วนตัวหรือ เดาไปเรื่อยเปื่อย
ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมว่าคนทำงานด้านสื่อ ชอบเอาความคิดตัวเอง ยัดเยียดให้คนฟังสื่อตลอด
ไม่รู้ว่าจริยธรรมในการทำงานหายไปไหนหมด
ผมว่ามุมมองความสุขคนเรามันต่างกัน ไม่คับแคบเหมือนผู้เขียน ที่คิดว่าคนเรามีความสุขแค่เรื่องการใช้เงินเท่านั้น
ยุคนี้เหนื่อยจริงๆ นอกจากต้องย่อยข่าวสารข้อมูลว่าจริงหรือเท็จ
แล้วยังต้องย่อยทัศนคติ ความเห็นของผู้เขียนข่าว และคอลัมน์ต่างๆอีกด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 156
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 16
ต้องถามก่อน " แมรี บัฟเฟตต์ " จริงเปล่าครับ เดียวเหมือนกรณีที่มีคนยืมชื่อพี่โจได้
สื่อเดียวนี้อันตรายครับ ต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเองจริงๆ
สื่อเดียวนี้อันตรายครับ ต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเองจริงๆ
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
-
- Verified User
- โพสต์: 116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 17
ไม่แปลกหรอกครับ สมัยก่อนผมอ่านคอลัมน์หรือข่าวก็เชื่อไปตามนั้น แต่พอได้ทำงาน ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ก็รู้ว่าความคิดของคนเขียนคอลัมน์บางคนก็มีทั้งที่ถูก และไม่ถูกTibular เขียน:เบื่อผู้เขียนคอลัมน์นี้มากเลย มุมมองก็แคบ คิดเองเออเอง แต่ทำไมได้เขียนคอลัมน์อยู่ได้pakapong_u เขียน: ใครอยากรวยเหมือนบัฟเฟตต์ ก็ต้องทำงานหนักอย่างบัฟเฟตต์ ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ยอมให้ใครแซง ที่น่าสงสารก็คือ บัฟเฟตต์ ไม่รู้จักใช้เงินเพื่อเสพสุขเหมือนเศรษฐีทั้งหลาย แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ้านก็อยู่หลังเก่า ไม่ใช่คฤหาสน์หรูเหมือนเศรษฐีใหม่ทั้งหลาย มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ รู้จักแต่หาเงิน สุขกับตัวเลข แม้จะอายุ 82 แล้วก็ยังไล่ล่าหาเงินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า
คนชอบสุขนิยมแบบผม ขอไม่รวยแบบบัฟเฟตต์ดีกว่า
ที่ว่าไปสงสารบัฟเฟตต์ ไม่รู้จักใช้เงินเพื่อเสพสุข ซึ่งว่าไปก็แปลกที่คนระดับบัฟเฟตต์
ที่มีความรู้ ความสามารถลึกซึ้ง ไม่รู้จักใช้เงิน 55 ไปเดาว่าบัฟเฟตต์รู้จักแต่หาเงิน สุขกันตัวเลข
รู้ได้ไหงหว่า รู้จักบัฟเฟตต์เป็นการส่วนตัวหรือ เดาไปเรื่อยเปื่อย
ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมว่าคนทำงานด้านสื่อ ชอบเอาความคิดตัวเอง ยัดเยียดให้คนฟังสื่อตลอด
ไม่รู้ว่าจริยธรรมในการทำงานหายไปไหนหมด
ผมว่ามุมมองความสุขคนเรามันต่างกัน ไม่คับแคบเหมือนผู้เขียน ที่คิดว่าคนเรามีความสุขแค่เรื่องการใช้เงินเท่านั้น
ยุคนี้เหนื่อยจริงๆ นอกจากต้องย่อยข่าวสารข้อมูลว่าจริงหรือเท็จ
แล้วยังต้องย่อยทัศนคติ ความเห็นของผู้เขียนข่าว และคอลัมน์ต่างๆอีกด้วย
อย่างน้อยก็รู้ว่าทัศนคติหรือความคิดของคนเขียนบางคนก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป หรือมีความรู้มากกว่าคนอ่านทุกเรื่อง ส่วนใหญ่หลังๆนี่จะใช้อารมณ์และความรู้สึก มากกว่าข้อเท็จจริง
ไม่ใช่เรื่องจริยธรรมหรอกครับ น่าจะเป็นเรื่องคนเขียนคิดเอง เออเอง โดยไม่รู้ตัวมากกว่า
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1496
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 18
คนที่เต้น tap dance ไปทำงานทุกวันได้เนี่ยะ ก็แสดงว่ามีความสุขมากแล้วที่น่าสงสารก็คือ บัฟเฟตต์ ไม่รู้จักใช้เงินเพื่อเสพสุขเหมือนเศรษฐีทั้งหลาย แต่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บ้านก็อยู่หลังเก่า ไม่ใช่คฤหาสน์หรูเหมือนเศรษฐีใหม่ทั้งหลาย มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ รู้จักแต่หาเงิน สุขกับตัวเลข แม้จะอายุ 82 แล้วก็ยังไล่ล่าหาเงินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า
คนชอบสุขนิยมแบบผม ขอไม่รวยแบบบัฟเฟตต์ดีกว่า
อีกอย่าง Buffett คงไม่ได้สุขกับตัวเลขแน่ ไม่งั้นจะบริจาคเงินตั้งเยอะทำไม
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เมื่อแมรี บัฟดฟตต์ บอก "บัฟเฟตต์ชอบหุ้นโค้กเหมือนหุ้น"เอ
โพสต์ที่ 19
ถอดบทเรียนศาสตร์แห่ง บัฟเฟตต์ เรื่องง่ายๆที่นักลงทุนต้องรู้
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
Monday, May 20, 2013 05:00
หนูมิก
ถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์จะเป็นตาแก่อายุ 83 แต่เชื่อเถอะว่าเขาคือตาแก่สุดป๊อปที่คนทั่วโลกอยากรู้จัก ใครๆ ก็รู้ว่าเขาไม่เพียงเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเป็นซีอีโอของเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ แต่ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ด้วยจำนวนเงิน 6.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยนิตยสารฟอร์บส์ ต่อมาในปี 2555 ยังได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
อะไรคือความลับที่ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเป็นที่โจษจันและสนใจของคนทั่วโลก
คำตอบคือ สิ่งที่เขาค้นพบ นั่นคือ ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์(Buffettology )
ไขความลับสู่ความร่ำรวยสไตล์บัฟเฟตต์
เมื่อเร็วๆนี้ แมรี บัฟเฟตต์อดีตลูกสะใภ้ของวอร์เรนและเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรนและวิธีการลงทุนรวมถึงแนวปรัชญาของเขาไว้หลายเล่ม ได้เดินทางมาร่วมงานสัมมนา Exploring Buffettology with Mary Buffett พร้อมให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวคิดในการลงทุนของวอร์เรน สุดยอดนักลงทุนคนหนึ่งบนโลกว่า อยู่บนแนวคิดการลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investor) อธิบายง่ายๆ คือค้นหาและลงทุนในบริษัทที่รู้จักเป็นอย่างดี ในราคาที่เหมาะสม และถือไว้ในระยะยาว แทนที่เข้าๆ ออกๆ เพื่อเก็งกำไรจากการซื้อหุ้นมาในราคาถูก แต่ขายออกไปในราคาแพง
"ที่สำคัญคือ วอร์เรนมักย้ำว่า การลงทุนในหุ้นหรือกิจการใดๆ ด้วยมูลค่ามากหรือน้อยไม่สำคัญ แต่ต้องลงทุนด้วยมุมมองของผู้ประกอบการร่วมหรือ พาร์ตเนอร์ แทนที่จะมองว่าเป็นนักเก็งกำไร"
นอกจากนี้ แมรี ยังระบุถึงการควบรวมกิจการฉันมิตร(Friendly Merger) ว่าเป็นโอกาสในการค้ากำไรที่วอร์เรนโปรดปรานที่สุด ขณะที่การครอบงำกิจการที่ไม่เป็นมิตร(Hostile Takeover) คือสิ่งที่อันตรายที่สุดในการทำเงินของบัฟเฟตต์ ทั้งนี้ในหนังสือ "ชำแหละพอร์ตโฟลิโอของวอร์เรน บัฟเฟตต์" แมรี อธิบายว่า วอร์เรนซึ่งไม่นิยมการกู้เงินมาเพื่อลงทุนนั้นในบางโอกาสเพื่อเข้าควบรวมกิจการฉันมิตร วอร์เรนก็ยอมฝืนกฎกู้เงินมาเพื่อลงทุนโดยหวังผลกำไรกลับคืนที่คาดว่าจะมากกว่า
ปฏิกิริยานักลงทุนต่อแนวคิดบัฟเฟตต์
กฤษณ์ จันทโนทกผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัยและธนบดี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ใครคิดจะลงทุนในหุ้น ต้องเคยได้ยิน "Buffettology"
มาไม่มากก็น้อย ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวทางการลงทุนที่อาศัยระยะเวลาค่อนข้างนานในการตัดสินว่า เป็นแนวทางการลงทุนที่ดีจริง ซึ่งนักลงทุนที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ ต้องปรับทัศนคติให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และแนวคิดการลงทุนด้วย และที่สำคัญต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง เพราะอย่างวอร์เรนเอง ก็ปรับแนวทางการลงทุนจากที่ได้ร่ำเรียนกับเบนจามิน แกรห์ม มาเป็นแนวทางของตัวเองเช่นกัน
"โดยหลักการแล้ว ถือว่าเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย วอร์เรนเองพยายามทำให้เรื่องยากๆซับซ้อน ที่เต็มไปด้วยปัจจัยมากมายในตลาดหุ้นกลายเป็นเรื่องง่ายๆโดยเข้าไปวิเคราะห์ถึงแก่นที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะจริงๆ นั่นก็คือ มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทผมจึงคิดว่าหลักการนี้เป็นหลักการที่ดีเยี่ยมเหมาะกับทั้งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในตลาดแล้ว หรือนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสนใจลงทุนให้เริ่มศึกษาเป็นแนวทางต่อไป ซึ่งในฐานะนักลงทุน ผมว่าทุกๆ การเลือกสินทรัพย์เลือกลงทุนในบริษัท หลักการพิจารณาตามกลยุทธ์ของ Buffettology จะต้องเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการวิเคราะห์ทุกครั้ง"
ด้าน เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมหาวิทยาลัยสยาม และผู้เขียนหนังสือเปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen.Y กล่าวถึงแนวคิดแบบบัฟเฟตต์ ว่า ได้รับรู้มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งเริ่มเข้าใจเมื่อ3 ปีที่ผ่านมานี้เอง
"ในสมัยที่ชีวิตยังขาดไร้ประสบการณ์ ผมเข้าใจแต่เพียงว่า Buffettology คือ การเลือกซื้อหุ้นที่มีแบรนด์โดดเด่น หากแท้จริงแล้วการแข่งขันทางธุรกิจ ยังต้องการมากกว่านั้น โดยเฉพาะเป็นการมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของตัวเอง (Circle of Competence) เพื่อทำให้สามารถรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำ และสามารถรักษากำไรที่สูงไว้ได้อย่างยั่งยืน"
ยิ่งนานวัน เจริญชัย ยอมรับว่ายิ่งชื่นชอบแนวคิดนี้ เพราะความคิดของวอร์เรนสอดคล้องกับโลกความจริงทางธุรกิจ ซึ่งลูกค้าไม่ได้ต้องการนวัตกรรมและคุณภาพเลอเลิศ โดยเฉพาะเมื่อการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูง จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล จึงอาจทำให้ผลกำไรที่ได้รับต่ำต้อยกว่าธุรกิจที่ธรรมดาเรียบง่าย
แน่นอนว่า ในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการการลงทุน เจริญชัยได้นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการลงทุนและการเลือกธุรกิจ ยกตัวอย่างเมื่อเจอหุ้นดีแต่ราคาแพงเกินไป โดยเฉพาะในภาวะตลาดกระทิงแบบนี้ เจ้าตัวจะปล่อยผ่านไปเพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่มีความได้เปรียบส่วนธุรกิจที่ได้กำไรดี ส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีด้วย ซึ่งสำหรับเมืองไทย คือโรงพยาบาล และค้าปลีก รองลงมาคือ ธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามหุ้นดีส่วนใหญ่จะมีราคาแพงเกินไป นักลงทุนจึงต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ที่ราคาถูกลงกว่าปกติ M
ทำความรู้จัก วอร์เรน บัฟเฟตต์
* เขา...เป็นลูกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา4 สมัย ซึ่งต่อมาเป็นนักขายหุ้น
* เขา...เป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุ 22 ปี แม้ไม่ได้จบMBA แต่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย เนบราสกา และจบปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
* ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมมาตั้งแต่ปี 1958 โดยมีชีวิตพอเพียง ไม่หวือหวา แต่มีความสุข
* เขาจะบริจาคเงิน 90% ของความมั่งคั่งของเขาให้สังคมเพราะไม่เชื่อเรื่องการมอบมรดกมูลค่ามหาศาลให้แก่ลูกเขาบอกว่า เขาจะให้ลูกของเขาอย่างเพียงพอที่จะให้รู้สึกว่าสามารถทำอะไร (ที่เป็นประโยชน์) ก็ได้ แต่ไม่มากเกินไปจนทำให้รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไร
เล่มนี้ใช่เลย
ภาณี ลอยเกตุบรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์กล่าวถึงเหตุผลที่ทางสำนักพิมพ์เลือกเอาหนังสือชุดของแมรี บัฟเฟตต์ มาแปลว่า เพราะทางสำนักพิมพ์เห็นคุณค่าในการลงทุนสู่การลงทุนของผู้อ่านเนื่องจากแมรีได้การยอมรับว่ามีความใกล้ชิด สามารถถอดรหัสแห่งความคิดและหลายๆ มิติที่เกี่ยวเนื่องกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ชัดเจนมากที่สุด และถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและผลงานที่ภาณีออกมาทุกเล่ม ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้อ่านทั่วโลก
สำหรับลักษณะพิเศษของหนังสือที่แมรีเขียน คือ อ่านง่าย คม สั้นกระชับ เรียกว่าหากต้องการคำตอบว่าหัวใจของนักลงทุนที่ชื่อวอร์เรน คืออะไร ผลงานของแมรีชุดนี้คือคำตอบเพราะต่อให้ฟังแมรีปาฐกถาที่ไหน อีกกี่ครั้ง มุมไหนของโลก ก็ไม่พ้นเนื้อหาในหนังสือที่เธอเขียน เพราะเธอเป็นนักซึมซับ ปฏิบัติจริง ถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องในสิ่งที่เป็นแก่นของวอร์เรนซึ่งเมื่อยิ่งทำซ้ำก็ยิ่งขลังพิสูจน์ได้จากหนังสือ
บรรยายใต้ภาพ
แมรี
กฤษณ์
เจริญชัย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
Monday, May 20, 2013 05:00
หนูมิก
ถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์จะเป็นตาแก่อายุ 83 แต่เชื่อเถอะว่าเขาคือตาแก่สุดป๊อปที่คนทั่วโลกอยากรู้จัก ใครๆ ก็รู้ว่าเขาไม่เพียงเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเป็นซีอีโอของเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ แต่ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ด้วยจำนวนเงิน 6.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยนิตยสารฟอร์บส์ ต่อมาในปี 2555 ยังได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
อะไรคือความลับที่ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเป็นที่โจษจันและสนใจของคนทั่วโลก
คำตอบคือ สิ่งที่เขาค้นพบ นั่นคือ ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์(Buffettology )
ไขความลับสู่ความร่ำรวยสไตล์บัฟเฟตต์
เมื่อเร็วๆนี้ แมรี บัฟเฟตต์อดีตลูกสะใภ้ของวอร์เรนและเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรนและวิธีการลงทุนรวมถึงแนวปรัชญาของเขาไว้หลายเล่ม ได้เดินทางมาร่วมงานสัมมนา Exploring Buffettology with Mary Buffett พร้อมให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวคิดในการลงทุนของวอร์เรน สุดยอดนักลงทุนคนหนึ่งบนโลกว่า อยู่บนแนวคิดการลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investor) อธิบายง่ายๆ คือค้นหาและลงทุนในบริษัทที่รู้จักเป็นอย่างดี ในราคาที่เหมาะสม และถือไว้ในระยะยาว แทนที่เข้าๆ ออกๆ เพื่อเก็งกำไรจากการซื้อหุ้นมาในราคาถูก แต่ขายออกไปในราคาแพง
"ที่สำคัญคือ วอร์เรนมักย้ำว่า การลงทุนในหุ้นหรือกิจการใดๆ ด้วยมูลค่ามากหรือน้อยไม่สำคัญ แต่ต้องลงทุนด้วยมุมมองของผู้ประกอบการร่วมหรือ พาร์ตเนอร์ แทนที่จะมองว่าเป็นนักเก็งกำไร"
นอกจากนี้ แมรี ยังระบุถึงการควบรวมกิจการฉันมิตร(Friendly Merger) ว่าเป็นโอกาสในการค้ากำไรที่วอร์เรนโปรดปรานที่สุด ขณะที่การครอบงำกิจการที่ไม่เป็นมิตร(Hostile Takeover) คือสิ่งที่อันตรายที่สุดในการทำเงินของบัฟเฟตต์ ทั้งนี้ในหนังสือ "ชำแหละพอร์ตโฟลิโอของวอร์เรน บัฟเฟตต์" แมรี อธิบายว่า วอร์เรนซึ่งไม่นิยมการกู้เงินมาเพื่อลงทุนนั้นในบางโอกาสเพื่อเข้าควบรวมกิจการฉันมิตร วอร์เรนก็ยอมฝืนกฎกู้เงินมาเพื่อลงทุนโดยหวังผลกำไรกลับคืนที่คาดว่าจะมากกว่า
ปฏิกิริยานักลงทุนต่อแนวคิดบัฟเฟตต์
กฤษณ์ จันทโนทกผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัยและธนบดี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ใครคิดจะลงทุนในหุ้น ต้องเคยได้ยิน "Buffettology"
มาไม่มากก็น้อย ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวทางการลงทุนที่อาศัยระยะเวลาค่อนข้างนานในการตัดสินว่า เป็นแนวทางการลงทุนที่ดีจริง ซึ่งนักลงทุนที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ ต้องปรับทัศนคติให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และแนวคิดการลงทุนด้วย และที่สำคัญต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง เพราะอย่างวอร์เรนเอง ก็ปรับแนวทางการลงทุนจากที่ได้ร่ำเรียนกับเบนจามิน แกรห์ม มาเป็นแนวทางของตัวเองเช่นกัน
"โดยหลักการแล้ว ถือว่าเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย วอร์เรนเองพยายามทำให้เรื่องยากๆซับซ้อน ที่เต็มไปด้วยปัจจัยมากมายในตลาดหุ้นกลายเป็นเรื่องง่ายๆโดยเข้าไปวิเคราะห์ถึงแก่นที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะจริงๆ นั่นก็คือ มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทผมจึงคิดว่าหลักการนี้เป็นหลักการที่ดีเยี่ยมเหมาะกับทั้งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในตลาดแล้ว หรือนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสนใจลงทุนให้เริ่มศึกษาเป็นแนวทางต่อไป ซึ่งในฐานะนักลงทุน ผมว่าทุกๆ การเลือกสินทรัพย์เลือกลงทุนในบริษัท หลักการพิจารณาตามกลยุทธ์ของ Buffettology จะต้องเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการวิเคราะห์ทุกครั้ง"
ด้าน เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมหาวิทยาลัยสยาม และผู้เขียนหนังสือเปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen.Y กล่าวถึงแนวคิดแบบบัฟเฟตต์ ว่า ได้รับรู้มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งเริ่มเข้าใจเมื่อ3 ปีที่ผ่านมานี้เอง
"ในสมัยที่ชีวิตยังขาดไร้ประสบการณ์ ผมเข้าใจแต่เพียงว่า Buffettology คือ การเลือกซื้อหุ้นที่มีแบรนด์โดดเด่น หากแท้จริงแล้วการแข่งขันทางธุรกิจ ยังต้องการมากกว่านั้น โดยเฉพาะเป็นการมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของตัวเอง (Circle of Competence) เพื่อทำให้สามารถรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำ และสามารถรักษากำไรที่สูงไว้ได้อย่างยั่งยืน"
ยิ่งนานวัน เจริญชัย ยอมรับว่ายิ่งชื่นชอบแนวคิดนี้ เพราะความคิดของวอร์เรนสอดคล้องกับโลกความจริงทางธุรกิจ ซึ่งลูกค้าไม่ได้ต้องการนวัตกรรมและคุณภาพเลอเลิศ โดยเฉพาะเมื่อการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูง จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล จึงอาจทำให้ผลกำไรที่ได้รับต่ำต้อยกว่าธุรกิจที่ธรรมดาเรียบง่าย
แน่นอนว่า ในฐานะผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการการลงทุน เจริญชัยได้นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการลงทุนและการเลือกธุรกิจ ยกตัวอย่างเมื่อเจอหุ้นดีแต่ราคาแพงเกินไป โดยเฉพาะในภาวะตลาดกระทิงแบบนี้ เจ้าตัวจะปล่อยผ่านไปเพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่มีความได้เปรียบส่วนธุรกิจที่ได้กำไรดี ส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีด้วย ซึ่งสำหรับเมืองไทย คือโรงพยาบาล และค้าปลีก รองลงมาคือ ธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามหุ้นดีส่วนใหญ่จะมีราคาแพงเกินไป นักลงทุนจึงต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ที่ราคาถูกลงกว่าปกติ M
ทำความรู้จัก วอร์เรน บัฟเฟตต์
* เขา...เป็นลูกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา4 สมัย ซึ่งต่อมาเป็นนักขายหุ้น
* เขา...เป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุ 22 ปี แม้ไม่ได้จบMBA แต่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย เนบราสกา และจบปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
* ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมมาตั้งแต่ปี 1958 โดยมีชีวิตพอเพียง ไม่หวือหวา แต่มีความสุข
* เขาจะบริจาคเงิน 90% ของความมั่งคั่งของเขาให้สังคมเพราะไม่เชื่อเรื่องการมอบมรดกมูลค่ามหาศาลให้แก่ลูกเขาบอกว่า เขาจะให้ลูกของเขาอย่างเพียงพอที่จะให้รู้สึกว่าสามารถทำอะไร (ที่เป็นประโยชน์) ก็ได้ แต่ไม่มากเกินไปจนทำให้รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไร
เล่มนี้ใช่เลย
ภาณี ลอยเกตุบรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์กล่าวถึงเหตุผลที่ทางสำนักพิมพ์เลือกเอาหนังสือชุดของแมรี บัฟเฟตต์ มาแปลว่า เพราะทางสำนักพิมพ์เห็นคุณค่าในการลงทุนสู่การลงทุนของผู้อ่านเนื่องจากแมรีได้การยอมรับว่ามีความใกล้ชิด สามารถถอดรหัสแห่งความคิดและหลายๆ มิติที่เกี่ยวเนื่องกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ชัดเจนมากที่สุด และถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและผลงานที่ภาณีออกมาทุกเล่ม ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้อ่านทั่วโลก
สำหรับลักษณะพิเศษของหนังสือที่แมรีเขียน คือ อ่านง่าย คม สั้นกระชับ เรียกว่าหากต้องการคำตอบว่าหัวใจของนักลงทุนที่ชื่อวอร์เรน คืออะไร ผลงานของแมรีชุดนี้คือคำตอบเพราะต่อให้ฟังแมรีปาฐกถาที่ไหน อีกกี่ครั้ง มุมไหนของโลก ก็ไม่พ้นเนื้อหาในหนังสือที่เธอเขียน เพราะเธอเป็นนักซึมซับ ปฏิบัติจริง ถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องในสิ่งที่เป็นแก่นของวอร์เรนซึ่งเมื่อยิ่งทำซ้ำก็ยิ่งขลังพิสูจน์ได้จากหนังสือ
บรรยายใต้ภาพ
แมรี
กฤษณ์
เจริญชัย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์