เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จักรร
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จักรร
โพสต์ที่ 1
เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จักรรินทร์'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, June 03, 2013 07:04
ก่อน "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี บล็อกเกอร์คนดังแห่งเว็บไซต์ maoinvestor.com เจ้าของ ชื่อล็อกอิน "ไม้ไต่คู้" ณ ห้องสินธร เว็บไซต์ PANTIP จะ "โด่งดัง" จากโพสต์การ์ตูนเรื่อง "สารคดี ชีวิตสัตว์โลก แมลงเม่า Malaeng- Mao investor" ที่จรดปากกาวาดเอง
ครั้งหนึ่ง "ชะตากรรม" ของเธอ เคยตกอยู่ในห้วง "ช้าใน จุกอก พูดไม่ออก" "ใจร้อน ไร้ความรู้ ลอกหุ้นคนดัง" คือ วิถีลงทุน "ตลาดหุ้น" ในช่วงแรกเริ่มของ "เม่าน้อยไร้เดียงสา" ก่อนจะได้รับบทเรียน ..."เล่นหุ้นห้ามใจร้อน ข้อมูลไม่ปึ่กอย่าซ่าช้อน" คือสิ่งที่เธออยากบอก เม่าทั้งหลาย
"เล่นหุ้นห้ามใจร้อน ข้อมูลไม่ปึ้กอย่าซ่าช้อน"วิถีแห่งหุ้นแนวนี้ "ชลิตา สมบุญเรืองศรี"เจ้าของลายเส้นการ์ตูน Mao investor และ "จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ "เม่าน้อย" ที่โลดแล่นในตลาดหุ้นเพียง 3 ปี ซึ้งใจเป็นอย่างดี
"เจ็บหนัก" เพราะรัก VI!
ก่อน "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี บล็อกเกอร์ คนดังแห่งเว็บไซต์ maoinvestor.com เจ้าของชื่อล็อกอิน "ไม้ไต่คู้" ณ ห้องสินธร เว็บไซต์ PANTIP จะ "โด่งดัง" จากโพสต์การ์ตูนเรื่อง"สารคดีชีวิตสัตว์โลก แมลงเม่า Malaeng- Mao investor" ที่จรดปากกาวาดเอง ครั้งหนึ่ง "ชะตากรรม" ของเธอ เคยตกอยู่ ในห้วง "ช้ำใน จุกอก พูดไม่ออก" "ใจร้อน ไร้ความรู้ ลอกหุ้นคนดัง" คือ วิถีลงทุน "ตลาดหุ้น" ในช่วงแรกเริ่มของ "เม่าน้อยไร้เดียงสา" "จุ๊บ" ปฏิบัติการณ์เผยแพร่ "ความช้ำใจ" ให้โลกซาบซึ้ง ชนิดไม่เก็บตังค์ สักบาท ด้วยการนำเสนอเรื่องราวผ่านตัวการ์ตูน เธอโพสต์ลงห้องสินธรเพียงไม่กี่ตอน เรื่อง ก็ขึ้นแท่น "กระทู้แนะนำ" ก่อนจะมีสำนักพิมพ์ ติดต่อขอรวมเล่ม
"เล่นหุ้นกับพี่เม่า" พอกเก็ตบุ๊คเล่มแรก ในชีวิต เน้นเล่าชีวิตการลงทุนของตัวเธอ แฟนหนุ่มและคนรอบข้างล้วนๆ ถูกตีพิมพ์ มาแล้วถึง 6 ครั้ง มียอดขายเป็นหมื่นเล่ม (17,700 เล่ม) "เงินทองของหายาก" น้องใหม่ล่าสุด
ความ "ฮอตฮิต" ของ "เม่าน้อย" ยังถูก การันตี ด้วยยอด "กดไลท์" 46,668 ไลท์ ผ่านเพจ บน Facebook ในชื่อว่า Mao-Investor ครั้งหนึ่งเคยมี "บุรุษนิรนาม" โทรมาโอ้อวด คือ สรรพคุณ หวังใช้ชื่อ Mao-Investor หาประโยชน์เข้าเป๋าตัวเอง "เรามีคอนเน็คชั่น มากมาย รู้จักคนดังเรื่องหุ้นเพียบ หากคุณยกหน้าเพจให้รับรองรุ่ง" บนสนทนายังไม่ทันยุติ เธอรีบปฏิเสธก่อนยืดเยื้อ
โครงการยูดีไลท์ ย่านจตุจักร จุดนัดพบที่ "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี ที่มาพร้อม"แฟนหนุ่ม" "ตาร์" จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ นัดเล่าความหลังเรื่องหุ้นๆ กับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" พอร์ตของเราสองคนแยกกัน เริ่มลงทุนในระยะเวลาใกล้เคียงกันราวๆ 3 ปีก่อน วีถีลงทุนไม่ค่อยเหมือนกัน "จุ๊บ" "ใจร้อน ไม่ไหวจะรอ" "พี่ตาร์" "ใจเย็น มีเป้าหมาย" ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน แต่ พี่ตาร์ได้กำไร ส่วนเราซิ "นอนปวดใจ"(หัวเราะ)"สาวจุ๊บ" วัย 28 ปี เปิดบทสนทนา ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องชายในจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนครอบครัว จะย้ายมาค้าขายแถวถนนจันทน์ หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม ก็ตัดสินใจเลือกสอบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.87) เรียนจบ ก็เดินเข้าสู่เส้นทาง "มุนษย์ เงินเดือน" ด้วยการทำงานในบริษัท ไอทีวัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) ทำได้ 2 ปีกว่า ก็ย้ายมาทำงานในบริษัท A-TOS ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานที่นี่ เชื่อมั้ย 2 ปีกว่าที่ทำงานใน "ไอทีวัน" มีเงินเก็บเกือบ 3 แสน! "จุดเริ่มต้น"ซื้อหุ้น เกิดขึ้นในปี 2554 ครั้งหนึ่งเพื่อน สนิทที่เพิ่งเป็น"เม่าน้อยหน้าใหม่" ยื่นหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก)"แกต้องอ่านให้จบภายในวันเดียว!" ตอนนั้นเกิดคำถามในใจ "ทำไมละ?" แต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป สงสัยเป็น "กลลวง" เพื่อนรู้ว่าเราไม่ชอบอ่านหนังสือ (หัวเราะ) หนังสือ "ตีแตก" ก็มีโอกาสอ่าน
พลิกหนังสือ 2 เล่มจบ รู้สึก เออ! ตลาดหุ้นไม่แย่อย่างที่คิด เมื่อก่อนพ่อกับแม่เคยห้าม "อย่าไปเล่นหุ้น การพนันชัดๆ"
หลังจากนั้น "ทัศนคติ" เปลี่ยนไป ตัดสินใจ เปิดพอร์ตวงเงิน 2 แสนบาท แต่ใส่เงินเล่นหุ้นเริ่มแรกเพียง 15,000 บาท กับเพื่อนสนิทที่เป็นมาร์เก็ตติ้งอยู่ในบล.โนมูระ พัฒนสิน
หุ้นตัวแรกของพอร์ต!! คือ หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ทำไมต้องตัวนี้?ในหนังสือ "ตีแตก" สอนว่า คุณควรเลือกหุ้นที่เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม น่าจะได้มาช่วง 91 บาท สอยมาได้ 10 วัน มีข่าวฟ้องร้อง ราคาหล่นซะงั้นเหลือแค่ 70 บาท คุณพระ!
"เศร้ามาก"
นี่ซื้อถัวเฉลี่ย 2 รอบเลย ซื้อมาตอนราคาสูงมาก 700 กว่าบาท ราคาขึ้นไม่ยอมขาย ถือคติเป็น VI "ห้ามขาย" (นางย้ำ) พอลงซื้อถัวเฉลี่ยตอนราคา 600 บาท (ใจกล้ามาก) ก่อนจะซื้อถัวเฉลี่ยอีกรอบ 400 บาท
หุ้นตัวนี้ตั้งใจไม่ขายมันเป็น "หุ้นตำนาน"กะจะเก็บไว้ให้ลูกดู แกจะได้รู้ว่าวันหนึ่งพ่อกับแม่เคยซื้อหุ้น บ้านปู ราคาสูงลิ่วขนาดนี้ (ยิ้ม) ซื้อหุ้นน้องปู เพราะมีกูรู VI บอกว่าหุ้นจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 บาท นึกแล้วโกรธ!
ตลอด 3 ปีของการลงทุน หากหุ้นน้องปู ไม่ทำให้เจ็บแสบ พอร์ตลงทุนมูลค่าแค่หลักแสนบาทของจุ๊บจะเป็น "สีเขียว"
ถามถึงวิธีเลือกหุ้น? เธอ ตอบว่า อันดับแรก ต้องดูว่าหุ้นตัวนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจหรือไม่ เพราะต่อให้หุ้นพื้นฐานดี แต่ไม่มีสตอรี่มันก็จะดีแบบเงียบของมันแบบนี้ หากพบหุ้นที่ดีจงรีบเจาะงบการเงิน ส่วนใหญ่เน้นดู "กำไรสุทธิ"ย้อนหลัง 3 ปี ถ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี "ความน่าสนใจ" มาเยือนละ ยิ่งให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 2% หุ้นตัวนี้ยิ่ง "สวย" ช่วงหลังเราสองคนมักชวนกันไปสำรวจสินค้าและสาขาแบบประชิดติดตัว ทำแบบที่เหล่ากูรูมืออาชีพเขาทำกัน (ยิ้ม)
เมื่อทำการบ้านเสร็จและเลือกหุ้นได้แล้ว ช่วงแรกของปฏิบัติการณ์ช้อนหุ้นจะเลือกสอยเข้าพอร์ตก่อน 30% ถ้าโอเคเล่นไม้สองต่อ 30% หากแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อยๆคว้าอีก 30% จากนั้น ) จะถอยมานั่งเฝ้าดูราคา สุดท้ายหากพบว่ากำไรซื้อต่อ แต่ถ้าขาดทุน 5% จะกลับมาดูว่า "คิดอะไรผิดรึเปล่า"
หากขาดทุน 10% ตัดขายเลยไม่รอแล้ว "เม่าจุ๊บ" บอกว่า ตอนนี้ครอบครองหุ้นเพียง 4-5 ตัว แต่เน้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้นที่ค้าขายธุรกิจภายในประเทศ โดยหุ้น 3 ตัวแรก เน้นถือยาวตลอดกาล ส่วน 2 ตัวที่เหลือ ส่วนใหญ่ มักกั้นไว้เป็นพื้นที่ของ "หุ้นหน้าใหม่" เน้นเล่นระยะสั้น 1-2 เดือน
ขอนิยามการลงทุนของตัวเองเป็น "ลูกผสม" ระหว่างแนว VI และเก็งกำไรระยะสั้น "เม่าน้อย" อย่างเราๆ คงเป็นนักลงทุน VI ได้ยาก เราไม่มีวงใน ไม่สามารถแกะงบการเงินได้ถึงแก่น ที่ผ่านมาเจ็บเพราะ VI มาเยอะเรื่องนี้ยอมรับ ไม่ใช่ว่าลงทุนระยะยาวไม่ดี แต่แนวทางนี้ไม่เหมาะกับ "คนใจร้อน" อย่างเราไม่เคยฝันว่าอยากมีพอร์ตใหญ่โต ขอแค่ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% ก็เพียงพอแล้ว ช่วงนั้นอารมณ์นี้เลย ในหัววนเวียนคิด หนังสือ "ตีแตก" บอกว่า "หุ้นจะเติบโตไปพร้อมเรา" ไหนละ!! (หัวเราะ) ตอนนั้น พี่ตาร์สอนให้รู้จัก "ซื้อถัวเฉลี่ย" ช่วงนั้นเลยรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ "ต้นทุนไม่สูงละ" แต่สุดท้ายราคาลงต่อเนื่อง ยิ่งต่ำยิ่งไม่ปล่อย ผ่านมา 2-3 เดือน เมื่อ "ข่าวซา" ราคาดีดกลับเรารีบขายเลย ช่วงนั้นยังไม่รู้จักวิธี "ตัดขายขาดทุน" (Stop Loss)
นั่งคิดแล้วรู้สึก "อนาถตัวเองจริงๆ" เห็นคนใน VI มีข้อมูลน่าเชื่อถือ ก็ซื้อตามเขา ด้วยความเป็น "เม่าน้อย" ก็มักใจง่ายแบบนี้ละ
1 ปีแรกของการลงทุน ถือหุ้นมาประมาณ 10 ตัว บทเรียนที่ได้รับเต็มๆ คือ หากคิดจะลงทุน คุณต้อง "ใจนิ่ง ห้ามใจร้อน" แม้จะลอกหุ้นชาวบ้านมาดีแล้วก็ตาม (ยิ้ม) ก่อนจะขายหุ้นจงนึกเสมอว่า วันแรกที่ตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร ห้ามขายด้วยเหตุผลอื่นเด็ดขาด หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน
หุ้นตัวไหนที่ทำให้ "เจ็บหนัก" ที่สุด?"เม่าจุ๊บ" สวนทันที หุ้น บ้านปู (BANPU) น้องปู คราวนี้ข้ามฟากมาเก็บ "ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม" (PTTEP) เพื่อนที่เป็นมาร์เก็ตติ้ง "เชียร์" เขาบอก "อนาคตไกล กราฟสวย ราคาเป้าหมาย 178 บาท" ตอนนั้นไม่มีความรู้ คิดเพียงว่า "เพื่อนเป็นมาร์เก็ตติ้งต้องมีความรู้มากกว่าเรา" แต่ดันลืมนึกไปว่า "ไอ้เพื่อนเนี่ย อายุงานก็เท่าๆ กับเรา" ซื้อมา 170 บาท ไม่นานเหลือ 160 กว่าบาท คราวนี้ ไม่ยอมซื้อถัวเฉลี่ย ถือไว้สักพัก พอราคาดีดขึ้น ก็รีบทิ้ง
เธอเล่าต่อ คราวนี้เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เน้น "ลอกหุ้น" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"(หัวเราะ)
ตัวแรกเลือกจิ้ม หุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL ) เห็น "ด็อกเตอร์" ถือหุ้นตัวนี้แล้วเกิด "แรงบันดาลใจ" ตัดสินใจเคาะตาม ในราคา 43 บาท แต่ลืมคิดว่า อาจารย์มีต้นทุนเท่าไร มารู้อีกที "ต้นทุนท่านแค่ 10 บาท" ลมจับ (หัวเราะ) ได้ยินแล้วรู้สึกใจเสีย
ถือหุ้น CPALL ไม่นาน ราคาหล่นเหลือ 36 บาท พอดีดกลับมายืนเหนือจุดเดิมรีบขายทันที เคยกลับมานั่งคิดทบทวน "หากใจเย็น สักนิด อดทนสักหน่อยป่านนี้รวยละ" เพราะครั้งหนึ่งราคา CPALL เคยทะยานถึง 70-80 บาท (อยากจะบ้า)
ขายหุ้น CPALL ก็โยกเงินมาซื้อหุ้น เจ มาร์ท (JMART) ตามอาจารย์เหมือนเคย แต่ตัวนี้ "เจ็บใจสุดๆ" (หน้าตาอินมากๆ) ซื้อมา 2.98 บาท ขายไป 3.02 บาท ตอนโน้นดีใจสุดๆ คิดใจใน "ข้าเก่งโครต" เพราะเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้ "กำไร" ตอนนี้เป็นไงละ ราคาพุ่งมา 20 กว่าบาทแล้ว
เล็งจะช้อนหุ้นกลุ่มไหนต่อไป? "จุ๊บตาร์" ประสานเสียงว่า กลุ่มพลังงานทางเลือก บอกตรง เวลานี้น่าสนใจสุดๆ เข้าไปดูงบการเงินย้อนหลังเห็นบริษัทค่อยๆเติบโตเหมาะที่ถือลงทุนระยะยาว เพิ่งซื้อไป 20% ตั้งใจจะรอดูงบการเงินไตรมาส 2/56 หากออกมาสวย อาจทยอยเก็บให้ครบ 100% นั่งเงียบมานาน "หนุ่มตาร์"จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ วัย 35 ปี ในฐานะ "เทรนเนอร์" ส่วนตั๊วส่วนตัวของ "สาวจุ๊บ" ขอฉายเส้นทางการลงทุนของตัวเองว่า จริงๆ เป็นคนหาดใหญ่ แม้หน้าจะไม่ค่อยเหมือนเท่าไร
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ไปต่อปริญญาโท คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตอนเรียนจบใหม่ๆทำงานที่เดียวกับคุณจุ๊บ แต่ ตอนนี้เปลี่ยนสายย้ายมาอยู่วงการแบงก์แล้ว
เมื่อก่อนโดนปั่นหูตลอดว่า หุ้นคือการพนัน คนโดดตึกฆ่าตัวตายเต็มไปหมด "ทำไมเส้นทางแกเหมือนของฉ้านเลยว่ะ" จุ๊บตะโกนแซวแฟนหนุ่ม จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีโอกาสไปนั่งฟังงานสัมมนาของ "ดร.นิเวศน์" งานเลิกความคิดเปลี่ยนทันที ผมไปกวาดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องหุ้นๆ มาอ่านเพียบ
หาความรู้ไม่นาน ก็หอบเงินหลักหมื่นบาท ไปเปิดพอร์ตที่บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง วิถีทางเดินของผมเกือบคล้ายๆ คุณจุ๊บ แต่ผมใจเย็นกว่า อดทนกว่า (ยิ้ม) ที่สำคัญเป้าหมายการลงทุนของเราสองคนไม่เหมือนกัน "ผมตั้งใจจะถือหุ้นดีๆ ยาว 5-10 ปี"
"ผมซื้อหุ้น ADVANC ตัวแรกเหมือนคุณจุ๊บ ช่วงราคา 89 บาท ราคาลงผมไม่ขาย ผ่านไป 7-8 เดือน ราคาเด้งกลับรีบปล่อยออกตอน 95 บาท ตลอด 1 ปีแรกของการลงทุน ผมมีหุ้นเพียง 2-3 ตัว ผลการลงทุนคือ "กำไร" เมื่อก่อนเคยคิดอยากเล่นเส้นเทคนิค แต่มอนิเตอร์กราฟไม่ได้ตลอด ตอนนี้เลย กลายเป็นนักลงทุน "พันธุ์ผสม" ระหว่างกราฟกับพื้นฐาน แต่ช่วงนี้หยุดซื้อหุ้นมาสักระยะ เพราะราคาหุ้นหลายตัวแพงมาก แถมดัชนียัง สูงลิ่ว กลัวว่าวันหนึ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุด แล้วจะ "ทิ่มหัวลงแรง" ถ้าปล่อยของไม่ทัน "ตายแน่" รอราคาเสถียรภาพมากกว่านี้แล้วค่อยเข้าไปใหม่
"วันหนึ่งผมจะเป็นนักลงทุน VI ตัวจริง" คำมั่นสัญญาของ "หนุ่มตาร์" 3 ปีของการลงทุน พอร์ตออก "สีเขียวลางๆ" ถ้าไม่เจอหุ้น MCS เล่นงาน พอร์ตจะเขียวกว่านี้อีก (หัวเราะ) ซื้อหุ้น MCS มาตอน 10 บาท ตอนนี้ราคา 5 บาท หุ้นร่วง เพราะเจอข่าวน้ำท่วมกรุงเทพ
ตอนนี้มีหุ้น 3-4 ตัว ล่าสุดเพิ่งปล่อยหุ้น ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ได้กำไรมากค่อนข้างเยอะ (ยิ้ม) ช่วงนี้สนใจซื้อหุ้น โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เพิ่มเติม หุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็อยากได้ แต่ราคามาไกลไปละ จากนี้ จะพยายามให้มีหุ้นพื้นฐานดีๆ อยู่ในพอร์ต 70% อีก 30% เว้นพื้นที่ไว้สำหรับเก็งกำไร
"จุ๊บ-ตาร์" แสดงจุดยืนว่า เมื่อก่อนเรานิยมซื้อหุ้นตามคนดัง เชื่อคนโน้นคนนี้ เมื่อประสบการณ์สอนให้พบกับคำว่า "เจ็บ" เราสองคนจึงต้องเปลี่ยนแนว เราไม่ฟังมาร์เก็ตติ้ง ทุกเรื่อง ไม่ซื้อหุ้นตามกูรูตัวพ่อ ได้ยินอะไร มาต้องเช็คข้อมูลก่อนลงทุน ที่สำคัญใจต้องนิ่ง อย่าเอนเอียงไปตามข่าวลือ
ตลาดหุ้นไม่ได้ทำให้ทุกคน "ร่ำรวย" การลงทุนมี "มุมลบ" เพียงแต่ไม่มีใครถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือมาวางขาย บนแผงหนังสือมักมีแต่คนนำเสนอ "รวยด้วยหุ้น" เราสองคนถ่ายทอดเรื่องราวการลงทุนผ่านตัวการ์ตูน ก็หวังให้ "เม่าน้อย" ทุกคนเข้าใจง่าย และกรุณา "ตั้งสติก่อนสตาร์ท"
บรรยายใต้ภาพ
ชลิตา สมบุญเรืองศรี
จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, June 03, 2013 07:04
ก่อน "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี บล็อกเกอร์คนดังแห่งเว็บไซต์ maoinvestor.com เจ้าของ ชื่อล็อกอิน "ไม้ไต่คู้" ณ ห้องสินธร เว็บไซต์ PANTIP จะ "โด่งดัง" จากโพสต์การ์ตูนเรื่อง "สารคดี ชีวิตสัตว์โลก แมลงเม่า Malaeng- Mao investor" ที่จรดปากกาวาดเอง
ครั้งหนึ่ง "ชะตากรรม" ของเธอ เคยตกอยู่ในห้วง "ช้าใน จุกอก พูดไม่ออก" "ใจร้อน ไร้ความรู้ ลอกหุ้นคนดัง" คือ วิถีลงทุน "ตลาดหุ้น" ในช่วงแรกเริ่มของ "เม่าน้อยไร้เดียงสา" ก่อนจะได้รับบทเรียน ..."เล่นหุ้นห้ามใจร้อน ข้อมูลไม่ปึ่กอย่าซ่าช้อน" คือสิ่งที่เธออยากบอก เม่าทั้งหลาย
"เล่นหุ้นห้ามใจร้อน ข้อมูลไม่ปึ้กอย่าซ่าช้อน"วิถีแห่งหุ้นแนวนี้ "ชลิตา สมบุญเรืองศรี"เจ้าของลายเส้นการ์ตูน Mao investor และ "จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ "เม่าน้อย" ที่โลดแล่นในตลาดหุ้นเพียง 3 ปี ซึ้งใจเป็นอย่างดี
"เจ็บหนัก" เพราะรัก VI!
ก่อน "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี บล็อกเกอร์ คนดังแห่งเว็บไซต์ maoinvestor.com เจ้าของชื่อล็อกอิน "ไม้ไต่คู้" ณ ห้องสินธร เว็บไซต์ PANTIP จะ "โด่งดัง" จากโพสต์การ์ตูนเรื่อง"สารคดีชีวิตสัตว์โลก แมลงเม่า Malaeng- Mao investor" ที่จรดปากกาวาดเอง ครั้งหนึ่ง "ชะตากรรม" ของเธอ เคยตกอยู่ ในห้วง "ช้ำใน จุกอก พูดไม่ออก" "ใจร้อน ไร้ความรู้ ลอกหุ้นคนดัง" คือ วิถีลงทุน "ตลาดหุ้น" ในช่วงแรกเริ่มของ "เม่าน้อยไร้เดียงสา" "จุ๊บ" ปฏิบัติการณ์เผยแพร่ "ความช้ำใจ" ให้โลกซาบซึ้ง ชนิดไม่เก็บตังค์ สักบาท ด้วยการนำเสนอเรื่องราวผ่านตัวการ์ตูน เธอโพสต์ลงห้องสินธรเพียงไม่กี่ตอน เรื่อง ก็ขึ้นแท่น "กระทู้แนะนำ" ก่อนจะมีสำนักพิมพ์ ติดต่อขอรวมเล่ม
"เล่นหุ้นกับพี่เม่า" พอกเก็ตบุ๊คเล่มแรก ในชีวิต เน้นเล่าชีวิตการลงทุนของตัวเธอ แฟนหนุ่มและคนรอบข้างล้วนๆ ถูกตีพิมพ์ มาแล้วถึง 6 ครั้ง มียอดขายเป็นหมื่นเล่ม (17,700 เล่ม) "เงินทองของหายาก" น้องใหม่ล่าสุด
ความ "ฮอตฮิต" ของ "เม่าน้อย" ยังถูก การันตี ด้วยยอด "กดไลท์" 46,668 ไลท์ ผ่านเพจ บน Facebook ในชื่อว่า Mao-Investor ครั้งหนึ่งเคยมี "บุรุษนิรนาม" โทรมาโอ้อวด คือ สรรพคุณ หวังใช้ชื่อ Mao-Investor หาประโยชน์เข้าเป๋าตัวเอง "เรามีคอนเน็คชั่น มากมาย รู้จักคนดังเรื่องหุ้นเพียบ หากคุณยกหน้าเพจให้รับรองรุ่ง" บนสนทนายังไม่ทันยุติ เธอรีบปฏิเสธก่อนยืดเยื้อ
โครงการยูดีไลท์ ย่านจตุจักร จุดนัดพบที่ "จุ๊บ" ชลิตา สมบุญเรืองศรี ที่มาพร้อม"แฟนหนุ่ม" "ตาร์" จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ นัดเล่าความหลังเรื่องหุ้นๆ กับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" พอร์ตของเราสองคนแยกกัน เริ่มลงทุนในระยะเวลาใกล้เคียงกันราวๆ 3 ปีก่อน วีถีลงทุนไม่ค่อยเหมือนกัน "จุ๊บ" "ใจร้อน ไม่ไหวจะรอ" "พี่ตาร์" "ใจเย็น มีเป้าหมาย" ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน แต่ พี่ตาร์ได้กำไร ส่วนเราซิ "นอนปวดใจ"(หัวเราะ)"สาวจุ๊บ" วัย 28 ปี เปิดบทสนทนา ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องชายในจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนครอบครัว จะย้ายมาค้าขายแถวถนนจันทน์ หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม ก็ตัดสินใจเลือกสอบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.87) เรียนจบ ก็เดินเข้าสู่เส้นทาง "มุนษย์ เงินเดือน" ด้วยการทำงานในบริษัท ไอทีวัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) ทำได้ 2 ปีกว่า ก็ย้ายมาทำงานในบริษัท A-TOS ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานที่นี่ เชื่อมั้ย 2 ปีกว่าที่ทำงานใน "ไอทีวัน" มีเงินเก็บเกือบ 3 แสน! "จุดเริ่มต้น"ซื้อหุ้น เกิดขึ้นในปี 2554 ครั้งหนึ่งเพื่อน สนิทที่เพิ่งเป็น"เม่าน้อยหน้าใหม่" ยื่นหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก)"แกต้องอ่านให้จบภายในวันเดียว!" ตอนนั้นเกิดคำถามในใจ "ทำไมละ?" แต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป สงสัยเป็น "กลลวง" เพื่อนรู้ว่าเราไม่ชอบอ่านหนังสือ (หัวเราะ) หนังสือ "ตีแตก" ก็มีโอกาสอ่าน
พลิกหนังสือ 2 เล่มจบ รู้สึก เออ! ตลาดหุ้นไม่แย่อย่างที่คิด เมื่อก่อนพ่อกับแม่เคยห้าม "อย่าไปเล่นหุ้น การพนันชัดๆ"
หลังจากนั้น "ทัศนคติ" เปลี่ยนไป ตัดสินใจ เปิดพอร์ตวงเงิน 2 แสนบาท แต่ใส่เงินเล่นหุ้นเริ่มแรกเพียง 15,000 บาท กับเพื่อนสนิทที่เป็นมาร์เก็ตติ้งอยู่ในบล.โนมูระ พัฒนสิน
หุ้นตัวแรกของพอร์ต!! คือ หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ทำไมต้องตัวนี้?ในหนังสือ "ตีแตก" สอนว่า คุณควรเลือกหุ้นที่เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม น่าจะได้มาช่วง 91 บาท สอยมาได้ 10 วัน มีข่าวฟ้องร้อง ราคาหล่นซะงั้นเหลือแค่ 70 บาท คุณพระ!
"เศร้ามาก"
นี่ซื้อถัวเฉลี่ย 2 รอบเลย ซื้อมาตอนราคาสูงมาก 700 กว่าบาท ราคาขึ้นไม่ยอมขาย ถือคติเป็น VI "ห้ามขาย" (นางย้ำ) พอลงซื้อถัวเฉลี่ยตอนราคา 600 บาท (ใจกล้ามาก) ก่อนจะซื้อถัวเฉลี่ยอีกรอบ 400 บาท
หุ้นตัวนี้ตั้งใจไม่ขายมันเป็น "หุ้นตำนาน"กะจะเก็บไว้ให้ลูกดู แกจะได้รู้ว่าวันหนึ่งพ่อกับแม่เคยซื้อหุ้น บ้านปู ราคาสูงลิ่วขนาดนี้ (ยิ้ม) ซื้อหุ้นน้องปู เพราะมีกูรู VI บอกว่าหุ้นจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 บาท นึกแล้วโกรธ!
ตลอด 3 ปีของการลงทุน หากหุ้นน้องปู ไม่ทำให้เจ็บแสบ พอร์ตลงทุนมูลค่าแค่หลักแสนบาทของจุ๊บจะเป็น "สีเขียว"
ถามถึงวิธีเลือกหุ้น? เธอ ตอบว่า อันดับแรก ต้องดูว่าหุ้นตัวนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจหรือไม่ เพราะต่อให้หุ้นพื้นฐานดี แต่ไม่มีสตอรี่มันก็จะดีแบบเงียบของมันแบบนี้ หากพบหุ้นที่ดีจงรีบเจาะงบการเงิน ส่วนใหญ่เน้นดู "กำไรสุทธิ"ย้อนหลัง 3 ปี ถ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี "ความน่าสนใจ" มาเยือนละ ยิ่งให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 2% หุ้นตัวนี้ยิ่ง "สวย" ช่วงหลังเราสองคนมักชวนกันไปสำรวจสินค้าและสาขาแบบประชิดติดตัว ทำแบบที่เหล่ากูรูมืออาชีพเขาทำกัน (ยิ้ม)
เมื่อทำการบ้านเสร็จและเลือกหุ้นได้แล้ว ช่วงแรกของปฏิบัติการณ์ช้อนหุ้นจะเลือกสอยเข้าพอร์ตก่อน 30% ถ้าโอเคเล่นไม้สองต่อ 30% หากแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อยๆคว้าอีก 30% จากนั้น ) จะถอยมานั่งเฝ้าดูราคา สุดท้ายหากพบว่ากำไรซื้อต่อ แต่ถ้าขาดทุน 5% จะกลับมาดูว่า "คิดอะไรผิดรึเปล่า"
หากขาดทุน 10% ตัดขายเลยไม่รอแล้ว "เม่าจุ๊บ" บอกว่า ตอนนี้ครอบครองหุ้นเพียง 4-5 ตัว แต่เน้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้นที่ค้าขายธุรกิจภายในประเทศ โดยหุ้น 3 ตัวแรก เน้นถือยาวตลอดกาล ส่วน 2 ตัวที่เหลือ ส่วนใหญ่ มักกั้นไว้เป็นพื้นที่ของ "หุ้นหน้าใหม่" เน้นเล่นระยะสั้น 1-2 เดือน
ขอนิยามการลงทุนของตัวเองเป็น "ลูกผสม" ระหว่างแนว VI และเก็งกำไรระยะสั้น "เม่าน้อย" อย่างเราๆ คงเป็นนักลงทุน VI ได้ยาก เราไม่มีวงใน ไม่สามารถแกะงบการเงินได้ถึงแก่น ที่ผ่านมาเจ็บเพราะ VI มาเยอะเรื่องนี้ยอมรับ ไม่ใช่ว่าลงทุนระยะยาวไม่ดี แต่แนวทางนี้ไม่เหมาะกับ "คนใจร้อน" อย่างเราไม่เคยฝันว่าอยากมีพอร์ตใหญ่โต ขอแค่ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% ก็เพียงพอแล้ว ช่วงนั้นอารมณ์นี้เลย ในหัววนเวียนคิด หนังสือ "ตีแตก" บอกว่า "หุ้นจะเติบโตไปพร้อมเรา" ไหนละ!! (หัวเราะ) ตอนนั้น พี่ตาร์สอนให้รู้จัก "ซื้อถัวเฉลี่ย" ช่วงนั้นเลยรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ "ต้นทุนไม่สูงละ" แต่สุดท้ายราคาลงต่อเนื่อง ยิ่งต่ำยิ่งไม่ปล่อย ผ่านมา 2-3 เดือน เมื่อ "ข่าวซา" ราคาดีดกลับเรารีบขายเลย ช่วงนั้นยังไม่รู้จักวิธี "ตัดขายขาดทุน" (Stop Loss)
นั่งคิดแล้วรู้สึก "อนาถตัวเองจริงๆ" เห็นคนใน VI มีข้อมูลน่าเชื่อถือ ก็ซื้อตามเขา ด้วยความเป็น "เม่าน้อย" ก็มักใจง่ายแบบนี้ละ
1 ปีแรกของการลงทุน ถือหุ้นมาประมาณ 10 ตัว บทเรียนที่ได้รับเต็มๆ คือ หากคิดจะลงทุน คุณต้อง "ใจนิ่ง ห้ามใจร้อน" แม้จะลอกหุ้นชาวบ้านมาดีแล้วก็ตาม (ยิ้ม) ก่อนจะขายหุ้นจงนึกเสมอว่า วันแรกที่ตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร ห้ามขายด้วยเหตุผลอื่นเด็ดขาด หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน
หุ้นตัวไหนที่ทำให้ "เจ็บหนัก" ที่สุด?"เม่าจุ๊บ" สวนทันที หุ้น บ้านปู (BANPU) น้องปู คราวนี้ข้ามฟากมาเก็บ "ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม" (PTTEP) เพื่อนที่เป็นมาร์เก็ตติ้ง "เชียร์" เขาบอก "อนาคตไกล กราฟสวย ราคาเป้าหมาย 178 บาท" ตอนนั้นไม่มีความรู้ คิดเพียงว่า "เพื่อนเป็นมาร์เก็ตติ้งต้องมีความรู้มากกว่าเรา" แต่ดันลืมนึกไปว่า "ไอ้เพื่อนเนี่ย อายุงานก็เท่าๆ กับเรา" ซื้อมา 170 บาท ไม่นานเหลือ 160 กว่าบาท คราวนี้ ไม่ยอมซื้อถัวเฉลี่ย ถือไว้สักพัก พอราคาดีดขึ้น ก็รีบทิ้ง
เธอเล่าต่อ คราวนี้เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เน้น "ลอกหุ้น" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"(หัวเราะ)
ตัวแรกเลือกจิ้ม หุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL ) เห็น "ด็อกเตอร์" ถือหุ้นตัวนี้แล้วเกิด "แรงบันดาลใจ" ตัดสินใจเคาะตาม ในราคา 43 บาท แต่ลืมคิดว่า อาจารย์มีต้นทุนเท่าไร มารู้อีกที "ต้นทุนท่านแค่ 10 บาท" ลมจับ (หัวเราะ) ได้ยินแล้วรู้สึกใจเสีย
ถือหุ้น CPALL ไม่นาน ราคาหล่นเหลือ 36 บาท พอดีดกลับมายืนเหนือจุดเดิมรีบขายทันที เคยกลับมานั่งคิดทบทวน "หากใจเย็น สักนิด อดทนสักหน่อยป่านนี้รวยละ" เพราะครั้งหนึ่งราคา CPALL เคยทะยานถึง 70-80 บาท (อยากจะบ้า)
ขายหุ้น CPALL ก็โยกเงินมาซื้อหุ้น เจ มาร์ท (JMART) ตามอาจารย์เหมือนเคย แต่ตัวนี้ "เจ็บใจสุดๆ" (หน้าตาอินมากๆ) ซื้อมา 2.98 บาท ขายไป 3.02 บาท ตอนโน้นดีใจสุดๆ คิดใจใน "ข้าเก่งโครต" เพราะเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้ "กำไร" ตอนนี้เป็นไงละ ราคาพุ่งมา 20 กว่าบาทแล้ว
เล็งจะช้อนหุ้นกลุ่มไหนต่อไป? "จุ๊บตาร์" ประสานเสียงว่า กลุ่มพลังงานทางเลือก บอกตรง เวลานี้น่าสนใจสุดๆ เข้าไปดูงบการเงินย้อนหลังเห็นบริษัทค่อยๆเติบโตเหมาะที่ถือลงทุนระยะยาว เพิ่งซื้อไป 20% ตั้งใจจะรอดูงบการเงินไตรมาส 2/56 หากออกมาสวย อาจทยอยเก็บให้ครบ 100% นั่งเงียบมานาน "หนุ่มตาร์"จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์ วัย 35 ปี ในฐานะ "เทรนเนอร์" ส่วนตั๊วส่วนตัวของ "สาวจุ๊บ" ขอฉายเส้นทางการลงทุนของตัวเองว่า จริงๆ เป็นคนหาดใหญ่ แม้หน้าจะไม่ค่อยเหมือนเท่าไร
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ไปต่อปริญญาโท คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตอนเรียนจบใหม่ๆทำงานที่เดียวกับคุณจุ๊บ แต่ ตอนนี้เปลี่ยนสายย้ายมาอยู่วงการแบงก์แล้ว
เมื่อก่อนโดนปั่นหูตลอดว่า หุ้นคือการพนัน คนโดดตึกฆ่าตัวตายเต็มไปหมด "ทำไมเส้นทางแกเหมือนของฉ้านเลยว่ะ" จุ๊บตะโกนแซวแฟนหนุ่ม จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีโอกาสไปนั่งฟังงานสัมมนาของ "ดร.นิเวศน์" งานเลิกความคิดเปลี่ยนทันที ผมไปกวาดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องหุ้นๆ มาอ่านเพียบ
หาความรู้ไม่นาน ก็หอบเงินหลักหมื่นบาท ไปเปิดพอร์ตที่บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง วิถีทางเดินของผมเกือบคล้ายๆ คุณจุ๊บ แต่ผมใจเย็นกว่า อดทนกว่า (ยิ้ม) ที่สำคัญเป้าหมายการลงทุนของเราสองคนไม่เหมือนกัน "ผมตั้งใจจะถือหุ้นดีๆ ยาว 5-10 ปี"
"ผมซื้อหุ้น ADVANC ตัวแรกเหมือนคุณจุ๊บ ช่วงราคา 89 บาท ราคาลงผมไม่ขาย ผ่านไป 7-8 เดือน ราคาเด้งกลับรีบปล่อยออกตอน 95 บาท ตลอด 1 ปีแรกของการลงทุน ผมมีหุ้นเพียง 2-3 ตัว ผลการลงทุนคือ "กำไร" เมื่อก่อนเคยคิดอยากเล่นเส้นเทคนิค แต่มอนิเตอร์กราฟไม่ได้ตลอด ตอนนี้เลย กลายเป็นนักลงทุน "พันธุ์ผสม" ระหว่างกราฟกับพื้นฐาน แต่ช่วงนี้หยุดซื้อหุ้นมาสักระยะ เพราะราคาหุ้นหลายตัวแพงมาก แถมดัชนียัง สูงลิ่ว กลัวว่าวันหนึ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุด แล้วจะ "ทิ่มหัวลงแรง" ถ้าปล่อยของไม่ทัน "ตายแน่" รอราคาเสถียรภาพมากกว่านี้แล้วค่อยเข้าไปใหม่
"วันหนึ่งผมจะเป็นนักลงทุน VI ตัวจริง" คำมั่นสัญญาของ "หนุ่มตาร์" 3 ปีของการลงทุน พอร์ตออก "สีเขียวลางๆ" ถ้าไม่เจอหุ้น MCS เล่นงาน พอร์ตจะเขียวกว่านี้อีก (หัวเราะ) ซื้อหุ้น MCS มาตอน 10 บาท ตอนนี้ราคา 5 บาท หุ้นร่วง เพราะเจอข่าวน้ำท่วมกรุงเทพ
ตอนนี้มีหุ้น 3-4 ตัว ล่าสุดเพิ่งปล่อยหุ้น ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ได้กำไรมากค่อนข้างเยอะ (ยิ้ม) ช่วงนี้สนใจซื้อหุ้น โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เพิ่มเติม หุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL) ก็อยากได้ แต่ราคามาไกลไปละ จากนี้ จะพยายามให้มีหุ้นพื้นฐานดีๆ อยู่ในพอร์ต 70% อีก 30% เว้นพื้นที่ไว้สำหรับเก็งกำไร
"จุ๊บ-ตาร์" แสดงจุดยืนว่า เมื่อก่อนเรานิยมซื้อหุ้นตามคนดัง เชื่อคนโน้นคนนี้ เมื่อประสบการณ์สอนให้พบกับคำว่า "เจ็บ" เราสองคนจึงต้องเปลี่ยนแนว เราไม่ฟังมาร์เก็ตติ้ง ทุกเรื่อง ไม่ซื้อหุ้นตามกูรูตัวพ่อ ได้ยินอะไร มาต้องเช็คข้อมูลก่อนลงทุน ที่สำคัญใจต้องนิ่ง อย่าเอนเอียงไปตามข่าวลือ
ตลาดหุ้นไม่ได้ทำให้ทุกคน "ร่ำรวย" การลงทุนมี "มุมลบ" เพียงแต่ไม่มีใครถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือมาวางขาย บนแผงหนังสือมักมีแต่คนนำเสนอ "รวยด้วยหุ้น" เราสองคนถ่ายทอดเรื่องราวการลงทุนผ่านตัวการ์ตูน ก็หวังให้ "เม่าน้อย" ทุกคนเข้าใจง่าย และกรุณา "ตั้งสติก่อนสตาร์ท"
บรรยายใต้ภาพ
ชลิตา สมบุญเรืองศรี
จักรรินทร์ พงศ์ศรีรัตน์--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 2
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 3
ha ha ha ha ha
1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 5
ทุ่มเทให้กับความรักมากกว่านี้ น่าจะเข้าใจอะไรๆมากขึ้นครับ
เอาใจช่วยแล้วกัน
เอาใจช่วยแล้วกัน
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 2236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 7
"หากขาดทุน 10% ตัดขายเลยไม่รอแล้ว" vs "3ตัวแรกกะถือยาวตลอดชีวิต" ดูแล้วขัดแย้งกันชอบกล และ"cpall ครั้งนึงเคยทะยานถึง70-80บาท" แล้วตอนนี้มันราคาเท่าไหร่?
ปล.แซวเล่นน้า คนทีอ่านบทสัมภาษณ์คงแยกแยะออกอยู่แล้วล่ะ
ปล.แซวเล่นน้า คนทีอ่านบทสัมภาษณ์คงแยกแยะออกอยู่แล้วล่ะ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 8
ถ้าน้องนักข่าวทำการบ้านอีกซักหน่อย เข้าใจนิยามคำว่าวีไอ
น่าจะนำเสนอประเด็นได้ลึกซึ้ง ตอบโจทย์คนอ่านที่ต้องการอ่านเพื่อสาระได้มากกว่านี้นะครับ
(ใจจริงไม่อยากให้เน้นพาดหัวแรงๆโหนกระแส หวังขายข่าวให้ได้เยอะๆอย่างเดียว ทำแบบนั้นมันไม่ยั่งยืน
ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วย ด้วยใจจริง ผมอยากมีแหล่งข่าวดีๆไว้อ่านนานๆครับ)
ผมเองในฐานะนักลงทุนที่ยึดมั่นในแนวทางวีไอ ก็พยายามไม่ยึดติดกับคำเรียก
จะได้ไม่เครียดเวลาใครเข้าใจผิดแล้ว ment คลาดเคลื่อนครับ
อีกอย่างนึงก็จะได้เปิดรับไอเดียใหม่ๆที่ไม่เคยรู้มาก่อนด้วย
น่าจะนำเสนอประเด็นได้ลึกซึ้ง ตอบโจทย์คนอ่านที่ต้องการอ่านเพื่อสาระได้มากกว่านี้นะครับ
(ใจจริงไม่อยากให้เน้นพาดหัวแรงๆโหนกระแส หวังขายข่าวให้ได้เยอะๆอย่างเดียว ทำแบบนั้นมันไม่ยั่งยืน
ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วย ด้วยใจจริง ผมอยากมีแหล่งข่าวดีๆไว้อ่านนานๆครับ)
ผมเองในฐานะนักลงทุนที่ยึดมั่นในแนวทางวีไอ ก็พยายามไม่ยึดติดกับคำเรียก
จะได้ไม่เครียดเวลาใครเข้าใจผิดแล้ว ment คลาดเคลื่อนครับ
อีกอย่างนึงก็จะได้เปิดรับไอเดียใหม่ๆที่ไม่เคยรู้มาก่อนด้วย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 10
ถ้ารักจริงคงช้ำหนักเหรอครับ.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 26
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 11
น่ากลัวมือใหม่อ่านไปอ่านอาจเข้าใจอะไรผิดๆ
ชื่อหัวข้อก็น่ากลัวไปหน่อย
ขอตั้งข้อสังเกตุว่า คนตั้งชื่อหัวเรื่องอาจเป็นคนในสนพ.
คนตั้งหัวข้อ...ห่วยแตก
ไปโทษวิธีการ ดันไม่โทษตัวเอง
ชื่อหัวข้อก็น่ากลัวไปหน่อย
ขอตั้งข้อสังเกตุว่า คนตั้งชื่อหัวเรื่องอาจเป็นคนในสนพ.
คนตั้งหัวข้อ...ห่วยแตก
ไปโทษวิธีการ ดันไม่โทษตัวเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 180
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 12
คงจะหมายถึงราคา cpall ก่อนแตกพาร์มั้งครับharikung เขียน:"หากขาดทุน 10% ตัดขายเลยไม่รอแล้ว" vs "3ตัวแรกกะถือยาวตลอดชีวิต" ดูแล้วขัดแย้งกันชอบกล และ"cpall ครั้งนึงเคยทะยานถึง70-80บาท" แล้วตอนนี้มันราคาเท่าไหร่?
ปล.แซวเล่นน้า คนทีอ่านบทสัมภาษณ์คงแยกแยะออกอยู่แล้วล่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 14
อ่าน จากบทความทั้งหมด
ดูเหมือน คุณจุ๊บ-ชลิตา ยังไม่ค่อย get กับแนวทาง VI นะครับ แต่ผมคิดว่าเวลาแค่ 3 ปี ยังตัดสินไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ยอมแพ้ อ่านหนังสือของวอเรน บัฟเฟต์ เพิ่มมากๆขึ้น จะค่อยๆซึมซับแนวคิดได้มากขึ้นครับ
ผมลองยก quote บางส่วนมาดูนะครับ
ดูเหมือน คุณจุ๊บ-ชลิตา ยังไม่ค่อย get กับแนวทาง VI นะครับ แต่ผมคิดว่าเวลาแค่ 3 ปี ยังตัดสินไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ยอมแพ้ อ่านหนังสือของวอเรน บัฟเฟต์ เพิ่มมากๆขึ้น จะค่อยๆซึมซับแนวคิดได้มากขึ้นครับ
ผมลองยก quote บางส่วนมาดูนะครับ
ต้องมีวงใน ต้องแกะงบการเงินได้ถึงแก่นเหรอครับ ?"เม่าน้อย" อย่างเราๆ คงเป็นนักลงทุน VI ได้ยาก เราไม่มีวงใน ไม่สามารถแกะงบการเงินได้ถึงแก่น ที่ผ่านมาเจ็บเพราะ VI มาเยอะเรื่องนี้ยอมรับ ไม่ใช่ว่าลงทุนระยะยาวไม่ดี แต่แนวทางนี้ไม่เหมาะกับ "คนใจร้อน" อย่างเรา
ซื้อเพราะเชื่อกูรู VI เหรอครับ ?หุ้นตัวนี้ตั้งใจไม่ขายมันเป็น "หุ้นตำนาน"กะจะเก็บไว้ให้ลูกดู แกจะได้รู้ว่าวันหนึ่งพ่อกับแม่เคยซื้อหุ้น บ้านปู ราคาสูงลิ่วขนาดนี้ (ยิ้ม) ซื้อหุ้นน้องปู เพราะมีกูรู VI บอกว่าหุ้นจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 บาท นึกแล้วโกรธ!
ตลอด 3 ปีของการลงทุน หากหุ้นน้องปู ไม่ทำให้เจ็บแสบ พอร์ตลงทุนมูลค่าแค่หลักแสนบาทของจุ๊บจะเป็น "สีเขียว"
ถ้าราคาตอนนั้นพุ่งขึ้นเกินพื้นฐานละครับ จะยังซื้อมั้ยครับ?"จุ๊บตาร์" ประสานเสียงว่า กลุ่มพลังงานทางเลือก บอกตรง เวลานี้น่าสนใจสุดๆ เข้าไปดูงบการเงินย้อนหลังเห็นบริษัทค่อยๆเติบโตเหมาะที่ถือลงทุนระยะยาว เพิ่งซื้อไป 20% ตั้งใจจะรอดูงบการเงินไตรมาส 2/56 หากออกมาสวย อาจทยอยเก็บให้ครบ 100%
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1523
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 15
บทเรียนหุ้นโภคภัณฑ์
หุ้นที่ร้อนแรงและมีสีสันที่สุดกลุ่มหนึ่งในตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าคือหุ้นที่ผลิตหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นครั้งเป็นคราวโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจร้อนแรงอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ หุ้นโภคภัณฑ์บางตัวหรือบางกลุ่มจะปรับตัวหรือวิ่งขึ้นหวือหวามาก ราคาหุ้นอาจขึ้นไปได้เป็น 5-10 เท่าอย่างง่าย ๆ ในเวลาเดียวกันก็อาจจะมีหุ้นโภคภัณฑ์อีกตัวหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งที่ปรับตัวลงเหลือครึ่งเดียวหรือต่ำกว่านั้น นี่ไม่ใช่เฉพาะราคาที่ปรับตัวขึ้น แต่มันมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วเป็นร้อยหรือเป็นพันล้านบาทต่อวัน หลาย ๆ ตัวมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดสิบอันดับแรกเกือบทุกวันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้น หุ้นโภคภัณฑ์นั้น ต้องถือว่าเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ในตลาดหุ้นไทย
ลองนึกดูย้อนหลังไปเพียงไม่นาน ธุรกิจเรือเทกองเคยเป็นขวัญใจของนักเล่นหุ้นเกือบทุกคนและก็อาจจะรวมถึง “VI” หลาย ๆ คนที่วิเคราะห์ด้วย “หลักการแบบ VI” แล้วก็สรุปว่าหุ้นเรือนั้น Undervalued หรือมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปหลายเท่าแล้ว ผมคงไม่ต้องพูดว่านั่นคือความผิดพลาดของการวิเคราะห์ เพราะว่าหุ้นเรือต่างก็ “จมลง” นั่นคือราคาที่เคยสูงลิ่วตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่กำไรของบริษัทยังดีน่าประทับใจจนถึงขณะนี้ที่กำไรเริ่มตกต่ำลงอย่างมาก ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ลดลงไปเรื่อย ๆ และคนก็เลิกพูดกันเรื่องเกี่ยวกับเรือและหันไปเล่นหุ้นโภคภัณฑ์ตัวอื่นต่อไป
หุ้นผลิตฟิล์มสำหรับบรรจุอาหารนั้น ในอดีตแทบไม่มีคนสนใจเลยเพราะกำไรของบริษัทไม่มีอะไรน่าประทับใจ การเติบโตก็ไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่านักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่ใคร่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทหน้าตาเป็นอย่างไร แต่แล้วจู่ ๆ ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นราวกับติดจรวด สักระยะหนึ่งปริมาณการซื้อขายก็ตามมา หุ้นหลายตัวในกลุ่มกลายเป็นหุ้นยอดนิยม แม้แต่ “VI” จำนวนไม่น้อยก็ยังคิดว่าหุ้นเหล่านี้ยังถูกและมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากหลังจากที่มันได้กระโดดขึ้นไปแล้วหลายเท่า เหตุผลก็คือ จากการวิเคราะห์ด้วย “หลักการแบบ VI” แล้ว หุ้นยังคุ้มค่าที่จะซื้อเพราะราคาหุ้นนั้นยังถูกมาก กำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมากและเพิ่มต่อไปแบบก้าวกระโดด การวิเคราะห์เรื่องกำไรนั้นดูเหมือนว่าจะถูกต้อง กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น “มโหฬาร” ดังคาด แต่ราคาหุ้นกลับถดถอยลงอย่าง “ผิดคาด”
หุ้นโภคภัณฑ์หลายตัวหรือหลายกลุ่ม ยาง เป็นตัวอย่างที่กำลัง “แสดงอยู่บนเวที” นั่นคือ ราคาหุ้นกำลังดีดตัวถึงขีดสุด กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจนไม่น่าเชื่ออานิสงค์จากราคายางในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดน่าจะในประวัติศาสตร์ ปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับสูงสุดสิบอันดับเป็นว่าเล่นทั้งที่ไม่ใช่เป็นหุ้นตัวใหญ่ เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าหุ้นจะไปทางไหนหลังจาก “จบการแสดง”
ทำไมหุ้นที่วิเคราะห์ตาม “หลักการแบบ VI” และพบว่ามันเป็นหุ้นที่ถูก มี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง แต่ราคากลับลดต่ำลงไปมาก? ตลาดผิดหรือคนวิเคราะห์ผิดกันแน่? เรามาดูกัน
หุ้นโภคภัณฑ์ที่หวือหวาทั้งหลายที่กล่าวถึงนั้น ช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าแล้วนั้น บางทีจะพบว่า ข้อแรก ค่า PE หรือราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นนั้นยังต่ำมากเพียง 3-4 เท่าก็มี ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่ “ถูกมาก” ซื้อหุ้นแล้ว “เพียง 3-4 ปี ก็คืนทุนแล้ว” แต่นี่อาจเป็นความเข้าใจผิด เพราะหุ้นโภคภัณฑ์นั้น กำไรมักไม่สม่ำเสมอ กำไรที่เห็นนั้นคือกำไรที่มากกว่าปกติมากและไม่ยั่งยืน กำไรโดยเฉลี่ยที่จะรักษาอยู่ได้นั้นอาจจะต่ำกว่าหลายเท่า ดังนั้น การเอาปีที่กำไรดีผิดปกติมาใช้วัดค่า PE จึงใช้ไม่ได้ หุ้นที่จะสามารถใช้ค่า PE เป็นตัววัดความถูกความแพงนั้น ควรจะเป็นกิจการที่มีกำไรสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้น ในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์แบบนี้ ค่า PE จึงมีประโยชน์น้อย การบอกว่าค่า PE ต่ำแสดงให้เห็นว่าเป็นหุ้นถูกจึงอาจจะไม่ถูกต้อง นี่เป็นข้อแรก
ข้อสอง หุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนนั้น นอกจาก PE ต่ำแล้ว ค่า PB หรือราคาต่อมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเป็นตัวชี้ความถูกความแพงอีกตัวหนึ่งก็อาจจะต่ำด้วย บางทีต่ำกว่า 1 เท่าหรือไม่เกิน 2 เท่า ดังนั้น นี่เป็นการ “ยืนยัน” อีกจุดหนึ่งว่าหุ้นร้อนตัวนั้น “ยังถูกมาก” นี่ก็อาจจะมีส่วนจริงบ้างถ้าคิดว่ามูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีนั้นอาจจะเป็นมูลค่าของทรัพย์สินจริง ๆ ที่สามารถขายได้ในกรณีเลิกกิจการ แต่ในความเป็นจริงก็คือ ไม่มีบริษัทไหนคิดจะเลิกกิจการ และผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเลิกจริง ๆ สินทรัพย์จะมีราคาอย่างที่ว่าจริงไหม เพราะบ่อยครั้ง เวลาเลิกกิจการ โรงงานมักจะกลายเป็นเศษเหล็กที่แทบไม่มีค่าเลย นอกจากนั้น มูลค่าทางบัญชีเองก็ลดลงได้ในกรณีที่บริษัทมีผลขาดทุนในอนาคตอันเนื่องมาจากราคาของโภคภัณฑ์ที่ลดลงก็ได้ สรุปแล้ว ค่า PB เองก็ไม่ได้บอกอะไรที่มีความหมายมากนักในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์ที่เป็นโรงงาน
ข้อสาม ค่า Dividend Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ของหุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนแรงนั้น มักจะสูงลิ่ว บางทีมากกว่า 6-7% ต่อปี ซึ่งเป็นปันผลที่งดงามมาก นี่เป็นตัวยืนยันความถูกของหุ้นในสไตล์หุ้น “ห่านทองคำ” ซึ่งเป็นแนวของนักลงทุนแบบ VI ที่ “อนุรักษ์นิยมมาก” ในกลุ่ม VI ด้วยกัน ดังนั้น นี่เป็นการยืนยันความปลอดภัยของหุ้นอีกจุดหนึ่ง แต่นี่ก็อาจจะเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดอีกเช่นกัน เหตุผลก็คือ ปันผลที่เห็นนั้น เป็นปันผลที่คิดจากกำไร ถ้าในอนาคตกำไรลดลง ปันผลก็ต้องลดลง ผลตอบแทนที่บอกว่า 6-7% จึงเป็นปันผลเพียงครั้งเดียว ในอนาคตอาจจะน้อยลงหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้น Dividend Yield ในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์จึงไม่ได้บอกว่าหุ้นถูกหรือแพง
สุดท้าย ฐานะการเงินของหุ้นโภคภัณฑ์ในยามร้อนแรงก็อาจจะดีเยี่ยม บางทีมีเงินสดเหลือเฟือด้วยซ้ำ แต่นี่ก็อาจจะเป็นภาพลวงตา เพราะเงินสดนั้น ไม่ได้นำมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น บางทีอนาคตก็อาจจะหมดไปกับการลงทุนหรืออะไรต่าง ๆ ที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท ดังนั้น เงินสดก็อาจจะมีความหมายไม่มากถ้าเจ้าของเขาไม่อยากแจกคืนให้ผู้ถือหุ้น
ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ ตัวเลขและการวิเคราะห์ตามหลักการ “แบบ VI” นั้น ใช้ไม่ได้กับหุ้นโภคภัณฑ์ วิธีการที่ผมคิดว่าดีที่สุดสำหรับการเล่นหุ้นโภคภัณฑ์ก็คือ ซื้อหุ้นก่อนที่วัฏจักรราคาสินค้าจะเป็น “ขาขึ้น” อย่างน้อย 2-3 เดือนโดยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับขึ้นหรือปรับตัวขึ้นก็เพียงเล็กน้อย ขายหุ้นเมื่อทุกอย่างกำลังร้อนแรงสุด ๆ และราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าคนที่รู้ดีที่สุดก็คือเจ้าของหรือผู้บริหารกิจการ ดังนั้น คนที่ได้เปรียบก็คือ คนในหรือคนที่ใกล้ชิดหรือได้ข้อมูลก่อนคนอื่น
ขอบคุณท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ ครับสำหรับบทความที่ยอดเยี่ยม และใช้ได้จริง
หุ้นที่ร้อนแรงและมีสีสันที่สุดกลุ่มหนึ่งในตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่าคือหุ้นที่ผลิตหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นครั้งเป็นคราวโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจร้อนแรงอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ หุ้นโภคภัณฑ์บางตัวหรือบางกลุ่มจะปรับตัวหรือวิ่งขึ้นหวือหวามาก ราคาหุ้นอาจขึ้นไปได้เป็น 5-10 เท่าอย่างง่าย ๆ ในเวลาเดียวกันก็อาจจะมีหุ้นโภคภัณฑ์อีกตัวหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งที่ปรับตัวลงเหลือครึ่งเดียวหรือต่ำกว่านั้น นี่ไม่ใช่เฉพาะราคาที่ปรับตัวขึ้น แต่มันมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วเป็นร้อยหรือเป็นพันล้านบาทต่อวัน หลาย ๆ ตัวมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดสิบอันดับแรกเกือบทุกวันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ดังนั้น หุ้นโภคภัณฑ์นั้น ต้องถือว่าเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ในตลาดหุ้นไทย
ลองนึกดูย้อนหลังไปเพียงไม่นาน ธุรกิจเรือเทกองเคยเป็นขวัญใจของนักเล่นหุ้นเกือบทุกคนและก็อาจจะรวมถึง “VI” หลาย ๆ คนที่วิเคราะห์ด้วย “หลักการแบบ VI” แล้วก็สรุปว่าหุ้นเรือนั้น Undervalued หรือมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปหลายเท่าแล้ว ผมคงไม่ต้องพูดว่านั่นคือความผิดพลาดของการวิเคราะห์ เพราะว่าหุ้นเรือต่างก็ “จมลง” นั่นคือราคาที่เคยสูงลิ่วตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่กำไรของบริษัทยังดีน่าประทับใจจนถึงขณะนี้ที่กำไรเริ่มตกต่ำลงอย่างมาก ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ลดลงไปเรื่อย ๆ และคนก็เลิกพูดกันเรื่องเกี่ยวกับเรือและหันไปเล่นหุ้นโภคภัณฑ์ตัวอื่นต่อไป
หุ้นผลิตฟิล์มสำหรับบรรจุอาหารนั้น ในอดีตแทบไม่มีคนสนใจเลยเพราะกำไรของบริษัทไม่มีอะไรน่าประทับใจ การเติบโตก็ไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่านักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่ใคร่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทหน้าตาเป็นอย่างไร แต่แล้วจู่ ๆ ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นราวกับติดจรวด สักระยะหนึ่งปริมาณการซื้อขายก็ตามมา หุ้นหลายตัวในกลุ่มกลายเป็นหุ้นยอดนิยม แม้แต่ “VI” จำนวนไม่น้อยก็ยังคิดว่าหุ้นเหล่านี้ยังถูกและมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากหลังจากที่มันได้กระโดดขึ้นไปแล้วหลายเท่า เหตุผลก็คือ จากการวิเคราะห์ด้วย “หลักการแบบ VI” แล้ว หุ้นยังคุ้มค่าที่จะซื้อเพราะราคาหุ้นนั้นยังถูกมาก กำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมากและเพิ่มต่อไปแบบก้าวกระโดด การวิเคราะห์เรื่องกำไรนั้นดูเหมือนว่าจะถูกต้อง กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น “มโหฬาร” ดังคาด แต่ราคาหุ้นกลับถดถอยลงอย่าง “ผิดคาด”
หุ้นโภคภัณฑ์หลายตัวหรือหลายกลุ่ม ยาง เป็นตัวอย่างที่กำลัง “แสดงอยู่บนเวที” นั่นคือ ราคาหุ้นกำลังดีดตัวถึงขีดสุด กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจนไม่น่าเชื่ออานิสงค์จากราคายางในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดน่าจะในประวัติศาสตร์ ปริมาณการซื้อขายหุ้นติดอันดับสูงสุดสิบอันดับเป็นว่าเล่นทั้งที่ไม่ใช่เป็นหุ้นตัวใหญ่ เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าหุ้นจะไปทางไหนหลังจาก “จบการแสดง”
ทำไมหุ้นที่วิเคราะห์ตาม “หลักการแบบ VI” และพบว่ามันเป็นหุ้นที่ถูก มี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง แต่ราคากลับลดต่ำลงไปมาก? ตลาดผิดหรือคนวิเคราะห์ผิดกันแน่? เรามาดูกัน
หุ้นโภคภัณฑ์ที่หวือหวาทั้งหลายที่กล่าวถึงนั้น ช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าแล้วนั้น บางทีจะพบว่า ข้อแรก ค่า PE หรือราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นนั้นยังต่ำมากเพียง 3-4 เท่าก็มี ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่ “ถูกมาก” ซื้อหุ้นแล้ว “เพียง 3-4 ปี ก็คืนทุนแล้ว” แต่นี่อาจเป็นความเข้าใจผิด เพราะหุ้นโภคภัณฑ์นั้น กำไรมักไม่สม่ำเสมอ กำไรที่เห็นนั้นคือกำไรที่มากกว่าปกติมากและไม่ยั่งยืน กำไรโดยเฉลี่ยที่จะรักษาอยู่ได้นั้นอาจจะต่ำกว่าหลายเท่า ดังนั้น การเอาปีที่กำไรดีผิดปกติมาใช้วัดค่า PE จึงใช้ไม่ได้ หุ้นที่จะสามารถใช้ค่า PE เป็นตัววัดความถูกความแพงนั้น ควรจะเป็นกิจการที่มีกำไรสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้น ในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์แบบนี้ ค่า PE จึงมีประโยชน์น้อย การบอกว่าค่า PE ต่ำแสดงให้เห็นว่าเป็นหุ้นถูกจึงอาจจะไม่ถูกต้อง นี่เป็นข้อแรก
ข้อสอง หุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนนั้น นอกจาก PE ต่ำแล้ว ค่า PB หรือราคาต่อมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเป็นตัวชี้ความถูกความแพงอีกตัวหนึ่งก็อาจจะต่ำด้วย บางทีต่ำกว่า 1 เท่าหรือไม่เกิน 2 เท่า ดังนั้น นี่เป็นการ “ยืนยัน” อีกจุดหนึ่งว่าหุ้นร้อนตัวนั้น “ยังถูกมาก” นี่ก็อาจจะมีส่วนจริงบ้างถ้าคิดว่ามูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีนั้นอาจจะเป็นมูลค่าของทรัพย์สินจริง ๆ ที่สามารถขายได้ในกรณีเลิกกิจการ แต่ในความเป็นจริงก็คือ ไม่มีบริษัทไหนคิดจะเลิกกิจการ และผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเลิกจริง ๆ สินทรัพย์จะมีราคาอย่างที่ว่าจริงไหม เพราะบ่อยครั้ง เวลาเลิกกิจการ โรงงานมักจะกลายเป็นเศษเหล็กที่แทบไม่มีค่าเลย นอกจากนั้น มูลค่าทางบัญชีเองก็ลดลงได้ในกรณีที่บริษัทมีผลขาดทุนในอนาคตอันเนื่องมาจากราคาของโภคภัณฑ์ที่ลดลงก็ได้ สรุปแล้ว ค่า PB เองก็ไม่ได้บอกอะไรที่มีความหมายมากนักในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์ที่เป็นโรงงาน
ข้อสาม ค่า Dividend Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ของหุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนแรงนั้น มักจะสูงลิ่ว บางทีมากกว่า 6-7% ต่อปี ซึ่งเป็นปันผลที่งดงามมาก นี่เป็นตัวยืนยันความถูกของหุ้นในสไตล์หุ้น “ห่านทองคำ” ซึ่งเป็นแนวของนักลงทุนแบบ VI ที่ “อนุรักษ์นิยมมาก” ในกลุ่ม VI ด้วยกัน ดังนั้น นี่เป็นการยืนยันความปลอดภัยของหุ้นอีกจุดหนึ่ง แต่นี่ก็อาจจะเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดอีกเช่นกัน เหตุผลก็คือ ปันผลที่เห็นนั้น เป็นปันผลที่คิดจากกำไร ถ้าในอนาคตกำไรลดลง ปันผลก็ต้องลดลง ผลตอบแทนที่บอกว่า 6-7% จึงเป็นปันผลเพียงครั้งเดียว ในอนาคตอาจจะน้อยลงหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้น Dividend Yield ในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์จึงไม่ได้บอกว่าหุ้นถูกหรือแพง
สุดท้าย ฐานะการเงินของหุ้นโภคภัณฑ์ในยามร้อนแรงก็อาจจะดีเยี่ยม บางทีมีเงินสดเหลือเฟือด้วยซ้ำ แต่นี่ก็อาจจะเป็นภาพลวงตา เพราะเงินสดนั้น ไม่ได้นำมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น บางทีอนาคตก็อาจจะหมดไปกับการลงทุนหรืออะไรต่าง ๆ ที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท ดังนั้น เงินสดก็อาจจะมีความหมายไม่มากถ้าเจ้าของเขาไม่อยากแจกคืนให้ผู้ถือหุ้น
ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ ตัวเลขและการวิเคราะห์ตามหลักการ “แบบ VI” นั้น ใช้ไม่ได้กับหุ้นโภคภัณฑ์ วิธีการที่ผมคิดว่าดีที่สุดสำหรับการเล่นหุ้นโภคภัณฑ์ก็คือ ซื้อหุ้นก่อนที่วัฏจักรราคาสินค้าจะเป็น “ขาขึ้น” อย่างน้อย 2-3 เดือนโดยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับขึ้นหรือปรับตัวขึ้นก็เพียงเล็กน้อย ขายหุ้นเมื่อทุกอย่างกำลังร้อนแรงสุด ๆ และราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าคนที่รู้ดีที่สุดก็คือเจ้าของหรือผู้บริหารกิจการ ดังนั้น คนที่ได้เปรียบก็คือ คนในหรือคนที่ใกล้ชิดหรือได้ข้อมูลก่อนคนอื่น
ขอบคุณท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ ครับสำหรับบทความที่ยอดเยี่ยม และใช้ได้จริง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1523
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 16
ซื้อหุ้นก่อนที่วัฏจักรราคาสินค้าจะเป็น “ขาขึ้น” อย่างน้อย 2-3 เดือนโดยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับขึ้นหรือปรับตัวขึ้นก็เพียงเล็กน้อย ขายหุ้นเมื่อทุกอย่างกำลังร้อนแรงสุด ๆ และราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนไม่น่าเชื่อ
ถ้าซื้อ 80ไปขาย 800
หรือซื้อ 800 เพื่อไปหวังให้มันไป 1000
ผมว่าท่านอาจารย์ได้สอนไว้ชัดเจนมาก จากบทความ ผมแนะนำว่า
เล่นหุ้นคอมโม อย่าคิดมาก พีอีแพงๆต้องซื้อ ซื้อเมื่อยามขาขึ้นตามที่อาจารย์ท่านสอน
และขายให้หมด เมื่อยามมันเว่อร์ ราคาแพงเว่อร์และทุกโบรคเชียรให้ซื้อ
และพีอีต่ำๆ
สิ่งที่ทำให้ผมนับถือ อาจารย์ ดร นิเวศน์ ไม่ใช่เพราะอาจารย์ท่าน รวยหรือเป็นเซียนหุ้น
แต่ผมนับถือท่านจากหัวใจ ประดุจหนึ่งบิดา
เพราะ ท่านเขียน และสั่งสอนประสบการณ์ ที่เอาไปใช้ได้จริง
ถ้าใครตามอ่านบทความจะรู้ว่า ท่านอาจารย์เขียนแต่เรื่อง จริง เป็น FACT พิสูจนได้
ซึ่งหาได้ยาก ที่ใครที่ประสบความสำเร็จจะบอกวิธีการลงทุน
ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนว่า ลงทุนแบบ VI หรือ CI ถ้ารักจะ VI อย่ามองแค่
หุ้นตัวนี้ มีเซียนถือ แต่ให้มองว่า เซียนถือเพราะอะไร แล้วมันถุกหรือแพง
คุ้มหรือเปล่าถ้าลงทุน
ถ้ามันแพงไปมากแล้ว ต่อให้ เซียน หรือ เทพมาถือ ผมก้ไม่สนใจ
เว้นแต่ ลดราคาให้จนผมคิดว่า พอใจ ก้อาจจะลงทุน
นี่เป็นการลงทุน ไม่ใช่แชร์แม่ชม้อย ถ้าหาปลากินเองไม่ได้ ก้ไม่ใช่ VI(ดั้งเดิม)
ถ้าซื้อ 80ไปขาย 800
หรือซื้อ 800 เพื่อไปหวังให้มันไป 1000
ผมว่าท่านอาจารย์ได้สอนไว้ชัดเจนมาก จากบทความ ผมแนะนำว่า
เล่นหุ้นคอมโม อย่าคิดมาก พีอีแพงๆต้องซื้อ ซื้อเมื่อยามขาขึ้นตามที่อาจารย์ท่านสอน
และขายให้หมด เมื่อยามมันเว่อร์ ราคาแพงเว่อร์และทุกโบรคเชียรให้ซื้อ
และพีอีต่ำๆ
สิ่งที่ทำให้ผมนับถือ อาจารย์ ดร นิเวศน์ ไม่ใช่เพราะอาจารย์ท่าน รวยหรือเป็นเซียนหุ้น
แต่ผมนับถือท่านจากหัวใจ ประดุจหนึ่งบิดา
เพราะ ท่านเขียน และสั่งสอนประสบการณ์ ที่เอาไปใช้ได้จริง
ถ้าใครตามอ่านบทความจะรู้ว่า ท่านอาจารย์เขียนแต่เรื่อง จริง เป็น FACT พิสูจนได้
ซึ่งหาได้ยาก ที่ใครที่ประสบความสำเร็จจะบอกวิธีการลงทุน
ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนว่า ลงทุนแบบ VI หรือ CI ถ้ารักจะ VI อย่ามองแค่
หุ้นตัวนี้ มีเซียนถือ แต่ให้มองว่า เซียนถือเพราะอะไร แล้วมันถุกหรือแพง
คุ้มหรือเปล่าถ้าลงทุน
ถ้ามันแพงไปมากแล้ว ต่อให้ เซียน หรือ เทพมาถือ ผมก้ไม่สนใจ
เว้นแต่ ลดราคาให้จนผมคิดว่า พอใจ ก้อาจจะลงทุน
นี่เป็นการลงทุน ไม่ใช่แชร์แม่ชม้อย ถ้าหาปลากินเองไม่ได้ ก้ไม่ใช่ VI(ดั้งเดิม)
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 19
ผมนับถือคุณจุ๊บนะครับ ที่กล้าเอาบทเรียนที่ตัวเองได้รับมาเล่าให้คนอื่นฟัง ในแง่ของการลงทุนอาจจะยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเล่าเรื่องความล้มเหลวของตัวเอง และสิ่งที่เล่าออกมามันก็สะท้อนให้เห็นว่ามือใหม่ หน้าใหม่ก็น่าจะมีปัญหาคล้าย ๆ กันครับ ซื้อตามคนดัง ซื้อโดยที่วิเคราะห์ไม่รอบคอบ บางเรื่องพอมองมาที่ตัวเราเองเราก็อาจจะเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน แต่สิ่งสำคัญคือเรามองตัวเราออกหรือไม่ ว่าเราเหมาะกับการลงทุนหรือไม่ ถ้าเหมาะ เหมาะกับรูปแบบไหน หลายคนอย่าว่าแต่มองหุ้นออกเลย บางคนก็ยังสับสนกับตัวเองด้วยซ้ำ จะ VI VS เทคนิค ไม่สำคัญเท่ากับหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 20
กรณีของหุ้นที่กำลังเป็นขาลง BANPU IT SE-ED ฯลฯ ที่เรามาวิจารณ์กันอยู่เพราะภาพมันชัดแล้ว แต่อยากให้นึกถึงตอนที่ภาพมันยังไม่ชัด ยังเป็นสีเทา เช่นกรณีของ BANPU จาก "หุ้นคอมโม" ก็กลายเป็น "หุ้นเติบโต" ถ้ายังจำกันได้ช่วงที่หุ้นวิ่ง ๆ ขึ้นไป คนก็จะบอกว่ารายได้จะมาจากไฟฟ้าบ้าง บ.ลงทุนต่อเนื่องบ้าง "หุ้นคอมโม" ก็เลยแปลงร่างเป็น "หุ้นเติบโต" ไป
มันไม่ง่ายในการมองสวนทางกับผู้อื่น โดยเฉพาะในขณะที่คนกำลังมองในแง่ดีสุด ๆ ครับ
มันไม่ง่ายในการมองสวนทางกับผู้อื่น โดยเฉพาะในขณะที่คนกำลังมองในแง่ดีสุด ๆ ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 21
คือ เบื้องต้น ผมว่า ประโยคเรื่องรักวีไอเลยเจ๊ง เนี่ย มันขายได้จริงๆ เพราะมีคนที่ anti vi อยู่ไม่น้อยsupparoj เขียน:คุณหมอเคช่วยอธิบายขยายความหน่อยครับ เผื่อจะได้เอาไปใช้บ้างcrazyrisk เขียน:ทุ่มเทให้กับความรักมากกว่านี้ น่าจะเข้าใจอะไรๆมากขึ้นครับ
เอาใจช่วยแล้วกัน
ซึ่งจริงๆ วีไอ มันก็มีนิยามหลายๆแบบ ผมว่า ทั้งปู่บัฟ และ ปู่เกรแฮม ก็คงมองแตกต่างกัน
แต่พอเราศึกษาอะไรแบบฉาบฉวย มันเลยไม่สามารถเข้าใจนิยามของมันได้อย่างชัดเจนครับ
อย่างกรณี ADVANC แม้มองว่า ซื้อตาม หนังสือ แต่ คนเขียนหนังสือกลับไม่เคยซื้อหุ้นตัวนั้นให้เห็น ซึ่งก็แปลได้ว่า เราอาจจะเข้าใจหลักการผิดไปก็ได้ หรือหุ้นหลายๆตัว ที่ คนเข้าใจว่าเป็นหุ้นวีไอ ที่ลงหนักๆ จนคนออกมาบ่นหลักการวีไอ กันถ้วนหน้า
อีกกรณี คือ การลอกการบ้านเซียน ผมเองก็เคยลอกและเจ็บครับ แต่เวลาเจ็บ สิ่งที่ดีที่สุดคือคิดว่า เราได้บทเรียนจากอะไร สิ่งที่ผมกลับไปทำคือ ย้อนไปดูว่า ณ.เวลานั้น เซียนเขาคิดอย่างไร ซึ่งถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนั้น เพราะราคาขึ้นมาเยอะแล้ว แต่เราสามารถนำหลักการเดียวกันไปซื้อหุ้นตัวใหม่ๆได้ครับ ดังนั้น ถ้าเราทำตามคนอื่นแล้วผิด สิ่งที่ต้องคิดเป็นอันดับแรกๆคือ เราเองน่าจะผิด... แต่ถ้า พอเจ็บเสร็จแล้ว ไม่ยอมเรียนรู้ให้ถูกต้อง ก็จะเกิดการผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกครับ
สรุปที่ผมจะบอกคือ ความรัก มักมาคู่กับความเพียร ก่อนจะบอกว่าเลิกรักอะไรก็ตาม คงต้องถามตัวเองว่า เราได้พยายามทำให้ดีทีสุดแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่ได้ทำ ผมว่า มันอาจจะไม่ได้เรียกว่าความรักนะครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- romee
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 22
บางทีอ่านบทสัมภาษณ์ข่าวพวกนี้ ก็ต้องฟังหู ไว้หู
หลายครั้งนักข่าวก็โพสเสี้ยม หรือโพสเรื่องชื่อหุ้น ที่คนให้สัมภาษณ์ไม่เคยบอกให้ซื้อ ขาย...แต่บทความเหล่านี้ก็เขียนลงไปซะงั้น
บางความเห็นในนี้ ผมว่าวิจารณ์แค่สิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ก็พอ ไม่ต้องไปดูถูกสิ่งที่เขาทำอยู่ เลยครับ...
หลายครั้งนักข่าวก็โพสเสี้ยม หรือโพสเรื่องชื่อหุ้น ที่คนให้สัมภาษณ์ไม่เคยบอกให้ซื้อ ขาย...แต่บทความเหล่านี้ก็เขียนลงไปซะงั้น
บางความเห็นในนี้ ผมว่าวิจารณ์แค่สิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ก็พอ ไม่ต้องไปดูถูกสิ่งที่เขาทำอยู่ เลยครับ...
การลงทุนแนวvi ไม่ได้แปลว่า นักลงทุนคนนั้นดีกว่า หรือมีวรรณะสูงกว่าคนที่ลงทุนแนวอื่นๆหรอก
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 23
" excuses change nothing, exercises will "
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 24
จะคมไปไหนครับพี่dome@perth เขียน:" excuses change nothing, exercises will "
ผมชอบจริงๆครับความเห็นพี่โดมปกรณ์นี่
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 25
ผมนับถือผลงานของ maoinvestor ซึ่งสอนนักลงทุนทุกแนวให้ลงทุนด้วยวิธีที่ถูกต้อง
ได้อ่านทุกตอน และที่ผ่านมาก็ให้มุมมองดี ๆ เข้าใจง่ายมาโดยตลอด
การสัมภาษณ์กับสื่อ เป็นอะไรที่ยากครับ ยิ่งมีคนไปเขียนต่อแล้วด้วยล่ะก็ จะยิ่งยากเป็นทวีคูณ ...
ได้อ่านทุกตอน และที่ผ่านมาก็ให้มุมมองดี ๆ เข้าใจง่ายมาโดยตลอด
การสัมภาษณ์กับสื่อ เป็นอะไรที่ยากครับ ยิ่งมีคนไปเขียนต่อแล้วด้วยล่ะก็ จะยิ่งยากเป็นทวีคูณ ...
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 26
อ่านสนุกเพลินๆครับ
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
-
- Verified User
- โพสต์: 221
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 27
เสพสื่อต้องใช้วิจารณญาณค่ะ สิ่งที่เราได้อ่านเป็นการสื่อสารทางเดียว
ผู้อ่านไม่สามารถทราบได้เลยว่าเป็นข้อเท็จจริงซักกี่เปอร์เซ็นต์
ที่สำคัญผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเลยด้วยซ้ำว่าทุกคำพูดที่สื่อจับยัดปากมันจริงไม่จริงแค่ไหน
สื่ออาจใช้คำถามชี้นำ เพื่อหวังจะให้คำตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมาตามกรอบที่คิดไว้แล้ว
สื่ออาจมีการตัดต่อคำสัมภาษณ์ หรืออาจทำได้แม้กระทั่งเติมแต่งบางสิ่งบางอย่างเข้าไป
มองว่าผู้ถูกสัมภาษณ์น่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือมากกว่า ไม่ว่าสื่อจะมีเจตนาอะไรก็ตาม
การให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้จะดูเหมือนเป็นการ discredit แนวทาง vi สำหรับคนทั่วๆ ไปที่ไม่รู้จักหรือยังรู้จัก vi ไม่ดีพอ
maoinvestor เองก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงนักลงทุน นักเล่นหุ้น เทรดเดอร์ ฯลฯ
การเลือกใช้เธอจึงดูเหมาะสมดี
การให้สัมภาษณ์ในลักษณะล่อเป้าการโจมตีจากนักลงทุนแนววีไอนั้นดูจงใจเกิน
ขอเปรียบเทียบกรณีการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้กับการแข่งขันประกวดความสามารถที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน
ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ไม่พอใจผู้จัดทำรายการ พิธีกรผู้ตัดสิน บ้างก็ไม่ชอบใจผู้เข้าแข่งขัน
แต่มีไม่กี่คนที่พอใจมองได้อย่างเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นแค่เพียงการจัดฉากและการแสดง
ผู้อ่านไม่สามารถทราบได้เลยว่าเป็นข้อเท็จจริงซักกี่เปอร์เซ็นต์
ที่สำคัญผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเลยด้วยซ้ำว่าทุกคำพูดที่สื่อจับยัดปากมันจริงไม่จริงแค่ไหน
สื่ออาจใช้คำถามชี้นำ เพื่อหวังจะให้คำตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมาตามกรอบที่คิดไว้แล้ว
สื่ออาจมีการตัดต่อคำสัมภาษณ์ หรืออาจทำได้แม้กระทั่งเติมแต่งบางสิ่งบางอย่างเข้าไป
มองว่าผู้ถูกสัมภาษณ์น่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือมากกว่า ไม่ว่าสื่อจะมีเจตนาอะไรก็ตาม
การให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้จะดูเหมือนเป็นการ discredit แนวทาง vi สำหรับคนทั่วๆ ไปที่ไม่รู้จักหรือยังรู้จัก vi ไม่ดีพอ
maoinvestor เองก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงนักลงทุน นักเล่นหุ้น เทรดเดอร์ ฯลฯ
การเลือกใช้เธอจึงดูเหมาะสมดี
การให้สัมภาษณ์ในลักษณะล่อเป้าการโจมตีจากนักลงทุนแนววีไอนั้นดูจงใจเกิน
ขอเปรียบเทียบกรณีการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้กับการแข่งขันประกวดความสามารถที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน
ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ไม่พอใจผู้จัดทำรายการ พิธีกรผู้ตัดสิน บ้างก็ไม่ชอบใจผู้เข้าแข่งขัน
แต่มีไม่กี่คนที่พอใจมองได้อย่างเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นแค่เพียงการจัดฉากและการแสดง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 83
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 28
การ์ตูนเค้าน่ารักดีนะครับ ถ้าไม่เคยเป็นเม่าคงเขียนไม่ได้อย่างนี้
มันทำให้คนที่ไม่คิดสนใจหุ้นเช่น แฟนผม เข้าใจการเล่นหุ้นมากขึ้น
เช่นพวกศัพท์ ตัวย่อ ต่างๆ แต่คนที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว ก็อ่านเอาขำ ๆ ครับ
มันทำให้คนที่ไม่คิดสนใจหุ้นเช่น แฟนผม เข้าใจการเล่นหุ้นมากขึ้น
เช่นพวกศัพท์ ตัวย่อ ต่างๆ แต่คนที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว ก็อ่านเอาขำ ๆ ครับ
ยอมขาดทุนหนัก เพราะรักเธอ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 29
อ่านข่าวแล้วก็ฟังหูไว้หูครับ เค้าชอบหยิบคำมาป้อนให้เรา ทั้งที่เราไม่ได้พูด
หลังผมรู้สึกว่านักข่าวหลายคน ไม่ได้ให้ความนับถือกับแหล่งข่าวเลย ขอให้เขียนให้มันดูมีสีสันเป็นพอ
เซียนมี่ก็โดนมาหลายดอก เซียนมาริโอ้ก็เพิ่งโดนไปสดๆร้อนๆ
หลังผมรู้สึกว่านักข่าวหลายคน ไม่ได้ให้ความนับถือกับแหล่งข่าวเลย ขอให้เขียนให้มันดูมีสีสันเป็นพอ
เซียนมี่ก็โดนมาหลายดอก เซียนมาริโอ้ก็เพิ่งโดนไปสดๆร้อนๆ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เปิดบทเรียน 'ช้ำหนักเพราะรักวีไอ''จุ๊บ-ชลิตา' VS 'ตาร์-จ
โพสต์ที่ 30
ผมชื่นชมน้องทั้ง2มากครับ
จะมีสักกี่คนที่ยอมบอกเล่าความผิดพลาดของตัวเองผ่านสื่อ
เพื่อเป็นบทเรียนสอนใจให้แมงเม่าทั้งหลาย
ที่ผ่านมามีแต่ผมเก่ง ผมรวย ผมสุดยอดนักลงทุนฯลฯ
อ่านมากๆ บ่องตง เบื่อจัง
ตอนผมหันมาลงทุนวีไอใหม่ๆ
ปีสองปีแรกผมก็เป็นเหมือนน้องทั้ง2คน
เพราะหลักการยังไม่แม่น จิตใจยังไม่มั่นคง
กําไร10-20%ก็รีบขายกลัวกําไรหาย
ขาดทุนมากก็ยังกอดไว้แน่น ไม่ขายไม่ขาดทุน
ดัชนีตกมาก ตกใจเทขายหมด ไม่ดูว่าหุ้นดีหรือไม่ดี ฯลฯ
แต่ถ้าเรารู้จักประเมินข้อผิดพลาดของตัวเอง
ขยันหาความรู้ ในที่สุดเราก็จะประสพความสําเร็จ
น้องทั้ง2คนเป็นคนสติปัญญาดีอายุก็ยังน้อย
ผิดพลาดตอนนี้แหละดีแล้ว
อนาคตในที่สุดต้องประสพความสําเร็จแน่นอน
เพียงแต่มือใหม่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนให้ตลาดหุ้นบ้างเป็นธรรมดา
ว่างๆอยากให้น้องทั้ง2คนเข้ามาคุยในเวปนี้บ้าง
ตัวผมเองชอบความน่ารักขบขันของการ์ตูนส์น้องมากๆๆๆ
มาคุยกับพี่เก่งๆหลายๆคนที่นี่
จะได้ประสพความสําเร็จได้รวดเร็วขึ้น
จะมีสักกี่คนที่ยอมบอกเล่าความผิดพลาดของตัวเองผ่านสื่อ
เพื่อเป็นบทเรียนสอนใจให้แมงเม่าทั้งหลาย
ที่ผ่านมามีแต่ผมเก่ง ผมรวย ผมสุดยอดนักลงทุนฯลฯ
อ่านมากๆ บ่องตง เบื่อจัง
ตอนผมหันมาลงทุนวีไอใหม่ๆ
ปีสองปีแรกผมก็เป็นเหมือนน้องทั้ง2คน
เพราะหลักการยังไม่แม่น จิตใจยังไม่มั่นคง
กําไร10-20%ก็รีบขายกลัวกําไรหาย
ขาดทุนมากก็ยังกอดไว้แน่น ไม่ขายไม่ขาดทุน
ดัชนีตกมาก ตกใจเทขายหมด ไม่ดูว่าหุ้นดีหรือไม่ดี ฯลฯ
แต่ถ้าเรารู้จักประเมินข้อผิดพลาดของตัวเอง
ขยันหาความรู้ ในที่สุดเราก็จะประสพความสําเร็จ
น้องทั้ง2คนเป็นคนสติปัญญาดีอายุก็ยังน้อย
ผิดพลาดตอนนี้แหละดีแล้ว
อนาคตในที่สุดต้องประสพความสําเร็จแน่นอน
เพียงแต่มือใหม่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนให้ตลาดหุ้นบ้างเป็นธรรมดา
ว่างๆอยากให้น้องทั้ง2คนเข้ามาคุยในเวปนี้บ้าง
ตัวผมเองชอบความน่ารักขบขันของการ์ตูนส์น้องมากๆๆๆ
มาคุยกับพี่เก่งๆหลายๆคนที่นี่
จะได้ประสพความสําเร็จได้รวดเร็วขึ้น