ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 90
- ผู้ติดตาม: 0
ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 1
ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king" ถึงเราติดหุ้นแต่ถ้าเรามีเงินสดเหลืออยู่ ถึงหุ้นจะตกมาก เราจะไม่กลัวมากเท่าไหร่ พร้อมที่จะทะยอยซื้อ แต่ถ้าเราเงินหมด ทุกอย่างคือจบกัน ผมว่าท่านที่ลงทุนในหุ้น 100 % ตลอดเวลาต้องเซียนและต้นทุนต่ำ มี MOS เยอะจิงๆนะ ถึงไม่กังวล คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ ^-^
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 3
เห็น เซียนเขาใช้วิธี swithch กันน่ะครับ
เอาส่วนที่เหลืออยู่ ไปเข้ากับ ตัวที่น่าจะขึ้นได้มากครับ อย่าเพิ่งท้อ
ตอนนี้ก็ นั่งรอกระดิก teen ไปพลางๆก่อนครับ
เอาส่วนที่เหลืออยู่ ไปเข้ากับ ตัวที่น่าจะขึ้นได้มากครับ อย่าเพิ่งท้อ
ตอนนี้ก็ นั่งรอกระดิก teen ไปพลางๆก่อนครับ
Things are almost never clear on Wall Street,
or when they are, then it’s too late to profit from them.
or when they are, then it’s too late to profit from them.
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 7
ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเซียนที่จะถือหุ้น100%เสมอไป....เดาตลาดไม่ได้แต่ถ้ารู้ว่ากิจการที่เราลงทุนมันมีอานาคตสดใสจะปล่อยให้คนอื่นๆหรือ
ผมว่าช่วงนี้ดีที่จะอัดกระสุนเงินซื้อกิจการที่เรามั่นใจ
........แต่ผมไม่มีเงินสดแล้วฮ้าๆๆๆๆ ประสบการณ์เก่าๆทำให้ผมไม่อยากขายหุ้นใน crisis แล้ว
เพราะตัวนั้นผมวิเคราะห์ทางมันแต่ไปกลัวช่วง Greece crisis หุ้นตัวนั้น...ไม่รอผมแล้ว
ผมว่าช่วงนี้ดีที่จะอัดกระสุนเงินซื้อกิจการที่เรามั่นใจ
........แต่ผมไม่มีเงินสดแล้วฮ้าๆๆๆๆ ประสบการณ์เก่าๆทำให้ผมไม่อยากขายหุ้นใน crisis แล้ว
เพราะตัวนั้นผมวิเคราะห์ทางมันแต่ไปกลัวช่วง Greece crisis หุ้นตัวนั้น...ไม่รอผมแล้ว
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 8
เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อในจุดต่ำสุด เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าจุดไหนคือจุดต่ำสุด ต่อเมื่อมันผ่านไปแล้ว
ฉะนั้น ซื้อในจุดที่สบายใจ ถ้าลงไปอีกก็อยู่เฉยๆ ถ้าให้ดีก็ซื้อเพิ่ม
ป.ล. พอร์ตหุ้น 100% ครับ
ฉะนั้น ซื้อในจุดที่สบายใจ ถ้าลงไปอีกก็อยู่เฉยๆ ถ้าให้ดีก็ซื้อเพิ่ม
ป.ล. พอร์ตหุ้น 100% ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 9
ผมว่าการมองตลาดย้อนหลังยังไงมันก็ถูกเสมอนะครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา บางช่วงเคยไม่มีเงินสดเลย ตลาดดี ๆ ผลตอบแทนก็ดีมาก บางช่วงเคยเห็นตลาดสูงมองว่าเสี่ยงก็ขายหุ้นถือเงินสดค่อนข้างเยอะ บางครั้งตลาดไปต่อ บางครั้งหุ้นที่ขายไปต่อ บางครั้งหุ้นที่คิดว่าถูกกว่าและซื้อเข้ามาแทนไม่ไปไหน มีหลายรูปแบบ ผมอาจจะไม่ใช่คนจับจังหวะตลาดเก่งอะไร คนที่ทำแบบนี้ได้สำเร็จเค้าอาจจะเก่งและอาจจะมีอยู่จริง ๆ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเรามีเงิน 100% เราลงทุน 80% เราสำรองไว้ 20% กำลังเงินของพอร์ตเรามันก็จะหายไป 20% อยู่เป็นส่วนใหญ่ เงิน 20% นี้ทิ้งเอาไว้เฉย ๆ คุ้มไหมกับการรอให้ตลาดตกลงมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี
ที่สำคัญถ้ามันมาจริง เรากล้าซื้อไหม ถ้าซื้อแล้วมันจะเป็นก้นของขาลงจริงไหม หรือมันยังคงไหลลงอย่างต่อเนื่อง แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าเงินที่เราสำรองไว้มันจะพอ
นลท.ท่านอื่นอาจจะทำแบบนี้ได้ แต่ผมยอมรับครับว่าผมไม่สามารถคาดเดาตลาดและเข้าได้ถูกจังหวะแบบซื้อได้ต่ำขายได้สูงทุกครั้งครับ
ถ้ายังจำกันได้เมื่อ 2-3 เดือนก่อนเคยมีกระทู้ประเภท "ฟองสบู่จะแตก" มีทั้งคนเตือนให้ระวัง คนที่ไม่เห็นด้วย สุดท้ายวันนี้คำตอบคงออกมาแล้ว การมองย้อนหลังมันคงเป็นประสบการณ์ให้เราได้เรียนรู้ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้แน่ ๆ คือ "ตลาดหุ้นมีความแน่นอนคือความไม่แน่นอน" ครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา บางช่วงเคยไม่มีเงินสดเลย ตลาดดี ๆ ผลตอบแทนก็ดีมาก บางช่วงเคยเห็นตลาดสูงมองว่าเสี่ยงก็ขายหุ้นถือเงินสดค่อนข้างเยอะ บางครั้งตลาดไปต่อ บางครั้งหุ้นที่ขายไปต่อ บางครั้งหุ้นที่คิดว่าถูกกว่าและซื้อเข้ามาแทนไม่ไปไหน มีหลายรูปแบบ ผมอาจจะไม่ใช่คนจับจังหวะตลาดเก่งอะไร คนที่ทำแบบนี้ได้สำเร็จเค้าอาจจะเก่งและอาจจะมีอยู่จริง ๆ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเรามีเงิน 100% เราลงทุน 80% เราสำรองไว้ 20% กำลังเงินของพอร์ตเรามันก็จะหายไป 20% อยู่เป็นส่วนใหญ่ เงิน 20% นี้ทิ้งเอาไว้เฉย ๆ คุ้มไหมกับการรอให้ตลาดตกลงมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี
ที่สำคัญถ้ามันมาจริง เรากล้าซื้อไหม ถ้าซื้อแล้วมันจะเป็นก้นของขาลงจริงไหม หรือมันยังคงไหลลงอย่างต่อเนื่อง แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าเงินที่เราสำรองไว้มันจะพอ
นลท.ท่านอื่นอาจจะทำแบบนี้ได้ แต่ผมยอมรับครับว่าผมไม่สามารถคาดเดาตลาดและเข้าได้ถูกจังหวะแบบซื้อได้ต่ำขายได้สูงทุกครั้งครับ
ถ้ายังจำกันได้เมื่อ 2-3 เดือนก่อนเคยมีกระทู้ประเภท "ฟองสบู่จะแตก" มีทั้งคนเตือนให้ระวัง คนที่ไม่เห็นด้วย สุดท้ายวันนี้คำตอบคงออกมาแล้ว การมองย้อนหลังมันคงเป็นประสบการณ์ให้เราได้เรียนรู้ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้แน่ ๆ คือ "ตลาดหุ้นมีความแน่นอนคือความไม่แน่นอน" ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 330
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 10
หากหลังประกาศไตรมาศ 2 กำไรบริษัทเพิ่มขึ้น แล้วหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เรื่องที่หุ้นตกรอบนี้จะเลือนหายไปทันที สำคัญว่าหุ้นลงรอบนี้จะมีเงินซื้อหุ้นที่สนใจหรือเปล่า ส่วนมือใหม่ช่วงนี้น่าลงทุนเป็นที่สุด แต่ไม่รู้จะกล้าซื้อหรือเปล่า ส่วนมากจะกล้าเมื่อหุ้นแพง
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 11
คำว่า cash is king สามารถใช้กล่าวได้ในเมื่อมันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว
แต่ในอนาคต อาจจะเป็น cash is sin ก็ได้ ใครจะรู้
ทุกคนมีช่วงจังหวะเวลาไม่เหมือนกันครับ
ใครเผอิญมีเงินสดตอนหุ้นที่เราชอบปรับราคาลงก็ควรซื้อ
ใครเผอิญไม่มีเงินสดตอนหุ้นที่ชอบปรับราคาลงก็ควรอยู่เฉยๆ
ส่วนตัวผมจะถือเงินสด กรณีหุ้นที่ผมถือมันแพงมากๆจึงค่อยทยอยขายออกมา
แต่ในอนาคต อาจจะเป็น cash is sin ก็ได้ ใครจะรู้
ทุกคนมีช่วงจังหวะเวลาไม่เหมือนกันครับ
ใครเผอิญมีเงินสดตอนหุ้นที่เราชอบปรับราคาลงก็ควรซื้อ
ใครเผอิญไม่มีเงินสดตอนหุ้นที่ชอบปรับราคาลงก็ควรอยู่เฉยๆ
ส่วนตัวผมจะถือเงินสด กรณีหุ้นที่ผมถือมันแพงมากๆจึงค่อยทยอยขายออกมา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1523
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 12
"Cash is king" เคสนี้ใช้ไม่ได้ ถ้า คนขายไม่ยอมลดราคาขายให้ครับ
จะใช้ได้กับคนถือหุ้น2 จำพวก
1.เงินลงทุนไม่เย็น กู้มาลงทุน พวกนี้ขายถูกเท่าไหร่ก้ต้องขาย
2.คนที่เต้นตามอารมณ์ ยอมขายถูกๆเมื่อหุ้นร่วงลงแรงๆ แต่ไม่ยอมขายก่อนหุ้นลงแรง
พวกนี้เซทลงมากๆ ก้มักจะทนไม่ได้ขายทิ้งไป
ปัญหาของผมคือ มีเงิน แต่ไม่มีใครยอมขายถูกๆนี่สิ ปัญหาใหญ่เลย เล่นอมสเปโตกันหมด
ผมอาจจะต่อหน้าเลือด แต่ผมเชื่อว่า เราต้องฉกฉวยโอกาศจาก MM ที่คนอื่นกลัว
ยอมขายเราถูกๆ
ไม่มีใครอยากซื้อของแพงทั้งนั้น แต่ก้ไม่มีใครยอมขายของถูก
ผมเลยต้อง รอ แบบนี้ ต่อแล้วเค้าไม่ขายก้ขอรอหน้าร้านเค้าทุกวัน
จะใช้ได้กับคนถือหุ้น2 จำพวก
1.เงินลงทุนไม่เย็น กู้มาลงทุน พวกนี้ขายถูกเท่าไหร่ก้ต้องขาย
2.คนที่เต้นตามอารมณ์ ยอมขายถูกๆเมื่อหุ้นร่วงลงแรงๆ แต่ไม่ยอมขายก่อนหุ้นลงแรง
พวกนี้เซทลงมากๆ ก้มักจะทนไม่ได้ขายทิ้งไป
ปัญหาของผมคือ มีเงิน แต่ไม่มีใครยอมขายถูกๆนี่สิ ปัญหาใหญ่เลย เล่นอมสเปโตกันหมด
ผมอาจจะต่อหน้าเลือด แต่ผมเชื่อว่า เราต้องฉกฉวยโอกาศจาก MM ที่คนอื่นกลัว
ยอมขายเราถูกๆ
ไม่มีใครอยากซื้อของแพงทั้งนั้น แต่ก้ไม่มีใครยอมขายของถูก
ผมเลยต้อง รอ แบบนี้ ต่อแล้วเค้าไม่ขายก้ขอรอหน้าร้านเค้าทุกวัน
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 14
set เทียบกับต้นปีแล้วยังบวกอยู่นะครับ ถ้ารวมปันผลไปด้วยครึ่งปีก็บวกไปแล้วราวๆ 8%
ฝาก cash ครึ่งปีคงได้ราวๆ 1.5%
ด้วยข้อมูลนี้ผมว่าเปลี่ยนเป็น cash is slave มากกว่า
ฝาก cash ครึ่งปีคงได้ราวๆ 1.5%
ด้วยข้อมูลนี้ผมว่าเปลี่ยนเป็น cash is slave มากกว่า
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 15
การมีเงินสดติดพอร์ทไว้เกือบตลอดเวลา ก็นับเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจนะครับ
โดยเฉพาะคนที่เอาเงินออมทั้งหมดมาใช้ในการลงทุน เพราะ
1. เงินสดส่วนหนึ่งที่กันไว้ เป็น buffer ให้เรายามเกิดเหตุฉุกเฉินในชีวิตได้ครับ ทั้งเรื่องเจ็บป่วย อุบัติเหตุ
2. การบริหารเงินสดใด้ดี เป้าหมายคือ ยังทำให้มีเงินสดเหลือพอ ในเวลาที่เราต้องการจะซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ส่วนจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความถนัด และกลุยุทธ์ที่แต่ละคนจะคิดค้นขึ้นให้เหมาะกับเงื่อนไขของตัวเองครับ
ส่วนคำว่า Cash is king มันจริงเฉพาะเวลาที่เราเจอหุ้นดี ราคาถูกเท่านั้นล่ะครับ
ถ้าราคามันทะยานอย่างช่วงที่ผ่านมา ใครมีเงินสดเยอะ ๆ ก็คงได้แต่ทำหน้าเบ้
จริง ๆ แล้วคำนี้มันกำเนิดมาจากแวดวงการค้าครับ และถูกยึดถือกันมาก หลังปี 40
ที่ปล่อยเครดิตกันว่อน และเมื่อดึงเงินไม่ทัน ก็ช็อตกันเป็นลูกโซ่ ก็เลยเป็นบทเรียนกันต่อมา
ขายสด เป็นภาวะที่ใครก็อยากได้ครับ ของไป ได้เงินสดกลับมาหมุนต่อ ไม่ต้องรอ 3 เดือน 6 เดือน
แต่สำหรับตลาดหุ้น Cash is king กลับถูกพูดถึงกันมากในเวลาหุ้นลง เจอของถูก
แต่ ไม่มีเงินซื้อ การพูดจึงออกมาในลักษณะเสียดายที่ไมได้ซื้อ เพราะไม่มีเงิน
ถ้าจะให้เทียบชั้น ผมว่าคำ ๆ นี้ มันเหมือนคำว่า "รู้งี๊" ของคุณ porjai เลยล่ะครับ
โดยเฉพาะคนที่เอาเงินออมทั้งหมดมาใช้ในการลงทุน เพราะ
1. เงินสดส่วนหนึ่งที่กันไว้ เป็น buffer ให้เรายามเกิดเหตุฉุกเฉินในชีวิตได้ครับ ทั้งเรื่องเจ็บป่วย อุบัติเหตุ
2. การบริหารเงินสดใด้ดี เป้าหมายคือ ยังทำให้มีเงินสดเหลือพอ ในเวลาที่เราต้องการจะซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ส่วนจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความถนัด และกลุยุทธ์ที่แต่ละคนจะคิดค้นขึ้นให้เหมาะกับเงื่อนไขของตัวเองครับ
ส่วนคำว่า Cash is king มันจริงเฉพาะเวลาที่เราเจอหุ้นดี ราคาถูกเท่านั้นล่ะครับ
ถ้าราคามันทะยานอย่างช่วงที่ผ่านมา ใครมีเงินสดเยอะ ๆ ก็คงได้แต่ทำหน้าเบ้
จริง ๆ แล้วคำนี้มันกำเนิดมาจากแวดวงการค้าครับ และถูกยึดถือกันมาก หลังปี 40
ที่ปล่อยเครดิตกันว่อน และเมื่อดึงเงินไม่ทัน ก็ช็อตกันเป็นลูกโซ่ ก็เลยเป็นบทเรียนกันต่อมา
ขายสด เป็นภาวะที่ใครก็อยากได้ครับ ของไป ได้เงินสดกลับมาหมุนต่อ ไม่ต้องรอ 3 เดือน 6 เดือน
แต่สำหรับตลาดหุ้น Cash is king กลับถูกพูดถึงกันมากในเวลาหุ้นลง เจอของถูก
แต่ ไม่มีเงินซื้อ การพูดจึงออกมาในลักษณะเสียดายที่ไมได้ซื้อ เพราะไม่มีเงิน
ถ้าจะให้เทียบชั้น ผมว่าคำ ๆ นี้ มันเหมือนคำว่า "รู้งี๊" ของคุณ porjai เลยล่ะครับ
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 16
สิ่งที่เรียนรู้มาก็คือ เมื่อเวลาที่ "ไม่ว่าเรามี cashหรือหุ้น 100หรือใกล้100%แล้ว"
ความคิดเรามักมี Bias ในด้านใดด้านหนึ่งมากๆครับ
ต้องควบคุม Bias ทางความคิดให้ดีๆ
ความคิดเรามักมี Bias ในด้านใดด้านหนึ่งมากๆครับ
ต้องควบคุม Bias ทางความคิดให้ดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 848
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 19
มิติเศรษฐกิจ: หน้าผาเศรษฐกิจโลก วิกฤตเศรษฐกิจจีน
วันที่ : 05/07/2013
แหล่งข่าว : โพสต์ Today
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
[email protected]
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท.
ในวันนี้ ผมคิดว่าข่าวใหญ่ในเศรษฐกิจโลกที่ทุกคนให้ความสนใจนอกจากเรื่องทิศทางการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่เรียกกันว่ามาตรการ QE ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทิศทางของเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มมีสัญญาณไม่ดีนัก ทำให้ผมต้องย้อนคิดไปถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินสหรัฐเมื่อปีพ.ศ. 2551 หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินของไทยและภูมิภาคเอเชียเมื่อปีพ.ศ. 2540 ซึ่งในปัจจุบันทุกคนต่างมองว่าเศรษฐกิจจีนที่เดิมจะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกในอนาคต และเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกแทนเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ประสบภาวะวิกฤตและยังคงชะลอตัวต่อเนื่องทั้งนี้ โอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินในประเทศจีนจึงถือเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ทุกคนกำลังจับตามอง
ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 รัฐบาลจีนได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ และใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนยังสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและฟื้นตัวได้จากวิกฤตการเงินปี2551 ดังนั้น การขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีนในอดีตหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนต่างมองว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับเมื่อตอนสมัยต่างชาติมองเศรษฐกิจไทยก่อนเกิดวิกฤตปี 2540
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกเศรษฐกิจไม่เว้นแม้เศรษฐกิจจีนก็จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติเช่นเดียวกับที่มนุษย์เราทุกคนต้องอาศัยอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก คือ วันหนึ่งเศรษฐกิจจีนก็จะต้องชะลอตัวลงไม่ว่าจะเป็นเร็วหรือค่อยเป็นค่อยไป (หรือที่เรียกกันว่า Hard landing หรือ Soft landing) ซึ่งผมคิดว่ารัฐบาลจีนเองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เข้าใจในจุดนี้ และได้เริ่มเปลี่ยนนโยบายที่เน้น "การเจริญเติบโต" มาเป็น "การเจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ"อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเป้าหมายของรัฐบาลจีนจะเห็นได้เร็วกว่าที่คาด คือ เราเริ่มจะเห็นเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวชะลอลงแล้วในวันนี้โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 7.7% ต่ำกว่าฉันทามติโพลรอยเตอร์สที่คาดว่าอัตราการขยายตัวจะอยู่ที่ 8% และยังต่ำกว่าการขยายตัว 7.9% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ซึ่งถ้าแนวโน้มยังคงมีอัตราการเติบโตที่ลดลงอย่างนี้เป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวลดลงต่ำกว่า 6% ในปีนี้ได้ และผมคิดว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนน่าจะมีแนวโน้มที่ลดลงในช่วงต่อจากนี้ไป จากตัวเลขเครื่องชี้เศรษฐกิจจีนต่างๆที่ออกมาล่าสุด
ผมว่าประเด็นที่น่ากลัวของเศรษฐกิจจีนในวันนี้คือระดับหนี้ที่สูงขึ้นมากนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2551 เป็นต้นมา เราจะเห็นว่าประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วของโลกได้เข้าสู่กระบวนการลดหนี้ (Deleveraging) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศจีนยังคงมีการเพิ่มหนี้ต่อเนื่องของทั้งภาครัฐบาล ภาคบริษัท ภาคครัวเรือน ซึ่งคนจีนส่วนใหญ่คงจะยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวได้ดีต่อไป จนทำให้วันนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนมีอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP เพิ่มขึ้นสูงกว่า 110% ของ GDP ในช่วงปี 2552-2555 และทำให้อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อGDP สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบันที่ร้อยละ 205 ของ GDP ทั้งนี้ สถานะการก่อหนี้ (Leverage) ของเศรษฐกิจจีนและการลงทุนที่สูงนี้ ทำให้อัตราผลตอบแทนเงินลงทุนในประเทศจีนลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา
ในวันนี้ หากทางการจีนไม่ระมัดระวัง เราอาจกำลังจะได้เห็นวิกฤตหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นในเศรษฐกิจจีน ตั้งแต่ความเสี่ยงของการล่มสลายของตลาดสินเชื่อหนี้ส่วนบุคคลไปถึงการต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลท้องถิ่นที่มีสัญญาณว่าอาจจะกำลังประสบปัญหาทางการเงิน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนม.ค. 2556 ธนาคารพาณิชย์ของจีนจำเป็นต้อง Roll over หนี้ก้อนโตกว่า 482 พันล้านเหรียญสหรัฐของรัฐบาลท้องถิ่นจีน เพื่อเคยกู้ยืมเงินไว้สำหรับลงทุนในโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่สูงมากของการสะสมหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจจีน
ถ้าแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อของจีนยังเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เริ่มช้าลงของจีน พวกเราอาจจะได้เห็นเศรษฐกิจจีนเข้าสู่ภาวะวิกฤตการเงินได้นะครับ ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยเองก็คงต้องเข้าสู่ Mode ของการระวังภัยนะครับ เพราะจีนวันนี้เป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย และเป็นนักลงทุน นักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย ผมไม่อยากจะบอกข่าวร้ายว่า ในเดือน พ.ค. 2556 ที่ผ่านมามูลค่าส่งออกของไทยไปจีนหดตัวกว่า -16.6% ครับทำให้มูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัว -5.2% ครับอนาคตของเศรษฐกิจจีน (และไทย?) น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกันนะครับ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
"Success is the sum of small efforts, repeated day in and day out" [Robert Collier]
-
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 21
ตลาดจะเป็นยังไงไม่รู้ ผมรู้แต่เดี๋ยวนี้ รอบข้างคนพูดเรื่องหุ้นแทบจะทุกคน และ 90 กว่า % ในนั้น ถือหุ้นเกือบ 100% กันทุกคน
และหลายๆคนก็มั่นใจว่า ตัวเองซื้อกิจการที่ดี และมีราคาเหมาะสม
รวมถึงผลตอบแทนจากหุ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของทุกคน ก็ค่อนข้างดีถึงดีมาก
และหลายๆคนก็มั่นใจว่า ตัวเองซื้อกิจการที่ดี และมีราคาเหมาะสม
รวมถึงผลตอบแทนจากหุ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของทุกคน ก็ค่อนข้างดีถึงดีมาก
- BEN 10
- Verified User
- โพสต์: 518
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 24
"ถ้าเป็นนักลงทุน ที่เข้าใจคำว่า VI จริงๆ ระดับราคาปัจจุบัน (ที่ SET ร่วงลงมาแล้ว) MOS ยังไม่พอที่จะลงทุนเลย" มิตรสหายที่เคารพกล่าวไว้WHYDOWEFALL เขียน:ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king" ถึงเราติดหุ้นแต่ถ้าเรามีเงินสดเหลืออยู่ ถึงหุ้นจะตกมาก เราจะไม่กลัวมากเท่าไหร่ พร้อมที่จะทะยอยซื้อ แต่ถ้าเราเงินหมด ทุกอย่างคือจบกัน ผมว่าท่านที่ลงทุนในหุ้น 100 % ตลอดเวลาต้องเซียนและต้นทุนต่ำ มี MOS เยอะจิงๆนะ ถึงไม่กังวล คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ ^-^
CANSLIM APPRENTICE
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 90
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 25
ตลาดผันผวนนะคับช่วงนี้ รอต่อราคาไปเรื่อยๆ อาจจะเสียโอกาสก็ได้แต่คิดว่าดีกว่าเสียใจ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 26
ผมเข้าใจนัยยะของคำว่า Cash is King ในอีกความหมายครับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหุ้นที่สร้างเงินสด ธุรกิจที่สร้างเงินสด
หากเราหาบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างเงินสดจริง ๆ มาอยู่ในพอร์ตเราในแต่ละปี แต่ละปี สามารถสร้าง Growth ให้เกิดขึ้นได้สม่ำเสมอ จนเป็นหุ้นแข็งแกร่ง มากบ้างน้อยบ้างในปีที่แตกต่างกันแต่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างดีเยี่ยม! นั่นคือ Cash is King และเราควรจะใช้ความพยายามไปหาหุ้นแบบนั้นมาเก็บไว้ในพอร์ตเรา
หากเราหาบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างเงินสดจริง ๆ มาอยู่ในพอร์ตเราในแต่ละปี แต่ละปี สามารถสร้าง Growth ให้เกิดขึ้นได้สม่ำเสมอ จนเป็นหุ้นแข็งแกร่ง มากบ้างน้อยบ้างในปีที่แตกต่างกันแต่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างดีเยี่ยม! นั่นคือ Cash is King และเราควรจะใช้ความพยายามไปหาหุ้นแบบนั้นมาเก็บไว้ในพอร์ตเรา
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนนี้เข้าใจความหมายคำว่า "Cash is king"
โพสต์ที่ 27
ใช่เลยครับพี่ NBผมเข้าใจนัยยะของคำว่า Cash is King ในอีกความหมายครับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหุ้นที่สร้างเงินสด ธุรกิจที่สร้างเงินสด
หากเราหาบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างเงินสดจริง ๆ มาอยู่ในพอร์ตเราในแต่ละปี แต่ละปี สามารถสร้าง Growth ให้เกิดขึ้นได้สม่ำเสมอ จนเป็นหุ้นแข็งแกร่ง มากบ้างน้อยบ้างในปีที่แตกต่างกันแต่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างดีเยี่ยม! นั่นคือ Cash is King และเราควรจะใช้ความพยายามไปหาหุ้นแบบนั้นมาเก็บไว้ในพอร์ตเรา
ตอนนี้หุ้นที่ผมลงทุนหลายบริษัท กำลังจะผลิตกระแสเงินสดให้กิจการมากขึ้นทุกปี บางตัวกำลังผลิตและเติบโตมากขึ้นในอนาคตตามแผนการลงทุนที่จะเริ่มออกดอกออกผลบ้างแล้ว
และส่วนหนึ่งของหุ้นบางตัวในไครมาสนี้หลายตัวก็กำลังผลิตกระแสเงินสดตอบแทนผู้ลงทุนผ่านเงินปันผลเข้าบัญชีเลยใน 1 ถึง 2 เดือนนี้ และในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้าด้วย ซึ่งผมคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ตอนนี้กำลังทะยอยรับเงินสดเข้าบัญชีอยู่ครับ รอเก็บสะสมไว้เพิ่มจำนวนให้มากขึ้น และจะรอว่าวันหนึ่งคงมีอิสระการเงินตามเป้าหมายครับ
Cash is the king จริง ๆ ด้วย
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger