koko8889 เขียน:คำถามอยากถามว่า ถ้าเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงในประเทศไทย และสุดท้ายชีวิตของคุณจะต้องดับสูญในวันที่เกิดภัยธรรมชาตินั้น
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแนววีไอจะทำอย่างไร แล้วเส้นทางธรรมที่ศึกษามานั้นจะใช้บทไหนที่จะรับมือกับการเดินทางจากโลก
นี้ไปครับ
ขอเจริญธรรมและอนุโมทนาความเห็นดีๆ ที่แบ่งปันครับ
รู้ลมหายใจเข้าออก ตั้งไว้ซึ่งกายคตาสติ ได้นิพพานครับ
ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็น
สิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ... ตถาคต
มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย
ภิกษุ ท. !
ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็น
กายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมี
สัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
ออกเสียได้ ; เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่
เป็นประจำ... ; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ... ;
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
อย่างนี้แล ภิกษุ ท. ! เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็น
อย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบ
ในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง,
การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรง
สังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง
การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง.
อย่างนี้แล ภิกษุ ท. ! เรียกว่าภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
ภิกษุ ท. !
ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ
เมื่อรอคอยการทำกาละ :
นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย... ตถาคต
[๒๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่า
นั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ
ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ ฯ
[๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่บริโภคแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่บริโภคแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชน
เหล่าใดบริโภคแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นบริโภคแล้ว ฯ
[๒๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติของชนเหล่าใดเสื่อมแล้ว อมตะ
ของชนเหล่านั้นชื่อว่าเสื่อมแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติของชนเหล่าใดไม่
เสื่อมแล้ว อมตะของชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่เสื่อมแล้ว ฯ
[๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดเบื่อแล้ว อมตะ
ชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเบื่อแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดชอบใจ
แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นชอบใจแล้ว ฯ
[๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้น
ชื่อว่าประมาทอมตะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดไม่ประมาทกายคตาสติ ชน
เหล่านั้นชื่อว่าไม่ประมาทอมตะ ฯ
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดหลงลืม อมตะชื่อ
ว่าอันชนเหล่านั้นหลงลืม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่หลงลืม
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่หลงลืม ฯ
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ซ่องเสพแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ซ่องเสพแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชน
เหล่าใดซ่องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นซ่องเสพแล้ว ฯ
[๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่เจริญแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่เจริญแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่า
ใดเจริญแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเจริญแล้ว ฯ
[๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ทำให้มากแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้มากแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชน
เหล่าใดทำให้มากแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้มากแล้ว ฯ
[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่รู้ด้วยปัญญาอัน
ยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติ
อันชนเหล่าใดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่กำหนดรู้แล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่กำหนดรู้แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชน
เหล่าใดกำหนดรู้แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นกำหนดรู้แล้ว ฯ
[๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่ทำให้แจ้งแล้ว
อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้แจ้งแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชน
เหล่าใดทำให้แจ้งแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้แจ้งแล้ว ฯ... ตถาคต